''มาฆบูชา: รักแท้นั้นไซร้อยู่ใกล้แค่ใจเรา''

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Phanudet, 17 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    [​IMG]


    ''มาฆบูชา: รักแท้นั้นไซร้อยู่ใกล้แค่ใจเรา''

    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=m12 width="100%" align=left>
    ๑. เกริ่นนำ


    ผู้เขียนได้อ่านผลการศึกษาของเอแบคโพลล์ ซึ่งได้ทำการวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “ความเข้าใจของเด็กเยาวชนไทยเกี่ยวกับวันมาฆบูชา และความตั้งใจทีจะทำกิจกรรมต่างๆ ในวันมาฆบูชา: กรณีศึกษาเยาวชนอายุ ๑๒-๒๔ ปี ในเขตกรุเทพมหานครและปริมณฑล โดยศึกษาจากประชากรกลุ่มตัวอย่าง ๑,๓๒๕ คน ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจตั้งแต่วันที่ ๑๑-๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ทำให้พบประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า เด็กเยาวชนจำนวน ๖๕.๔% ที่ไม่รู้ว่าวันใดคือวันมาฆบูชา และ ในจำนวนเหล่านี้ ประชาชนจำนวน ๒๗% ไม่ทราบว่า “โอวาทปาฏิโมกข์” คือ หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา

    นอกจากนี้ จากการสำรวจทำให้พบว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนไทยที่ให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ มีจำนวนมากกว่า กลุ่มเด็กที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา คือ ร้อยละ ๔๓.๒ ต่อร้อยละ ๖.๔ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ ๒๗.๓ ให้ความสำคัญเท่ากันทั้ง ๒ วัน และร้อยละ ๒๓.๑ ไม่มีความเห็น

    จากประสบการณ์ของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเด็กเยาวชนทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก การทำกิจกรรมทางศาสนาในอดีตที่ผ่านมา คำถามสำคัญที่กลุ่มเด็กเยาวชนทั่วไปมักจะตั้งคำถามก็คือ “เพราะเหตุใด? กลุ่มคนทั่วไปจึงเรียกวันมาฆบูชาว่าเป็นวันแห่งความรักแนวพุทธ หรือแบบพุทธ” หลักการหรือธรรมะชุดใดใน “โอวาทปาฏิโมกข์” ที่บ่งบอกถึงนัยของคำว่า “พระพุทธเจ้าทรงย้ำเตือนให้มนุษยชาติรักและห่วงใยซึ่งกันและกัน”

    จากการวิเคราะห์หลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์ เราจะพบชุดของพุทธพจน์ที่น่าสนใจ และบ่งบอกนัยให้เราได้ตระหนักรู้ว่า “นี่คือร่องรอยของถ้อยคำที่บ่งบอกว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก” ได้อย่างประจักษ์ชัด กล่าวคือ ในประโยคที่ว่า “การไม่กล่าวร้าย (อนูปวาโท) การไม่ทำร้าย (อนูปฆาโต)” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พระองค์ตรัสเตือนในประเด็นเดียวกันนี้ว่า “ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต (ผู้เว้นขาด) ซึ่งคำว่า “บรรพชิต” ในบริบทนี้จึง “หมายถึง ผู้ที่เว้นขาดจากการทำร้ายคนอื่น” และ “ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะ (ผู้สงบ) ซึ่งคำว่า “สมณะ” ในบริบทนี้ จึงหมายถึง การสงบกาย วาจา และใจโดยไม่พยายามที่จะเบียดเบียนคนอื่น หรือสิ่งอื่นๆ”

    การตีความในลักษณะนี้ จึงสอดรับกับผลการวิจัยในเรื่องเดียวกันนี้บางประเด็นที่ชี้ว่า “สำหรับพฤติกรรมที่เยาวชนไทยตั้งใจจะลด ละเลิกในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ ได้แก่ การงดเว้นจากการใช้วาจาที่ไม่ดี เช่น พูดปด โกหก นินทาว่าร้าย พูดส่อเสียด และไร้สาระ การลดการดื่มเหล้า การเลิกสูบบุหรี่ การเลิกเล่นการพนัน และอบายมุข การเลิกลักเล็กขโมยน้อย การเลิกขี้เกียจ การเลิกใช้ยาเสพติด การเลิกทำสิ่งผิดกฎหมาย และเลิกทะเลาะวิวาทกับคนอื่น รวมถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน จากพฤติกรรมและการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะสม”

