เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

    น้ำตาลเทียม ( Aspartame ).......อีกหนึ่งทูติมรณะจาก NWO


    นานมาแล้วครับที่ไม่ได้ขึ้นถึงวาระด้านอื่นๆ ของกลุ่ม NWO โดยเฉพาะด้านการแพทย์และสุขภาพ วาระในการลดประชากรโลกลง และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงต่างๆ เราลองมาดูเรื่องนี้กันครับ


    Aspartame หรือน้ำตาลเทียม สารพิษที่มนุษย์ถูก "หลอก" ให้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เป็นสารพิษที่เข้าไปทำลายระบบประสาทต่างๆของร่างกาย โดยการแอบอ้างสรรพคุณเพียงด้านเดียวที่ " ผิดมหันต์ " หรือแม้กระทั่งหมอที่ถูก " สอนให้รู้เท่าที่เค้าให้รู้ "

    โดยประธานบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลเทียมรายใหญที่สุดในโลก ได้ยื่นขออนุมัติผลิตและจำหน่ายสารพิษนี้ในสมัยรัฐบาลปธน.โรนัล เรแกน จนได้รับอนุมัติในที่สุดหลังจากที่ปิดบังผลการทดลองและถูกตีเรื่องกลับออกมาหลายครั้ง และชื่อของเค้าก็คือนายโดนัล รัมสเฟล ( Donald Rumsfeld ) คุ้นๆใช่ไม๊ครับ เค้านั่นแหละครับ เป็นนักการเมืองระดับสูงในหลายๆ รัฐบาล และโดดเด่นที่สุดในสมัยรัฐบาลนายจอร์จ ดับเบิ้ลยู บู๊ช ณ. 911 โดยมีตำแหน่งเป็นถึง US Secretary of Defense หรือดูแลงานด้านความมั่นคงทั้งหมดของประเทศสหรัฐ

    http://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Rumsfeld

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสมาชิกระดับสูงของกลุ่มอิลลูมินาติ และบิลเดอร์เบิร์ก จึงมีการใช้สาร Aspartame หรือน้ำตาลเทียมนี้ผสมลงในอาหารที่อ้างเรื่องของน้ำตาลต่ำชนิดต่างๆ เช่น เครื่องดื่ม Diet หรือ Zero แคลอรี่ หมากฝรั่งเกือบทุกยี่ห้อนอกในท้องตลาด อาหารฟาสต์ฟู๊ดชื่อก้องโลก และผลิตเป็นน้ำตาลเทียมยี่ห้อดัง ขายและเผยแพร่ไปทั่ว ด้วยสื่อระดับโลก


    ยังไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ผมบอกครับ ศึกษาข้อมูล เจาะลึก ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ โดยการพิมพ์ " Donald Rumsfeld Aspartame " ในเสิร์ชเอนจิ้นต่างๆ หรือโดยเฉพาะในยูทูป แล้วค่อยเชื่อในสิ่งที่คุณพบเห็นจากงานวิจัยต่างๆ สุดท้ายผมอยากให้ร่วมกันทำบุญโดยการเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป อย่าปล่อยให้เค้าทำลายมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทย ที่หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นญาติพี่น้องของคุณเอง และเชื่อไม๊ครับว่าเพียงคลิกเมาส์แค่ไม่ครั้ง คุณสามารถช่วยชีวิตคนได้อีกจำนวนมากมายเพื่อไม่ให้กลายเป็น "เหยื่อ" ของเรื่องนี้ครับ



    สารคดีและบทสัมภาษณ์ของดอกเตอร์และผู้รู้หลายๆท่านในวงการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับสารตัวนี้และยอมออกมาเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ ให้สาธารณะชนได้รับรู้ "ความจริง"(ความยาว 1hr 30mns)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/hcmiA2ps3js?fs=1&hl=en_US&rel=0 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  2. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    โพสต์ <abbr class="published" title="2011-01-06T12:04:16+00:00">วันนี้, 07:04 PM</abbr>

    นักพนันที่วางเดิมพันเพิ่มทุกครั้งที่เสีย ต่างจากอเมริกาตรงที่ "นักพนันใช้เงินของตัวเอง" ครับ

    แต่สหรัฐนั้นไม่ใช่ / การพิมพ์เงินเพิ่มออกมาจากอากาศไม่ต่างจากการโกงประชาชนในประเทศ
    การขายพันธบัตรให้ชาติเ้จ้าหนี้ไม่ต่างจากการ กู้ยืมเงินคนในวงมาเล่นต่อ

    ระบบยังดำเนินต่อได้เมื่อ คนในวงยอมให้ยืม แต่เมื่อถึงจุดนึงเมื่อมากเข้าๆ คงไม่มีใครทนได้
    ไม่พ้นโดนเตะออกจากวง พร้อมกับตามทวงหนี้ในภายหลัง

    การพิมพ์ดอลล่าห์เพิ่มไม่ได้ช่วยให้ ดอลล่าห์อินเด็กซ์แข็งขึ้น กลับกัน "ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งทำให้อ่อนค่าลงไปอีก"
    การกระจายเงินดอลล่าห์เข้าไป โจมตีตลาดหุ้นต่างประเทศแล้วดึงเงินกลับ มุกแบบนี้
    ผมเชื่อว่า ประเทศนั้นๆมี วิธีที่จะป้องกันตัวเองสุดขีวิตอยู่แล้วครับ (เช่น Capital Control หรือ เพิ่มอัตราภาษี)

    ในไทยเองก็กังวลกันว่า เงินทุนไหลเข้านั้นจะเข้ามาปั่นตลาดแล้วดึงเงินกลับ
    แต่ผมมองว่าเค้ากำลังหนีจากสถานะการณ์ที่จะย่ำแย่ในซีกโลกฝั่งตะวันตก มายังฝั่งตะวันออกมากกว่า
    สรุปว่า -ผมมองว่าไม่ได้เข้ามาปั่นแต่เข้ามาลงทุนจริงๆครับ- นั่นทำให้ SET เรายังเดินต่อได้

    ส่วนที่บอกว่า พิมพ์ดอลล่าห์ ออกมาลงทุนในทองคำ ฟังดูแล้วหากเป็นเช่นนั้นทองคำควรจะต้องขึ้นราคา
    ไม่ใช่ลงไปที่ระดับ 1250$ สิครับ ถึงจะไม่ขัดแย้ง? เพราะตอนนี้เม็ดเงินดอลล่าห์ยังไม่ได้เข้ามาลงทุน
    ในตลาดทองคำอย่างมีนัยสำคัญเลย

    แต่สิ่งที่เค้าจะทำผมว่า คงเหมือนเดิมคือ พยายามกดและทุบราคาทองคำ มากกว่า
    อย่างที่ผมเคยพูดไป ผมเชื่อว่า 1250$ เป็นพื้นของราคาทองคำณ.ขณะนี้ หากมาจริง
    ตลาดจะแห่กันเข้าซื้อ Physicalจนดันให้ราคาสูงขึ้นไปอีกจนได้
    (แต่ผมก็สงสัยครับว่าราคานี้เราจะได้เห็นกันอีกหรือ?)

    ..................................................................

    หากอยากให้ เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่ง สหรัฐต้องทำตามหลักเศรษฐศาสตร์คือ

    เก็บออม+ลงทุน+ผลิต (Saving + Investing + Producing)

    แต่ทุกวันนี้
    พิมพ์+กู้+ใช้จ่าย (Printing + Borrowing + Spending)

    ถ้ายังไม่เปลี่ยนเส้นทาง Hyperinflation สถานเดียวครับ

    [​IMG]
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ไม่หวังพึ่งเงิน
    หวังพึ่งสัจจะ ด้วยอำนาจสัจจะธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกิลีกส์-พายุไซเบอร์ที่น่ากลัว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ว.ร. ฤทธาคนี</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 มกราคม 2554 17:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อ วิน ชวาตู (Winn Schwartau) นักวิชาการสงครามสารสนเทศระดับมหากาฬ ได้เขียนหนังสือเรื่อง Information Warfare ซึ่งเป็นหนังสือวิชาการ ว่าด้วยสงครามสารสนเทศ มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการสงครามในอาณาจักรไซเบอร์ประกอบด้วยเรื่อง กลยุทธ์ เครื่องมือ และเป้าหมาย โดยที่ วิน ชวาตู ได้รวบรวมบทความจากมืออาชีพในสงครามไซเบอร์ ที่มีการจัดสัมมนา โดยมีการพิมพ์หนังสือนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง ในปี ค.ศ.1994 และ 1996

    นัยสำคัญของมนุษย์ ซึ่งองค์ศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ตรงที่ว่ามีความสามารถทางปัญญาเหนือสัตว์โลกทุกชนิด เพราะมนุษย์คิดได้ จำได้ วิเคราะห์ได้ พิจารณาได้ สื่อสารได้ เรียนรู้ได้ คิดสร้างสรรค์ต่อยอดความรู้ต่างๆ ได้ มีสัญชาตญาณรับรู้ทุกข์ของคนอื่นได้ แต่มีกิเลสตัณหาเป็นธรรมชาติ

    ด้วยลักษณะพิเศษสูงสุดนี้ ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง และมีกิเลสที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อความอยู่รอดและเหนือผู้อื่น ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องบริโภคข่าวสาร พฤติกรรมนี้ทำให้กิจการขนส่งทุกมิติเจริญก้าวหน้าเพื่อการแสวงหาข้อมูล และด้วยความพิเศษของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ต้องเดินทางไปที่ใหม่ๆ ตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็น ต้องการอาณาเขตใหม่ที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า และมีชีวิตที่ดีกว่า รวมทั้งมนุษย์ต้องการสื่อสารบอกกันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ประสบมา เพื่อให้ผู้ที่เป็นพวกเดียวกันได้รับรู้ การไปรษณีย์จึงเป็นงานบริการที่สร้างความเจริญทางคมนาคมในทุกด้านมาแต่โบราณกาล

    ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยเป็นตัวอย่างหนึ่งของการสื่อสารที่บรรพบุรุษไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากษัตริย์ ทรงต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้เป็นเรื่องราว เกี่ยวข้องกับพระราชอาณาจักรของพระองค์ให้คนทั้งหลายได้รับรู้

    ข้อจำกัดของมนุษย์คือความสามารถในการจำ เพราะมีพื้นที่สมองจำกัด ทำให้สมองจะขีดฆ่าข้อมูลที่ไม่สำคัญหรือไม่ต้องการจำทิ้งไปตามกาลเวลา และหากจะต้องบันทึกความจำแล้วก็ต้องใช้แผ่นหิน แผ่นโลหะ หนังสัตว์ กระดาษ หรือแผ่นไม้ใบลานจำนวนมหาศาลถึงจะบันทึกข้อมูลทั้งหมด

    ครั้นเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลและประมวลผลของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอลวิน ทอฟเฟลอร์ ศาสตราจารย์แห่งสังคมศาสตร์ จึงเรียกยุคศตวรรษที่ 21 ว่าเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เขียนหนังสือหลายเล่มแต่เรื่อง Warand Antiwar; Survival at the Dawn of the Twenty-First Century มีส่วนทำให้สหรัฐฯ ชนะสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทำลายระบบการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในกองทัพของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน จนใช้งานไม่ได้ และโดยมีข้อมูลที่บิดเบือนความจริงในระบบข้อมูลสารสนเทศซึ่งสร้างความวุ่นวายในกองทัพอิรักจนกองทัพรบไม่ได้

    วิน ชวาตู พูดถึงการปฏิวัติในระบบสารสนเทศ เมื่อสาระแปลว่าเรื่องราวต่าง ๆ ส่วนสนเทศเป็นศัพท์โบราณแปลว่าใบบอกหรือรายงาน โดยกล่าวว่า”การปฏิวัตินี้เปลี่ยนสภาพสังคมไม่ง่ายนัก แต่เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องสร้างพื้นฐานโลกไซเบอร์ เพื่อเป็นเครื่องมือส่องสว่างให้กับความฝันของคนอเมริกันยุคที่ 3 ที่อยู่ในโลกแห่งความสับสนวุ่นวายให้ได้” อินเตอร์เน็ทเป็นโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างชัดเจน เมื่อรัฐลงทุนในการวิจัยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สำเร็จในยุค 1960 นำสู่โลกยุค facebook ที่คนสื่อสารกันเป็นเคลื่อข่ายมหาศาลทั้งโลก

    นอกจากนั้นแล้ว วิน ชวาตู พูดถึงข้อมูลข่าวสารเป็นตัวกระตุ้นและผลักดันสังคมทุกมิติ ทำให้ข้อมูลข่าวสารเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล ทำให้สงครามสารสนเทศมีสถานะเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ที่มีมูลค่ามหาศาลเพื่อชัยชนะและการทำลายล้าง ทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดระเบียบโลกทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโดยใครจะใช้ก็ได้ทั้งนั้น เช่น จูเลียน แอสแซงจ์ แห่งวิกิลีกส์

    ตามนัยนี้สงครามสารสนเทศเป็นอะไรที่เกี่ยวกับอำนาจ ใครครอบครองข้อมูลข่าวสารก็ครองครองอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจเงิน แต่ที่สำคัญยิ่ง สงครามสารสนเทศยังเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความหวาดกลัว ใครควบคุมข้อมูลข่าวสารก็สามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่มีความลับและกลัวความลับนั้นจะรั่วไหล

    สิ่งหนึ่งที่วิน ชวาตู พูดถึงคนที่ใช้กลยุทธ์สงครามสารสนเทศได้อย่างดีมักเป็นพฤติกรรมของคนหยิ่งผยอง ก็เพราะคนคนนั้นเชื่อว่าเขาได้กระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นอาชญากรรมสมบูรณ์แบบยากที่เอาผิดได้

    จูเลียน แอสแซงจ์ ผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของวิกิลีกส์ และเป็นตัวออกโรงให้วิกิลีกส์ เป็นชาวออสเตรเลีย ที่มีความชำนาญในเรื่องอำนาจของไซเบอร์มาก เป็นนักเจาะข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมืออาชีพ แต่มีจิตสำนึกเป็นพวกอนาธิปไตยต่อต้านระบบรัฐ และเขาเลือกที่จะสยบรัฐบาลสหรัฐฯ

    วิกิลีกส์เปิดทำการในโลกไซเบอร์ในปี ค.ศ. 2006 โดยกลุ่มเดอะ ซันชายน์ เพรซส์ และในเดือนเมษายน 2010 วิกิลีกส์แพร่คลิปพฤติกรรมทหารสหรัฐฯ ทำทารุณพลเรือนอิรักและนักข่าวตั้งแต่ปี 2007 รวมทั้งบันทึกประจำวันของทหารคนหนึ่งในสงครามอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเอกสารลับกว่า 76,900 ชิ้น แพร่กระจายในโลกไซเบอร์ผ่านเว็บไซต์วิกิลีกส์

