เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชาติกำลังพัฒนาดึงลงทุนแซงตต.ครั้งแรก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]
    ยูเอ็นเผยประเทศกำลังพัฒนา ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
    รายงานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ระบุว่าการลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) โดยรวม ทรงตัวที่ระดับเกือบ 1.12 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว เทียบกับ 1.14 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี 2552 แต่ดิ่งลง 25 % จากระดับในปี 2548-2550 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงิน
    อย่างไรก็ตาม คาดว่าเอฟดีไอทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 1.3-1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ แต่จะได้รับแรงกดดันจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่สม่ำเสมอ นโยบายกีดกันการลงทุนจากต่างชาติ ความผันผวนของค่าเงิน และความกังวลเรื่องหนี้สินของรัฐบาล
    อย่างไรก็ดี บริษัทข้ามชาติในประเทศพัฒนาแล้วกำลังถือครองเงินสดสูงเป็นประวัติการณ์ราว 4-5 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดกันว่าจะมีการนำเงินสดดังกล่าวมาลงทุน
    ทั้งนี้ สหภาพยุโรป (อียู) ดึงดูดเอฟดีไอได้น้อยลง 19.9 % เมื่อเทียบกับปี 2552 ส่วนเอฟดีไอที่ไหลเข้าญี่ปุ่นดิ่งลง 83.4 % เหลือ 2 พันล้านดอลลาร์ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่บริษัทต่างชาติลดการลงทุนในญี่ปุ่น
    เอฟดีไอที่ไหลเข้าสหรัฐพุ่งขึ้น 43.3 % เป็น 1.86 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่บริษัทในเครือของต่างประเทศนำผลกำไรกลับมาลงทุน อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 2551
    ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และละตินอเมริกาดึงดูดเงินลงทุนได้อย่างแข็งแกร่ง โดยจีนดึงดูดเอฟดีไอได้สูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ทางด้านเอฟดีไอของฮ่องกงทะยานขึ้น
    สู่อันดับ 3 ด้วยปริมาณเงิน 6.26 หมื่นล้านดอลลาร์
    อย่างไรก็ดี เอฟดีไอที่ไหลเข้าอินเดียลดลง 31.5 % และเอฟดีไอที่ไหลเข้าทวีปแอฟริการ่วงลง 14.4 %

     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยอดปล่อยกู้จีนแซงหน้าธ.โลก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    ช่วง2ปีที่ผ่านมา จีนปล่อยกู้แก่ชาติกำลังพัฒนาสูงกว่าธนาคารโลก
    หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ รายงานว่า จีนปล่อยกู้ให้แก่ชาติกำลังพัฒนามากกว่ายอดปล่อยกู้ของธนาคารโลกในช่วง2ปีที่ผ่านมา ตอกย้ำความพยายามของทางการจีนที่จะเพิ่มอิทธิพลต่อโลกและสะท้อนถึงความต้องการแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของรัฐบาลจีนได้เป็นอย่างดี
    ทั้งนี้ ในปี2552 และ 2553 จีนได้ปล่อยกู้แก่รัฐบาลตลอดจนบริษัทต่างๆในประเทศกำลังพัฒนา เป็นเงินอย่างน้อย 110,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่ายอดปล่อยกู้ของธนาคารโลกที่จัดสรรให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาจำนวน 100,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการเก็บรวบรวมจากการประกาศต่อสาธารณชนของธนาคาร ผู้กู้ยืมหรือรัฐบาลจีน
    รัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งมีเงินทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศจำนวนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ มีนโยบายสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจในประเทศออกไปลงทุนด้านสินทรัพย์และด้านการจัดหาวัตถุดิบประเภทต่างๆมาตั้งแต่ปี 2552
    พร้อมทั้ง ส่งเสริมให้ธนาคารต่างๆอาทิเช่น ไชนา ดิวิล็อปเมนท์ แบงก์ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของจีน และธนาคารแบงก์ ออฟ ไชนา ขยายการให้บริการสินเชื่อแลกกับการได้ครอบครองแหล่งน้ำมัน ทั้งยังปล่อยกู้ให้แก่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคต่างๆในหลายประเทศ อาทิเช่น ในกานา และอาร์เจนตินา
    อย่างไรก็ตาม สื่อสิ่งพิมพ์ฉบับนี้รายงานด้วยว่า สัดส่วนการปล่อยกู้ของจีนที่สูงกว่าธนาคารโลก ทำให้ธนาคารโลกกำลังมองหาทางประสานงานกับจีนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดปัญหาการแข่งขันกันปล่อยกู้
     
  3. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิกฤตครัวไทยสู่ครัวโลก

    [​IMG]

    นายกสมาคมภัตตาคารไทย ระบุว่านอกจากร้านอาหารไทย
    ในสหภาพยุโรปประมาณ 2,000 ร้าน จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้แล้ว
    สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่พืชผักของประเทศคู่แข่ง จะเข้ามาแทนที่
    พืชผักของไทยที่ไม่สามารถส่งออกได้ และขอให้บทเรียนนี้เป็นสิ่งกระตุ้น
    ให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารในประเทศ
    หากต้องการบรรลุผลสำเร็จในเป็นครัวของโลก

    นางปวรวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย
    ยืนยันถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจร้านอาหารไทย
    จำนวนประมาณ 2,000 ร้าน 27 ประเทศ ในสหภาพยุโรปหรืออียู
    หากไม่สามารถส่งออกพืชผักที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ
    ของอาหารไทยได้ ซึ่งปัจจุบันอาหารไทยถึงว่าติด 1 ใน 5
    ของอาหารยอดนิยมของคนยุโรป จนมีวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า
    หากไม่สามารถส่งออกได้เป็นระยะเวลานาน เชื่อว่าพืชผักของไทย
    จะถูกแทนที่ด้วยพืชผักของประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งสำคัญ
    โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมไปถึง จีน
    ที่มีพืชผักพื้นบ้านคล้ายของไทย เพียงแต่รสชาติอร่อยไม่เท่ากัน

    นายกสมาคมภัตตาคารไทย ยังกล่าวด้วยว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ทางสมาคม
    ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ และจะส่งผล
    กระทบกับร้านอาหารทั่วโลก ดังนั้นถึงเวลาที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ตัวเกษตรกร
    ผู้ประกอบการ และกรมวิชาการเกษตร จะต้องกลับมาเอาจริงเอาจังและแก้
    ปัญหานี้ก่อนที่ประเทศ หรือภูมิภาคอื่นจะระงับการส่งออกพืชผักจากไทยเช่นกัน

    และที่สำคัญ นายกสมาคาภัตตาคารไทย ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันกลับมาดู
    ความปลอดภัยของอาหารไทย ที่มีความสำคัญมากกว่าต่างประเทศ
    หากไทยต้องการเป็นครัวของโลก เพราะหากแหล่งที่มาของอาหาร
    ยังมีความไม่ปลอดภัย ผู้บริโภคคนไทยยังเป็นพลเมืองประเภทสอง
    เชื่อว่าอย่างไรการเป็นครัวของโลกของไทยก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

    และทั้งหมดคือมุมมองของนายกสมาคมภัตตาคารไทย ที่ทั้งน่าสนใจ
    และมีแง่มุมที่ทุกฝ่ายควรหันกลับมามอง

    Produced by VoiceTV

    ที่มา : วิกฤตครัวไทยสู่ครัวโลก - Voice TV
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รีพับลิกันชนะโหวตเพิกถอนกฎหมายปฏิรูปประกันสุขภาพของโอบามา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 มกราคม 2554 09:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติเพิกถอนกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพของโอบามา
    เอเอฟพี/เอเจนซี - สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งมีพรรครีพับลิกันครองเสียข้างมาก ลงมติผ่านกฎหมายซึ่งจะเพิกถอนแผนปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา อันเป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่น่าจะถูกหยุดยั้งในวุฒิสภา

    เพียง 2 สัปดาห์หลังจากพรรครีพับลิกันยึดอำนาจในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ ส.ส.ก็ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 245-189 ผ่านมาตรการม้วนเก็บ กฎหมายยกเครื่องระบบประกันสุขภาพครั้งสำคัญ ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสชนะในวุฒิสภา และจากการวีโต้ของโอบามา

    การลงมติครั้งนี้มีขึ้นหลังการโต้เถียงเป็นเวลาหลายชั่วโมงเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งเป็นการรื้อระเบียบครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอย เกรท ดีเปรสชัน ในช่วงปี 1930 ในจำนวนชัยชนะของนโยบายภายนประเทศใหญ่ๆ ของโอบามา

    ขณะที่พรรครีพับลิกันประกาศจะเล่นงานนโยบาย และวาระต่างๆ ของประธานาธิบดีอย่างซึ่งๆ หน้า รวมถึงกาตรวจสอบรัฐบาลของเขา ด้วยหวังที่จะขัดขวางชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นวาระที่ 2 ในปี 2012

