เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

    Gold Update.......This Way


    Disclaimer : ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการเก็บรวมรวมข่าวสาร ตัวเลข สถิติและการวิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของผู้เขียน การนำไปใช้ใดๆ จะถือว่าเป็นการตัดสินใจของท่านผู้อ่านเอง เพราะด้วยสภาพเงินทุนที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล การตัดสินใจและผลลัพท์ที่ออกมาอาจจะแตกต่างกัน ***


    เมื่อคืนดูเหมือนจะเป็นการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวครับ เรามาดูกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างทั้ง "เบื้องหน้าและเบื้องหลัง" แต่อย่างหนึ่งคือจุดที่ราคาทั้งทองคำและเงินยืนอยู่ ถือได้ว่าเงินแข็งแกร่งกว่าทองคำ หรือในตลาดเรียกกันว่า Volatility หรือ "ความผันผวน" ของราคา ถ้าสังเกตุตามบทวิเคราะห์หรือตามข่าวต่างๆ จะใช้คำนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆครับเพื่อบอกถึงสภาวะราคา ณ ปัจจุบัน



    เมื่อวานคือวันที่ 4 มกราคม จะเป็นวันที่ตลาดยุโรปเปิดทำการในวันแรกครับ ถ้าสังเกตุให้ดีจะยังไม่มีแอ๊คชั่นออกมามากนักเพื่อรอดูทิศทางและข่าวสารจากทางสหรัฐว่าจะเอาอย่างไร หรือจะไปกันทางไหน แล้วเนื่องด้วยเป็นวันเปิดทำการวันแรกหลังจากวันหยุดยาว เทศกาลใหญ่ ทุกระบบยังกลับกันมาไม่ครบทั้งหมดครับ เป็นเหมือนกันแทบจะทุกตลาด ก็เลยเป็น "ช่องโหว่" ไงครับ ทั้งในด้านการข่าว การวิเคราะห์ต่างๆ ยังไม่มีออกมา และทั้งหมดยังเป็นโมเมนตั้มของช่วงสิ้นปีทั้งสิ้น


    เพราะฉะนั้นใครที่ตามกราฟเทคนิคกันมาคงโดนกันถ้วนหน้าครับ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันบอกอย่างนั้นจริงๆ นอกจากสัญญานเล็กๆ ที่บอกว่าว่าทองคำและเงินกำลังเข้าสู่สภาวะ Overbought หรือจะเรียกง่ายๆว่าภาวะ "ซื้อเกิน" ซึ่งอาจจะวิ่งขนานเส้นหรือ Embeded แล้วทำให้ราคาเข้าสู่สภาวะกระทิงได้เช่นกัน หรือนอกจากมือเก๋าๆ ที่อ่านเกมส์ออกแล้วรู้ว่าไม่ควรทุ่มลงไปข้างใดข้างหนึ่งสำหรับตลาดกระดาษเหล่านี้ เพราะมันมีอะไรที่มองไม่เห็นอยู่มาก แล้วเค้าก็คุมตลาดอย่างอยู่หมัดมาหลายสิบปีทีเดียว แล้วเมื่อคืนตลาดก็เป็นของพวกเค้าครับหรือก็คือพวก Banker หรือกลุ่มการเงินของพวก NWO ผมจะอธิบายต่อว่าเพราะอะไร


    ลองนึกภาพครับว่าถ้าเมื่อคืนทั้งทองคำและเงินวิ่งต่อไปอีกจะเกิดอะไรขึ้น ก็คือจะเกิดแรงซื้อตามหรือโมเมนตั้มไปในทางบวกแล้วทำ New Record High หรือทำสถิติราคาใหม่อีกครั้งหนึ่งเลยละครับ หลังจากที่คืนก่อนขึ้นไปแตะ $1,424.xx นั่นคือของจริงครับ แต่เนื่องด้วย.....


    1.ยังไม่ข่าวใดๆออกมาสนับสนุนราคาให้วิ่งไปต่อแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นทิศทางยังไม่มาครับ แต่ในขณะที่ราคาเมื่อสิ้นปีส่งไปไว้สูงซะขนาดนั้น
    2.Assets Reallocation หรือการปิดบัญชีในรอบปีที่ผ่านไปของบริษัทน้อยใหญ่ รวมทั้งกองทุนต่างๆ ทั่วโลกทำให้ต้องจัดตำแหน่งการลงทุนสำหรับปี 2011 ว่าจะไปในทิศทางไหน แต่เนื่องจากเป็นเพียงวันแรกครับ เพราะฉะนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมา หรือแทบจะยังไม่มีการประชุมกันเลย เป็น "ช่องว่าง" ของตลาดอีกแล้วครับ
    3.แต่กลับมีข่าวดีต่างๆ ออกมาจากตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้เงินบางส่วนกล้าที่จะเข้าไปเสี่ยงในหุ้นมากกว่าทอง หรือกล้า "Take Riskier Assets" ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงมากกว่า
    4.ตัวเลขการว่างงานลดลง ถ้าจำได้ตัวเลข ( Seasonal Adjusted นี้ "มั่ว" ออกมา ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด หากยกตัวเลขปกติมาที่ไม่ใช่ Seasonal Adjusted) แต่ที่ผ่านมาตลาดก็ยังไม่รับข่าวเพราะติดช่วงเทศกาลคริสตมาสและปีใหม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ภาพการฟื้นตัวดูดีขึ้น


    ข้างต้นก็คือเบื้องหน้าครับ ส่วนเบื้องหลังก็คือ
    ในตลาด Comex จะต้องมีการส่งมองทองคำและเงินล๊อตใหญ่ปริมาณหลายล้านออนซ์ ให้แก่นักลงทุนรายใหญ่หลายๆราย ที่ระบุว่าจะเอาเฉพาะ "ของจริง" หรือทองคำแท่งและเงินแท่ง..เท่านั้น ในวันที่ 4 คือเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นโมเมนตั้มมากจากเดือนที่ผ่านมาครับ แล้วก็จะยังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานครับคือต้องการเฉพาะของจริง และนี่ก็คือเนื้อแท้ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในตลาด Comex ที่นักลงทุกหลายๆ ส่วนเริ่มกลัวว่าจะไม่ได้ของที่สั่งไว้ (ในสัญญาซื้อล่วงหน้าหรือฝั่ง L)


    ทั้งหมดนี้ทำให้ทิศทางของทองคำและแร่เงิน กลับตาลปัตรภายในชั่วข้ามคืน เหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนปีใหม่ เพราะฉะนั้นเมื่อวานก็ทำให้น้อยคนที่จะเคลื่อนไหวทันครับ เพราะสัญญานเทคนิคเพิ่งเริ่มส่งออกมานิดหน่อยเท่านั้น ส่วนทิศทางในระยะกลางและระยะยาวโดยปัจจัยพื้นฐานก็ยังคงเป็น Bullish หรือภาวะกระทิงเช่นเดิม เพียงแต่เกิดความผันผวนใน "ระยะสั้น" ขึ้นมาให้ตื่นเต้นซักหน่อยเท่านั้นเองครับ ส่วนท่านใดที่ซื้อ-ขายสัญญาฟิวเจอร์ ก็คงต้องเข้าใจและยอมรับสภาพความเป็นจริงของตลาดทั้งใน "ด้านสว่างและด้านมืด" ให้ได้ก่อนที่จะทำการซื้อขาย ว่ามันมีอะไรมากกว่า "ข่าว" ที่เราเห็น ยิ่งเป็นข่าวที่บ้านเราแปลมาแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่าการชี้นำเท่านั้นเอง สรุปขอให้โดยภาพรวมได้กำไรมากกว่าขาดทุนก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้วล่ะครับ


    คำแนะนำส่วนตัวคือ ในปี 2011 นี้ตลาดโลหะเหล่านี้จะขึ้น-ลงแรงกว่าปีที่ผ่านๆมาครับ อาจจะได้เห็นการซวิงขึ้น-ลง วันละ $50-$100 บ่อยขึ้น (อย่างที่เห็นเมื่อคืน) นั่นก็เพราะขาเล็ก ขาใหญ่ ขาน้อย กองทุน ธนาคารกลาง จากทั่วโลกโดดเข้ามากันเต็มไปหมด ประกอบกับสภาวะโดยรวมของโลกที่กำลังเดินเข้ามุมอับไปทุกที ทำให้ทุกอย่างมันบีบเข้ามาหากันครับ คือทั้งสองฝั่งของการเทรด โดยเฉพาะการทิ้งกระดาษเข้ามาหาสินทรัพย์ที่เป็น "เงินจริงๆ" คือทองคำและแร่เงิน

    ทองคำ แนวรับ 1379, 1364 (Strong Support), 1335
    แร่เงิน แนวรับ 29.51, 28.20 (Strong Support)


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถอดรหัส 2011 ยุโรปอันตราย

    ปีเสือดุ 2010 นับเป็นปีที่เลวร้ายของยุโรป กับการที่ต้องงัดมาตรการเงินกู้ฉุกเฉินหลายหมื่นล้านยูโรเข้าช่วยกรีซและไอร์แลนด์ในที่สุด จากปัญหาหนี้สาธารณะ ขณะที่ประชาชนนับสิบๆ ล้านคนต่างแสดงความโกรธแค้นที่เห็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของพวกเขาเป็นเพียงฟองสบู่ที่แตกตัว

    สถานการณ์ในปี 2010 นี้อาจถือว่าสาหัสแล้วกับมหกรรมช่วยเหลือกรีซและไอร์แลนด์ รวม 2 ประเทศเกือบ 2 แสนล้านยูโร และการประท้วงดุเดือดตั้งแต่ต้นปียันปลายปี

    แต่ในปีเถาะ 2011 ยุโรปจะย่ำแย่หนักยิ่งกว่านี้ ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ยุโรปอันตราย” เลยทีเดียว

    ปัญหาเศรษฐกิจจะยิ่งรุมเร้า ระเบิดเป็นความเสียหายที่รุนแรง ส่งผลกระทบวงกว้างในทางการเมือง ให้เหล่าพรรคขวาจัดเข้าคุมทั่วทั้งทวีป กระทบชิ่งต่อไปยังภาคสังคม ทั้งคนยุโรปหัวทองและผู้อพยพหัวดำที่จะเผชิญวิบากกรรมจากพิษเศรษฐกิจแรงขึ้นอีกจากปีเสือ

    เรียกว่าแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นนั้นแทบไม่ต่างจากในปี 2010 เพียงแต่มีระดับขั้นที่รุนแรงกว่าในเกือบทุกด้าน

    เมื่อลองย้อนกลับไปทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ จะพบว่าแม้รัฐบาลยุโรปจะตระหนักถึงปัญหากันมาตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาทางออกที่สวยงามได้ เพราะทางออกเดียวที่เห็นจากการสุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเกินตัวกันจนก่อหนี้มหาศาล ก็คือต้องใช้ให้น้อย กินให้น้อยลง ซึ่งถือเป็นตรรกะแก้ปัญหาพื้นฐานตรงตัวที่สุด

    เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เหตุประท้วงอย่างรุนแรงที่ธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงเอเธนส์ ของกรีซ มีผู้เสียชีวิตไป 3 คน เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ชาวกรีกต้องจ่ายด้วยชีวิตกับเงินกู้ 1.41 แสนล้านยูโร ที่รัฐบาลได้รับมาจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)

    ทว่าเงินก้อนนี้ทำให้กรีซต้องปลดคนจำนวนมหาศาลในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ลดเงินเดือนและสวัสดิการ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปโดยตรง

    ประธานาธิบดีคาโรลอส ปาปูลิอัส เตือนว่าประเทศเดินมาถึงขอบของหุบเหว ก่อนที่อีก 3 วันถัดมา 27 ชาติสมาชิกอียูจะเห็นชอบตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือชาติเพื่อนบ้านจากปัญหาหนี้ และในเวลาต่อมาก็ตั้งเป็นกลไกการช่วยเหลือถาวรที่เป็นรูปเป็นร่างจริงจังมากขึ้น

    สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความช่วยเหลือที่ไม่จบเพียงแค่กรีซ เพราะหลังจากนั้นกลไกที่ว่านี้ก็ต้องยื่นมือช่วยเหลือไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ 2 อีก 6.75 หมื่นล้านยูโร

    ยิ่งไปกว่านั้น นักวิเคราะห์ต่างเชื่อมั่นว่าในปีหน้า “โปรตุเกส” จะเป็นรายต่อไปที่ต้องขอรับเงินกู้ฉุกเฉินอย่างแน่นอน ก่อนจะตามมาด้วยสเปนเป็นประเทศที่ 4

    ทั้งสองประเทศต่างก็ถูกหั่นอันดับเครดิตส่งท้ายปี 2010 ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งสูงขึ้น และหมายความว่า โอกาสที่รัฐบาลจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรเหมือนประเทศอื่นๆ จะยิ่งเสี่ยงสูงขึ้นไปอีกในปีหน้า

    ขณะเดียวกันสถานภาพของ 16 ประเทศกลุ่มยูโรโซน (กำลังจะกลายเป็น 17 ชาติ เมื่อเอสโตเนียเข้าร่วมในวันที่ 1 ม.ค. 2011) ก็จะเผชิญกับบททดสอบท้าทาย และการปฏิรูปครั้งสำคัญไปด้วย

    อแลง ลามาสซูร์ ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภายุโรป และสมาชิกพรรครัฐบาลฝรั่งเศส กล่าวกับเอเอพีว่า ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปนั้น อาจหมายถึงการแตกสลายของอียูที่สร้างมากว่า 10 ปี

    “หากเราตัดสินใจเรื่องนโยบายที่เบอร์ลิน นโยบายงบประมาณที่ลอนดอน นโยบายการเกษตรในปารีส วางนโยบายท้องถิ่นกันที่วอร์ซอ ถกนโยบายการทหารในวอชิงตัน ตกลงเรื่องพลังงานที่มอสโก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน ไม่มียุโรปอีกต่อไปแล้ว” ลามาสซูร์ กล่าว

    และสิ่งสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ หากปัญหาเศรษฐกิจขยายวงลุกลามในปีหน้า แล้วมีหรือที่ปัญหาสังคมโดยเฉพาะการเดินขบวนประท้วงและการจลาจลเพื่อต่อต้านการรัดเข็มขัดจะยิ่งไม่บานปลายและรุนแรงจากในปีนี้

    ที่ดับลินปรากฏหลักฐานแห่งความโกรธแค้นถึงขนาดใช้ซีเมนต์ผสมเทกันตรงประตูรั้วรัฐสภา พร้อมกับข้อความสลักว่าแบงก์แองโกลเหม็นเน่า ขณะที่ฝรั่งเศสก็มีพลังประท้วงกันนับล้านให้ได้เห็นกันไปแล้ว เช่นเดียวกับการประท้วงเดือดจากกลุ่มนักศึกษาในอังกฤษที่โกรธแค้นจากการถูกหั่นงบการศึกษา จนไม่สนแม้กระทั่งรถพระที่นั่งของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

    ส่วนที่กรุงบรัสเซลส์ ชาวเบลเยียมก็ออกมาแสดงพลังเดินขบวนประท้วงกันมากถึงแสนคน และไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น เพราะกลุ่มคนที่ประท้วงยังรวมถึงกลุ่มนายตำรวจชาวโรมาเนีย จำนวนหนึ่งที่ข้ามน้ำข้ามทะเลด้วยรถโดยสารมาร่วมประท้วงถึงสำนักงานใหญ่อียู หลังถูกลดเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ลง

    ขณะเดียวกันแรงโกรธแค้นจากภาคประชาชนกำลังส่งผลให้กลุ่มพรรคการเมืองขวาจัด ได้เข้ามาครองสภาแทนที่นักการเมืองหน้าเก่าทั้งฝ่ายซ้ายและสายกลางกันมากขึ้นอย่างน่าตกใจ

    เมื่อพูดถึงคำว่านักการเมืองขวาจัด ก็ต้องไม่ลืมว่านโยบายสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การต่อต้านผู้อพยพต่างชาติ หรืออาจลามไปถึง “การเหยียดผิว” เช่น ที่นักการเมืองขวาจัดหลายคนในแถบสแกนดิเนเวีย ประกาศชัดว่าไม่ต้อนรับผู้อพยพทั้งหลาย โดยเฉพาะในยามที่คนในประเทศกำลังปากกัดตีนถีบเช่นนี้

    ปัจจุบันพรรคการเมืองขวาจัดกำลังเข้าไปครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาออสเตรีย บัลแกเรีย เดนมาร์ก ฮังการี ลัตเวีย สโลวาเกีย สวีเดน และเนเธอร์แลนด์

    นอกจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจแล้ว ประเด็นทางสังคมและการเมือง จึงเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างยิ่งสำหรับยุโรปในปีหน้าปีที่ไม่ควรละสายตาอย่างแท้จริง







    Post Today

    Last update : 12/30/2010 11:48:36 AM

    MSN
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    inside ladyinter

    [​IMG] ดูอย่างนอร์เวย์สิคะพี่นิดหน่อย ที่เขาว่ารวยๆๆเนี่ย แต่รัฐบาลเอาเงินภาษีไปทำอะไรก็ไม่รู้ หายไปอย่างไม่มีเหตุผล แฟนน้ำยิ่งชอบพูดว่า อีกสักหน่อยนอร์เวย์จะล้มละลายเพราะคนบริหารประเทศบริหารเงินไม่เป็น แต่ปีนี้มันน่ากลัวจริงๆๆเนอะ[​IMG]


    ประเทศสวีเดนกะประเทศอื่นๆเริ่มไล่พวกอพยพออกไปแล้ว แล้วเมื่อไหร่
    นอร์เวย์จะเริ่มบ้างเนี๊ยะ ยิ่งนับวันยิ่งมากขึ้นๆงบรัฐบาลไปอยู่กับพวกนี้หมด


    ตอนนี้การขอวีซ่าให้ลูกเพื่อติดตามผู้ปกครองมาอยู่ด้วยที่นอร์เวย์ก็ใช้เวลาในการพิจารณานานมากขึ้นกว่าเดิม นอร์เวย์ก็เพิ่มมาตรการในการรับชาวต่างชาติหรือพวกประเทศที่สามมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในส่วนที่กระทบกับสาวไทยโดยตรงก็น่าจะเป็นเรื่องการหางาน หรือการหวังจะได้งานประทำจำเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคนของเค้าเองก็ตกงานกันเกลื่อน ประชากรยุโรปที่อยู่ใกล้เคียงก็ไหลเข้ามาในนอร์เวย์มากขึ้นเรื่อยๆ


    คุณฝรั่งบ้านพี่บอกประจำว่านอร์เวย์ล้มละลายยาก เพราะทรัพย์ยากรณ์ธรรมชาติยังมีให้ขายอีกเยอะ ถ้าจะล้มละลายก็หมายถึงประเทศผู้ซื้อน้ำมัน ก๊าซจากนอร์เวย์ล้มไม่มีเงินจ่ายหละมั้ง[​IMG] ผลกระทบโดยตรงของเราก็คือธุรกิจส่งออกล้มกันกระจัดกระจาย ไม่มียอดสั่งเข้ามาอีก เรือบรรทุกสินค้าเป็นร้อยจอดนิ่งเพราะไม่มียอดสั่งให้ต้องส่ง

    อ่านแล้วก็แอบเศร้าใจ และสยองนิดๆ กับชีวิตต่างแดนที่สาวไทยอีกหลายหลายคนใฝ่ฝันและตะกายอยากนั่งในตำแหน่งเมียฝรั่ง[​IMG]

    ดีที่นอร์เวย์ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มกับอียู.. เพราะแค่ประเทศตัวเองก็มีปัญหาอยู่แล้ว!