    วิกิลีกส์เกี่ยวข้องกับไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2010 โดยได้เผยแพร่เอกสารของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โดยมีข่าวการสนทนาการเมืองระหว่างบุคคลสำคัญของไทย 3 คน กับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หรือการแพร่ข้อมูลของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทักษิณกับรัสเซียว่าเบ่งบานสุดๆ ในยุคนั้น หรือการเปิดเผยการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับรัฐบาลไทย กรณีนายวิกเตอร์ บูท นักค้าอาวุธชาวรัสเซียให้ไปขึ้นศาลสหรัฐฯ

    วิกิลีกส์เป็นจุดบอดของความร่วมมือระหว่างชาติและจิตสำนึกของคนในชาติ ในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร หากเราไม่ให้ความสนใจกับข่าวสารส่วนนั้นๆ ข่าวสารนั้นก็จะหมดคุณค่าไปเอง

    วิกิลีกส์เป็นบทเรียนที่สำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการทำสงครามสารสนเทศ โดยเฉพาะในการป้องกันข้อมูลสำคัญของหน่วยงานรัฐ

    แต่วิกิลีกส์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสมดุลทางการเมือง เพราะข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมเชิงรุกทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ก้าวร้าวไม่เฉพาะกับประเทศที่ไม่เป็นมิตรนัก เช่น อิหร่าน เยเมน เกาหลีใต้ และจีน แต่สหประชาชาติเองก็ถูกสหรัฐฯ คุกคาม เมื่อนางฮิลลารี คลินตัน สั่งให้นักการทูตสหรัฐฯ ทำจารกรรมพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่บริหารสหประชาชาติ รวมทั้งตัวเลขาธิการสหประชาชาติด้วย เราจึงรู้กำพืดความก้าวร้าวของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
    Daily News - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เสียงเบาๆใน“เชียงคาน” /ปิ่น บุตรี
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ปิ่น บุตรี</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 มกราคม 2554 17:39 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เชียงคานเมืองท่องเที่ยวชื่อดังริมฝั่งโขงที่กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>หนาวนี้เป็นอีกฤดูหนึ่งที่มีคนเดินทางไปเที่ยว“เชียงคาน”(จ.เลย) เยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในวันหยุดยาวมีผู้คนหลั่งไหลกันมาเต็มแน่น จนเมืองเชียงคาน(แทบ)แตก ซึ่งตัวเลขจากททท.ระบุว่า ปีนี้จะมีคนมาเที่ยวเชียงคานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว

    พูดถึงเชียงคานในวันนี้ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่ดูเนิบช้าและค่อยๆคลานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอดฮิตอันดับต้นๆของเมืองไทยที่มาแรงและเติบโตเร็วมาก

    เร็วจนหลายๆคนอดเป็นห่วงเชียงคานไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบ้านเรามีโมเดลเมืองท่องเที่ยวลักษณะเดียวกับเชียงคานอยู่หลายเมือง คือเริ่มต้นมีชื่อมาจากเมืองสงบงามท่ามกลางธรรมชาติอันอบอวลไปด้วยเสน่ห์แห่งวิถีอันเรียบง่าย แต่พอโด่งดังเข้าเท่านั้นแหละ กลายเป็นเมืองเสียศูนย์ไปแบบยากที่จะกู่กลับ

    สำหรับเมืองเชียงคานวันนี้แม้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็เริ่มมีเค้าลางให้เห็น ซึ่งหากไม่รีบหาทางป้องกัน วางแผนบริหารจัดการให้ดี เชียงคานเมืองท่องเที่ยวริมฝั่งโขงอาจจะเป๋ออกทะเลไปแบบชนิดไม่ทันให้ตั้งท่าไหว้ครู

    1…

    เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อนๆผมจำนวนหนึ่งที่เชียงคานมันโทรศัพท์มาบ่นดังๆ ระบายปัญหาให้ฟังถึงการเติบโตทางธุรกิจท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วของเชียงคานว่า เริ่มจะไปในทิศทางเดียวกับปาย และดูไร้ทิศทางมากขึ้นทุกที เชียงคานจากเมืองน่ารักน่าอยู่ กลายเป็นเมืองที่ถูกความโลภเข้าครอบงำในจิตใจของใครและใครหลายคน ทั้งคนเชียงคานเอง(คนใน) และคนต่างถิ่น(คนนอก)ที่เดินทางเข้าไปทำมาหากินที่นี่

    และนั่นมันทำให้ผมจำเป็นต้องเขียนถึงเมืองนี้อีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งเขียนถึงเชียงคานไปเมื่อไม่นาน

    เพื่อนผมคนหนึ่งที่โทร.มามันบ่นให้ฟังว่า คนเชียงคานหลายคนวันนี้เห็นว่านี่คือโอกาสทองในการทำเงิน จึงหันมาลงทุน สร้างบ้านใหม่ หวังจะทำเป็นเกสต์เฮาส์ โรงแรม ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก อาคารหลายหลังเกิดขึ้นใหม่แบบดูแปลกแยก ผิดที่ผิดทาง ซึ่งหากไม่มีการควบคุมกันในเรื่องนี้ อีกไม่นานจะเกิดทัศนอุจาดขึ้นในบริเวณถนนชายโขง

    “พอเงินเข้ามาน้ำใจไมตรีมันหายไปเยอะ เจ้าของบ้านหลายหลังไล่ญาติพี่น้องตัวเองออกจากบ้านให้ไปหาที่ใหม่อยู่ เพราะจะทำบ้านเป็นเกสต์เฮ้าส์ เป็นโฮมสเตย์ ที่ตลกก็คือชาวบ้านทะเลาะกันเรื่องแย่งกันขายปาท่องโก๋ จนมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ส่วนช่วงวันหยุดยาว ร้านอาหารบางร้านถือโอกาสชาร์จเพิ่ม จนกลายเป็นข่าวให้เชียงคานขายขี้หน้า” เพื่อนผมคนนั้นบ่นแบบเซ็งๆ ก่อนเปรยว่า

    "เชียงคานมันเริ่มเสียศูนย์ เริ่มไม่น่าอยู่แล้ว คนที่นี่เริ่มแก่งแย่งกัน เพราะเงินตัวเดียวแท้ๆ”

    อย่างว่าแหละเงินทองแม้เป็นของนอกกาย แต่มันก็ไม่เข้าใครออกใคร พี่น้องคลานตามกันมายังฆ่ากันได้ก็เพราะเงินตัวเดียว

    2...

    นอกจากคนในเชียงคาน(จำนวนหนึ่ง)แล้ว คนนอก(จำนวนหนึ่ง)ที่เข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวเปิดร้านรวงต่างๆก็ถือเป็นกองกำลังหลักต่อความเป็นไปของเมืองนี้

    คนนอกที่มาด้วยจิตใจดี มาทำสิ่งดีๆ มันก็ช่วยให้เชียงคานน่าอยู่

    ส่วนพวกที่คิดตรงกันข้าม มุ่งเน้นเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ กอบโกย แบบไม่คำนึงผลกระทบต่อเชียงคาน ครั้นพอเชียงคานหมดคุณค่าแล้วก็สลัดก้นทิ้งไปหาที่ใหม่อย่างไม่เหลือเยื่อใย พวกนี้ถือเป็นตัวอันตรายที่ไม่ว่าไปที่ไหน เป็นเจ๊งที่นั่น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ร้านขายของที่ระลึก สิ่งที่เติบโตเคียงคู่มากับความโด่งดังของเชียงคาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้เชียงคานเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้

    ร้านรวงหลายร้านในเชียงคาน ถือเป็นการตอบสนองจริตนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง นั่นเลยทำให้ที่ปาย อัมพวา สามชุก เชียงคาน มีร้านจำนวนมาก มีลักษณะเหมือนถอดแบบฟอร์มเดียวกันมา คือต้องดูแนว ดูอาร์ต เอาไว้ก่อน

    นักท่องเที่ยวหลายคนไปเชียงคาน เพราะไปตามกระแส ไปเพียงเพราะแค่มาคุยบอกเพื่อนว่า “กูไปเชียงคานมาแล้ว”แค่นั้น บางคนไม่เคารพในพื้นที่ อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเมาอยากจะโวยวายก็ทำ คนเชียงคานบนถนนชายโขงเดิมเคยนอนกันแต่หัวค่ำ แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่ไม่เคารพพื้นที่เข้ามาจำนวนมาก พวกเขาก็ต้องมาทนฟังกับเสียงดนตรี เสียงวงเหล้า(เพราะนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกินเหล้ากันในที่พัก)

    เรียกว่าความเป็นส่วนตัวหายไป แต่ก็ได้เงินทดแทนกลับมา

    นักท่องเที่ยวบางคนมองคนเชียงคานโดยเฉพาะเด็ก คนแก่ สาวสวย และพระ เป็นเหมือนหุ่นขี้ผึ้งมีชีวิต คือไปบังคับให้เขาทำโน่นทำนี้ ต้องยิ้ม ต้องทำหน้าเศร้า ต้องเดินแบบนั้น แบบนี้ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้สมใจในการถ่ายภาพแค่นั้น บางคนกระหายถ่ายภาพหนักถึงขนาดไปบอกให้พระเดินช้าๆเวลาบิณฑบาตยามเช้า เพื่อจัดฉากในภาพของตัวเองกันเลยทีเดียว

    ดูแล้วมันไม่ได้เป็นการใส่บาตรเพื่อทำบุญ แต่มันกลับกลายเป็นแฟชั่นการใส่บาตรเพื่อถ่ายรูปเสียมากกว่า

    ส่วนที่แสบมากก็เห็นจะเป็นเรื่องเล่าจากเจ้าของเกสต์เฮาส์คนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเขามีบริการให้ยืมจักรยานฟรี(เป็นจักรยานดีด้วยจากอินเดีย)สำหรับคนที่มาพักในเกสต์เฮาส์ของเขา ผลก็คือต้องเสียจักรยานจำนวนมากไปฟรีๆ เพราะนักท่องเที่ยวบางคนพวกขอยืมไปขี่ แล้วขี่หายไปเลย

    นั่นจึงทำให้ตอนหลังผู้ปะกอบธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงคานไม่สามารถไว้ใจนักท่องเที่ยวได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เลยทำให้เสน่ห์ที่เป็นน้ำมิตรจิตใจบางอย่างจากผู้กระกอบการมันหายไปอย่างน่าเสียดาย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วิถีการตักบาตรยามเช้า วันนี้ถูกนักท่องเที่ยวหลายๆคนเปลี่ยนเจตนารมย์ให้กลายเป็นแฟชั่นการตักบาตรเพื่อการถ่ายภาพแทน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 3...

    บนความเคลื่อนไหว ในความเปลี่ยนแปลง ใช่ว่าเชียงคานจะถูกปล่อยให้ผ่านเลยแบบไม่สนใจใยดี แต่ยังมีคนอยู่หลายกลุ่มยังเป็นห่วงเป็นในใยเชียงคาน โดยหนึ่งในนั้นก็คือ “ชมรมคนรักษ์เชียงคาน” ซึ่งล่าสุดพวกเขาได้ออกมา ทวงถามเรื่องการบังคับใช้“เทศบัญญัติเพื่อในการกำกับดูแลเมืองท่องเที่ยวของเชียงคาน” จากนายกเทศมนตรีตำบลเชียงคาน และสมาชิกเทศบาลตำบลเชียงคาน ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการบริการจัดการและจัดระเบียบเมืองท่องเที่ยวเมืองนี้

    สำหรับเหตุผลที่ชมรมคนรักษ์เชียงคานลุกขึ้นมาส่งเสียงนั้น เนื่องจากทนเห็นเชียงคานเป็นอย่างที่เห็นไม่ได้ โดยพวกเขาได้พูดถึงปัญหาความเปลี่ยนแปลงของเชียงคานในวันนี้ซึ่งผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้

    - วันนี้เชียงคานได้เสียความเป็นตัวตนไปมาก ชาวบ้านมีการขายที่ดิน ขายบ้าน หรือให้เช่าระยะยาว บริเวณถนนชายโขง ไปเกือบหมดแล้ว และย้ายไปอยู่ปลายนา และเข้ากรุงเทพ ตามไปอยู่กับลูกที่เรียนอยู่ (ท่านเคยพูดในที่ประชุมหลายๆครั้ง ว่าคนเชียงคานไม่ขายมรดก ปู่ย่าตายาย คนเชียงคานหวงแหนมรดกปู่ย่าตายาย แต่ตอนนี้โดนขายไปส่วนใหญ่แล้ว)

    - วิถี วัฒนธรรม บริเวณถนนชายโขงหายไป ชาวบ้านประกอบชีพเดิมๆหันมาประกอบอาชีพเปิดห้องพัก นิสัยใจคอเปลี่ยนไปมุ่งแต่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง อัธยาศัยไมตรีเริ่มหายไป มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาเปรียบกันและกัน

    - วัฒนธรรมการใส่บาตร เริ่มผิดแปลกไปจากเดิม ชาวบ้านมีการเตรียมชุดใส่บาตร ข้าว ขนมอาหาร หวานคาวและเงิน ให้นักท่องเที่ยว ซึ่งวิถีเดิมๆเราใส่บาตรข้าวเหนียวอย่างเดียว หรือขนมนิดหน่อย หลังจากนั้นก็นำอาหารไปถวายที่วัด หรือ บริจาคเงินที่วัด โดยไม่สร้างภาระให้กับพระท่าน

    - การส่งเสริมการค้าขายของชาวบ้านและชุมชน ไม่มี ปล่อยให้สินค้าจากที่อื่นๆมาจำหน่าย เกิน สินค้าท้องถิ่น จนเอกลักษณ์ด้านสินค้าไม่มี หรือเป็นของที่อื่นไปแล้ว

    - มีการก่อสร้างบ้านเรือนตามใจฉัน มากมาย ที่เด่นชัด ถนนชายโขง ปากซอย 16 ตรงข้ามซอย 8 ปากซอย 5 ตรงข้ามซอย 4 และจะมีตามมาอีกมากมาย

    - สีของเรือนไม้ในถนนชายโขงก็มีสีแปลกปลอม สีส้ม เขียว เหลือง เกือบทุกสี ระรานตาไปหมด ใครอยากทาสีอะไรก็ทา ตามใจฉัน เพราะไม่มีการควบคุม