    ขณะที่การยกเลิกกฎหมายฉบับนี้โดยสมบูรณ์เกือบจะแน่นอนแล้วว่าล้มเหลว แต่ผู้นำพรรครีพับลิกันได้ให้ข้อสังเกตว่า พวกเขาวางแผนที่จะขัดขวางกระบวนการทางกฎหมายด้านเงินทุน ซึ่งจำเป็นในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย และยังจะโจมตีเป็นรายบุคคลด้วย

    นอกจากนี้ พวกเขายังจะควบคุมคณะกรรมการสำคัญในสภาผู้แทนฯ เพื่อให้ทางเลือกต่อแผนดังกล่าวแก่พรรครีพับลิกัน

    ด้านพรรคเดโมแครตวิจารณ์แผนของพรรครีพับลิกันว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า โดยว่าส.ส.ควรเน้นไปที่ความพยายามในการต่อสู้แก้ปัญหาการว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์

    Around the World - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นายธนาคารจอมแฉถูกจับกุมฐานมอบข้อมูลพวกเลี่ยงภาษีแก่วิกิลีกส์
    [​IMG]

    รูดอล์ฟ เอลเมอร์ อดีตนายธนาคารจอม(ขวา) เมื่อตอนส่งมอบซีดีจำนวน 2 แผ่น ซึ่งบันทึกข้อมูลบัญชีธนาคารของเศรษฐี, บรรษัทข้ามชาติ, กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากหลายประเทศ และนักการเมืองทั่วโลกราว2,000 รายที่หลีกเลี่ยงภาษีให้แก่ จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์(ซ้าย)

    เอเจนซี/เอเอฟพี - ตำรวจสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันพุธ(19) จับกุมนายรูดอล์ฟ เอลเมอร์ อดีตผู้อำนวยการธนาคาร ในข้อหาใหม่คือฝ่าฝืนกฎหมายความลับทางข้อมูล หลังมอบบันทึกข้อมูลบัญชีธนาคารของเศรษฐี บรรษัทข้ามชาติ กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากหลายประเทศ และนักการเมืองทั่วโลกราว2,000 รายที่หลีกเลี่ยงภาษีให้แก่วิกีลีกส์ ไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกตัดสินว่ากระทำความผิดลักษณะเดียวกัน

    "สำนักงานอัยการแห่งรัฐ กำลังตรวจสอบว่า นายรูดอล์ฟ เอลเมอร์ ละเมิดกฎหมายธนาคารสวิส จากกรณีส่งมอบซีดี 2 แผ่นแก่วิกิลีกส์หรือไม่" แถลงการณ์ร่วมของตำรวจและอัยการระบุ

    ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ศาลแห่งหนึ่งตัดสินว่า เอลเมอร์ อดีตผู้อำนวยการธนาคาร จูเลียส แบร์ บนหมู่เกาะเคย์แมนอาณานิคมโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ทำผิดกฎหมายรักษาความลับของธนาคารด้วยการเผยแพร่ข้อมูลลูกค้าและขู่กรรโชก อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาลงโทษเพียงปรับเงินอดีตนายธนาคารรายนี้เพียง 5,500 ยูโรเท่านั้น
    Around the World - Manager Online -
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722



    บางที่โอบาม่าอาจอยากเป็นวีรบุรุษ ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
    ทว่า ยามนี้ เขาเป็นได้แค่หุ่นเชิดที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
    ซึ่งเขาน่าจะรู้ตัวได้แล้ว นะ...
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัศจรรย์แห่งทุนนิยม หุ้นลาวติดลมบน แบงก์ราคาพุ่ง 80%
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 มกราคม 2554 17:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    โดย วุฒิพงษ์ หลักคำ-บุญญะสาร
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ทุนนิยมช่างน่าทึ่งเสียจริง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลาวแล่นลิ่วเป็นกระทิงเปลี่ยวติดกัน 6 วันรวดนับตั้งแต่เปิดการซื้อขายวันแรก ผู้ถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนที่มีอยู่เพียง 2 บริษัทมีความสุขกันถ้วนหน้า ยังไม่เคยมีครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ 35 ปีของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ที่ได้เห็นธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งสามารถทำกำไรได้มากมายและในเวลาอันรวดเร็วเช่นขณะนี้

    ดัชนี LSX ปิดสูงขึ้นอีก 53.84 จุด (+4.85%) ในวันอังคาร และมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านกีบ (ราว 16 ล้านบาท) ขณะที่ดัชนีรวมพุ่งขึ้นถึง 1,164.52 จุด ระหว่างวันที่ 11-18 ม.ค.ปีนี้

    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ดัชนีหุ้นลาวปิดที่ 1,110.68 สูงขึ้น 45.44 จุด หรือ +4.27% และ มูลค่าซื้อขายกว่า 2,000 ล้านกีบ

    ดัชนี SLX พุ่งโด่งตั้งแต่วันที่สองของการซื้อขาย หลังจากตะกุกตะกักในวันแรก และนักลงทุนใช้เวลาตั้งลำ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งแรงซื้อได้ สำหรับตลาดหุ้นเล็กๆ ในประเทศที่สงบ การเมืองมีความมั่นคง เศรษฐกิจเติบโต 7.8% เมื่อปีที่แล้วและภาพรวมที่ดีของตลาดหุ้นในภูมิภาคหนุนส่ง

    ตลาดทุนทำให้ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (Banque Pour Le Commerce Exteriuer Lao) ร่ำรวยขึ้นมากมายตามมูลค่าหุ้น ที่พุ่งขึ้นเป็น 10,100 กีบ (38 บาทเศษ) เมื่อปิดการซื้อขายในวันอังคาร และ ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 2,100 ล้านกีบ เทียบกับ 900 ล้านกีบเศษในวันจันทร์

    เมื่อทำไอพีโอในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้วหุ้น ตคทล.ได้ราคาเฉลี่ยที่ 5,500 กีบ และ ในวันแรกที่นำออกซื้อขายในตลาด ราคาพุ่งขึ้นเป็น 8,000 กีบ เพิ่มขึ้นถึง 45% และวันนี้ราคาหุ้นแบงก์พาณิชย์ใหญ่ที่สุดของประเทศพุ่งขึ้นทะลุเมฆ คิดเป็นกว่า 83%

    รัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนแบงก์ใหญ่ของรัฐให้เป็นบริษัทมหาชนและนำหุ้น 30% ออกจำหน่าย ในนั้นครึ่งหนึ่งขายให้นักลงทุนรายย่อยทั่วไปกับพนักงาน อีกครึ่งหนึ่งสงวนให้นักลงทุนประเภทสถาบัน ซึ่งในนั้นอนุญาตให้ทุนต่างชาติซื้อได้ 50% สำนักข่าวลาวกล่าว

    เพื่อรับประกันให้ตลาดหุ้นแห่งแรกของประเทศไปได้ราบรื่น ทางการยังแยกฝ่ายผลิตออกจากรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (Electricite Du Laos) มอบเขื่อนในสังกัดให้จำนวน 7 เขื่อนกำลังปั่นไฟรวมกันกว่า 360 เมกะวัตต์ รวมทั้งเขื่อนน้ำงึม (1) ที่ทำเงินทำทองให้กับประเทศมานานกว่า 30 ปีด้วย

    ตามรายงานของสื่อทางการ เมื่อ Electricite du Laos Generation Co ทำไอพีโอในเดือน ธ.ค. หุ้น 25% ขายเกลี้ยงในพริบตา นักลงทุนรายใหญ่ยังรวมทั้งบริษัทของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ในลาวด้วย

    การผลิตไฟฟ้าเป็นแขนงลงทุนอันดับ 1 และปัจจุบันมีเขื่อนราว 65 แห่งกำลังก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างการสำรวจ รวมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ลาวมีแผนการผลิตไฟฟ้าให้ได้กว่า 20,000 เมกะวัตต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อเป็น “หม้อไฟ” แห่งอนุภูมิภาค ใครๆ ก็จึงขวนขวายหาทางเป็นเจ้าของธุรกิจที่ให้ผลกำไรคงเส้นคงวาเช่นนี้
    [​IMG]

    นิยามใหม่-- ภาพวันที่ 11 ม.ค.2554 อาคารตลาดหลักทรัพย์ลาว "อาคารอัจฉริยะ" มูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ในวันเปิดซื้อขาย โดยใช้ฤกษ์ "11-01-11" หรือ วันที่ 11 เดือน 1 ปี 2011 อาคารหลังนี้ได้ช่วยเพิ่มนิยามใหม่ให้กับคำว่า "ตลาด" ซึ่งไม่ได้หมายถึงแหล่งซื้อหาอาหารหรือสิ่งของเครื่องใช้เท่านั้น สำหรับชาวลาวหลายคนยังหมายถึงอาคารหลังนี้อีกด้วย.--REUTERS/Stringer.
    ราคาหุ้น EDL GEN กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเปิดซื้อขายในตลาดวันแรก คือจาก 4,300 กีบเป็นเพียง 4,700 กีบ แต่เมื่อตลาดปิดลงในวันอังคาร 18 ม.ค.หรือ อีก 6 วันซื้อขายต่อมา ราคาพุ่งขึ้นเป็น 5,350 กีบ หรือกว่า 24%

    ตลาดหุ้นแห่งแรกของประเทศยังทำให้เกิดนิยามใหม่ให้กับคำว่า “ตลาด”

