เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. tung696969

    tung696969 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +1,689
    พึ่งซื้อมา ครับ 10 บาท (มีปัญญา แค่เนี้ยะ...555)
    [​IMG]
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมืองบราซิลร้าง หลังผู้คนอพยพหนีหายนะน้ำท่าม-โคลนถล่ม
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มกราคม 2554 02:45 น.
    เอเอฟพี - ยานพาหนะแถวยาวเหยียดพยายามหลบหนีออกจากเมืองโนวา ฟริเบอร์โก หนึ่งในเทศบาลที่ได้รับความเสียหายร้ายแรงจากอุทกภัยหายนะทางภาคตะวันออก เฉียงใต้ของบราซิล ที่คร่าชีวิตผู้คนไปร่วมๆ 500 ราย

    รถยนต์นับร้อยคันต้องหยุดรอต่อคิวและค่อยๆคลานขึ้นถนนสายหลักที่ถูก ดินถล่มซัดเสียไปครึ่งหนึ่งและใช้งานได้เพียงเลนเดียว ในความพยายามออกนอกเมือง แถมขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องคอยเปิดทางให้กับรถฉุกเฉิน ตำรวจและบรรทุกของทหารที่มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองด้วย

    เมืองแห่งนี้คือศูนย์กลางของหายนะที่บังเกิดกับบราซิลในสัปดาห์นี้ ขณะที่หน่วยกู้ภัยยังไม่ลดละความพยายามในการค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุน้ำไหล บ่าและโคลนถล่มที่คร่าชีวิตผู้คนในหลายพื้นที่ทางเขตหุบเขาใกล้กับนครริโอเด จาเนโร ไปแล้วกว่า 500 ศพ

    ในโนวา ฟริเบอร์โก ถนนสายต่างๆแออัดไปด้วยยานพาหนะที่ขนผู้คนอพยพออกจากเมือง ส่วนบางคันก็ขับวนไปรอบๆในความพยายามค้นหาญาติมิตรที่สูญหาย จนทำให้ทีมช่วยเฉินต้องเปิดไซเรนขอทางอยู่ตลอด ขณะที่ตำรวจจราจรในชุดกันฝนต้องคอยทำหน้าที่เปิดทางให้รถตักดินผ่านไปก่อน

    กระนั้นบรรยากาศในเมืองสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างด้วยร้านค้าต่างๆปิด บริการทั้งหมด โดยเจ้าของร้านบางคนมีสีหน้าโศกเศร้า ท้อแท้ หมดหวังระหว่างยกหีบห่อสินค้าขึ้นรถบรรทุกเพื่ออพยพ ส่วนคนยากจนต้องไปคุ้ยแคะซากหักพังตามภูเขาต่างๆสำหรับอะไรก็ตามที่สามารถนำ มาใช้ประโยชน์ได้

    ทว่าในความพยายามออกนอกเมืองของประชาชนโนวา ฟริเบอร์โก ต้องเจออุปสรรคสำคัญอีกอย่าง เมื่อหลายคนที่สามารถเดินทางได้เนื่องจากขาดแคลนน้ำมัน โดยมีรายงานว่า ณ สถานีบริการแห่งหนึ่งมีรถยนต์ต่อแถวรอเติมน้ำมันมากกว่า 60 คันเลยทีเดียว

    ย่ายใจกลางของเมือง จตุรัสแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าโบสถ์สีขาวเต็มถูกแทนที่ไปด้วยโคลน ขณะที่ตู้โทรศัทพ์สาธารณะของเมืองจำนวนมากต้องจมอยู่ใต้โคลนที่สูงในระดับ เอว ทั้งนี้แม้รถแทรกเตอร์พยายามอย่างหนักในการเข้าเคลียร์พื้นที่ แต่ดูเหมือนมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย

    "มันคือหายนะครั้งใหญ่หลวง เมืองแห่งนี้ถึงจุดจบแล้ว เมืองที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตอนนี้มันถึงจุดจบแล้ว" ชาวบ้านรายหนึ่งบอก ขณะที่โรงแรมต่างๆบอกว่าพวกเขาต้องสูญเสียรายได้มหาศาลหลายล้านดอลลาร์จาก วิกฤตโคลนถล่มครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้น ณ เวลาที่ตามปกติแล้วจะเป็นช่วงต้นฤดูกาลพักผ่อนช่วงฤดูร้อนของพื้นที่แถบนี้

    ทั้งนี้แม้รัฐบาลกลางและรัฐบาลแห่งรัฐ จะให้คำมั่นต่อการฟื้นฟูพื้นที่ แต่ด้วยขอบเขตความเสียหายที่กว้างขวาง จึงคาดหมายว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี
    [​IMG]

    368 Die in Brazil Slides

    <object height="385" width="640">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/gZsvYY4psJA?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" height="385" width="640"></object>
    Brazil Slammed by Deadly Slides


    <object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/wNkNHIRxoPQ?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/wNkNHIRxoPQ?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="385"></embed></object>
    Around the World - Manager Online -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2011
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลำดับเหตุการณ์จลาจลเลือดจนผู้นำตูนิเซียหลุดตำแหน่ง

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 15 มกราคม 2554 09:18
    [​IMG]


    เมื่อเดือนที่แล้ว คงไม่มีชาวตูนิเซียคนไหนเชื่อว่าเหตุการณ์จะมาถึงขั้นนี้
    แต่ สิ่งที่เริ่มต้นจากการประท้วงธรรมดาเพราะไม่พอใจอัตราว่างงานและราคาอาหาร ที่สูง ขยายวงอย่างรวดเร็วกลายเป็นการประท้วงที่ทำให้ประธานาธิบดีอบิดีน เบน อาลี ต้องลงจากอำนาจ จากฝีมือประชาชนที่อยู่ใต้อำนาจเขามาหลายปีนั่นเอง
     ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในช่วงเดือนที่ผ่านมาซึ่งทำให้ประธานาธิบดีหลุดจากอำนาจ
    17 ธ.ค. บัณฑิตว่างงานวัย 26 จุดไฟเผาตัวเอง ที่จตุรัสซิบียูซิด เพื่อประท้วงเพราะพยายามหาเลี้ยงชีพด้วยการขายผักแต่ถูกเจ้าหน้าที่ยึดแผง เป็นประจำเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต
    24 ธ.ค. ตำรวจยิงผู้ประท้วงคนหนึ่งในหมู่บ้านใกล้เมืองซิบียูซิด ทำให้มีผู้เสียชีวิตรายแรกจากการประท้วง
    28 ธ.ค. ประธานาธิบดีเบน อาลี ออกโทรทัศน์กล่าวว่าการประท้วงมีชนวนฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
    3 ม.ค. การประท้วงลุกลามไปเมืองทาลา
    5 ม.ค. บัณฑิตตกงานที่เผาตัวเองจนสร้างความสะเทือนแก่ประชาชนเกี่ยวกับปัญหาว่างงาน เสียชีวิตในโรงพยาบาล
    8-10 ม.ค. ผู้ประท้วงและตำรวจปะทะกันทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองคัสเซอร์รีน ทาลา และเรกูบ ทางการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 21 ราย แต่สหภาพแรงงานระบุว่าตัวเลขกว่า 50 ราย
    10 ม.ค. ประธานาธิบดีเบน อาลีระบุว่าผู้ประท้วงมีพฤติกรรมเยี่ยงผู้ก่อการร้ายเพราะทำลายสถานีตำรวจ และเผารถ พร้อมประกาศจะสร้างงาน 300,000 ตำแหน่งภายในปีหน้า
    11 ม.ค. เหตุวุ่นวายยังลุกลามไปทั่วประเทศ ทางการต้องสั่งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
    12 ม.ค. ประธานาธิบดีเบน อาลี ปลดรัฐมนตรีมหาดไทยและรับปากจะปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกคุมตัว รวมถึงตั้งคณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชัน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุผู้ประท้วงปะทะตำรวจเพิ่มขึ้น
    13 ม.ค. ประธานาธิบดีเบน อาลี ออกโทรทัศน์เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 เดือน เรียกร้องให้ตำรวจหยุดยิงเข้าใส่ผู้ประท้วง มีการยกเลิกการเซนเซอร์ทางอินเทอร์เน็ต นายเบน อาลีรับปาดจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยในอีก 3 ปีข้างหน้า มีรายงายผู้เสียชีวิตอีก 13 ราย
    14 ม.ค. ผู้ประท้วงชุมนุมครั้งใหญ่ในกรุงตูนิส เรียกร้องให้ประธานาธิบดีลาออก นายเบน อาลียุบสภา ประกาศจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด และประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่เย็นวันเดียวกันเขาก็ต้องบินไปลี้ภัยต่างประเทศ

    http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20110115/372062/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%87.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประมวลผู้นำที่ถูกประท้วงจนต้องเผ่นออกนอก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 15 มกราคม 2554 08:01
    [​IMG]