    จะเห็นว่า หากเรามุ่งที่จะตีความใน “ภาษาธรรม” แล้ว เด็กเยาวชนเหล่านี้ สามารถเป็นได้ทั้ง “บรรพชิต” และ “สมณะ” ในคราวเดียวกันดังที่ปรากฎในผลการวิจัยที่บ่งชี้ว่า “ในวันมาฆบูชานั้น เด็กเยาวชนกลุ่มตัวอย่างมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเว้นขาดจากสิ่งเหล่า นั้น” ที่นำไปสู่การเบียดเบียน และทำร้ายบุคคลอื่นๆ หรือ สิ่งอื่นๆ ในสังคม

    อย่างไรก็ดี หลักธรรมที่ถือได้ว่าเป็น “แก่น” หรือ “แกน” ที่จะทำหน้าที่ในการกำกับ และควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจของเด็กเยาวชนเหล่านั้นใน “วันแห่งความรักแบบพุทธ” คือ “ความอดทน” (ขันติ) ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง” ความอดทนในบริบทนี้จึงหมายถึง “การรักษาความเป็นปกติของตนไว้ได้ ในเมื่อได้รับผลกระทบด้วยสิ่งอันไม่พึงปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอดทนต่อการล่วงเกินของคนอื่น ความอดทนต่อความเจ็บใจ และความทนต่อความกระทบกระแทกแดกดันของคนอื่น

    เมื่อใดก็ตาม เด็กเยาวชน หรือหมู่ชนทั่วไป อดทนต่อสภาวะการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบอารมณ์ในลักษณะดังกล่าวได้ ย่อมเกิดผลในเชิงบวกตัวเราเอง และสังคมโดยภาพรวมโดยที่ (๑) เราจะไม่พยายามที่จะตอบโต้ หรือทำร้ายคนอื่น แม้คนอื่นๆ จะพยายามว่าร้าย หรือมุ่งร้ายเรามากเพียงใดก็ตาม (๒) เราจะไม่เบียดเบียน และทำร้ายคนอื่นๆ เพียงเพราะว่า “ต่างสถาบัน” “ต่างวัฒนธรรม” “ต่างสี” หรือ “ต่างความคิด”ทั้งๆ ที่คนบางกลุ่มไม่เคยทะเลาะ หรือทำร้ายเราในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน


    [​IMG]


    ๒. อดทนไม่ได้ จึงต้องตายเพื่อประชดรัก

    ประเด็นที่ควรค่าแก่การห่วงใยอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันคือ การที่เด็กเยาวชนบางคนเข้าไปเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับความรัก และกำลังสูญเสียในสิ่งที่ตัวเองรัก หรือเข้าใจว่าคนรักกำลังตีจาก และอดทนไม่ได้ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง โดยมองว่า “ตัวเองกำลังได้รับการปฏิเสธการรับรักจากคนอื่น” จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อ “ประชดคนรัก” ดังจะเห็นจากกรณีของ “หญิงสาววัย ๒๔ ปีที่ฆ่าตัวผ่านแคมฟรอก (Camfrog) เพราะประจักษ์ชัดว่า ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักได้บอกเลิกความสัมพันธ์”

    ประเด็นคำถามที่น่าสนใจคือ เมื่อถึงจุดหนึ่งของภาวะวิกฤติ ทำไมเด็กสาวคนดังกล่าวจึงไม่เลือก "พ่อแม่ หรือพี่น้อง" ที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดชีวิต เธอกลับไปเลือกที่จะตายเพื่อ "ประชดผู้ชาย" ที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตได้ไม่ถึงปี และหมดสิ้นความรักในตัวเธอ ในความจริงแล้ว จากการที่ผู้เขียนทำวิจัยเรื่อง "การฆ่าตัวตาย" และสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ตัดสินฆ่าตัวแต่ไม่ตาย ได้พบคำตอบที่น่าสนใจข้อหนึ่งว่า "การที่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย" ไม่ได้เกิดจากการที่เธอไม่รักตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เพราะเธอรักตัวเองมากที่สุดเธอจึงต้องฆ่าตัวตาย

    นักพูด นักคิด และนักปฏิบัติการด้านความรักหลายท่านในอดีตจนถึงปัจจุบัน มักจะตั้งข้อสังเกตว่า “วัยรุ่นมักจะมอบ และทุ่มเทความรักให้แก่เพื่อนมากกว่าพ่อและแม่” แท้ที่จริงแล้ว วัยรุ่นรักเพื่อนมากกว่ารักพ่อและแม่จริงหรือ? หรือว่า วัยรุ่นไม่ได้รักเพื่อนของตัวเอง แต่เขากำลังนำเพื่อนมาสนองตอบต่อความรักที่ตัวเองกำลังเรียกร้องและค้นหา


    [​IMG]


