การฆ่าตัวตายของคนเป็นโรคที่ไม่มีวันหาย คนที่คิดว่าเป็นบาปถือว่าเป็นอัตตาหรือไม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย bettomoto, 5 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. bettomoto

    bettomoto สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    สมมติ ถ้ามีคนป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หาย และไม่สามารถช่วยตนเองได้
    และไม่เหลืออนาคตที่ดีอยู่ข้างหน้า อยู่ด้วยความเจ็บปวดทรมาน ญาติต้องมาเฝ้าคอยดูแล และใช้เงินรักษาของตระกูลเป็นจำนวนมาก

    โดยการมีชิวิตอยู่ตนก็เป็นทุกข์ทางกาย
    ส่วนคนรอบข้างที่เฝ้าดูก็เป็นทุกข์ทางกาย ทางใจ และทางทุนทรัพย์
    คนเฝ้าไม่ได้ไปทำงานทำการ
    ต้องมาคอยดูแลรักษาอาการป่วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำลายอนาคตของเขาในการใช้ชีวิตอย่างมีสุขกลับต้องมาดูแล

    ในกรณีการปลิดชีพ ตัวเองถือว่าเป็นบาปหรือไม่
    ถ้าคิดว่าบาป อัตตาตัวเองทำให้คิดว่าบาป แต่ถ้าไม่ยึดติดเป็นอนัตตาก็ไม่บาป

    ดังเช่นนักรบในอดีต ที่ปลิดชีพอริราชศัตรู ยังได้แต่งตั้งเป็นเทพเจ้า
    ส่วนเราปลิดชีพตนเอง เพื่อรักษาสมดุลในวงจรชีวิต ทำให้เผ่าพันธุ์ตระกูล สามารถเดินหน้าอย่างไม่สะดุด

    เพราะในอดีต การแพทย์ยังไม่ดี คนที่อ่อนแอย่อมไม่สามารถมีชีวิตรอดได้
    แต่ในปัจจุบัน การแพทย์ดี ทำให้ต้องอยู่ทนทรมานนานขึ้น

    การคิดแบบนี้แล้วถือว่าเป็นบาป เพราะเรายึดตึดว่ามันเป็นบาปใช่หรือไม่

    พอดีได้ดูเรื่องโลก พระอาทิตย์ จักรวาล และใหญ่กว่าจักรวาล

    ชีวิตมนุษย์มันช่างด้อยค่า เล็กมากจน แทบคิดว่าเหมือนผงธุลี
    ทุกสิ่งที่เราเป็น มันถูกคิดว่าเป็นอัตตาทั้งสิ้น ถ้าโลกดับสูญ ศาสนา คำสอนก็ดับสูญ พระเจ้าก็ดับสูญ ทุกสิ่งอนัตตา เพียงแต่เรายึดติดไปเอง
     
  2. max77

    max77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +493
    ก็เพราะคิดแบบนี้ ผลแห่งความคิดก็ออกมาแบบนี้...
     
  3. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    การฆ่าเป็นบาปตามศีลข้อที่1 ตามหลักทางพุทธศาสนา ยิ่งการฆ่าตัวเองก็ในเมื่อเขาให้คุณมาเกิดเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจากอดีตกาล เพื่อสั่งสมบุญบารมีติดตัวไปก่อนละจากโลกนี้ หากจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราในชาตินี้ก็ต้องทำใจยอมรับและชดใช้มัน ไม่ใช่ไปเพิ่มบาปอีก แล้วจะเวียนว่ายอยู่แบบนี้ล่ะหรือ มันไม่ใช่การยึดติดอะไรเลย ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเองฝ่ายคนเฝ้าเขาก็อาจติดค้างที่จะต้องมาชดใช้คุณเลยต้องมาดูแลกัน เกื้อกูลกัน ชีวิตเป็นของมีค่า มากกว่าเงินทอง ไม่ตายก็หาได้ใหม่ ชีวิตจบแล้วก็แค่สังขาร แต่บาปที่คิดจะทำ..แค่คิดก็สยองแทนแล้ว..ชีวิตหลังความตาย..ยังอีกยาวไกล..หากไม่มีบุญกุศลติดตัวไปขออย่าได้คิด...หาหนังสือดีๆมาอ่านดีกว่าคิดฟุ้งซ่าน..ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย..
     