    ประธานาธิบดีไซเน เอล อบิดีน เบน อาลี แห่งตูนิเซีย บริหารประเทศมาตั้งแต่ปี 2530 และลาออกอย่างกระทันหันเมื่อวันศุกร์ พร้อมเดินทางออกนอกประเทศ
    การหนีออกนอกประเทศของนาย เบน อาลีมีขึ้นท่ามกลางเหตุจลาจลนองเลือด จนกลายเป็นผู้นำคนล่าสุดที่ต้องเผ่นออกนอกประเทศหลังจากได้รับแรงกดดันจาก ประชาชน
    ผู้นำของประเทศอื่นที่เผ่นออกนอกในทำนองเดียวกัน มีเช่น
    พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่านที่ถูกบีบให้เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากประชาชนลุกฮือประท้วง โดยพระองค์ทรงลี้ภัยที่อียิปต์เมื่อปี 2522
    ประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เทยเลอร์ แห่งไลบีเรีย ก็หนีออกจากไนจีเรียเมื่อปี 2546 หลังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มกบฎ บรรดาประเทศแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นพันธมิตรของเขา สหรัฐ และยูเอ็น
    ประธานาธิบดีกอนซาโล ซานเชซ เดอ โลซาดา แห่งโบลิเวีย ลาออกเมื่อเดือนต.ค. 2546 และขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปจากทำเนียบ มุ่งหน้าสหรัฐ ท่ามกลางเหตุจลาจลซึ่งมีผู้เสียชีวิต 80 ราย
    ประธานาธิบดีฌอง-แบร์ทร องด์ อริสทีด แห่งเฮติ ถูกบีบให้ลาออกและหนีออกนอกประเทศเมื่อปี 2547 หลังจากได้รับแรงกดดันจากประชาชนที่เดินขบวน รวมถึงแรงกดดันจากประชาคมโลก จนกระทั่งไปลี้ภัยในแอฟริกาใต้
    รัฐบาลของประธานาธิบดีอัสการ์ อคาเยฟแห่งคีร์กีซสถาน ล่มสลายภายในไม่กี่ชั่วโมงเมื่อเดือนพค. 2548 หลังจากถูกแรงกดดันจากผู้ประท้วงหลายพันคนที่ไม่พอใจผลการเลือกตั้งและการ คอร์รัปชัน นายอคาเยฟไปลี้ภัยที่รัสเซีย ประธานาธิบดีเคอร์มันเบก บาคิเยฟ ซึ่งรับตำแหน่งผู้นำใหม่ เผชิญชะตากรรมคล้ายกัน และต้องหนีไปเบลารุสในเดือนเม.ย. 2553 หลังจากเกิดเหตุจลาจลนองเลือดมีผู้เสียชีวิต 87 ราย
    ส่วนในโรมาเนีย เมื่อปี 2532 เผด็จการนิโคลา เคาเซสคู ต้องประหารชีวิตในการพิจารณาคดีที่ใช้เวลาวันเดียว หลังจากถูกประชาชนลุกฮือเรียกร้องให้ลงจากอำนาจและหนีออกนอกประเทศไม่ทัน
    ส่วน เมื่อปี 2543 นายสโลโบดาน มิโลเซวิช แห่งเซอร์เบีย ต้องลงจากอำนาจหลังจากประชาชนประท้วงการฉ้อโกงเลือกตั้ง เขาถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามของยูเอ็นที่กรุงเฮก และเสียชีวิตก่อนได้รับการพิพากษา
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เงินเฟ้ออินเดียพุ่ง 8.43%

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 14 มกราคม 2554 18:59
    [​IMG]
    อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 8.43% ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลที่จะควบคุมราคาอาหาร และความโกรธแค้นของผู้คนในเรื่องค่าครองชีพแพง
    ดัชนีราคาค้าส่ง ซึ่งเป็นข้อมูลหลักในการวัดระดับเงินเฟ้อของอินเดีย ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8.43% ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา จากระดับ 7.48% ในเดือน พ.ย. ทำให้มีความเป็นไปได้ ที่รัฐบาลกรุงนิวเดลี อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปลายเดือนนี้
    อัตราเงินเฟ้อดัง กล่าว ยิ่งทำให้รัฐบาลเอียงซ้าย นำโดยพรรคคองเกรส มีความกังวลมากขึ้น ในช่วงเวลาที่กำลังเจอปัญหาหลายเรื่อง รวมถึง ปัญหาคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังมองหามาตรการคุมราคาอาหารที่พุ่งสูง ขึ้นอย่างมาก
    ก่อนหน้านี้ นายประนาบ มุขเคอร์จี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ กับราคาอาหารที่พุ่งขึ้นมากถึง 16.9% ในช่วงเวลา
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อีซีบีชี้ตลาดเกิดใหม่เจอภัยคุกคามเงินเฟ้อ

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 11 มกราคม 2554 11:39
    [​IMG]


    ประธานธนาคารกลางยุโรป ชี้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีเกินคาด แต่ทำให้ตลาดเกิดใหม่เจอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
    นายฌอง คล็อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าววานนี้ (10 ม.ค.) ระหว่างการเป็นประธานในที่ประชุมเศรษฐกิจโลก ที่เมืองบาเซล สวิตเซอร์แลนด์ ว่า บรรดาตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น ผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ขึ้นเกินความคาดหมาย
    "เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การควบคุมตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก และเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการตัดสินใจอย่างเหมาะสม"
    ทั้งนี้ บรรดานักกำหนดนโยบายทั่วโลก มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับภัยคุกคามจากเงินเฟ้อ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ประกอบกับราคาอาหาร และน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้น
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Nibiru, Planet X: HERCOLUBUS IS THE NAME

    <object height="385" width="640">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/lYNA9ivrLpg?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" height="385" width="640"></object>

    AlcyoneAssociation | October 01, 2009
    Ask for a FREE copy of "Hercolubus or Red Planet". You can request a copy of the book at:

    http://www.hercolubus.tv
    http://www.planetahercolubus.com
    ________________________________________

    Because of the immense importance of this universal message for humanity, during the years 2009 and 2010 the Association Alcione is sending by mail free printed copies of the book "Hercolubus or Red Planet" to any place worldwide.

    There are translations to numerous languages.
    ________________________________________

    Hercolubus, a planet so called by the sages of antiquity, is approaching our Solar System and is the cause of great concern for those who know about such cosmic phenomena.

    In our former encounter, Hercolubus put an end to the Atlantean civilisation. These facts are duly related through all the "Universal Floods" of different religions and cultures.

    The consequence of the very close proximity of Hercolubus will be great upheaval in all corners of our planet.

    The internal fire will bring about innumerable volcanoes and earthquakes.

    When Hercolubus is very close, a complete revolution of the Earth's axis will take place.

    Throughout all the ages, great sages have deeply investigated the return of the "Red Planet" and have alerted us about this cosmic phenomenon.

    The last great testimony was that of V.M. Rabolu, who left a universal message to humanity through his work "Hercolubus or Red Planet".

    In his message, V.M. Rabolu points out the elimination of the psychological defects and the conscious astral projection as the only existing formulas to escape the forthcoming cataclysm.

    All those who work for their own spiritual regeneration will be taken to a safe place...
    ขอคัดลอกไม่เสียค่าใช้จ่ายของ"Hercolubus หรือ Red Planet" คุณสามารถขอสำเนาหนังสือที่ :

    Free copy of the book “Hercolubus or Red planet” by V.M. Rabolu
    Free copy of the book “Hercolubus or Red planet” by V.M. Rabolu
    ________________________________________

    เนื่องจาก มีความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของข้อความนี้เพื่อมนุษยชาติสากลในระหว่างปี 2009 และ 2010 สมาคม Alcione คือการส่งโดยพิมพ์สำเนาจดหมายฟรีหนังสือ"Hercolubus หรือดาวเคราะห์แดง"ที่จะวางทั่วโลกใด ๆ

    มีคำแปลในภาษาเป็นจำนวนมาก
    ________________________________________

    Hercolubus, ดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโดย sages ของโบราณ, อยู่ใกล้ระบบสุริยะของเราและเป็นสาเหตุของความกังวลมากสำหรับผู้ที่รู้ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวเกี่ยวกับจักรวาล

    ในการพบกับอดีตของเรา Hercolubus หมดสิ้นอารยธรรม Atlantean ข้อเท็จจริงเหล่านี้เกี่ยวข้องกันรับรองสำเนาถูกต้องผ่านทั้งหมด"Universal น้ำท่วม"ของศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

    ผลพวงจากความใกล้ชิดอย่างใกล้ชิดของ Hercolubus จะได้รับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่ดีในทุกมุมของโลกของเรา

    ไฟไหม้ภายในจะนำมานับไม่ถ้วนเกี่ยวกับภูเขาไฟและการเกิดแผ่นดินไหว

    เมื่อ Hercolubus อยู่ใกล้, การปฏิวัติที่สมบูรณ์ของแกนของโลกจะเกิดขึ้น

    ตลอดทุกเพศทุกวัย, sages ดีได้ศึกษาลึกกลับมาของ"Red Planet"และได้รับการแจ้งเตือนเราเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของจักรวาลนี้

    พยานหลักฐานที่ดีที่ผ่านมาว่าของ V.M. Rabolu ที่ด้านซ้ายข้อความต่อมนุษยชาติสากลผ่านการทำงาน"Hercolubus หรือ Red Planet"ของเขา

    ในข้อความนี้ V.M. ของเขา Rabolu ชี้การกำจัดของเสียทางด้านจิตใจและประมาณการเกี่ยวกับดาวสติเป็นสูตร(สติปัฎฐานสูตร?)ที่มีอยู่เท่านั้นที่จะหลบหนีความหายนะกำลังจะมาถึง

    ทุกคนที่ทำงานเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขาเองก็จะถูกนำไปที่สถานที่ที่ปลอดภัย ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2011
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ ที่ 15 ม.ค. 2554