    อ่านแล้วเศร้าใจจริงๆ ค่ะ ทุกที่ทั่วโลกมีปัญหาเดียวกันทั้งนั้น เศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ชอกช้ำใจไปหมดทุกที่และค่ะ ตอนนี้ แค่อยู่ใกล้คนที่เรารักและรักเราก็เป็นพอแล้วหละค่ะ

    เห็นแฟนบ่นให้ฟังเหมือนกันว่า office เงียบมากเลย ต้องหายอดสั่งเยอะๆ.. [​IMG][​IMG]

    คงอยากสำหรับนอร์เวย์ที่จะไล่พวกอพยพ ที่แห่แหนกันเข้ามาใช้เงินภาษีชาวนอร์สอย่าสบายใจเฉิบ [​IMG]
    ขืนไล่เค้าสิ จะได้มีการเผาบ้านเผาเรื่อนแน่นอน คิดดู เด็กนอร์สเองได้รับเงินช่วยเหลือเท่าไหร่ ส่วนพวกอพยพละ ได้มากกว่าเด็กนอร์สหลายเท่านัก
    คิดๆๆไปก็สงสารคนนอร์ส รวมทั้งตัวเอง[​IMG] นอกจากจะทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้ว ยังต้องเลี้ยงผู้อพยพอีกเป็นครอบครัว มา 10 คนจ่ายสิบคน ส่วนๆเราๆ หา 1 คนเลี้ยงทั้งครอบครัว รวมทั้งอีก 10 คนนั้นด้วย

    จะว่าไปรัฐบาลนอร์เวย์ เป็นพวกหน้าใหญ่ แทนที่จะหันกลับมาช่วยเหลือประชาชนตัวเองให้เดือดร้อนน้อยลงกลับไม่ทำ กลับทำในทางตรงกันข้าม คือหาภาระมาคนประชาชนแบกรับ โดยการเก็บทุกอย่าง ทุกบาท ขนาดไปแลกเงินยังต้องเสียค่าแลกเลย แลกร้อยใครว่าจะได้คืนเต็มร้อย เปล่านะคะ แบงค์ที่นี่ก็ขูดรีด เช่นกัน ว่าไปก็เท่านั้น คนนอร์สนี่ละง่ายเอง แบบว่าอะไรก็ได้ไม่มีปากเสียงหรอก รวมทั้งสามีอิชั๊นด้วย [​IMG]

    อ่านแล้วก็แอบเศร้าใจ และสยองนิดๆ กับชีวิตต่างแดนที่สาวไทยอีกหลายหลายคนใฝ่ฝันและตะกายอยากนั่งในตำแหน่งเมียฝรั่ง[​IMG]

    หุหุหุ แรงงส์ ทำไปได้ [​IMG][​IMG][​IMG]

    ในความเห็นส่วนตัวนะ ก็คงมีหลายๆคนที่ผ่านนาทีนี้มาก่อนก็คงจะเคยตะเกียกตะกายมากันทั้งนั้นแหละค่ะ ชิมิ ชิมิ

    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2553 17:16:50 น. .expanded { width: 620px; z-index: 9999; } จีนยืนยัน พร้อมให้ความช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือ ยูโรโซน ต่อสู้กับวิกฤตหนี้สาธารณะ พร้อมระบุว่า ยุโรปยังคงเป็นตลาดสำคัญที่จีนจะนำทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าไปลงทุน
    เจียง หยู โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในวันนี้ว่า จีนสนับสนุนมาตรการของสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในการสร้างเสถียรภาพการเงินการคลังในยุโรป

    "เราพร้อมให้การสนับสนุนยูโรโซนผ่านพ้นวิกฤตการเงินและทำให้ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง" โฆษกหญิงกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า ยุโรปเป็นตลาดหลักที่จีนจะนำทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าไปลงทุน ซึ่งบ่งชี้ว่า จีนจะซื้อยูโรเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
    ทั้งนี้ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่จีนเอ่ยปากว่าจะไม่ทิ้งยุโรป หลังจากเมื่อต้นสัปดาห์นี้ นายหวัง ฉีชาน รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวว่า จีนจะให้การสนับสนุนทั้งไอเอ็มเอฟและอียูในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แก่ประเทศในยูโรโซน และก่อนหน้านั้น จีนก็ได้ประกาศสนับสนุนประเทศในยุโรปที่มีหนี้สูง โดยเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา จีนได้เสนอซื้อพันธบัตรของกรีซ
    ขณะเดียวกันมีรายงานล่าสุดว่า สื่อโปรตุเกสได้รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จีนได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการสนับสนุนความพยายามของโปรตุเกสในการเอาชนะ วิกฤตการเงิน ด้วยการรับปากที่จะช่วยซื้อตราสารหนี้ของรัฐบาลโปรตุเกสเป็นมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์

    ถ้าหากตัวหนังสือบางตัวอ่านไปแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีคงต้องขอกล่าวคำว่าขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะคะ ข้าพเจ้าคงใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการเขียนมากเกินไปนิดส์นึง เพราะข้าพเจ้าเองคือหนึ่งในหญิงไทยที่เคยตะเกียกตะกายใฝ่ฝันอยากจะมามีชีวิตในต่างแดนเพราะคิดว่าอะไรอะไรในยุโรปคงจะดีกว่าที่เมืองไทยเป็นแน่ วันนี้ วันที่ได้ครองตำแหน่งเมียฝรั่งมาเป็นระยะเวลาสองปีกว่าๆ ก็ขอบอกได้คำเดียวว่าไม่มีที่ไหนดีกว่าเมืองไทย และสุขใจเท่าเมืองไทยเรา ส่วนเรื่องปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นคงไม่แค่เพียงยุโรปที่ประสบชะตากรรมนี้อยู่ ทั่่วโลกประสบภาวะเดียวกันหมด ยังไงก็คงต้องขอโทษด้วยนะคะ

    ไม่ค่ะ ไม่ได้คิดมาก พี่นิดหน่อยทำใจให้สบายค่ะ บางทีเดือนก็อาจจะทำไรไม่ถูกใจคนอื่นบ้างในบางครั้ง แล้วบางครั้งก็อาจจะมีใครๆที่ทำไม่ถูกใจเดือนบ้างเหมือนกัน เอามาลบมาบวกกันแล้วก็อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ ไม่มีใครที่ทำถูกหมด และผิดหมดค่ะ คนเราต่างจิตต่างใจ ต่างที่มาต่างพ่อต่างแม่ คิดไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าเดือนก็กราบขอโทษพี่นิดหน่อยด้วยเช่นกันนะคะ แล้วเราคงมีโอกาสได้พบกันนะคะ ในฐานะสะใภ้นอร์เวย์เหมือนกันค่ะ

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    ในฐานะสะใภ้นอร์เวย์เหมือนกัน อันนี้ขอมีส่วนร่วมด้วยคนได้ปะ

    ข่าวน่ากลัวจริงๆ อ่านข่าวนี้แล้วนอนไม่หลับเลยอ่ะ เดี๋ยวต้องบอกเพื่อนๆที่อยากมาอยู่ยุโรปแล้วหล่ะว่าไม่ต้องอยากมาหรอกอยู่ไทยสบายดีอยู่แล้ว

    วิคิดว่า นอร์เวย์ ยากที่จะประสบปัญหาเศรษฐกิจ
    เพราะที่ทราบมาว่า นอร์เวย์เป็นประเทศที่้เศรษฐกิจ
    ดีระดับต้นๆ ของโลก
    ส่วนที่เยอรมัน ก็มีการประท้วง ก่อสร้างสถานีรถไฟ ที่สตุดการ์ด ซี่งการก่อสร้างใช้งบประมาณ
    เป็น ล้าน ล้าน ยุโร ทางประชาชน คิดว่าบ้านเมืองอยุ่ในยุครัดเข็มขัด จะขยันสร้างไปถึงใหน
    ก็เกิดการประท้วงใหญ่ไป

    นอร์เวย์ก็เริ่มถยอยเอาออกมั่งแล้วค่ะแฟนบอกมา(แฟนทำงานในมิริทารี่ค่ะ) แต่ยังทำได้ไม่เยอะ แต่ก็พยายามทำอยู่[​IMG]

    ประเทศสวีเดนกะประเทศอื่นๆเริ่มไล่พวกอพยพออกไปแล้ว แล้วเมื่อไหร่
    นอร์เวย์จะเริ่มบ้างเนี๊ยะ ยิ่งนับวันยิ่งมากขึ้นๆงบรัฐบาลไปอยู่กับพวกนี้หมด
    ดิฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งค่ะ ที่ถามคำถามนั้นเหมือนกัน อยากให้เขาจริงจังกับการแก้ปัญหา และขับไล่จริงๆ จังๆ ซะที กับคำว่าคนต่างชาติ กับพวกอพยพ และ การเลือกตั้งครั้งล่าสุด ดิฉันก็ได้ลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองขวาจัด ขนาดเจ้าของประเทศเองยังไม่กล้าเลือกเพราะกลัวเกิดปัญหา หากพรรคนี้ชนะการเลือกตั้ง ราชินีไม่กล้าสละบรรลังภ์ เพราะกลัวเหตุการณ์ไม่สงบ ซึ่งนโยบายต่อต้านของนักการเมืองขวาจัด ถ้าเขาจริงจัง คุณก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า คนต่างชาติ ที่อพยพมาอยู่บ้านเมืองเขา ถึงแม้การมาจะต่างจาก คนต่างชาติที่มาเป้นครอบครัว แต่การมาอยุ่ในประเทศเขาก็ถูกจัดว่าเป็นการอพยพ ย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เขาขับไล่ ผู้อพยพเหล่านั้น ไม่แน่คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องออกจากประเทศเขา หรือการเหยีดผิว คุณก็จะได้รับผลกระทบนั้นโดยตรงเช่นกัน เพราะการจัดการไม่สามารถแบ่งหลายมาตรฐานได้อย่างที่ทำกันในเมืองไทย ที่เราเห็นจนชินตา แต่ในยุโรป คำว่าเจ้าของประเทศ กับคำว่าคนต่างชาติ มีเพียงสองคำเท่านั้น ไม่มีมากไปกว่านี้

    ปัญหานี้ เขาต้องจัดการด้วยวิธีที่ผ่อนปรนที่สุด ไม่สามารถใช้ความรุนแรง ไม่สามารถขับไล่ เพราะเป็นปัญหาระดับประเทศ ชาวโลกคอยเฝ้ามองการกระทำนั้นอยู่ หากทำอะไรรุนแรงไป จะเกิดปัญหาตามมา ตัวอย่างเช่น ข่าวเมื่อกลางปี 2010 ที่ผ่านมา ที่รับบาลไทยจับพวกอพยพ โรฮิงยา ปล่อยกลางทะเล องค์กรระหว่างประเทศออกมาประณามประเทศไทยไม่มีชิ้นดี เหลือเพียงเขาไม่เลิกคบ เลิกค้าด้วย และถอดฑูตออกจากประเทศไทย แต่รัฐบาลไทยก็น้าด้านตอบว่า ไม่มี ไม่ได้ทำ ไม่รู้เรื่อง ข่าวไม่จริง ทั้งๆ ที่ข่าว BBC CNN นำภาพข่าวออกอากาศให้ชาวโลกได้เห็นกันทั่วหน้า

    อ่านแล้วก้อได้แต่ทำใจและเตรียมตัวรับมือให้ดีที่สุด[​IMG]แต่ถ้าไม่ใหวจริงๆแล้วอะไรมันจะเกิดก็คงต้องยอมรับมัน[​IMG]เรายังดีอย่างน้อยเราก็ยังหอบเสื้อผ้ากลับไปซบอกเมืองไทยของเราได้ อิอิอิ
    ขอบคุณพี่นิดหน่อยคะสำหรับข้อมูลดีดี[​IMG]

    When the next prolem come.. Germany have to pay the most of % to help in Eu....

    ไม่ค่อยตระหนกตกใจก่ะข่าวนี้เท่าไหร่ค่ะ ( กัดฟันพูดนะนี่ ฮิๆๆๆ ) [​IMG] เพราะคนที่บ้าน เศรษฐกิจจะดี หรือ แย่ พี่แกก็ใช้จ่าย แบบรัดเข็มขัดเหมือนเดิม
    เช่น ไปกินภัตตาคาร ปีละครั้ง [​IMG] ใช้ผลิตภัณฑ์อุปโภค บริโภคหลีกเลี่ยงแบรนด์เนม หรือยี่ห้อแพง [​IMG]
    อาบน้ำวันละครั้ง [​IMG] ช้อปปิ้งเสื้อผ้าปีละหน [​IMG]
    ไม่แตกต่างอะไรเลยค่า สำหรับดิฉัน ช่างศรีษะเศรษฐกิจมันละกานนนนน[​IMG][​IMG][​IMG]

    คิดว่าปัญหาเศรษกิจมีผลกระทบไปทั่วโลกไม่เว้นแม้ประเทศไทยค่ะ ยิ่งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโดนพิษเศรษฐกิจแล้วประเทศไทยเราไม่รอดแน่ เพราะกระทบต่อการส่งออก
    ขออนุญาตออกความเห็นเกี่ยวกับนอร์เวย์หน่อยหนึ่งค่ะ [​IMG] นอร์เวย์อาจจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศอื่นเพราะประชากรน้อย และมีทรัพยากรธรรมชาติที่ยังพอเอามาขายได้ตลอด และรัฐบาลเก็บเงินภาษีได้เยอะด้วย เงินคงคลังจึงพอมี โดยทั่วไปคิดว่านอร์เวย์ให้สวัสดิการกับประชาชนค่อนข้างดีกว่าหลายๆประเทศในโลกนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขาดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่และทำงานในนอร์เวย์อย่างดี (สาวๆไทยคงทราบดี มีสวัสดิการถึงลูกติดแม่ด้วย คลอดลูกก็ได้เงินถึงแม้ไม่ทำงาน อยู่ไทยไม่ได้นะ [​IMG])

    โดยส่วนตัวเห็นด้วยว่าเมืองไทยน่าอยู่ที่สุดในโลก(ถ้ามีเงินใช้ในการดำรงค์ชีวิตอย่างเพียงพอ) [​IMG] แต่ที่ผ่านมาทำงานที่ไทยมาเกือบ 8 ปี เงินเดือนก็มากระดับหนึ่ง แต่ไม่มีเงินเก็บหรือไม่สามารถซื้อของชิ้นใหญ่ๆได้เลย แถมเป็นหนี้อีก แต่พอมาอยู่นี่ ได้ทำงานนิดหน่อยแต่ค่าตอบแทนสูง มีเงินซื้อของชิ้นใหญ่ๆที่ไทยได้ มีเงินส่งให้พ่อแม่ได้ทุกเดือน ถ้าไม่นับอากาศที่หนาวเย็น นอร์เวย์ก็น่าอยู่พอสมควร ถ้าไม่เลือกงานก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ แถมได้รับบำนาญทุกคนอีก คิดว่าถ้าต้องกลับไทยตอนนี้คงไม่มีใครจ้างทำงานแล้ว [​IMG]

    เรื่องรัดเข็มขัดของคนบ้านน้องกับคนบ้านพี่นี้สูสีกันเลยคะ บ่อยครั้งที่แอบสงสัยว่าท่านจะรัดอะไรนักหนา พุงก็ใหญ่ซะกางเกงแน่นปั่ก ไม่เข้าใจจะรัดทำไมหว่าไอ้เข็มขัดเนี่ย[​IMG] ฝรั่งบ้านพี่อาจจะรัดเข็มขัดไม่แน่นเท่าบ้านน้อง เพราะอะไรที่มีราคาสูงแต่ถ้าภรรยาเป็นคนจ่ายท่านก็ยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะมีไว้ในบ้านหรือประดับเรือนร่างท่าน เวลาจะซื้ออะไรให้ภรรยาทีท่านก็ดูที่ราคาถูกสุดของรุ่นหรือไม่เยี่ยงนั้นก็จะประมาณว่าลดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่อะไรที่เป็นของท่านแล้วหละก็ขอดีและแพงไว้ก่อนโดยให้เหตุผลว่าผมนานๆ ซื้อที[​IMG] ถึงเวลาซื้อให้ภรรยาก็จะบอกว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเราต้องประหยัด[​IMG] สวัสดิการณ์หรือคุณภาพชีวิตที่นอร์เวย์นั้นดีแบบติกันไม่ได้เลยทีเดียวเชียว ที่นี่คงเหมาะสำหรับก้มหน้าก้มตาทำมาหาเงิน แล้วหอบเงินกลับไปใช้ที่บ้านเรา แต่โดยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยดีของพี่นี่ดิ ทำงานมาไม่เคยมีเงินเก็บ หนักเข้าไปอีกเมื่อถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับไทยก็ใช้เงินที่พอมีเหลือในบัญชีแบบหมดเกลี้ยงและติดลบกลับนอร์เวย์ทุกครั้งไป[​IMG][​IMG] เมืองไทยของเค้าแรง กลับไทยทีไรใช้เงินไม่เคยพอ พูดอีกก็เครียดได้อีก[​IMG]

    กลุ่มประเทศอียูและหลายๆ ประเทศในแถบยุโรปเกิดปัญหา ประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและเด่นชัดก็ไม่พ้นจีนอย่างแน่นอน เพราะเครื่องจักรที่ในโรงงานหลายๆ แห่งที่จีนเดินอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคำสั่งซื้อและผลิตไม่น้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์มาจากฝั่งยุโรป การที่จีนหยิบยื่นความช่วยเหลือในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือตัวเองโดยทางอ้อม

    มายกลับไทยทีไรก็กระเป๋าแบนมาทุกครั้งค่ะพี่นิดหน่อย จริงๆมายก็ยังไม่มีเงินเก็บหรอกค่ะ มีเงินรายได้ติดบัญชีอยู่ทีละไม่มากเพราะทางบ้านยังต้องมีเรื่องให้จ่ายอยู่ ตอนอยู่ไทยชีวิตถือว่ามีแต่ทำงานและทำงาน แต่ค่าตอบแทนไม่พอกับรายจ่ายสักเดือน (บริหารเงินไม่เป็นด้วย สิ่งล่อตาล่อใจเยอะ ) ทำงานเอกชนรอแต่วันเขาจ้างออกหรือให้ออกเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีเงินบำนาญอีก ก็เลยคิดว่าหาเงินจากนอร์เวย์ไปใช้ที่ไทยได้เต็มที่กว่าค่ะ แถมมีรายได้ส่งให้พ่อแม่ได้มากกว่าตอนทำงานที่ไทยหลายเท่าตัวด้วย

    เมกาก็เป็นเช่นกันค่ะพี่นิดหน่อย รัฐที่หนูอยู่หน่วยงานรัฐบาลลดวันทำงาน อาทิตย์นึงทำงานแค่สี่วัน บางหน่วยงานลดเวลาทำงาน ปกติเข้า 8.30 ตอนนี้บางวันจะเข้างาน 9.30 น. ครูที่ รร โดนปลอดออกปีที่แล้ว 7 คน เห็นว่าปีนี้จะปลดอีก จะปลดโดยเลือกคนที่อายุทำงานน้อยสุดก่อน แผนกดูแลเด็กทานอาหารกลางวันก่อนนี้มี 12 คน ลดมา 8 คน ตอนนี้เหลือ 6 คนแล้วค่ะ หวังว่าคงไม่ลดไปกว่านี้อีก
    บางหน่วยงานรับเป็นเช็คแต่ยังไม่สามารถไปขึ้นเป็นเงินได้ก็รอกันไป แต่ก็ งง กับพวกเรฟูจีเหมือนกันนะ คนที่ทำงานเค้าเดือดร้อน แต่พวกนี้รอรับเงินใช้กันสบาย
    ส่วนตัวหนูแล้วไม่ค่อยวางแผนการใช้จ่ายเท่าไหร่ส่วนใหญ่สามีจะเป็นคนวางแผน รายจ่ายเป็นอาทิตย์ ๆ ไป หมดแล้วก็หมดกันรอเงินเดือนออกใหม่ [​IMG][​IMG]

    ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันค่ะ คุยกับคุณแฟนทุกคืนว่าอยากไปอยู่ที่ยุโรปด้วย แต่จากข่าวเศรษฐกิจทั้งหลาย ทำให้รอแล้วรอเล่า กลัวไปแล้วจะไม่มีงานทำไปอีกนาน

    ตอนนี้อยู่เมืองไทยรายได้พออยู่พอใช้ก็เลยทำไปก่อน เก็บตังค์ไว้รอเศรษฐกิจยุโรปกระเตื้องแล้วค่อยไปเสี่ยงดวงหางานที่นู่น


    ใครที่เพิ่งไปก็ขอให้หางานได้เร็วๆนะคะ สู้ๆค่ะ

     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขั้นรายการ นี่หรือชีวิต ไม่รู้จะทำให้เครียดเป่า?