  4. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    -การที่ญาติพี่น้องมีโอกาสที่ได้ดูแลคนป่วยใกล้ตาย แม้ทำให้เสียเวลาแต่ก็ได้โอกาสอันดีในการพิจารณาธรรมว่า เราเองก็มีความแก่เป็นธรรมดา เราเองก็มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราเองก็มีความตายเป็นธรรมดา ควรที่เราจะเจริญกุศลละทิ้งอกุศล
    ผมเห็นหลายคนที่ดูแลญาติพี่น้อง พ่อแม่เวลาใกล้ตายมักจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ส่วนคนที่ทิ้งญาติพีน้องพ่อแม่ที่ป่วยหนักใกล้ตาย เดิมก็เลวอยู่แล้ว กลับยิ่งเลวหนักขึ้นไปอีก

    -บาปหรือไม่บาปพิจารณาดังนี้ การกระทำใดๆด้วย โลภะ โทสะ โมหะ การกระทำนั้นเป็นบาปอกุศล การกระทำนั้นมีผลไม่น่าปราถนา

    -ผู้รู้แจ้งอนัตตาทำอะไรก็ไม่บาปจริง แต่เพราะท่านไม่ยึดมั่นท่านจึงไม่ทำบาปด้วย
    สมมติว่า ผมเอาหอกแทงหูซ้ายทะลุหูขวาคนเหล่านั้น ท่านก็ไม่หวั่นไหวไม่ทุกข์ใจไปกับสิ่งเหล่านี้(เพราะท่านไม่ยึดมั่นในสุขทุกข์)เพราะท่านเหล่านั้นมีใจเหมือนแผ่นดิน ท่านเหล่านั้นยังคงมองผมด้วยความเมตตาเอ็นดูเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ผู้รู้แจ้งในอนัตตาจึงไม่คิดฆ่าตัวตายแน่นอน

    -จริงๆ เวลาเจ็บหนักป่วยหนักใกล้ตายเป็นโอกาสอันดีที่จะพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้า ว่า ขันธ์5 คือทุกข์ ตัณหาและกรรมเป็นเหตุให้เกิดขันธ์5 ความดับไปไม่เหลือซึ่งขันธ์5 เป็นสุข ทางให้ถึงความดับคือมรรคมีองค์ 8 ควรทำให้เจริญ

    -ในอดีตมีพระที่ใกล้ตายแล้วบรรลุอรหันต์ไม่น้อยเลยครับ ในสมัยพุทธกาลเคยมีพระไปธุดงด์เป็นกลุ่ม ตกดึกก็แยกกันไปทำกรรมฐาน มีพระรูปหนึ่งถูกเสือคาบไป พระรูปอื่นๆก็ช่วยกันไล่ตาม ปรากฎว่าเสือมันกระโดดข้ามหน้าผาไปได้ พระเถระผู้ใหญ่จึงให้โอวาทพระรูปนั้นว่า "กิจที่พวกผมจะทำให้ท่านไม่มีแล้ว แต่มรรคผลของสมณะย่อมเกิดในเวลาเช่นนี้" พระรูปนั้นจึงตั้งขันติข่มความทุกข์จากเสือตัวนั้นพิจารณาธรรม ตอนถูกกินข้อเท้าบรรลุเป็นพระโสดาบัน ตอนถูกกินถึงเข่าเป็นพระสกทามี ตอนถูกกินท้องเป็นพระอนาคามี ตอนถูกกินใกล้ถึงหัวใจเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานถัดจากนั้น

    -ชีวิตของมนุษย์เป็นสิ่งมีคุณค่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก พระพุทธเจ้าท่านเคยอุปมาว่า เหมือนเต่าตาบอดในมหาสมุทร ตลอด 100 ปี จะโผล่หัวขึ้นมาซักครั้ง มีบุรุษผู้หนึ่งโยนแอกช่องเดียวลงไปในมหาสมุทร การที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะสอดหัวเข้าไปในแอกเป็นเรื่องยาก แต่การเกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่งกว่านั้นอีก

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  5. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    ทางสายกลางครับ

    เลือกเดินทางสายกลางให้ถูก อย่าไปปฏิเสธอัตตามากจนเกินไป อันนั้นยังไม่ใช่ทางสายกลางครับ

    อันกายเรานี้ปล่อยให้มันเสื่อมสภาพมันลงไปเอง หากท่านไม่เดินทางสายกลางไปปฏิเสธมันด้วยการฆ่าตัวตาย มันก็จะเป็นกรรมในเรื่องของการฆ่าตัวตายไปซะอีก

