เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เวิลด์แบงก์เตือน ศก.โลกปีนี้ชะลอตัว เสี่ยงเจอวิกฤตเหมือนปี 2008
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>13 มกราคม 2554 09:24 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี - เวิลด์แบงก์คาดเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลงในปี 2011 พร้อมเตือนว่าราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอาจกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อสูงทะลุเพดาน กลับไปเป็นเหมือนในช่วงวิกฤตปี 2008

    เวิลด์แบงก์ หรือธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะโตขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับ 3.9% ในปี 2010 ที่กระเตื้องขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2009

    รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดของสถาบันแห่งนี้คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศตลาดเกิดใหม่จะขยายตัวได้ 6.0% ในปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 7.0% ในปีก่อน

    ทว่า ตัวเลขดังกล่าวยังมากกว่า 2 เท่าของอัตราการเติบโตรายปีในประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งอยู่ที่ 2.4% ในปีนี้ โดยลดลงจากปี 2010 ที่ 2.8%

    รายงานฉบับนี้ชี้ว่า โดยรวมแล้ว อัตราการเติบโตดังกล่าวยังอ่อนเกินไปที่จะนำพาเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

    “น่าเสียดายที่อัตราการเติบโตเหล่านี้ไม่เร็วเพียงพอที่จะขจัดปัญหาการว่างงาน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง”

    นอกจากนี้ รายงานของเวิล์ดแบงก์ยังเตือนว่า เศรษฐกิจโลกยังคงมีความตึงเครียด แลความเสี่ยงอยู่ ซึ่งในระยะสั้นอาจทำให้การฟื้นตัวหยุดชะงัก โดยภัยคุกคามเหล่านั้น ได้แก่ วิกฤตตลาดการเงินของยูโรโซน การไหลทะลักของเงินทุน และราคาสินค้าที่ทะยานสูงขึ้น

    เวิลด์แบงก์ยังแสดงถึงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือเชื้อเพลิง ซึ่งได้รับการผลักดันจากนโยบายการเงินที่หละหลวมในประเทศพัฒนาแล้ว และความต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่

    “เรารู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร เราเห็นความเหมือนกันกับสถานการณ์ในปี 2008 ไม่นานก่อนวิกฤตการเงินเกิดขึ้น” ฮานส์ ทิมเมอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาของธนาคารกล่าว
    Around the World - Manager Online -
     
  2. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    เตรียมตัวพบกับดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่กำลังจะขึ้นในเดือนนี้กัน

    ถ้าพอมีกำลัง ตัดต้นกันหน่อยก็ดี จะได้ไม่ต้องทบดอกมากครับ


    บทความจากคมชัดลึกครับ


    สี่หลุมพรางสกัดผู้ซื้อบ้านปี54


    �ʾ.��� - ��������ҧʡѴ�����ͺ�ҹ��54




    [​IMG][​IMG]




    คมชัดลึก :คงพออกพอใจและเกิดความหลากหลายทางความ คิด(เห็น) ไม่น้อยสำหรับการประกาศประชาวิวัฒน์ "มาตรการ...ฟรี!" ของรัฐบาลที่ออกมาล่าสุด นัยว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของชาวบ้าน ส่วนจะมาก-น้อยแค่ไหน หรือก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติจริงอย่างที่คาดหวังหรือไม่คงต้องพิสูจน์ กันต่อ



    ...แต่สำหรับประชาชนที่ต้องการหรือมีความจำเป็นที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์
    หรือห้องชุดในคอนโดมิเนียมนั้นจะต้องฝ่าด่าน 4 หลุมพรางเป็นอย่างน้อย คือ
    1.ภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นจาก "เงินเฟ้อ" 2."ดอกเบี้ย" ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น 3.มาตรการ "เงินดาวน์" ผ่านเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณถึงแบงก์พาณิชย์ และ
    4."ราคา" ที่แพงขึ้น
    การประกาศมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น ลดราคาน้ำมัน มาตรการไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าน้อย หรือการเข้าไปดูแลราคาหมู ไข่ไก่ หรือ ไก่
    ให้โปร่งใสและผันผวนลดลงและเพิ่มทางเลือกซื้อไข่เป็นกิโล เป็นต้น ทุกมาตรการที่ออกมาล้วนมีเป้าหมายที่ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งสะท้อนกลับไปยังอีกมุมบ่งชี้ถึงความกังวลปัญหา
    "เงินเฟ้อ" ในปี 2554 ว่าจะสกัดให้อยู่ในกรอบได้แค่ไหนท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ
    ทิศทางของ "ดอกเบี้ย" ขาขึ้นเป็นอีกสัญญาณหนึ่งบ่งชัดว่าปีนี้น่าจะอั้นไม่อยู่ และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนนโยบายก็เป็นข้อบ่งชัดว่าเป็นอีกทางการสกัด
    เงินเฟ้อนั่นเอง การขยับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมีทั้งสองขาคือทั้งเงินฝากและเงินกู้ที่คาด การณ์กันว่าขาเงินกู้เห็นแน่ๆ 0.5-1%
    ในปีนี้ พิสูจน์มนต์ขลัง สินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ว่าจะ(ไม่) สูญพันธุ์ผ่านการแข่งขันของแบงก์-อสังหาฯ จับคู่ล่อลูกค้า สะท้อนผ่านความเห็นของนายแบงก์ ดีเวลลอปเปอร์
    ต่างฟันธงว่า แคมเปญดอกเบี้ย 0% ขาดไม่ได้ ต้องมี ดอกเบี้ย 0% มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นหรือลงในธุรกิจอสังหาฯ ยังคงต้องมีแคมเปญนี้ต่อไป
    ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการและแบงก์จะแบกรับต้นทุนได้มากน้อยแค่ไหน
    แต่ทั้งนี้ การปรับดอกเบี้ยนโยบายก็กดดันในแง่แพ็กเกจแคมเปญที่ต้องมีลูกเล่นมากขึ้น !!!
    แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ปรับเพิ่มขึ้น 1% ผู้กู้ซื้อบ้านจะต้องผ่อนค่าบ้านเพิ่มขึ้น 7% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของสัญญากู้ด้วย
    ตัวอย่างเช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท สัญญากู้ 20 ปี เดิมต้องผ่อนค่างวดเดือนละ 8,000 บาท ดอกเบี้ยปรับขึ้น 1% ก็ต้องผ่อนเพิ่มอีก 7% ก็เท่ากับ 8,560 บาท
    โดยแบงก์จะให้คุณผ่อนบ้านแค่ 40% ของรายได้ ดังนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มรายได้คุณต้องเพิ่มอีก 1,400 บาทด้วยหากอัตราเงินเดือนคุณอยู่ที่ 20,000 บาท หากคุณต้องการซื้อบ้านราคาเท่าเดิม

    มาตรการเข้ม "เงินดาวน์" ที่ได้เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม สำหรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ 90% สำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโด ส่วนผู้ซื้อบ้านจัด สรร (แนวราบ)
    นั้นเกณฑ์การปล่อยอยู่ที่ 95% ที่แม้จะยังไม่วันที่บังคับ (เริ่มใช้ 1 ม.ค.55) แต่ทางปฏิบัติผู้ประกอบการเจ้าของโครงการจัดสรรน่าจะใช้แล้ว จะมีบ้างก็เพียงแค่ลูกเล่นการตลาด
    ดังนั้น ผู้ที่ซื้อบ้านใน ช่วงปี 2554 ควรจะเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 2-3 ปี เพราะเวลาอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอีกจะได้ไม่กระทบต่อการผ่อนชำระ
    แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยขาลงค่อยใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวในช่วงแรก เพราะวัฏจักรของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3 ปี ตอนนี้ย่างเข้าสู่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปีที่ 2 แล้วปี 2555 ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอีก
    สำหรับทิศทางตลาดบ้านใน ปี 2554 นี้ น่าจะเติบโต 4-5% เพราะตลาดเข้าสู่ภาวะซื้อขายปกติ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นและจีดีพีประมาณการว่าจะเติบโตอยู่ที่ 4-4.5%
    ขณะที่ปี 2553 ที่ผ่านมามีมาตรการลดหย่อนภาษีที่หมดอายุไปแล้วมาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ เร่งขายเร่งโอนทำให้ตลาดโต

    อย่างไรก็ตาม แม้อัตราดอกเบี้ยอยู่ช่วงขาขึ้นแต่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ในตลาดรับได้เพราะ ไม่ได้ขึ้นไปเป็นเลขสองหลักเหมือนช่วงวิกฤติปี 2540
    แต่ความสามารถในการซื้ออาจลดลง เช่น บ้านเดิมสามารถซื้อบ้านในราคา 1 ล้านบาทได้ก็เหลือเป็น 9 แสนบาทหากอัตราเงินเดือนไม่เพิ่มตาม

    ทิศทางอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่เริ่มขยับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่เพียงทำให้ผู้ซื้อบ้านมีภาระต้องผ่อนชำระค่างวดบ้านเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันบ้าน-คอนโด ที่ซื้อ "ราคา"
    เพิ่มขึ้นเช่นกัน เห็นได้จากการบอกตลาดล่วงหน้าของผู้ประกอบการในช่วงปลายปีก่อนว่าราคาบ้านในปี 2554 คงอั้นไม่อยู่ ขยับขึ้นแน่ 5-7% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
    อย่างไรก็ดี เมื่อรัฐบาล "คิกออฟ" นโยบายประชาวิวัฒน์ออกมาปฏิรูปประเทศไทยแล้ว เชื่อว่าคงเห็นแอ็กชั่นของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจตามมา
    ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชนคนรายได้ต่ำอยากมีบ้านเข้า ถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
    โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ล่าสุดได้ประกาศนโยบายในปี 2554 ว่าธนาคารเตรียมปล่อยสินเชื่อตามนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลให้แก่ผู้ที่มี
    รายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน เพื่อนำไปซื้อบ้านที่อยู่อาศัย คาดว่าจะมีผู้ที่ได้ประโยชน์ประมาณ 80,000-100,000 คน
    เบื้องต้นวงเงินสินเชื่อคาดว่าจะสามารถนำไปใช้ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่น คงได้
    ซึ่งในปีนี้จะต้องปรับโครงการให้มีความทันสมัย หลากหลาย อยู่ในย่านเดินทางสะดวกมากขึ้น หรือจะปล่อยสินเชื่อเพื่อ
    ไปซื้อห้องชุดที่มีราคาเฉลี่ย 3-5 แสนบาทต่อห้องโดยกำลังพิจารณาอยู่

    ปรียา เทศนอก
     
  3. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    โปรตุเกสคุยขายพันธบัตร'สำเร็จ'แต่นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า'ไม่รอด' <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="middle"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">13 มกราคม 2554 02:23 น.</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="middle" align="center">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเอฟพี - รัฐบาลโปรตุเกสแถลงว่า ตนเองสามารถผ่านการทดสอบความน่าเชื่อถือครั้งสำคัญ จากความสำเร็จในการนำเอาพันธบัตรออกมาประมูลขายเมื่อวันพุธ(12) อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์กลับโต้แย้งว่า ยังคงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่โปรตุเกสจะต้องยอมรับแพกเกจความช่วยเหลือ จากอียู-ไอเอ็มเอฟ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาครัฐให้คลี่คลายไปได้อย่างแท้จริง

    การนำพันธบัตรออกประมูลขายของรัฐบาลโปรตุเกสคราวนี้ ปรากฏว่าสามารถระดมเงินได้ราว 1,250 ล้านยูโร ซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดที่เตรียมนำออกมาเสนอขาย โดยที่มีผู้สนใจเข้ามาเสนอราคากันอย่างคึกคัก นอกจากนั้นอัตราผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรประเภทระยะยาวที่โปรตุเกสจะต้องจ่าย ก็ต่ำลงกว่าเดิมเล็กน้อยด้วย ดังนั้นทางการลิสบอนจึงอวดว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า ตนยังคงเป็นลูกหนี้ซึ่งมีเครดิตได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ

    “หนึ่งในบรรดาข้อสรุปทั้งหลายที่สามารถกล่าวได้ … ก็คือโปรตุเกสยังคงสามารถที่จะ (เข้าถึง) ตลาดการเงิน ก็คือ ยังคงมีความต้องการ (ในพันธบัตรของโปรตุเกส) ก็คือโปรตุเกสสามารถที่จะได้รับ (อัตราผลตอบแทนที่จะต้องจ่าย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้และกระทั่งว่าน่าพึงปรารถนาด้วยซ้ำไป เมื่อพิจารณาจากบริบทแวดล้อม” รัฐมนตรีคลัง เฟร์นันโด เตเซรา โดส ซานโตส กล่าว พร้อมกับพูดสำทับว่า จากสภาพการณ์ดังที่กล่าวมานี้ ทำให้ประเทศของเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาความช่วยเหลือจากภายนอก

    ก่อนหน้านี้เป็นที่หวั่นเกรงกันว่าการประมูลขายคราวนี้จะประสบความ ล้มเหลว ซึ่งจะบังคับให้โปรตุเกสต้องขอรับเงินกู้ช่วยเหลือจากกองทุนรักษาเสถียรภาพ ยุโรปของสหภาพยุโรป(อียู) ตลอดจนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) นอกจากนั้นยังจะเป็นการเพิ่มแรงบีบคั้นต่อสเปน แล้วก็เลยจะทำให้ทั่วทั้งเขตยูโรโซนย่ำแย่ไปหมด

    นักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ช่วยเข้ามาไล่ซื้อพันธบัตรโปรตุเกสตั้งแต่ก่อนหน้าการประมูลขายในวันพุธ รวมทั้งการที่จีนและญี่ปุ่นต่างแสดงความสนับสนุนพร้อมจะเข้าซื้อพันธบัตรของ ยูโรโซนอย่างแข็งขัน ก็เป็นปัจจัยที่มีส่วนมากในการทำให้สถานการณ์ไม่ออกมาเลวร้ายถึงที่สุด

    ตามคำแถลงของหน่วยงานออกพันธบัตรของรัฐบาลโปรตุเกส พันธบัตรชนิดที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิถุนายน 2020 ประมูลขายได้ราคาซึ่งอัตราผลตอบแทน (ยีลด์) เท่ากับ 6.716% ต่ำลงมาจากระดับ 6.806% ซึ่งทำได้ในการประมูลขายพันธบัตรชนิดนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

    อย่างไรก็ดี พันธบัตรชนิดครบกำหนดไถ่ถอนเดือนตุลาคม 2014 ซึ่งก็นำออกมาประมูลขายคราวนี้ด้วย ปรากฏว่าผลตอบแทนพุ่งขึ้นเป็น 5.396% สูงขึ้นมากจากระดับ 4.041% ในการประมูลเดือนพฤศจิกายน อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าตลาดยังคงวิตกอย่างมากเมื่อเป็นพันธบัตรระยะสั้น เข้ามา

    “การประมูลขายไปได้ดีมาก นี่เป็นข่าวดี เราเคยคาดหมายกันไว้ว่าพันธบัตรเดือนมิถุนายน 2020 จะต้องให้ผลตอบแทนถึงราว 7.0%ทีเดียว” คริสตินา คาซาลินโญ นักวิเคราะห์แห่ง บีพีไอ แบงก์ ให้ความเห็น

    แต่ขณะเดียวกัน เธอบอกด้วยว่า “ปัญหายังคงอยู่ มันไม่ใช่การขายที่จะคลี่คลายความไม่แน่นอนทั้งหมดเกี่ยวกับเศรษฐกิจของ โปรตุเกสในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามเดือนแรกของปี เพราะโปรตุเกสยังคงมีความต้องการทางการเงินที่หนักหน่วงมาก”

    ทั้งนี้โปรตุเกสจำเป็นจะต้องระดมเงินกู้ใหม่ๆ ให้ได้ถึง 20,000 ล้านยูโรในปีนี้ แล้วยังต้องต่ออายุพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนอีกราว 26,500 ล้านยูโร

    ฟิลิเป ซิลวา นักยุทธศาสตร์ด้านพันธบัตรแห่ง การ์เรโกซา แบงก์ ก็ชี้ว่า แม้ผลตอบแทนที่ต่ำลงมาจะเป็น “ความเซอร์ไพรซ์ที่น่ายินดี” ทว่าอัตราผลตอบแทนที่โปรตุเกสต้องจ่ายก็ยังคงอยู่ในระดับ “ไม่ยั่งยืน เมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตที่เศรษฐกิจโปรตุเกสน่าจะทำได้” ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นว่า “ในระยะยาว สถานการณ์ยังคงอยู่ในสภาพแบกรับเอาไว้ไม่ไหว”

    โปรตุเกสเหมือนกำลังเล่นงูกินหางครับถ้าดูกันดี ๆ เพราะนำพันธบัตรชนิดครบกำหนดไถ่ถอนออกมาขายด้วย

    ถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงแชร์แม่ชม้อย หรือแชร์นกแก้วบ้านเราครับ
     
  4. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td rowspan="2" width="56%">[​IMG]</td> <td width="44%">
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="44%" align="left">
    </td> </tr> </tbody></table> <table width="85%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td colspan="3">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" bgcolor="#cccccc"> หมวดข่าว / ข่าวออนไลน์</td> </tr> <tr> <td colspan="3">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" height="20"> <table width="100%" height="20"> <tbody><tr> <td align="left">โดย บ้านเมืองออนไลน์</td> <td align="right">เมื่อเวลา 9:41:00 วันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2554</td> </tr> </tbody></table> </td></tr> <tr> <td colspan="3" height="51">ปรับดอก 0.25% คุมเงินเฟ้อ
    ปรับดอก 0.25% คุมเงินเฟ้อ
    กนง.ส่งสัญญาณทิศทางเศรษฐกิจชาติผงกหัวแล้ว

    กน ง.ขึ้นอาร์พีอีก 0.25% เป็น 2.25% ตามคาด หวังสกัดเงินเฟ้อร้อนแรง เหตุพบทิศทาง ศก.ชาติ ผงกหัวเต็มสูบ พร้อมระบุดอกเบี้ยไทยยังต่ำติดลบ ส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นอีก ด้านนายแบงก์ชูสองแขนเชียร์แบงก์ชาติขึ้นดอกสมควรแล้ว เหตุดอกเบี้ยไทยยังต่ำ

    นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะสั้น (อาร์พี) 1 วัน อีก 0.25% จากเดิม 2.00% เป็น 2.25% โดยให้มีผลทันที เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เป็นแรงกดดันทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนั้น กนง.ยังต้องการเห็นดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริง ซึ่งติดลบอยู่ในขณะนี้เป็นบวกภายในปีนี้

    ทั้งนี้ที่ประชุม กนง.ได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไปเพื่อกำหนด แนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยความเสี่ยงสำคัญคือ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอุปสงค์ในประเทศที่ เร่งขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 จากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นการเร่งการผลิตและการใช้จ่ายหลังจากผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม บรรเทาลง ขณะที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ยังคงเอื้อต่อการ ขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป เช่น รายได้และการจ้างงาน การใช้กำลังการผลิตในหลายอุตสาหกรรมที่อยู่ในเกณฑ์สูง ตลอดจนการกระตุ้นจากนโยบายการคลัง จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปี 54 ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง

    “อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อ พื้นฐานมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป สะท้อนการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันแรงกดดันด้านราคาที่มาจากการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าจะมี มากขึ้นตามลำดับ ส่วนหนึ่งสะท้อนการที่ผู้ประกอบการได้ชะลอการปรับขึ้นราคามาแล้วระยะหนึ่ง จากแนวโน้มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเข้าสู่แนวโน้มปกติ” นายไพบูลย์ กล่าว

    นอกจากนั้น การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงจากการประชุมครั้งก่อน โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวต่อเนื่องและคาดว่าในปี 54 จะขยายตัวสูงกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญจากปัญหาการว่างงานเรื้อรังและภาคอสังหาริม ทรัพย์ที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปขยายตัวต่อเนื่องตามการส่งออกและการบริโภคของเศรษฐกิจ ประเทศหลักโดยเฉพาะเยอรมนี แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สาธารณะเช่นเดิม สำหรับเศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัวดีจากอุปสงค์ในประเทศ และการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและ ประเทศในภูมิภาค

    นายไพบูลย์ กล่าวเสริมว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศขณะนี้ยังบิดเบือน จำเป็นต้องกลับเข้าสู่ระดับปกติ ดังนั้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นขาขึ้น แรงกดดันต่อการเร่งตัวของเงินเฟ้อในการประชุมครั้งนี้มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนเสถียรภาพด้านอื่นยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติ และยังไม่เห็นความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ แต่ ธปท.ก็ยังกังวลอยู่เหมือนเดิม

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ แม้ว่าการประชุม กนง.ครั้งนี้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็ยังติดลบอยู่ ซึ่งอาจจะสะสมความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อและไม่สนับสนุนภาคการออม ประกอบกับราคาน้ำมันและอาหารโลกยังเร่งตัวขึ้น โดยขณะนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำและขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ที่สำคัญต้นทุนราคาสินค้าที่เร่งขึ้นในที่สุดจะกดดันให้ผู้ผลิตสินค้าต้อง ปรับราคาสินค้า แม้ขณะนี้ยังได้รับการร้องขอจากภาครัฐให้ตรึงราคาอยู่ ประกอบกับ แรงกระตุ้นด้านการคลังยังมีต่อเนื่อง โดยรัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนก็จะยิ่งกดดันการเร่งตัวของ อัตราเงินเฟ้อในอนาคตข้างหน้าด้วย ส่วนนโยบายประชาวิวัฒน์เพิ่งออกมา มีขนาดเม็ดเงินที่ใช้ไม่มากนัก ดังนั้น กนง.จึงมองเป็นเพียงปัจจัยเสริม ไม่ใช่ปัจจัยหลักต่อการเร่งตัวของเงินเฟ้อ

    ด้านนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก ขณะที่เงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณปรับตัวสูงขึ้น ส่วนค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากนัก ทำให้ไม่มีข้อจำกัดที่จะทำให้ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคาร คาดว่าจะปรับขึ้นตามการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายภายใน 2-3 วัน

    ขณะที่นาย สุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางธนาคารได้เตรียมตั้งรับในการที่อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไว้อยู่แล้ว โดยมีการขยับเงินฝากให้ระยะยาวขึ้น ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ (สเปรด) เหลือแค่ 7 เดือน จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 1 ปี แต่ถึงส่วนต่างของสเปรดจะน้อยลงเพราะได้รับผลกระทบจากการที่ กนง.ขึ้นดอกเบี้ย แต่คาดว่าก็ยังสามารถทำกำไรได้มากขึ้น จากการที่ทางธนาคารจะไปเจาะตลาดกลุ่มรายใหญ่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากเดิมจะเน้นแต่กลุ่มรายย่อย เนื่องจากในปีนี้คาดว่าการแข่งขันในกลุ่มรายย่อยจะมีความรุนแรงมากขึ้น คาดว่าสเปรดอาจจะลดลงจากเดิม 5% แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเท่าใด คาดว่าในปีนี้อัตราดอกเบี้ยทั้งปีน่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.75% ตลอดทั้งปี


    -----------------------------------------------------------------------

    ที่อัตราดอกเบี้ย 0.75% เราต้องเสียดอกเพิ่มเดือนละ 625 ต่อหนึ่งล้านของเงินกู้ครับ

    นับว่าไม่ใช่น้อย คิดเป็นปีละ 7500 บาทต่อหนึ่งล้าน

    การขึ้นดอกตอนนี้ถือว่าจิ๊บ ๆ ครับ ผมซาวตลาดดูก็ไม่พบว่ามีผลกระทบใด ๆ เท่าไหร่ เพราะต่างชาติก็ปรับดอกขึ้นเช่นกัน
    เมื่อวานเกาหลีก็ปรับ .25

    แต่ที่น่าห่วงก็คือผลกระทบจากวิกฤตUSD ครับ ถ้าเกิดขึ้นเมื่อในจะได้เห็นดอกเกินร้อยละ 15 แน่
    คิดเป็นค่าดอกปีละ 150,000 ต่อเงินต้นหนึ่งล้าน
    หรือคิดเป็นเดืือนละ 12,500 บาท
    อันนี้เป็นเฉพาะตัวเลขดอกที่ต้องเสียต่อเงินต้นหนึ่งล้านเท่านั้นนะครับ
    ถ้าใครมียอดสูงกว่านี้ก็คูณดูเอาครับ

    และแน่นอนที่แบ้งค์ต้องบังคับให้ผ่อนรายเดือนเพิ่มขึ้นแน่นอน เพื่อให้ทันค่าดอกเบี้ย
    ผมยกตัวอย่างตัวเลขแค่ดอกขึ้นร้อยละ 15 เท่านั้นนะครับ
    แต่ความจริงหากเกิดวิกฤตUSD ขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ใช่แค่ 15 % แน่นอนครับ


    ถ้าตอนนี้แบ๊งค์ยอมให้คุณตัดต้นได้เท่าไหร่ ก็ประหยัดและกัดฟันส่งทบต้น เพื่อตัดต้นให้เหลือน้อยที่สุดนะครับ

    เพื่อความมั่นคงของคุณ และครอบครัวครับ

    </td></tr></tbody></table>
     
  5. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    โพสต์ <abbr class="published" title="2011-01-13T06:51:34+00:00">วันนี้, 01:51 PM</abbr>
    [​IMG]


    เตรียมพร้อม (Be prepared)


    เดี๋ยวนี้จะทอดไข่เจียวกินซักใบ คงจะปวดใจกว่าเดิม เนื่องจาก
    ราคาไข่(ขึ้น 20 สต.) + ราคาน้ำมันปาล์ม (ขึ้นขวดละ 9 บาท) + ราคาแก๊ส ที่พุ่งสูงขึ้นทำเอาคุณแม่บ้านเครียด
    รัฐบาลถึงกับต้องออกมาตรการใหม่ให้ชั่งไข่ขายกันตามน้ำหนัก โดนโยนบาปไปให้

    “คนที่มีหน้าที่คัดแยกเบอร์ไข่ ว่ามีส่วนทำให้ต้นทุนของไข่สูงขึ้น??”

    ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แล้วก่อนหน้าที่ไข่เคยราคาถูกกว่านี้ เป็นเพราะไม่มีคนคัดแยกไข่อย่างนั้นหรือ ??
    หากปัญหาอยู่ที่ “ขนาดของไข่” ตัวต้นเหตุที่ผิดเต็มๆควรจะเป็น “ไก่” ที่ทะลึ่งออกไข่ไม่มาตรฐานทำให้ต้องมีการคัดแยกกันอย่างนั้นรึเปล่า?

    หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลัง การปรับขึ้นราคาของสินค้าโภคภัณฑ์แทบทุกชนิดในครั้งนี้ ?

    ไข่ น้ำมันพืช น้ำตาล ข้าวสารอาหารแห้ง สารพัด รายการ พร้อมใจกันขึ้นราคาโดยมิได้นัดหมาย
    เป็นเหตุสุดวิสัยหรือเพราะว่า “เงินเฟ้อ”

    “สินค้าขึ้นราคาหรือแท้ที่จริงแล้วค่าของเงินในกระเป๋าเราต่างหากที่ลดลง?”