    และนั่นก็เป็นสาส์นและเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ส่งไปทวงถามยังผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ช่วยป้องกันและเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับผมแล้วการแก้ปัญหา การบริหารจัดการ การจัดระเบียบเมืองเชียงคานนั้นถือเป็นเรื่องที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน ต้องลดอัตตา ลดอีโก้ แล้วผนึกกำลังกันวางแผน กำหนดทิศทางของเมืองเชียงคานให้แน่นอนเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวแบบพอเพียงแต่ว่ายั่งยืน ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่มาแรง มาเร็ว และก็ไปเร็วเช่นหลายๆเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้

    อย่างไรก็ตามสำหรับเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ออกมาแสดงความห่วงใยต่อเมืองเชียงคานนั้น ดูจะเป็น“เสียงเบาๆ”ที่สังคมไม่แยแสสนใจ ผิดกับเรื่องราวของดาราจอมลวงโลกที่สร้างวีรเวรไว้ในเชียงคาน ซึ่งไม่ว่าเชื่อว่านี่จะเป็น“เสียงดังๆ”แห่งเชียงคานที่สังคมไทยให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความคิดเห็นที่ 11
    ตัวฤทธิ์ทำลายกันเป็นที่ๆ

    นายทุนฆ่ากันเป็นแห่งๆ

    ที่กระบี่ อ่าวพระนาง อ่าวมาหยา เกาะพีพี ทั้งสองเกาะ
    เมื่อ 20 ปีก่อน ชาวบ้านออกทะเลหาปูปลา ทะเลช่างสวยงามอุดมสมบูรณ์ คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

    พอการท่องเที่ยวเริ่มบูม ชาวบ้านเลิกหาปลา เอาเรือออกรับนักท่องเที่ยว ขายที่สร้างรีสอร์ท มีเงินเอาเงินไปซื้อมอไซค์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครืองเล่นวิดิโอ (ยุคนั้น) งานการไม่ทำ รอรับเงินอย่างเดียว กินเหล้า ขายเหล้าเบียร์ ทั้งๆที่หลายชุมชนเป็นมุสลิม เพราะนักท่องเที่ยวถามหา

    พอเงินหมด ก็ต้องไปทำงานเป็นคนงานของรีสอร์ทบังกะโลทั้งหลาย ความสวยงามเหลือแต่ซาก มีแต่รีสอร์ทห่วยๆ เต็มเกาะ ธรรมชาติไม่มีเหลือ

    และมันก็แพร่กระจายไปหลายๆที่ ด้วยอาการเดียวกันนี้
    ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ เชียงราย ปาย เชียงคาน ต่อไปก็คงเป็นเมืองน่าน ...............

    ฆ่ากันให้ตายเป็นที่ๆ เหมือนเชือดไก่กิน แล้วทิ้งไว้แต่โครงกระดูก
    เฮ้อ....เศร้า

    Travel - Manager Online -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตลาดหุ้นอาเซียนสะเทือน'เมย์แบงก์'ฮุบกิมเอ็งหวังยึดภูมิภาค

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
    (Update) ตลาดหุ้นอาเซียนสะเทือน หลังเมยืแบงก์ทุ่มหน้าตัก 4 หมื่นล้านบาท ฮุบกิมเอ็ง โฮลดิ้ง์ หวังขยายธุรกิจหลักทรัพย์ครอบคลุมทั่วภูมิภาค
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้ (6 ม.ค.) บริษัทกิมเอ็ง โฮลดิ้ง (สิงคโปร์) ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทแจ้งว่า บริษัทอาเซียม เครดิต เอสดีเอ็น บีเอชดี ซึ่งทำธุรกิจหลักทรัพย์ในมาเลเซีย ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทกิมเอ็งโฮลดิ้ง ต่อจากนายโรแนล แอนโทนี อุย เทียน แยท และหยวนต้า ซิเคียวริตี้ส์ เอเชียไฟแนนเชียล เซอร์วิส จำนวน 257,559,264 หุ้นคิดเป็น 44.63% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืน) ในราคาหุ้นละ 3.10 ดอลลาร์สิงคโปร์ รวมเป็นเงินประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์หรือ 1.7 หมื่นล้านบาท
    ทั้งนี้บริษัทอาเซียม เครดิต เอสดีเอ็น บีเอชดี มี มาลายัน แบงกิ้ง บีเอชดี หรือเมย์แบงก์ ธนาคารรายใหญ่ในมาเลเซีย เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ขณะที่ บริษัทกิมเอ็ง โฮลดิ้ง (สิงคโปร์) ถือหุ้นใน บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) สัดส่วน 55.34% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
    "เบื้องต้นการเทคโอเวอร์แบบเป็นมิตรในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับบล.กิมเอ็งในไทยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ผู้บริหารยังเหมือนเดิม ตอนนี้ สิ่งที่ต้องติดตามคือ ผลสรุปของการทำคำเสนอซื้อกิจการ (เทนเดอร์-ออฟเฟอร์) ในสิงคโปร์ให้เรียบร้อย และภายหลังจากเทนเดอร์แล้วหากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ ถือหุ้นเกิน 50% ตามเกณฑ์ก.ล.ต.ไทยกลุ่มดังกล่าวจะต้องทำเทนเดอร์บล.กิมเอ็ง ในประเทศไทยด้วย"
    เขากล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเทคโอเวอร์ในครั้งนี้ เนื่องจากเมย์แบงก์ ต้องการจะขยายเครือข่ายธุรกิจหลักทรัพย์ในแถบภูมิภาคอาเซียน เพราะปัจจุบันบริษัทกิมเอ็งฯ มีสาขาตั้งอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และอินเดีย และคาดว่าการขยายธุรกิจเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับอาเซียนริงเกตที่กำลังจะเกิดขึ้น
    "การมีผู้ถือหุ้นใหม่ที่เป็นธนาคารขนาดใหญ่ก็จะส่งผลดีกับบล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และไม่ได้มองว่าเป็นการเสียโอกาส เพราะผู้บริหารยังเป็นกลุ่มเดิม ทั้งในไทยและสิงคโปร์ รวมทั้งในฐานะผู้บริหารมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาด หรือมาร์เก็ตแชร์ในตลาดหุ้นไทยอันดับ 1 ไว้ได้"
    อย่างไรก็ตามนักลงทุนไม่ควรจะเข้ามาเก็งกำไรหุ้นบล.กิมเอ็งฯในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าตามบัญชีของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะเห็นว่าราคาที่มีการทำเทนเดอร์ในสิงคโปร์อยู่ที่ 1.7 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นกิมเอ็งในตลาดหุ้นไทย มีราคาเทียบกับมูลค่าตามบัญชีอยู่ที่ 2 เท่า และการทำเทนเดอร์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ราคาเท่าใดยังไม่มีการกำหนด นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนด้วย
    รายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอม ระบุว่า มาลายันแบงกิ้ง หรือ เมย์แบงก์ ธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 1 ของมาเลเซีย เสนอซื้อกิจการกิมเอ็งโฮลดิ้งส์ในสิงคโปร์มูลค่า 1.79 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.4 พันล้านดอลลาร์) หรือราว 4 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกำลังเป็นแหล่งลงทุนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
    โดยเมย์แบงก์ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้น 44.6% ของกิมเอ็งที่ถือโดยหยวนต้าซิเคียวริตี้ส์เอเชียไฟแนนเชียลเซอร์วิสเซสและที่ถือโดยนายโรนัลด์ แอนโธนี ออย เธียนประธานกิมเอ็งที่ราคา 3.10 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น หรือ สูงกว่า 15% ของราคาหุ้นกิมเอ็งที่ซื้อขายที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์
    "เมย์แบงก์มีแผนที่จะสร้างอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่งระดับภูมิภาค และการซื้อกิจการครั้งนี้คือทางลัดไปสู่เป้าหมายดังกล่าว นับเป็นการตัดสินใจที่ดี' นายเลย์ ธิม ลุงผู้จัดการกองทุนที่อเวนูอินเวสท์ในกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซียกล่าว
    ทั้งนี้ การซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้เมย์แบงก์เข้าถึงธุรกิจหลักทรัพย์ในสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามได้ทันที อย่างไรก็ตาม เมย์แบงก์อยู่ระหว่างทำคำเสนอซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือจากมิตซูบิชิยูเอฟเจมอร์แกนสแตนเลย์ซิเคียวริตี้ส์ ซึ่งถือหุ้นในกิมเอ็งในสัดส่วน 29% และยังไม่ตอบรับในขณะนี้
    อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดให้หุ้นบล.กิมเอ็งซื้อขายได้ในรอบบ่าย หลังช่วงเช้าบริษัทขอหยุดพักการซื้อขาย เนื่องจากรอผลการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นซึ่งอาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัท ปรากฏว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาปิดตลาดซื้อขายที่ 16.30 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.52%
    เปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่"กิมเอ็ง โฮลดิ้ง"
    ก่อนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น
    -มาเลเซียถือหุ้น 79% สิงคโปร์ถือหุ้น 15% อินโดนีเซียถือหุ้น 4% อื่นๆ 1%
    หลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น
    -มาเลเซียลดลงเหลือ 74.6% สิงโคโปร์ 17.6% อินโดนีเซีย 4.1% ไทย 1.8% ฮ่องกง 0.3% อื่นๆ 1.6%

     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทุนนอกทะลัก!ดันตลาดหุ้นปีนี้ทะลุ1,200จุด

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    บล.ไทยพาณิชย์คาดทุนนอกไหลเข้าปีนี้ 4-5 หมื่นล้านบาท ดันดัชนีแตะ 1,200 จุด หลังเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป ยังไม่ฟื้นตัว
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในปี 2554 ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ถึง 1,200 จุด แต่ระดับความแรงในการปรับตัวขึ้น คงจะไม่เท่ากับปีที่ผ่านมาที่ปรับตัวขึ้นถึง 40% โดยคาดว่าในปีนี้ดัชนีจะปรับขึ้นเพียง 20% เท่านั้น
    ปัจจัยบวกที่เป็นผลต่อดัชนีหุ้น คือดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำทั่วโลก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรป ยังคงต้องดำเนินนโยบายในการแก้ไขเศรษฐกิจ ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยคงจะยังไม่เห็น ประกอบกับมาตรการ คิวอี2 ก็เป็นผลให้สภาพคล่องในตลาดยังมีอยู่ ดังนั้นการไหลเข้าของ Fund Flow ก็ยังคงมีต่อเนื่อง
    "เศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปที่ยังเติบโตต่ำ จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชีย รวมทั้งหุ้นไทยต่อเนื่อง 2-3 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโต ซึ่งตลาดหุ้นไทยในช่วงปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะปรับขึ้นถึง 40% ถือว่าไม่ได้ปรับขึ้นมากเกินไป เมื่อเทียบกับภูมิภาค เนื่องจากราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในปัจจุบันซื้อ-ขายที่ระดับ พีอี 2554 ที่ 12 เท่า ซึ่งถือว่ายังคงถูกเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาค รองจากเกาหลีใต้"
    ส่วนปัจจัยทางการเมือง มองว่ายังมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ แต่ฝ่ายวิจัยไม่คิดว่านักลงทุนสถาบันจะให้ Premium กับตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี 2554 ดังนั้นจะเหลือแค่อัตราการเติบโตของกำไรเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้น
    ทั้งนี้ เป้าหมายดัชนีที่ 1,200 จุด อิงกับ PE ปี 2554 ระดับ 14 เท่า บนสมมติฐานของอัตราการขยายตัวของกำไรของหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ที่ระดับ 29% ในปี 2553, 12% ในปี 2554 และ 12% ในปี 2555
    นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ ในปีนี้จะไหลเข้าประมาณ 4 - 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินตัวเลขในภาวะการปกติ เมื่อเทียบกับที่แล้วจะเห็นว่าเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เป็นการไหลเข้าค่อนข้างผิดปกติ เพราะราคาหุ้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเมือง
    เขากล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไตรมาสแรก ดัชนีมีโอกาสเคลื่อนไหวระหว่าง 924-1,078 จุด โดยประเมินว่า ตลาดจะได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าคาดการณ์ในปี 2554 ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะ น้ำมัน ถ่านหิน และ กลุ่มส่งออก อย่างเช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ ชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากแนวโน้มกำไรในปี 2554 มีโอกาสสูงกว่าที่คาดการณ์
    ส่วนปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเงินทุนต่างประเทศ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีน รวมถึง กนง.มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากการประชุม 2 ครั้งในไตรมาสที่ 1/2554 เพื่อลดความเสี่ยงเงินเฟ้อ

     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เตรียมรับความผันผวนตลอดปี

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    วันแรกของการดำเนินธุรกิจ และตลาดหุ้นไทย ที่จะเริ่มทำการวันนี้ หลังจากที่ปิดยาวมาตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2553 ถึง 3 ม.ค. 2554
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ซึ่งต้องย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่า สถานการณ์ประเทศในปีนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ตลอดปี ขณะที่ภาคธุรกิจอาจจะต้องลุ้นกับหลากหลายเหตุการณ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แน่นอนว่าในประเทศคงหนี้ไม่พ้นสถานการณ์ทางการเมือง ที่จะเข้าโหมดเลือกตั้งในปีนี้ไม่ว่าจะกำหนดต้นปีหรือปลายปีล้วนสร้างความหวั่นใจให้แก่ภาคเอกชนได้ทั้งนั้น เพราะนี้คือการเลือกตั้งในภาวะที่ความขัดแย้งในสังคมยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่แผนปฏิรูปที่พยายามลดความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นต้นตอหลักของความขัดแย้งนั้นยังไม่สามารถขับเคลื่อนออกมาเป็นรูปธรรมได้ทันเวลา เพราะความยากของปัญหาจำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน มิอาจแก้ไขได้ชั่วข้ามคืนหรือด้วยฝีมือของคนใดคนหนึ่ง ขณะที่ปัจจัยภายนอกวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศเศรษฐกิจในยุโรป โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และ เบลเยียม ซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2553 และลุกลามมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้เชื่อได้ว่าสถานการณ์ส่อเค้ายืดเยื้อต่อเนื่องถึงปี 2554 เมื่อผู้นำยุโรปไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งนี้เมื่อเดือนธ.ค. 2553 มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปน ตามด้วยการปรับลดอันดับความน่าเชื่อของไอร์แลนด์รวดเดียว 5 ขั้น แม้ว่าสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยื่นมือเข้าช่วยแล้ว ขณะที่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือของเบลเยียม

    ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยซึ่งโดดเด่นมากในปีที่ผ่านมา จำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นถึงแม้ว่าสถิติในปีที่ผ่านมาสวยหรูก็ตาม และหลายสำนักประเมินตรงกันว่า ปี 2554 ทิศทาง "ขาขึ้น" ยังมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะหากการเมืองในประเทศชัดเจนขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และหากย้อนดูสถิติที่ผ่านมา ยังพอสะท้อนทิศทางข้างหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตลาดหุ้นวันสุดท้ายของปีเสือ 30 ธ.ค. 2553 ปิดตลาดที่ 1,032.76 จุดนั้น หมายความว่า เมื่อเทียบกับวันที่ 30 ธ.ค. 2552 ซึ่งดัชนีหุ้นอยู่ที่ 734.54 เท่ากับว่าเพิ่มขึ้น 298.22 จุด หรือ 40.60% อย่างไรก็ตามในระหว่างปีดัชนีขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 1,049.79 จุด และร่วงต่ำที่สุด ที่ 685.89 จุด ถือว่า "มีความผันผวน" สูงมากเหตุเพราะช่วงระหว่างปีมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะความขัดแย้งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมื่อสรุปพอร์ตการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 ธ.ค. 2553 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 81,723.80 ล้านบาท รายย่อยขาย 66,075.30 ล้านบาท สถาบันภายในประเทศขาย 15,199.64 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขาย 448.87 ล้านบาท ทั้งนี้มาร์เก็ตแคปรวมของวันสุดท้ายของปี 2553 อยู่ที่ 8.33 ล้านล้านบาท จากวันที่ 30 ธ.ค. 2552 มาร์เก็ตแคป 5.87 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9%

    เศรษฐกิจไทยในปี 2554 สำนักวิจัยเศรษฐกิจส่วนใหญ่ประเมินว่า มีแนวโน้มว่าจะเติบโตได้ในระดับ 3-5% แม้ตัวเลขยังดูดี แต่คาดกันว่า เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผันผวนอยู่ข้างหน้าอีกมากมาย ทั้งจากความเสี่ยงปัจจัยภายนอกประเทศ และ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งแต่ละความเสี่ยงมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของเศรษฐกิจในปี 2554 ทั้งนี้ โดยเฉพาะ "ความเสี่ยงจากทุนเคลื่อนย้าย" ซึ่งเป็นผลจากความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐได้ออกมาตรการอัดเงินเข้าระบบไปแล้วสองครั้ง แต่ก็ไม่สามารถยุติปัญหาของตัวเองได้ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าปีนี้ เราอาจจะเห็นการอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบจากมาตรการ QE3 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้น หมายความว่าจะส่งผลให้ปริมาณเงินเหล่านี้อาจไหลทะลักมายังประเทศแถบตะวันออก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กดดันให้ค่าเงินบาท แข็งค่าได้อีก แน่นอนว่าทางออกเฉพาะหน้าของแบงก์ชาติ คือ การแทรกแซงตลาด ซึ่งต้องแลกด้วยต้นทุนทางการเงินของประเทศ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งแบงก์ชาติยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเบรกเงินเฟ้อ แนวทางเหล่านี้อาจจะเพิ่มแรงจูงใจให้เงินทุนไหลเข้ามาอีก จึงเป็นความท้าทายของแบงก์ชาติและรัฐบาลในการหามาตรการที่เหมาะสมและสมดุลกับเศรษฐกิจของประเทศ

    ความผันผวนในปีนี้มาจากหลายปัจจัยที่เราคนไทยหรือรัฐบาลสามารถกำหนดได้ โดยเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรและบุคลากร เพื่อให้การเลือกตั้งปีนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ให้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย เพราะว่าที่ย้ำกันเช่นนี้เหตุเพราะมีบางกลุ่มบุคคลที่พยายามให้การเมืองไทยสะดุดอีกครั้ง หนึ่ง ความพยายามที่จะให้เกิดรัฐประหารยังมีความคิดในกลุ่มคนหรือขั้วอำนาจบางแห่ง ซึ่งเราคนไทยและรัฐบาลเองต้องออกมาต่อต้านกันอย่างชัดเจน เพราะหากว่าประเทศถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะฟื้นเช่นวันนี้ ก็ยากเต็มที่ ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคที่การเมืองมีเสถียรภาพ เดินหน้าไปมากแล้ว ต้องอย่าลืมว่าที่ผ่านมาเราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและทางการเมือง มามากพอแล้ว

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โตโยต้า-บีพี ติดโผบ.คนอเมริกันเกลียดมากสุด

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]
    โตโยต้า และบีพี มีรายชื่อติดโผ บริษัทที่ชาวอเมริกันเกลียดมากสุด ร่วมกับสายการบิน ธนาคาร และผู้ให้บริการโทรคมนาคมอีกจำนวนหนึ่ง
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เว็บไซต์ 24/7 วอลล์สตรีท (24/7 Wall St.) เผยรายชื่อ "15 บริษัทที่คนอเมริกันเกลียดมากสุด ประจำปี 2553" วานนี้ (6 ม.ค.) ส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ที่ได้คะแนนย่ำแย่ ทั้งจากผลการสำรวจความเห็นกลุ่มผู้บริโภค และพนักงาน รวมถึง ผลประกอบการในตลาดหุ้น และข่าวที่ปรากฎตามสื่อ
    บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ในรายชื่อครั้งนี้ รวมถึง โนเกีย ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่สุดของโลก ที่มีผู้บริโภคร้องเรียนมากสุด และยังได้อันดับย่ำแย่ด้านการออกแบบสินค้าด้วย
    นอกจากนี้ ยังมี เอที แอนด์ ที จากการให้บริการขาดๆ เกินๆ ส่วนเดลล์ เจอเสียงติติงในเรื่องร้านค้า และแลปท็อปที่บอบบาง ขณะดิช เน็ตเวิร์ค ผู้จัดหาบริการผ่านดาวเทียม โดนเสียงบ่นจากผู้ตอบแบบสอบถามมากถึงหนึ่งในสาม ในเรื่องการให้บริการไม่ดี
    บริษัทนอกภาคเทคโนโลยีรายอื่นๆ ที่คนอเมริกันเกลียดมากสุด รวมถึง โตโยต้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์ชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่น ที่เจอปัญหาเรียกคืนรถยนต์นับสิบล้านคนทั่วโลก จากปัญหาด้านความปลอดภัย บีพี ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่ชื่อเสียงโดนทำลายจากเหตุน้ำมั่นรั่วไหลครั้งใหญ่ในอ่าวเม็กซิโก
    แมคโดนัลด์ มีชื่อติดโผ เพราะความไม่พอใจในการชักจูงเด็กๆ ให้บริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซิตี้กรุ๊ป และแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าอัดฉีดเพื่อฟื้่นฟูกิจการ หลังมีส่วนทำให้เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะถดถอย

     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อจีนสั่งขี้มูก ชาติอื่นต้องวิ่งหาวัคซีนหวัดนก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    แต่ก่อนนี้ เราบอกว่าถ้ามหาอำนาจมะกันจาม ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็จะติดหวัดกันหมด
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT> วันนี้เห็นจะต้องแก้ใหม่ว่า...ถ้าจีนสั่งขี้มูก ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็ต้องวิ่งฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกกันจ้าละหวั่นแล้ว
    แค่ 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งชาติของจีน ประกาศปรับดอกเบี้ยขึ้นมาแล้วสองครั้ง ครั้งล่าสุดสั่งให้อัตราดอกเบี้ยทางการขึ้นอีก 0.25% และคาดการณ์กันต่อว่าปีหน้าทั้งปี ปักกิ่ง อาจจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกสองถึงสามครั้ง รวมแล้วจะขยับขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่า 0.75% ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณค่อนข้างแรง ว่าจีนจะสกัดกั้นการเติบใหญ่ของอัตราเงินเฟ้ออย่างจริงจัง
    ข้าวของในเมืองจีนแพงขึ้นอย่างน่ากลัวในช่วงหลัง ทำให้รัฐบาลกลางของจีนหวาดหวั่นพอสมควร ว่าจะกลายเป็นปัญหาสังคมและประเด็นการเมืองร้อนแรงได้ เพราะชาวบ้านจีนทั่วไปโวยวายแล้ว ว่าข้าวปลาอาหารและของใช้ของกินประจำวันของชาวบ้านแพงขึ้นอย่างรุนแรง ตั้งแต่ร้อยละ 10 ถึง 30 และบางอย่างแพงขึ้นกว่านั้นด้วยซ้ำไป
    อัตราเงินเฟ้อของจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน พุ่งไปถึง 5.1% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราโตสูงที่สุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2008 และเมื่อปรับดอกเบี้ยขึ้นครั้งหลังสุดอีก 0.25% ก็เท่ากับว่าดอกเบี้ยเงินกู้สกุลหยวน จะไปอยู่ที่ 5.81% จากเดิมที่ 5.56% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากจะเพิ่มจาก 2.5% เป็น 2.75% ไม่มีรัฐบาลไหนอยู่ได้หากเงินเฟ้อกลายเป็นเรื่องหนักหน่วงเช่นนี้ เพราะผลกระทบต่อชาวบ้านจะชัดเจนและรุนแรง จนกลายเป็นความไม่พอใจของประชาชนทั่วไปได้
    นายกฯ เวิน เจีย เป่า ไปออกรายการวิทยุ ตอบคำถามประชาชนและยืนยันว่ารัฐบาลสามารถจะควบคุมราคาสินค้าไว้ได้อย่างแน่นอน และการขึ้นดอกเบี้ยเป็นหนทางหนึ่ง ที่จะป้องกันไม่ให้ราคาข้าวของแพงต่อเนื่องขึ้นไปอีก
    ผู้เชี่ยวชาญก็เชื่อว่าแม้จีนจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกในปีหน้า ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่ออัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังน่าจะอยู่ที่ระดับ 9-10% อยู่ดี
    แปลว่า มังกรยักษ์ยังจะโตต่อเนื่อง และก้าวไปสู่ความเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกในเร็ววัน อีกทั้งเตรียมตัวเป็นเบอร์หนึ่งในอีกสิบหน้าปีข้างหน้า... หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง หรือเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกเสียก่อน
    เมื่อจีนตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ก็เท่ากับสะท้อนถึงนโยบายที่เดินสวนกับของอเมริกา ที่กำลังเผชิญกับวิกฤติการเงินของตน เท่ากับว่ามหาอำนาจทั้งสองกำลังเดินกันคนละทาง ยิ่งทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างไทยเราจะต้องกำหนดจังหวะก้าวเดินของตัวเองในเรื่องนี้ว่าจะอยู่ข้างไหน
    ผมมองว่าไทยเราไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากจะต้องเดินตามแนวของจีน ที่จะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นตามเพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวก็ต้องเตรียมมาตรการที่ไม่ให้ "เงินร้อน" จากข้างนอกที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าไหลทะลักเข้ามาในประเทศจนเกิดปัญหาอย่างที่เคยเป็นสาเหตุแห่ง "วิกฤติต้มยำกุ้ง" มาก่อนหน้านี้แล้ว
    ต้องไม่ลืมว่าการที่จีนปรับดอกเบี้ยขึ้นนั้นเพื่อดูดสภาพคล่องภายในประเทศเข้ามา
    เพราะเมื่อดอกเบี้ยขึ้นก็เท่ากับกระตุ้นให้คนเอาเงินมาฝากในธนาคาร และต้องคิดหนักขึ้นหากจะกู้เงินมาใช้ แต่ขณะเดียวกันเมื่อจีนขยับดอกเบี้ยสูงขึ้นก็เท่ากับทำให้ช่องว่างระหว่างจีนกับอเมริกาสูงขึ้น
    อเมริกากำลังต่อสู้กับความอ่อนปวกเปียกในเศรษฐกิจของตัวเอง ด้วยการให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป
    มิหนำซ้ำยังปั๊มเงินเพิ่มเพื่ออัดเข้าไปในเศรษฐกิจ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินจากอเมริกาที่ต้องการหาผลตอบแทนสูงกว่าที่บ้านก็ต้องไหลเข้าประเทศจีน
    ถามว่ารัฐบาลจีนชอบไหม? คำตอบคืออย่างน้อยธนาคารกลางของจีนต้องไม่ชอบอย่างแน่นอน เพราะเมื่อ "เงินร้อน" จากอเมริกาทะลักเข้ามา ก็ทำให้ทางการจีนควบคุมเศรษฐกิจของตนยากขึ้น
    อีกทั้งยังเป็นแรงกดดันให้เงินหยวนแข็งขึ้นไป ขณะที่สหรัฐโวยวายว่า จีนพยายามจะให้อ่อนตัวเพื่อความได้เปรียบในการส่งออกของตน
    จีนมีทางเลือกน้อย และแต่ละทางเลือกก็จะต้องกระทบตัวเองหรือคนอื่นในบางด้าน ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยล่าสุดของจีนจึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก
    มังกรพ่นพิษเป็นเงินร้อนๆ นี่น่ากลัวกว่าอินทรีอาละวาดมากมายหลายเท่านัก
    โปรดเกาะติดทุกฝีก้าวจากที่นี่ได้ตลอดทั้งปี 2011 ครับ

     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โจทย์เศรษฐกิจของไทยปี 54

    โดย : กอบศักดิ์ ภูตระกูล

    ปี 2554 จะเป็นอีกปีที่ไม่ง่ายทางเศรษฐกิจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปัญหาซึ่งรุมเร้าทั้งจากภายในและภายนอกประเทศยังไม่จบ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ขณะที่การแข่งขันในตลาดโลกทั้งด้านการค้าและการลงทุนทวีเข้มข้นมากขึ้น และความเปราะบางของเศรษฐกิจที่อาจนำไปสู่วิกฤติรอบใหม่กำลังสะสมตัว โดย

    1. โลกกำลังแบ่งตัวออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก คือ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชียขยายตัวในอัตราที่น่าพึงพอใจ (จีน 10.5% อินเดีย 9.7%) หลังจากเศรษฐกิจได้ผ่านช่วงการฟื้นตัว กลับไปสู่จุดเดิมก่อนที่จะเกิดวิกฤติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา และปีนี้กำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ของความท้าทาย ที่จะต้องเริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการดูแลความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของการฟื้นตัว

    กลุ่มที่สอง คือ สหรัฐและยุโรป ยังวนเวียนกับการแก้ไขวิกฤติและผลพวงของปัญหา จากวิกฤติสภาพคล่องสถาบันการเงิน มาสู่ปัญหาหนี้เสียภาคเอกชน ปัญหาสถาบันการเงินล้ม ปัญหาการคลัง ท้ายสุดกลายเป็นวิกฤติภาครัฐในบางประเทศ ซึ่งปัญหาที่ยังแก้ไม่จบเหล่านี้ ทำให้สหรัฐและยุโรปขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าปกติ และต้องกระตุ้นเศรษฐกิจของตนอย่างต่อเนื่อง ผ่านคงการดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ (สหรัฐที่ 0.25% ยุโรปที่ 1.0%) พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินไปอีกระยะหนึ่ง

    2. ความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเพิ่มขึ้น ความแตกต่างของสองกลุ่มเศรษฐกิจข้างต้น จะทำให้เงินทุนจากสหรัฐและยุโรปไหลไปยังประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูง นำมาสู่การย้ายฐานการผลิตเข้าไปลงทุนโดยตรง และการเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดพันธบัตร ตลาดอสังหาฯ รวมทั้งตลาดสินค้า Commodities ต่างๆ อาทิ ทองคำ เงิน ทองแดง เหล็ก ฝ้าย น้ำตาล และน้ำมัน ที่ได้ปรับตัวเข้าสู่ New High ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการเก็งกำไรในตลาดเหล่านี้ นำมาซึ่งการต่อสู้เชิงนโยบายของทางการ อาทิ นโยบายการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย นโยบายการแทรกแซงค่าเงิน การปรับขึ้นดอกเบี้ยและเพิ่ม Reserve Requirement การกำกับดูแลสถาบันการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดขึ้น

    3. วิกฤติในยุโรปจะปะทุอีกรอบ โดยเฉพาะในกรณีของโปรตุเกส และอาจลามไปยังสเปน รวมถึงยุโรปตะวันออกในบางประเทศ ซึ่งกำลังสุกงอม รอเวลาที่จะเป็นวิกฤติ ซึ่งการที่นักลงทุน Buildup Position เก็งกำไรไว้ในตลาดการเงินต่างๆ อย่างต่อเนื่อง (จากสภาพคล่องที่ล้นโลก และดอกเบี้ยที่ต่ำ) ปัญหาที่จะปะทุขึ้นเป็นครั้งคราวในยุโรป จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินต่างๆ นำมาสู่การปรับตัวปรับฐานเป็นระยะๆ รวมถึงการปรับเปลี่ยนในตลาดพันธบัตรของสหรัฐและยุโรป ที่ทำให้ความผันผวนในระบบเศรษฐกิจโลกอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะ

    โจทย์เศรษฐกิจของไทย

    คำถามสำคัญสำหรับไทยในปี 2554 ก็คือ เราจะอยู่อย่างไรในโลก ที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ยังคงขยายตัวได้ในอัตราที่ต่ำกว่าปกติ ตลาดการเงินโลกผันผวนมากขึ้น และมีวิกฤติรอที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจไทยเอง Momentum ทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา แม้จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนล่าสุด คือ เดือนพฤศจิกายน 2553 อีกทั้ง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในปีหน้าก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

    ในประเด็นนี้ ต้องยอมรับว่า สมดุลโจทย์เศรษฐกิจของเราได้เปลี่ยนไป จากการมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวในปีที่แล้ว ไปสู่การตอบโจทย์สำคัญๆ ของประเทศว่า จะทำให้การเจริญเติบโตยั่งยืนได้อย่างไร จะจัดการกับเงินทุนเคลื่อนย้าย และผลพวงของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่กำลังจะไหลเข้าอย่างไร จะรักษา Momentum ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไว้อย่างไร และจะเตรียมการเพื่อรับกับการแข่งขันในตลาดโลกที่เข้มข้นขึ้นอย่างไร ซึ่งเมื่อสมดุลของปัญหาเปลี่ยนไป แนวนโยบายภาครัฐที่เหมาะสมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการใช้นโยบายการเงินการคลังร่วมกันในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปสู่ส่วนผสมใหม่ ที่แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลปัญหาต่างๆ อย่างสอดรับกัน

    1. การดูแลให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน - นโยบายการเงินที่คงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไป เพื่อช่วยลดแรงจูงใจในการบริโภคและการเก็งกำไรของผู้บริโภคบางส่วนลง รวมทั้งช่วยให้ดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงกลับไปเป็นบวกอีกครั้งจากปัจจุบันที่อยู่ที่ -2.6% และช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ที่จะเป็นปัญหาในระยะปานกลาง จากราคาต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ ที่กำลังปรับขึ้น และจากความตึงตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น

    2. การจัดการกับเงินทุนที่จะไหลเข้าประเทศไม่ให้ก่อปัญหาให้กับประเทศ - โจทย์ใหญ่อย่างหนึ่งของปีหน้าที่ทางการจะต้องตัดสินใจในช่วงที่เงินทุนไหลเข้าว่า จะจัดการกับเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องอย่างไร ซึ่งในประเด็นนี้ หลายคนได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการนำมาตรการแรงมาใช้ควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ทางการก็คงต้องชั่งใจว่าการจะเอามาตรการเหล่านี้มาใช้ จะเหมาะสมหรือไม่ เพราะจากประสบการณ์ในต่างประเทศพบว่า จะได้ผลในระยะสั้นเท่านั้น และในส่วนของแรงกดดันต่อค่าเงิน ยิ่งถ้าปัญหามาจากสหรัฐเองที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงไป มาตรการจำกัดเงินทุนเคลื่อนย้ายคงช่วยอะไรได้ไม่มาก

    สิ่งที่ทางการพอจะทำได้ คือ การบรรเทาผลกระทบของเงินทุนไหลเข้า โดย (1) ช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ผ่านนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่มุ่งดูแลความผันผวนของค่าเงิน ชะลอการแข็งค่าในระยะสั้น แต่ไม่ฝืนตลาดในระยะยาว (2) จัดการกับสภาพคล่องในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากเงินทุนไหลเข้า (3) ออกมาตรการเพื่อลดการเก็งกำไรในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ที่เปราะบางต่อเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคอสังหาฯ และภาคแบงก์ โดยเพิ่มความเข้มงวดกับการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้ปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง

    3. การรักษา Momentum ของเศรษฐกิจ นโยบายการคลังต้องมุ่งเน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต่อไป และคงต้องรับบทที่หนักขึ้นจากเดิม เนื่องจากแรงกระตุ้นจากนโยบายการเงินจะลดลงเรื่อยๆ ในช่วงถัดไป (ตรงนี้คงยาก เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่จะเพิ่มขึ้น)

    4. การรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นโยบายของภาครัฐ และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ จะต้องมีแผนที่ชัดเจน มุ่งเน้นกับการสร้างรากฐานในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การพัฒนาตลาดทุนและสถาบันการเงิน การลดอุปสรรคต่างๆ โดยมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (ทั้งขาเข้าและออก) จะต้องสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันได้ ตั้งแต่การดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศ การเอื้อให้บริษัทเอกชนไทยสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ เพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงต่อไป

    ทั้งหมดนี้ หมายความว่าโจทย์และการตอบโจทย์เศรษฐกิจปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็ขอเอาใจช่วยครับ

    หมายเหตุ สนใจอ่านเพิ่มเติม หรือเสนอแนะได้ที่ “Blog ดร.กอบ” ที่ www.kobsak.com ครับ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤติยุโรป : จุดระเบิดความไม่เท่าเทียมกัน (1)

    โดย : พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล, สมยศ อรรคฮาดสี

    วิกฤติการเงินยุโรปที่มีต้นตอจากปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซเพิ่มขึ้น สร้างความวิตกกังวลไปทั่วทั้งสหภาพยุโรป (อียู)
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>และต้นตอปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปัญหาการเงินเท่านั้น เมื่อพิจารณาโครงสร้างของประเทศในกลุ่มอียูที่แตกต่างกันมาก

    ประวัติศาสตร์และสถานที่ตั้งประเทศ รวมถึงพัฒนาการของแต่ละประเทศ ล้วนเป็นที่มาของวิกฤติการเงินในภูมิภาค เช่น กลุ่มประเทศยุโรปใต้มีโครงสร้างพึ่งพาเกษตรกรรม ต่างจากกลุ่มประเทศยุโรปเหนือที่เจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมมานาน การนำประเทศที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก มาใช้นโยบายการเงินร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของชาติสมาชิกอียู ที่ใช้ระบบเงินยูโรร่วมกันได้

    วิกฤติการเงินกรีซเป็นจุดระเบิดของปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน จนนำไปสู่ผลกระทบต่ออียูโดยรวม ซึ่งการแก้ปัญหาต้องใช้ต้นทุนการเงิน การเมือง เศรษฐกิจ อย่างมหาศาล

    ภูมิศาสตร์และการพัฒนาของยุโรป

    การที่ค่าเงินประเทศใดจะมีเสถียรภาพและเป็นที่แพร่หลายใช้ได้ทั่วโลก จะต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็งในการดำเนินนโยบายการเงิน และสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับเงินสกุลนั้นๆ ได้ ซึ่งยุโรปใช้เงินสกุลยูโร จัดตั้งธนาคารกลางที่เรียกกันว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพื่อสร้างเสถียรภาพการเงินและนโยบายให้ค่าเงินยูโร

    แต่เมื่อเราพิจารณาจากโครงสร้างของยุโรปจะพบว่า ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ยุโรปไม่ได้มีความเป็นหนึ่งเดียว และแตกต่างกันอย่างมากด้านภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศในยุโรป

    ยุโรปประกอบด้วยคาบสมุทร ภูเขาขนาดใหญ่อย่างเทือกเขาแอลป์ รวมถึงเกาะขนาดใหญ่ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการแบ่งแยกประเทศในยุโรปออกเป็นส่วนๆ ให้มีลักษณะแตกต่างอย่างชัดเจนทั้งด้านวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ตลอดจนประวัติศาสตร์ความขัดแย้งด้านการเมืองในอดีต เช่น ตุรกี (อาณาจักรออโตมันต์) กับประเทศในคาบสมุทรบอลข่าน หรือ อังกฤษกับไอร์แลนด์

    ประเทศในยุโรปมีแม่น้ำ และชายฝั่งทะเล รวมถึงอ่าวที่เอื้ออำนวยให้เกิดการค้า ทำให้การค้ายุโรปเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา จนเกิดศูนย์กลางการค้าการเงินตามลุ่มแม่น้ำสายสำคัญ เช่น แม่น้ำเทมส์ ในกรุงลอนดอน แม่น้ำดานูบในกรุงเวียนนา แม่น้ำไรน์ในอัมสเตอร์ดัมและแฟรงก์เฟิร์ต แม่น้ำโพในกรุงมิลาน ทะเลบอลติกช่วยนำเรือเทียบท่ากรุงสตอกโฮล์ม

    ลุ่มแม่น้ำและเมืองติดทะเลข้างต้น ล้วนเป็นศูนย์กลางการค้าการเงินของยุโรป ซึ่งแข่งขันกันเป็นศูนย์กลางการเงิน แต่หากเปรียบเทียบกับสหรัฐซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ความแตกต่างระหว่างมลรัฐของสหรัฐมีไม่มาก อีกทั้งศูนย์กลางการค้าและการเงินรวมศูนย์อยู่ที่นิวยอร์ก

    ทั่วยุโรปมีศูนย์กลางการค้าและการเงินอยู่หลายแห่ง หากประเทศใดไม่มีศูนย์กลางการค้าการเงิน หรือไม่สามารถใช้ศูนย์กลางการเงินดังกล่าวได้ ประเทศเหล่านั้นจะกลายเป็นประเทศที่ด้อยกว่าประเทศที่มีศูนย์กลางทางการค้ามาก ทั้งทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ อำนาจการเมือง รวมถึงความเป็นอยู่ของประชากร เช่นกลุ่มประเทศยุโรปใต้ประชากรส่วนใหญ่ยังคงทำเกษตรกรรม มีลักษณะสังคมเป็นชนบท ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปเหนือมีความเจริญในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม และการเป็นชุมชนเมือง

    นอกจากนี้ คริสตจักรนิกายโปรเตสแตนต์ ที่เริ่มจากเยอรมนี และแพร่หลายเข้ายุโรปโดยเฉพาะยุโรปเหนือ มีส่วนสำคัญช่วยพัฒนาและนำความเจริญด้านการค้าและเทคโนโลยีมาสู่ยุโรปในส่วนนี้ เพราะนิกายดังกล่าวให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป ทำให้การศึกษาเข้าถึงมวลชนเป็นวงกว้าง มากกว่าจำกัดอยู่แต่กลุ่มนักบวช

    การศึกษาในวงกว้าง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด ทั้งด้านอุตสาหกรรม การค้าและเทคโนโลยี ในกลุ่มประเทศยุโรปเหนือ และสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนให้กับกลุ่มประเทศยุโรปใต้ ที่ยังยึดรูปแบบโรมันคาทอลิก เน้นศูนย์กลางการศึกษาอยู่ที่นักบวช ซึ่งนิกายโปรเตสแตนต์เป็นส่วนสำคัญผลักดันให้เกิดการศึกษาแบบเปิดกว้างในสหรัฐด้วยเช่นกัน

    เมื่อพิจารณาด้านประวัติศาสตร์ พบว่าก่อนและต้นของคริสต์ศตวรรษ ความเจริญเริ่มต้นจะอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยเหตุผลในด้านของการเป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีภูมิอากาศที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน และการติดต่อกับประเทศอื่น จึงเกิดศูนย์กลางอารยธรรมที่กรีก โรมัน รวมถึงไบแซนไทน์

    ขณะที่พื้นที่แถบตอนเหนือ ถือว่าเป็นพื้นที่กันดาร อากาศรุนแรง คนที่อยู่ถูกเรียกว่าเป็นพวกป่าเถื่อน เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มแพร่เข้ามามีอิทธิพลแทนที่อาณาจักรโรมัน คนในยุโรปจึงอยู่ภายใต้การปกครองของคริสตจักร จนอังกฤษประกาศตั้งนิกายคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) เป็นการแยกการปกครองราชอาณาจักรออกจากศาสนาหรือคริสตจักรได้ชัดเจนและเด็ดขาด ทำให้กลุ่มประเทศยุโรปเหนือเริ่มเลียนแบบอังกฤษ และการก้าวสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การพัฒนาวิชาการต่างๆ เริ่มต้นขึ้นทางยุโรปเหนือโดยเฉพาะอังกฤษ ผลดังกล่าวทำให้อังกฤษปฏิวัติด้านเกษตรกรรม วิทยาศาสตร์และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในที่สุด ส่งผลให้อังกฤษกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1

    ในด้านภูมิศาสตร์ จะพบว่าอังกฤษ เป็นประเทศที่เป็นเกาะ แยกตัวจากภูมิภาคส่งผลให้อังกฤษมีวัฒนธรรม และการดำเนินการเฉพาะของตัวเอง ค่อนข้างเป็นอิสระจากกลุ่มประเทศยุโรปที่มักเกี่ยวเนื่องกัน เห็นได้จากอังกฤษยังคงใช้สกุลเงินปอนด์ แม้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ขณะที่ประเทศอื่นในอียูกลับใช้สกุลเงินยูโร