    ถึงร่างกายนี้จะป่วยไข้ แต่ใจเรานี้ไม่เคยป่วย
    พิจารณาให้เห็นว่าขนาดร่างกายเราป่วยไปไหนไม่ได้ แต่ใจกลับครุ่นคิดวนเวียนไม่หยุดนิ่ง

    *** พิจารณาให้เห็นความจริงครับ อย่าหนีกรรมด้วยการสร้างกรรมเพิ่ม

    *** อย่าไปส่งจิตออกนอกคิดถึงเรื่องอื่นๆเลยครับ เช่นในที่นี้ก็คือ เรื่องของคนรอบข้าง คุณเองก็ไม่ต้องไปสนใจครับ เค้าเลือกที่จะทำดี ก็ให้เค้าทำไป ถ้าเค้าไม่อยากทำเค้าย่อมไม่ทำครับ
     
  6. i dreamed a dream

    i dreamed a dream สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +2
    ใครจะไปคิดแบบนั้นได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มาคิดชั่วขณะแบบนั้นไม่ได้หรอก อกุศลกรรมบังหมด ลงนรกอย่างเดียว
    คิดดูหลวงตามหาบัวท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายท่านก็ยังอยู่ต่อ แต่คนทั่วไปทำได้มั้ยล่ะคิดว่าเป็นโรคก็อยากตาย
    ตอนไม่เป็นสนุกสนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  7. bettomoto

    bettomoto สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    สรุปคือปล่อยวางอย่าไปยึดตึด
    แม้เราจะต้องนอนเป็นผัก ก็ยอมรับสภาพ เพราะถือเป็นกรรมในอดีตที่เราได้ก่อไว้ ใช่หรือไม่

    แล้วการที่เกิดเป็นมนุษย์มันยากขนาดนั้น ตามที่ Tusinqiqu ว่า แต่ทำไมทุกวันนี้ประชากรมันถึงได้เพิ่มขึ้นมากจนล้นโลก บางประเทศถึงขนาดต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้หละครับ

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็น มีคนกล่าวว่าเป็นสัจธรรม แต่ท่านก็บอกเองว่าเป็นกาลามสูตร อย่าเชื่อเพราะเขาเล่าว่า บางอย่างผมได้อ่านก็ยังไม่เข้าใจ จนถึงทุกวันนี้

    อย่างเช่นเรื่องภพชาติของพระพุทธเจ้าในอดีต ว่าเคยปฏิบัติมากี่ชาติ กี่อสงไขย ระยะเวลานานขนาดนั้นใครเป็นคนที่จำได้ หรือบันทึกได้ แล้วเอามาเล่าว่าชาติที่แล้วท่านเป็นอะไร หรือท่านเป็นคนเล่าเองให้ลูกศิษย์ฟัง อย่างเช่น ก่อนที่จะบำเพ็ญเพียร เป็นพระพุทธเจ้า ชาติก่อนเคยเกิดเป็นสัตว์บ้าง เป็น นั่นโน่น นี่ บ้าง

    ผมขอข้อกระจ่างด้วยครับ ถือว่าแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดปัญญา
    ความคิดอาจจะฟุ้งซ่านบ้าง แต่ก่อนที่ไอน้ำจะกลั่นเป็นเม็ดฝน
    ไอน้ำมันย่อมฟุ้งกระจายในอากาศก่อนมิใช่หรือ
     
  8. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Tusinqiqu<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4343173", true); </SCRIPT>

    เห็นด้วยกะคุณคนนี้ค่ะ
    อ่านชื่อไม่ออก

    ว่าอยู่ต่อไปเหอะ เรื่องตาย ยังไงก็ตายแน่ละ
    แต่อยู่ต่อ ให้เป็นเนื้อนาบุญแก่ คนที่ดูแลก็จะได้แสดงความกตัญญู ทำนองนี้ละ