    เผยจีนจะประจำการทหารในเกาหลีเหนือ


    [​IMG]


    โซล 15 ม.ค.- หนังสือพิมพ์โชซอนอิลโบของเกาหลีใต้รายงานวันนี้ว่า จีนกำลังหารือเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการประจำการทหารในเกาหลีเหนือเป็นครั้งแรกนับแต่เมื่อปี 2537

    รายงานอ้างเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ว่า รัฐบาลจีนและเกาหลีเหนือได้หารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการประจำการทหารจีนในเมืองราซอนทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาหลีเหนือเมื่อไม่นานมานี้ โดยทหารเหล่านั้นจะทำหน้าที่ปกป้องท่าเรือของจีน แต่จุดประจำการดังกล่าวสามารถทำให้ทหารเหล่านั้นสามารถเข้าไปถึงทะเลญี่ปุ่นได้ ด้านเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการเปิดทางให้จีนเข้ามาแทรกแซงหากเกาหลีเหนือขาดเสถียรภาพ

    จีนได้รับสิทธิ์ให้ใช้ท่าเทียบเรือที่เมืองราซอนเมื่อปี 2551 ขณะที่เกาหลีเหนือยังคงต้องพึ่งพาจีนต่อไปท่ามกลางการเผชิญหน้าทางนิวเคลียร์กับสหรัฐและพันธมิตร ทหารจีนกลุ่มสุดท้ายเดินทางออกจากเกาหลีเหนือเมื่อปี 2537 เมื่อจีนถอนตัวออกคณะกรรมาธิการกำกับดูแลการสงบศึกซึ่งเป็นการสิ้นสุดสงครามเกาหลีระหว่างปี 2493-2496 .-สำนักข่าวไทย

    วันเสาร์ ที่ 15 ม.ค. 2554

    ที่มา http://www.mcot.net<!-- google_ad_section_end -->
    เครดิต คุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1159
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2011
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

    CASH or GOLD ???


    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/-HaqwFJj4ZY?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เงินเฟ้อเกิดจากสองลักษณะ คือ
    1.cost push
    2.demand pull

    แต่เงินเฟ้อในปัจจุบัน
    เกิดจาก cost push
    เนื่องจากการเพิ่มขี้นของราคาน้ำมันที่สูงมาก

    ประเทศไทยเราก็แก้ไขได้เหมาัะสม
    ด้วยการใช้งบประมาณขาดดุล
    และการควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์
    การที่คงอัตตราดอกเบี้ยในระดับต่ำก็เหมาะสม
    เพราะถ้าไปขึ้นอัตราดอกเบี้ย
    คราวนี้เงินเฟ้อไม่พอ ก็ยังจะไปเจอเงินฝืดเข้าไปอีก
    ข้าวยากหมากแพงแหละทีนี้

    รัฐบาลไทยผมว่าเ้ค้าทำได้เหมาะสมดีแล้วนะ

    ส่วนราคาทองคำ
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาทองคำ
    ที่ดูในงานวิจัยเท่าที่จำได้
    ก็น่าจะมี
    ราคาน้ำมัน(ราคาน้ำมันสูงทองขึ้น)
    ค่าเงินดอลล่าร์(เงินดอลอ่อนค่าทองขึ้น)
    รายได้ประชาชาติ(รายได้ประชากรโลกสูงทองขึ้น)
    และอะไรอีกจำไม่ได้

    จาก ราคาน้ำมัน ค่าเงินดอล ในปัจจุบัน
    ก็พยากรณ์ได้ว่าทองขึ้นแน่นอน

    ส่วนรายได้ประชาชาติ ประเทศที่บริโภคทองมากที่สุดมี 2 ประเทศ
    คือจีน กับ อินเดีย
    การบริโภคทองของสองประเทศนี้
    ดูแล้วน่าจะมากกว่า 1 ใน 3 ของการบริโำภคทองของโลก
    แล้วเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ดีมาก ดูได้จาก GDP
    รายได้ของประชากร 2 ประเทศนี้ก็เพิ่มขึ้น
    ก็พยากรณ์ได้ว่าราคาทองต้องขึ้นแน่

    ราคาทองก็เป็นไปตามกลไกตลาด
    สะท้อนสภาวะที่เป็นจริง
    ฟองสบู่ทงสบู่ทองอะไรไม่มีหรอก
    ตระหนกกันไปเองนั่นแหละ

    ก็เมื่อแบงค์ดอลล่าร์ ยังกับ แบงค์กงเต๊ก
    ใครจะไปกล้าถือดอลล่าร์ล่ะ เค้าก็ไปถือทองแทนสิ
    จะไปลงทุนก็เสี่ยงเพราะผู้บริโภครายใหญ่
    อย่างอเมริกา อย่างยุโรปก็ร่อแร่
    ทองคำนี่ล่ะมั่นคงที่สุดตอนนี้

    เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ
    เดี๋ยวนี้เค้าเน้นทองคำ นะ เป็นทุนสำรอง
    เค้าไม่เน้นนะแบงค์ดอลลาร์

    หลวงตามหาบัวท่านมีอนาคตังสญาณมั้ยล่ะ
    ท่านรวบรวมทองคำของพ่อแม่พี่น้องชาวไทย
    เข้าคลังหลวงเข้าเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
    ตั้งแต่เมื่อปี 41 ราคาทองตอนนั้นเท่าไหร่
    แล้วนี่ปี 54 ราคาทองฟาดไปบาทละเ่ท่าไหร่แล้ว

    ถ้าว่าหลวงตาลงทุนซื้อทองคำ หลวงตารวยเละไปแล้ว
    แต่นี่หลวงตามอบไว้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลานชาวไทย
    เอาไว้ไนคลังหลวง หลวงตาไม่เอาแม้สตางค์เดียว

    หลวงตาท่านมีความกรุณาต่อคนไทยแค่ไหนคิดดูเอา
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/sB5-WY6e_2M?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/sB5-WY6e_2M?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/V9rvBLxGs-8&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/V9rvBLxGs-8&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    ชมคลิปวิดีโอ J-20 เครื่องบินล่องหนลำแรกของจีน ทดลองบินที่เฉิงตู
    ASTVผู้จัดการ/ไชน่า เดลี่ - ชมคลิปวิดีโอเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 ลำแรกของจีนทดลองบินเป็นครั้งแรกที่เมืองเฉิงตู เสฉวน วานนี้ (11 ม.ค.) ก่อนเข้าประจำการในอีก 6-8 ปีข้างหน้า
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
    China - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จอมแฉชาวสวิสเตรียมเผยบัญชีธนาคาร “เศรษฐี-นักการเมือง” ทั่วโลกผ่าน “วิกิลีกส์”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2554 17:13 น.
    [​IMG]
    รูดอล์ฟ เอลเมอร์ อดีตนายธนาคารจอมแฉชาวสวิส [​IMG]

    เอเอฟพี - รูดอล์ฟ เอลเมอร์ อดีตนายธนาคารจอมแฉชาวสวิส มีแผนจะส่งซีดีจำนวน 2 แผ่น ซึ่งบันทึกข้อมูลบัญชีธนาคารของเศรษฐีและนักการเมืองทั่วโลกราว 2,000 คน ที่หลีกเลี่ยงภาษีให้แก่วิกิลีกส์ บทสัมภาษณ์ เอลเมอร์ ซึ่งเผยแพร่วันนี้ (16) ระบุ

    “เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้อาศัยนโยบายเก็บความลับของธนาคารเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี” เอลเมอร์ ให้สัมภาษณ์กับกับหนังสือพิมพ์ซอนน์แท็กของสวิตเซอร์แลนด์

    ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งถึงมือวิกิลีกส์ในวันจันทร์ (17) ระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงลอนดอน ซึ่ง จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ จะมาปรากฏตัวด้วย

    อย่างไรก็ตาม เอลเมอร์ กล่าวว่า วิกิลีกส์อาจยังไม่เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ในทันที เนื่องจาก “จะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อน และหากมีส่วนใดที่เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี ก็จะนำมาเผยแพร่ภายหลัง”

    เอลเมอร์ เปิดเผยว่า ซีดีทั้ง 2 แผ่นบรรจุข้อมูลบัญชีธนาคารของมหาเศรษฐี, บริษัทข้ามชาติ และกองทุนป้องกันความเสี่ยงจากหลายประเทศ ซึ่งได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, สหรัฐฯ, เยอรมนี และ อังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีบัญชีธนาคารของนักการเมืองอีกราว 40 คน

    ข้อมูลทั้งหมด “ได้มาจากสถาบันการเงินอย่างน้อย 3 แห่ง ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 1990-2009” เอลเมอร์ ระบุ

    เอลเมอร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการธนาคาร จูเลียส แบร์ บนหมู่เกาะเคย์แมน จะเดินทางไปขึ้นศาลนครซูริกในวันพุธ (19) นี้ หลังถูกฟ้องข้อหาละเมิดกฎการรักษาความลับของธนาคารโดยเปิดเผยข้อมูลของ ลูกค้าแก่วิกิลีกส์เมื่อปี 2007

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000006096
     
  14. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    ยอดขายรถตลาดยุโรปร่วงต่อเนื่อง



    Posted on Monday, January 17, 2011

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE id=Table1 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    สมาคมผู้ผลิตรถในยุโรปรายงานยอดจดทะเบียนรถใหม่เดือนธันวาคม