    อย่างที่ผมเคยพูดไป การบอกว่าเงินเฟ้อคือสินค้าขึ้นราคา ไม่ต่างจากการเรียก “น้ำท่วม” ว่า “ฝนตก”
    ฝนนั้นตก (เหตุ) จึงทำให้น้ำมันท่วม (ผล) การพิมพ์เงินเพิ่มมาเจือจางเงินเก่าในระบบ (เหตุ) นั่นแหละที่ทำให้สินค้าขึ้นราคา (ผล)

    เงินเฟ้อ (Inflation) คือ การเจือจาง (Dilution) คือ ภาษีที่มองไม่เห็น (Invisible Tax) ที่ทุกคนต้องจ่ายโดยไม่รู้ตัว
    ประชาชนที่ยึดถือระบบธนบัตร ถูกลวงตาด้วยตัวเลขบนหน้าแบงค์ที่ไม่ว่าจะมองกี่ทีตัวเลขก็ไม่เปลี่ยน แต่ มูลค่าเปลี่ยน !
    คุณอาจจะสงสัยว่า แล้ว Nexttonothing ไม่ใช้ธนบัตร ? ไมใช้เงิน ? หรืออย่างไร ทำไมโจมตีระบบนี้จังเลย
    ผมกล้าพูดอย่างเปิดเผยเลยครับว่า “ผมไม่มีธนบัตร + ผมไม่มีเงินสด”


    ?????

    คุณไม่เชื่อใช่มั๊ยครับ? แต่ผมอยากบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงนะ
    ที่ผมกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่า “ผมเป็นหนี้ครับ (Debtor)”
    เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้

    ในระบบที่เงินด้อยค่าลงทุกปี คนที่เป็นลูกหนี้จะได้เปรียบ เช่น คุณยืมเงินเพื่อน 1000 วันนี้ ปีหน้าคุณเอา 1000 ไปคืน
    พันนึงเท่าเดิมแต่มูลค่ามันไม่เหมือนเดิม ตอนคุณยืมคุณยืม 1000 แพงๆ ไปใช้ แต่ภายหลังคุณเอา 1000 ถูกๆ มาคืน (ไม่งงนะครับ)
    ยิ่งอัตราดอกเบี้ยต่ำ ลูกหนี้ยิ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้คือคนที่เสียเปรียบ

    นั่นทำให้ผมไม่อายที่ผมจะบอกว่าผมเป็นหนี้ !! เป็นเยอะด้วย เงินสดที่ผมมีหากต้องนำไปใช้หนี้ทั้งหมด ผมจะติดลบ
    นั่นทำให้ผมกล้าพูดได้เลยว่า “ผมไม่มีเงิน”

    แต่สิ่งที่ผมมีและเก็บสะสมมานาน นั่นคือ เงินที่แท้จริง(ทองคำ)(Gold is real money)
    หากต้องใช้หนี้ เงินที่แท้จริงนี้ จะสามารถช่วยล้างหนี้ + จ่ายดอกเบี้ยให้ผมได้สบายๆ
    นั่นก็เพราะในขณะที่ ตัวแทนเงิน (ธนบัตร) เสื่อมค่าลง เงินที่แท้จริงกลับเพิ่มมูลค่าขึ้นทุกปีๆ

    ไม่ได้แนะนำให้ใครทำตามนะครับ เพราะเบื้องหลังยังต้องมีวิธีบริหารจัดการอีกเยอะ
    และไม่ใช่ว่าผมฉลาดแกมโกงด้วย แต่ที่ต้องทำแบบนี้เพื่อ “ป้องกันตัว” ครับ
    ผมไม่อยากเป็นเหยื่อของเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อนั้นเป็นเพื่อนกับนักการเมือง ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนๆ
    เค้าใช้ระบบนี้เพื่อบริหารจัดการ-จัดสรรปันส่วนทำประชานิยม (ล่าสุดเหมือนเปลี่ยนชื่อเป็น ประชาวิวัฒน์)
    ราวว่ารัฐบาลจะให้ของขวัญกับประชาชนแต่แท้จริงแล้ว พวกเราโดนปล้นเอาไปจ่าย

    เมื่อวานนี้ กนง. ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 สต. โดยให้เหตุผลว่า
    เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อแล้ว ยังอยู่ในระดับ ที่เรียกว่า “ติดลบ”
    บางคนฟังข่าวแล้วอาจจะงงๆ ว่าหมายถึงอะไร แต่กับคนที่อ่านกระทู้นี้มาโดยตลอด เข้าใจเป็นอย่างดี
    ว่าต่อให้ได้เงินฝากคืนพร้อมดอกเบี้ยในปีถัดไป ก็ยัง ถอนเอาไปซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิม (พูดง่ายๆ จนลง)

    การปรับขึ้นอีก 0.25 อัตราดอกเบี้ยรวมก็ยังต่ำกว่าเงินเฟ้อเฉลี่ย 3.3% ที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว
    อะแฮ่ม อย่าลืมว่า 3.3% นี่ไม่เอาอาหารและพลังงานมาคิดนะครับ (แล้วจะมีประโยชน์อะไร)
    หากรวมไปเผลอๆ คูณสอง

    นี่แหละครับความน่ากลัวของ “เงินเฟ้อ” นี่แหละที่ทำให้ผมต้องป้องกันตัว

    ความเข้าใจผิดอีกอย่างนึงที่มีต่อเงินเฟ้อนั่นก็คือ “ราคาสินค้าขึ้นเพราะต้นทุนขึ้น”

    มีคำสองคำ นั่นก็คือคำว่า ต้นทุน (Cost) กับคำว่า ราคา (Price) การบอกว่า
    สินค้าทุกอย่างแพงขึ้นเพราะมีต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นนั้นฟังเผินๆ เหมือนจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
    แต่แท้ที่จริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น นั่นเพราะหากเรามองอย่างตรงไปตรงมา ต้นทุน กับ ราคา ที่จริงมันคือสิ่งเดียวกัน
    คำว่าต้นทุนของคนคนหนึ่ง เป็นราคาของคนอีกคนหนึ่ง คนซื้อบอกว่านี่คือต้นทุนแต่คนที่ขายให้บอกว่านี่คือราคา

    มันคือสิ่งเดียวกันครับ !!

    เพราะฉะนั้นการบอกว่า
    สินค้าขึ้นราคาเพราะต้นทุนขึ้นราคา ไม่ต่างจากการบอกว่า สินค้าขึ้นราคาก็เพราะสินค้าขึ้นราคา
    ฟังแล้วฉลาดเท่าเดิม.

    แท้จริงแล้ว เงินมันลดมูลค่าลงต่างหากถึงทำให้ เงินจำนวนเท่าเดิมซื้อสินค้าปริมาณเท่าเดิมไม่ได้
    หากมองให้แง่นี้ทุกอย่างจึงจะดูสมเหตุสมผลกว่า

    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แต่เฉพาะในไทย แต่เป็นกันทั่วทั้งโลก เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา
    Food and Agriculture Organisation (FAO) ประกาศว่า ราคาอาหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่



    [​IMG]


    ดัชนีราคาอาหาร (food price index)
    ที่วัดจาก แป้งสาลี ข้าวโพด น้ำตาล ข้าวสาร เนื้อ ปรับตัวขึ้นทำสถิติ ที่ระดับ 237.6 จุด
    สูงกว่าวิกฤตการณ์ Food Crisis เมื่อปี 2007-2008 ที่ตอนนั้นอยู่ที่ระดับ แค่ 213.5 จุด ซะด้วยซ้ำไป
    เราอยู่ในโลกที่กว่า 60 ประเทศเกิดการประท้วงเพราะเรื่องนี้ นักศึกษาจีนถึงกับพังโรงอาหารในมหาวิทยาลัย
    คนแอลจีเรียเผาอาคารสถานที่ราชการประท้วงที่น้ำตาลขาดตลาดและมีราคาแพง
    น้ำท่วมที่ ออสเตรเลีย ฝนแล้งที่รัสเซีย หรือ พายุฝนกระหน่ำที่แคนาดา ก็ยิ่งซ้ำทำให้ผลผลิต เหล่านี้แพงขึ้นไปอีก
    ยิ่งราคาน้ำมันไม่ต้องพูดถึง 92$ เข้าไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วโลก เราอยู่ในระบบที่เงิน ดอลล่าห์ ไหลบ่าท่วมไปทุกประเทศ

    ยิ่งเค้าพิมพ์มาก ประเทศอื่นก็ต้องพิมพ์ตาม เพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ยิ่งพิมพ์ตามก็ทำให้เงินเฟ้อ
    ปริมาณเงินดอลล่าห์ที่เพิ่มขึ้นเหมือนการส่งออกเงินเฟ้อไปทุกทวีป คำถามคือ เราจะรับมืออย่างไรดี ??