    ความเจริญทางด้านวิทยาการ เทคโนโลยี นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มาจากยุโรปเหนือเป็นหลัก ทั้งจากอังกฤษหรือเยอรมัน อีกทั้งการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ทำให้ต้องเปิดกว้างรับสิ่งใหม่เรื่อยมา รวมทั้งการเกิดนิกายโปรเตสแตนต์ ส่งผลให้การศึกษาให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ขยายเป็นวงกว้าง

    ตรงข้ามกับยุโรปใต้ที่ปรับตัวน้อย เพราะภูมิประเทศและภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย และอยู่ภายใต้คริสตจักรมาเป็นเวลานาน อีกทั้งเพิ่งเปิดรับศิลปวิทยาการตามหลังยุโรปเหนืออยู่หลายศตวรรษ สิ่งเหล่านี้ส่งผลอย่างมากจนถึงปัจจุบัน และสะท้อนถึงความแตกต่างของคุณภาพประชากร ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มประเทศอียู

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มประเทศยุโรปเสียหายอย่างมากจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะสหรัฐเริ่มเข้ามามีบทบาทฟื้นฟูยุโรปด้านการป้องกันประเทศ มีการจัดตั้งองค์การป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต เพื่อปกป้องยุโรปจากการรุกรานของประเทศคอมมิวนิสต์ และตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเพื่อดูแลเศรษฐกิจ

    การรวมตัวข้างต้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นองค์กรเพื่อรับความช่วยเหลือและพัฒนาเศรษฐกิจจากสหรัฐ เนื่องจากแต่ละประเทศได้รับประกันความมั่นคงของประเทศจากสหรัฐ ทำให้ความหวาดระแวงว่าจะถูกรุกรานหมดไป

    เยอรมนีเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญ ให้การสนับสนุนทั้งนาโต้และองค์กรเศรษฐกิจยุโรป การรวมตัวดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาของเยอรมนีในอดีต เพราะความหวาดระแวงการรุกรานของฝรั่งเศสและรัสเซีย ทำให้บทบาทของเยอรมนีทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศยุโรปมีมากขึ้น จากการไม่ต้องกันงบประมาณมหาศาลเพื่อการทหารเช่นในอดีต ผ่านทางเงินทุนที่ใช้ในการขับเคลื่อนยุโรป ส่งผลให้เศรษฐกิจเยอรมนีใหญ่ขึ้น และเป็นการเริ่มต้นการพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรป (อียู) ในเวลาต่อมา

    (อ่านต่อวันจันทร์ที่ 10 ม.ค. 2554)

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฟดเดินหน้าคิวอี2ตามกำหนด

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    คาดเฟดเดินหน้าทำคิวอี2 ครบตามกำหนด 6 แสนล้านดอลล์ในเดือนมิ.ย.
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. เผยเฟดลงมติด้วยคะแนนเสียง 10 ต่อ 1 เพื่อยืนยันแผนการซื้อพันธบัตรมูลค่า 600,000 ล้านดอลลาร์หรือการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี 2) ไปจนถึงเดือนมิ.ย. แม้มีผู้ประชุม 2-3 คนชี้ถึงความเสี่ยงจากการที่เฟดเดินหน้าขยายการซื้อสินทรัพย์ และจากการตึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ ว่าอาจเป็นชนวนให้เกิดเงินเฟ้อ
    เฟดระบุว่าจะทบทวนปริมาณการซื้อพันธบัตรอย่างสม่ำเสมอ และเปิดทางที่จะซื้อน้อยลงหากเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าที่คาด และจะซื้อมากขึ้นหากเศรษฐกิจอ่อนตัว
    นายคริส โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งบริษัทเอฟทีเอ็นไฟแนนเชียล กล่าวว่าสภาพเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นดังกล่าวตอกย้ำว่ามาตรการของเฟดได้ผล และไม่มีแนวโน้มที่เฟดจะหยุดใช้มาตรการคิวอี 2 ก่อนกำหนดในเดือนมิ.ย. นอกจากนั้นยังไม่น่าจะทราบว่าเฟดต้องการซื้อพันธบัตรเพิ่มหรือไม่ จนกว่าจะถึงไตรมาส 2
    ขณะที่นาลพอล แอชเวิร์ธ นักเศรษฐศาสตร์แห่งบริษัทแคปิตอลอีโคโนมิกส์ คาดว่าเฟดจะซื้อพันธบัตรจนครบ 600,000 ล้านดอลลาร์ภายในปลายเดือนมิ.ย. ตามที่วางแผนไว้ แม้มีสัญญานว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐกระเตื้องขึ้น แต่เฟดจะไม่รีบร้อนลดการทำคิวอี

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คาดเฟดตรึงดอกเบี้ยถึงปีหน้า

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    นักเศรษฐศาสตร์โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ ธนาคารกลางสหรัฐตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ใกล้ระดับ 0% จนถึงปีหน้า
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>โกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ใกล้ระดับ 0% ต่อไปตลอดทั้งปี 2554 และอาจต่อเนื่องไปถึงปี 2555
    นอกจากนี้ สัญญาณทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในสหรัฐ ยังทำให้มีแนวโน้มว่า เฟดจะไม่ต่ออายุโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อโครงการดังกล่าวหมดอายุลงในช่วงกลางปีนี้
    ถ้าหากจีดีพีที่แท้จริงของสหรัฐขยายตัว 3.5-4.0% ในช่วงครึ่งปีแรก ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเฟดดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรต่อไป
    <!-- Tags Keyword --><!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่วมกันตั้งแต่ต้นปี

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    ปีใหม่เพิ่งเริ่มต้นแค่สัปดาห์เดียว แต่เศรษฐกิจโลกก็ต้องเผชิญปัจจัยลบเสียแล้ว จากเหตุน้ำท่วมหนักในออสเตรเลีย ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT> หลังจากพายุไซโคลนพัดถล่มรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
    พื้นที่ประสบภัยมีขนาดกว้างใหญ่เท่ากับฝรั่งเศสและเยอรมนีรวมกัน อีกทั้งยังเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตถ่านหินป้อนตลาดโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก
    เมื่อเหมืองถ่านหินออสเตรเลียจมอยู่ใต้น้ำ ก็หมายความว่าปริมาณถ่านหินในตลาดโลกจะหดหายไปเป็นจำนวนมาก โดย ไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ บริษัทวิจัยข้อมูลเศรษฐกิจและการเงิน คาดว่า ความสามารถของออสเตรเลียในการผลิตถ่านหินต่อปี จะหายไปประมาณ 90 ล้านตัน และจะทำให้ราคาถ่านหินพุ่งสูงขึ้น
    ผลที่ตามมาจะทำให้ผู้ผลิตเหล็กต้องปรับราคาเหล็กเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาสินค้าเหล็ก และลุกลามไปถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวม
    ข้อมูลจาก บาร์เคลย์ส แคปิตอล ระบุว่า ตลาดถ่านหินส่อแววตึงตัวมาก่อนแล้ว เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย เมื่อเกิดปัญหาสภาพอากาศเข้ามาซ้ำเติม ก็จะยิ่งทำให้ตลาดตึงตัวมากขึ้น
    ก่อนเกิดน้ำท่วมหนักที่รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศผู้ส่งออกถ่านหินรายสำคัญ อย่าง โคลอมเบีย และอินโดนีเซีย ก็เผชิญฝนตกหนักจนส่งผลกระทบต่อการผลิตเช่นกัน
    ยิ่งไปกว่านั้น อุบัติเหตุรถไฟตกรางในแอฟริกาใต้ช่วงสิ้นปี ทำให้การส่งออกถ่านหินต้องหยุดชะงักไปหลายวัน
    ในส่วนของออสเตรเลียเอง การปิดเหมืองก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณวันละ 100 ล้านดอลลาร์ โดยเหมืองถ่านหินประมาณ 40 แห่ง ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ และอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ
    นอกจากเหมืองแร่แล้ว พื้นที่เพาะปลูกก็เสียหายหนัก อีกทั้งอาคารบ้านเรือนจมน้ำเป็นจำนวนมาก ประชาชนต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว
    นายกเทศมนตรีเมืองร็อคแฮมป์ตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คาดว่าจะต้องใช้เวลา 1 ปีฟื้นฟูเมือง และขอเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก่อนเปิดสนามบินอีกครั้ง
    สำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียระบุว่า ปรากฏการณ์ลานีญาเป็นสาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ พร้อมกับพยากรณ์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะก่อตัวขึ้นอีกครั้งภายในเดือนก.ค. พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรเลียจะเกิดฝนตกหนักมากกว่าปริมาณเฉลี่ย และระหว่างเดือนก.ค.-ธ.ค.นี้ จะเกิดฝนตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ของออสเตรเลีย
    ทั้งนี้ ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงข้ามกับ เอลนีโญ โดยจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเย็นกว่าปกติ และอิทธิพลของปรากฏการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดฝนตกหนักในเอเชียและออสเตรเลีย ทำให้เกิดอากาศหนาวเย็นขึ้นเล็กน้อยในอเมริกาเหนือ และเกิดภัยแล้งในแอฟริกาใต้
    แค่เหตุการณ์น้ำท่วมในออสเตรเลียเพียงเหตุการณ์เดียว ก็สั่นคลอนเศรษฐกิจโลกไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังไม่นับวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยืดเยื้อมาจากปีที่แล้ว หากเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นอีก มีหวังว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงถอยหนีออกไปอีกเป็นแน่

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

    น้ำตาลเทียม ( Aspartame ).......อีกหนึ่งทูติมรณะจาก NWO 2/2


    หลังจากที่เขียนบทความแรกไปเกี่ยวกับ Aspartame หรือน้ำตาลเทียม "คุณเกด" ก็ส่งลิ๊งค์เกี่ยวเรื่องนี้เป็นภาษาไทยมาให้ ซึ่งชัดเจนและตรงประเด็นทีเดียวครับ

    หลังอ่านบทความนี้แล้วลองกลับไปอ่านตอนแรกอีกครั้งหนึ่ง แล้วเอาเรื่องราวผูกเข้าหากัน มันไม่ใช่ความบังเอิญหรอกครับ เพราะโครงการ "Depopulation" หรือความพยายามลดปริมาณประชากรโลกเค้าทำกันมาได้นับร้อยปีแล้วล่ะครับ และเจ้าน้ำตาลเทียมนี่เป็นเพียง agent หรือเครื่องมือเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีอีกมากคือ น้ำอัดลม, นมวัว, ชีส, ผงชูรส, โดนัท, ฟาสฟู๊ด และอีกหลายๆอย่างที่เป็นแฟรนไชส์และได้รับการโปรโมทในระดับโลกแทบทั่งสิ้น (โดยเฉพาะที่มาจากสหรัฐ) ซึ่งมันไม่ได้มีแค่เพียงความสะดวกและอร่อยเท่านั้นครับ แต่มันคือการ Soft Kill หรือการฆ่าแบบนุ่มนวล!!!

    และอาหารที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี่แหละครับ คือสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บหลักๆในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา ทั้งโรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดัน และอีกสารพัดโรคร้ายแรง "ที่ไม่มีตัวเชื้อโรค" ลองค้นหาข้อมูลดูครับ "ยังไงก็เจอ" เพียงแต่ใช้คีย์เวิร์ดให้ถูกเท่านั้นเอง แล้วอย่างที่บอกครับ เพียงคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้งคุณอาจจะช่วยชีวิตคนได้อีกมหาศาลไม่ให็เป็น "เหยื่อ" ของพวกเค้าเพราะ "อาหารพิษ" เหล่านี้

    แต่ทำไมวงการแพทย์สมัยใหม่ถึงไม่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ นั่นก็เพราะวิชาการแพทย์แผนฝรั่งจะไม่มีการสอนถึง "ที่มา" ของโรคครับ แต่จะสอนว่าเกิดการผิดปรกติที่ระบบไหนแทน หรือเรียกว่า "Disorder" ซึ่งก็มีหมอแม้แต่อาจารย์หมอจำนวนมากมายที่เสียชีวิตเพราะโรคเหล่านี้ แต่โรงเรียนแพทย์ฝั่งตะวันตกจะสอนเพียงว่ารักษาอย่างไรและ "ใช้ยาตัวไหน" ก็คือเค้า "ให้คุณรู้เท่าที่เค้าต้องการให้รู้" ซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทที่เป็นเจ้าของลิขสิทธ์ยาเหล่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะเชื่อมโยงขึ้นไปหาบริษัทในเครือข่าย NWO ในแขนงต่างๆ

    หากมีคุณหมอท่านไหนกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ท่านลองเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันครับ แล้วไล่ขึ้นไปหาต้นตอ ทั้งบริษัทยา ทั้งที่มาของโรค ทั้งโรงเรียนแพทย์ Regimen ในการรักษา ชนิดของยาที่ใช้ เงินสนับสนุน เซลส์ขายยา งบประมาณต่างๆ การสัมนา โปรแกรมการท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวนมหาศาลเหล่านี้ที่จ่ายออกจากบริษัทยาชั้นนำสัญชาติตะวันตก ผมเชื่อว่าท่านจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจนที่สุดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นตอบนสุดที่น้อยคนที่จะรู้คือหลักสูตรของ Medical School ต่างๆ เหล่านั้น และเงินสนันสนุนโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของโลกมาจากกลุ่ม NWO " เกือบทั้งหมด " โดยเฉพาะสถาบันวิจัยของ Rockyfeller และมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือระดับท๊อปเทนของโลกในเครือ "เยซูอิด" ในทวีปยุโรปและอเมริกา ทุกอย่างทำงานสอดประสานกันอย่างเป็น "ระบบ" มาอย่างต่อเนื่องและยาวนานทั้งสิ้น

    วิธีการรักษาและยาหลายๆอย่างเช่น การฉายแสงหรือรังสี และ คีโมหรือเคมีบำบัด ออกแบบมาเพื่อ "ซ้ำเติม" และ "ฆ่า" คนไข้โรคมะเร็ง ไม่ใช่การรักษาที่ตรงจุดหรือที่ต้นเหตุ เพียงแต่เค้าสอนมา ให้ตาม Regimen หรือแนวทางการรักษาอย่างนี้เท่านั้น แล้วสุดท้ายก็...ขายยา และทั้งหมดก็เพื่อ "การค้า" และ "การฆ่า" ในที่สุด จะมีผู้ป่วยเพียงน้อยรายที่หายขาดและโรคจะกลับมาใหม่ในไม่ช้าในส่วนอื่นๆของร่างกาย เพราะมะเร็งไม่ใช่โรคของส่วนใดส่วนหนึ่ง หากเป็นโรค "ของระบบ" ของร่างกายโดยรวม แต่แผนฝรั่งเค้ากลับให้มุ่งไปที่เฉพาะจุด!!! และหากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะ "การกิน" หรือก็คือ Input ที่ใส่เข้าไปในร่างกายที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นเหล่านั้นและแสดงผลออกมาเป็นเซลส์ที่เกิดขึ้นใหม่แต่จำเซล์ต้นแบบไม่ได้หรือก็คือเซลส์มะเร็งนั่นเอง

    มีคำถามๆหนึ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคมะเร็งหลายๆท่านมักจะถูกถามคือ ถ้าหากมีบุพการีหรือคนในครอบครัวของท่านเองที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ท่านจะสนับสนุนให้ผู้ป่วยเหล่านั้นใช้เคมีบำบัดในการรักษาหรือไม่???