    ลดลงในอัตรา 2.7% ต่อปี ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 แล้ว
    ภายหลังมาตรการสนับสนุนต่างๆ จากภาครัฐหมดอายุลง

    สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของยุโรป (EAMA) กล่าวในแถลงการณ์วันนี้ว่า
    ยอดขายตลาดรถยุโรปในปีที่แล้วร่วงลง 4.9% มาอยู่ที่ 13.8 ล้านคัน

    โครงการส่งเสริมลดการใช้รถเก่า ที่นำรถเก่ากินน้ำมัน มาแลกกับรถใหม่
    ที่ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ช่วยฟื้นดีมานด์ในหลายประเทศของยุโรป
    ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก่อนเพิ่งจะมาสิ้นสุดลงเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

    และในเดือนธันวาคม ดีมานด์รถใหม่ก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ไม่ว่าจะเป็นที่
    สเปน อิตาลี หรือสหราชอาณาจักร ขณะที่ทางฝรั่งเศสก็เผยว่าดีมานด์ใน
    ประเทศลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่ตลาดเยอรมันกลับเพิ่มขึ้นมาได้
    เกือบ 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

    สำหรับค่ายผู้ผลิตรถยนต์หรู BMW มียอดจดทะเบียนรถใหม่เพิ่มขึ้น 13%
    มาอยู่ที่ 67,000 คันโดยมีรถยี่ห้อมินิ เป็นตัวผลักดันยอดขาย

    ส่วนค่าย Daimler ผู้ผลิตรถหรูอีกรายของเยอรมัน กลับมียอดจดทะเบียนรถ
    ใหม่ในยุโรปที่ลดลง 1.9 % ขณะตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของรถแบรนด์หรู
    Mercedez Benz กลับไม่ได้ช่วยชดเชยยอดขายรถขนาดเล็กยี่ห้อ
    Smart ของตนที่ดิ่งลงถึง 33%ได้

    ทางด้านยอดขายในยุโรปของ General Motors ก็พบว่ามีการจดทะเบียน
    รถใหม่ถึงราว 102,900 คันในเดือนที่แล้ว ซึ่งสูงขึ้นมา 16% โดยมียี่ห้อ
    Opel กับยี่ห้อ Vauxhall เป็นตัวนำ

    ส่วนทางฝั่งค่ายรถญี่ปุ่น อย่าง Toyota Motor มียอดขายที่ 44,500 คัน
    หรือลดลง 7.6% เมื่อเทียบกับยอดขายของ Nissan Motor ซึ่งเป็นผู้ผลิต
    รถสัญชาติเดียวกัน ที่มียอดขายลดลง 8% มาอยู่ที่ 30,500 คัน

    ที่มา : ยอดขายรถตลาดยุโรปร่วงต่อเนื่อง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'น้ำมันปาล์ม’ ขึ้นราคาและขาดตลาด กระทะสะท้าน แม่ค้าสะเทือน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มกราคม 2554 18:48 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ในเมนูหนึ่งมื้อ อาหารยอดฮิตของชาวไทย หนึ่งจาน เช้า กลางวัน เย็น ยังไงก็ต้องมีอาหารประเภททอดหรืออาหารที่ใช้น้ำมันรวมอยู่ด้วยไม่มากน้อย ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว อย่าง ปลาทูทอด ไข่เจียว ยำปลาดุกฟูทอดกรอบ หมูทอด หรือจะเป็นอาหารหวาน เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด และสาราพัดเมนูทอดนานาชนิด

    ขณะเดียวกัน ในโมงยามนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทอด ต้องบริโภคหรือใช้ประโยชน์จากน้ำมันพืชจากน้ำมันปาล์มอยู่ในขณะนี้ก็ต้องปาดเหงื่อไปตามๆ กัน เพราะทั้งแพงและขาดตลาด บ้างหันไปบริโภคน้ำมันประเภทอื่นๆ แทน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันหมู น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ แต่ก็ล้วนแพงกว่าน้ำมันปาล์มทั้งสิ้น

    ด้วยราคาน้ำมันปาล์มในท้องตลาด ที่ถูกอนุมัติให้ขึ้นราคาไปถถึง 9 บาท ณ เวลานี้ แล้วก็ขาดแคลนจนกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปแล้วโดยปริยาย ซึ่งน่าจะเป็นชนวนระเบิดของปากท้องคนไทยที่ถูกจุดขึ้นลูกแรกๆ เพื่อรอระเบิดของแพงตามมาอีกระลอกใหญ่…

    ที่มาของการขาดตลาดและแพง!

    ภาพปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดและปรับราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องเ ริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา สาเหตุด้วยสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ประจวบเหมาะกับการที่ชาวสวนปาล์มหันไปนิยมปลูกยางพาราแทน เพราะราคายางพารากำลังไปได้สวย ทำให้ผลผลิตจากต้นปาล์มออกมาสู่ตลาดน้อยและสวนทางกับความต้องการที่มีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงน้ำมันปาล์มถูกนำไปใช้ในการผลิตในภาคพลังงานทดแทนอย่างอิสระ ทั้งหมดนี้จึงร่วมกันส่งผลให้ราคาปาล์มดิบในท้องตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลไปยังปากท้องของประชาชนคนบริโภคน้ำมันปาล์มกันถ้วนหน้า

    มงคล สิมะโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาคณะกรรมการสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวไว้ว่า สาเหตุเกิดจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลมีมากขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อการบริโภคน้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมทั้งการบริโภคภายในครัวเรือน เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรแก้ปัญหาด้วยการหยุดหรือชะลอการผลิตไบโอดีเซลไว้ชั่วคราว เพื่อปรับความต้องการและจัดหาให้สมดุล

    แม่ค้าดิ้นรนหาทางเลือกใหม่ (ให้รอด)

    จะให้รอความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ประชาชนตาดำๆ ที่หาเช้ากินค่ำจึงเริ่มหาทางออกให้แก่ปัญหาด้วยตัวเองไปก่อน

    การปรับตัวของแม่ค้า แม่บ้านและกลุ่มคนที่เคยบริโภคน้ำมันพืชจากน้ำมันปาล์ม เริ่มมีให้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะเมื่อเดินไปซื้อน้ำมันปาล์มที่ห้างไหน ร้านมินิมาร์ทไหนก็เจอป้ายฉลากติดไว้ว่า 'สินค้าหมด' หรือบางที่ก็เขียนราคาแพงเกินความเป็นจริงจึงทำให้แม่ค้าบางรายต้องหันหน้าไปหาน้ำมันชนิดอื่นๆ แทน
    โดยเฉพาะแม่ค้าที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพื่อทอดอาหารในปริมาณมากๆ อย่าง นงค์ ผาจันทร์ แม่ค้าขายปาท่องโก๋ที่บอกว่า ราคาน้ำมันปาล์มขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็พอรับรู้ว่ากลายเป็นปัญหาของตัวเองด้วยเหมือนกัน

    “ไปซื้อในห้างก็ไม่มีขายแล้วนะ หรือมีก็แพง เราก็หันไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนไปก่อน แต่ถ้าน้ำมันถั่วเหลืองแพงและขาดตลาดอีก เราก็ต้องหาน้ำมันอย่างอื่นมาแทน อย่างน้ำมันหมู แต่จะไหวหรือเปล่าไม่รู้นะ”

    แม่ค้ากล้วยทอดที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันปาล์มอีกรายบอกว่า ถึงแม้ราคาน้ำมันปาล์มจะแพงขึ้น แต่ราคากล้วยทอดก็ไม่ได้ขึ้นตามไป แต่จะเป็นการลดปริมาณในของที่ขายมากกว่า

    “ถ้าซื้อ 10 บาท ปกติจะได้ 7 ชิ้น ก็ลดเหลือ 5 ชิ้น เพราะน้ำมันแพงและของมันขาดตลาด แล้วตอนเราซื้อน้ำมันถั่วเหลืองแทนซื้อทีเป็นปี๊บเลยมันถึงจะคุ้มได้กำไรหน่อย แต่ตอนนี้ก็เริ่มสู้ไม่ไหว คิดเหมือนกันว่าจะเปลี่ยนมาขายอย่างอื่นแทนก่อน เพราะสู้ราคาไม่ไหวถ้าราคาลงมาแล้วค่อยไปขายกล้วยทอดใหม่” บังออน เสือผ่อง แม่ค้าขายกล้วยทอดเล่าถึงการปรับตัวให้รับกับสภาพความเป็นจริง

    จินตนา นาคบาตร แม่ค้าขายสลัดที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันในการประกอบอาหารเล่าว่า ราคาน้ำมันรวมๆ ตอนนี้แพงมากขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อก่อนราคาประมาณ 38 บาทต่อขวดลิตร ตอนนี้ขึ้นราคามาประมาณ 47- 50 บาท

    “แล้วตอนนี้ไม่มีน้ำมันปาล์มขายเลย หมดตลาด ช่วงก่อนหน้านี้เรารู้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้น ก็ซื้อตุนไว้เลยเพราะว่าเราขายสลัดต้องใช้น้ำมันเยอะ แต่ถ้าน้ำมันปาล์มที่ตุนไว้หมดคงต้องใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทน”

    ไม่บริโภคน้ำมันปาล์ม

    ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปาล์มแพงและขาดตลาดอย่าง นันทิดา ปัญญาบารมี นักศึกษาปริญญาโท ของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการโรงแรมแห่งหนึ่งบอกว่า ส่วนใหญ่ชีวิตของเธอก็ไม่ค่อยได้บริโภคน้ำมันชนิดนี้สักเท่าไร ส่วนมากเธอมักจะใช้ประโยชน์จากน้ำมันชนิดอื่นๆ มากกว่า