    ๓. ความรักเสมอด้วยตนย่อมไม่มี

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความรักเสมอด้วยตนย่อมไม่มี” หมายความว่า ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะรักคนอื่นมากกว่าการรักตัวเอง ฉะนั้น การที่ใครสักคนฆ่าตัวตายคือการที่เขาไม่ต้องที่จะให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมาน กับอดีตที่เลว ร้าย และไม่ต้องการให้ตัวเองต้องจมปลักอยู่กับความเจ็บปวด และการเลือกฆ่าตัวตายคือการเลือกที่จะหนี หรือไปเจอ และแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าหรืออนาคตที่ดีกว่าให้แก่ตัวเองความจริงแล้ว

    จากการที่ผู้เขียนทำวิจัยเรื่อง "การฆ่าตัวตาย" และสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ตัดสินฆ่าตัวแต่ไม่ตาย ได้พบคำตอบที่น่าสนใจข้อหนึ่งว่า "การที่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย" ไม่ได้เกิดจากการที่เธอไม่รักตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “เพราะเธอรักตัวเองมากที่สุดเธอจึงต้องฆ่าตัวตาย”


    [​IMG]


    ๔. รักแท้ รักเทียม

    เราควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรักอย่างไร? จึงจะพบทางรอดในอนาคต เมื่อหันกลับมาพิจารณา "ความรัก" สรุปโดยหลักใหญ่ใจความในบริบทนี้มี ๒ ประการ คือ

    (๑) รักเทียม คือ ความรักที่เราต้องเอาเขามาทำให้เรามีความสุข แม้ว่าเขาจะทุกข์ทรมานจากการนำเขามาเพียงใดก็ตาม (สิเนหา) เป็นความรักแบบมีเงือนไข และเต็มไปด้วยพรมแดน เคียดแค้นยามไม่สมหวังในรัก พระพุทธเจ้าตรัสเรียกรักประเภทนี้ว่า "ความเศร้าโศก และความกลัว ย่อมเกิดจากความรัก (ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหรือคนที่เรารัก) หากเราหลุดพ้นจากความรักประเภทนี้แล้ว ความเศร้าโศก และความกลัวจะหาได้จากที่ไหน" ฉะนั้น รักในบริบทแรก จึงได้รับการประเมินว่า "ความรักคือความทุกข์"

    (๒) รักแท้ คือ ความรักที่เราต้องการจะทำให้เขามีความสุข คำว่า "เขา" ในที่นี้ หมายถึงใครก็ได้ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายในโลกนี้ ความรักแบบนี้ เราเรียกว่า "เมตตา" เป็นความรักสากล (Universal love) ที่ไม่มีเงื่อนไข (Un-condition) อิสระ (Freedom) ที่ปราศจากคาดหวัง (Expectation) ไม่เรียกร้องรักตอบ รักในความหมายนี้ จึงได้รับการตีค่าว่า "ความรักคือความสุขแท้ มิใช่สุขเทียม" หากทุกคนขยายพื้นที่ของความรักเช่นนี้ออกไปมากเพียงใด ครอบครัว สังคม และโลกก็จะได้รับไออุ่นจากความรักประเภทนี้เพียงนั้น ฉะนั้น "โลกของเราจะอยู่รอดได้ ก็เพราะความรัก"

    การที่จะแสวงหาความรักจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะความรักที่แท้จริงซ่อนตัวและนอนนิ่งอยู่ภายในใจของเรา เราสามารถสร้างให้มีขึ้นภายในใจของเรา เป็นความรักที่ไร้เงื่อนไข ไร้ทุกข์ ไร้เสียงร้องให้ และไร้น้ำตาอันเกิดจากการสูญเสีย

    หากเราจะมีรักสักครั้ง ทำไมความรักที่ใครสักคนจะมอบให้แก่กันและกัน จึงต้องคลอเคล้าด้วยน้ำตา หรือว่าการจะมีรักสักครั้ง จะต้องลงทุนแลกมาด้วย "น้ำตา" ทำไมเราต้องวิ่งไปหาสิ่งภายนอกมาทำให้เรารู้สึกว่า "เรามีรัก" เพื่อให้รัก "เติมเต็มให้กับชีวิตของเรา" การวิ่งหาความรักเช่นนี้ เราจะตอบตัวเองได้ไหม กี่ปี กี่เดือน เราจึงจะค้นพบรักแท้ แต่ใครจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว "รักแท้นั้นไซร้อยู่ใกล้แค่ใจเรา"


    [​IMG]