    [​IMG]

     
  5. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BGTBkNJ8ZWI&feature=related]YouTube - Renaissance 2.0: Lesson 2 - Revisiting Economics 101 - Debt[/ame]

    ระบบเศรษฐกิจของเราถูกควบคุมโดยอำนาจหนี้สิน ต่อไปนี้จะอธิบายว่ากลไกหนี้สินนั้นเป็นเช่นไร ความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่เคยมีมา เป็นเรื่องที่ผิด ตลาดเสรีเป็นสิ่งลวงตามาตลอด รัฐบาลไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมระบบเศรษฐกิจ แท้ที่จริงแล้วกลไกที่ควบคุมระบบเศรษฐกิจ คือ ตลาดพันธบัตร ซึ่งก็คือตลาดหุ้นนั่นเอง ตลาดหุ้นทำงานได้โดยอาศัยพันธบัตร ซึ่งก็คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับก่อหนี้สินสาธารณะ ประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมของพันธบัตร ต่างก็ทำงานเพื่อการชดใช้หนี้สินที่ก่อโดยพันธบัตร เนื่องจากในระบบเศรฐกิจมูลค่าของพันธบัตร มีมากกว่าเงินตราที่หมุนเวียน และเงินคงคลังเสมอ หมายความว่าระบบ ศก. มีหนี้สินมากกว่าเงินตรา หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม่มีเงินตราอยู่เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพื่อบังคับให้ระบบ ศก. อยู่ในสถานะของการขาดแคลน ทุกภาคส่วนต้องวิ่งเข้าหาธนาคาร เพราะต้องการเงินตรามากขึ้นในการส่งหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เงินตราที่หมุนเวียนในระบบมาจากตัวเลขที่ตั้งขึ้นเองโดยธนาคาร ไม่ได้มาจากรัฐบาล แรงงานทั้งหมดในประเทศแท้จริงก็คือการทำงานให้กับธนาคาร ซึ่งก็คือเจ้าของประชาชนที่แท้จริง และถาวร ซึ่งก็มีจำนวนเพียงไม่กี่คน และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์เปนพวกพ้องกันทั้งสิ้น เมื่อประชาชนทำงานสร้างมูลค่าให้แก่ระบบ ศก. ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น ก็จะถูกรวบรวมจากล่างขึ้นบน ไปยังกลุ่มชน ที่อยู่ยอดบนสุดของ ปิรามิต โดยอัตโนมัติ ในขณะที่สายการควบคุมบังคับบัญชาก็ส่งผ่านมาจากบน ลงล่าง ผ่านชั้นต่าง ๆ มาจนถึงประชาชนผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน อย่างไม่คิดชีวิต

    เปรียบเทียบกับบทเรียนในชั้นเรียน การก่อหนี้ ถือเป็นการสร้างสินทรัพย์ จริงแล้วทุกภาคส่วนถูกควบคุมโดยตลาดหุ้นในรูปแบบที่พวกเขาไม่ทันได้สำเหนียก แม้กระทั่งองค์กรเพื่อสังคมทั้งหลาย, รัฐบาล, กองทัพ, ตำรวจ, และแม้ในระดับครอบครัว ทุกหน่วยงานที่ต้องการใช้เงิน ถูกควบคุมโดยตลาดหุ้น ต้นทุนของเงินตราจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อบุคคลนั้นอยู่ในระดับต่ำลงในปิรามิต เช่น ในระดับยอดบนสุดได้เงินตรามาใช้ฟรี ๆ, ในระดับธนาคารอาจต้องจ่าย ๐.๕% ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า ๒๙% เพื่อเป็นมูลค่าของดอกเบี้ย สำหรับเงินที่พวกเขาถืออยู่ในมือ เมื่อมองในแง่ของปริมาณเงินตราที่อยู่ในมือ ระดับยอดบนสุดของปิรามิต สามารถมีเงินตราใช้ดดยไม่จำกัดจำนวน, และปริมาณเงินตราจะลดลงมาเรื่อย ๆ โดยประชาชนทั่วไปมีเงินตราน้อยที่สุด ในการที่ประชาชนจะมีเงินตรา ก็ต้องทำงานให้กับ ระดับชนชั้นบนกว่าใน ปิรามิต นี่คือกลยุทธการควบคุมด้วยการสร้างความขาดแคลนให้กับประชาชน บุคคลที่ยิ่งอยู่ในระดับสูงในชั้น ปิรามิต ยิ่งมีเงินตรามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยลำดับ เพราะพวกเขามีระดับที่ใกล้ชิดกับ เจ้าของประเทศ มากขึ้น ประชาชนทั้งประเทศต่างทำงานทุก ๆ วันให้กับสถาบันการเงินยักษ์ ในตลาดหุ้นเช่น JP Morgan, Goldman Sachs, Morgan Stanley, ... ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับธนาคารกลาง FED

    คำถามมีอยูว่าระบบนี้สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับใครกันแน่? ชนกลุ่มน้อย ๆ ที่เป็นเจ้าของประเทศใช่หรือไม่ที่ร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่รัฐบาลเป็นหนี้สินถึง $๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ !!! นี่คือระบบก่อหนี้ให้กับมหาชน เป็นระบบที่กดขี่ประชาชนซึ่งอยู่ในระดับล่างสุดของปิรามิตอยู่ทุกวัน อย่างที่เราแทบไม่ต้องอธิบายว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตเช่นไร ในขณะที่กลุ่มชนที่อยู่ในระดับกลางจะทำงานรับใช้ชนที่อยู่ระดับยอดบนสุดโดยตรง เพื่อทำงานกดขี่แรงงานประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับล่างของปิรามิต กลุ่มชนในระกลางก็จะมีผลตอบแทนที่สูง

    อีกคำถาม๑ นี่คือระบบการค้าเสรีหรือไม่? เสรีภาพ จะมีเฉพาะ ชนที่อยู่ชั้นบนสุดของปิรามิต ในขณะที่ กลุ่มชนในชั้นอื่น มีสถานะเป็นเพียงทาส ยิ่งประชาชนในประเทศกำลังพัฒนายิ่งแทบจะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เลย ในส่วนที่คิดว่าตนเองเป็นเศรษฐีดูเหมือนจะมีสินทรัพย์มากก็จริง แต่พวกเขาต้องทำงานอย่างหนักในแต่ละวัน พวกเขามีเสรีภาพจริงหรือ? และนี่คือบทสรุปความเข้าใจผิดในระบบเศรษฐกิจ ๑.พวกเราไม่ได้ตระหนักว่าเงินตราที่ปรากฏอยู่ แท้ที่จริงคือหนี้สินที่ต้องทำงานชดใช้ ๒.ไม่ได้ตระหนักว่าระบบที่ควบคุมพวกเราอยู่ คือการใช้ความขาดแคลนเงินตรา ๓.คิดว่าความมั่งคั่ง เกิดจากการสร้างมูลค่าเพิ่ม คิดผิดว่าคนยิ่งรวย ยิ่งสร้างมูลค่ามาก ไม่เลย..พวกเราต่างหาก สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่แพ้คนรวย ๔.คิดว่าพวกเรามีเสรีภาพ, ความเสมอภาพ, แต่ลืมคิดไปว่าถูกจำกัดเสรีภาพด้วยเงินตรา ซึ่งแท้ที่จริงก็คือหนี้สิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2011
  6. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=l37RhdFGVsM&feature=related]YouTube - Renaissance 2.0: Lesson 1 - Revisiting American History - Financial Empire[/ame]

    บทสรุป ประวัติศาสตร์การสร้าง Financial Empire ที่ครอบงำประเทศ อเมริกา ที่ทำให้ประชาชนกลายสภาพเป็นทาสเงินตรา และกำลังทำลายเศรษฐกิจอเมริกาให้พังพินาศ

    เรามักถูกสอนว่า อยู่ในประเทศ ที่ตั้งอยู่บนหลักการประชาธิปไตย ที่ว่าอำนาจรัฐเป็นของประชาชน แต่เหตุไฉนในความเป็นจริง นักการเมืองกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นชัดเจน ในสิ่งที่วิชาประวัติศาสตร์อเมริกาไม่ได้แสดงให้รู้ ซึ่งอาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจในระบบการเงิน ระบบนี้พัฒนาขึ้นจนกระทั่งกลายเป็น จักรวรรดิปีศาจแห่งการเงิน (Financial Empire) อันน่าสพรึงกลัว

    power structure ของ อาสาสมัครประจำมลรัฐในสมัยเริ่มแรกซึ่ง ประชาชน อยู่ท่ามกลางวงของ พลังอำนาจการเมือง และเครื่องยนต์ทางเศรฐกิจ แต่ละมลรัฐประกอบด้วยชนชั้นปกครอง, ชนชั้นธุรกิจ และชนชั้นแรงงาน แต่ละรัฐจะมี local bank อำนาจการเมือง และเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ จะกระจายตามแต่ละชุมชน จะไม่ใช่อยู่ในระดับ federal

    ปี ๑๘๖๕ หลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง อำนาจทางการเมืองถูกเปลี่ยนแปลง อำนาจของแต่ละมลรัฐ ถูกรวมศูนย์ ให้อยู่ภายใต้ อำนาจรับบาลกลาง federal

    หลังจากการตั้งธนาคารกลาง Federal Reserve ในปี ๑๙๑๓ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอำนาจของ USA เมื่ออำนาจการควบคุมความมั่งคั่งเริ่ม ถูกเปลี่ยนมือ จากมลรัฐ ไปรวมศูนย์ที่ระดับ feradal

    นี่คือโครงสร้างอำนาจใหม่ของ USA โดยการทำให้ทุก ๆ ภาคส่วนกลายเป็นหนี้เป็นสิน ซึ่ง Federal Reserve ที่แท้ก็ประกอบด้วย กลุ่มสหพันธ์ธุรกิจของธนาคารเอกชน (Bank Cartel) ซึ่งอนุญาติโดยรัฐบาลกลาง ให้มีอำนาจในการควบคุมเงินตราทั้งประเทศ ซึ่งหุ้นส่วนเอกชนเหล่านี้พัฒนาขึ้น จนกลายเป็นการผูกขาดการค้าที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่เรารู้จักในนามว่า Wall Street ซึ่งโดยเนื้อแท้ คือผู้ละเมิดหลักการการค้าเสรี เท่ากับละเมิดหลักการเสรีภาพ ของอเมริกันชน ซึ่งสาระสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ
    money monopoly = free market
    ทำให้ ธนาคารเอกชน มีอำนาจควบคุมรัฐบาลกลาง
    ทำให้ทั้งประเทศ ถูกผูกขาดความมั่งคั่ง โดยชนกลุ่มน้อย ๆ เพียงไม่กี่คน
    การก่อตั้ง Internal Revenue Service เป็นองค์กรหลักสำคัญในการสถาปนาโครงสร้างหนี้สินแห่งชาติใหม่นี้ IRS ไม่ได้มีหน้าที่อย่างที่ฟังจากข่าว แท้ที่จริงเป็นผู้ส่งเสริม Bank Cartel เหล่านั้น โดยกลยุทธการทำให้อำนาจของชุมชนค่อย ๆ ลดระดับลง ให้ประชาชนทุกคนกลายเป็นคนจน หมดอำนาจวาสนา และทุกคนต้องพึ่งพิง กลุ่มสหพันธ์ธุรกิจของธนาคารเอกชน เหล่านี้ มันเป็นเรื่องที่น่าอนาจใจ..แม้กระทั่งรัฐบาลกลาง ก็ไม่อาจเป็นผู้ปล่อยเงินกู้ได้เอง แถมยังอุตส่าห์ช่วยเจ้าของธนาคารดูดเงินจากกระเป๋าประชาชน ด้วยการก่อตั้ง Internal Revenue Service คือหน่วยงานสบับสนุนให้ ธนาคารเอกชนปล่อยเงินกู้สู่ประชาชน แล้วเรียกเก็บดอกเบี้ยคืนธนาคาร

    IRS ทำงานรับใช้ ธนาคาร เมื่อวงรอบกลไกหนี้สินที่ถูกดำเนินการโดย IRSหมุนไปหลาย ๆ รอบ ในที่สุดประเทศ USA ก็มีโครงสร้างอำนาจใหม่ อาศัยระบบที่บูรณาการ แสดงด้วยรูปปิรามิต มีหน้าที่ในการสร้างหนี้ให้กับสาธารณะชน อันจะทำให้อำนาจรัฐ ค่อย ๆ ถูกบั่นทอน และในที่สุด ธนาคารเอกชน คือตัวจริงของผู้ใช้อำนาจรัฐ (แต่ไม่เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะ) ในการบริหารจัดการทั้งประเทศอย่างบูรณาการ อาศัยเครื่องมือ “เงินตรา” ซึ่งแท้ที่จริงก็คือหนี้สิน เิงินตราที่เรากดจาก ATM ดูเหมือนว่ามันมีค่า แต่ที่ไหนได้ ที่แท้มันก็คือสินค้าตัวหนึ่ง ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน (ธนาคาร) นั่นเอง ซึ่งสามารถกำหนดราคาให้กับมันได้ ดังนั้นอย่าได้หลงคิดว่าพวกเราอยู่ในระบบตลาดเสรี สาระที่สำคัญสุด เราถูกผูกขาด ทางการเงิน การธนาคาร

    จากเดิมชุมชนต่าง ๆ สามารถพึ่งตนเองได้อย่างอิสระต่อกัน แต่เมื่อมีโครงสร้างใหม่ ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงเดิม ๆ ถูกทำลายอำนาจลง แล้วแทนด้วยโครงสร้างการสร้างหนี้ให้กับสาธารณะชน ตามรูปปิรามิตซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญ ไม่ได้แสดงความหมายใด ๆ ในเชิงอำนาจรัฐที่มาจากปวงชนเลย ชั้นต่าง ๆ ของปิรามิตแสดงถึงอำนาจที่ลดหลั่นกันลงมา ยอดสุดมีอำนาจสูงสุด ได้แก่ Owner หรือผู้เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ประกอบด้วย เจ้าของธนาคาร ไม่กี่คนซึ่งพวกเขารู้จักสนิทสนมกันดี และสิ่งที่ทำให้พวกเขามีอำนาจก็เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของเงินตรา ซึ่งก็คือเจ้าของหนี้สินสาธารณะชนนั่นเอง โดยมี Federal Reserve ทำหน้าที่เสมือนผู้จัดการผลิตภัณฑ์

    Elite Banking Layer (ธนาคารใหญ่) ทำงานตามนโยบายที่ประกาศโดย Federal Reserve ที่ทำให้สาธารณะชน เชื่อสนิทใจว่า ธนาคาร อยู่ภายใต้นโยบายจาก Federal Reserve อันที่จริงธนาคารก็คือผู้ที่ควบคุมกลไกหนี้สินของระบบเศรษฐกิจ โดยจะปล่อยกู้ให้แก่ Multi-National Corporations (บริษัทข้ามชาติ) เป็นเหตุให้บริษัทเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธนาคาร ต้องคอยส่งรายงานผลการดำเนินงานให้ธนาคารอยู่เสมอ ถ้าเปรียบธนาคารเป็น feudal lord บริษัทข้ามชาติก็เป็น feudal knight (อัศวินระบอบศักดินา) ซึ่งต่อสู้ดิ้นรนในการที่จะขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นสังคม อเมริกา เต็มไปด้วยอิทธิพลของ บริษัทยักษ์ใหญ่

    ชั้นอำนาจที่ต่ำลงมาได้แก่ หน่วยงานรัฐ ซึ่งอำนาจของพวกนี้ ไม่ได้มีความหมายใด ๆ ในสายตาของ empire

    ชั้นถัดลงมาได้แก่ ธนาคารท้องถิ่น ธุรกิจเล็ก ๆ ชาวไร่ ชาวนาเล็ก ๆ ซึ่งถูก ธนาคาร และบริษัทยักษ์ใหญ่ พยายาม กดเอาไว้ตลอดกาล

    ชั้นล่างสุด ที่ถูกกดไว้แทบเท้าอยู่เสมอ คือ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ก็คือพวกเรา คือผู้บริโภค, คือผู้ที่ชำระดอกเบี้ย, คือผู้ที่จ่ายภาษี, คือตัวจริงที่สร้าง Value ให้กับสังคม และด้วยระบบกฏหมายรัฐ ทำให้พวกเราต้อง ส่งส่วยในรูปแบบของดอกเบี้ย และภาษี ให้กับ owner

    นี่คือระบบโครงสร้างการก่อหนี้ให้กับสาธารณชน อเมริกัน ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และยิ่งใหญ่ระดับโลก ก็เพราะชาว อเมริกัน แทบทั้งหมดต่างถูกหลอก ล่อ ให้เกิดความสมัครใจให้เข้าไปอยู่ในระบบนี้ ช่วยกันทั้งประเทศในการ ชำระดอกเบี้ย และภาษี ซึ่งถูกส่งต่อ ไปยัง โครงสร้างชั้นบนสุด ที่ไม่ใช่ ตัวแทนประชาชน

    โครงสร้างชั้นกลาง Too Big To Fail ประกอบด้วย ธนาคารใหญ่ ผ่านการควบคุมการดำเนินงานของ บริษัทยักษ์ ทั้งหลาย และยังต้องมีการปลูกฝังความคิดให้ประชาชนดำเนินชีวิตโดยเชื่อตาม ทฤษฎี และค่านิยมต่าง ๆ ที่บรรดานักสื่อสารมวลชนเผยแพร่ออกมา ซึ่งหลักการเหล่านี้เมื่อพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี

    ประชาชนทั้งประเทศอยู่ในโครงสร้างชั้นล่าง มีหน้าที่ทำงาน และส่งส่วย โดยกระบวนการดูดทรัพย์สาธารณชนถูกควบคุม อาศัยอำนาจรัฐ จากหน่วยงานรัฐต่าง ๆ บังคับให้มีการส่งส่วย มาจากสังคม ในทุกอณู ทุกทิศ ทุกทาง รวมศูนย์ไปที่ยอดปิรามิต

    ด้วยเหตุนี้ รัฐบาล จึงมีค่าเพียงเครื่องไม้เครื่องมือ ของบรรดา ธนาคารใหญ่ และบริษัทยักษ์ รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจสูงสุด และไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างที่โฆษณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2011
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/lF725OdXxWM?version=3"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/lF725OdXxWM?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></object>

    SINGULATRUM - The Singular Truth Part 1 ( The Secret Covenant )
    From: danielofdoriaa | December 10, 2010 | 4,178 views


    Loading...
    Here is a Brand New Series i am going to work on over the coming Weeks/Months dealing with some of the most important Core information of our times.. Covering things from the far ancient world, up to the modern age.. of the monlithic agenda of the few over the many... Please Re-Upload and Share Far and Wide!!

    Part 1a
    (The "Secret Pact", the "Secret Covenant")
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นกตายพิศวงโผล่ที่สวีเดน กว่า100ตัวร่วงจากฟ้าไม่ทราบสาเหตุ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 มกราคม 2554 03:01 น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    นกกว่า 100 ตัว นอนตายกลาดเกลื่อนโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่บนท้องถนนในสวีเดน

    เอเอฟพี - ภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังได้เห็นนกจำนวนมากตกจากฟ้าตายอย่างปริศนาในมลรัฐทางใต้ของสหรัฐฯ ล่าสุดพบนกกว่า 100 ตัว นอนตายกลาดเกลื่อนโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่บนท้องถนนในสวีเดนเมื่อวันพุธ(5)

    "ทุกตัวตายหมดแล้ว" คริสเตอร์ โอลอฟส์สัน เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของเมือง Falkoeping ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวีเดนกล่าว พร้อมระบุว่าสัตว์ปีกที่ถูกพบนั้นเป็นนกแจ็คดอว์ ซึ่งเป็นนกชนิดหนึ่งในตระกูลอีกา

    ด้าน อันเดอร์ส เวิร์ดไฮม์ ผู้ชำนาญด้านวิหควิทยาบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก "มันไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว" เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ Aftonbladet "พวกมันน่าจะเป็นนกแจ็คดอว์ พวกมันอยู่กันเป็นฝูงในช่วงฤดูหนาว บางทีพวกมันอาจถูกก่อกวนและตายเพราะความเครียด"

    โอลอฟส์สัน บอกกับเอเอฟพีว่าตำรวจลาดตระเวนพบนกตายครั้งแรกราวเที่ยงคืนและเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างนก 5 ตัวนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุต่อไป

    โอลอฟ อันเดอร์สสัน จากสถาบันรักษาสัตว์แห่งชาติให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีทีว่าจะมีการนำซากสัตว์ปีกเหล่านี้มาวิเคราะห์ พร้อมตรวจหาเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส รวมไปถึงเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพวกมันด้วย

    เหตุปริศนาในเมือง Falkoeping นี้ เกิดขึ้นไม่นานตามหลังการพบนกจำนวนมากตายอย่างลึกลับถึง 2 กรณีในสหรัฐฯ

    โดยเมื่อวันอังคาร(4) เจ้าหน้าที่ลุยเซียนาเปิดเผยว่าพวกเขาก็เพิ่งพบนกราว 500 ตัวตายอย่างปริศนา ไม่นานหลังจากก่อนหน้านี้ในสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่สัตว์ป่าพบนกนับพันตัวร่วงลงมาจากฟ้าเหนือเมืองแห่งหนึ่งในมลรัฐอาร์คันซอ

    เจ้าหน้าที่อาร์คันซอระบุว่าจากผลตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่าเชื้อโรคเกี่ยวข้องกับการตายของนก แต่พวกมันมีรอยแผลฉกรรจ์ตามตัว โดยต้นตอที่อาจเป็นไปได้สาเหตุหนึ่งซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาสันนิษฐานกันคืออาจเพราะพลุไฟที่คนจุดฉลองปีใหม่ทำให้มันแตกตื่นบินออกจากรังในเวลากลางคืน และด้วยทัศนวิสัยที่มืดมิด พวกมันอาจบินไปชนบ้าน ต้นไม้หรือนกตัวอื่นๆ

    ขณะที่หน่วยกู้ภัยสวีเดนบอกกับสื่อมวลชนในวันพุธ(5) ว่ามีการจุดพลุไฟในพื้นที่ที่พบนกตายด้วยเช่นกัน
    Around the World - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Tuesday, 4 January 2011

    RECENT WORLD WIDE! DEAD BIRDS AND FISH! THEY ARE EVERYWHERE!



    [​IMG]
    Source of map: link to j.imagehost.org

    The falling blackbirds and weather balloon stories

    Changes in magnetic field could be responsible for massive bird and fish die-offs

    UPDATING!