    เรื่องเปลืองตังค์ก็ไม่ต้องห่วง ถ้าใช้ในทางที่ดี ทางข้างหน้าลูกหลานย่อมมีทางเจริญขึ้นได้
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คุณกำลังคิดว่าความเชื่อเรื่องบาป หรือคุณธรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่พูดกันเพื่อให้คนหลง
    เชื่อทำความดี ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม คุณคิดว่าตามความเป็นจริงแล้วสิ่ง
    เหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ศาสดาทั้งหลายแต่งเรื่องมาหลอกกันอย่างนั้นหรือ
    เปล่า และคุณคิดว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา คือ ไม่มีอะไรที่มีความหมายอะไรเลย คุณเลยมี
    ความคิดที่ชีวิตของตัวเองก็ไม่มีความหมาย แทนที่จะต้องนอนป่วยมีสภาพเหมือนผัก
    ดูแลตัวเองไม่ได้ ก็ตายเพื่อคนอื่นดีกว่า แต่คุณก็ยังสงสัยว่าฆ่าตัวตายบาปหรือเปล่า
    คุณก็เลยหาคำตอบที่มันดูจะเข้าท่าและไม่น่าจะมีใครโต้แย้งได้ ทุกอย่างเป็นอนัตตานะ
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่คุณก็มองเห็นความจริงแค่ส่วนเดียว
    เท่านั้น มันแปลกดีที่คุณมองเห็นความจริงแต่ส่วนที่มันเข้าข้างตัวเอง ความจริงที่มันสนับ
    สนุนในสิ่งที่คุณอยากจะทำ แล้วสมมติผมบอกว่าเมื่อคุณตายไปแล้วต้องตกนรกแบบนี้ ก็
    เป็นอนัตตาด้วยหรือเปล่า แน่นอนเป็นอนัตตา เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วถ้าคุณ
    ต้องโดนทรมาณโดนฆ่าตาย ตายแล้วเกิดใหม่โดนทรมาณต่อไปเป็นร้อยเป็นพันชาติ แบบ
    นี้ก็เป็นอนัตตานะ แต่คุณยอมรับได้จริงๆ หรือครับ คนเราจะยอมรับความจริงในด้านที่มัน
    สะดวกสบายเท่านั้น แต่ความจริงมันก็ยังมีด้านที่ไม่สบายเท่าไหร่ที่คนมักมองข้ามไปเลย
    มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าคุณจะมองเห็นความจริงตามเป็นจริง จริงๆ ไม่ใช่เอาความจริงส่วนนั้น
    ส่วนนี้มาประติด ประต่อกันสร้างความจริงของตัวเอง เลือกจะเชื่อแต่เรื่องที่มันดูเข้าท่า
    เพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง ผมพอจะเดาได้ว่าตอนนี้คุณคงจะทุกข์ใจมาก แต่การคิดเข้า
    ข้างตัวเองมันไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอกครับ และเชื่อผมเถอะว่าคุณไม่มีทางหนีอะไร
    ได้หรอก คุณจะเจอแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ มันเป็นผลของกรรม ผมก็เคยลองหนีแล้วมันหนีไม่ได้
    หรอกครับ เรื่องของกรรมมันไม่ใครเขียนบทขึ้นให้เราเล่นตาม วันดีคืนดีเราไม่เล่นตามกฎแล้
    เราจะไม่ต้องรับกรรม ไม่ใช่นะครับ คุณต้องมองเห็นว่ามันจริงหรือเปล่า แล้วก็ตัดสินใจสิครับ
    ว่าจะหนีหรือว่าจะรับ แต่ถ้าคุณคิดที่จะหนีผมแนะนำให้คุณทบทวนดูให้ดี ถ้าคุณคิดว่าคุณหนี
    แล้วจะมีอนาคตที่ดี มีความสุขมากกว่าเดิม ดีขึ้นแบบพลิกชีวิตไปเลย ผมว่าคุณคงเข้าใจผิดแล้ว
     
  10. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ถ้าตัดอารมณ์ข้องเกี่ยวในโลกนี้ได้ ไม่ใช่ว่าตายเพราะอยากเกิดใหม่ให้ดีกว่าเดิม เพราะส่วนมากอารมณ์ตอนฆ่ามักจะเศร้าหมอง แม้จะเคยมีพระในสมัยพุทธกาลฆ่าตัวตายเพื่อเข้านิพพานแต่ก็ได้ยินน้อยมาก เพราะจะทรงอารมณ์ที่ถูกต้องได้ยาก สรุปก็คือ การทรงอารมณ์ก่อนตาย เป็นกุญแจไขไปสู่ภพภูมิต่อไป ถ้าอารมณ์ดีก็ไปสุคติ ถ้าอารมณ์ไม่ดี เช่น เศร้าหมอง โกรธ เคียดแค้น อาฆาต ก็จะไปทุคติ
     