    ๕. หากจะลองรักครั้งใด อย่าไร้สติและปัญญา

    หากคิดจะรักใครหรือสิ่งใด จงโปรด "รักอย่างมีสติและปัญญา" เพราะสองสิ่งนี้ จะทำให้เราหลุดพ้นไปจากกลัว หวาดระแวง และหยาดน้ำตา หากเมื่อใดก็ตาม "สติและปัญญา" ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนั้น เมฆหมอกอันดำมืดของ "อวิชชา" คือ "ความโง่" ก็จะเข้ามาปกคลุม กินพื้นที่ และครอบครองอาณาจักร

    การที่เรารักใครสักคนมากเกินไปจนไร้สติ จึงทำให้เรา "กลัว" กลัวว่า เราจะสูญเสียรักไป ในขณะเดียว เพราะเรารักใคร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป เราจึงต้อง "เศร้าโศกเสียใจ" หากสักวันหนึ่ง เราต้องจากสิ่งที่เรารัก หรือสิ่งที่เรากำลังจะตีจาก หรือหนีหายไปจากใจของเรา

    เมื่อใดก็ตาม ที่จิตของเราอยู่เหนือ "อิทธิพลของรักเทียม" ไม่ตกเป็นทาสของความรักโดย "ขาดสติ" ก่อนรัก ในขณะที่เรากำลังรัก และหลังจากที่เรารัก เมื่อนั้น ความกลัวว่า เรากำลังจะจากสิ่งที่เรารัก และกลัวว่าคนหรือสิ่งที่เรารักกำลังจะจากเราไป และ ความเศร้าโศกเสียใจที่เราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก ก็จะเลือนมลายหายไปจากใจของเราด้วย

    ฉะนั้น หากคิดจะรักใครหรือสิ่งใด จงโปรด "รักอย่างมีสติและปัญญา" เพราะสองสิ่งนี้ จะทำให้เราหลุดพ้นไปจากกลัว หวาดระแวง และหยาดน้ำตา หากเมื่อใดก็ตาม "สติและปัญญา" ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนั้น เมฆหมอกอันดำมืดของ "อวิชชา" คือ "ความโง่" ก็จะเข้ามาปกคลุม กินพื้นที่ และครอบครองอาณาจักร

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราคงทำอะไร หรือ สิ่งใดไม่ได้มากไปกว่าการนั่งตระหนักอยู่ในมุมที่เงียบสงบว่า "เราไม่รู้หรอกว่าการยืนอยู่เหนือหุบเหวแห่งรักแท้นั้น เต็มไปด้วยความสุขขนาดไหน หากเราไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับความเจ็บปวด ทรมานในหุบเหวแห่งรักเทียมที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมัน" ในวินาทีนี้ จะมีเพื่อนมนุษย์กี่คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บในหุบเหว และจะมีสักกี่คนที่กำลังอิ่มเอมกับสุขแท้ที่เกิดจากรักอย่างมีสติ

    ถึงกระนั้น ประสบการณ์ วัน และเวลาทำให้พวกเราเข้าใจว่า "รักแท้คือความอิสระ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรารัก" เพราะเมื่อใดที่เรายึด เมื่อนั่นเราจะรู้สึกว่าขาดความอิสระ หรือเบาสบาย การเด็กที่รักตุ๊กตามาก จะกอดรักตุ๊กตาแน่นมากยิ่งขึ้น เมื่อกอดแน่น สิ่งที่จะตามมือคือความอัดอัดขัดใจ ความไม่สบายใจ ไม่สบายใจ ก็จะเกิดตามมาอย่างเห็นได้ชัด

    สรุปก็คือ จะเห็นว่า เมื่อใดก็ตาม เรายิ้มให้กับความรัก และเข้าไปสัมพันธ์กับความรักประดุจดัง "กัลยาณมิตร" รวมไปถึงการมองความรักอย่างเข้าใจ และมีปัญญา เมื่อนั้น ความรักก็จะมอบ "ความเข้าใจ" "ปัญญา" และ "กัลยาณมิตร" ตอบแทนต่อเราเช่นกัน


    [​IMG]