    “ไปตลาด” ในวันนี้ ไม่ได้หมายถึงการไปซื้อกับข้าวหรือซื้อเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ที่ตลาดเช้ากับตลาดแลง (เย็น) ในเมืองเท่านั้น สำหรับหลายคนยังหมายถึงการไปตลาดอีกแห่งหนึ่ง ตลาดแห่งความร่ำรวย ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองอีกด้วย

    สื่อต่างๆ ของทางการทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และสื่อออนไลน์ต่างมีภาระเพิ่มขึ้นอีก เพราะจะต้องเฝ้าจับตาและติดตามการขึ้นลงของดัชนี SLX และ ตามความเคลื่อนไหวของบริษัทเอกชนอีกหลายแห่งที่กำลังแต่งตัว เพื่อเข้าจดทะเบียนในปีนี้

    ระหว่างวันที่ 17-21 ม.ค.ศกนี้ กำลังมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการรายงานข่าวตลาดหลักทรัพย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ วิทยาเขตดงโดก นครเวียงจันทน์ มีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทนิกเกอิ (Nikkei) ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นวิทยากร มีตัวแทนสื่อเข้าร่วมจำนวน 20 คน และกำลังจะมีการฝึกอบรวมเช่นนี้อีกหลายครั้ง

    ตลาดหุ้นอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงกำลังเดินตามรอยตลาดที่ใหญ่โตกว่าในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย

    รัฐบาลกัมพูชาประกาศในเดือน ธ.ค.จะต้อง “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อเปิดตลาดหุ้นกรุงพนมเปญให้ได้ ในเดือน ก.ค.ปีนี้เป็นอย่างช้าหลังจากเลื่อนมา 2 ปี

    ตามรายงานของสื่อทางการ ในเวียดนามที่มีตลาดหลักทรัพย์ถึง 2 แห่งและผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ปีนี้กำลังจะมีอีกกว่า 100 บริษัทเข้าจดทะเบียน ทั้งในตลาดฮานอยและตลาดหุ้นใหญ่โฮจิมินห์.

    IndoChina - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กองทัพจีน ฤา จะท้าทายอำนาจใหญ่ในแปซิฟิกของสหรัฐฯ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 มกราคม 2554 08:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีสเตลท์ J-20

    เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์/เอเจนซี--กระแสวิพากษ์วิจารณ์การขยายกองกำลังทหารจีนได้กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีน (พีแอลเอ) ทดลองเครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีสเตลท์ J-20 ซึ่งมีความสามารถในการหลบหลีกเรดาร์ ในชั่วโมงก่อนหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกลาโหมแห่งสหรัฐฯโรเบิร์ต เกตส์ พบปะกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทาระหว่างเยือนปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว(11 ม.ค.)

    เหล่านักสังเกตการณ์ด้านทหารมักออกข่าวเกี่ยวกับการซุ่มผลักดันโครงการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพจีน ที่ได้รับอานิสงส์จากงบประมาณมหาศาล ในขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังเฟื่องฟูถึงขั้นแซงหน้าญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในปีที่แล้ว และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่สุดของโลกก็มีแต่ขยายใหญ่ โดยตัวเลขมูลค่าล่าสุด ถึง 2.874 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

    พีแอลเอเป็นกองกำลังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนนายทหารประจำการ 2 ล้านกว่าคน และมีอาวุธพลังทำลายล้างสูงอย่างนิวเคลียร์ในครอบครอง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นยอด อาทิ ในปี 2550 จีนได้ทำการทดลองขีปนาวุธทำลายดาวเทียมที่ประจำการในอวกาศสำเร็จเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก

    และช่วงปลายปีที่ที่ผ่านมา พลเรือเอก โรเบิร์ต วิลลาร์ด ผู้บัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาซาฮีของญี่ปุ่น ว่าจีนได้พัฒนาขีปนาวุธนำวิถีโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน รุ่น ตงเฟิง 21 D คืบหน้าถึงขั้นนำมาใช้งานได้ในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งการพัฒนาฯดังกล่าวถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ที่ท้าทายความเป็นเจ้าใหญ่ในแปซิฟิกของสหรัฐฯ และอาจพลิกโฉมหน้าความมั่นคงในเอเชีย

    อย่างไรก็ตาม อาจต้องใช้เวลาทดสอบอีกนานหลายปีกว่าจีนจะสามารถเคลื่อนย้ายขีปนาวุธตงเฟิงมาประจำการได้อย่างสมบูรณ์ โดยยังจำเป็นต้องติดตั้งระบบนำวิถี ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีทันสมัยที่สุด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า จีนต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีในการสร้างให้ขีปนาวุธตงเฟิงเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัว

    สำหรับเครื่องบินล่องหน J-20 ซึ่งจัดเป็นเทคโนโลยีชั้นยอดในปฏิบัติการสอดแนมนั้น นายพลเหอ เหวยหรง รองผู้บัญชาการกองทัพอากาศ แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน คาดหมายว่า J-20 น่าจะเข้าประจำการในกองทัพอากาศจีนได้ราวปี 2560-2562

    กลุ่มนักสงเกตการณ์ยังเชื่อว่าจีนกำลังต่อเรือบรรทุกเครื่องบินอย่างน้อยหนึ่งลำ

    พลเรือเอก ไมค์ มูลเลน เสนาธิการทหารร่วมฯแห่งกองกำลังสหรัฐฯ เตือนหลังจากวันที่จีนทดลองเครื่องบินขับไล่สเตลท์ J-20 ว่าเหล่าโครงการพัฒนาอาวุธทันสมัยใหม่ๆของกองทัพพญามังกรนั้น มีเป้าหมายโดยตรงในการต่อกรกับกองกำลังสหรัฐฯ

    “จีนส่งสัญญาณตอกย้ำทั้งผู้นำสหรัฐฯ และประเทศในอาณาบริเวณ ว่าการพัฒนาความทันสมัยแก่กองทัพกำลัง ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง และจีนจะกลายเป็นผู้คุมเกมด้านความมั่นคงใหญ่ในอาณาบริเวณ แทนที่สหรัฐฯ” นั่นเป็นการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านกองทัพจีน นาย อาร์เธอร์ ติง ซึ่งมีฐานในไต้หวัน

    กลุ่มนักวิเคราะห์อีกกลุ่มชี้ว่า “แม้ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดระดับความสามารถที่แท้ของของเทคโนโลยีด้านทหารของจีน แต่มันก็ได้แสดงถึงความทะเยอทะยานที่น่ากลัวทีเดียว” เป็นคำกล่าวของ Gareth Jennings ผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานของ นิตยสารMissiles & Rockets ของค่ายนิตยสารด้านการทหารชั้นนำ Jane

    จากการแถลงอย่างเป็นทางการ จีนประเมินตัวเองว่า เทคโนโลยีการทหารของตนนั้น ยังล้าหลังอเมริกัน 20-30 ปี ทั้งย้ำว่าการพัฒนาความทันสมัยแก่กองทัพ มีเป้าหมายพื้นฐานในการป้องปราม

    กระนั้น ญี่ปุนคู่ปรับทางประวัติศาสตร์ของจีน ก็แถลงในเดือนที่แล้วว่า การขยายกองกำลังของจีน เป็นเรื่องที่นานาชาติต้องติดตามและระวัง เนื่องจากมันเป็นการขยายเกมรุกในน่านน้ำทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้

    ผู้เชี่ยวชาญการทหารที่ประจำอยู่ในกรุงปักกิ่ง ที่ไม่เผยนาม ชี้ถึงสถานการณ์การพัฒนาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนว่า ก้าวล้ำเส้นของการป้องปรามไปไกลแล้ว โดยกองทัพจีนได้จัดหาเครื่องบินที่มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายบนพื้นดินมากขึ้นๆเกินความจำเป็นสำหรับกองกำลังเพื่อการป้องกันตัวเอง

    กลุ่มนักสังเกตการณ์ในวงการยังวิตกถึงการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในเอเชียตะวันออก ที่มีเจ้าถิ่นได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยมีปมความขัดแย้งใหญ่ คือ ความขัดแย้งเหนือดินแดนไต้หวัน เกาหลีเหนือ และข้อพิพาทกรรมสิทธิเหนือดินแดนระหว่างชาติเพื่อนบ้านในอาณาบริเวณ

    และการแข่งขันด้านอาวุธ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

    “ณ วันนี้ ไม่มีใครรู้ได้แน่นอนว่า กองทัพจีนจะค่อยๆระดม J-20 เข้าประจำการกี่ลำ และกองกำลังขีปนาวุธนำวิถีจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน”

    เราไม่สามารถทั้งประมาณขนาดและองค์ประกอบของกองกำลังสหรัฐฯและพันธมิตรในช่วง 4-5 ปี ข้างหน้า”