  11. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ตอบคุณ bettomoto

    -ใช่ครับ เราไม่ควรยึดมั่นแต่การที่เรามีขันติอดทนไม่ได้แปลว่าเราพ่ายแพ้กรรมในอดีต เพราะความทุกข์เป็นสภาพธรรมชาติ คนมีบุญอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงพระประชวรก่อนปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีขันติคือผู้ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
    ดังนั้นถ้าเราอดทนต่อความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ เราก็คือผู้ชนะ

    -มนุษย์ไม่ได้ล้นโลกแต่อย่างใด พื้นที่กว่า 3/4 ของโลกเป็นพื้นที่รกร้างไม่มีผู้คนอาศัย
    เช่นใน ทะเล มหาสมุทร ป่าลึก ทะเลทราย แอตแลนติก ตอนในของออสเตรเลีย...แต่พื้นที่ที่ทารุณเหล่านั้น กลับมีสัตว์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเอาจำนวนมนุษย์บนโลก/จำนวนสัตว์บนโลก ผมว่าต้องน้อยกว่า 1/100000000 แน่ๆ

    -การขาดแคลน ในทางพุทธบอกเพราะมนุษย์กักตุนทรัพย์(ไม่ใช่แค่เงิน แต่รวมปัจจัย4 อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย) ไว้มากเกินไปจึงเกิดความขาดแคลน(เพราะบางคนเก็บได้ บางคนก็เก็บไม่ได้)
    ในทางเศรษฐศาสตร์ บอกเพราะ ทรัพยากรมีจำกัดแต่ความต้องการมีไม่จำกัด
    ซึ่งก็ถูกต้องทั้งคู่

    -กาลามสูตรเป็นเรื่องว่าควรเชื่ออย่างไร ไม่ใช่ว่าห้ามไม่ให้เชื่อ ใจความสำคัญของกาลามสูตรอยู่ในตอนท้ายดังนี้
    ...เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขเมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

    -ตามหลักฐาน ชาดกเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพระภิกษุด้วยพระองค์เอง ส่วนชาดกจะเป็นจริงหรือไม่ผมเองก็ไม่ทราบ แต่ถ้าคุณเห็นว่าชาดกที่คุณอ่านมีข้อคิดมีหลักปฏิบัติที่ดีก็ควรนำมาใช้

    จริงๆ การที่คุณจะอ่านชาดกและเชื่อถือได้เป็นการทดสอบการใช้หลักในกาลามาสูตรแบบเต็มๆ เพราะคุณจะใช้รูปแบบที่คุณเคยคิดเคยเรียนมาไม่ได้เลยเพราะท่านไม่ให้เชื่อดังนี้
    ๑.มา อนุสสเวนะ อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆกันมา
    ๒.มา ปรัมปายะ อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    ๓.มา อิติกิรายะ อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    ๔.มา ปิฏกสัมปทาเนนะ อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    ๕.มา ตักกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    ๖.มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    ๗.มา อาการปริวิตักเกนะ อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    ๘.มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    ๙.มา ภุพพรูปตายะ อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    ๑๐.มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อ เพียงเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    คุณควรจะเชื่อถือหรือไม่อยู่ที่คุณ ถ้าคุณพิจารณาแล้วเห็นว่าดีมีประโยชน์เป็นไปเพื่อ เกื้อกูลแก่ตนบ้าง ผู้อื่นบ้าง ทั้ง 2ฝ่ายบ้างก็ควรทิ้งความสงสัยแล้วนำไปใช้ไปปฏิบัติ ถ้าเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ก็ละทิ้งซะไม่ต้องไปสนใจ

    (ในหลายเรื่องๆ ของโลกนี้ ความคิดและการเข้าใจเชิงเส้นของมนุษย์ไม่อาจทำความเข้าใจได้ เช่น เรื่องของเวลา ,สิ่งที่เล็กมากๆ หรือสิ่งที่ใหญ่มากๆได้ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เป็นอดีตที่ย้อนไปนานมากบางครั้งก่อนเกิดจักรวาลนี้ด้วยซ้ำ หรือ สวรรค์ นรก ก็เป็นเรื่องเกินวิสัยที่มนุษย์จะคิดคำนวณได้)

    พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกพระอานนท์ว่า"ความสงสัยไม่อาจละด้วยการคิด แต่ละได้ด้วยการปฏิบัติให้มาก"

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...