    เรามาดูบทความในเรื่องน้ำตาลเทียมกันครับ

    ติดหวาน หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีรึเปล่า?
    น.พ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

    ถ้าพูดถึงเรื่องหวาน คนส่วนใหญ่จะนึกถึงน้ำตาล แต่สำหรับคนที่ต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ก็คงตั้งคำถามอยู่ในใจว่าไม่ให้กินน้ำตาลแล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ใจมันอยากจะกิน


    หลายๆคนก็เลยหาทางออกด้วยการกินน้ำตาลเทียม คำถามว่า "ติดหวาน แต่ไม่อยากได้น้ำตาล หันมาใช้น้ำตาลเทียมได้ไหมหมอ" คำถามนี้เป็นคำถามที่มักหลุดออกมาจากใบหน้าที่ระโหย และเป็นคำถามที่พบได้บ่อยๆ ที่คลินิกของเรา โดยเฉพาะคนไข้เบาหวาน ที่เราสั่งให้งดน้ำตาลอย่างเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนติดรสหวานไปเสียแล้ว แทนที่จะยอมฝึกลิ้นเสียใหม่ให้ไม่ติดรสหวานซึ่งเป็นเรื่องยาก การหาสารทดแทนรสหวานหรือน้ำตาลเทียมซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าจึงเป็นสิ่งที่คนไข้กลุ่มนี้มักจะทำกัน


    หลังจากที่วงการสุขภาพได้ออกมาชี้ให้เห็นผลร้ายของการกินหวานหรือติดน้ำตาลมากขึ้นและมากขึ้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงมีการปรับตัวด้วยการเลือกกินอาหารที่ไม่หวาน ไม่ใส่น้ำตาลแต่ก็ยังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังอาลัยอาวรณ์กับรสหวานที่คุ้นลิ้น วงการอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นจะต้องมองหาสารให้ความหวานอย่างอื่นมาทดแทน เพื่อจะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้


    สารให้ความหวานที่ถูกค้นพบ แล้วถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างกว้างขวางก็คือ น้ำตาลเทียมหรือ Aspartame ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากน้ำตาลเป็นอย่างดี แต่จะมีใครบ้างไหมที่รู้ว่า กว่า Aspartame จะผ่านองค์การอาหารและยาของอเมริกา (FDA) ออกมาได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเท่าไหร่


    ประวัติของ Aspartame หลายคนได้รู้แล้วอาจจะต้องร้องจ๊ากกกกกก เพราะแรกเริ่มเดิมที Aspartame ถูกขึ้นทะเบียนโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือ Pentagon ว่าเป็นอยู่ในกลุ่มอาวุธชีวเคมีเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสารทดแทนความหวานที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม หลายพันชนิด


    เส้นทางที่ Aspartame ใช้เดินจากคลังอาวุธเคมีมาสู่โต๊ะอาหารนั้นว่ากันว่ามีขวากหนามมากเหลือเกิน กว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นโต๊ะได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ปาเข้าไปตั้ง 8 ปีแล้วโน่น ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงผลเสียของสารตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลเสียต่อระบบประสาท หรือเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง


    อย่างไรก็ดีด้วยการผลักดันด้วยทางการเมือง ในที่สุด Aspartame ก็ได้รับใบอนุญาตให้ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981 เพราะช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมาธิการอาหารและยา และพลันที่คณะกรรมาธิการเปลี่ยน ใบอนุญาตของ Aspartame ซึ่งเป็นผลงานแรกของคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็ได้รับอนุมัติโดยฉับพลันทันทีเช่นกัน


    ที่ตลกไปกว่านั้นคือ หนึ่งในคณะกรรมาธิการคณะนี้ ต่อมาถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่ามีส่วนพัวพันเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย หลังจากที่ลาออกไปแล้ว ก็เลยไปขอกินตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาระดับสูงของบริษัทผู้ผลิต Aspartame ซะงั้น


    ไหนๆ ก็ได้รับใบอนุญาตแล้ว ตั้งแต่นั้นมา Aspartame ก็ถูกใช้อย่างกว้างขวาง และเริ่มมีผลเสียต่างๆ ปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เลยพบว่ามีผู้ป่วยที่ป่วยจากการบริโภค Aspartame แล้วมีอาการผิดปกติทางร่างกายได้หลากหลายมาก อาการเหล่านี้ได้แก่


    โรคระบบประสาทเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซม์เมอร์ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เมื่อยล้าและอ่อนแรงเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) สมาธิสั้น โรคตื่นตกใจง่าย (Panic disorder) โรคซึมเศร้า โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง (Lupus) โรคเบาหวาน เด็กคลอดแล้วพิการ ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยผิดปกติ (Hypothyroidism) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว


    นอกจากนี้แล้ว อาการของโรคบางอย่างก็อาจจะเกิดจาก Aspatame นั่นได้แก่ อาการปวดหัว อาการปวดหัวไมเกรน อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ชา กล้ามเนื้อเกร็ง บางรายอาจจะมีอาการของผื่นคัน อาการซึมเศร้า ใจสั่น นอนไม่หลับ ไปจนถึงกระทั่งอาการปวดข้อไม่ทราบสาเหตุ ถ้าใครที่บริโภค Aspartame อยู่ล่ะก็ คุณอยู่ในข่ายสงสัยแล้วล่ะว่า อาจจะต้องพิษของ Aspartame เข้าให้แล้ว ทางที่ดีควรหยุดการบริโภค Aspartame ดู ซึ่ง 2 ใน 3 ของคนที่โดนพิษ Aspartame จะมีอาการดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน และจะดีไปตราบเท่าที่ไม่หันกลับไปบริโภค Aspartame อีก


    ตอบคำถามที่ว่า "ไม่กินน้ำตาลแล้ว หันมาใช้น้ำตาลเทียมดีไหมหมอ?" ความเห็นส่วนตัวของผมก็คงตอบว่า "ไม่ดีครับ เพราะติดน้ำตาลว่าแย่แล้ว ติด Aspartame ดูเหมือนจะแย่กว่าซะอีก"


    ก็มักจะมีคำถามตามมาอีกว่า งั้นจะทำยังไงล่ะ ไม่มีสารทดแทนความหวานเลยชีวิตมันจะอยู่ได้ยังไงเนี่ย ตอบสั้นๆ ครับว่า "ก็หัดลิ้นตัวเองซะใหม่สิครับ ให้มันไม่ติดหวาน" ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่เป็นวิธีที่ต้องทำ เพราะถ้าเราฝึกลิ้นของเราให้กินอาหารแบบธรรมชาติสักพัก ลิ้นเราจะมีความรู้สึกไวกับความหวานตามธรรมชาติมากขึ้นเอง บางทีกินผักนึ่งเปล่าๆ เรายังรู้สึกว่ามันหวานได้เลยครับ การฝึกที่ว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ให้ฝึกตั้งแต่ยังเด็กจะดีที่สุด ดังนั้น เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยน้ำอัดลม หรือขนมหวานพวกนี้ก็คงลำบากหน่อย เพราะลิ้นมันชาด้านกับความหวานที่ถูกประเคนใส่ไปเสียแล้ว ถ้ารักลูกก็อย่าให้เขากินแต่อาหารประเภทนี้เป็นหลัก ส่วนพวกไม้แก่ดัดยากนอกจากจะต้องจับเข้าคอร์สดัดนิสัยกันแล้ว บางทีก็จำเป็นต้องใช้วิธีการสั่งจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วยอีกแรง เรียกว่าสะกดจิตให้หายอยากหวานกันไปข้างหนึ่งเลยก็ว่าได้



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America

    Jan 6 2011, 3:09 PM
    JimmySiri: มันมีประเด็นร้อนๆเรื่อง CFTC เข้ามาเมื่อ 1-<WBR>2 วันที่ผ่านมาครับ ทำให้เค้าเปลี่ยนข้างมาเร่<WBR>งทุบ เพื่อ 1.<WBR>ส่งมอบทองคำและเงินล๊อตใหญ<WBR>่มากเมื่อวันที่ 4 ที่ผ่านมา และ 2.<WBR>เรื่องคดีบิดเบือนราคาเงิน ที่คากันอยู่ในศาล .<WBR>.<WBR>.<WBR>มีการซูเอี๋ยกันระหว่าง CFTC ที่จะออกกฏมาควบคุมปริมาณส<WBR>ัญญาหรือ Position Limit ที่จะออกมาใหม่ แต่จะไปออกอีก 2 เดือนหลังจากนี้ ตรงนี้คือเบื้องหลังที่ไม่<WBR>มีในข่าวครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    Jan 6 2011, 3:09 PM
    JimmySiri: ก็คือจะให้ไปมีผลหลังจากที<WBR>่พวกขาใหญ่ปิดสัญญาช๊อตปลา<WBR>ยเดือนกุมภาแล้วนั่นเอง สรุปว่าเล่นกันเป็นขบวนการ เพราะฉะนั้นพวกธนาคารขาใหญ<WBR>่เหล่านี้จะมีเวลาเกือบ 2 เดือนเต็มในการไล่ปิดสัญญา<WBR>ช๊อตมหาศาลที่ทำกันไว้ ทั้งทองคำและเงิน ดังนั้นคงต้องแดงเดือดกันไ<WBR>ปเป็นระยะๆ จนถึงปลายกุมภาครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:11 PM
    JimmySiri: คงจะได้เห็นความพยายามทำรา<WBR>คา "<WBR>ลง"<WBR> ต่อไปเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเ<WBR>ดือนกุมภา น่าจะเป็นศึกแตกหัก แต่ก็ต้องอย่าลืมภาพร่างขอ<WBR>งตลาดทั้งหมดคือในสถานการณ<WBR>์โลก ณ ขณะนี้ทองและเงินลงลำบากคร<WBR>ับ นั่นคือปัจจัยพื้นฐานที่แท<WBR>้จริง เหมือนกับที่เราเห็นว่า.<WBR>.<WBR>.<WBR>มันขึ้นมาตลอดอย่างต่อเนื่<WBR>องนับ 10 ปี ถ้าไม่มีการทุบล่ะก็ไม่รู้<WBR>ราคาจะไปเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสดีในก<WBR>ารสะสมทองคำและเงินครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:15 PM
    JimmySiri: เพราะฉะนั้นผันผวน คงซวิงขึ้นลงรุนแรงกว่าปีก<WBR>่อนๆ ครับ เพราะมันลงไม่ได้แต่จะทำให<WBR>้มันลงให้ได้ คงต้องอาศัยทีเผลอเหมือนวั<WBR>นที่ 4 ที่เปิดทำการวันแรกกัน เพื่อทำราคาลง นอกจากนั้นแล้วก็อาจจะเห็น<WBR>อย่าง เมื่อคืน คือทุบสุดก็เด้งสวนสุดๆ เหมือนกัน ดูพวกเส้นราคาแนวรับ แนวต้านไว้ให้ดีๆครับ ไม่ถึงจุดไม่ต้องรีบร้อน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:18 PM
    JimmySiri: แต่ก็ลำบากเพราะแอ๊คชั่นจร<WBR>ิงๆ อยู่ที่ตลาดนิวยอร์ค ซึ่งทำอะไรไม่ได้มากสำหรับ<WBR>ฟิวเจอร์ คงต้องใช้การบริหารพอร์ตเข<WBR>้าช่วยคือไม่ว่าจะมั่นใจขน<WBR>าดไหน ก็อย่าทิ้งน้ำหนักไปทางใดท<WBR>างหนึ่ง เผื่อส่วนที่เหลือไว้แก้เก<WBR>มส์ในกรณีที่ออกฝั่งตรงกัน<WBR>ข้าม หรือไม่ตรงตามเป้าที่เราตั<WBR>้งไว้ การดูกราฟเทคนิคในช่วงนี้ก<WBR>็เหมือนเดิมครับ อย่าเชื่อหมด เพราะเปลี่ยนแบบฉับพลันภาย<WBR>ใน 24 ชม.<WBR> ถึง 2 รอบ มาแล้วภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ตรงนี้มันบอกอะไรเราบางอย่<WBR>างครับ ว่ามีอะไรผิดปกติ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:25 PM
    JimmySiri: นอกจากทองจริงหลายๆเจ้าตอน<WBR>นี้เทรดได้ถึงเที่ยงคืนแล้<WBR>ว ลงมากๆถึงแนวรับก็เข้าเลยท<WBR>ี่แข็งๆ เช่น 1364 ก็เก็บซะหน่อย ฟิวเจอร์เห็นว่าจะขยายเวลา<WBR>ถึง 3 ทุ่มคอยตามข่าวครับ แต่ก็อย่างที่บอกครับ รบแตกหักคงเป็นช่วงครึ่งหล<WBR>ังของเดือนกุมภา เพราะต้องส่งมอบทองคำและเง<WBR>ินจริงกัน ยิ่งถ้าจากช่วงนี้ไปจนถึงต<WBR>อนนี้ทำราคาลงไม่ได้ ก็จะไปบีบกันหน้าดู หรือที่เรียกกันว่า Short Sqeeze ปลายเดือนนี้ในสัปดาห์ที่ 3 จะมีเรื่องออปชั่น ซึ่งก็มีผลครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:26 PM
    JimmySiri: และมีอีกประเด็นที่ไม่น่าม<WBR>องข้ามคือ วิกี้ลีคกับแบงค์ออฟอเมริก<WBR>า ที่อาจจะมีเซอร์ไพรส์ทำให้<WBR>ระบบธนาคารของสหรัฐปั่นป่ว<WBR>นไม่มากก็น้อย แต่ถ้ามากก็จะส่งผลกับราคา<WBR>ทองคำในระดับหนึ่งซึ่งก็ต้<WBR>องจับตาดูเช่นกัน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 3:32 PM
    JimmySiri: ส่วนข่าวต่างๆ ที่ออกมาตามหลังราคาก็อย่า<WBR>ไปใส่ใจมากครับ เพราะออกมาเพื่ออธิบายว่าท<WBR>ำไมราคามันไปอย่างนั้นซะมา<WBR>กกว่า ซึ่งในทางลึกนั้นราคาถูกกำ<WBR>หนดทิศทางไว้แล้วนั่นเอง อย่างเมื่อวันที่ 4 ผมนั่งหาข่าวอยู่ 1 ชม.<WBR> ช่วงที่ราคาลงหนักๆ แต่หาไม่เจอ เพราะมันไม่มีนั่นเอง แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยออกว่าเป็นการ Take Profit .<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>อีกแล้ว 555