    ๖. นึกถึงรักแท้ครั้งใด นึกถึงลมหายใจของตัวเอง

    พระพุทธเจ้าตรัสเตือนพวกเราว่า "กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์และตัวของมันเอง" ความจริง เวลาก็คือเวลา และในฐานะที่ "เวลา" เป็นสิ่งสมมติที่ชาวโลกสร้างขึ้นเพื่อใช้เรียกขาน และกำหนดนับสิ่งต่างๆ ให้สะดวกและง่ายต่อการดำเนินชีวิต ถึงกระนั้น "เวลา" หาได้มีอิทธิพลต่อ "ความดี" หรือ "ความชั่ว" ภายในของเราไม่ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอื่นไปไม่ได้ หากเราไม่ใช้เวลาที่เราสมมติมาเป็นเครื่องมือ "รับใช้" การพัฒนาคุณค่าภายใน หรือความดีความงามของเรา รวมไปถึงพฤติกรรมการคิด การพูด หรือการทำของเรา
    เมื่อมองย้อนไปกลับหาวัน และเวลาในอดีต หากมีสิ่งใดผิดพลาด หรือบกพร่องอันเกิดจากการไม่รู้เท่าทัน หรือขาดประสบการณ์ในการคิดวิเคราะห์ ขอได้โปรดนำประสบการณ์ที่ "เลวร้าย" หรือ "ความบกพร่อง" มาเป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเอง หรือยกระดับจิตของตนเองให้เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น ดังพุทธพจน์ที่ว่า "จงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท" ด้วยการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง ฉะนั้น "จงนำอดีตมารับใช้ปัจจุบัน แต่อย่านำอดีตมาครอบงำปัจจุบัน"

    นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนพวกเราด้วยความห่วงใยว่า "วันคืนล่วงเลยไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่” ประเด็นคือ “วันคืนเคลื่อนคล้อย ชีวิตเหลือเหลือน้อยลงทุกวัน" คำถามคือ หากปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ สิ่งแรกที่เราปรารถนาจะทำคือ "การได้อยู่กับลมหายใจของตนเองอย่างมีสติ"

    สิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดคือ "ลมหายใจ" และในขณะเดียวกัน "ลมหายใจ" ได้ทำหน้าที่ในการหยิบยื่น "ชีวิต" ให้แก่เรา แทนที่เราจะสนใจ หรือใส่ใจอยู่ทุกเวลาและนาที รวมไปถึงการให้ความสำคัญโดยการกล่าวคำว่า "ขอบคุณลมหายใจ" ในวันใหม่ หรือปีใหม่ แต่เรากลับหลงลืมที่จะใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ และหลายสถานการณ์เรากลายเป็นคน "อกตัญญูต่อลมหายใจของเราเอง" อย่างไม่น่าเชื่อและไม่น่าให้อภัย

    ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงย้ำเตือนเราทุกคนว่า "หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้" ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ ทำงาน และทำกิจกรรมอื่นๆ หากเมื่อใดก็ตาม เราหลงลืมกัลยาณมิตรของเราโดยไม่รู้ว่าเรากำลังหายใจ คำถามคือ เราจะต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว เพราะลืมหายใจหนึ่งวินาที ก็เหมือนกับว่าเรากำลังตายหนึ่งวินาที หากลืมหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน เราก็ตายหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวันเช่นกันตามพุทธพจน์ที่ว่า "คนขาดสติเหมือนคนที่ตายแล้ว"

    เมื่อใดก็ตามที่เราใส่ใจต่อกัลยาณมิตรของเราโดย "กตัญญูต่อลมหายใจของเรา" หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ซึ่งเป็นการระลึกนึกถึงกัลยาณมิตรของเราตลอดเวลาเช่นนี้ เมื่อนั้น เราจะได้รับ "ความตื่น" และ "เบิกบาน" มาเป็น "ของขวัญ" แก่ชีวิตของตนเอง และแล้วเราจะพบว่า "ความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"









    </TD></TR><TR><TD width="100%" align=left>(ที่มา: บทความทางวิชาการ)</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=m12 width="100%" align=right>ผศ.ดร. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, (2554)</TD></TR><TR><TD class=m12 width="100%" align=left>
    ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ

    มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    หลักสูตรประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ
    การจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะโดยสันติวิธี
    รุ่นที่ ๒ สถาบันพระปกเกล้า​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2011
  2. Aoykub

    Aoykub สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +3
    บทความนี้ดีมากเลยค่ะ:cool:
     
  3. nong_cm

    nong_cm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    721
    ค่าพลัง:
    +4,975
    จงโปรด "รักอย่างมีสติและปัญญา" เพราะสองสิ่งนี้ จะทำให้เราหลุดพ้นไปจากความกลัว หวาดระแวง และหยาดน้ำตา

    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ
     
  4. eternty93

    eternty93 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +50
    ดีจริงๆเลยครับ ^^ ขออนุโทนาบุญด้วยคนนะครับ ^^
     
  5. azuminami

    azuminami เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +230
    ขอบคุณมากครับ ได้ข้อคิดดีๆ และมุมมองใหม่ๆ เยอะเลย
     
  6. bowondet surin

    bowondet surin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +7
    ความรัก...หามาทั้งชีวิต ไม่เคยพอ
     
  7. nong_mook

    nong_mook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    4,101
    ค่าพลัง:
    +8,060
    ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติพร้อมด้วยปัญญา"