    ในขณะนี้ มีการมองกันว่า ขีปนาวุธตงเฟิงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวางยุทธศาสตร์ของพญามังกร เพื่อสกัดไม่ให้เครื่องบินและเรือของอเมริกันล้ำเส้นน่านน้ำทางทะเลของตนได้ โดยยุทธศาสตร์นี้วางแนวป้องกันซ้อนกันหลายชั้น ประกอบด้วยระบบป้องกันทางอากาศ และทางทะเล เช่นเรือดำน้ำ และระบบขีปนาวุธนำวิถี ที่ทันสมัย โดยทั้งหมดทำงานสอดประสานกันด้วยเครือข่ายดาวเทียม

    Dean Cheng ผู้เชี่ยวชาญจีนที่ Heritage Foundation หน่วยงานคลังสมองของสหรัฐฯ บอกว่า “ยังมีเวลาที่สหรัฐฯจะหยั่งวัด และระดมกำลังมาต่อกรกับจีน ทั้งด้วยกองกำลังของตัวเอง และสรรพาวุธที่ผู้นำวอชิงตันจัดหาให้แก่ไต้หวัน”
    [​IMG]

    ดุลด้านกองกำลังทหารระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา

    จีน งบประมาณ สหรัฐอเมริกา
    $78,000ล้าน รวมทั้งสิ้นในปี2010 $729,000ล้าน
    2.0% สัดส่วน%ต่อจีดีพีปี2008 4.3%

    นายทหารประจำการ
    2.26ล้านคน 1.58ล้านคน

    อาวุธยุทโธปกรณ์
    1,320 เครื่องบินขับไล่ 2,379
    0 เครื่องบินขับไล่สเตลท์ 139
    0 เรือบรรทุกเครื่องบิน 11
    65 เรือดำน้ำ 71
    27 เรือพิฆาต 57
    240 หัวรบนิวเคลียร์ 9,400

    แหล่งที่มา: HIS Jane’s/IISS/SIPRI
    China - Manager Online -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2011
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปี 53 จีนส่งออกธาตุหายากเพิ่มขึ้น 14.5 เปอร์เซ็นต์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 มกราคม 2554 16:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    แรงงานจีนกำลังขุดดินที่มีส่วนผสมของธาตุหายาก เพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่น ณ ท่าเรือเหลียนอวิ๋นกั่ง (ภาพเอเอฟพี)

    เอเอฟพี - โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อวันอังคาร (18 ม.ค.) ว่า การส่งออกธาตุหายากในรอบ 11 เดือนแรกปี 2553 เพิ่มขึ้นถึง 14.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อราคาส่งออกฯ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า

    นายเหยา เจียน โษฆกกระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า “จีนจะยังคงเป็นผู้ผลิตและส่งออกธาตุหายากให้แก่ตลาดโลก โดยจัดวางโควต้าการส่งออกตามระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) โดยการส่งออกธาตุหายาก ในรอบ 11 เดือนแรกปี 53 ทุบสถิติถึง 35,000ตัน เกินโควต้าที่จีนกำหนดซึ่งอยู่ที่ 30,300 ตัน

    เหยาไม่ได้อธิบายว่าการส่งออกปี 2553 เหตุใดจึงเกินโควต้า แต่เอเอฟพีคาดการณ์ว่า จีนอาจนำธาตุหายากส่วนที่เหลือในปี 2552 มาเทขายในปี 2553

    เหยาชี้ว่า “เมื่อราคาขายฯ ถีบตัวขึ้นมากว่า 130 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มูลค่าการส่งออกธาตุหายาก สูงขึ้น 171 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า”

    จีนส่งออกธาตุหายากไปยังญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ มีสัดส่วนถึง 86 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งบรรดาประเทศเหล่านี้ต่างโจมตีจีนเรื่องการจำกัดโควต้าส่งออกฯ

    ทั้งนี้ จีนครอบครองตลาดธาตุหายากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อธาตุหายากเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์ไฮเทค อาทิ รถยนต์ไฮบริดพรีอุส (ของโตโยตา) ไอแพด กังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า โรงงานกลั่นน้ำมัน ไปถึงสมาร์ทบอมบ์ เพียงตัวอย่างรายการผลิตภัณฑ์ไม่กี่อย่างนี้ ก็ทำให้เหล่าชาติอำนาจทั้งหลายหนาวๆร้อนๆไปตามกัน

    เมื่อปลายปีที่ผ่านมา (28 ธ.ค.2553) กระทรวงพาณิชย์จีนได้ประกาศลดโควตาส่งออกธาตุหายากลง 35 เปอร์เซ็นต์สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2554 โดยในช่วงครึ่งหลังของปี2553 จีนได้ประกาศลดโควตาส่งออกไปแล้วถึง 72 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า “โควต้าการส่งออกธาตุหายากทั้งปี 2554 จะลดลงไม่มากนัก” ขณะที่สหรัฐฯ เรียกร้องจีนว่า อย่าใช้ “ธาตุหายาก” มาเป็นอาวุธเพื่อสนองผลประโยชน์ทางการเมือง

    เหยากล่าวปิดท้ายว่า “รัฐบาลจีนจะกำหนดโควต้าการส่งออกธาตุหายากสำหรับปีนี้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”

    China - Manager Online -
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ธนาคารโลกคาดศก.โลกโต3.3% ชี้เงินไหลเข้าเอเชียบีบค่าเงินแข็ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 มกราคม 2554 23:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ธนาคารโลกคาด ศก. โลกปีนี้โตในอัตราลดลงที่ระดับ 3.3% ขณะที่เงินทุนที่ไหลเข้าเอเชียอาจส่งผลให้เงินแข็งค่าและภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์เสี่ยง ด้าน เฟด ยังกังวลตัวเลขว่างงานที่สูง

    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจที่น่าสนใจว่า ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในอัตราที่ลดลงในปีนี้ ในขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงกังวลต่ออัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง โดยที่ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโต 3.3% ซึ่งต่ำกว่าการเจริญเติบโตในปี 2553 ที่ 3.9% นอกจากนี้ เงินทุนที่ไหลเข้าประเทศแถบเอเชียและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางอาจส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นหรืออาจเกิดภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งจะกดดันการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะกลางได้

    สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึงแม้ข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาจะค่อนข้างดีและฟื้นตัวต่อเนื่องแต่การว่างงานในระดับสูงจะยังเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัว ดังนั้น ถึงแม้การลงทุนในแถบเอเชียจะมีความเสี่ยงแต่ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน

    ขณะที่ยอดขาดดุลการค้าเดือน พ.ย. ในปีที่ผ่านมาทำสถิติต่ำสุดในรอบ 10 เดือนจากยอดส่งออกที่ขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีซึ่งยอดขาดดุลการค้าดังกล่าวที่ระดับ 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้นดีกว่าที่ตลาดคาดโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในต่างประเทศที่มีการฟื้นตัว ประกอบกับยอดส่งออกที่ขยายตัวสูงโดยมีอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงอยู่ในภาวะฟื้นตัวต่อเนื่อง

    ด้านเศรษฐกิจของยุโรป ECB และ BOE คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% และ 0.5% ตามคาด บลจ. ยูโอบี มองว่า ECB คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% เป็นเวลา 21 เดือนต่อเนื่องกันโดยตลาดคาดว่า ECB อาจพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยในปลายปีนี้หรือต้นปี 2555 หลังจากเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นและเกินกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนด ในขณะที่ BOE คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% และวงเงินการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามคาดการณ์ หลังรัฐบาลประกาศแผนการควบคุมการใช้จ่ายเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

    ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นยืนยันว่าจะสนับสนุนการลงทุนในพันธบัตร EU และถือเงินยูโรเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยจีนและญี่ปุ่นยืนยันว่าจะสนับสนุนการลงทุนในพันธบัตร EU ที่จะออกมาเพื่อระดมทุนในช่วงปลายเดือนนี้และถือเงินยูโรเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของเงินทุนสำรอง การประกาศดังกล่าวประกอบกับการที่โปรตุเกสประสบความสำเร็จในการขายพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ทั้งหมดในอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาดคาดได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนว่าปัญหาหนี้สินในยุโรปที่มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
    Mutual Fund - Manager Online -
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอสแอนด์พีเตือนสหรัฐลดขาดดุล

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 19 มกราคม 2554 17:59

    [​IMG]

    เอสแอนด์พีเตือน อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอาจได้รับผลกระทบ หากปราศจากแผนการที่น่าเชื่อถือในการลดการขาดดุลงบประมาณ

    นายเดวิส ไวส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) ออกรายงานระบุว่า การคงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ระดับ AAA พร้อมแนวโน้มมีเสถียรภาพ เป็นผลจากการสันนิษฐานว่า รัฐบาลจะเปิดเผยแผนการที่น่าเชื่อถือในเร็วๆ นี้ เพื่อควบคุมนโยบายงบประมาณเข้มงวดขึ้น และทำให้สัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีเสถียรภาพ ก่อนปรับลดลงในระยะปานกลาง แต่หากปราศจากแผนการที่น่าเชื่อถือ อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐก็จะตกอยู่ใต้แรงกดดัน
    นายไวส์ ประเมินความเป็นไปได้ที่รัฐสภาสหรัฐจะมีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองบางรายที่ขู่ว่าจะคัดค้านการเพิ่มเพดานหนี้ โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นวิธีที่ผิดในการรับมือกับปัญหาหนี้สินระดับประเทศ ทางที่ถูกควรแก้ไขที่ต้นตอ ซึ่งก็คือการขาดดุลงบประมาณ