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 9:06 PM
    Guest92 (guest): GF 1 สญ =<WBR> ทองราว 1 ล้านบาท ผมเผื่อเงินไว้ราว 2 แสนบาทวางที่โบรก 1 แสน ที่เหลือก็ .<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 6 2011, 9:08 PM
    Guest92 (guest): ให้มีสภาพคล่อง ดึงมาใช้ได้ทันละกัน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 7 2011, 1:12 AM
    Guest100 (guest): วันนี้วันศุกร์ สงสัยพอสหรัฐปล่อยตัวเลขที<WBR>่แต่งแล้วเสร็จ ตลาด Newyork ก็อาศัยจัทุบราคาทองลงกระจ<WBR>าย

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 7 2011, 1:13 AM
    Guest100 (guest): ตลาด Newyork ก็อาศัยจังหวะที่ตลาดอื่นป<WBR>ิดแล้ว ทุบทองกระจาย รูปการณ์น่าจะออกมาแบบนี้ห<WBR>รือเปล่าครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 7 2011, 1:15 AM
    JimmySiri: การโจมตียังทำเหมือนเดิม แต่แรงรับดูดีขึ้นมาหน่อยค<WBR>รับ แต่ถ้าโดนเทสบ่อยๆ ก็ต้องระวังหลุดครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 7 2011, 1:19 AM
    JimmySiri: มีความเป็นไปได้สูงครับ แต่ดูแล้วติดแนวต้านที่ 1364 แต่ตอนนี้ปรับลงมาอยู่ที่ 1361 ครับ *<WBR>*<WBR>*<WBR>แก้ไขตัวเลขครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 7 2011, 1:30 AM
    JimmySiri: ทองคำ :<WBR> แนวต้าน 1386,<WBR> 1391,<WBR> 1400,<WBR> 1424 แนวรับ 1361,<WBR> 1357(<WBR>Strong Support)<WBR>,<WBR> 1339(<WBR>นักลงทุนเริ่มมองมาที่ตรงน<WBR>ี้กันมากขึ้น)<WBR> ทิศทาง :<WBR> ลงต่อ ในระยะสั้นๆ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    New World Order
    After the economy collapse, the new world order has been called by many world leader. This is not accident but intelligently designed and planed for more than 100 years.


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/4PpMdTmVMpo&hl=en&fs=1 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="never" allowfullscreen="true">

    - New World Order
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปริศนาวันที่ 25 ธันวาคม
    ตามที่ทุกคนรู้กัน วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส หรือวันประสูติของพระเยซู ถ้าหากลองศึกษากลับไปในประวัติศาสตร์จะรู้ว่าพระเยซูไม่ใช่คนเดียวที่เกิดวันนี้ครับ

    อียิปต์: ฮอรัส (3000ปี ก่อนคริสตกาล)
    เทพฮอรัสเป็นเทพแห่งแสงสว่างของอียิปต์ มีสัญลักษณ์เป็นรูปพระอาทิตย์อยู่เหนือหัวที่เป็นนก
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    วันเกิดมีดาวตะวันออก
    วันเกิดมีสามกษัตย์มาเข้าเฟ้า (3 kings)
    ถูกตรึงไม้กางเขน
    ตายสามวันแล้วเกิดใหม่

    กรีก: แอททิส (1200ปี ก่อนคริสตกาล)
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    วันเกิดมีดาวตะวันออก
    วันเกิดมีสามกษัตย์มาเข้าเฟ้า (3 kings)
    ถูกตรึงไม้กางเขน
    ตายสามวันแล้วเกิดใหม่

    อินเดีย: กริศณะ (900ปี ก่อนคริสตกาล)
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    วันเกิดมีดาวตะวันออก

    กรีก: ไดโอนีซุส (500ปี ก่อนคริสตกาล )
    บางคนเรียก ว่า king of kings, alpha and omega
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    ถูกตรึงไม้กางเขน
    ตายสามวันแล้วเกิดใหม่

    เปอร์เซีย: มิตทรา (1200ปีก่อนคริสตกาล)
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    ตายสามวันแล้วเกิดใหม่

    เยรูซาเรม: เยซู
    บางคนเรียกว่า god's son
    เกิด: 25 ธันวาคม
    เกิดจากหญิงพรรมจรรย์ (Born of Virgin)
    วันเกิดมีดาวตะวันออก
    วันเกิดมีสามกษัตย์มาเข้าเฟ้า (3 kings)
    ถูกตรึงไม้กางเขน
    ตายสามวันแล้วเกิดใหม่

    จะเห็นได้ว่ามีแพทเทิร์นเดียวกันทั้งการเกิดและการตาย รวมไปถึงชื่อเรียก คำถามคือทำไมต้องเปนแพทเทิร์นแบบนี้ คำตอบสามารถอธิบายได้จากข้อมูลดาราศาสตร์
    1. คืนวันที่ 24 ธันวาคม ดาวที่สว่างด้านทิศตะวันออกคือดาว ซิริอุส ในวันเดียวกัน ดาวซิริอุสจะมีกลุ่มดาวอีกสามดวงเรียงต่อกัน ในสมัยโบราณเรียกกลุ่มดาวนี้ว่าสามกษัตร์(3 kings)
    2. ดาวสี่ดวงที่เรียงต่อกันนี้ จะชี้ตำแหน่งที่พระอาทิตย์ขึ้นในวันที่ 25 ธันวาคมครับ (birth of the sun)
    3. ชื่อกลุ่มดาว virgo เป็นภาษากรีก แปลว่า virgin. สัญลักษณ์กรีกโบราณแทน virgo คือตัวอักษร M มารดาของพระเยซูชื่อ mary มารดาของเทพไดโอนีซุสชื่อ myrra
    4. ราศี virgo รู้จักในอีกชื่อนึงคือ house of bread ชื่อเมืองที่พระเยซูประสูติคือ bethlehem ซึ่งเป็นภาษาฮิบรูแปลว่า house of bread
    5. ในช่วงหน้าหนาว ตำแหน่งพระอาทิตย์ขึ้นเคลื่อนตัวไปทางใต้มากขึ้น วันที่ 22 ธันวาคมที่เรียกว่า winter soltice เป็นจุดที่พระอาทิตย์อยู่จุดต่ำสุดและหยุดเคลื่นที่ไปทางใต้สามวัน 22,23,24 ในช่วงสามวันนี้ พระอาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกลุ่มดาวกางเขน (southern cross หรือ crux)
    6. หลังจากผ่านไปสามวัน วันที่ 25 ธันวามคม พระอาทิตย์เลื่อนไปทางเหนือ1องศา เป็นสํญญานของการสิ้นสุดหน้าหนาว
    สรุปแล้ว
    God's son คือ God's sun ?

    ข้อมูลแปลจาก Zeitgeist

    <!-- -->
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องจริงของ นาซี และ IBM

    [​IMG]
    ตอนผมเรียนโทอยู่ที่ทางใต้ของเยอรมัน ในเขตที่เรียกว่าป่าดำ มีโปรเฟสเซอร์ชาวเยอรมันคนนึงเล่าว่า ผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง IBM ประชุมกันครั้งแรกที่เมืองใกล้ๆที่ผมเรียนก่อนที่จะตั้งบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากว่าทำไมบริษัทอเมริกันอย่างไอบีเอ็ม ถึงมาเริ่มทำธุรกิจกันที่ประเทศเยอรมนีที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูกับอเมริกาในยุคนั้น

    จวบจนได้มาเจอข้อมูลจากหนังสือ IBM and the Holocaust เขียนโดย Edwin Black
    หนังสือเล่มนี้เล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของไอบีเอ็มกับพรรคนาซีเยอรมันและฮิตเลอร์

    เรื่องมีอยู่ว่าไอบีเอ็มเป็นพันธมิตรกับพรรคนาซีตั้งแต่ปี 1933 ในสัปดาห์แรกที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ โดยไอบีเอ็มให้เทคโนโลยีและsolutionเกี่ยวกับการแยกแยะและจัดแคตาล็อกของข้อมูล (identification and cataloging) ซึ่งได้นำไปใช้ในการจัดการรถไฟ การตรวจสอบคนยิวในยุโรป ตลอดไปจนการจับยิวเข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน การจัดการนักโทษยิวโดยการสักรหัสที่ตัว

    ที่น่าตกใจไปกว่านั้น บริษํท IBM ไม่ได้แค่ขายเทคโนโลยีแล้วเดินกลับบ้านแต่อย่างใด แต่ให้พรรคนาซีเช่าเครื่อง punch card โดยรับเงินไปตลอดจนสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง

    ด้วยเทคโนโลยีจาก IBM เป็นผลให้ฮิตเลอร์ทำการล้างเผ่าพันธ์ยิวไปหลายล้านคนจนเสร็จสิ้นสงคราม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2011
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    1923 บทเรียนเศษฐกิจเยอรมันล่มสลาย

    หลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่๑ รัฐบาลweimar ของเยอรมันต้องเซ็นพันธสัญญษแวซายน์เพื่อการลงโทษทางเศษฐกิจ คือจ่ายเงินในฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นจำนวนเงินถึง 6 พันล้านปอนด์ นั้นก็หมายความว่าเยอรมันต้องเป็นหนี้ไปจนถึงปี 1987 เยอรมันจ่ายเงินก้อนแรกไปเป็นถ่านหิน ไม้ และ เหล็ก มีค่าเท่ากับ 2 พันล้านมาร์ค
    [​IMG]

    ปี 1922 เยอรมันกระเป๋าฉีกครับ ไม่สามารถจ่ายเงินก้อนที่สองให้ฝ่ายสัมพันธมิตร ปัญหาคือฝ่ายสัมพันธมิตรไม่เชื่อ โดยเฉพาะฝรั่งเศส เลยนำทหารฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมบุกเมือง Ruhr ของเยอรมันซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเยอรมันในขณะนั้น ยึดโรงงานเหล็ก ถ่านหิน และทางรถไฟต่างๆ ซึ่งเป็นการระเมิด Leaque of nations ที่ตกลงกันไว้หลังสงครามโลกสงบ

    รัฐบาล weimar ของเยอรมันตอบโต้โดยสั่งให้แรงงานในเมือง Ruhr ทำการประท้วงฝรั่งเศสที่เข้ายึดครองโดยการหยุดทำงาน ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นเป็นผลให้ 132 คนเสียชีวิต 150,000 คนถูกขับออกจากบ้าน




    เนื่องจากRuhr เป็นศูนย์อุตสาหกรรมที่สำคัญมากคับของเยอรมันในยุดนั้น การประท้วงหยุดงานหมายความว่าไม่มีผลผลิต ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศษฐกิจของเยอรมันอย่างมาก แถมรัฐบาลยังต้องจ่ายเงินช่วยเหลือแรงงานที่หยุดทำงาน และ ประชาชนอีกแสนกว่าชีวิตที่ไร้ที่อยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้รัฐบาลเยอรมันเริ่มถังแตกเข้าไปใหญ่ จนไปถึงการทำสิ่งที่แย่ที่สุดคือการพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ต่างชาติพากันถอนการลงทุนออกจากเยอรมันไป[​IMG]

    พอความมั่นใจของนักลงทุนหมดไป ราคาอาหารสูงขึ้นเพื่อให้ตรงกับเงินเฟ้อ ทุกอย่างก็เสียการควบคุมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด Hyperinflation คือ เงินเฟ้อขั้นรุนแรงในเยอรมัน ราคาสินค้าต่างๆก็ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนคนไม่มีเงินพอสามารถซื้ออาหารได้อีกแล้ว

    ขนมปังก้อนนึงในขณะนั้นราคาถึง 200,000 ล้าน มาร์ค

    ผลกระทบของ Hyperinflation ใหญ่มากคับ คนต้องเอาเงินใส่รถเข็นเพื่อมาซื้อขนมปังกันเลยทีเดียว หรือเวลาได้เงินมาแล้วต้องรีบวิ่งไปร้านของของเพื่อเอาเงินไปใช้ก่อนค่าเงินจะต่ำจนไม่มีค่าอีกแล้ว
    เงินถูกโยนลงที่ถนนอย่างไม่มีค่า บางบ้านเอาเงินมาเผาแทนฟืนสะงั้น หรือเด็กเอาเงินมาเล่นเรียงต่อกันเป็นปิรามิด


    คนที่มีผลกระทบน้อยที่สุดคือคนรวย เพราะเป็นมีเส้นสายสามารถหาซื้ออาหารได้ไม่ยาก หรือไม่ก็มีที่ดินเพื่อทำการเพาะปลูกอาหารได้เอง

    คนที่ได้ผลกระทบมากที่สุดคือชนชั้นกลาง ที่หาเช้ากินค่ำ เงินฝากในธนาคารหายไปชั่วข้ามคืน และไม่มีที่ดินเพาะปลูกเหมือนคนร่ำรวย

    รัฐบาล weimar ก็เป็นคนรับบาปไปเต็มๆ เป็นผลให้คนที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะคนชนชั้นกลาง ตัดสินใจร่วมกับพรรคนาซีที่นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก
    [​IMG]
    ในสุดท้ายปี 1923 เยอรมนีได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อ Gustav Stresemann เข้ามาแก้ปัญหาโดยการสร้างค่าเงินใหม่ชื่อเรนเท่นมาร์ค (Rentenmark) ซึ่งแบ๊คโดย อเมริกันดอลล่าร์ และกู้เงินจากอเมริกาป็นเงิน 200 ล้านดอลล่าร์ เพื่อแก้ปัญหาเศษฐกิจตามแผนของชาวอเมริกันชื่อ Chales Darwes

    สถานะการณ์ดูเหมือนจะครี่คลายอย่างรวดเร็วรัฐบาลweimar กลับมาได้ความนิยมอีกครั้ง จนเรียกได้ว่าปี 1924-1929 เป็นปีของweimar เลยทีเดียว

    พรรคนาซีเยอรมันในขณะเลยเป็นแค่พรรคเล็กๆ ไม่มีบทบาทอะไรมากนักในช่วงนั้น

    แต่มันไม่ได้จบแค่นี้ครับ แล้วจะเล่าต่อในโอกาสหน้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...