    BIRDS:

    Sweden:
    Mysterious bird deaths hit Sweden

    Texas: Hundreds of dead birds discovered in E. Texas

    Sweden: Swedish birds 'scared to death': veterinarian

    China: BREAKING! Eagle and Birds fall from the sky in CHINA


    Kentucky: Women reports dozens of dead birds in her yard


    Louisiana: Hundreds of DEAD Black Birds Found In Louisiana


    Arkansas: For Arkansas Blackbirds, the New Year Never Came


    Germany: Dead birds of prey at the roadside


    Japan: Japan on alert after finding dead birds


    Caroline: Dead pelican count escalates


    Tucson: Nearly 70 dead bats found in Tucson


    Somerset UK: Mystery as scores of starlings found dead in village garden


    Thousands of dead birds fall out of the sky, North and South America


    Fish:


    Florida: Thousands Of Fish Dead In Spruce Creek

    Arkansas: 100,000 drum fish die in Arkansas River, more than 100 miles from site of bizarre blackbird deaths


    Kent Island, MD: MDE: Fish Kill Caused By Cold Stress


    Brazil: Mysterious killing of fish in coastal


    Wales UK: UK. Dead fish discovered in canal marina near Abergavenny


    Haiti: Authorities probe dead fish in Haitian lake


    Australia: Dead fish clog lake at airport


    Indiana: Dead fish wash up on Washington Park beach


    Maryland: Unusual Fish Kill Found in Annapolis


    Canada: Victoria river mysteriously turns bright green


    Italy Two miles of beach full of fish, clams and crabs dead in a stretch of coast


    Peterborough UK: Concern as fish die in beauty spot brook


    New Zealand: Hundreds of snapper dead on beaches

    SOURCE

    Related

    Millions more dead fish: UNBELIEVABLE FISHKILL in Lousiana -- ALL TYPES, EVEN MAMMALS

    Sea life dying by the million around the world
    Reports recently from around the world of billions of sea creatures being washed ashore

    Thousands of dead fish washing up and thousands of dead birds: Arkansas

    The Big Wobble: RECENT WORLD WIDE! DEAD BIRDS AND FISH! THEY ARE EVERYWHERE!

    เครดิตคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->AmpeerA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4227811", true); </SCRIPT>
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Is HAARP About To Open The Sixth Seal?
    Revelation 6:

    6:12 - I watched as he opened the sixth seal. There was a great earthquake. The sun turned black like sackcloth made of goat hair, the whole moon turned blood red, 6:13 and the stars in the sky fell to earth, as figs drop from a fig tree when shaken by a strong wind. 6:14 The heavens receded like a scroll being rolled up, and every mountain and island was removed from its place.

    6:15 - Then the kings of the earth, the princes, the generals, the rich, the mighty, and everyone else, both slave and free, hid in caves and among the rocks of the mountains. 6:16 They called to the mountains and the rocks, “Fall on us and hide us from the face of him who sits on the throne and from the wrath of the Lamb! 6:17 For the great day of their wrath has come, and who can withstand it?”



    The Central/Northern Arkansas area is one of the most heavily chemtrail sprayed locations on the planet. There is also a rather large HAARP base that is located right around the Missouri-Arkansas border at the very south central Missouri/north central Arkansas border region.

    In this same area where the HAARP base is located, there is an extremely heavy amount of chemtrail spraying that goes on by jet fighters. In addition to this, in that same area where the HAARP base is at, there is also a very big amount of UFO activity, UFO abductions, and incidents related to the Mothman phenomenon. There have also been significant cattle mutilations that have been occurring in this area.

    Now we have 5,000 blackbirds suddenly dying at once in the same area and a massive die off of 100,000 fish in the Arkansas river.

    And it is not just the fish and birds that have been acting strange in this region in recent times. In the recent years there was also a massive migration of spiders and snakes in this same region. Millions of snakes and spiders migrated out of the region in unison. The scientists that investigated this concluded that the spiders and snakes were leaving Arkansas in mass because of some kind of disturbance in the Earth's electromagnetic field.

    So, it is very highly likely that the HAARP base that is located at the Missouri-Arkansas border is what is causing all of this. It would also explain all of the recent earthquake swarms that were occurring in Arkansas and also Indiana earlier. They may be getting ready to set off the New Madrid fault zone, or even worse yet, they may be getting ready to trigger the Caribbean fault line.

    The New Madrid and The Great Lakes region is connected to the Caribbean fault system. Based on the way the Mid-Continental United States is geologically formed, if someone wanted to trigger the Caribbean plate system - the best way to do so would be to first destabilize the Caribbean plate....

    This could be accomplished by destabilizing the sea floor bed of the Gulf of Mexico. This has in fact already been done via the BP oil rig disaster. The next thing you would have to do to set off the Caribbean plate is you would have to trigger a massive fault line rupture at the New Madrid fault zone.

    This may in fact be what they are gearing up for now and would explain all of the chemstrail spraying and the weird incidents with animals. Because HAARP can cause disturbances to the animal's frequencies and because chemtrails go hand in hand with HAARP. In order for HAARP to work, they must also have heavy chemtrail spraying in order to help create the proper atmospheric conditions for the weapon to be used to the fullest.

    Once you destabilized the Gulf of Mexico sea floor (already done) and then caused a massive rupture of the New Madrid zone, you would then be able to trigger the movement of the Caribbean plate. The movement of the plate would be towards the East. It would slip from the sea of the Gulf of Mexico all the way up to The Great Lakes region. It would generally run along the path of the New Madrid fault and the Mississippi River.

    Once the Caribbean plate had fully repositioned itself, the Mississippi River would then be about 100 miles wide in diameter and it would be emptied and flowing backwards in many places. The Great Lakes would also be disturbed from their banks and would begin to spill out and empty towards the south. They would flood all the way down to the Gulf Of Mexico with a tsunami that would dwarf the 2004 Indonesian tsunami.

    Cities like New Orleans, Memphis, Saint Louis, Indianapolis, Chicago, and Milwaukee would be destroyed through flooding and/or the damages caused by the earthquake. Even cities like Cleveland and Detroit would most likely be destroyed due to the massive scale of the earthquake that would be generated when the Caribbean plate would start moving, as well as the massive tsunamis that would be generated in the Great Lakes.

    There would be at least one earthquake, and possibly 3 in the sequence. There could first be a massive earthquake at the Gulf of Mexico seabed, which would totally collapse the entire sea floor, and then another quake which would set off the New Madrid zone. This could then be followed by a final quake, which would cause the Caribbean plate to move. Or, it could happen in 2 stages, or it could happen all in one earthquake, that would contain 3 movements.

    Either way, the movements that would cause these earthquakes would be registered at somewhere between 10.2-10.5 in magnitude. After this, the United States would be divided in half by the 100 mile wide Mississippi River and the Eastern and Western United States would basically effectively become two separate continents.

    The flooding that would be caused in the delta areas of the Mississippi River and in the Great Lakes region, as well as any area that is south of the Great Lakes, would be biblical in proportion. It would be a deluge of immense size.

    This is precisely and exactly what would happen, if someone first destabilized the Gulf of Mexico sea floor, and then triggered a massive rupture in the New Madrid subduction zone. The first has already been done, and the second might be in the plans as we speak, as it would explain all the HAARP activity and side effects in the region.

    If the New Madrid was triggered into a major event right now, with the gulf of Mexico sea bed destabilized, this is what would happen.
    edit on 3-1-2011 by Red Cloak because: error
    Google แปลภาษา
    วิวรณ์ 6 :

    06:12 -- ฉันดูเป็นเขาเปิดผนึกที่หก มีแผ่นดินไหวได้ ดวงอาทิตย์สีดำเหมือนเปิดผ้ากระสอบที่ทำจากขนแพะ, ดวงจันทร์ทั้งเปิดสีแดงเลือด, 06:13 และดวงดาวในท้องฟ้าลดลงไปที่แผ่นดินเป็นลดลงจากต้นมะเดื่อมะเดื่อเมื่อสะเทือนใจลมแรง 06:14 ชั้นฟ้าทั้งหลาย receded ชอบเลื่อนการรีดขึ้นและทุกภูเขาและเกาะถูกลบออกจากสถานที่นั้น

    06:15 -- จากนั้นพระมหากษัตริย์ของโลก, เจ้าชาย, นายพล, มากมาย, ยิ่งใหญ่, และคนอื่น ๆ , ทาสและฟรีที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและในหมู่หินของภูเขา 06:16 พวกเขาเรียกไปยังภูเขาและหิน,"ฤดูใบไม้ร่วงที่เราซ่อนเราจากใบหน้าของเขาที่อยู่บนบัลลังก์และจากการลงโทษของเนื้อแกะ! 06:17 วันที่ดีสำหรับการลงโทษของพวกเขาได้มาและผู้ที่สามารถทนต่อหรือไม่"



    ภาคกลาง / พื้นที่ภาคเหนือ Arkansas เป็นหนึ่งในสถานที่หนักที่สุด chemtrail พ่นบนโลก นอกจากนี้ยังมีฐาน HAARP ค่อนข้างใหญ่ที่ตั้งอยู่รอบชายแดน Missouri - Arkansas ที่ภาคใต้มาก Missouri กลาง / ภาคเหนือภาคกลางภาคชายแดนอาร์คันซอ

    ในพื้นที่เดียวกันนี้ที่ฐาน HAARP ตั้งอยู่มีจำนวนเงินที่หนักมากของ chemtrail ที่จะไปฉีดพ่นโดยเครื่องบินขับไล่เจ็ท นอกจากนี้ในพื้นที่เดียวกันกับที่ที่อยู่ที่ฐาน HAARP, นอกจากนี้ยังมีจำนวนเงินที่ใหญ่มากของกิจกรรม UFO, UFO abductions และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ Mothman นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงโคอย่างมีนัยสำคัญ mutilations ที่มีการเกิดขึ้นในพื้นที่นี้

    ขณะนี้เรามี 5,000 blackbirds ก็ตายพร้อมกันในพื้นที่เดียวกันและใหญ่ตายออกจาก 100,000 ปลาในแม่น้ำอาร์คันซอ

    และมันไม่ได้เป็นเพียงปลาและนกที่มีการกระทำแปลก ๆ ในภูมิภาคนี้ในครั้งล่าสุด ในปีที่ผ่านมามีการย้ายถิ่นยังมหาศาลไปเดอร์และงูในภูมิภาคเดียวกันนี้ ล้านงูและแมงมุมอพยพออกจากพื้นที่ในความพร้อมเพรียงกัน นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษานี้สรุปได้ว่าไปเดอร์และงูได้ออกจากอาร์คันซอในมวลเพราะของบางชนิดที่ถูกรบกวนในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก

    ดังนั้นจึงเป็นมากมีแนวโน้มที่ HAARP ฐานที่ตั้งอยู่ที่เส้นขอบ Missouri - Arkansas เป็นสิ่งที่เป็นสาเหตุทั้งหมดนี้ นอกจากนี้ยังจะอธิบายได้ทั้งหมดของ swarms แผ่นดินไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในอาร์คันซอและยัง Indiana ก่อนหน้านี้ พวกเขาอาจจะได้รับการพร้อมที่จะตั้งปิดโซนใหม่ความผิดของมาดริดหรือแม้กระทั่งยังเลวร้ายยิ่งว่าพวกเขาอาจได้รับพร้อมที่จะเรียกความผิดเส้นคาริเบียน

    New มาดริดและภูมิภาค Great Lakes สามารถเชื่อมต่อกับระบบความผิดของคาริเบียน ขึ้นอยู่กับวิธีการ Mid - Continental United States มีรูปแบบทางธรณีวิทยาหากมีคนต้องการที่จะทำให้ระบบจานคาริเบียน -- วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำน่าจะเป็นครั้งแรกเสถียรจานคาริเบียน ....

    ซึ่งอาจจะสำเร็จได้โดยทำให้เกิดความวุ่นวายเตียงพื้นทะเลของอ่าวเม็กซิโก นี้ได้ในความเป็นจริงแล้วผ่านทางภัยพิบัติ BP แท่นขุดเจาะน้ำมัน สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องทำอย่างไรเพื่อตั้งปิดแผ่นแคริบเบี้ยนก็คือคุณจะต้องเรียกความผิดแตกเส้นใหญ่ที่โซนใหม่ความผิดของมาดริด

    ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะเป็นในสิ่งที่พวกเขาจะใส่เกียร์สำหรับตอนนี้และจะอธิบายได้ทั้งหมดของ chemstrail พ่นและเหตุการณ์ประหลาดกับสัตว์ เพราะอาจทำให้เกิดการรบกวน HAARP กับความถี่ของสัตว์และเนื่องจาก chemtrails ไปจับมือกับ HAARP เพื่อให้ HAARP นี้ก็อาจจะต้องมีการฉีดพ่น chemtrail หนักเพื่อที่จะช่วยสร้างสภาพบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับอาวุธที่จะใช้ในการอย่างเต็มที่

    เมื่อคุณ destabilized พื้นทะเลอ่าวเม็กซิโก (ทำมาแล้ว) จากนั้นเกิดการแตกใหญ่ของโซนใหม่มาดริดแล้วคุณจะสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของแผ่นคาริเบียน การเคลื่อนไหวของแผ่นจะเป็นไปทางตะวันออก มันจะลื่นจากทะเลของอ่าวเม็กซิโกตลอดทางขึ้นไปยังภูมิภาค Great Lakes โดยทั่วไปจะทำงานไปตามทางของความผิดใหม่มาดริดและแม่น้ำมิสซิสซิปปี

    เมื่อมีการปรับตำแหน่งจานคาริเบียนตัวเองอย่างเต็มที่, แม่น้ำมิสซิสซิปปีแล้วก็จะประมาณ 100 กิโลเมตรมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างและมันจะไหลย้อนกลับว่างเปล่าและในหลายสถานที่ Great Lakes จะยังถูกรบกวนจากธนาคารของพวกเขาและจะเริ่มรั่วไหลออกไปทางทิศใต้และว่างเปล่า พวกเขาจะน้ำท่วมตลอดทางลงไปยังอ่าวเม็กซิโกกับสึนามิที่จะแคระ 2004 สึนามิของอินโดนีเซีย

    เมืองเช่น New Orleans, เมมฟิส, เซนต์หลุยส์, Indianapolis, Chicago, Milwaukee และจะถูกทำลายด้วยน้ำท่วมและ / หรือความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหว แม้เมืองเช่น Cleveland และดีทรอยต์จะถูกทำลายมากที่สุดเนื่องจากขนาดใหญ่ของแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นเมื่อแผ่นแคริบเบียนจะเริ่มเคลื่อนย้ายเช่นเดียวกับสึนามิขนาดใหญ่ที่จะสร้างขึ้นใน Great Lakes

    จะมีอย่างน้อยหนึ่งแผ่นดินไหวและอาจ 3 ในลำดับที่ ครั้งแรกอาจจะมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ก้นทะเลอ่าวเม็กซิโกซึ่งทั้งหมดจะยุบพื้นทะเลทั้งหมดแล้วสั่นสะเทือนซึ่งจะตั้งปิดโซนใหม่มาดริดอื่น ซึ่งอาจแล้วจะตามด้วยการสั่นสะเทือนทางสุดท้ายที่จะทำให้แผ่นแคริบเบียนเพื่อย้าย หรือมันอาจเกิดขึ้นใน 2 ขั้นตอนหรืออาจเกิดขึ้นทั้งหมดในหนึ่งแผ่นดินไหวที่จะมีการเคลื่อนไหว 3

    ทั้งสองวิธีการเคลื่อนไหวที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเหล่านี้จะได้รับการจดทะเบียนที่อยู่ระหว่าง 10.2-10.5 ในขนาด หลังจากนี้สหรัฐอเมริกาจะถูกแบ่งออกในช่วงครึ่งปีโดยกว้าง 100 กิโลเมตรแม่น้ำมิสซิสซิปปีและตะวันออกและตะวันตกและสหรัฐอเมริกาจะเป็นพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสองทวีปแยกจากกัน

    น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำมิสซิสซิปปีและในภูมิภาค Great Lakes รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นทางตอนใต้ของ Great Lakes ใด ๆ จะเป็นพระคัมภีร์ในสัดส่วน มันจะเป็นน้ำท่วมที่มีขนาดใหญ่

    นี้ได้อย่างแม่นยำและตรงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีคนแรก destabilized พื้นทะเลอ่าวเม็กซิโกแล้วเรียกแตกขนาดใหญ่ในเขตมุดตัวใหม่มาดริด ครั้งแรกได้รับการทำไปแล้วและที่สองอาจจะอยู่ในแผนการที่เราพูดเพราะจะอธิบายทั้งหมดผลกิจกรรม HAARP และด้านข้างในพื้นที่

    ถ้าใหม่มาดริดถูกเรียกเข้าไปในเหตุการณ์สำคัญในขณะนี้มีเตียงทะเลอ่าวเม็กซิโก destabilized นี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    Is HAARP About To Open The Sixth Seal?, page 1
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

    US Happy New Year with 14 Trillion dollars in Debt


    ทันทีที่การฉลองเทศกาลปีใหม่ในสหรัฐอเมริกาเสร็จสิ้นลง ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐก็พุ่งขึ้นสู่ระดับ 14 Trillion ( 14,000,000,000,000 ) โดยวินาทีที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ หนี้ประชาชาติ หรือ National Debt ของสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่ $14,004,970,671,908.07 คงไม่อ่านเป็นภาษาไทยให้นะครับ เพราะอ่านลำบาก :( โดยหนี้ต่อหัวของคนอเมริกัน ณ เวลานี้ก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ $45,207.17 ต่อคน ( คิดเป็นเงินไทย 1,356,215 บาท ) ที่ประชากร ณ ปัจจุบัน 309 ล้านคนโดยประมาณ


    โดยอัตราการเพิ่มหรือพอกพูนของหนี้สินเฉลี่ย "ต่อวัน" อยู่ที่ 4.81 Billion ( $4,810,000,000 ) นับตั้งแต่เดือนกันยายนของปี 2007 เป็นต้นมาครับ


    Link:National Debt Tops $14 Trillion
    Link:As National Debt Tops $14 Trillion, What's Your Share?


    [​IMG]


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1





    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/us-happy-new-year-with-14-trillion.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-05T21:38:00+07:00>9:38 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-7664479361388986305")); } </SCRIPT>Destruction of the Babylon.......Bird & Fish Killed


    นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดทางธรรมชาติต่างๆ อย่างมากมายครับ โดยเฉพาะ 3 อย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากทั่วโลกคือ นก สัตว์ทะเลชนิดต่างๆ และปลา โดยในหลายวันมานี้ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดบ่อยขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น


    1.การบินรวมฝูงกันของนกในลักษณะประหลาดต่างๆ แล้วร่วงหล่นลงมาตายบนพื้นดิน นับพันตัวตามสถานที่ต่างๆ ในหลายๆมุมโลก
    2.สัตว์ทะลหลายชนิดขึ้นมาตายตามชายหาดของประเทศต่างๆ
    3.ฝูงปลาจำนวนนับแสนตายและขึ้นมาเกยตามอ่าว และชายหาดต่างๆ ในหลายๆประเทศ


    ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เพราะผลการผ่าพิสูจน์ก็ไม่พบสารพิษหรือเชื้อโรคใดๆ ในนกเหล่านั้น แต่กลับเป็นอาการบาดเจ็บที่ตับอย่างรุนแรงและฉับพลันของนกเหล่านั้น คำถามคืออะไรที่สามารถทำให้นกนับพันตัวเหล่านั้นมีอาการบาดเจ็บที่ตับได้เป็นวงกว้างกว่าหนึ่งตารางไมล์แล้วตกลงมาตายพร้อมๆกัน??