    “น้ำมันปาล์มนี่จะกินก็ต่อเมื่อก้าวออกมานอกบ้านเท่านั้นแหละ คือบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นน้ำมันปาล์ม ที่เราไม่กินไม่ใช้ในบ้าน เพราะน้ำมันปาล์มมันมีภาพลักษณ์ทำให้เรานึกถึงของทอด ใช้น้ำมันเยอะๆ ซื้อทีก็ต้องซื้อเป็นปี๊บและมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าเป็นการใช้ในบ้านอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นน้ำมันถั่วเหลือง

    “คือถ้าจะทำอาหารที่เป็นพิเศษ เช่น อาหารอิตาเลียน ก็ต้องใช้น้ำมันมะกอก ส่วนน้ำมันมะพร้าวนี่ก็มีเหตุผลเรื่องสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างการกิน การหมักผม ส่วนน้ำมันหมูนั้นก็เป็นสิ่งที่ใช้บ้างในบางกรณี อย่างเวลาทำก๋วยเตี๋ยวกินก็ต้องเจียวกากหมูเอง

    นันทิดาบอกว่า น้ำมันปาล์มไม่มีคาแรกเตอร์ทางรสชาติพอที่จะเอามาทำอะไรได้ ที่ผ่านมาเป็นที่นิยมก็เพราะใช้ได้และถูก

    “เอามาทอดของขายได้ทีละเยอะ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็เป็นคนละวัตถุประสงค์กับการใช้ในครัวเรือนอยู่แล้ว เพราะการทำอาหารในครัวเรือนกินกันเองนี่เราชอบของที่มีรสชาติอร่อย ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้น้ำมันปาล์ม”

    และเมื่อถามว่าการขึ้นราคาของน้ำมันปาล์มนั้นมีผลกระทบต่อเธอหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่ามีบ้าง แต่ก็ไม่มากเหมือนกับคนที่ใช้น้ำมันปาล์มบ่อยๆ

    “ผลกระทบนั้น มันมีส่วนทำให้น้ำมันพืชโดยรวมแพงขึ้นนะ อย่างน้ำมันถั่วเหลืองนี่ก็แพงขึ้นนะ แล้วมันก็ทำให้น้ำมันโดยรวมหาซื้อได้ยากขึ้น เวลาเราไปห้างฯ เขาก็จำกัดจำนวนซื้อ ซึ่งตอนนี้พวกน้ำตาลก็เป็นร้านสะดวกซื้อบางทีก็ไม่มีขาย แต่อย่างน้ำตาลนี่เขาก็ผลิตมาอีกเกรดหนึ่ง แพงขึ้นมาทำแพกเกจให้ดีขึ้น และเฉพาะเจาะจง เชื่อว่าอีกหน่อยพวกน้ำมันคงจะเป็นอย่างนั้น คือจะยกระดับตัวเองขึ้นมาจากอาหารพื้นฐาน กลายเป็นของที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น ถ้าหากมันยังคงขาดตลาดต่อไป”

    ……….

    ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างทั่วถึง การเอาตัวรอดตามแบบฉบับความคิดและแนวทางของใครของมันก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งในตอนนี้ เพราะถ้าหากจะมัวรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียวก็อาจจะถึงคราวอดตายกันจริงๆ ก็ได้

    >>>>>>>>>>
    ……..

    เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
    ภาพ : ทีมภาพ CLICK

    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000006111
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นายกฯ‘มือสะอาด’ของอินเดียกำลังอยู่ในช่วง‘จมปลัก’
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ราชา มุรธี</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มกราคม 2554 23:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์Asia Times Online :: Asian news hub providing the latest news and analysis from Asia)

    India's 'Mr Clean' in muddy times
    By Raja Murthy
    13/01/2011

    นายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ ของอินเดีย กำลังต่อสู้ดิ้นรนหนักเพื่อรักษาเครดิตความน่าเชื่อถือของคณะรัฐบาลของเขา สืบเนื่องจากกรณีคอร์รัปชั่นอันอื้อฉาวของพวกพรรคร่วมรัฐบาลผสม แล้วยังบวกด้วยวิกฤตราคาอาหารที่กำลังทำให้ความยากลำบากทางเศรษฐกิจยิ่งหนักหน่วงสาหัสขึ้นไปอีก เขาจะต้องตัดสินใจเลือกให้ชัดเจนเด็ดขาด ระหว่างการเก็บรักษากลุ่มที่เปรอะเปื้อนความทุจริตเอาไว้เพื่อประคับประคองให้คณะรัฐบาลผสมยังคงครองอำนาจต่อไป หรือไม่ก็ต้องหั่นเฉือนพวกคนเหล่านี้ทิ้งไป แต่นั่นก็มีความเสี่ยงที่จะต้องลงเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดวาระ

    มุมไบ – นายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ ของอินเดียกำลังตกอยู่ในสภาพที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ในเมื่อภาพลักษณ์ “มิสเตอร์คลีน” ใจซื่อมือสะอาดของเขากำลังถูกคุกคามสั่นคลอนจากหลายๆ กรณีทุจริตคอร์รัปชั่นอื้อฉาวของพวกพรรคร่วมรัฐบาลผสม ยิ่งกว่านั้นราคาอาหารและภาวะค่าครองชีพก็กำลังพุ่งลิ่วซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายไม่สงบทางสังคมขึ้นมา

    ขณะที่พวกฝ่ายค้านในแวดวงการเมืองไม่มีใครเลยที่ตั้งคำถามแสดงความกังขาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตของตัวนายกฯมานโมหัน แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่า พรรคคองเกรส (Congress) ของเขาซึ่งเป็นผู้นำของคณะรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคและกลุ่มการเมืองประมาณ 10 ฝ่าย โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า พันธมิตรก้าวหน้าสามัคคี (United Progress Alliance หรือ UPA) นั้น กำลังช่วยเหลือปกป้องผู้คนในพันธมิตรที่เป็นพวกฉ้อฉล ตลอดจนเป็นพวกที่มีผลประโยชน์ผูกพันกับกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มอย่างเหนียวแน่น

    เวลานี้มานโมหันและพรรคคองเกรสของเขาจึงกำลังจะต้องตัดสินใจเลือกอย่างจริงจังเด็ดขาด ระหว่างการเก็บรักษาพวกที่เปรอะเปื้อนความทุจริตเอาไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าพันธมิตร UPA จะสามารถบริหารประเทศไปได้ตลอดวาระห้าปีเป็นวาระที่สองติดต่อกัน หรือไม่ก็จะต้องตัดขาดแยกทางกับคนเหล่านี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้อยู่มากที่จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดโดยพรรคคองเกรสจะประสบความพ่ายแพ้

    จวบจนถึงเวลานี้ รัฐบาลใช้ท่าทีปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ขนาดขอบเขตของกรณีคอร์รัปชั่นที่ฉาวโฉ่ที่สุด นั่นคือ เรื่องการให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือแบบไม่ชอบมาพากลซึ่งกำลังเป็นสร้างแรงสะท้านสะเทือนไปทั่วประเทศ ทั้งนี้ในปีที่แล้ว เอ ราชา (A Raja) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการสื่อสาร ได้ถูกกล่าวหาว่าจัดสรรสัมปทานคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือระบบ 2 จี โดยใช้วิธีใครมาก่อนได้ก่อน แทนที่จะเปิดประมูลหาผู้เสนอราคาสูงสุด จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ที่พึงได้ไปถึงประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์

    กระทั่งถึงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มานโมหันก็ยังถูกมองว่าเอาแต่พยุงตัวเองให้ล่องลอยอยู่บนห้วงน้ำสกปรกขุ่นคลักของการเมืองแห่งรัฐบาลผสม แต่เมื่อตระหนักถึงอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป มานโมหันจึงได้จัดการประชุมฉุกเฉินกับพวกรัฐมนตรีคนสำคัญๆ ในตอนเช้าของวันอังคารที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อหาวิธีรับมือแก้ไขวิกฤตราคาอาหารที่กำลังไต่ขึ้นไม่ยอมหยุด

    ราคาอาหารประจำวันพื้นฐานไม่ว่าจะเป็น ผลไม้, ไข่, และเนื้อสัตว์ ต่างกำลังขยับขึ้นอย่างน่าใจหาย จนทำให้อัตราเงินเฟ้อของสินค้าประเภทอาหารอยู่ในระดับเกือบๆ 17% แล้ว หัวหอมใหญ่ที่เป็นอาหารสำคัญของชาวอินเดียทั่วไป เวลานี้ทะยานขึ้นไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.67 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ค่าจ้างโดยเฉลี่ยของประชาชนแดนภารตะอยู่ที่วันละ 2.23 ดอลลาร์ “เวลานี้ราคาอาหารกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่กลับดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถที่จะเข้าไปจัดการควบคุมอะไรได้” ปราสันนา อนันธาสุพรามาเนียม (Prasanna Ananthasubramaniam) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งฐานอยู่ในนครมุมไบ (บอมเบย์) ของบริษัทหลักทรัพย์ ไอซีไอซีไอ ซีเคียวริตีส์ ไพรมารี ดีลเลอร์ชิป (ICICI Securities Primary Dealership) บอกกับสำนักข่าวบรูมเบิร์กเช่นนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคม