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'หู จิ่นเทา'ถกค่าหยวน'โอบามา'

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    วันที่ 19 มกราคม 2554 10:54

    [​IMG]

    ประธานาธิบดีจีนเปิดฉากหารือผู้นำสหรัฐ นักวิเคราะห์จับตา ผลการเยือนพร้อมรอลุ้นผ่าทางตันค่าเงินหยวน

    ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน เดินทางถึงสหรัฐ ตามแผนเยือนแดนอินทรีอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการเยือนระดับผู้นำจีนครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่นายเติ้ง เสี่ยวผิง ของจีน ช่วยเปิดความสัมพันธ์ทวิภาคีเมื่อ 30 ปีก่อน
    ขณะนี้ จีนมีอิทธิพลทางทหารและการทูตมากขึ้น และเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ คาดว่าประเด็นสำคัญในการหารือระหว่างประธานาธิบดีหูกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา คือเรื่องความตึงเครียดทางการค้า นอกจากนั้นจะมีอีกหลายประเด็นตั้งแต่การปรับสมดุลเศรษฐกิจโลก ความร่วมมือพลังงานสะอาด ไปจนถึงเกาหลีเหนือ
    นักลงทุนและตลาดเงิน กำลังมองหาสัญญาณว่า ผู้นำทั้งสองจะสามารถคลายความตึงเครียดระหว่างกันได้หรือไม่หลังจากความสัมพันธ์ทวิภาคีเมื่อปีก่อนไม่ดีนัก หลายคนเตือนว่าไม่ควรคาดหวังมากนัก คงจะมีแต่คำพูดหวาน ๆ และการบรรลุข้อตกลงทางธุรกิจเท่านั้น
    ด้านธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางของอัตราแลกเปลี่ยนหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ประจำวันนี้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยอยู่ที่ 6.5885 ขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่ากลางของเมื่อวานนี้ที่ 6.5891 และ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 6.5829
    ประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีนเดินทางเยือนสหรัฐในวันที่ 18-20 ม.ค.ขณะที่สภาคองเกรสสหรัฐขู่ออกกฎหมายกดดันจีนให้ปล่อยหยวนแข็งค่าเร็วขึ้น

    '
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัยการอิตาลีตั้งข้อหาแบร์ลุสโคนี

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 18 มกราคม 2554 10:33

    [​IMG]

    อัยการตั้งข้อหาผู้นำอิตาลีซื้อบริการหญิงขายบริการจำนวนมาก

    อัยการต้องการหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่านายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ผู้นำอิตาลีวัย 74 ปี จ่ายเงินซื้อบริการทางเพศจากสาวนักเต้นในไนท์คลับหรือไม่ โดยสาววัย 17 ปีผู้นี้เป็นชาวโมร็อคโกซึ่งเข้าร่วมงานวันวาเลนไทน์ที่คฤหาสน์ของนายเบอร์ลุสโคนีเมื่อปีที่แล้ว
    อย่างไรก็ตา แม้อาชีพหญิงขายบริการไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายในอิตาลี แต่การชักนำหรือเกลี้ยกล่อมให้ผู้ที่มีอายุน้อยขายบริการทางเพศถือเป็นความผิด

    ทั้งนี้ อัยการระบุในคำฟ้องว่า นายกรัฐมนตรีวัย 74 ปี ซื้อบริการจากโสเภณีวัยรุ่นเป็นจำนวนมากโดยให้ค่าตอบแทนในรูปของค่าเช่าอพาร์ทเมนต์และเงินสด แต่นาย
    แบร์ลุสโคนี ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทำให้อัยการต้องร้องขออำนาจไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อค้นคฤหาสน์ของนายกรัฐมนตรี
    ตามกฎหมายของอิตาลี ห้ามจับกุม หรือตรวจค้นบ้านพักของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่อัยการสามารถขออนุญาตต่อสภาเพื่อการนี้ได้ โดยที่สภาจะอนุญาตเป็นกรณีไป
    ขณะที่ นางสาวคาริมา เอล มาห์รุก หรือที่รู้จักกันในชื่อ รูบี รูบาคูโอรี สตรีวัยรุ่นที่ถูกระบุว่าขายบริการทางเพศให้แก่นาย
    แบร์ลุสโคนี เปิดเผยว่า เธอเป็นเพียงหนึ่งในสาววัยรุ่นจำนวนมากที่ร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ของนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้นำอิตาลี แม้ได้รับเงินถึง 7,000 ยูโรก็ตาม

    อัยการยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของวัยรุ่นสาวคนนี้พบว่าได้มายังคฤหาสน์ของนาย
    แบร์ลุสโคนีหลายครั้งในช่วงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว.-สำนักข่าวไทย
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Jan 20 2011, 10:17 AM
    JimmySiri: ถึงกองทุนทองคำในบ้านเราจะ<WBR>ตั้งขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยเงินลงทุนที่เท่าๆ กัน ถ้าซื้อทองคำจริง หรือ Physical เก็บได้น่าจะเป็นทางเลือกท<WBR>ี่ดีกว่าครับ เพราะสถานการณ์จริงในตลาด Comex ของสหรัฐคือ ของไม่มีครับ ทั้งทองคำจริง หรือ Gold Bullion และแร่เงิน หรือ Silver ราคาสป๊อตที่เทรดกันอยู่ทุ<WBR>กวันนี้ก็คือกระดาษทั้งหมด<WBR>ครับ โดยเฉพาะแร่เงินหรือ Silver ที่เข้าสู่ภาวะขาดแคลนมาได<WBR>้ซัก 1-<WBR>2 เดือนที่ผ่านมา แล้วคงรุนแรงขึ้นแรื่อยๆคร<WBR>ับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    Jan 20 2011, 10:22 AM
    JimmySiri: ถึงแม้ว่ากองทุนทองคำของไท<WBR>ยที่จะตั้งขึ้น จะเข้าไปจองซื้อล่วงหน้าใน<WBR>ตลาดต่างๆได้ แต่ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันโอกาสที่จะไม่ได้ข<WBR>องมีสูงมากๆครับ เพราะปัญหาอยู่ที่ผู้เล่นห<WBR>ลักทั้ง 2 คนคือสหรัฐและจีน ซึ่งลึกๆแล้ว Supply ที่สหรัฐใช้เล่นอยู่ในตลาด<WBR>มาจากจีนเกือบทั้งหมด แล้วเบื้องหลังก็คือจีนแทบ<WBR>จะหยุดการส่งออกแร่ธาตุเหล<WBR>่านี้ทั้งหมดครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  15. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    2011/01/19

    เศรษฐกิจโลกส่อเค้าป่วยหนัก-ซึมยาว


    <SCRIPT type=text/javascript src="http://s0.wp.com/wp-content/plugins/adverts/adsense.js?m=1253160243g&1"></SCRIPT>14 มกราคม 2554 เวลา 08:37 น.

    ผ่านทางเศรษฐกิจโลกส่อเค้าป่วยหนัก-ซึมยาว.


    เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (World Economic Forum : WEF)
    องค์กรระดับโลกประเมินเศรษฐกิจและสถานการณ์ในภาพรวม
    ของโลกในปี 2011 อย่างหม่นหมองจนน่าใจหาย

    โดย…ทีมข่าวต่างประเทศ

    เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (World Economic Forum : WEF)
    องค์กรระดับโลกประเมินเศรษฐกิจและสถานการณ์ในภาพรวมของโลก
    ในปี 2011 อย่างหม่นหมองจนน่าใจหาย

    [​IMG]

    รายงานชิ้นดังกล่าว ซึ่งเปิดออกมาก่อนที่จะมีการประชุมในช่วง
    สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือน ที่กรุงดาวอส ของสวิตเซอร์แลนด์
    เชื่อว่า โลกไม่สามารถรับมือกับความเลวร้ายทางเศรษฐกิจ
    และการเมืองที่รุนแรง หรือมากกว่าที่อยู่ได้อีกต่อไปแล้ว
    เพราะจะมาสู่ผลกระทบที่มหาศาล
    สาเหตุหลักที่มีการประเมินไปในทิศทางดังกล่าว เพราะ
    ความบอบช้ำของแต่ละประเทศในโลกจากวิกฤตเศรษฐกิจ
    และการเงินในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องใหญ่และสาหัส
    จนทำให้การฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเป็นเรื่องยาก

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สถานการณ์ด้านตัวเลขงบประมาณ
    ของประเทศใหญ่ๆ อย่าง สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น ที่สั่นคลอน
    เป็นแรงถ่วงที่ฉุดความแข็งแกร่งของประเทศเหล่านั้นลง

    ไม่เพียงเท่านั้น ความร่วมมือและการเจรจาในเวทีโลก
    ในการจัดการปัญหาต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลแต่ละประเทศ
    ก็เพิ่มดีกรีความตึงเครียดมากขึ้น ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลของ
    แต่ละประเทศมีความจำเป็นต้องดึงเงินจากคลังออกมาใช้
    ในหลายๆ ด้านที่เป็นภัยคุกคามของโลก ทั้งการค้าโลก
    การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนล้มเหลว
    ไม่ประสบความสำเร็จ