    "ความรัก" ต้องวางอยู่บนรากฐานแห่งความมีสติ รักอย่างมีปัญญา เพราะจะทำให้ผู้รักมีความสุข เป็นอิสระ ไม่มีจิตใจที่คับแคบ ที่จะผูกมัดรัด "เขา" เอาไว้เป็นของ "เรา" คงต้องหันกลับมามองความรักกันใหม่ เริ่มจาก "ใจ" ของเราก่อน ลองหันกลับมามองตัวเองอย่างจริงใจ และมีเมตตา ว่าเรา "รัก" ตัวเราเองเป็นหรือเปล่า

    ลองมองดูซิว่าเราดูแลกาย จิตและวิญญาณ ของเราดีอยู่หรือไม่ เราเบียดเบียนตัวเราเองจนเกิดทุกข์บ้างไหม เราต้องเริ่ม "รัก" ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ถ้าเรา "รัก" ตัวเรา เราจะมีเมตตาต่อตัวเอง

    เราจะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใจของเราให้ขุ่นมัว แล้วเราจะรักตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่ระมัดระวังใจเราอย่างดีใจอย่างนี้จะเข้มแข็งและมีพลังแห่งความรักกว้างขวางยิ่งใหญ่

    ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติ" พร้อมด้วยปัญญา จะต้องไม่ติดอยู่ในความหลงไหลไร้สติที่มุ่งคิดแต่จะให้เขากลับมาตอบสนองเรา เราจึงจะมีความสุข เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เรานั่นเองแหละที่จะเจ็บปวดและเกิดทุกข์

    จงเป็นสุขที่ได้รักเถิด รักอย่างไม่มีเงื่อนไข รักอย่างไม่คิดยึดครองไว้เป็นของตน และรักอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ถ้าทำได้ จะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่คับแคบหากแต่ งดงามอย่างกว้างขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ

    รักใด ยิ่งรัก ยิ่งทุกข์ ตายอยู่บนกองทุกข์ อย่าบุกต่อ รักใด ยิ่งรัก ยิ่งหมดทุกข์ เยือกเย็น อยู่เหนือทุกข์ ขอให้รุก ให้ดี

    บทความจากหนังสือ เพื่อนทุกข์ ๒ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

     
  8. agga

    agga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2010
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +148
    อนุโมทะนาครับ
     
  9. เพียงหนึ่ง

    เพียงหนึ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +56
    พบคำตอบให้ตัวเองอีกแล้ว จากปัญหาที่เป็นอยู่ เรารู้แค่ว่าความรักมีมากมายต่อบุคคลที่เรารัก เกิดความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งทีเรารัก เหมือนร่างกายแบกอะไรที่หนักๆขึ้นบนหลังโดยไม่รู้ตัว หากเลือกที่จะปล่อยให้ความรักเป็นอิสระ ตามทางที่ถูกต้อง และควรกระทำ เราก็จะไม่รู้สึกว่า การรักใครสักคนไม่ใช่จะรอให้ได้รับความรักตอบแทนมา แต่ต้องรู้จักรักให้เป็น จึงจะพบทางสว่างแห่งรัก
    ขอบคุณคะสำหรับข้อคิดดีๆพรุ่งนี้จะไปทำบุญวันมาฆบูชา ในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ได้เกิดมาในร่มพุทธศาสนา
     
  10. jeerapatmatemart

    jeerapatmatemart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +224
    อนุโมทนากับบทความอันมีค่า
    สวัสดีวันแห่งความรัก
    ขอให้ทุกคนมีความรักแบบรักแท้
    แล้วโลกจะมีแต่ความสุข
    rabbit_jump
     
  11. Buatham

    Buatham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +47
    ถ้าไม่ได้ธรรมะ เราก็คงไม่เข้าใจบทความนี้หรอก
     
  12. ธรรรมหรรษา

    ธรรรมหรรษา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

    ๑. ท่าน (ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์ที่จะนำเสนอสิ่งดีๆ) ที่นำ "บทความของอาตมามานำเสนอไว้ในเวปพลังจิต" เพื่อให้ผู้อ่านได้มีโอกาส "แลกเปลี่ยนมุมมองดี" และ "ร่วมแบ่งปันความรัก" ในวันแห่งรักเฉกเช่นวันมาฆบูชา (โดยปกติแล้ววันไหนๆ ก็เป็นวันแห่งความรักทั้งสิ้น แต่วันนี้อาจจะพิเศษมากยิ่งขึ้น)

    ๒. ท่านผู้อ่านทุกท่านที่ไ่ม่สามารถเอ่ยนามได้ ที่ได้มีโอกาสเข้าไป "ทักทายและชิมรสแห่งธรรม" เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ และอาจจะนำไปแลกเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองในโอกาส และสถานการณ์ต่างๆ ต่อไป

    แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า การให้ธรรมอยู่ชนะย่อมให้ทั้งปวง แต่ถึงกระนั้น ธรรมะใดๆ ย่อมไร้ค่า ถ้าไม่นำไปสู่การกระทำ (ธรรมเพื่อทำ) และขอให้ธรรมะที่ทุกท่านได้ประพฤติปฏิบัตินั้นได้โปรดนำท่านไปสู่ "การรู้ ตื่น และเบิกบานบนสายธารแห่งรัก"

    ด้วยสาราณียธรรม

    พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
     
  13. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    อนุโมทนาด้วยค่ะ และขอบพระคุณที่นำมาโพสท์ให้ได้อ่านด้วยนะคะ เตือนสติ เตือนใจได้ดีเลยค่า ขออนุญาตแชร์นะคะ สาธุค่ะ _/|\_
     
  14. chans

    chans Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +68
    อ่านแล้วทำให้เกิดปัญญา มองเห็นความจริงบางอย่าง ที่ต้องรับมันให้ได้ เพราะมันควรจะเป็นแบบนั้น อนุโมทนาเจ้าของกระทู้และผู้เขียนบทความครับ
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ....

    ความดีอันเป็นปฐมนั้นต้องยกพระอาจารย์ท่านได้เมตตาเขียนบทความทางวิชาการอันได้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน เพื่อการศึกษาธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...เพื่อที่จะประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตนี้ได้อย่างผาสุข....

    ความดีต่อมาต้องยกให้กับเวบพลังจิต ที่ได้เห็นความสำคัญในบทความที่ดีและตลอดจนเสนอหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ตลอดระยะเวลาที่ได้นำเนินเปิดเวบมาจนถึงปัจจุบัน.....

    กระผมได้อ่านบทความของพระอาจารย์จากเวบของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย...ได้เห็นว่ามีประโยชน์อย่างสูง...จึงได้นำมาเผยแผ่ในที่นี้....ซึ่งกัลญาณมิตรทุกท่านก็เห็นพ้องต้องกัน...ถ้าจะเป็นไปได้...ผมในฐานะของพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง...ขอกราบอาราธนาพระอาจารย์....ได้เมตตาเขียนบทความที่มีคุณค่าอย่างนี้ขึ้นมาอีก...เพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่มหาชน...จะได้ศึกษา เพื่อเป็นหลักใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทางและตามธรรม..........

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    กราบนมัสการ

    Phanudet.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  16. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,490
    นมัสการ ผศ.ดร. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
    ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    อนุโมทนาและยินดีต้อนรับที่พระคุณเจ้ามาเยี่ยมเยียนและร่วมเป็นสมาชิกเว็บพลังจิตครับ

    นิมนต์พระคุณเจ้าตามอัชฌาสัยครับ

    นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด.
     
  17. ธรรรมหรรษา

    ธรรรมหรรษา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    เจริญพร โยม Phanudet และทีมงานผู้ดูแลเวป,

    ๑. บทความของอาตมาที่โพสต์ในเวปวิชาการของมจร. นั้น ดูประหนึ่งว่า "อุดมไปด้วยเนื้อหาของวิชาการ" แต่ต้องขอบใจมากที่โยมสามารถนำบทความนี้มา "สร้างมูลค่าเพิ่ม" ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มภาพ เน้นคำที่ควรเน้น แสดงว่าโยมเป็นนักอ่าน จะเห็นได้จากการจับประเด็นได้เก่งจนสามารถทำให้ผู้อ่านได้เห็นประเด็นชัดเจน มากยิ่งขึ้น

    ๒. ปกติแล้วอาตมาเขียนบทความอยู่อย่างสม่ำเสมอ บางครั้งเนื้อหาของบทความนั้น เป็นไปเพื่อการตอบสนองความอยากรู้ของตัวเองบ้าง ตอบปัญหาทางสังคมบ้าง และนำเสนอประเด็นต่างๆ ที่สอดรับกับความเป็นไปของเทศกาลสำคัญๆ บ้าง และเนื้อหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่บล๊อกของอาตมา ประวัติ - ธรรมหรรษา และ youtube http://www.youtube.com/hansa1536 ซึ่งในบล๊อกนี้จะมีเนื้อหาด้านต่างๆ เกี่ยวกับวิชาการ การทำงาน และประเด็นอื่นๆ ที่อาตมาพยายามจะนำมาแบ่งปันกับชุมชนแห่งนั้น เพื่อไม่ให้สิ่งที่เราทำตายไปกับเรา แต่ต้องการให้เป็น "ธรรมเจดีย์" เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและต่อยอด