    สิ่ที่จะรับมือกับเงินเฟ้อได้ดีที่สุดคือโลหะมีค่าครับ (Precious Metals)
    หากคุณเชื่อในสิ่งที่ผมพูด และตามผมมาขนาดนี้ คงไม่รบกวนเกินไปที่อยากจะขอให้เชื่อกันอีกหน่อย
    ต่อไป ราคาที่ปรับสูงขึ้นของทองคำจะไม่มีความหมายเท่ากับ ปริมาณทองคำที่คุณมี ทยอยสะสมทองคำเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะคุณทำได้
    นอกเหนือจากการที่จะเก็ง ให้ราคามันขึ้นเพื่อที่จะขายทิ้งมันไป คนชอบถามผมว่า ที่ระดับราคาทองขณะนี้ ควรจะ

    1.ขายทิ้ง (Sell)

    2.หรือถือต่อดี (Hold)


    คำตอบของผมคือผิดทั้งคู่ สิ่งที่คุณควรทำคือ “ซื้อเพิ่ม”(Buy) ครับ คนสมัยก่อนเค้าวัดความมั่งคั่งกันที่ ปริมาณทองคำที่ถือครอง
    ไม่ใช่ราคาที่แกว่งขึ้นหรือลง

    [​IMG] เมื่อไหร่ที่คุณไปธนาคารแล้วไม่เห็นแบงค์ใหม่

    [​IMG] เมื่อไหร่ที่เงินเลิกเสื่อมค่าลงทุกปี

    [​IMG] เมื่อไหร่ที่เบนเบอร์นันเก้ และ โอบาม่า เปลี่ยนนโยบายแบบ 180 องศา หันมาไม่ทำ QE แล้วปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    เมื่อนั้นค่อยขายทองครับ แต่สิ่งที่ผมพูดถึงจะเกิดขึ้นเป็นจริงได้ ยากพอๆ กับการเข็นภูเขาลงครก ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง กำลังแผ่ขยายตัวไปทั่วโลก
    และ อภิมหาเงินเฟ้อ(Hyperinflation) เป็นสิ่งที่สหรัฐจะต้องเผชิญ
    โอกาสทอง “จริงๆ” กำลังจะมา

    คุณพร้อมหรือยังครับ ? ผมพูดจริงนะครับ.



    ปล. ยอดจองหนังสือ มาเยอะเกินคาดเลย ซึ้งครับซึ้ง นั่นหมายความว่า ข้อมูลเหล่านี้กำลังจะปิดเผยออกไปให้คนจำนวนมากขึ้นได้รับรู้
    อยากให้หนังสือไปอยู่ในมือทุกท่านโดยเร็ว อ่านแล้วส่งต่อนะครับหากไม่อยากซื้อหลายเล่ม หรือ แนะนำกระทู้ให้เค้าอ่าน
    หากคุณเห็นว่ามีประโยชน์ จะขอบคุณมากครับ

    [​IMG]
     
  6. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สหรัฐฯ ยึดบ้านหลุดจำนองทะลุล้านยูนิตเป็นครั้งแรกในปี 2010


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=399><TBODY><TR><TD vAlign=top width=399 align=middle>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ในปี 2010 อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ถูกยึดมากกว่า 1 ล้านยูนิตภายในเวลา 1 ปี​



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    เอเจนซี - บริษัทวิจัยข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์เผย ปี 2010
    ที่ผ่านมา ธนาคารในสหรัฐฯ ยึดบ้านหลุดจำนองได้มากกว่า
    1 ล้านหลัง ภายในปีเดียวเป็นครั้งแรก แม้จะมีการหยุดชะงัก
    ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้าย เนื่องจากเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับ
    กระบวนการในการยึดทรัพย์มากขึ้น

    ข้อมูลจากเรียลตี แทร็ก บริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ
    ระบุว่า ในเดือนธันวาคม ธนาคารได้ยึดทรัพย์สินหลุดจำนอง 69,847 ยูนิต
    ทำให้ยอดรวมของปีที่ผ่านมาเป็น 1.05 ล้านยูนิต ล้มสถิติเดิม 918,000
    ยูนิตในปีก่อนหน้า

    สำหรับจำนวนการยื่นฟ้องเพื่อขอยึดทรัพย์ ซึ่งรวมถึงหมายแจ้งผิดสัญญา
    การขายทอดตลาด และการถือครองทรัพย์สิน ก็ทำสถิติใหม่ในปีที่แล้ว
    ถึง 2.9 ล้านยูนิต เป็นการฟ้องร้องในเดือนธันวาคม 257,747 ยูนิต

    เจมส์ เจ แซกคาซิโอ ผู้บริหารระดับสูงของเรียลตี แทร็ก ชี้ว่า
    จำนวนทรัพย์สินที่ถูกยื่นฟ้องเพื่อขอยึดในปี 2010 อาจเกิน 3 ล้านยูนิต
    ได้อย่างง่ายดาย ถ้าการยึดทรัพย์หลุดจำนองในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่ลดลง
    อันเป็นผลมาจากข้อกังขาเกี่ยวกับเอกสาร และกระบวนการในการยึดทรัพย์
    จนทำให้ธนาคารใหญ่หลายแห่งระงับการดำเนินการไว้ชั่วคราว

    การขออำนาจศาลเพื่อยึดอสังหาริมทรัพย์ในเดือนธันวาคมปี 2010 นั้น
    มีจำนวนต่ำกว่าในเดือนพฤศจิกายน 2% และน้อยกว่าในเดือนธันวาคม
    ของปี 2009 ถึง 26%

    เรียลตี แทร็ก ระบุว่า รัฐเนวาดา แอริโซนา และฟลอริดา ยังคงมียอดการ
    ยึดบ้านสูงสุดในประเทศเช่นเดียวกับในปีก่อนหน้านั้น และมีเพียง 5 รัฐ คือ
    แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา แอริโซนา อิลลินอยส์ และมิชิแกน ที่การยึดทรัพย์
    หลุดจำนองมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปี 2005 ก่อนที่จะราคาบ้านจะตกต่ำ
    ธนาคารเคยยึดทรัพย์สินหลุดจำนองเพียง 100,000 ยูนิตเท่านั้น

    ที่มา : Around the World - Manager Online - ���Ѱ� �ִ��ҹ��ش�ӹͧ������ҹ�ٹԵ��繤�����á㹻� 2010
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Jan 12 2011, 11:49 AM
    Neng (guest): ท่านแม่ทัพลองเข้าไปดู เกี่ยวกับน้ำมันพืชที่เราท<WBR>านกันอยู่ทุกวันครับ บทความอาจอาจจะยาวนิดนึง

    [​IMG]
    [​IMG]
    Jan 12 2011, 11:50 AM
    Neng (guest): http://www.pendulumthai.co<WBR>m/<WBR>smf/<WBR>index.php?topic=1372.0

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 8:18 AM
    Maalaachi (guest): เรื่องน้ำมันพืช เคยศึกษามานานแล้วครับ มันอันตรายจริง ๆ เราโดนหลอก ไม่ให้กิน น้ำมันมะพร้าว ทั้ง ๆ ที่มันมีประโยชน์มากกว่า ช่วยชลอ ความแก่ได้ด้วย

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 8:19 AM
    Maalaachi (guest): นำมันมะพร้าว ดีกว่าน้ำมันพืช และน้ำมันหมู หลายร้อยเท่า แต่ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจค<WBR>รับ เขาเลยให้พวก ฉลาด ๆ แต่โง่ ออกมาเขียนบทความโจมตี นำมันมะพร้าว ว่าไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อคนจะหันไปกิน นำมันพืช

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 8:20 AM
    Maalaachi (guest): เพราะประเทศของเขา ผลิตน้ำมันมะพร้าวไม่ได้ไง<WBR>ครับ เขามีแค่น้ำมันพืช แต่เวลาเขากินเอง กลับมาสั่งซื้อน้ำมันมะพร้<WBR>าวทางภาคใต้ไปกันเยอะ .<WBR>.<WBR>เฮ้อ หลอกให้คนอื่นกินน้ำมันพืช แต่ตัวเอง กินน้ำมันมะพร้าว

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 8:23 AM
    Maalaachi (guest): แค่นั้นไม่พอ อ.<WBR>ย.<WBR> นี่แหละครับ ไม่ยอมให้น้ำมันมะพร้าวผ่า<WBR>น ซะที ด้วยเหตุผลอะไรคงจะพอทราบก<WBR>ันนะครับ สรุป กินน้ำมันมะพร้าว ดีที่สุดครับ โดยเฉพาะ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น.<WBR>.<WBR>.<WBR> ทาได้ได้วย กินได้ด้วย เช้า ๆ สัก 1 ช้อนชา รับรอง ไม่แก่.<WBR>.<WBR>.<WBR>ไม่เหี่ยว