    ขณะที่วิกฤตราคาอาหารกำลังทำท่ากลายเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งขึ้นทุกทีนี้เอง ปรากฏว่า รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ชารัด ปาวาร์ (Sharad Pawar) ซึ่งเป็นบุคคลระดับอาวุโสในคณะรัฐบาลผสมชุดนี้ ก็กลับกำลังถูกกล่าวหาโจมตีว่าทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งๆ ที่ไฟกำลังไหม้ใกล้เข้ามาทุกขณะ กล่าวคือในโมงยามที่ประเทศทุกข์ยากเดือดร้อนจากวิกฤตอันเกี่ยวข้องกับการเกษตรครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปีอยู่นี้ ปาวาร์กลับทำท่าว่าให้ความสนใจมากกว่ากับการประกอบกิจกรรมของเขาในฐานะที่เป็นประธานของสภากีฬาคริกเก็ตระหว่างประเทศ (International Cricket Council) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ดูไบ โดยที่ทางสภากำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมงานจัดการแข่งขันคริกเก็ต เวิลด์ คัป (Cricket World Cup) ซึ่งอินเดียจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกุมภาพันธ์นี้

    พรรคดราวิดา มุนเนตรา คาชากัม (Dravida Munnetra Kazhagam หรือ DMK) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองระดับภูมิภาคที่มีอิทธิพลสูงใน 2 รัฐทางตอนใต้ของอินเดีย ก็ถูกมองว่าเป็นภาระหนักอึ้งอีกอย่างหนึ่งที่ผูกอยู่รอบคอของมานโมหัน พรรค DMK นี้เองคือพรรคที่รับผิดชอบกระทรวงการสื่อสารในตอนที่พัวพันกับกรณีอื้อฉาวการจัดสรรคลื่นความถี่ 2 จี ด้วยเหตุผลซึ่งมีแต่พรรค DMK เองคือผู้ที่ทราบดีที่สุด พรรคนี้ยืนกรานให้สมาชิกของตนเข้าเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงนี้ตลอดทั้ง 2 วาระที่พันธมิตร UPA ครองอำนาจเป็นรัฐบาล โดยที่ เอ ราชา ผู้ลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ก็เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีการสื่อสารที่สังกัดพรรค DMK เช่นกัน

    ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญยิ่งของเรื่องนี้ คือ มุธุเวล กรุณานิธิ (Muthuvel Karunanidhi) หัวหน้าพรรค DMK และ มุขมนตรีแห่งรัฐทมิฬนาฑู (chief minister of Tamil Nadu) ผู้ซึ่งเวลานี้อยู่ในวัย 86 ปี เขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อ นางโซเนีย คานธี (Sonia Gandhi) หัวหน้าพรรคคองเกรสเมื่อปี 2004 ตอนที่เธอนำพาพรรคของเธอชนะได้ที่นั่งมากกว่าพรรคภราติยะ ชนะตะ (Bharatiya Janata Party หรือ BJP) พรรคแกนนำรัฐบาลเดิมในการเลือกตั้งทั่วไปในปีนั้น

    เอ ราชาผู้เป็นอดีตรัฐมนตรีการสื่อสาร เป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาอบรมในทางกฎหมาย และเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความใกล้ชิดกับ กรุณานิธิ กานิโมซี (Karunanidhi Kanimozhi) บุตรสาวคนโปรดของ มุธุเวล โดยที่เวลานี้เธอดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาสูงของอินเดียอยู่ด้วย

    ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า พรรคคองเกรสกำลังแสดงความกตัญญูรู้คุณพรรค DMK สำหรับความสนับสนุนในอดีตที่ผ่านมา ทว่าราคาของการธำรงรักษาความสัมพันธ์ดังกล่าว (ซึ่งถึงขั้นทำให้มานโมหันกำลังถูกมองว่าสูญเสียอำนาจควบคุมประดาพรรคร่วมรัฐบาลผสมของเขา) อาจจะสูงลิ่วเกินไปเสียแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง DMK กับพรรคคองเกรส เริ่มทำท่ายุ่งยากไม่ราบรื่น หลังจากที่สำนักงานสอบสวนกลาง (Central Bureau of Investigation หรือ CBI) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่สุดในด้านการสืบสวนสอบสวนคดีความผิดต่างๆ ของอินเดีย เริ่มดำเนินการสอบสวนแผนกโลบายทุจริตคลื่นความถี่ 2 จี และทำท่าขยายเข้าไปตรวจสอบความเกี่ยวข้องของพรรค DMK ในเรื่องนี้ มานโมหัน ซิงห์ ต้องเดินทางไปพบปะกับ กรุณานิธิ ที่เมืองเชนไน (Chennai) เมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู ในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา โดยดูเหมือนกับเขาจะไปปลอบประโลมเอาอกเอาใจหัวหน้าพรรคร่วมพรรคหนึ่งในคณะรัฐบาลผสมของเขาผู้นี้

    สำนักงานสอบสวนกลาง ซึ่งรัฐบาลอินเดียเป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาโดยตรง ถูกกล่าวหาติเตียนอยู่เสมอว่า ไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องทุจริตอื้อฉาว เป็นต้นว่ามักจะบุกเข้าไปตรวจค้นจับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างเชื่องช้าเกินไป ทำให้คนเหล่านั้นมีเวลาที่จะทำลายประดาหลักฐานที่สามารถโยงใยเอาผิดกับพวกเขาได้ พวกนักวิพากษ์วิจารณ์ยังระบุด้วยว่า หน่วยงานนี้ละเลยไม่คิดรวบตัวใหญ่ระดับนักการเมืองเฮฟวี่เวต โดยมุ่งแต่จะจับกุมฟ้องร้องข้าราชการชั้นผู้น้อย ตลอดจนพวกผู้ช่วยส่วนตัวของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับแผนกโลบายทุจริต นั่นก็เท่ากับการปิดปากตัดตอนพวกที่อาจจะรู้เห็นอะไรๆ มากเกินไปแล้ว

    เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีข้าราชการ 2 คน ที่กำลังถูกขังอยู่ในเรือนจำติหาร์ (Tihar Jail) ของกรุงนิวเดลี เพื่อรอเวลาถูกพิจาณาคดีในศาลด้วยข้อหาทุจริตในโครงการอันเกี่ยวเนื่องกับการเตรียมจัดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ (Commonwealth Games) ปี 2010 ซึ่งจัดขึ้นในนครหลวงของอินเดียแห่งนี้ ปรากฏว่าทั้งคู่ได้ออกมาร้องทุกข์โวยวายว่า พวกเขากำลังตกเป็นเป้าถูกลอบสังหารเพื่อปิดปาก โดยที่มีเจ้าหน้าที่ของเรือนจำบางคนรู้เห็นเป็นใจด้วย

    พวกพรรคฝ่ายค้านก็เหมือนฉลามร้ายที่ได้กลิ่นเลือด จึงพากันเคลื่อนไหวด้วยการเรียกร้องให้จัดตั้งคณะสอบสวนร่วมของรัฐสภาขึ้นมาทำการสืบสาวหาความกระจ่างเกี่ยวกับคดีทุจริตสัมปทานคลื่นความถี่ 2 จี ครั้นเมื่อฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยินยอม พวกเขาก็คว่ำบาตรไม่ยอมเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา แทบจะตลอดทั้งสมัยการประชุมช่วงฤดูหนาวทีเดียว พรรคฝ่ายค้านเหล่านี้ทราบดีว่าผลพวงจากการผลักดันให้มีการสอบสวน อาจก่อให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในความเป็นพันธมิตรระหว่างพรรค DMK กับ พรรคคองเกรส โดยที่อาจมีศักยภาพถึงขั้นที่จะทำให้รัฐบาลผสมต้องล้มคว่ำลงได้

    พวกนักวิจารณ์บอกว่า มานโมหันและพรรคของเขาจำเป็นจะต้องใช้วิธีการที่โปร่งใสมากขึ้นในการจัดการกับเรื่องอื้อฉาวอัปยศต่างๆ เหล่านี้ มิฉะนั้นประชาชนก็จะหมดความอดทนกับผู้นำท่านนี้ ซึ่งอันที่จริงก็ขึ้นมาครองอำนาจได้เนื่องจากได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งมากกว่าที่จะได้รับการเลือกตั้ง ถ้าหากประชาชนทำท่าไม่พอใจอย่างแรงต่อมานโมหันเสียแล้ว ความเป็นหุ้นส่วนกันที่เขากับ โซเนีย คานธี หัวหน้าพรรคคองเกรส ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา และเป็นสิ่งที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างสูงด้วยนั้น ก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย ทั้งนี้ โซเนีย คานธี ในฐานะหัวหน้าพรรค ย่อมเป็นผู้ที่ทำการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายในประเด็นปัญหาสำคัญๆ ทั้งหลาย

    Around the World - Manager Online -
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฮทั้งประเทศ เวียดนามหั่นภาษีนำเข้าน้ำมัน 0% ลดค่าครองชีพ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มกราคม 2554 00:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ชาวบ้านรักตาย-- ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2 เดือนที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ปรับลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน 76 ล้าน ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูง และเงินเฟ้อขยับขึ้นสูงตาม.