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/rcJzyz9qLT4?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลายๆวันที่ผ่านมาคือ
    Link บราซิลผวา!เร่งสอบเหตุพบปลาตาย100ตันตามชายฝั่ง


    ฝูงนกสีดำจำนวนหลายพันตัวตกลงมาตายเป็นวงกว้างกว่าหนึ่งตารางไมล์ในรัฐอาคันซอ และเคนตั๊กกี้ในวันต่อมา ในประเทศสหรัฐ


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/3Ex7puXhL2Y?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ปลาจำนวนนับแสนตัว ตายแล้วขึ้นมาเกยตามชายหาดและอ่าวต่างๆ ในประเทศสหรัฐ โดยปรากฏการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นที่ชายหายของเมืองสปรูซครีก รัฐฟลอริด้า และอีกหนึ่งที่อ่าวเชคสพีค รัฐแมรี่แลนด์ หรือแม้แต่ที่หาดโคโลแมนเดลล์ ในประเทศนิวซีแลนด์


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/XCmlG1jjupU?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/PVHzONn2aR4?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/FtAsyDBmjwY?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    และปรากฏการณ์ฝูงนกบินรวมตัวกันในลักษณะประหลาดทั้งในสหรัฐ และในกรุงโรมประเทศอิตาลี


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/gf4V2vyYZtA?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/wkGYJ28jD8U?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/qPIh8PS0qiY?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=295 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/g20c-4fVLEs?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/jBczgCbi2WU?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/t52Y_qEyoyo?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่อง เ่ล่า เศรษฐศาสตร์ # กับดักของ GDP (บทความ)
    ปัญหาเรื่องจีดีพี... ถ้าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะตอบคำถามนี้อย่างไร ?
    คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ประสาท มีแต้ม prasart.m@psu.co.th ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4185

    เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ว่า

    "ท่านคิดว่าสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุด"

    ผู้ถามคงจะคาดหวังว่าไอน์สไตน์น่าจะตอบว่า "ระเบิดนิวเคลียร์" เพราะเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่ไอน์สไตน์กลับตอบว่า "สูตรดอกเบี้ยทบต้น"

    เราไม่ทราบว่า คำถามนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.ใด ทราบแต่ว่า ท่านเสียชีวิตในปี ค.ศ.1955

    ที่ผมนำเอาปีที่ท่านเสียชีวิตมากล่าวถึงในที่นี้ก็เพราะว่าจะนำเข้าสู่หัวข้อที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ "ปัญหาจีดีพี" หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product)

    ตามประวัติที่ค้นได้ (จาก google) พบว่า ผู้ที่คิดประดิษฐ์เรื่องจีดีพีคือนักเศรษฐศาสตร์ชาวสหภาพโซเวียตรัสเซียที่อพยพตามพ่อแม่ไปอยู่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1922 ขณะที่มีอายุได้ 21 ปี เขาผู้นี้ชื่อ Simon Kuznets ช่วงเวลาที่ Kuznets พัฒนาแนวคิดนี้ก็ประมาณปี ค.ศ.1940 และสหรัฐอเมริกาได้เริ่มนำแนวคิดนี้ไปใช้วัดความก้าวหน้าของการพัฒนาประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1945) เป็นต้นมา และต่อมาประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกก็ได้นำ "สิ่งประดิษฐ์เรื่องจีดีพี" ไปใช้รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย

    ด้วยเหตุนี้ ในปี ค.ศ. 1971 (ซึ่งไอน์สไตน์ได้เสียชีวิตไปแล้วถึง 16 ปี) Simon Kuznets ก็ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์

    วิกีพีเดีย (ภาคภาษาไทย) ได้ให้ความหมายของจีดีพีว่า หมายถึง

    มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งปี โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด

    วิธีการวัดจีดีพีมี 2 วิธี คือ (1) วัดจากรายจ่ายที่จ่ายให้สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย และ (2) การวัดรายได้ที่ได้จากการขายสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย

    ในบทความนี้เราจะไม่ลงในรายละเอียดนะครับ แต่โดยสรุปก็คือมีการแปลงทุกภาคส่วนที่มีการผลิตแล้วเกิดรายได้ออกมาเป็นตัวเงินตัวเลขเดียวเพื่อสะท้อนความก้าวหน้าของแต่ละประเทศ

    เช่น ในปี 2549 จีดีพีของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น เท่ากับ 13.2 และ 4.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกตามลำดับ

    นอกจากนี้ จีดีพียังใช้เปรียบเทียบขนาดทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศไทยเรามีจีดีพี (ในปี 2549) เท่ากับ 0.21 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 35 ของโลก ในขณะที่จำนวนประชากร (ในปี 2551) ของเรามากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก

    เมื่อมองเพียงแค่นี้ "สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าจีดีพี" ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประเทศนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี สมควรแล้วที่ผู้คิดคือ Kuznets ได้รับรางวัลโนเบล เพราะมีคนนำเครื่องมือนี้ไปใช้ได้อย่างกว้างขวางเกือบทุกประเทศทั่วโลก

    นับประสาอะไรกับรางวัลโนเบล (สาขาสันติภาพปีล่าสุด-2009) ที่เป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้นยังไม่มีการปฏิบัติจริง (ความจริงปฏิบัติในทางตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ คือส่งทหารไปเพิ่มในอัฟกานิสถานถึง 3 หมื่นคน) ก็ได้รับรางวัลโนเบลแล้ว

    แต่ปัญหาของ "สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าจีดีพี" คือประสบกับความล้มเหลวที่จะตอบคำถามต่อไปนี้ เช่น วัดความแตกต่างเชิงคุณภาพของคนในชาติ เช่น วัดความสุข ความเท่าเทียมกัน ไม่ได้ ใช้วัดความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้ รวมทั้งใช้วัดการใช้เวลาของคนในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้ เช่น การทำงานบ้านของแม่บ้าน การดูแลเด็กและคนชรา ไม่สนใจว่าต้องไปขับรถแท็กซี่เพื่อหารายได้เสริมจากงานประจำที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นต้น

    สิ่งเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญของความเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจีดีพี


    ในทางตรงกันข้าม นอกจากสิ่งดี ๆ ดังกล่าวไม่ได้รับการคิดรวมในจีดีพีแล้ว นักการเมืองยังยึดเอาจีดีพีเป็นสรณะอย่างปราศจากเหตุผลโดยไม่ลืมหูลืมตา หรือจัดเป็นพวก GDP Fetishism

    เราคงจำกันได้ ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อได้รับรายงานการคาดการณ์จากข้าราชการประจำว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพีอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก ท่านนายกฯก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากนั้นก็มีการปรับตัวเลขให้สูงขึ้น

    เร็ว ๆ นี้ หลังได้รับการโปรดเกล้าฯให้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นักเศรษฐศาสตร์ระดับด็อกเตอร์ก็ประกาศว่า "เร่งเครื่องส่งออก คุมราคาน้ำมัน-ดอกเบี้ย แก้มาบตาพุดให้จีดีพีของไทยปี 2553 ขยายตัว 3-4% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก"

    ทั้ง ๆ ที่ท่านทราบดีว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สินค้าที่ส่งออกส่วนมากก็มีแต่ค่าแรงงานเท่านั้นที่เป็นของคนไทย แต่กลับทิ้งปัญหามลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ ดินไว้กับประเทศไทยดังที่เป็นข่าวอยู่เป็นประจำ

    เท่านั้นยังไม่พอ ท่านรองไตรรงค์ ยัง "ปลุกผีเซาเทิร์นซีบอร์ด วาดฝันลงขัน 1 ล้านล้านปั้นเศรษฐกิจยาว 30 ปี" (ไทยรัฐออนไลน์)

    ท่านไตรรงค์ครับ ผมเห็นด้วยกับท่านมากเลยว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราต้องคิดถึงกาลไกล ๆ นาน ๆ เป็น 30 ปีอย่างที่ท่านว่า แต่ ณ วันนี้ รัฐบาลของท่านจะอยู่ได้สักกี่วันก็ยังไม่มีใครตอบได้

    ในขณะที่นักการเมืองเป็นโรค GDP Fetishism ประชาชนทั่วไปก็ถูกนักการเมืองโฆษณาชวนเชื่อให้หลงตามกันไปด้วย คือเชื่อแต่ตัวเลขรายได้เฉลี่ยโดยไม่สนใจการกระจายรายได้และปัจจัยสิ่งแวดล้อมทั้งชุมชนและระบบธรรมาภิบาลของรัฐ เป็นต้น

    จะมีใครทราบบ้างไหมหนอว่า ตลอดระยะเวลาที่ประเทศเราเข้าไปสู่ "โรคจีดีพี" แหล่งน้ำจืดของประเทศไทยเรามีค่าออกซิเจนละลายน้ำต่ำที่สุดในโลกจากบรรดา 141 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูลนี้อยู่ใน nationmaster.com ซึ่งอ้างถึงข้อมูลจาก UNEP- หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ)

    นั่นแปลว่า กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เป็นอาหารโปรตีนสำคัญของผู้คนก็ต้องรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องและลดจำนวนน้อยลง นอกจากชาวประมงพื้นบ้านจะมีรายได้ลดลงแล้ว ต้นทุนในการหาปลาก็เพิ่มขึ้นด้วย

    ในด้านมลพิษ เฉพาะคนในครอบครัวของลุงน้อย ชาวบ้านตำบลมาบตาพุด จ.ระยอง ครอบครัวเดียวมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งถึง 5 คน ในจำนวนนี้หลายคนเสียชีวิตไปแล้ว

    ในการประชุมเรื่องสภาวะโลกร้อน (Global warming) เมื่อปลายปี 2552 ที่ประเทศเดนมาร์ก พบว่าประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละเท่าใด

    เหตุผลที่ตกลงกันไม่ได้ก็เพราะว่า ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ไม่ยอมลด ที่ไม่ยอมลดก็เพราะกลัวว่าจะทำให้อัตราการเพิ่มของจีดีพีของประเทศตนลดลง เห็นไหมครับว่า จีดีพีมันทรงอิทธิพลในด้านที่ขัดขวางความอยู่ดีกินดีมีสุขของชาวโลกมากแค่ไหน กลับมาที่คำถามที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกถามอีกครั้งครับ

    จากลำดับเหตุการณ์ปี ค.ศ.ที่กล่าวมาแล้ว ในวันนั้นโลกของเรายังไม่มีปัญหาสภาวะโลกร้อนเท่าทุกวันนี้ ชาวโลกยังไม่ค่อยเห็นอิทธิฤทธิ์ของจีดีพี เพราะยังเพิ่งเป็นหน่ออ่อน ๆ อยู่ ยังไม่มากกว่าหรือเท่ากับ Threshold value (ค่าคงตัวที่ยังไม่เห็นปรากฏการณ์จนกว่าจะเลยค่านี้ไปก่อน - เป็นคำที่ไอน์สไตน์อธิบายทฤษฎีที่เขาได้รับรางวัลโนเบลเช่นเดียวกัน)

    ถ้าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ถึง ค.ศ. 2010 ท่านน่าจะตอบคำถามเดิมว่า "สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุดมี 2 อย่าง คือ สูตรดอกเบี้ยทบต้น กับ จีดีพี อย่างแรกจะมีอำนาจทำลายเป็นรายบุคคลเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างหลังนี้มันทำลายทั้งโลกเลย"
    _________________
    [​IMG]

    ˹
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สยามเริงร่า อเมริกาซึมเศร้า..สงครามโลกครั้งที่สาม

    เสรีไทยสีขาว


    [​IMG]


    "สำหรับประเทศเราคงจะทำอะไรได้ไม่มาก
    เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยภายนอกประเทศในกรณีปัจจัยทางเศรษฐกิจ
    ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา
    ทางที่ดีที่สุดก็คือรักษาทุนสำรองระหว่างประเทศเอาไว้ให้มั่นคงต่อไปให้นานที่สุด

    อย่าหวังว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวได้เร็ว

    เราคงทำได้แค่นั้น"
    ดร.โกร่ง วีรพงษ์ รามางกูร

    [​IMG]

    "ผมเชื่อมั่นว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าแม้ว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไม่ฟื้นตัวแต่หากผู้ประกอบการและเอสเอ็มอี
    ในประเทศไทยสนใจตลาดเฉพาะกลุ่ม และตลาดท้องถิ่น
    โอกาสอยู่รอดจะสูงมาก เ ต้องฝ่าวิกฤตให้ได้และต้องนำการคาดการณ์ของธนาคารโลก
    เรื่องปริมาณการค้าของโลกคาดว่าจะติดลบถึง 2.1% ในปี 2552
    มาเป็นปัจจัยในการเดินหมากเศรษฐกิจ แต่ในทางตรงข้ามธุรกิจเอสเอ็มอี
    การอยู่รอดไม่ต้องคำนึงถึงการคาดการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
    คำนึงเพียงการพัฒนาสินค้าและตอบโจทย์ให้ได้ก็จะอยู่รอดได้"

    โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
    [​IMG]
    " ใน ปี2009จะเป็นปีที่เลวร้าย และเกิดความ รุนแรงมากในประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงมีการเป็นกบฏภาษี

    จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามขึ้น หาก อิสราเอลบุกอิหร่าน"

    นาย gerad celente ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแนวโน้ม.


    "ในอเมริกาที่ผ่านมา ความจริงที่เจอ คริสมาสต์ที่ผ่านมา พบว่า การซื้อขาย เสื้อผ้าสตรีลง 23%;
    อุปกรณ์บ้านเครื่องเรือนและอิเล็กทรอนิกส์ปิดลดลง 27%; ของหรูหราลดลง 35%.

    อัตราการว่างงาน เทียบกับในช่วง ระหว่างที่ช่วงปี 1930-1940อัตราการว่างงานเป็น 25%.

    ประมาณการคือว่างงาน 7.2.%
    แต่ถ้ารวมตัวเลขผู้ที่จบใหม่ตัวเลขและกลุ่มที่ไม่ได้สำรวจอาจสูงถึง 13.7%.

    เทียบกับในไทย มีการคาดการว่า อาจมีคนว่างงาน หลักล้านคน.
    ตำแหน่งงานที่ว่าจ้างลดลง

    . อเมริกันชน . ต้องรับประทานยา antidepressant(ยาต้านอาการซึมเศร้า) มากกว่ายากลุ่มใด
    คุณจะเห็นอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น มีความวุ่นวายเกิดขึ้นคล้ายในเม็กซิโกซิตี.
    คุณจะเริ่มเห็นการเรียกค่าไถ่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากรุนแรงในอเมริกา.

    [​IMG]
    ในด้านการต่างประเทศ ประธานาธิบดี โอบามา จะถอนทหาร ออกจากประเทศอิรัก.

    แต่ปัญหาใน อัฟกานิสถาน. ในปากีสถาน.ที่ ตามมาทำให้ มีการส่งกำลังทหาร
    ไปประมาณ ๔0000 คน
    ที่เลวร้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางในอิสราเอล-กาซา จะเป็นชนวนก่อให้เกิด สงคราม.
    อิสราเอล หากพวกเขาโจมตีอิหร่านทุกระดับจะเริ่มสงครามโลกครั้งที่สาม.
    นี่เป็นการคาดการณ์ ที่มองอะไรในแง่แย่สุดๆ
    http://www.russiatoday.com/guests/detail/2114

    ณ ปัจจุบัน สหรัฐผ่านความเห็นชอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 8.38 แสนล้านดอลลาร์แล้ว
    (ประมาณ 29.33 ล้านล้านบาท)

    ซึ่งจะมีการผสมผสานมาตรการลดภาษีและการลงทุนสาธารณูปโภคเข้าไว้ด้วยกันเพื่อต่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจ
    ทางด้านแผนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของธนาคารสหรัฐนั้น สหรัฐก็ดำเนินการวิธีเดียวกับที่ไทย เข้า ไอเอม เอฟ
    ด้วยการจัดตั้งธนาคารแก้ปัญหาหนี้เสีย หรือแบด แบงก์ ขึ้นมา

    การทุ่มเงินจำนวนมหาศาล การสร้างกฎเกณฑ์ทางบัญชีใหม่ๆ นอกจากไม่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวแล้ว

    ยังอาจจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะการว่างงาน ภาวะเงินฝืดในสหรัฐยังยืดเยื้อยาวนานต่อไปอีก
    ความเห็น ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
    http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi03160252&day=2009-02-16§ionid=0212



    ที่ยกความเห็น ของสามท่าน ขึ้นมาเพื่อประกอบความรู้ ความเข้าใจ
    เราจะเห็นว่า เรื่องของเศรษกิจ มีตัวแปรมากมาย
    คนที่เป็นนักพูด กับ นักปฏิบัติคงจะไม่เหมือนกัน
    แต่ละประเทศ ก็มีมาตรการที่ไม่เหมือนกัน

    ประเทศที่ร่ำรวย ก็มีมาตรการอีกแบบ..
    คำตอบของเมืองไทย คืออะไร
    มาตรการ เรื่องการกระตุ้นการใช้จ่าย
    มาตรการการเรียนฟรี มาตรการ ที่จะกระตุ้น สนับสนุนธุรกิจ
    เอสเอ็มอี ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต
    ความสามารถของภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม ความเชื่อมั่น
    ของประชาชน ความเชื่อมั่นของต่างประเทศ
    เสถียรภาพ ของรัฐบาล ล้วนมีผลต่อประเทศทั้งสิ้น
    สยามจะเริงร่า ประชาชนจะอยู่ อย่างมีความสุข
    ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนไทยทุกคน .....



    ขอขอบคุณ
    ข้อมูล จาก russiatoday.com
    http://www.russiatoday.com/guests/detail/2114

    นสพ. ประชาชาติธุรกิจ

    นสพ.กรุงเทพธุรกิจ​
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>โลกเสี่ยงระเบิดเวลา "หนี้" ต้นทุนแสนแพงจากวิกฤตครั้งล่าสุด : ประชาชาติธุรกิจ
    « on: 2 February 10, 19:13:36 »

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    หากปี 2551 เป็นปีแห่งหายนะซับไพรม บางทีปี 2553 อาจถึงเวลาที่ประเทศต่างๆถังแตก

    "ฟอร์บส" รายงานว่า โลกกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ท่วมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หลังพยายามสู้กับภาวะถดถอยครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นต้นทุนราคาแพงที่ทุกคนต้องจ่าย

    ในปีนี้ รัฐบาลของประเทศต่างๆ จะก่อหนี้ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากระดับเฉลี่ยในเขตเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะอิ่มตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในส่วนของสหรัฐมีหนี้สาธารณะรวมทั้งหมด ซึ่งนับรวมหนี้จากหน่วยงานภาครัฐอย่างกองทุนประกันสังคม เพิ่มขึ้นถึง 50% นับจากปี 2549 อยู่ที่ 12.3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ผู้คนอาจยังไม่รับรู้ถึงต้นทุนที่ต้องจ่ายคืน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหากถึงเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ประชาชน ผู้เสียภาษีจะต้องแบกรับภาระหนี้อันสาหัสนี้

    "คาร์เมน ไรน์ฮาร์ต" นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ และผู้แต่งหนังสือ "This Time It"s Different : Eight Centuries of Financial Folly" ร่วมกับศาสตราจารย์ "เคนเนธ โรกอฟฟ์" จากฮาร์วาร์ด ระบุว่า มีความกังวลมากขึ้น เกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคต ซึ่งมีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีมากขึ้น

    โดย ไรน์ฮาร์ต พบว่า สัดส่วนหนี้ของภาครัฐที่ระดับ 90% ของจีดีพี ถือเป็นจุดหักเหของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากนั้นเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะมีการขยายตัวลดลง 2% โดยเฉลี่ยมากกว่าเขตเศรษฐกิจที่ไม่ก้าวข้ามระดับดังกล่าว ทั้งนี้จุดอันตรายของตลาดเกิดใหม่จะต่ำกว่า ขณะที่ปัจจุบันสหรัฐมีระดับหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีอยู่ที่ 84%

    ไรน์ฮาร์ต และโรกอฟฟ์ระบุว่า เราเคยผ่านกับเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว และยิ่งเลวร้ายเมื่อถูกซ้ำด้วยภาวะเงินเฟ้อ ที่ตลอดหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงกว่า 6% ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย และทำให้ระดับหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีสูงกว่า 90% ปัจจุบันหนี้ต่อจีดีพีอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง

    หากจีดีพีของสหรัฐ ไม่ขยายในระดับปกติที่อัตรา 3-5% เพื่อให้พ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งล่าสุด ความพยายามที่จะต่อกรกับปัญหาหนี้ก็จะยากเย็นมากขึ้น แม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดการใช้จ่ายและขึ้นอัตราภาษีในหลายส่วน โดยสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสมีแผนจะปรับนโยบายการคลังแบบขาดดุลลดลง จากระดับ 10% ของจีดีพีในปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 4.4% ตั้งแต่ปี 2556-2558

    นี่จะทำให้สหรัฐเข้าสู่วงจรเลวร้าย เพราะปัญหาหนี้ที่จะส่งผลกระทบให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลง และการขยายตัวในระดับที่ต่ำ ก็จะทำให้การชำระหนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

    ในส่วนของภาษีจากรายได้ของบริษัทอเมริกันก็ลดลง 55% นับถึงเดือนกันยายน 2552 อยู่ที่ 138 พันล้านดอลลาร์ และอาจต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าที่จะสามารถจัดเก็บภาษีจากบริษัทเท่ากับระดับก่อนหน้าที่เกิดวิกฤต และเมื่อกำไรของบริษัทเริ่มฟื้นตัว โรงงานผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ภาวะเงินเฟ้อตามมา ดังนั้น ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่อยู่ใกล้ระดับศูนย์จะกลายเป็นเรื่องในอดีต ขณะที่การเพิ่มหนี้สาธารณะจะกลายเป็นต้นทุนราคาแพงที่ต้องจ่าย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรจะส่งผลต่อตลาดหนี้ ทำให้ต้นทุนของผู้กู้ซื้อบ้าน ภาคธุรกิจ รวมถึงภาครัฐเพิ่มขึ้น

    ไรน์ฮาร์ ตระบุว่า หลายรัฐในสหรัฐคล้ายกับตลาดเกิดใหม่ที่ใช้จ่ายเงินจำนวนมากในระหว่างที่บูม จากนั้นก็ตัดทอนลงในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งแม้ทางทฤษฎีการลดการใช้จ่ายจะเป็นเรื่องที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ส่งผลกระทบเช่นกัน ดูอย่างกรณีที่นักศึกษาในแคลิฟอร์เนียรวมตัวกันประท้วงเรื่องค่าเล่าเรียน ที่แพงขึ้น และส่งผลต่อระบบการศึกษาของรัฐแห่งนี้

    นักวิเคราะห์ยัง กังวลว่า แม้สหรัฐจะสามารถโละขายหนี้มูลค่ามหาศาลได้ เนื่องจากตลาดพันธบัตรซึ่งมีการซื้อขายราว 500 พันล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน ยังเป็น การลงทุนที่ปลอดภัย และมีขนาดใหญ่

    แต่ "ไบรอัน คูลตัน" หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจโลกของฟิตช์ เรตติ้ง ในลอนดอน เตือนว่า เขตเศรษฐกิจที่เคยแข็งแกร่งอย่างสหรัฐและอังกฤษมีโอกาสจะเข้ามาร่วมกับ ประเทศที่กำลังซวนเซอย่างญี่ปุ่นและไอร์แลนด์ที่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ จากระดับ aaa หากไม่ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง ๆ เอาไว้ให้ดี