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 1:17 PM
    JimmySiri: "<WBR>เขาเลยให้พวก ฉลาด ๆ แต่โง่ ออกมาเขียนบทความโจมตี นำมันมะพร้าว ว่าไม่ดีต่างๆนาๆ เพื่อคนจะหันไปกิน นำมันพืช"<WBR> .<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>55555 คุณ Maalaachi ตรงไปตรงมาดีครับ คือเค้าใช้ความจริงเพียงด้<WBR>านเดียวจากผลการทดลองในห้อ<WBR>งแล๊บมาโฆษณาชวนเชื่อให้เข<WBR>วกันไปหมด คล้ายๆกับเรื่องทำให้ "<WBR>นมวัว"<WBR> กลายเป็นอาหารวิเศษครับ ถ้าจับทางเค้าตรงนี้ได้แล้<WBR>วจะเห็นว่าเค้าใช้วิธีเดีย<WBR>วกันนี้กับอีกหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 1:23 PM
    JimmySiri: เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตอนท<WBR>ี่ผมอยู่ในสหรัฐคือเค้าปลู<WBR>กฝังว่า "<WBR>เนย"<WBR> เป็นของไม่ดีครับเพราะอุดม<WBR>ไปด้วยคลอเรสเตอรอล และเค้าชี้นำไปที่ "<WBR>Margarine"<WBR> หรือที่บ้านเราเรียกว่า "<WBR>มาการีน"<WBR> ให้ใช้แทนเนย ซึ่งถ้าศึกษาข้อมูลให้ดีแล<WBR>้ว เนยเป็นปัญหาจริงๆครับ แต่เจ้ามาการีนนี่อุดมไปด้<WBR>วย ไขมันทรานส์ เรียกได้ว่าอันดับต้นๆเลย ซึ่งเป็นไขมันที่จะว่าไปแล<WBR>้วนำมาเป็นอาหารไม่ได้ แต่ก็ถูกทำให้เป็นอย่างนั้<WBR>นในที่สุด

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 1:27 PM
    JimmySiri: หลังจากที่ชี้นำให้สังคมอเ<WBR>มริกันและทั่วโลกหันมาบริโ<WBR>ภคเนยเทียมตัวนี้ ก็สร้างปัญหามาตลอด ทั้งเรื่องโรคอ้วน โรคหัวใจ และอีกสารพัดที่ตามมา แต่เค้าก็ทำจนสำเร็จเพราะถ<WBR>้าเข้าไปในซุปเปอร์ในสหรัฐ<WBR>จะเป็นเจ้าเนยเทียมกินพื้น<WBR>บนชั้นสินค้าที่เป็นสัดส่ว<WBR>น 90:<WBR>10 เลยก็ว่าได้ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 1:32 PM
    JimmySiri: แต่ที่สุดของอาหารที่ไม่คว<WBR>รมีในโลกนี้เลยก็คือ "<WBR>ชีส"<WBR> ครับ ซึ่งเป็นของโปรดของผมอย่าง<WBR>หนึ่ง 555 แต่เจ้าชีสนี่แหละคือ "<WBR>หัว"<WBR> ของนมวัวซึ่งอุดมไปด้วยฮอร<WBR>์โมนเร่งโตและยาปฏิชีวนะต่<WBR>างๆที่ใช้ในการเลี้ยง เพราะฉะนั้นถ้าใครชอบทานชี<WBR>สลองศึกษาเรื่องนี้ครับ ว่ามันเป็น "<WBR>สุดยอด"<WBR> (<WBR>ในการทำลายสุขภาพ)<WBR> ขนาดไหน พอรู้แล้วคงเลิกได้เองครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤติข้าวยากหมากแพงโลก ไทยต้องมีบทบาทคึกคักยิ่ง

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    กาแฟดำ

    ภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” กำลังมีผลกระทบต่อชาวโลกอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง และอาจจะนำไปสู่ปัญหาสังคม เศรษฐกิจและการเมือง
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110106/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ที่ร้อนแรงกว่าที่เราคาดคิดก็ได้
    องค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติ (FAO) บอกว่าราคาข้าวปลาอาหารของโลกพุ่งไปถึงระดับสูงสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และอาจจะขยับขึ้นต่อเนื่อง
    สาเหตุสำคัญคือสภาพลมฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลง จากรูปแบบเดิมอย่างคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ ทำให้ผลผลิตการเกษตรและอาหารทั้งหลายของประเทศต่างๆ พลอยผิดเพี้ยนไปจากที่เคยเป็น
    คนไทยเราเห็นภาวะสองด้านที่กระทบมาพร้อมกัน นั่นคือในฐานะประเทศที่ผลิตอาหาร เรายินดีที่ได้เห็นราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพราะเกษตรกรของเราได้ประโยชน์อย่างชัดเจน และหากเราสามารถลดการเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางและระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ความมั่งคั่งที่เกิดจากราคาอาหารที่สูงขึ้นก็น่าจะสามารถกระจายไปยังหมู่คนจำนวนมากขึ้น สร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้มากขึ้น
    อีกด้านหนึ่งในฐานะผู้บริโภค คนไทยก็ต้องรับภาระของข้าวของที่แพงขึ้นเหมือนประเทศอื่น แม้ว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศที่ไม่สามารถผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารได้
    เราคนไทยจึงสามารถเข้าใจถึงผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ของปรากฏการณ์ราคาอาหารที่แพงขึ้นอย่างรอบด้าน
    อยู่ที่ว่าเราจะสามารถปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง และรู้จักรุกรู้จักถอยในจังหวะจะโคนที่เหมาะสมหรือไม่
    อาหารแพงขึ้นทั่วโลกทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในหลายประเทศแล้ว เช่นการจลาจลที่เฮติ อียิปต์ และแคเมอรูน เพราะอาหารแพงเกินกว่าที่ชาวบ้านจะหาซื้อได้ และในอีกหลายประเทศแม้จะมีเงินซื้อแต่ก็หาของไม่ได้ เพราะเมื่อสินค้าแพง พ่อค้าหัวใสก็จะเริ่มกักตุนสินค้า และโดยกลไกตลาดก็หมายความว่าราคาจะถูกปรับขึ้นโดยอัตโนมัติ
    หากรัฐบาลใดบริหารไม่เป็น หรือไม่มีความสามารถในการดูแลความต้องการของประชาชนจริงๆ ก็จะต้องเจอกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างสูงยิ่ง เผลอๆ อยู่ไม่ได้ ต้องล้มกันระเนระนาด
    แค่เรื่องลมฟ้าอากาศอาจจะพอเข้าใจและแก้ไขได้ แต่สิ่งที่ตามมาซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงคือการตัดสินใจทางการเมือง เศรษฐกิจ และการเงินการทองที่โยงใยไปถึงการขาดแคลนอาหาร
    อากาศเลวร้ายอย่างที่เห็นกันคือน้ำท่วมใหญ่ที่ออสเตรเลีย อากาศแห้งแล้งอย่างรุนแรงที่อาร์เจนตินา ไฟไหม้ป่าอย่างกว้างขวางที่รัสเซีย และภัยแล้งกับอุทกภัยที่แม้แต่ไทยเราเองก็ยังต้องเผชิญ
    แต่เมื่อเกิดภาวะข้าวของแพงและผลิตไม่ทันแล้ว ก็ตามมาด้วยบางประเทศประกาศหยุดการส่งออกซึ่งสินค้าเกษตร เพราะป้องกันปัญหาประชาชนลุกขึ้นประท้วง
    ตามมาด้วยนักลงทุนในตลาด ที่ฉวยโอกาสของความขาดแคลน และราคาพุ่งพรวดพราดนี้ทำกำไรระยะสั้น อันมีผลทำให้ราคาข้าวของแพงขึ้นไปอีก
    เป็นผลจากการ “ปั่นตลาด” ของนักแสวงหากำไรจากความยุ่งยากสับสนของสังคมอันน่าประณามยิ่ง
    แต่นี่คือความจริงอันน่าเกลียดน่ากลัวที่เกิดขึ้น
    สถิติทางการบอกว่าเมื่อปี 2008 อย่างน้อย 13 ประเทศ ประกาศมาตรการห้ามส่งออกหรือไม่ก็ขึ้นภาษีอย่างสูง เพื่อแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้น พอทำอย่างนี้ สิ่งที่ตามมาทันทีก็คือข้าวของยิ่งหายากและราคาก็ขยับสูงขึ้นไปอีก
    เรื่องอย่างนี้หากแต่ละประเทศดำเนินนโยบาย “เอาตัวรอด” เท่านั้น ความวุ่นวายทางสังคม และการเมืองก็อาจจะหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะเรื่อง “ปากท้อง” ไม่ใช่ประเด็นที่ทำแบบ “ตัวใครตัวมัน” ได้ จำเป็นต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกันเช่น
    เพิ่มการผลิตการเกษตรด้วยการลงทุนที่ถูกต้องและหวังผลระยะยาว ไม่ใช่ด้วยการปั่นตลาดเพื่อทำกำไรเกินควรระยะสั้นอย่างที่เห็นกันอยู่ขณะนี้
    และที่สำคัญคือกลไกระหว่างประเทศ จะต้องสร้างมาตรการที่จะปกป้อง และช่วยเหลือประเทศยากจนที่ไม่มีจะกินจริงๆ... เพราะถ้าไม่ช่วยคนยากไร้ที่หิวโหย โลกก็อาจเผชิญกับความปั่นป่วนที่สามารถระบาดไปได้อย่างกว้างขวาง
    ไทยเราต้องการจะเป็น “ครัวของโลก” แต่ขณะเดียวกันก็จะต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล กว่าเพียงแค่จะขายของแพงเท่านั้น... จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งของเวทีโลก ที่จะหาทางเยียวยาและช่วยเหลือประเทศที่มีปัญหาด้านอาหาร
    เพราะใครที่หิวโหยจะไม่มีวันลืมคนที่ยื่นมือมาป้อนอาหารช้อนแรกเป็นอันขาด
    วันนี้ ไทยเราอยู่ในฐานะที่จะทำสิ่งที่ชาวโลกยกย่องสรรเสริญ และขณะเดียวกันก็ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง
    อยู่ที่วิสัยทัศน์ของเรายาวไกลแค่ไหนในเรื่องปากเรื่องท้องของโลก