    ย้อนกลับไปเมื่อปีที่ผ่านมา การประชุมของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจมั่งคั่ง
    หรือ จี20 แทบเรียกได้ว่าคว้าน้ำเหลวในการแก้ไขปัญหา
    หรือทิศทางในรายละเอียด เช่นเดียวกับการประชุมด้าน
    การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

    ดังนั้น ในภาพรวมแล้วความบอบช้ำจากวิกฤตเศรษฐกิจคือต้นทุน
    ที่เสริมด้วยความล้มเหลวในด้านความร่วมมืออีกหลายๆ ด้าน
    เป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าโลกไม่สามารถทนทานกับความเลวร้าย
    มากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกแล้ว

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ เพราะสถานการณ์ในโลกอ่อนแอมากขึ้น
    ดังนั้นจึงเป็นต้นตอของการส่งผ่านหรือถ่ายทอดปัญหา
    จากส่วนหนึ่งในโลกไปยังส่วนอื่นๆ ได้รวดเร็วขึ้น

    โรเบิร์ต กรีนฮิลล์ กรรมการผู้จัดการของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม
    ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า ในปี 1929 ความล้มเหลวของวอลสตรีต
    ใช้เวลานับเดือนกว่าที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในส่วนอื่นๆ
    ของโลก ขณะที่วิกฤตในปี 2008 ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ส่งต่อ
    แรงกระเพื่อมดังกล่าวไปยังส่วนที่เหลือ

    ความพยายามป้องกันและรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
    ไม่บังเกิดผลสำเร็จ

    กรีนฮิลล์ ยังใช้คำพูดว่า ระบบในศตวรรษที่ 20 ล้มเหลว
    ในการจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ดังนั้น
    จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    สิ่งที่เวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัม มองไว้คือ ในขณะที่โลกพยายาม
    ที่จะลดอุปสรรคที่อาจส่งผลกระทบกระเทือนทางการค้า
    ปรับปรุงเครือข่ายนานาชาติ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
    เพื่อคนยุคหลัง แต่โลกกลับเพิ่มความแตกแยกภายในประเทศ
    อีกทั้งมีข้อตกลงระหว่างประเทศที่สร้างขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์
    ของแต่ละประเทศไว้ จึงเป็นต้นเหตุที่นำสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มทวีขึ้น
    ทั้งในด้านการค้า อัตราแลกเปลี่ยน และการบูรณาการทางเศรษฐกิจโลก

    การมองโลกอย่างหม่นๆ ด้วยคำเตือนนานัปการของเวิลด์
    อีโคโนมิก ฟอรัม ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกับสถานการณ์
    ของโปรตุเกสที่กำลังระส่ำระสาย และมุมมองภาพกว้าง
    ของธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ที่เสริมความมืดครึ้ม
    ของสถานการณ์โลกให้หมองคล้ำขึ้น โดยเชื่อว่าในปี 2011
    จะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงโค้งกลับคืนสู่ระดับของ
    การเติบโต ที่น่าโล่งใจก็คือ จะไม่มีวิกฤตการเงินระลอกใหม่เกิดขึ้น
    แต่ก็ยังคงเป็นการฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่แน่นอนนัก

    ธนาคารโลกประเมินการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
    (จีดีพี) ของโลกอยู่ที่ราว 3.3% ลดลงจากเมื่อปี 2010
    ซึ่งอยู่ที่ 3.3%

    การประเมินเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาดีขึ้นในปี 2012
    ด้วยจีดีพีแกว่งอยู่ที่ราว 3.6%

    สิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่โลกต้องต้านทานให้อยู่ก่อนที่จะ
    เกิดอาการช็อกทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ มีด้วยกัน 3 เรื่อง

    ปัจจัยแรก คือ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะ
    ในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและวิกฤตหนี้
    มอนเซฟ ชีคห์โรโฮ ศาสตราจารย์ด้านการเงินระหว่างประเทศ
    จาก HEC School of Management ในความเสี่ยงสำคัญ
    สำหรับยุโรปและสหรัฐคือ การขาดการมองปัญหาและการแก้ไข
    ในเชิงโครงสร้าง ขณะที่จีนและอินเดียต่างมีนโยบายในระยะยาว

    สอง คือ เศรษฐกิจที่มีถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งในปี
    2010 ที่ผ่านมา การค้าในลักษณะดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง
    1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวจะทำให้
    หลายประเทศในโลกจมอยู่ในภาวะยากจน

    ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ การเติบโตของทรัพยากร โดยเฉพาะด้านอาหาร
    เป็นไปอย่างจำกัด ขณะที่ทรัพยากรน้ำและพลังงานเป็นสองสิ่ง
    ที่มีความต้องการค่อนข้างในระดับตัวเลขสองหลักในทุกๆ ปี
    โดยคาดว่าในปี 2030 ดีมานด์จะเพิ่มขึ้นอีกราว 30%

    ก่อนหน้านี้ รายงานเมื่อช่วงปลายปีของสหรัฐในเรื่องหุ้นสินค้าเกษตร
    ก็สอดคล้องกับการคาดการณ์สถานการณ์ของวัตถุดิบโลกที่ลดลง
    สวนทางกับความต้องการ
    แม้มุมมองของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม จะเป็นเรื่องที่ทำให้ภาพรวม
    ทางเศรษฐกิจโลกในปี 2011 เป็นไปอย่างไม่สดใส แต่ต้องเชื่อมั่นว่า
    ภาพร้ายในช่วงต้นปีถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ในเมื่อเศรษฐกิจโลกบอบช้ำ
    และไม่สามารถต้านทานกับความท้าทายใหม่ที่รุนแรงใดๆ ได้อีก
    นั่นคือ “การบ้าน” ของทุกประเทศที่จะตีกรอบป้องกันลดแรงบอบช้ำที่เกิดขึ้น

    ที่มา : เศรษฐกิจโลกส่อเค้าป่วยหนัก-ซึมยาว � ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคาร ที่ 4 มกราคม 2554

    ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรป VS สหรัฐ
    Posted by 4BAN
    เป็นที่ทราบกันแล้วว่า Asia มีระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรงมากที่สุดในโลกตอนนี้ ใครอยากได้ผลตอบแทนสูงต้องมาลงทุนใน Asia คำถามที่ผมเจอหลายรอบและยากที่จะอธิบายเหมือนกันคือ สหรัฐนะยังไม่ฟื้น ส่วน ยุโรปก็กำลังแย่ แล้วใครแย่กว่ากัน อันนี้ตอบได้ยากมาก และไม่ทราบว่าจะเอาอะไรตอบ แค่ อัตราแลกเปลี่ยนคงไม่ใช่ เพราะไม่ใช่ Major หลักที่นำมาคิดกัน พอดีไปเจอใน Bloomberg ครับ
    เป็นการ plot graph พันธบัตรหลายประเทศ ผมลอง plot แล้ว ใช้ได้
    ในยุโรปประเทศที่แกร่งที่สุดคือ เยอรมันกับฮอลแลนด์ (ฟังจากดร. สมชาย ภัครฯ)
    ส่วน ประเทศที่กำลังเอียงคือ สเปนครับ จะตามาด้วย อิตาลี ส่วน อังกฤษถือได้ว่าเฮงที่นายกฯ เน้นประหยัด เลยรอดตัวไป มาชม graph กันก่อนครับ เดี่ยวไม่เข้าใจ
    [​IMG]



    เส้นบนสุดคือ สเปนครับ แกนนอนคือระยะเวลา คิดเป็นปี
    ส่วนแกนตั้งคือผลตอบแทนครับ ประเทศที่มีปัญหาด้านการเงินจำเป็นต้อง
    ใช้เงินจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนสูงๆ เพื่อล่อเม็ดเิงินเข้ามา
    สีแดงคือเยอรมัน ติดกับเยอรมันคือ ฮอลแลนด์ครับ
    ส่วนสีฟ้าคืออังกฤษ ผม Plot สีขาวเข้าไปด้วยจะได้เห็นอะไรชัดๆ
    เส้นสีขาวคือ USA ครับ


    ตอนนี้คงพอทราบกันแล้วว่า ใครแกร่งกว่าใคร

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ ที่ 10 มกราคม 2554
    ปีกระต่าย แบงค์ปล่อยกู้ง่าย
    Posted by 4BANK

    ธนาคาร ต่างประเทศในไทย เริ่มแล้วครับ หาหัวหน้าทีมสินเชื่อ corporate และ SME เข้าใจว่าจะเป็นปีทองของคนชอบกู้เงินธนาคาร เหตุผลที่แบงค์ปล่อยกู้ได้ง่าย เพราะการแ่ข่งขันสูง เรื่องความเสี่ยงเอาไว้ทีหลัง โดยเฉพาะช่วงกลางปีจะสิ้นปี ปล่อยสินเชื่อกันกระจาย เพราะต้องรักษาเป้าไว้ให้ได้
    หนี้ NPL ปล่อยไว้ก่อน เบื่อแล้ว เรื่องเก่าๆ ที่หลอกหลอนมาเกือบ สิบปี