    ฟอร์บสได้ สำรวจหนี้ของภาครัฐ ทั้งในเรื่องเทรนด์ในการใช้จ่าย รายได้ เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และต้นทุนในการค้ำประกันหนี้ พบว่า หนึ่งในตัวการสำคัญคือระดับหนี้ของธนาคารเอกชนที่พุ่งขึ้น โดยกรณีอังกฤษหนี้สาธารณะและสินทรัพย์ของธนาคารยักษ์ใหญ่ 5 แห่งมีสัดส่วนกว่า 500% ของจีดีพี เทียบกับ 200% ในสหรัฐ ขณะที่ไอร์แลนด์ หนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 41% ของจีดีพี แต่สินทรัพย์ในระบบธนาคารมีสัดส่วนถึง 800% ของจีดีพี ดังนั้น หากสินทรัพย์เหล่านี้กลายเป็นสินทรัพย์เน่า รัฐบาลก็จะต้องเข้าไปช่วยประคับประคองระบบธนาคาร คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นกับไอซ์แลนด์ในปี 2551

    ไรน์ฮาร์ตและโร กอฟฟ์ระบุว่า โดยเฉลี่ยประเทศต่าง ๆ ก่อภาระหนี้เพิ่ม 86% ในช่วง 3 ปีที่เกิดวิกฤตสินเชื่อ ขณะที่รายได้กลับลดเฉลี่ย 2% ในช่วง 2 ปีหลังมีปัญหา

    สำหรับญี่ปุ่น หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 190% ของจีดีพี จาก 50% ในช่วงกลางยุค 1990 สู่ระดับ 10 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2552 แต่ญี่ปุ่นก็เผชิญปัญหาที่มากขึ้น โดยรัฐบาลเก็บภาษีได้ราว 500 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และรายได้อื่น ๆ อีก 100 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ต้องใช้จ่ายราว 980 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ย 100 พันล้านดอลลาร์ และ 190 พันล้านดอลลาร์สำหรับท้องถิ่น ทำให้ยังเหลืออีก 360 พันล้านดอลลาร์ที่รัฐต้องหามาโปะหนี้พันธบัตรที่ครบกำหนดในแต่ละปี


    วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4179 ประชาชาติธุรกิจ
    โลกเสี่ยงระเบิดเวลา "หนี้" ต้นทุนแสนแพงจากวิกฤตครั้งล่าสุด : ประชาชาติธุรกิจ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>โดยคุณ เซ็ง </TD></TR><TR><TD>[​IMG]

    ควันหลง meetting เรื่องของอเมริกา 15 Nov 2010

    จากวันที่คุยกัน เมื่องาน meeting ผมไม่มีโอกาส ได้คุยยาวๆ เพราะติดภารกิจครอบครัว เลยไม่ได้อธิบายในรายละเอียดที่จะมาสนับสนุนความคิดต่างๆ ว่าที่ผมพูดไปในวันนั้น ทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น

    ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตแล้ว เวลาที่ อเมริกา เศรษฐกิจตกต่ำ เขาจะแก้ปัญหาเขาอย่างไร เอาย้อนกลับไปยังปี 1930 ซึ่งตรงกับ ปี พ.ศ. 2473 ช่วงนั้นเราก็มีปัญหาเศรษกิจและการเปลี่ยนแปลงแย่งชิงอำนาจ ในประเทศ สถานการณ์ คล้ายกับในปัจจุบันเช่นกัน แต่ความแตกแยกจะกระจุกอยู่ในวงแคบกว่า

    กราฟ [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=676 border=0><TBODY><TR vAlign=top bgColor=#ffffff><TD vAlign=center colSpan=2 height=90><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=560 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=thblack10>ถ้าดูจากกราฟ จะเห็นว่า การตกต่ำของเศรษฐกิจของสหรัฐจบลงหลัง สงครามโลกยุติ และสหรัฐก็ยกเลิกเอาทองคำมาค้ำประกันเงินดอลล่าร์เมื่อปี 1944 โดยประมาณ ถ้าจำไม่ผิดนะครับ นั่นทำไมเวลาผมคุยกับคุณช้อนว่า สหรัฐมันจะพิมพ์แบงค์ของมันออกมามากมายทำไม มันกำลังจะเล่นเกมส์อะไร

    เราลองมามองย้อนไปในปี 1930 ตรงกับปีที่เศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำ คนในตลาดหุ้น เสียเงินกันอย่างวินาศสันตะโร ดูดังภาพในกราฟข้างล่าง
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]</TD><TD width=1 bgColor=#cccccc>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=6>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=676 border=0><TBODY><TR vAlign=top bgColor=#fdd7ae><TD vAlign=center colSpan=2 height=90><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=560 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=thblack10>กลับมาค่อยฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังสงครามสงบดังกราฟข้างล่าง หลังจากที่เอาปรมณูมาถล่มญี่ปุ่นในปี 1945

    และหลังจากปีนั้นเอง ที่สหรัฐดูดทรัพยากรจาก ประเทศแพ้สงคราม สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]</TD><TD width=1 bgColor=#cccccc>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=6>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สรุปโดยรวมแล้วที่เศรษฐกิจสหรัฐพังเนื่องมาจาก ลัทธิบริโภคนิยมของตัวเอง ทำให้เกิดฟองสบู่

    ก่อนหน้านั้นจากบทความของ ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ กล่าวในตอนหนึ่งไว้ว่า

    นวัตกรรมใหม่ๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของระบบการคมนาคมขนส่ง ที่เปลี่ยนจากรถไฟ และโทรเลขในปลายศตวรรษที่ 19 ไปเป็นรถยนต์ และวิทยุกระจายเสียงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนพลวัตรทางเศรษฐกิจของโลกตะวันตก เช่นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ดูแล้วช่างประพิมประพายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ร่วมสมัยในปัจจุบัน ที่พลวัตรโลกถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีข่าวสาร (Information Technology) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกกันว่า เศรษฐกิจโลกใหม่ (New Economy) ที่ถูกเรียงร้อยด้วยปฏิวัติอินเตอร์เน็ต (Internet Revolution)

    ปฏิวัติทางหลวง” (Highway Revolution) ในแผ่นดินลุงแซม ได้ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ มีจำนวนถึง 4,301,000 คัน ในปี 1926 และเพิ่มเป็น 5,358,000 คัน ในปี 1929 อันมีเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เริ่มเกิดในช่วงปลายปี

    ตัวเลขการผลิต และขายรถยนต์ข้างต้น ซึ่งเกิดขึ้นเกือบศตวรรษมาแล้ว มีสัดส่วนถึงกว่าหนึ่งในสามของยอดขายรถยนต์ ที่ขายในสหรัฐฯ แต่ละปีในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านคัน (ยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของโลก)

    นอกจากรถยนต์แล้ว สินค้าอื่นๆ เช่นวิทยุ และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ยังมีการขยายตัวอย่างมากในแผ่นดินพญาอินทรี ป่าวประกาศความเป็นเจ้าแห่งลัทธิบริโภคนิยมอย่างเด่นชัด

    ภาวการณ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะต้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประชาชนผู้บริโภคจึงสามารถมีอำนาจซื้อ มารองรับผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ ที่ผลิตได้จากโรงงานต่างๆ ที่ขยายตัวเพิ่มจำนวนเหมือน “ดอกเห็ด” เช่นกัน

    เมื่อศึกษาวิเคราะห์ต่อไป ปรากฎว่า GDP ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย หรือการบริโภค (Consumption) ของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ก็มีส่วนต่อสายมาจากเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ไม่ใช่น้อย

    ในนิยามทางวิชาการนั้น เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ (Bubble Economy) หมายถึง อาการโป่งพองขึ้นเกินตัว ของราคาสินทรัพย์ (Inflated Assets Prices) โดยสินทรัพย์สองประเภทที่มีส่วน “เขี่ยลูก” ให้แก่การขยายเติบตัวเติบใหญ่ของเศรษฐกิจฟองสบู่เป็นอย่างมาก ก็คืออสังหาริมทรัพย์ และหุ้น (Stocks) ที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง

    อาการฟองสบู่จากเศรษฐกิจก่อนเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (1929) ปรากฎให้เห็นจากการขยายตัวเกินตัว ของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต่อมาได้ลากจูงให้ราคาสินทรัพย์อื่นๆ ขยายตัวเติบใหญ่เป็นลูกโซ่

    เพราะพอราคาสินทรัพย์ (Assets) จากภาคฟองสบู่ เช่นหุ้น และอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น ผู้ที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้น ก็จะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้จับจ่ายใช้สอยได้อย่างคล่องแคล่ว และ “มือเติบ” ยิ่งขึ้น เพราะเป็นรายได้ที่เข้าลักษณะ “ลาภลอย” ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำลงมือทำงานมากมายอะไรนัก แม้ว่ากิจกรรมการเก็งกำไร (Speculation) จะมีความเสี่ยงที่เพิ่มต้นทุนทางอารมณ์ความรู้สึกอยู่ไม่น้อยก็ตาม

    พอผู้คนที่รวยหุ้น รวยที่ดินสามารถจับจ่ายใช้สอยได้อย่างคล่องมือยิ่งขึ้น สินค้าต่างๆ ก็จะขายดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นของกิจการเหล่านั้น ที่จดทะเบียนขายในตลาดหุ้นยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะผลการประกอบการดี

    พอสินค้าต่างๆ ขายดีขึ้น ทำให้ขยายการผลิตได้ ก็ไปเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน การใช้วัตถุดิบ การใช้ปัจจัยการผลิตอื่นๆ รวมตลอดถึงการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การขนส่ง การเก็บรักษาสินค้า การค้าส่ง การค้าปลีก ฯลฯ ขยายตัวตามมาเป็นลูกโซ่


    ผลที่ตามมาก็คือ การขยายตัวของ GNP หรือรายได้ประชาชาติโดยในปี 1929 นั้น GNP ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยที่ในปีเดียวกันนั้น อัตราการว่างงาน (Unemployment) ในสหรัฐฯ อยู่ที่เพียง 3.2% เทียบกับ 11.9% ในปี 1921 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งยุติลงไม่นาน

    จากบทความข้างบน จะเห็นองค์ประกอบหลายประการคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่องค์ประกอบมันยังไม่ครบถ้วนเท่านั้นเอง ถามว่า ปัญหา ซัพพลาม จบแล้วงั้นเหรอ ตกลงการตกต่ำเศรษฐกิจของสหรัฐที่เอาเงินเข้าไปอุดมันแก้ไขปัญหาได้เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดแล้วรึเปล่า คนอื่นอาจเชื่อเช่นนั้นแต่ผมไม่

    จากบทสนทนาที่คุยกับท่านช้อน ผมถามเขาในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ว่า การที่สหรัฐพิมพ์แบงค์อย่างนี้เป็นผลดีกับสหรัฐหรือเปล่า ผมมองว่า ดอกเบี้ยก็เพิ่มไม่ได้ ดอลล่าร์ ก็ต้องอ่อนลง หนี้ ของสหรํฐที่เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว ก็กลับเป็นปัญหามากขึ้นโดยเฉพาะกับเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างจีน ถามว่าจะกดดันแค่ให้จีนขึ้นแค่ดอกเบี้ยหรือทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวงั้นเหรอ ผมว่านั่นแค่เด็กๆ

    จากในอดีต วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอย่างหนึ่งคือสงครามและการดึงดูดความมั่งคั่ง ของประเทศที่ตัวเองต้องการหาผลประโยชน์ครับ ดูอย่างญี่ปุ่น แมกซิโกนั่นประไร สองประเทศนี้อาจจะยังไม่ชัด เอาอิรักก็ได้ ทุกวันนี้ก็ยังหานิวเคลียร์ไม่เจอ เจอแต่น้ำมันในอิรัก ที่ต่างคิดกันว่ามีปริมาณมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หรือคู่ต่อกรที่ไม่เข้าท่าอย่าง อัฟกานิสสถาน ที่โอบามาเพิ่งโพล่งออกมาว่า มีแร่ธาตุมีค่า และแร่ต้นน้ำสำคัญในการผลิตชิป ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า สองล้านล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ คิดเอาละกัน แร่พวกนี้ถ้าตกอยู่ในมือสหรัฐ มันสามารถเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างมูลค่า เพิ่มให้กับสินค้าไม่ต่ำกว่าร้อยเท่าของราคาแร่ที่มันขุดพบ

    เลยถามกันว่า จีนซื้อพันธบัตรสหรัฐไว้ จะมั่นคงมั๊ย ขอตอบแบบ อเมริกันหน่อยเหอะ พวกเรารัก คนที่เอา **** ออกมาข้างนอก ดังนั้น Super hero เรายังหน้าด้านขนาดนี้ เรื่องชักดาบอย่าบอกนะครับว่าเราไม่เคย ในยุคของดร. ซุนยัคเซน กับเจียงไคเชค สร้างชาติ เคยเอาทุนที่คนบริจาคไว้เพื่อสร้างชาติ ไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ แต่พออยากจะขึ้นเงินผลปรากฏว่าถูกชักดาบครับ อันนี้คัดลอกมาจาก บทความของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลนะครับ

    ถ้าเป็นเรื่องจริง ถ้าผมเป็นอเมิรกา ผมพิมพ์แบงค์ออกมาขนาดนี้ ผมต้องมีวิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของผม อันดับแรกก็คือสงคราม ถ้ามันยังไม่พอ ชักดาบก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่น่าสนใจ

    แต่ผลกระทบที่ตามมาล่ะ ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ไม่อยากร่วมรบกับสงครามครั้งนี้ ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะอธิบายในสิ่งที่ผมคิดในวัน meeting เพียงแต่ไม่ได้อธิบายอะไรยาวๆแค่นั้นเอง

    โดยความคิดเห็นส่วนตัวครับ สงครามมันจะจบไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้รบกัน อย่างน้อยๆ ต้องมีอะไรให้เห็นกันบ้างสำหรับเศรษฐกิจรอบนี้

    <!-- จบตอบกลับกระทู้ --><!-- ตอบกลับกระทู้ -->ลองอ่านหนังสือเล่มนี้เพิ่มเติมครับ this time is different a panoramic view of eight centuries of financial folly ลอง Search ใน google แล้วหาอ่านดูได้ครับ เขียนโดย Carmen M. Reinhart & Kenneth S. Rogoff

    มีนักเศรษศาสตร์หัวก้าวหน้าได้พูดถึงเรื่องที่ผมพูดพอสมควรแล้ว แต่ไม่ได้เป็นข่าวอะไรในตลาดหุ้นบ้านเราเท่านั้นเอง

    ผมเป็นคนที่มองอะไรร้ายไว้ก่อนไม่เสียหาย เพราะอายุยังน้อง วิ่งเหมือนเต่าก็ได้ ไม่ได้เล่นหุ้นทุกรอบที่คิดว่าขึ้น ก็แค่กลัวไว้ก่อนนะครับ เพราะเราเล็กเกินไปที่จะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้

    ตอนจบของสงครามทุกครั้ง มักจบลงด้วยความรุนแรง ถึงมีการเจรจากันได้

    [​IMG]

    ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อน้ำยาอเมริกา เหมือนถล่มเมืองอิรัก แล้วบอกว่า ซัดดัมซุกนิวเคลียร์ แต่ทุกวันนี้กลับคอยสูบน้ำมัน โดยไม่เคยพูดถึงนิวเคลียร์เลย

    อัฟกานิสสถานก็เหมือนกัน บอกบินลาเดน เป็นตัวต้นตอ แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครยืนยันว่า บิน ลา เดนมีตัวตนจริง ทำไมยังจับไม่ได้

    ผมว่าบางที พวกอเมริกันมันสร้างหนังคาวบอยมากไปหน่อย เลยนึกว่า คนทั้งโลกจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาสร้างภาพว่าเขาคือ hero พิทักษ์โลก แต่ผมเชื่ออยู่อย่างว่า ซักวันหนึ่งในตอนจบ ถ้าอเมริกาชนะ มันต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าให้กับดอลล่าร์ที่มันพิมพ์ออกมา แล้วดึงเงินกลับเข้าไปใช้ในประเทศ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=560 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=thblack10>คือผมก็เกิดไม่ทัน สงครามโลกหรอกนะ แต่เท่าที่ศึกษามา สาเหตุชองสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เกิดมากจาก ยุคล่าอาณานิคม ที่ขัดขากัน ส่วนครั้งที่สอง แบ่งสาเหตุใหญ่ๆ ก็คือการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวกันหลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บวกกับ เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำด้วย ส่วนไอ้เรื่องลอบปลงพระชนม์แล้วทำให้รบกันอะไรนั่น ผมไม่เชื่อ มันเหมือนข้ออ้างในการทำสงครามมากกว่า

    แต่หลังสงครามครั้งที่สองโลกก็แบ่งเป็นสองค่าย ผลประโยชน์ก็เลยลงตัวจากนั้นเป็นต้นมา

    แต่ความขัดแย้งครั้งใหม่ของโลกก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อสหรัฐเป็นเจ้าโลก เที่ยวสั่งสอนคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยสร้างความไม่พอใจให้กับหลายๆประเทศ แม้แต่ประเทศในทวีปเดียวกันเอง สงครามในยุคใหม่ มักเกิดจากสหรัฐซะเป็นส่วนใหญ่ แค่การรบกันในบางประเทศ ถ้าสหรัฐไม่เข้าไปยุ่ง ป่านนี้ มันจบไปแล้วครับ

    ถามว่า ถ้าเยอรมันหรือญี่ปุ่นชนะ ใครได้ประโยชน์ ลองเปรียบเทียบยุคใหม่ สงครามยุคใหม่ ระหว่าง สหรัฐ กับจีนซิครับ ผมว่าถ้าใครชนะคนนั้นต่างหากที่เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ให้ใครก็ได้เป็นพระเอก


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=560 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=thblack10>สถานะการณ์ขณะนี้ มันก็ดึงทรัพยากรจากประเทศด้อยพัฒนา ไม่ต่างจากยุคล่าอนานิคมซักเท่าไหร่เลย เพียงแต่รูปแบบอาจจะต่างออกไปบ้าง เหมือนสมัยก่อนเวลาอังกฤษจะทำสงครามกับจีนก็อ้าง ว่าจีนกีดกันทางการค้า ไม่ให้ค้าฝิ่น แล้วก็หาเหตุทำสงครามรุกรานจีน ล่าอานานิคม

    ไทยก็โดนมาแล้วทุกรูปแบบ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ที่เจ็ด และปัจจุบัน แต่ถ้านับรวมไปถึงตอนเสียกรุงด้วยแล้ว ในแต่ละวงรอบจะห่างกัน เกือบๆ 80 ปีพอดี อันนี้คงไม่ได้เป็นข้อมูลอะไร แต่คงเป็นข้อคิดว่า วงรอบนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซักครั้ง


    ไม่แน่ใจ ว่าใช่ปี 1971 หรือเปล่าที่สหรัฐยกเลิกเงินดอลล่าร์ผูกติดกับทองคำ

    ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจสหรัฐอเมิรกา กำลังจะตกอีกช่วงหนึ่ง

    ประเทศไทยก็เข้าร่วมในมาตรฐานทองคำเมื่อ พ.ศ.2451 จนอังกฤษยกเลิกมาตรฐานทองคำที่ตนเองตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2474 ตอนนั้นเกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก การเงินโลกจึงมั่วซั่วเต็มที

    จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้าจัดการเอาเงินดอลลาร์อเมริกันเป็นเงินตราโลกแทนอังกฤษอีกครั้ง โดยตั้งมาตรฐานทองคำขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2487 ซึ่งตอนนั้นสหรัฐอเมริกากำลังชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกำหนดเอาทองคำหนัก 35 ออนซ์ มีมูลค่าเท่ากับเงินกระดาษ 1 ดอลลาร์อเมริกัน

    แต่สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายเงินเกินตัวจนต้องมาเลิกมาตรฐานทองคำเอาเมื่อ พ.ศ.2514 (คนที่มีชีวิตรู้เรื่องช่วง พ.ศ.2487-2514 คงยังจำได้ดีถึงช่วงที่ทองคำในเมืองไทยราคา 400 บาทต่อทองคำหนัก 1 บาทนั่นแหละ เป็นเวลาร่วม 27 ปีเชียวนะ)

    นับตั้งแต่ พ.ศ.2514 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ร่วม 40 ปีแล้วระบบเงินตราของโลกก็เข้าสู่ระดับมั่วซั่วกันอีกคือกลายเป็น "ระบบการเงินโลกแบบตามใจสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว"

    คือสหรัฐอเมริกาพิมพ์เงินใช้ได้ตามสบายและแถมพิมพ์พันธบัตรแบบที่พิมพ์ใบเดียวขายสัก 10 ล้าน หรือร้อยล้านดอลลาร์ (เนื่องจากธนบัตรอเมริกาที่ใช้ในตลาดที่มีค่าสูงสุดนั้นแค่มีถึง 100 ดอลลาร์เท่านั้น) ออกขายอีกด้วย บรรดาประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยเราด้วยก็ซื้อพันธบัตรอเมริกันและเก็บเงินดอลลาร์อเมริกันที่เป็นกระดาษซึ่งปลวกกินได้เอาไว้เป็นทุนสำรอง