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Jan 13 2011, 2:01 PM
    JimmySiri: คำถามคือทำไมไม่มีการรณรงค<WBR>์เรื่อง "<WBR>ชีส"<WBR> ทั้งที่ควรจะทำมากกว่าเรื่<WBR>องเนยอย่างมากมาย หรือว่ามันอยู่ในจุดทีพวกเ<WBR>ค้าพอใจแล้ว?<WBR>?<WBR>?<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]
    Jan 13 2011, 2:03 PM
    JimmySiri: ปฏิทินวันสิ้นอายุสัญญาของ<WBR>ตลาดโลหะ ปี 2011 http://www.cmegroup.com/<WBR>trading/<WBR>metals/<WBR>files/<WBR>2011_expiration_calendar_m<WBR>etals.pdf

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 3:47 PM
    JimmySiri: เลคเชอร์เรื่องอาหารประเภท<WBR>นม และ Dairy Product โดยเฉพาะเรื่องชีส [ame="http://video.google.com/videoplay?docid=9014552245997479572"]http://video.google.com/<WBR>videoplay?docid=9014552245<WBR>997479572[/ame]#<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 3:57 PM
    JimmySiri: สำหรับในช่วงไตรมาส 2/<WBR>2554 ตลาดทองคำ และ Gold Future จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอีก 3 ตัวได้แก่ Gold ETF,<WBR> Silver Futures และการขยายเวลาเทรดของ Gold Futures ไปถึง 22.<WBR>30 น.<WBR>จากปัจจุบันที่ 17.<WBR>00 น.<WBR> http://www.manager.co.th/<WBR>Around/<WBR>ViewNews.aspx?NewsID=95400<WBR>00003510

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 13 2011, 4:01 PM
    JimmySiri: ฉวยบาทอ่อน เงินเฟ้อพุ่งหลายทิศทาง ธปท.<WBR>ขยับ ดบ.<WBR>อ้างดึงทุนนอกกลับคืน http://www.manager.co.th/<WBR>StockMarket/<WBR>ViewNews.aspx?NewsID=95400<WBR>00003891

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  10. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ผมคาดเดาว่าไม่น่าเกินเดือน 5 ครับ ไม่น่าจะเอาอยู่แล้ว
     
  11. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีครับคุณ Nat_usp ยินดีครับที่ร่วมกันติดตามข่าวสารเรื่องวิกฤติการเงินโลกที่กำลังจะมีผลต่อประชากรโลกทุกคน

    ถ้ามี หรือไปเจอข้อมูลที่น่าสนใจก็นำมาลงให้เพื่อน ๆ รับทราบกันบ้างนะครับ

    ข่าวต่อไปต่อเนื่องจากการที่รัฐบาลโปรตุเกสกับสเปนขายพันธบัตร หรือพูดตรง ๆ ก็คือยืมเงินในอนาคตมาใช้ครับ


    โล่งหรือไม่?


    14 มกราคม 2554 เวลา 08:34 น. posttoday


    เรียกได้ว่าโล่งไปอีกเปลาะกับการประสบความสำเร็จของโปรตุเกส ที่สามารถระดมทุนจากการเปิดประมูลพันธบัตรได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 1,250 ล้าน ยูโร


    ด้วยความช่วยเหลืออย่างสุดๆ จากหลายประเทศทั้งในยุโรปเอง และแม้กระทั่งจากจีนและญี่ปุ่น
    ที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเปิดการประมูลว่า จะช่วยเหลือยุโรปอย่างเต็มที่ครับ
    ผลสำเร็จจากโปรตุเกสยังส่งผ่านมายังสเปนด้วยในเวลาเพียง 1 วันต่อมา เมื่อสเปนสามารถบรรลุเป้าในการระดมทุนจากการประมูลพันธบัตรได้ตามที่วางไว้
    3,000 ล้านยูโร สเปนที่ถูกมองว่าจะเป็นประเทศต่อจากโปรตุเกส ที่จะต้องรับความช่วยเหลือนั้นก็ได้หายใจโล่งตามไปด้วย
    แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายก็มองว่า เป็นเพียงการผ่อนคลายความตึงเครียดในระยะสั้นเท่านั้น
    เหมือนกับเมื่อครั้งที่ไอร์แลนด์ยอมรับความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และไอเอ็มเอฟ เมื่อปีที่แล้วครับ
    จากที่คิดว่าหลังจากไอร์แลนด์รับความช่วยเหลือไปแล้ว (เป็นประเทศที่ 2 ต่อจากกรีซ) วิกฤตในยุโรปก็น่าจะดีขึ้น
    แต่แล้วแรงกดดันก็มาตกอยู่ที่โปรตุเกสในที่สุด
    นั่นเป็นเพราะวิกฤตครั้งนี้ นอกเหนือจากจะมีสาเหตุมาจากปัญหาหนี้เรื้อรังในหลายชาติยุโรปแล้ว
    ยังลุกลามกลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลของหลายชาติยุโรปไปแล้ว โดยเฉพาะความเชื่อมั่นต่อการชำระหนี้คืนของรัฐบาลชาติต่างๆ
    อย่างโปรตุเกสนั้น เห็นได้จากความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเบี้ยประกันความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลนั้นสูงขึ้น
    อย่างต่อเนื่อง และสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี ซึ่งถือเป็นพันธบัตรที่มั่นคงที่สุดในยุโรป
    ปัญหาในโปรตุเกส ยังใช่ว่าจะหายไปในพริบตากับความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรครั้งนี้ เพราะว่าปัญหาเดิมๆ ยังคงอยู่
    ไม่ว่าจะปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่ยังอยู่ในระดับสูงมาก ตลอดไปจนถึงศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอนาคตของโปรตุเกสที่ลดลงอย่างต่อ เนื่อง
    จนเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินในประเทศและต่างประเทศระยะยาวของ โปรตุเกสลง 1 ขั้น สู่ระดับ A+ จาก AA
    และยังมีแนวโน้มเชิงลบ บอกว่า เศรษฐกิจโปรตุเกสมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะถดถอย
    ในขณะที่รัฐบาลกำลังประสบกับความยากลำบากในการควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณด้วย
    ดังนั้น ไม่ว่าโปรตุเกสจะต้องรับความช่วยเหลือจากส่วนกลางหรือไม่อย่างไรนั้น ก็ต้องบอกว่า ปัญหายังไม่หายไปไหน
    ตราบใดที่ยุโรปยังไม่สามารถแก้ที่ปัญหาต้นตอ คือการขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง ตลอดไปจนการสร้างวินัยทางการเงิน
    และการฟื้นฟูภาพการเงินและธนาคาร ที่จะนำไปสู่การฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกครั้งครับ
     
  12. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สวัสดีครับคุณForeverYoung

    ตอนนี้คนที่ผมรู้จักหลายๆคนไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก ( ในประเทศก็ได้ครับ )
    น่าเป็นห่วง จากการที่คุยพบว่าเหตุส่วนใหญ่คือ
    1. ราคายางพาราขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    2. ราคาปาล์มก็ขึ้น,มะพร้าว ฯลฯ ก็ขึ้น
    3. ราคาของปรับขึ้นเพราะเศรษฐกิจดีขึ้น
    4. การเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้ต้องใช้เงินมาฟื้นฟูมากขึ้นซึ่งน่าจะเป็นผลดี -_-"
    5. มั่นใจในการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
    6. อุตสาหกรรมยานยนต์ยังไปได้สวยมากๆ

    จากข้อ1-4น่าจะลืมไปว่าพืชผลทางการเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค
    ไม่ขึ้นราคาตามสถาณการณ์ปกติ

    แต่มีบางคนก็เห็นด้วยครับ ( ที่เล่นหุ้นอยู่ ) บางว่าสถาณะการณ์มันทะแม่งๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2011
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สหรัฐฯย้ำกองทัพUSยังสำคัญใน'แปซิฟิก'หากต้องการสกัดอิทธิพล'จีน'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>14 มกราคม 2554 14:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียว ก่อนเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้เป็นประเทศสุดท้าย

    เอเจนซี - วอชิงตันประกาศย้ำว่า ภูมิภาคแปซิฟิกยังคงต้องการกองทัพสหรัฐฯ เพื่อที่จะสกัดกั้นการแผ่อิทธิพลของกองทัพจีนซึ่งอาจมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อปักกิ่งเร่งพัฒนากองทัพอย่างกระวีกระวาด ท่าทีล่าสุดของพญาอินทรีมีขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา จะไปเยือนกรุงวอชิงตัน ในสัปดาห์หน้า

    รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวแสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียววันนี้ (14) ระบุว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการทำสงครามในโลกไซเบอร์และระบบขีปนาวุธทำลายดาวเทียมของจีน ได้ท้าทายขีดความสามารถในการปฏิบัติการในย่านแปซิฟิกของกองทัพสหรัฐฯ

    นายใหญ่เพนตากอน ยังได้ประกาศเน้นย้ำถึงความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์ระดับกลาโหมระหว่างวอชิงตันกับโตเกียว โดยระบุว่า “หากปราศจากทหารอเมริกันซึ่งประจำการอยู่ในญี่ปุ่นขณะนี้ราว 49,000 คน จีนอาจแสดงความก้าวร้าวมากขึ้นต่อบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน”

    เกตส์ กล่าวโดยอ้างเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นซึ่งปะทุขึ้นจากชนวนเหตุกรณีเกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออกเมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำว่า เหตุใดพันธมิตรของญี่ปุ่นอย่างหรัฐฯ จึงมีความสำคัญต่อภูมิภาคนี้อย่างยวดยิ่ง

    คำเตือนของเกตส์ มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากจีนนำเครื่องบินขับไล่ที่มีเทคโนโลยีหลบหลีกเรดาห์ (สเตลต์) รุ่นแรกของตนออกบินทดสอบครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกตส์เยือนกรุงปักกิ่งหมายจะปรับปรุงความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับจีนที่แตกร้าวมานานเกือบหนึ่งปีเต็มจากชนวนเหตุที่เพนตากอนขายอาวุธล็อตใหญ่ด้วยมูลค่าเป็นประวัติการณ์แก่ไต้หวัน

    สหรัฐฯ ยังหวาดวิตกถึงการที่จีนมีแผนจะต่อเรือบรรทุกเครื่องบินจำนวนหลายลำ รวมถึงพัฒนาขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม ตลอดจนระบบอาวุธล้ำสมัยอื่นๆ โดยที่วอชิงตันเกรงว่าอิทธิพลครอบงำของตนในบริเวณภูมิภาคแปซิฟิกจะถูกท้าทายโดยจีน

    “คำถามต่างๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย รวมถึงความคลุมเคลือในการสร้างความทันสมัยให้กับกองทัพของจีน สร้างความหวาดระแวงให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย” เกตส์ กล่าวต่อหน้านักศึกษามหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียว

    “ข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับบทบาทของจีนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้ สามารถพิจารณาได้จากข้อพิพาทเรื่องดินแดนต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันล่าสุดระหว่างปักกิ่งกับโตเกียวในน่านน้ำใกล้กับหมู่เกาะเซนกากุเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา” บิ๊กเพนตากอน กล่าว

    ทั้งนี้คำพูดเตือนและท่าทีของรัฐมนตรีเกตส์ คราวนี้มีขึ้นก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีนมีกำหนดจะไปเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มกราคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เตรียมจะยกประเด็นปัญหาสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์หลายๆ ปัญหามาถกหารือกับผู้นำแดนมังกร อาทิ ปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านและเกาหลีเหนือ ตลอดจนประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกคู่นี้

    Around the World - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Nat_usp<!-- google_ad_section_end --> ไม่ต้องแปลกใจไปเลยค่ะ เพราะข้อมูลเชิงลึกทางเศรษฐกิจ
    มีคนส่วนน้อยที่รู้ คนส่วนใหญ่ก็จะรู้เท่าที่สื่อกระแสหลักเขาต้องการให้รู้ ที่เราคิดไม่เหมือน
    คนอื่น เพราะข้อมูลที่เรารู้มีไม่กี่คนที่ได้รู้ ถ้าไม่ได้ค้นคว้าด้วยตนเองทางอินเตอร์เน็ต
    เราก็คงคิดเหมือนคนอื่นๆเหมือนกัน พี่น้องเราก็ไม่มีใครเชื่อเราเหมือนกัน
    ขนาดนักวิเคราะห์ ที่มีข้อมูลแม่นๆ ยังพูดไม่เหมือนกันเพราะมีหลายปัจจัย
    บางคนก็ยึดมั่นในวิชาชีพ บางคนก็ไม่มี เราก็ต้องฟังหลายๆทาง แล้วคิดพิจารณาด้วย
    สติปัญญาของเราเอง ถ้าเรารู้ถูกคาดการณ์แม่นยำเราก็จะเอาตัวรอดได้ และเมื่อถึงเวลา
    เราก็จะอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องราวที่มันเกิดจริงแล้ว ให้คนรอบตัวเขารู้และเข้าใจได้เร็ว
    ถ้าเรื่องยังไม่เกิด ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะ ต้องรอมันเกิดก่อน คนที่ตื่นคือคนที่เข้าใจ
    เหตุการณ์ต่างๆได้ถูกต้องตามจริง ระวังตัว เวลาเกิดเหตุการณ์ตามที่คาดการณ์ไว้
    ก็จะรับมือได้เอาตัวรอดได้ ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดเหตุเลวร้ายตามข้อมูล
    ที่เราได้มา เราก็จะช่วยคนรอบข้างได้มาก ให้คำปรึกษาได้ตรงจุด

    ถึงเวลานี้ เรารอดูอย่างเดียวค่ะ ใครที่คุยแล้วเข้าใจกันก็มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
    คนไหนไม่เข้าใจก็ปล่อยเค้าไปค่ะ ถึงเวลานั้นเมื่อไร เขาก็เข้าใจเอง
     
  15. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ครับคุณk.kwan ผมพูดตรงๆเลยว่าภรรยาผมก็เพิ่งเชื่อในสิ่งที่ผมพูดเมื่อวานนี้เองครับ


    เอาง่ายๆ ผมลองพูดลอยๆกับคนรอบข้างว่า "เงินที่ฝากธนาคารไว้ ขาดทุนนะ"
    แค่นี้ก็สะกิดต่อมโทสะของคนรอบข้างได้แล้วครับ ( ซึ่งผมก็ไม่โกรธ )
    แต่ถ้าเป็นคนที่ติดตามข่าว ประเมินสถาณการณ์จะรู้ว่าหมายถึงอะไร

    ตอนนี้ผมว่าชนชั้นกลาง ( ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ) อาการน่าเป็นห่วงครับ
    เพราะเป็นพลังขับเคลือนเศรฐกิจที่สำคัญ แต่ท่านๆเหล่านั้นไม่ได้รับข้อมูลภาพจริงของเศรษฐกิจ
     
  16. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    ผมเห็นด้วยกับคุณNat_uspครับ เพราะตอนนี้ผมได้เอาเงินเก็บออมส่วนหนึ่งแปลงเป็นรูปของทองคำครับ เพราะอีกไม่นานเงินกระดาษทั่วโลกทุกสกุลจะไร้ค่า โลหะมีค่าจะผงาดแทนครับ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    The Most IMPORTANT Video You'll Ever See (part 1 of 8)

    | June 16, 2007
    2 million views for an old codger giving a lecture about arithmetic? What's going on? You'll just have to watch to see what's so damn amazing about what he (Albert Bartlett) has to say.

    I introduce this video to my students as "Perhaps the most boring video you'll ever see, and definitely the most important." But then again, after watching it most said that if you followed along with what the presenter (a professor emeritus of Physics at Univ of Colorado-Boulder) is saying, it's quite easy to pay attention, because it is so damn compelling.

    Entire playlist for the lecture: [ame="http://www.youtube.com/view_play_list?p=6A1FD147A45EF50D"]http://www.youtube.com/view_play_list...[/ame]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    POPSmaroon | January 07, 2008
    A movie that explains clearly and simple the compicated finacail slavery we are under! Money as Debt

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/mIIAvdJvCes?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/mIIAvdJvCes?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/f11De4_pGnw?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/f11De4_pGnw?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/F2rXCEEh8SE?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/F2rXCEEh8SE?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/LvH8Jw_ouR0?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/LvH8Jw_ouR0?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
  19. Poohrich Assawanuwat

    Poohrich Assawanuwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +341
    ดอกเบี้ยพากันพาเหรดขึ้นพร้อมกันอย่างทั่วหน้า ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ย PRIME RATE ตลอดจนสำหรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี MRR>7% แล้ว แล้วอัตราส่วนต่างบวกเพิ่มตามสัดส่วนมูค่าความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจ อีกเท่าไหร่ (ตั้งแต่ +2% ไปจนถึง +15% ) ค้าขายอะไรดีถึงจะมีกำไรเพียงพอให้ใช้จ่ายในครอบครัวในยุคของแพง แล้วก็ต้องสามารถจ่ายดอกเบี้ยให้ Bank ได้

    แล้วคนที่ค้าขาย คนที่กินเงินเดือน แล้วดันไปกู้เงินBANK มาแยะ เพราะคิดว่าเศรษฐกิจจะดี ผ่อนได้น่ะ จะทำอย่างไรกันล่ะที่เนียะ

    สงสัยได้เห็นวิกฤตผัดไทไข่ห่อแน่ (ต้มยำกุ้งเป็นของพวกเศรษฐีเขานะ)
     
  20. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    แทนความห่วงใย....4444
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CsgufbzQf2M&feature=related]YouTube - Asanee Wasan Live! 1:7 วัวลืมตัว Wua luem tua 1:8 แทนคำนั้น Taen kum nun[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...