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- รัฐบาลเวียดนามประกาศยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันเบนซินทุกชนิด ตั้งแต่วันศุกร์ 14 ม.ค.2554 จากที่เคยเก็บ 6% ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นอีก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงในช่วงต่อปลายปี-ต้นปี

    ชาวเวียดนาม 87 ล้านคน กำลังจะก้าวเข้าสู่เดือนสำคัญ เดือนแห่งความสุขและเดือนแห่งการจับจ่าย คือ เทศการตรุษ 2554 น้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตสินค้า และการขนส่ง การให้ราคาจำหน่ายปลีกลดลง เป็นการตัดไฟมิให้สินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคา และ ช่วยพยุงค่าครองชีพ

    ถึงแม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันแห่งของประเทศจะเดินเครื่องผลิตมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วก็ตาม แต่ก็ผลิตได้เพียงประมาณ 30% ของความต้องการทั้งหมด ส่วนที่เหลือยังต้องนำเข้าโดยซื้อจากสิงคโปร์เป็นหลัก

    มาตรการในหนังสือเวียนที่ลงนามโดยนายหวูวันนีง (Vu Van Ninh) รัฐมนตรีการคลัง ยังลดภาษีนำเข้าน้ำมันก๊าดลงเหลือ 2% จาก 6% เลิกเก็บภาษีน้ำเข้าน้ำมันดีเซลจากที่เคยเก็บ 6% และ ลดภาษีนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนช้าจาก 5% ลงเหลือ 2% หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre) กล่าว

    นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2 เดือน ที่รัฐบาลปรับราคาจำหน่ายปลีกน้ำเชื้อเพลิงทุกชนิดลง อันเป็นมาตรการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่มักจะเกิดในช่วงปลายปีของทุกปี นอกเหนือจากการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูดซับเงินออกจากระบบ ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 17%

    วันที่ 1 ธ.ค.2553 เวียดนามลดอัตราภาษีสรรพสามิต นำเข้าน้ำมันเบนเซินลงจาก 17% เหลือ 12% อีก 3 สัปดาห์ต่อมาเมื่อราคาน้ำมันใสตลาดโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ประกาศลดลงอีกครึ่งหนึ่ง

    มาตรการของทางการทำให้ราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันในประเทศปรับขึ้นเพียง 2.8% เท่านั้น เทียบกับราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้นสูงถึง 30% ระยะที่ผ่านมา เตื่อยแจ๋กล่าว

    IndoChina - Manager Online -
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นักวิเคราะห์ มองจีนเยือนสหรัฐฯ ชี้ถึงเวลาใครใหญ่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>17 มกราคม 2554 08:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เมื่อครั้งเยือนจีน 3 วัน และเที่ยวพระราชวังต้องห้ามในวันที่ 17 พ.ย. 2552 โอบามา ได้ออกปากเชิญผู้นำจีนเยือนสหรัฐฯ บ้าง ซึ่งในที่สุดกำหนดการเยือนสหรัฐฯ ของหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีจีน ก็กำลังจะมาแล้วถึงในสัปดาห์หน้า(แฟ้มภาพ) </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอเยนซี - สื่อต่างประเทศรายงานว่าการเยือนสหรัฐฯ ของ ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ในวันพุธที่ 19 ม.ค. นี้ คือการพบกันเพื่อหาและสลับตำแหน่งมหาอำนาจเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประวัติศาสตร์โลก

    วาระในการเยือนนี้ มีเรื่องที่ยังคงรอการหารือใหญ่ๆ อยู่ หลายเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของจีนที่กระตุ้นผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ ไปจนถึงการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน ซึ่งเป็นนโยบายที่สหรัฐฯ เห็นว่า ทำให้สหรัฐฯ ตกที่นั่งลำบากยิ่ง

    รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ทิโมธี ไกธ์เนอร์ ซึ่งประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการให้จีนปรับค่าเงินหยวนอย่างยืดหยุ่นขึ้นบ้างในปีที่แล้ว ได้กล่าวถึงข้อเสนอโอกาสที่จีนจะเข้าถึงสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงการลงทุนการค้าอื่นๆ

    ทิโมธี ไกธ์เนอร์บอกว่า การปรับค่าเงินหยวนของจีนเป็นเรื่องหนึ่งที่จำเป็น พร้อมกับกล่าวว่า รัฐบาลจีนควบคุมนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้กลไกฯ ดังกล่าวทำงานไปตามธรรมชาติของระบบ ซึ่งหากจีนปล่อยเสรีจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก เศรษฐกิจโลกหมุนไปได้ดีขึ้น อีกทั้งโครงสร้างการค้าและระบบการเงินโลกจะมีสมดุลประสานปรองดองทั้งต่อเศรษฐกิจจีนเองด้วย

    ผู้สังเกตุการณ์บางคน มองว่าอัตราค่าเงินฯ กลายเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าจีนนั้น เติบโตเร็วกว่าที่ซีกตะวันตกคาดการณ์ จนบดบังสกุลเงินสหรัฐฯ และจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นหากผลของการมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจโดยอาศัยการบริโภคในประเทศ มากกว่าการพึ่งพาภาคส่งออกสินค้าราคาถูกนั้น เริ่มบรรลุเป็นรูปธรรม

    ฤา เงินหยวนปลอดภัยที่สุดในโลก
    จิม โรเจอร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท โรเจอร์ โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า เวลานี้เงินหยวนของจีน เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีเสถียรภาพที่สุดในโลก พร้อมกับแนะนำให้นักลงทุนถือครองเงินหยวนไว้ เขายังเสริมว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง จีนกำลังเปลี่ยนแปลงโลก และจะยังคงเป็นผู้นำโลกต่อไปในอนาคต

    โรเจอร์กล่าวถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐว่า ถูกลดบทบาทเป็นเพียงสกุลเงินทางเลือก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีหนี้สินสูงสุด และการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสองของสหรัฐฯ ด้วยการพิมพ์ธนบัตรจำนวนมากเข้าสู่ระบบนั้น ยิ่งเพิ่มความสาหัสของปัญหา และถือเป็นความผิดพลาด

    เจฟฟรีย์ เบิร์กสแตรนด์ ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัย นอร์ทเทอ ดาม กล่าวว่า เป็นความจริงที่ต้องตระหนักว่าแรงเหวี่ยง และแรงดึงดูดของเศรษฐกิจโลกเวลานี้ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปที่ทวีปเอเชียแล้ว และเรากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของประวัติศาสตร์โลก จีนก้าวขึ้นมา และเป็นการก้าวขึ้นมาที่มีนัยยะสำคัญ ยิ่งใหญ่จริงจังกว่าเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นเคยทำได้ตอนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

    เบิร์กสแตรนด์ ให้ความเห็นว่า การก้าวขึ้นมาใหญ่อย่างรวดเร็วของจีนอาจจะส่งผลความไม่สมดุลการเงินโลก เพราะหากจีนยังคงไม่สนใจปรับฯ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายจากภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลในวงกว้างทั้งผู้ผลิตท้องถิ่น วัตถุดิบ จนถึงค่าครองชีพประชาชนทั่วไป

    ปรับค่าเงินฯ จุดงัดข้อมหาอำนาจ
    มาร์ติน จากส์ ผู้เชี่ยวชาญจีน กล่าวว่า เรื่องค่าเงินหยวนคงเป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนการงัดข้อระหว่างสองประเทศ ยังไม่มีใครยอมใคร ทั้งที่เมื่อเทียบกันหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว สหรัฐฯ อ่อนล้ากว่าจีนมากนัก จีนลังเลที่จะปรับอัตราแลกเปลี่ยนเพราะคำนึงถึงผลเสียหลายส่วน และมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกอย่างที่อีกฝ่ายอ้าง นอกจากนั้น ยังศึกษาประวัติศาสตร์การปรับค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ดาวรุ่งเอเชียในอดีตมาอย่างดี ขณะที่สหรัฐฯ ยืนกรานมาตลอดว่าต้องปรับ นี่คือ ธงสำคัญที่ทำให้รู้ว่าเศรษฐกิจโลกตอนนี้ใครใหญ่จริง และดูเหมือนการกดดันจีนคงไม่ใช่วิธีที่ดี โดยเฉพาะในเวลานี้ที่จีนเริ่มเดินสายอุ้มหนี้ยุโรปไว้

    ก่อนหน้านี้ บรรดานักวิเคราะห์ก็เคยลงความเห็นกันว่า ถ้าจีนจะทำอะไรก็จะทำเองเมื่อถึงเวลา และด้วยเหตุผลภายในของตนเอง ด้วยวิธีการของตนเอง ไม่ใช่เพราะแรงกดดันภายนอก หรือการตัดสินใจของคนอื่น

    ณ วันนี้ หากพิจารณาตามการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญฯ และสถานการณ์จริงที่ปรากฎอยู่คงจะยิ่งเห็นชัดแล้วว่า ความต้องการของสหรัฐฯ คงยากเป็นจริง

    จากส์ กล่าวว่า สหรัฐฯ อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนใจที่จะยอมรับสถานะป่วยไข้อ่อนแรงทางเศรษฐกิจของตนเองในตอนนี้ ซึ่งอาการทรุดเร็วกว่าที่คาดคิดด้วยซ้ำ แต่กระนั้น บรรดาผู้นำธุรกิจต่างก็พยายามให้เศรษฐกิจค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทรงตัวไปได้อย่างราบรื่น เหมือนการขี่จักรยานที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ หากล้อหยุดหมุน