    ปีนี้ธนาคารเน้นอะไรบ้าง
    ที่ เห็นมาแรงๆ คือ Wealth Management คือการบริหารเงินและสินทรัพย์ให้คนรวย ทำนองนั้น บริหารโดยหาดอกเบี้ยเงินฝากสูง บวกกัีบการลงทุนผ่านกองทุน ซื้อประกัน และอื่นๆอีก แต่ยอดต้องหลักล้านขึ้นไป 4-10 ล้าน ทำนองนั้น


    อาจเป็นเพราะผู้ว่าแบงค์ชาติส่งสัญญาณลุยก็ได้ ธนาคารของรัฐเร่งขยายสาขากันมากจริงๆ
    ธนาคาร ออมสินที่ก็เปิดสาขาเพิ่มขึ้นมาก ธนาคารอิสลามก็อีก 40 สาขา ธนาคารKK ก็ไม่ยอมแพ้ขยายกิจการ เร่งรับคนและเปิดสาขาอีก ไม่รู้ทำไมปีนี้ เร่งกันจริงจัง ธนาคาร cimb ของมาเลเซียนี่ก็ เปิดศึกเหมือนกัน ลืมบอกไปว่า ธนาคารต่างประเทศก็สามารถขยายสาขาได้แล้วนะครับ HSBC จะเป็นสาขาอีก 2 แห่งใน กทม คือ ทองหล่อกับ ????? citibank ก็ระดมคนเพื่อหลายโครงกาารในมือ
    ICBC ธนาคารจีนเริ่มลุยแล้ว ต้องหาเงินฝาก support อีกหลายโครงการที่จีนลงทุนในไทย
    ทหารไทยนี่ก็เร่ง PR กะทำธุรกรรมให้ครบ เหมือน Kbank เลย เพราะผู้บริหารมาจาก Kbank
    ผมเข้าไปสาขาเปิดใหม่ ทันสมัยทีเดียว ไทยพาณิชย์ยังคงลุย สินเชื่อ corporate อีก
    เพื่อน ผมอยู่เล่าให้ฟังว่า จะเดินตามรอยเท้าฝรั่งเลย ทำนองนั้น ด้านกรุงศรีนี่ก็ไม่เคยยอมใครเลย ปีนี้ให้ กรุงศรี ออโต้ลิส เปิดศึกลุยสินเชือรถยนต์ครบวงจร


    หลายคนคงเบื่อเวลาเข้าไปธนาคาร แล้วโดนตื้อให้ซื้อประกัน กองทุน อย่าเพิ่งเบื่อครับ
    เพราะยังมีอีกหลายธนาคารที่จะตามไปจีบท่าน ทางที่ดี ควรใช้ internet banking จะดีกว่า
    ที่ ฮ่องกง คนไปธนาคารน้อยมาก เพราะไม่รู้จะไปทำไม ไม่มีการไปจ่ายค่าผ่อนบ้านและรถยนต์ เนื่องจากเขาใช้วิธิหักบัญชี Automatic หักเงินในบัญชีเลย ใครไปธนาคารจึงมีเป้าหมายเรื่องกู้เท่านั้น ผมแอบไปยืนมองธนาคารหลายแห่งที่ฮ่องกง ไม่มีต่อแถวอย่างบ้านเรานะครับ แจกบัตรคิว
    เปิดประตู ยกน้ำให้ดื่ม ล้อมหน้าล้อมหลัง ขายประกัน


    แข่งกันแบบนี้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่อย่ากู้เพลินนะครับ เพราะดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน

     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้นำ “จีน-US” โต้เรื่อง “สิทธิมนุษยชน” แต่ท่าทีรอมชอม-มุ่งสร้างความไว้ใจ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มกราคม 2554 19:42 น.
    เอเอฟพี / เอเจนซี - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน ปะทะคารมในประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนเมื่อวันพุธ (19) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างก็แสดงท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยคำนึงถึงหลักพื้นฐานความแตกต่างระหว่างสองประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งก็ลงเอยตามที่หลายฝ่ายคาดหมายไว้ นั่นคือ การที่ผู้นำทั้งสองยังไม่อาจคลี่คลายประเด็นพิพาทสำคัญระหว่างสองประเทศลง ได้อย่างมีนัย นอกเหนือไปจากการให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความไว้ เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน

    บนแท่นพิธีการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าทิศใต้ของทำเนียบขาวเมื่อเช้าวันพุธ (19) ประธานาธิบดี โอบามา พร้อมด้วยประธานาธิบดี หู ผลัดกันกล่าวสุนทรพจน์ หลังจากกองดุริยางค์ทหารสหรัฐฯ บรรเลงเพลงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกา จบลง พร้อมกับเสียงปืนยิงสลุด 21 นัด ซึ่งเป็นสัญญาณเปิดฉากการหารือระดับทวิภาคีระหว่างสองผู้นำประเทศมหาอำนาจ แห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเป็นทางการ

    ในระหว่างการหารือในทำเนียบขาว ประธานาธิบดี หู บอกกับ โอบามา โดยมีใจความตอนหนึ่งกล่าวถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในแดนมังกร ว่า จีนยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อพัฒนาด้านสิทธิเสรีภาพภายใน ประเทศ อย่างไรก็ตาม เขาพยายามชี้ว่าสิทธิเสรีภาพในความหมายของจีนนั้น ไม่ใช่สิทธิมนุษยชนแบบสากลตามคำนิยามของสหรัฐฯ แต่อย่างใด

    แต่กระนั้น โอบามา ซึ่งก่อนหน้าได้กล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับการมาเยือนแบบรัฐพิธีครั้งแรกของหู พร้อมกับรบเร้าให้จีนปรับปรุงด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศให้ดีขึ้น โดยวงเล็บว่า จะเป็นการดีสำหรับจีนเองนั้น ก็ได้ลดโทนประเด็นความขัดแย้งอันอ่อนไหวลงโดยสร้างบรรยากาศรอมชอมขึ้นมา แทนที่ด้วยการกล่าวแสดงความยินดี และให้การต้อนรับการผงาดขึ้นมาของจีนในฐานะของมหาอำนาจสำคัญของโลกในศตวรรษ ที่ 21 พร้อมกับรอคอยที่จะเห็นยุคสมัยแห่ง “การแข่งขันแบบฉันท์มิตร”

    โอบามา ยังกล่าวแสดงความหวังที่จะรื้อกระดานความสัมพันธ์กับจีนใหม่ โดยกำจัดทัศนคติเก่าๆ ที่มองจีนแบบเหมารวมในแง่ลบ ทิ้งไปเสีย

    “ผมเชื่ออย่างแน่นอนว่า การผงาดอย่างสันติของจีนจะเป็นเรื่องดีสำหรับโลกและเป็นเรื่องดีสำหรับอเมริกาเช่นกัน” โอบามา สำทับ

    ผู้นำทั้งสองยังให้คำมั่นสัญญาต่อกันด้วยว่าจะแสวงหาหนทางร่วมมือใน ประเด็นปัญหาสำคัญๆ ของโลก ซึ่งรวมถึงปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย

    จากนั้นผู้นำของสองประเทศมหาอำนาจโลกก็เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหาร ค่ำอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นอย่างหรูหราและสมเกียรติในทำเนียบขาว โดยมีแขกเหรื่อผู้ทรงคุณวุฒิมากมายที่ได้รับเกียรติให้มาร่วมงานครั้งนี้ ด้วย อาทิ ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการฮอลลีวูด แจ็กกี ชาน และนักร้องชื่อดัง บาร์บรา สตรัยแซนด์ เป็นต้น

    “มันเป็นการง่ายที่เราจะคำนึง ถึงพื้นฐานความแตกต่างระหว่างเรา (สองประเทศ) ทั้งในเรื่องของวัฒนธรรมและทัศนคติ ขอให้พวกเราอย่าได้ลืมเลือนค่านิยมต่างๆ ที่ประชาชนของพวกเราได้แบ่งปันกัน” โอบามากล่าวขณะยกแก้วอวยพรแด่หู โดยที่ก่อนหน้านั้นเขาอธิบายกับผู้นำจีน ว่า “เราชาวอเมริกันมีมุมมองสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นสากลของค่านิยมสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการพูด, เสรีภาพในการนับถือศาสนา ตลอดจนเสรีภาพในการชุมนุม ซึ่งเราคิดว่ามีความสลักสำคัญยิ่งและอยู่นอกเหนือวัฒนธรรม”

    อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการแถลงข่าวสื่อมวลชน ทั้ง โอบามา และ หู ต่างแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า แทบจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อพิพาทสำคัญๆ ที่ฉุดรั้งความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้จมดิ่งลงตลอดช่วงหลายปีหลังมานี้ โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน, เสรีภาพในการเข้าถึงตลาดจีน จวบจนประเด็นยุทธศาสตร์ต่างๆ ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าก่อนหน้านั้น ในวันเดียวกัน (19) ทั้งสองฝ่ายจะประกาศว่าได้บรรลุข้อตกลงด้านการส่งออกระหว่างกันคิดเป็น มูลค่ามหาศาลหลายหมื่นล้านดอลลาร์ก็ตาม