    ๓. ในขณะเดียวกัน ในร้านหนังสือศูนย์ธรรมศาสตร์ หรือมจร. มีหนังสือของอาตมาวางอยู่สามสี่เล่ม เช่น การบูรณาการพุทธิปัญญาเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม พุทธจักรวาลวิทยา และพุทธสันติวิธี

    ๔. อาตมาต้องขอบใจทั้งโยมเองที่พยายามนำเนื้อหาของบทความมาเน้น เพื่อให้คนอ่านได้ทั้งแง่มุมทางอารมณ์ (Emotion) และแง่มุมที่สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ (Function)

    ๕. ขอบใจ ทีมงาน "เวปพลังจิต" ที่เห็นความสำคัญและเปิดพื้นที่ให้ "บทความนี้" ให้ผู้อ่านและสมาชิกได้เรียนรู้ แบ่งปัน และนำไปประยุกต์ใช่และต่อยอดทางความคิด ลูกศิษย์ของอาตมาเรียนในระดับปริญญาโท และเอกของมหาจุฬาฯ จำนวนมากเป็นสมาชิกของเวปพลังจิต และนำสิ่งดีๆ ในเวทีแห่งนี้ไปกล่าวถึงในห้องเรียนอยู่เสมอ ขอแสดงความชื่นชมทีมงาน และเจ้าของเวปที่พยายามสร้าง "ลานธรรมในโลกไอที" เพื่อให้เป็น "ลานปัญญา" เพื่อให้เราได้ร่วมกันแบ่งสุขและทุกข์ พร้อมทั้งนำพาสิ่งดีๆ ไปใช้ชีวิต และการงานต่อไป

    ๖. ขอบใจอีกครั้งสำหรับกัลยาณมิตรทุกท่านที่ให้กำลังใจทั้งเจ้่ากระทู้และเจ้่าของบทความ

    ขอบคุณบุญ ความดี บารมีทั้งมวลที่นำพาพวกเรามาพบกัน "บนลานธรรมของพลังจิต" ในครั้งนี้

    ด้วยสาราณียธรรม

    พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  18. puttro

    puttro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +66
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนพวกเราด้วยความห่วงใยว่า "วันคืนล่วงเลยไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่” ประเด็นคือ “วันคืนเคลื่อนคล้อย ชีวิตเหลือเหลือน้อยลงทุกวัน" คำถามคือ หากปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ สิ่งแรกที่เราปรารถนาจะทำคือ "การได้อยู่กับลมหายใจของตนเองอย่างมีสติ"

    สิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดคือ "ลมหายใจ" และในขณะเดียวกัน "ลมหายใจ" ได้ทำหน้าที่ในการหยิบยื่น "ชีวิต" ให้แก่เรา แทนที่เราจะสนใจ หรือใส่ใจอยู่ทุกเวลาและนาที รวมไปถึงการให้ความสำคัญโดยการกล่าวคำว่า "ขอบคุณลมหายใจ" ในวันใหม่ หรือปีใหม่ แต่เรากลับหลงลืมที่จะใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ และหลายสถานการณ์เรากลายเป็นคน "อกตัญญูต่อลมหายใจของเราเอง" อย่างไม่น่าเชื่อและไม่น่าให้อภัย


    ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงย้ำเตือนเราทุกคนว่า "หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้" ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ ทำงาน และทำกิจกรรมอื่นๆ หากเมื่อใดก็ตาม เราหลงลืมกัลยาณมิตรของเราโดยไม่รู้ว่าเรากำลังหายใจ คำถามคือ เราจะต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว เพราะลืมหายใจหนึ่งวินาที ก็เหมือนกับว่าเรากำลังตายหนึ่งวินาที หากลืมหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน เราก็ตายหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งวันเช่นกันตามพุทธพจน์ที่ว่า "คนขาดสติเหมือนคนที่ตายแล้ว"

    เมื่อใดก็ตามที่เราใส่ใจต่อกัลยาณมิตรของเราโดย "กตัญญูต่อลมหายใจของเรา" หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ซึ่งเป็นการระลึกนึกถึงกัลยาณมิตรของเราตลอดเวลาเช่นนี้ เมื่อนั้น เราจะได้รับ "ความตื่น" และ "เบิกบาน" มาเป็น "ของขวัญ" แก่ชีวิตของตนเอง และแล้วเราจะพบว่า "ความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง"
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ค่ะ
     
  19. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    กราบนมัสการพระอาจารย์ครับผม....
     
  20. Boobu_Pika

    Boobu_Pika สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +12
    ดีจังกัลยาณมิตรที่แท้ คือลมหายของเรานี่เอง เราไปหลงแสวงหา รอคอยที่อื่น คนอื่น ตั้งนาน ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆ คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...