    ไทยก็โดนมาแล้วทุกรูปแบบ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ที่เจ็ด และปัจจุบัน แต่ถ้านับรวมไปถึงตอนเสียกรุงด้วยแล้ว ในแต่ละวงรอบจะห่างกัน เกือบๆ 80 ปีพอดี อันนี้คงไม่ได้เป็นข้อมูลอะไร แต่คงเป็นข้อคิดว่า วงรอบนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซักครั้ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    SETTRADE.COM - Leading Technology for Professional Investors
    <!-- จบตอบกลับกระทู้ --><!-- ตอบกลับกระทู้ -->
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กับดักเงินด่อง

    โดย : ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย
    เงินด่องซึ่งเป็นสกุลเงินของเวียดนามกำลังจะประสบปัญหาครั้งใหญ่แล้วในปี 2011 นี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ตอบง่ายๆ ก็คือ เวียดนามได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับเม็กซิโก ไทย และอาร์เจนตินา ในอดีต และประเทศทั้ง 3 นี้ก็ไม่สามารถจะหลบเลี่ยงวิกฤติค่าเงินมาได้เลย

    การผูกค่าเงินด่องกับเงินดอลลาร์ แม้จะมีการลดค่าเงินด่องลงถึง 3 ครั้ง แต่เทียบไม่ได้เลยกับส่วนต่างเงินเฟ้อของประเทศเวียดนามกับอเมริกา โดยเงินเฟ้อล่าสุดเดือนธันวาคม 2553 นั้นสูงถึง 11.75% สูงที่สุดในรอบ 22 เดือน ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เวียดนามอาจขาดดุลการค้าถึง 12 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2553 ซึ่งเป็นระดับถึง 12% GDP ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศก็ร่อยหรอลดน้อยลงจนน่ากังวล รัฐวิสาหกิจต่อเรืออย่าง Vinashin ก็เข้าขั้นล้มละลาย ส่งผลให้เวียดนามถูกลดอันดับเครดิตลงอีกด้วย

    เมื่อค่าเงินไม่สะท้อนความเป็นจริง จึงเกิดอัตราแลกเปลี่ยนใน "ตลาดมืด" ขึ้น ตามร้านขายทองคำซึ่งกำหนดค่าเงินที่ต่ำกว่าทางการอยู่ประมาณ 10% ประชาชนเวียดนามไม่มั่นใจในค่าเงินด่อง แทนที่จะฝากเงินกับธนาคารได้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากถึง 13-15% ต่อปี กลับเอาเงินนั้นไปซื้อทองคำเก็บเป็นสินทรัพย์แทน

    "สัญญาณเตือน 333" (Triple 3 Signal) สัญญาณเตือนก่อนประเทศต่างๆ จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น คือ 1. ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% GDP 2. การขาดดุลนั้นต่อเนื่องกันนานกว่า 3 ปี และ 3. ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สูงกว่าประเทศอ้างอิงมากกว่า 3% แน่นอนว่า วิกฤติเตกีล่า และต้มยำกุ้ง ประเทศเม็กซิโกและไทยก็เข้าประเด็นนี้อย่างเต็มๆ เพราะการกำหนดค่าเงินให้แข็งค่าเกินระดับเหมาะสมเป็นเวลานาน ทำให้ขาดดุลการค้า และขาดดุลเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องหนักหน่วง การลงทุนอยู่สูงกว่าการออมอย่างมาก ประเทศจึงต้องระดมเงินจากต่างประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อไปถึงจุดหนึ่งที่ทุนสำรองร่อยหรอจนนำไปสู่ความเชื่อมั่นที่ถดถอย และการไหลออกของเงินในที่สุด ซึ่งอาจเรียกชื่อได้ว่าเป็น "วิกฤติแห่งความไม่พอเพียง" (Insufficiency Crisis)

    สภาพเศรษฐกิจของเวียดนาม เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งมาอย่างเร็ว เข้าโค้งหักศอกบนถนนเปียก ซึ่งต้องใช้ความชำนาญในการขับขี่เป็นอย่างมาก จึงจะรอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย และสภาพเช่นนั้นในอดีตทั้งเม็กซิโก ไทย และอาร์เจนตินา ก็พิสูจน์มาแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะผ่าน "โค้งหักศอก" แบบนั้นได้โดยไม่เสียหายหนัก

    ประเทศไทยควรแสดงบทบาทในการประเทศผู้นำด้านการป้องกัน และแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ด้วยการส่งผู้เชี่ยวชาญจาก ธปท.ซึ่งมีประสบการณ์สมัย "วิกฤติเงินบาท" เพื่อช่วยเหลือเวียดนามในการผ่อนหนักให้เป็นเบาสำหรับ "วิกฤติเงินด่อง" ในอนาคต ด้วยการถ่ายทอด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" แนะนำให้เวียดนามลดค่าเงินด่องลงอย่างเร็วเท่ากับระดับตลาดมืด คือ ราว 10% จากนั้นก็ต้องพยายามรัดเข็มขัดการคลัง ส่งเสริมการออมผ่านระบบประกันสังคมและเงินบำนาญ รวมทั้งควบคุมสินเชื่อเพื่อการเก็งกำไรต่างๆ

    เวียดนามจำเป็นที่จะต้องเติบโตให้ช้าลง เพื่อรักษาสมดุลบัญชีเดินสะพัดให้ได้ จะส่งผลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปัจจุบัน (11.75%) โดยอัตโนมัติ มันแทบไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับเวียดนาม...คือ เดินให้ช้าลง หรือว่าวิ่งอย่างเร็วแล้วแหกโค้ง...เท่านั้นเอง

    หากค่าเงินด่องอ่อนค่าลง 10% นั่นอาจเป็นภาวะลำบากของชาวนาไทย ที่ต้องแข่งขันขายข้าวกับเวียดนาม แต่หากเวียดนามเกิดวิกฤติเงินด่องขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็เงินด่องอาจอ่อนค่าลงได้ถึง 50% และนั่นคือ "นรก" ของชาวนาไทยอย่างแน่นอน เวียดนามอาจจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในการส่งออกข้าวแทนไทย และราคาข้าวเป็นดอลลาร์จะตกต่ำลงได้อีกมาก ดังนั้น การเข้าช่วยเหลือเวียดนามของ ธปท.จึงไม่เพียงแต่ช่วยเวียดนามเท่านั้น...แต่ยังเป็นการช่วยเหลือชาวนาไทยให้รอดพ้นจากหายนะอีกด้วย

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปัญหา ก็คือ ตำราเศรษฐศาสตร์

    โดย : ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย

    หากเปรียบเทียบไปแล้ว "ตำราเศรษฐศาสตร์" ก็เหมือนกับ "ป้ายบอกทาง" ดังนั้น เศรษฐกิจโลกตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนขับรถ ไม่ได้อยู่ที่สภาพรถ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ไม่ได้อยู่ที่สภาพถนน แต่มันกลับอยู่ที่ "ป้ายบอกทาง" ต่างหาก ป้ายบอกทางที่ล้าสมัยและผิดพลาด จะทำให้รถวิ่งวนๆ ไม่ถึงที่หมาย มีรถหลายคันที่วิ่งชนกันเอง และยังมีรถอีกหลายคันที่กำลังจะวิ่งลงเหว

    อาจกล่าวได้ว่า หลังจากสมัยของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ "เศรษฐศาสตร์" ซึ่งเป็นวิชาการที่เกี่ยวกับปากท้องความเป็นอยู่ของคนเกือบทั้งโลก แต่การพัฒนาของทฤษฎีแบบมีนัยสำคัญนั้นแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ ตรงกันข้ามกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และรายได้ประชากรที่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว "เศรษฐศาสตร์" ซึ่งเป็นวิชาสำคัญของสาย "สังคมศาสตร์" นั้น มีความแตกต่างกับ "พุทธธรรม" และ "วิทยาศาสตร์" อย่างมาก เพราะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของสังคม และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทำให้ทฤษฎีการเงินและการคลังเก่าๆ นั้นใช้ไม่ได้ผลดังเดิม

    มาลองดูกันที่ "ทฤษฎีการคลัง" ก่อน ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วทั้ง ญี่ปุ่น อเมริกา และ ยุโรป ล้วนแล้วแต่ติด "กับดักเคนส์" ทั้งสิ้น เป็นภาระหนี้สาธารณะที่แม้จะใส่เงินก้อนโตขาดดุลจำนวนมหาศาล ก็ยังไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแรง ในเรื่องนี้เอง แม้แต่เจ้าของทฤษฎีเคนส์ เมื่อถูกถามว่าในระยะยาวแล้ว ภาระหนี้สาธารณะที่พอกพูนขึ้นจะเป็นปัญหาหรือไม่ เคนส์ได้ตอบเป็นประโยคดังก้องโลก ว่า "ในระยะยาวแล้ว พวกเราทุกคนจะตายหมด" ใช่แล้วครับ แม้เคนส์และผู้นำหลายท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่หนี้สาธารณะนั้นยังคงอยู่เป็นภาระให้กับรุ่นลูกหลานอยู่ดี มันไม่ได้หายไปพร้อมๆ กับคนสร้างหนี้

    ในปัจจุบันมีการพูดถึง 2 ด้านของนโยบายการคลัง ด้านที่ 1 ก็คือ ควรจะขาดดุลการคลังหนักๆ ต่อไปเพื่อพยุงเศรษฐกิจจะดีกว่าไหม ดูเหมือนอเมริกาจะเลือกด้านแรกนี้ ส่วน ด้านที่ 2 คือ ควรจะรัดเข็มขัดการคลัง โดยยอมให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงบ้างจะดีกว่าไหม ประเทศแถบยุโรปเลือกแนวทางหลังนี้

    เหรียญทั้ง 2 ด้านนั้นไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะด้านแรกนั้น จะทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงขึ้น จนอาจก่อให้เกิดวิกฤติการคลังได้ ส่วนวิธีหลังนั้น อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมาก จนทำให้รายได้ภาษีของรัฐลดลง และรัฐอาจต้องใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือคนว่างงานมากขึ้น ผู้คนออกมาประท้วงกันตามท้องถนน ในที่สุดแล้วจะทำให้การขาดดุลการคลังสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้แต่เดิม เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก (Taiji-Econ.) จึงได้เสนอทางออกแบบ "เหรียญด้านที่ 3" เพราะเหรียญไม่จำเป็นต้องออก "หัว" หรือ "ก้อย" มันสามารถออก "กลาง" ได้ ซึ่งผมได้นำเสนอไปแล้วในบทความ "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น" ซึ่งหลักการ ก็คือ ให้ลดรายจ่ายภาครัฐในส่วนที่เงินนั้นวิ่งเข้าสู่ stock (กองทุนต่างๆ) แทนที่จะเป็น flow ในการใช้จ่ายบริโภคและลงทุน ซึ่งเงินที่วิ่งสู่ stock เหล่านั้นมีค่าตัวทวีคูณ (multiplier) ที่ต่ำกว่า 1 เงินขาดดุลการคลังนั้น จึงส่งผลลบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่จะเป็นผลบวก

    การลดเงินสมทบเข้าประกันสังคม และ กบข. การลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ LTF,RMF รวมไปถึงการยืมพลังของกองทุนบำนาญมาเพื่อช่วยรัฐบาล เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการ "รัดเข็มขัดการคลัง" ที่ส่งผลบวกต่อ GDP ทั้งสิ้น เรื่องแบบนี้ใน "ทฤษฎีการคลัง" แทบไม่ได้กล่าวถึงไว้เลย มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศยุโรปในกลุ่ม PIIGS และญี่ปุ่น ควรต้องเร่งรีบศึกษาเพื่อนำไปใช้เพื่อแก้ไขวิกฤติการคลัง พร้อมๆ ไปกับกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

    สำหรับ "ทฤษฎีการเงิน" นั้น ความเชื่อที่ว่า "การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ" และ "การลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเร่งเงินเฟ้อ" นั้นเป็นความคิดที่ผิด โดยปัจจัยที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้เหมือนในอดีต แต่กลับส่งผลในทางตรงกันข้าม ก็เพราะยังมีแรงสะท้อนกลับอีก 5 แรงที่ทฤษฎีการเงินเดิมๆ มองข้ามไป เช่น ต้นทุนการเงิน รายได้ของนายทุน และการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัย LOAD (Liberalization, Overcapacity, Aging Society และ Deleveraging) เป็นภาระถ่วงให้แรงกิริยาเดิมส่งผลน้อยลง ขณะที่แรงสะท้อนกลับส่งผลรุนแรงยิ่งขึ้น นั่นหมายถึง การหวังผลให้การลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นสินเชื่อเพื่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศตนเองนั้นเกิดขึ้นได้ยาก แต่กลับส่งผลในทางตรงกันข้าม คือ เกิดภาวะเงินฝืดแทน ดังนั้น ประเทศต่างๆ ควรต้องเร่งดำเนินนโยบายการเงิน ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พยายามทำ ณ ปัจจุบัน

    และสำหรับ "ทฤษฎีอัตราแลกเปลี่ยน" นั้น เงินยูโรสะท้อนเรื่องนี้เป็นอย่างดี หลังจากที่ชาวยุโรปเคยภาคภูมิใจกับ "ยูโร" เป็นอย่างมากเชื่อว่าจะช่วยในการค้าและการลงทุนได้อย่างดี แต่แท้ที่จริงแล้ว "ระบบเงินยูโร" คือ ต้นเหตุแห่งหายนะของยูโรโซนในปัจจุบัน กรีซมีอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง ดังนั้น ค่าเงินของกรีซควรจะอ่อนค่าลงในระยะยาว ขณะที่เยอรมนีมีดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินควรจะแข็งค่าในระยะยาว แต่ทั้ง 2 ประเทศกลับใช้เงิน "ยูโร" เหมือนกัน นั่นหมายถึง เงินยูโร ควรจะทั้งอ่อนค่า และแข็งค่า มันจึงเป็น "ความขัดแย้งกันเองของยูโร" (Paradox of Euro) มันจึงไม่สมดุล ทางแก้ไข นั้น ก็คือ ควรต้องมีเงินอย่างน้อย 2 ระบบ ผมตั้งชื่อเงินสกุลใหม่ให้ว่า "Eura" เป็นอีกสกุลหนึ่ง ซึ่งควรใช้กับประเทศที่แข็งแรง อย่างเยอรมนีและออสเตรีย ฯลฯ ยอมให้เงินยูโร อ่อนค่าลงไปมากๆ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ติดหนี้ PIIGS เหล่านั้นให้มีภาระหนี้ที่เบาลง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพการส่งออกและท่องเที่ยวอีกด้วย

    การที่ทฤษฎีการเงิน การคลัง และอัตราแลกเปลี่ยน ชี้ทิศทางที่ผิดๆ อยู่เช่นนี้ จึงสร้างปัญหาต่อการกำหนดนโยบายของประเทศต่างๆ เพราะผู้กำหนดนโยบายล้วนเรียนมาจากตำราเล่มเดียวกัน เมื่อเชื่อผิดๆ ก็ย่อมดำเนินนโยบายผิดๆ ใน "ตำราเศรษฐศาสตร์" ปัจจุบันจะพบว่ามันสับสน และมีข้อผิดพลาดอยู่เป็นจำนวนมาก นี่อาจเป็นครั้งแรกในแวดวงวิชาการไทย ที่พวกเราได้พบข้อผิดพลาดในเนื้อหาหลักของทฤษฎีระดับโลก และยังรู้วิธีที่แก้ไขทฤษฎีให้ถูกต้องได้อีกด้วย นั่นอาจหมายถึง ประเทศไทยอาจก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลกในด้านความรู้ความคิดในการ "พิชิตวิกฤติเศรษฐกิจโลก" มีหน้าที่ในการส่งสัญญาณเตือน และแนะนำนโยบายเศรษฐกิจด้านต่างๆ ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยรวมเอาประเทศยักษ์ใหญ่ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF และ ECB

    โดยอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยอาจจะต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่และเร่งด่วนอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก ในการนำเอาเศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก (Taiji-Econ.) มาเผยแพร่เพื่อเป็น "ยารักษาพิษเศรษฐกิจ" เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดีขึ้นแล้ว ก็ควรนำเอา "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" มาเผยแพร่ต่อเพื่อเป็น "วัคซีน" ป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากความโลภ และหนี้สินเกินขอบเขตอีกต่อไปในอนาคต

    มุ่งเตือนภัย และปรับปรุง "ป้ายบอกทาง" ให้ทันสมัยและถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์ชนกันเอง และช่วยให้รถยนต์ที่วนๆ หลงทิศหลงทางมานานได้ไปสู่เป้าหมายอย่างถูกต้อง และที่สำคัญ ก็คือ ป้องกันไม่ให้รถยนต์วิ่งอย่างเร็วไปที่ริมหน้าผา โดยที่คนขับซึ่งปฏิบัติตาม "ป้ายบอกทาง" อย่างเคร่งครัดนั้นยังหลงดีใจร้องบอกผู้โดยสารอยู่เลยว่า "พวกเรามาถูกทางแล้ว"

     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ : ความเชื่อผิดๆ

    โดย : ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย

    ธนาคารกลางทั่วโลกมีความเชื่อคล้ายๆ กันว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยสกัดเงินเฟ้อ และการลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อเพิ่มนั้น...
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>แท้ที่จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...

    เหตุผลก็คือ แรงกิริยาที่เกิดจากการลด หรือขึ้นดอกเบี้ย จะช่วยกระตุ้น หรือชะลอสินเชื่อเพื่อการบริโภคและการลงทุนนั้น แท้ที่จริงแล้ว ยังมีแรงปฏิกิริยาสะท้อนกลับในทางตรงข้ามถึง 5 แรง ซึ่งผมได้ตั้งชื่อให้ว่า Taiji-Econ.’s Five Forces ดังนี้

    1. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น : หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น เงินเฟ้อจึงสูงขึ้น แต่ที่จะชะลอตัวลง

    2. ผลตอบแทนเงินฝาก : หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วจะส่งผลให้คนระดับนายทุน มีรายได้จากดอกเบี้ยรับสูงขึ้น เพิ่มกำลังซื้อขึ้น จึงทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ที่จะชะลอตัวลง

    3. ผลตอบแทนค่าเช่า : การขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะเป็นการเพิ่ม yield ของค่าเช่าทางอ้อม ทำให้เจ้าที่ดินเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ มีผลตอบแทนค่าเช่าที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ

    4. เงินทุนต่างชาติไหลเข้าเพิ่ม : ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ

    5. เงินทุนไหลออกลดลง : ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะทำให้เงินทุนที่ควรจะไหลออกเพื่อไปลงทุนต่างประเทศนั้น ลดลงกว่าระดับที่ควรจะเป็น กระแสเงินในประเทศจึงเหลือมาก เงินจึงเฟ้อ

    เมื่อมีผลกระทบในทางตรงกันข้ามกับแนวคิดเดิม การที่ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มแทนที่จะชะลอเงินเฟ้อ และการที่ธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (ดอกเบี้ยมาตรฐาน) และดอกเบี้ยระยะยาว (มาตรการ QE) ลง ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลงหรือเงินฝืด แทนที่จะเร่งอัตราเงินเฟ้อขึ้น

    มี 4 ปัจจัยที่ทำให้แรงกิริยาแบบเดิมๆ นั้นส่งผลน้อยลง ขณะที่แรงสะท้อนกลับส่งผลแรงยิ่งขึ้น ทำให้ทฤษฎีการเงินแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลตามคาด แต่กลับส่งผลในทางตรงกันข้ามแทน โดยเฉพาะเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว ผมตั้งชื่อ 4 ปัจจัยนี้ว่า LOAD factors

    1. L (Liberalisation) การเงินเสรี รวมไปถึงการค้าการลงทุนเสรีนั้น ทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยลง แทนที่จะไปเพิ่มสินเชื่อเพื่อการลงทุน ไม่เพิ่มการจ้างงาน เงินทุนเหล่านั้นกลับหนีออกไปยังต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

    2. O (Overcapacity) มีกำลังการผลิตล้นเหลือแทบจะทุกภาคส่วนของโลก ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยลง จึงไม่ไปเพิ่มการลงทุนโดยตรง ไม่เพิ่มการจ้างงาน ไม่เพิ่มเงินเฟ้อ มีแต่จะไปเพิ่มในส่วนของการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรแทน

    3. A (Aging Society) สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การบริโภคลดลง ด้วยคนเกษียณมีรายได้ที่ลดลง พร้อมๆ ไปกับวิถีชีวิตที่บริโภคลดลงตามวัยด้วย การลดอัตราดอกเบี้ยลง กลับทำให้รายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากของคนกลุ่มนี้ลดลง ทำให้กำลังซื้อ และ เงินเฟ้อของประเทศชะลอตัว

    4. D (Deleveraging) ประเทศพัฒนาแล้วมีการสร้างหนี้อย่างมากในอดีต จำเป็นต้องมีการลดภาระหนี้สินลง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยลงเพื่อหวังกระตุ้นสินเชื่อจึงหวังได้ยาก