    ทว่า ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ในระหว่างการหารือกับประธานาธิบดี หู นอกเหนือจากประเด็นปัญหาสิทธิเสรีภาพในจีนแล้ว เขายังได้เรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาให้รัฐบาลปักกิ่งปฏิบัติกับบรรดาบริษัท สัญชาติอเมริกันอย่างเท่าเทียมกับบริษัทท้องถิ่นด้วย ตลอดจนย้ำว่า ค่าเงินหยวน ณ ปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความเป็นจริง รวมถึงกล่าวสนับสนุนให้จีนเปิดโต๊ะเจรจากับคณะผู้แทนขององค์ทะไลลามะใน ประเด็นปัญหาทิเบตด้วย

    “ผมได้เปิดอกพูดตรงไปตรงมากับประธานาธิบดีหูเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เหล่านี้” โอบามา บอก

    ทั้งนี้ ในวันพุธ (19) ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ และจีนได้ลงนามในข้อตกลงด้านการค้ารวม 70 ฉบับ มูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้รวมถึงสัญญาจัดซื้อเครื่องบินโดยสารจากบริษัทโบอิ้ง 200 ลำ มูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดกันว่าจะสามารถสร้างงานในสหรัฐฯ ได้ถึง 235,000 ตำแหน่ง

    [​IMG]

    มุ่งสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ (ซ้าย) พร้อมด้วยประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีน เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ณ บริเวณทำเนียบขาวเมื่อเช้าวันพุธ (19) ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะเปิดฉากหารืออย่างเป็นทางการ

    [​IMG]

    ประธานาธิบดีบารัค โอบามา (ขวา) ขณะรับฟังข้อเสนอของประธานาธิบดีหู จิ่นเทา (ซ้าย)
    Around the World - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กรุงนิวเดลีติดหนี้ บ.ต่างชาติบานเบอะ หลังสิ้นกีฬาเครือจักรภพ 2010
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มกราคม 2554 18:03 น.
    [​IMG]
    ภาพพิธีเปิดการแข่งขันมหกรรมกีฬาเครือจักรภพ 2010 ณ กรุงนิวเดลี ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขันยังค้างชำระค่าจ้าง บริษัทผู้ควบคุมการแสดงหลายเจ้า

    เอเอฟพี - ฝ่ายจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาเครือจักรภพ 2010 ของอินเดีย ยังค้างชำระหนี้เงินบริษัทต่างชาติผู้รับจ้าง และองค์กรกีฬาต่างๆ จำนวนหลายล้านดอลลาร์ เจ้าของกิจการและนักการทูตออกมาเผยวันนี้ (20)

    ตู้คอนเทนเนอร์บรรจุอุปกรณ์พิเศษจำนวนหลายร้อยตู้ยังถูกทางการ อินเดียยึดไว้เป็นของกลาง หลังเสร็จสิ้นกีฬาเครือจักรภพมาหลายเดือน โดยบริษัทผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายระบุตรงกันว่า ไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ เนื่องจากอีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้ล้วนถูกยกเลิก

    บริษัทที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างมีทั้งในออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เจ้าหน้าที่ในกรุงนิวเดลีให้ข้อมูลกับเอเอฟพี ขณะที่สมาคมกีฬาต่างๆ ของอินเดียเองก็ร้องเรียนฝ่ายจัดการแข่งขันกรณีไม่ได้รับเงินคืน รวมทั้งเงินอุดหนุนการเดินทาง

    ขณะนี้ บริษัทต่างชาติกำลังทยอยดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายจัดการแข่งขันชำระเงินตามสัญญา รวมทั้งค่าชดเชยความล่าช้า

    ริก เบิร์ช ชาวออสเตรเลียผู้ควบคุมการแสดงในพิธีปิด-เปิดการแข่งขัน ได้ขอให้ทนายความดำเนินการฟ้องร้องต่อฝ่ายจัดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ กรุงนิวเดลี 2010 แล้ว

    “มีอีก 15 บริษัทที่มีส่วนร่วมในพิธีเปิด และมีบริษัทอีกมากรับงานดูแล ตลอดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ” เบิร์ช กล่าวกับสถานีวิทยุเอบีซีของออสเตรเลียวันนี้ “ไม่มีบริษัทไหนสักแห่งที่ได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญา ว่าจะชำระเมื่อถึงสิ้นเดือนตุลาคม”

    เบิร์ช เป็นผู้ควบคุมการแสดงในโอลิมปิกมาแล้วหลายครั้ง กล่าวว่า ประสบการณ์จากกีฬาเครือจักรภพครั้งนี้ทำให้เขาผิดหวังกับประเทศเจ้าภาพมาก

    บริษัท สเปกตัค ของ ริก เบิร์ช ระบุว่า เจ้าภาพกีฬาเครือจักรภพ 2010 ติดหนี้เงินบริษัทเขาอยู่ 350,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 10 ล้านบาท) บริษัท นอร์เวสต์ โปรดักชันส์ ผู้ดูแลเรื่องเสียงในพิธีจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30 ล้านบาท) และบริษัท ฮาวเวิร์ดแอนด์ซันส์ ผู้รับผิดชอบพลุไฟอีกจำนวน 300,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 9 ล้านบาท) รวมทั้งค่าชดเชยอีกประมาณ 900,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 27 ล้านบาท)

    เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียในกรุงนิวเดลี ก็ช่วยกดดันอินเดียให้เร่งชำระเงินแก่บริษัทต่างๆ รวมทั้งเควิน รัดด์ รัฐมนตรีต่างประเทศแดนจิงโจ้ก็ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นหารือกับ เอส เอ็ม กฤษณา รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ระหว่างการเดินทางเยือนออสเตรเลียวันนี้

    มหกรรมกีฬาเครือจักรภพในกรุงนิวเดลี ต้องรอยมลทิน หลังขาดการจัดการที่ดี หมู่บ้านนักกีฬาก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ รวมทั้งเกิดข้อครหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน โดยมีการประเมินว่า ฝ่ายจัดการแข่งขันใช้เงินเกินงบประมาณไปถึง 3 เท่า

    Around the World - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตูนิเซียรวบญาติอดีต ปธน.ทรราชย์ 33 ราย - คณะรัฐมนตรีใหม่ลาออกยกชุด
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 มกราคม 2554 16:38 น.

    [​IMG]

    ประชาชนชาวตูนิเซียจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาล และพรรคอาร์ซีดี

    เอเอฟพี - สถานีโทรทัศน์ทางการตูนิเซีย เผย ญาติของ ซิเน เอล อาบิดีน เบน อาลี อดีตประธานาธิบดีที่เพิ่งถูกเตะออกจากอำนาจ ถูกจับกุมทั้งหมด 33 ราย ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ขณะที่รัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งสังกัดดพรรคของ เบน อาลี ก็ประกาศลาออกแล้วเช่นกัน

    สถานีโทรทัศน์รายงานภาพนาฬิกาข้อมือ เครื่องเพชร และเครดิตการ์ดจำนวนมาก ที่ยึดได้ในระหว่างบุกเข้าค้นทรัพย์สินของครอบครัวของ เบน อาลี ขณะที่อดีตผู้นำตูนิเซียรายนี้ได้ลี้ภัยไปยังซาอุดีอาระเบียตั้งแต่วันศุกร์ (14) หลังเกิดเหตุจลาจลนองเลือดในประเทศนานหลายสัปดาห์

    ในวันพุธ (19) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เปิดการสอบสวนอดีตประธานาธิบดี และครอบครัวของเขา ฐานปล้นเงินประเทศชาติ

    ข้อกล่าวหาดังกล่าวยังรวมถึงการได้ทรัพย์สิน และการโอนเงินอย่างผิดกฎหมาย โดยผู้ที่ตกเป็นเป้า ได้แก่ อดีตประธานาธิบดี เบน อาลี เลย์ลา ทราเบลซี ภรรยาของเขา พี่น้องของเธอ ลูกชายของเธอ และลูกๆ ของพวกเขาด้วย

    ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งข่าวซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ระบุว่า รัฐมนตรีทุกคนในพรรคพรรครณรงค์เพื่อประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ หรืออาร์ซีดีของ เบน อาลี ได้ลาออกจากพรรคทั้งหมดแล้ว

    ด้านสำนักข่าวตูนิเชียน หรือ ทีเอพี ก็ยังประกาศว่า รัฐมนตรีพรรคอาร์ซีดีทั้งหมดลาออกจากหน้าที่สำคัญของพวกเขาแล้ว ส่วนรักษาการประธานาธิบดี ฟูเอด เมบาซา และรักษาการนายกรัฐมนตรี โมฮาเหม็ด กานนูซี ต่างก็ลาออกจากพรรคตั้งแต่วันอังคาร (18) ที่ผ่านมา หลังรัฐบาลใหม่ตัดสินใจแยกองค์กรของรัฐ และพรรคการเมืองออกจากกัน


    Around the World - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...