    จอห์น ฟริสเบิล กรรมาธิการการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน กล่าวว่า สองชาติจำเป็นต้องผลักดันธุรกิจไปด้วยกัน เพราะในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวห้วต่อสำคัญของอนาคตโลกนี้ ยังมีปัญหาใหญ่อีกมากรออยู่
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000004806
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้นำจีนเตรียมเยือนนครชิคาโก ฐานอำนาจของโอบาม่า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มกราคม 2554 07:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นครชิคาโก, รัฐอิลลินอยส์ของสหรัฐฯ ในยามค่ำคืน - เอเยนซี่

    เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - นักวิเคราะห์ชี้เหตุผลผู้นำจีนเลือกแวะเยือนนครชิคาโกเป็นเมืองแห่งที่ 2 ของการเยือนแดนลุงแซมอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า

    แม้ในการเดินทางเยือนสหรัฐฯ เป็นเวลา 4 วันของประธานาธิบดีหู จิ่นเทาผู้นำจีนครั้งนี้ นายชุย เทียนไข่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนชี้แจงว่า การเลือกเยือนนครชิคาโกเป็น“ผลของการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่าย” และด้วยเหตุหลายหลายประการ อาทิ นครชิคาโกเป็นเมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในสหรัฐฯ นอกจากนั้น ยังถือเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับนครเซี่ยงไฮ้และเมืองเสิ่นหยาง ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลเหลียวหนิงอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนบนแผ่นดินใหญ่กลับมองลึกซึ่งไปกว่านั้นว่า ผู้นำจีนเลือกเยือนเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมในภาคตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯแห่งนี้ก็เพื่อหวังให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายความหวาดกลัวการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และแสดงให้เห็นว่าจีนมีความเชื่อมั่นว่าประธานาธิบดี บารัก โอบาม่าจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปีหน้าอย่างแน่นอน

    ด้านนายชุยระบุว่า กรุงวอชิงตัน ดีซี ย่อมเป็นจุดสำคัญของการเยือนอยู่แล้ว ในขณะที่นครชิคาโกนั้น ทั้งจีนและสหรัฐฯ หวังว่า จะทำให้ประธานาธิบดีหูได้มีโอกาสสัมผัสกับสภาพชีวิตของอเมริกันชนทั่วไปได้มากขึ้น รวมทั้งผู้คนที่มาจากภาคส่วน ที่แตกต่างกัน โดยคาดว่าประธานาธิบดีหูจะได้พบปะกับผู้คน ซึ่งประกอบธุรกิจ และคนหนุ่มสาวในเมือง นอกจากนั้น เขายังจะไปเยี่ยมโรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของชาวจีน ตั้งอยู่ใกล้กับนครชิคาโกอีกด้วย

    ทั้งนี้ นครชิคาโก ซึ่งตั้งอยู่ในมลรัฐอิลลินอยส์ ถือเป็นฐานอำนาจของประธานาธิบดีโอบาม่า ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกประจำรัฐนี้ ขณะที่ผู้ช่วยคนสำคัญของโอบาม่าหลายคนก็มาจากนครชิคาโก เช่นนายวิลเลียม ดาลีย์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งคนใหม่ และนายเดวิด เอ็กเซลร็อด หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง โดยนครชิคาโกมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งติดอันดับบริษัทชั้นนำ 100 รายจากการสำรวจของนิตยสารฟอร์จูนถึงกว่าครึ่งหนึ่ง เช่นบริษัทโบอิ้ง และ อดีตประธานาธิบดี เจียง เจ๋อหมินของจีนก็เคยเยือนชิคาโกมาแล้วในปี 2545

    ศาสตราจารย์จิน ชั่นหรง แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินระบุว่า นครชิคาโกเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณใจกลางสำคัญของอเมริกา ซึ่งมีความรู้สึกแง่ลบต่อจีน นอกจากนั้นยังประสบความสูญเสียมากกว่าที่อื่น ๆ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก การไปเยือนนครชิคาโกของประธานาธิบดีหูจึงสะท้อนว่า จีนปรารถนาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมลรัฐในภาคกลางเหล่านี้

    ขณะที่นักวิเคราะห์คนอื่นยังมองว่า แผนการเยือนโรงงานของคนจีนเป็นการส่งสาส์นว่า จีนมิได้แย่งงานชาวอเมริกัน แต่สมัครใจที่จะสร้างงานมากกว่า นอกจากนั้น ยังเป็นการชื่นชมที่นครชิคาโกสามารถเปลี่ยนแปลงจากเมืองอุตสาหกรรมแบบเก่ากลายเป็นเมืองต้นแบบของการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับต่ำได้อย่างน่าเลื่อมใสอีกด้วย

    China - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อทุนจีนสยายปีกบุกไทย... ?

    โดย : ฑิฆัมพร ศรีจันทร์ bighnun@hotmail.com เฟซบุ๊ค bighun kt
    การประกาศเข้ามาลงทุนก่อสร้างศูนย์ค้าส่งขนาดใหญ่ของกลุ่มทุนจีนจากอี้อู ขนาด 5 แสนตารางเมตร

    หรือ ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ บริเวณพื้นที่บางนา-ตราด เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนักธุรกิจตลอดจนผู้คนในแวดวงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

    ผลพวงจากการค้าเสรีทั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี การเชื่อมโยงการค้าอาเซียน-จีน ผ่านกรอบการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ ย่อมทำให้นักธุรกิจ นักลงทุนมองเห็นโอกาสและตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น

    ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป การขาดดุลการค้าจีนในอัตราที่สูงมากในแต่ละปี จึงเกิดกระแสต่อต้านสินค้าจีนขึ้นในยุโรปและสหรัฐ ทำให้จีนที่เป็นโรงงานการผลิตสินค้าของโลกต้องมองหาช่องทางใหม่ในการระบายสินค้า

    ทุนจีนจำเป็นต้องมองหาฐานใหม่ทั้งในการตั้งโรงงาน ตั้งศูนย์ค้าปลีก ค้าส่งขนาดใหญ่ เพื่อหาทางผ่องถ่ายสินค้าจีนไปยังตลาดโลก

    ข้อตกลงการค้าอาเซียน-จีน ข้อตกลง เออีซี ที่มีการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกให้แก่กันและกัน ทำให้จีนมองมายังอาเซียน เป็นโรงงานและแหล่งระบายสินค้าของจีนได้ดีที่สุด ซึ่งอาเซียนเองยังไม่ถูกกีดกันหรือจับตามองจากยุโรป สหรัฐ มากนัก ที่สำคัญอาเซียนหลายชาติกำลังมุ่งมั่นเจรจาเอฟทีเอทั้งกับยุโรปและสหรัฐ จะเป็นช่องทางในการนำสินค้าเข้าไปได้ง่ายขึ้น

    ประกอบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีมากมายของจีน รัฐบาลจึงสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจและนักลงทุนออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

    สอดรับกับมุมมองจากสายตาผู้เชี่ยวชาญ อย่าง ศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด ยืนยันว่าจีนจะมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้น

    แน่นอนว่า การเข้ามาของจีนมีทั้งผลดีและผลเสีย ในด้านดีจะมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้ามา

    แต่ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ย่อมมีไม่น้อยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะหากจีนฉวยโอกาสระบายสินค้าที่ล้นตลาดของจีนเข้ามายังตลาดของไทยหรืออาเซียน

    กลุ่มสินค้าระดับกลางๆ และล่าง ทั้งสินค้าของขวัญ ของชำร่วย เสื้อผ้า อัญมณี เฟอร์นิเจอร์ กลุ่มผู้ผลิตสินค้าที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ผู้ผลิตเหล่านี้ย่อมถูกตีตลาดย่อยยับ โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าที่เป็น เอสเอ็มอี โอท็อป มีโอกาสสูงที่จะถูกกวาดออกจากตลาด

    เอากันว่าเฉพาะศูนย์ค้าส่งอย่างเดียว เมื่อจีนเข้าลงทุนสร้างศูนย์ค้าส่งขนาดใหญ่ ที่รัฐชาร์จาห์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่นานมานี้ ผู้ผลิตเสื้อผ้าไทยย่านโบ๊เบ๊ ใบหยก ที่มีฐานลูกค้าจากเอเชียกลางลักษณะบินเข้ามาและซื้อกลับไป ได้แต่นั่งมองทำตาปริบๆ เมื่อถนนทุกสายมุ่งไปช้อปสินค้าจีนที่ชาร์จาห์ ขนาดไม่ได้ตั้งฐานในไทย ยังส่งผลกระเทือนขนาดนี้

    ด้านหนึ่งผู้เชี่ยวชาญหรือนักค้าเสรีทั้งหลาย อาจโต้เถียงว่า ไทยต้องปรับตัวสู้ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพแข่ง

    แต่แผนการปรับตัวสู้มีมากน้อยขนาดไหน เมื่อทุกวันนี้ทั้ง เอสเอ็มอี โอท็อป แทบต่อสู้ตามลำพัง ผลิต "ตามมีตามเกิด" ทั้งการเพิ่มทักษะการผลิต การตลาด แหล่งเงินทุน ขาดการวางแผนสนับสนุนและการพึ่งพิงจากรัฐ

    ที่สำคัญ รัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ดีลเมคเกอร์ สำหรับโครงการนี้อย่าง อลงกรณ์ พลบุตร

    รู้หรือไม่ว่าจะนำพาประเทศไปในทิศทางไหน...?

     

แชร์หน้านี้

Loading...