    LOAD factors นี้เอง ทำให้ผลของทฤษฎีการเงินแบบเดิมๆ ไม่เห็นผล แต่แรงสะท้อนกลับยิ่งส่งผลที่มากขึ้น ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมด

    นี่เป็นการค้นพบว่า “โลกกลม” ในทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ ขณะที่คนของธนาคารกลางทั่วโลก เห็นว่า “โลกแบน” ที่จริงแล้วคงไม่ถึงขนาดนั้น... เพราะว่า ระดับเด็กประถม หรือ ชาวบ้านธรรมดาก็เข้าใจได้อย่างถูกต้องและง่ายดาย ลองไปถามดูสิครับว่า “หากแม่ค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับนายทุนนอกระบบสูงขึ้น ข้าวของในตลาดจะแพงขึ้นหรือว่าถูกลง” ผมเชื่อว่า แทบจะทุกคนตอบได้อย่างสบาย และ สำหรับเด็กประถมศึกษา ดูจากสมการ อัตราดอกเบี้ย (nominal rate) = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real rate) + เงินเฟ้อ (infloation) ดังนั้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย...นั่นหมายถึง เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั่นเอง เรื่องง่ายๆ เด็กๆ

    แล้วทำไมเรื่องง่ายๆ ที่ชาวบ้านก็เข้าใจได้ถูกต้อง แต่ระดับผู้บริหารธนาคารกลางจึงเข้าใจผิดไปได้ ประเด็นอยู่ที่ “ตำราเศรษฐศาสตร์” ไงครับ พวกท่านเหล่านั้นเรียนตำราเล่มเดียวกัน จึงบริหารตาม “ภูมิปัญญาตำรา” ของเศรษฐศาสตร์การเงินที่บกพร่อง ขณะที่ “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” นั้นถูกต้องดีอยู่แล้ว ในอนาคตของเนื้อหาบทความนี้ถูกไปเสริมในทฤษฎีการเงินมหภาคก็อาจจะช่วยให้เข้าใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

    ทางแก้ไขก็คือ ธนาคารกลางทั่วโลกต้องรีบดำเนินนโยบายแบบ “ย้อนศร” กับแบบเดิม ประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ญี่ปุ่น อเมริกา ซึ่งพยายามลดดอกเบี้ยมาหลายปี แต่อัตราเงินเฟ้อก็ต่ำมากๆ ต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเร่งเงินเฟ้อ และ ขายพันธบัตรที่ธนาคารกลางสะสมเอาไว้จำนวนมาก (Anti-QE) อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในระยะสั้นและยาว จะไปเพิ่มต้นทุนทางการเงิน กระตุ้นเงินเฟ้อ จะดึงดูดเงินต่างชาติเข้ามา และเงินจะไหลออกลดลง ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอย่าง อินเดีย และเวียดนาม ซึ่งขึ้นดอกเบี้ยมาเป็นปีแล้ว แต่เงินเฟ้อก็ยังสูงระดับ 8-9% มาตลอดเช่นกัน ต้องรีบลดอัตราลงมาเพื่อลดต้นทุนการเงิน ลดเงินเฟ้อลง ชะลอเงินไหลเข้าจากต่างชาติ

    เรื่องแบบนี้อาจดูขัดกับความรู้สึกของผู้กำหนดนโยบาย แต่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของชาวบ้าน น่าสงสัยว่าจะมีธนาคารกลางของประเทศใดบ้าง ที่จะเปลี่ยนความเชื่อแบบผิดๆ แบบเดิมๆ ทิ้งเสีย เดินหน้านโยบาย “ย้อนศร” กับของเดิม เพื่อนำพาเศรษฐกิจโลกไปยังทิศทางที่ถูกต้องได้... ขอเรียกร้องให้ ธปท.เริ่มก่อนเลยดีไหมครับ ???

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จากทุนนิยมและเชิงพุทธ…รุดสู่ไทเก๊ก

    โดย : ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย
    บทความนี้จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวคิดปรัชญา เป้าหมาย และ เงินบำนาญ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>และ เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก ว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สำหรับผมแล้ววิชาการต่างๆ ที่เรียนในระดับปริญญาตรี คือ เรื่องของ “เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม” แต่ผมได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ “เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ” และล่าสุด 2 ปีที่ผ่านมานี้ได้คิดค้น “เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก” (Taiji-Econ.) ทั้ง 3 เรื่องมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ดังนี้

    1. ปรัชญาที่สนับสนุนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์

    เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม นั้น ยึดหลักจากปรัชญาตะวันตก อิงกับศาสนาคริสต์เป็นหลัก ต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ หากผู้คนศรัทธาในพระเจ้า ตั้งใจเป็นคนดี ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเก็บออมเงินแล้ว มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว พระเจ้าย่อมดลบันดาลให้ร่ำรวยและมีความสุขได้อย่างแน่นอน

    เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ นั้นชัดเจนว่ายึดหลักปรัชญาขั้นสูงสุดของอินเดีย คือ พุทธศาสนา เน้นการลดละเลิก ความสมถะไม่สะสมเงินทอง เน้นการไม่ทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

    เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก ยึดหลักปรัชญาขั้นสูงของจีน คือลัทธิเต๋า รักษาสมดุลแห่งหยิน-หยาง การยืมพลังสะท้อนพลัง

    2. ความโลภ

    เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม มองความโลภเป็นสิ่งที่ไม่ได้เลวร้ายนัก จะช่วยให้คนได้ตั้งใจพยายามทำงาน ตั้งใจเก็บออมลงทุน เพื่อสะสมสินทรัพย์สร้างความมั่งคั่ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามนุษย์มีความโลภไม่จำกัด แต่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัดเราจึงต้องหาวิธีจัดสรรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในบางครั้งความโลภที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดการเก็งกำไรเกินควรจนก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้

    เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ มองความโลภเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็น 1 ในกิเลส 3 ประการที่สำคัญ การควบคุมดูแลความโลภจึงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องกระทำอันดับแรก เมื่อความโลภน้อยก็จะบริโภคน้อยแต่มีความสุขได้

    เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก มองโลกตามความเป็นจริงว่า ประชาชนไม่ใช่พระโสดาบัน ความโลภในหมู่ประชาชนนั้นมีอยู่จริง ต้องหาวิธีการดูแลผ่านนโยบายต่างๆ เพื่อให้ “ความโลภ” อยู่ในระดับเหมาะสม

    3. เป้าหมาย

    เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม เน้นเป้าหมายที่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ การบริโภคมากๆ คือความสุข ความมั่งคั่งคึกคักร้อนแรง คือ เป้าหมายแบบพลัง “หยาง”

    เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เน้นเป้าหมายที่การบริโภคน้อย แต่ดำรงชีพอย่างมีความสุข เบียดเบียนโลกให้น้อย เน้นการลดละเลิก นิ่งสงบเย็น แม้ว่าอาจส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ได้ เหล่านี้ล้วนเป็น เป้าหมายแบบพลัง “หยิน”

    เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก คือ มีเป้าหมายเพื่อรักษาสมดุลแห่ง “หยิน-หยาง” นั้น

    4. เงินกู้และเงินบำนาญ

    เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม จะให้การลดหย่อนภาษีกับการออมของเศรษฐี ขณะเดียวกันจะบังคับออมกับคนยากจนในระบบประกันสังคม ด้วยวิธีนี้ คนจนจะเงินขาดมือ และ นายทุนจะได้ประโยชน์มากเพราะ จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1% ต่อปี แต่ได้รับดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 28% ต่อปี การมีหนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะ การมีสินเชื่อเพิ่มจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น หลักการนี้เชื่อว่าคุณภาพชีวิตหลังเกษียณที่ดีต้องมีเงินรายได้ 70% ของช่วงที่ทำงาน ผู้สูงวัยพึ่งเงินออมตนเองไม่พึ่งลูกหลาน

    เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เน้นให้ความสำคัญของปัจจุบันยิ่งกว่าอนาคต การออมเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่สำคัญเท่ากับการไม่ก่อหนี้ พระท่านสอนว่า “การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ” และ “พุทธศาสนิกชนที่ดีแทบไม่ต้องใช้เงิน” ผู้สูงวัยเข้าวัด ศึกษาธรรมะ จึงแทบไม่ต้องใช้เงิน พึ่งพาเงินส่วนที่จำเป็นจากลูกหลานเพียงเล็กน้อยถือเป็นการทดแทนพระคุณ จะใช้เงินน้อยแต่มีความสุขมาก

    เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก พยายามรักษาสมดุลของแนวคิดทั้ง 2 เงินบำนาญควรเลือกเก็บมากหรือน้อยได้ตามสภาพเศรษฐกิจ ยืดหยุ่นให้สามารถยืมเงินออมบำนาญได้หากมีความจำเป็น และ ผู้สูงวัยจะพึ่งเงินออมตนเอง เงินภาครัฐ และ เงินลูกหลานด้วยเป็น 3 ขา อย่างไรก็ดีจะใช้เงินน้อยกว่าแนวคิดแบบทุนนิยม

    5. นโยบายเศรษฐกิจ

    เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม เมื่อความโลภและการเก็งกำไรมากเกินไป ฟองสบู่แตก การใช้นโยบายต่างๆ ก็เหมือนดั่ง “ยาแผนตะวันตก” ที่เน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด จึงเกิดผลข้างเคียงได้มาก มักได้ผลในระยะสั้นแต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน หรือ การคลัง

    เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เหมือนดั่ง “วัคซีน” ที่ใช้ป้องกันความโลภที่มากเกินไป จึงใช้ป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจได้ผลดี แต่ใช้รักษาผลของมันไม่ได้ เศรษฐกิจชะลอตัวลงต้องการพลัง “หยาง” มาช่วย แต่เนื้อหาในส่วนของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธทั้งหมดนั้น มีแต่พลัง “หยิน”

    เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก เหมือนดั่ง “ยาแห่งดุลยภาพ” ใช้การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ มาช่วยรัฐบาลได้ จึงไม่ต้องสร้างหนี้สาธารณะมากเกินไป พยายามรักษาสมดุลของหนี้สินภาครัฐ และ สินทรัพย์กองทุนบำนาญ รักษาสมดุลการค้าของโลก สร้างสมดุลของการสมทบเงินออมบำนาญตามสภาพเศรษฐกิจ สร้างสมดุลของผลตอบแทนทุนและแรงงาน รวมไปถึง สร้างสมดุลของเงินออมและหนี้สินของประชาชน

    อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่าในอนาคตอาจมีเรื่องราวของ “เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก” (Taiji-Econ.) ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์มหภาคบ้างก็เป็นได้...แนวคิดซึ่งเป็นทางสายกลาง ระหว่างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั้ง 2 ขั้วข้างต้น นั่นหมายถึงท่านผู้อ่านได้เรียนรู้เรื่องนี้ก่อนจะมีในตำราเสียอีกนะครับ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กับดักประกันสังคม : ยิ่งออมยิ่งจน

    โดย : ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย
    มันเป็นไปได้อย่างไรกัน กับเรื่องของ "ยิ่งออมยิ่งจน" พวกเราจะรู้จักเรื่องราวแบบ "ยิ่งออมยิ่งรวย" กันเป็นส่วนใหญ่
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>แต่ถ้าอ่านสิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ ท่านอาจต้องน้ำตาซึมเหมือนผม ซึ่งเป็นความเห็นใจต่อชะตากรรมของผู้ประกันตน ที่ต้องติดกับดักของประกันสังคม "ยิ่งออมยิ่งจน" ผมขอเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายรีบเร่งแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน ก่อนที่คนทำงานในระบบจะล้มละลายกันครึ่งประเทศ

    ประกันสังคม จะคุ้มครองผู้ประกันตน 7 กรณี แต่หลักๆ แล้ว พวกเราจะรู้จักกันในกรณีของการประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ อย่างไรก็ดี สำหรับบทความตอนนี้ ผมมุ่งประเด็นไปยัง "กรณีชราภาพ" ซึ่งมีเงินกองทุนสะสมถึงราว 5 แสนล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกันตนได้ใช้เงินยามเกษียณ

    ยกตัวอย่าง นายพอเพียง ทำงานเป็น รปภ.อายุ 40 ปี เริ่มเข้าระบบประกันสังคม อัตราเงินเดือนที่ 7 พันบาท โดยได้รับเงินเดือนเพิ่มเดือนละ 500 บาทเป็นประจำทุกปีเมื่อผ่านไป 15 ปีเงินเดือนอยู่ที่ 1.4 หมื่นบาท เขาได้โบนัส 2 เดือนทุกปีเช่นกัน นำไปออมในประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (ผลตอบแทนเฉลี่ย 3% ต่อปีตลอดอายุกรมธรรม์) เขาตั้งใจจะใช้เงินแบบหมดทุกเดือน และนำโบนัสมาเก็บออมเพื่อใช้ยามเกษียณ ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่อยู่ในกรอบพอเพียงตามอัตภาพ

    อย่างไรก็ดี เมื่อมีระบบประกันสังคมเข้ามา เขาต้องถูกบังคับออมเงิน 3% และนายจ้างอีก 3% รวมเป็น 6% เข้าสะสมเป็นเงินออมชราภาพ หมายถึงเดือนละ 420 บาท ที่เขาควรจะดึงเงินออมของตนเองออกมาใช้ได้นั้นก็กลับนำมาใช้ไม่ได้ ต้องถูกบังคับออมกับกองทุนประกันสังคมเอาไว้ เขาจึงไปกู้ยืมจากสถาบันการเงินแบบสินเชื่อเงินบุคคลเงินด่วน อัตราดอกเบี้ย 28% แทน ด้วยเงินก้อนเดียวกัน

    เชื่อหรือไม่ว่า เวลาผ่านไป 15 ปี ยามเขาเกษียณนั้น หากกองทุนประกันสังคมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% ตามคาด นายพอเพียงคนนี้จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพสูงถึง 1.6 แสนบาท นับว่าไม่น้อยเลย แถมยังมีเงินออมในกรมธรรม์ประกันชีวิต 3.8 แสนบาท รวมแล้ว 5.4 แสนบาท เขาน่าจะสบายๆ ใช่ไหม แต่เปล่าเลย เพราะว่าเขากลับติดหนี้สินกับสถาบันการเงินทั้งแบงก์ และนอนแบงก์ ถึง 8.8 แสนบาท ด้วยกลไกของดอกเบี้ยทบต้น ที่ทำให้ยอดหนี้วิ่งเร็วมาก ดังนั้น เขาจึงเกษียณจากงาน ชำระหนี้สินด้วยเงินทั้งหมดที่รับมา พร้อมๆ กับหนี้สินสุทธิที่เหลืออยู่ถึง 3.4 แสนบาท โดยที่อาจไม่มีรายได้เลยในแต่ละเดือน เขาจะอยู่อย่างไร

    ในทางตรงกันข้าม หากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ปล่อยให้เขานำเงินออมตนเองออกมาใช้ได้ทุกเดือน เขาคนนี้ก็จะไม่ต้องติดหนี้สินดอกเบี้ยโหด แต่ละเดือนหมดไปพอดี และมีเงินออมสุทธิสูงถึง 3.8 แสนบาท จากกรมธรรม์ประกันชีวิตยามเกษียณ ซึ่งก็นับว่าดีกว่าระบบปัจจุบันมาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระบบประกันสังคมในปัจจุบันนั้น มีแนวโน้มจะทำให้ผู้ประกันตนส่วนใหญ่จนลง แทนที่จะร่ำรวยขึ้น ตามการสร้างภาพที่สวยหรู เพราะราว 75% ของผู้ประกันตนติดหนี้สินอยู่แล้ว

    นั่นหมายถึงว่า ทุกบาทของการถูกบังคับออมกับประกันสังคมนั้น ผู้ประกันตนกลุ่มที่ติดหนี้อยู่นี้ ได้รับผลตอบแทนที่ติดลบ 23% (5%-28%) คือ ถูกบังคับออมได้รับผลตอบแทนที่ 5% ต่อปีในเวลาเดียวกัน ก็ต้องไปกู้ยืมเงินก้อนเดียวกันที่ใช้ไม่พอในแต่ละเดือนต้องเสียดอกเบี้ย 28% ต่อปี สปส. และ กบข. จึงดูเหมือนว่าได้ร่วมมือทางอ้อมกับสถาบันการเงิน เพื่อดูดเอาผลประโยชน์ หรือดอกเบี้ยส่วนต่างนี้ไปจากมือผู้ประกันตนและข้าราชการ ซึ่งลองประเมินดูแล้วตัวเลขสูงนับแสนล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว

    ในทางตรงกันข้าม หากคนระดับเศรษฐีออมเงินผ่าน RMF, LTF นั้น ลงเงินตัวเองแค่ 63% ได้รับเงินจากรัฐบาลจากเงินลดหย่อนภาษี 37% และคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้นราวเฉลี่ยปีละ 10% ดังนั้น รวมแล้วได้ 47% จากเงินต้นแค่ 63% นั่นคือ ได้รับผลตอบแทนการออม ที่ 75% ต่อปี สูงเหลือเชื่อเลยไหม

    นี่จึงเป็นความอยุติธรรมอย่างยิ่งยวดในสังคมไทย ไม่เพียงแต่ปล่อยให้รายได้แตกต่างกันเป็นร้อยเท่าตัว แรงงานระดับรากหญ้าได้เงินเดือนแค่เดือนละไม่กี่พันบาท ขณะที่ระดับบริหารชั้นเศรษฐีนั้นได้รับกันหลายแสนหรือเป็นล้านต่อเดือน ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยนโยบายประกันสังคม และ LTF ในปัจจุบันยังตอกย้ำสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมยิ่งขึ้นไปอีกต่อผลตอบแทนการออม การลงทุนของประชาชน โดยผู้ประกันตนระดับรากหญ้าซึ่งติดหนี้สินนั้น ได้รับผลตอบแทนการบังคับออมที่ -23% (ถูกบังคับออมขณะเดียวกัน ก็ต้องกู้ยืมหนี้สินดอกเบี้ยโหด ดังนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งออมก็ยิ่งจน) ขณะที่ชนชั้นเศรษฐีรายได้ 4 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปนั้น ผลตอบแทนการลงทุนคาดหวังได้ที่ +75% ต่อปี และทำให้คนกลุ่มนี้ออมเงินมากขึ้นและรวยขึ้น เพราะได้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ใช้จ่าย ณ ปัจจุบันน้อยลง เศรษฐกิจจึงฟื้นตัวช้า ขณะที่ผู้ประกันตนรากหญ้าก็ออมเช่นกัน แต่เป็นแบบบังคับออม เศรษฐกิจไม่ดีนัก รายได้ของพวกเขาก็ไม่เพิ่มจึงจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสิน ทำให้ผลตอบแทนการถูกบังคับออมสุทธิแล้วติดลบ

    หากปล่อยให้ระบบนี้ดำเนินต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น... ผู้ประกันตนกว่าครึ่งจาก 9 ล้านคนเศษ ก็จะประสบกับปัญหาการล้มละลายทางการเงินไงครับ เพราะมือข้างหนึ่งถูกบังคับออมเงินกับ สปส.ได้ 5% ขณะเดียวกัน เงินไม่พอก็มืออีกข้างต้องไปกู้ยืมเงินดอกเบี้ย 28% ยิ่งออมกับ สปส.ก็ยิ่งจน ติดลบเรื่อยๆ สุดท้ายก็ล้มละลายทางการเงิน เพราะไม่มีปัญญาหาเงินมาผ่อนหนี้กับสถาบันการเงิน โดยสาเหตุหลักก็เพราะถูกบังคับออมโดยระบบประกันสังคม โดยไม่สามารถดึงเงินตนเองออกมาได้นั่นเอง

    ทางแก้ไขนั้นก็มีอยู่แล้วใน "เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก" โดยเปิดสิทธิให้ สปส.ค้ำประกันเงินกู้ของผู้ประกันตนไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออมแต่ละบุคคล อัตราดอกเบี้ย 9% ต่อปี ผมใช้ชื่อว่า "สินเชื่อ 99" จะช่วยทำให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินออมของตนเองไป เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้ดอกเบี้ยโหดได้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายการผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ยต่อเดือนไปได้กว่าครึ่ง

    ผมขอเรียกร้องรัฐบาลและ บอร์ด สปส. รีบดำเนินการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเรื่องนี้พวกท่านต้องรีบคืนผลประโยชน์นับแสนล้านบาทต่อปีให้แก่ผู้ประกันตน และข้าราชการรายได้น้อย ไม่ใช่ให้สถาบันการเงินมาตักตวงผลประโยชน์ตรงนี้ไปได้อย่างสบายๆ ไม่เพียงแต่ความยุติธรรมที่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น เงินในมือของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น และช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างดีด้วย พวกท่านสมควรจะต้องรีบพิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน เพราะหากปล่อยไว้อีกไม่นาน แรงงานไทยในระบบ หรือผู้ประกันตนอาจต้องประสบกับปัญหาล้มละลายทางการเงินกว่าครึ่งประเทศก็เป็นได้ครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...