เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยูเออีเฉลยฝนกระหน่ำอาบูดาบีปีที่แล้วเป็นพายุเทียม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 มกราคม 2554 03:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    โครงการสภาพอากาศลับมูลค่า 7 ล้านปอนด์ คือเบื้องหลังของพายุฝนฝีมือมนุษย์ที่โหมกระหน่ำรัฐอาบูดาบี ของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์หลายสิบลูกเมื่อปีที่แล้ว

    เหล่านักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นลูกจ้างของ ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และผู้ครองนครอาบูดาบี ประสบความสำเร็จในการสร้างพายุฝนมากกว่า 50 ลูก ในเขตอัล อิน เมื่อปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่มีฝนตกในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้เชื่อกันว่านี่เป็นครั้งแรกที่สามารถสร้างระบบผลิตฝนท่ามกลางสภาพท้องฟ้าที่แจ่มใส

    นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องยิงประจุไฟฟ้าลบขนาดยักษ์ซึ่งมีลักษณะคล้ายโคมไฟมหึมา ก่อกำเนิดสนามอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบซึ่งนำไปสู่กระบวนการเกิดเมฆในที่สุด
    Manager Online -
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาร์คันซอเจอเรื่องแปลกซ้ำ พบปลาตายนับแสนตามหลังนกร่วงจากฟ้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 มกราคม 2554 04:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ปลาตายนับแสนตัวถูกพบตามชายฝั่งแม่น้ำอาร์คันซอ

    เอเจนซี - เจ้าหน้าที่สัตว์ป่าอาร์คันซอ สหรัฐฯ งานเข้า พยายามเร่งมือสืบสวนหาสาเหตุพบปลาตายกว่า 100,000 ตัวในแม่น้ำสายหนึ่ง รัศมี 20 ไมล์ระหว่างเขื่อนโอซาร์คกับสะพานทางหลวงแห่งหนึ่ง ในแฟรงคลิน เคาน์ตี ณ ช่วงเวลาใกล้เคียงกับเกิดเหตุนกสีดำกว่า 1,000 ตัวจู่ๆก็ร่วงมาจากท้องฟ้าเหนือเมืองแห่งหนึ่งในมลรัฐเดียวกันนี้

    คีธ สเตีเฟนส์ เจ้าหน้าที่ของ คณะกรรมาธิการสัตว์ป่าอาร์คันซอชี้แจงว่า "เราได้รับแจ้งจากเจ้าของเรือโยงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพบปลาตายลอยอยู่ตามฝั่งและทางน้ำไหลของแม่น้ำอาร์คันซอ เจ้าจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบในทันที"

    ทีมสืบสวนจากหน่วยงานท้องถิ่นและมลรัฐ เข้าเก็บตัวอย่างในพื้นที่ โดย สตีเฟนส์ บอกว่าการพบปลาตายบริเวณดังกล่าวเป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในทุกปี แต่ทว่าปีนี้นับว่ามีจำนวนมากผิดปกติและคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากโรคระบาดสืบเนื่องจากภาวะมลพิษ

    สตีเฟ่นส์ กล่าวว่าปัญหามลพิษอาจส่งผลกระทบต่อปลาเหล่านั้น และ "90 เปอร์เซ็นต์ของปลาตายเป็นพวกกินอาหารตามพื้นก้นแหล่งน้ำ ดังนั้นสาเหตุจึงไม่น่าจะใช่การตกปลาในอาร์คันซอ" พร้อมระบุว่าเจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างปลาที่ยังมีชีวิตและป่วยหนักไปด้วย เพื่อนำไปตรวจสอบ ณ ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ

    เจ้าหน้าที่คาดหมายว่าจะสามารถระบุถึงจำนวนปลาตายได้อย่างแน่ชัดในวันจันทร์(3) ขณะเดียวกันพวกเขาบอกว่าจะพยายามเปิดเผยผลการตรวจสอบสาเหตุการตายของมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    นอกจากเหตุปลาตายแล้ว ทางคณะกรรมาธิการสัตว์ป่าอาร์คันซอ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุนกแบล็กเบิร์ดกว่า 1,000 ตัวจู่ๆก็ร่วงมาจากท้องฟ้าเหนือเมืองแห่งหนึ่งในวันที่ 31 ธันวาคม โดยสาเหตุที่อาจเป็นไปได้สาเหตุหนึ่งซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาสันนิษฐานกันคือ อาจตายเพราะพลุไฟที่คนจุดฉลองปีใหม่

    ทั้งนี้ล่าสุดสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างรายงานของสำนักข่าวเคเออาร์เค ระบุว่าเหตุปลาตายนับแสนตัวในแม่น้ำอาร์คันซอ ถูกพบก่อนหน้ากรณีนกตายอย่างลึกลับเพียง 1 วันและอยู่ห่างจากเมืองบีเบ จุดที่นกแบล็กเบิร์ดนอนตายกลาดเกลื่อนเพียง 100 ไมล์เท่านั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าพวกมันน่าจะตายเพราะเชื้อโรค เหตุมีเพียงปลาสายพันธุ์เดียวคือปลาดรัมฟิช(drum fish)เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ
    Around the World - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกิลีกส์ - ข่าวกรองและชั้นความลับ

    โดย : กาแฟดำ
    วันที่ 4 มกราคม 2554

    ปรากฏการณ์ใหญ่ของโลกปีที่ผ่านมา คือ Wikileaks อันหมายถึง การขโมยเอกสารลับของทางการมาเปิดโปง โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความโปร่งใส
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ให้กับการบริหารบ้านเมืองของผู้มีอำนาจ

    ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมถูกต้อง เพราะเป็นการเอาความจริงที่สาธารณชนพึงจะต้องรับรู้มาเปิดเผย หรือว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่สมควรจะถูกประณาม และต้องมีการลงโทษกันให้เข็ดหลาบ เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นแบบอย่าง

    นายจูเลียน อัสซานจ์ เจ้าของวิกิลีกส์ ที่ได้โทรเลขลับระหว่างกระทรวงต่างประเทศมะกันกับสถานทูตต่างๆ ของตนสองแสนกว่าฉบับแล้วนำมาเปิดโปงจนกลายเป็นเรื่องร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ "ข่าวกรอง"

    แต่ถึงวันนี้ รัฐบาลสหรัฐก็ยังไม่รู้ว่าจะตั้งข้อหานายอัสซานจ์ อย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ระบุไว้ชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิจะต้องรู้ว่ารัฐบาลของตนทำอะไรในนามของตนบ้าง

    ตราบเท่าที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าการเปิดเผยรายละเอียดของข้อมูลเหล่านั้นยังไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ ก็ยังไม่อาจจะดำเนินการกับเจ้าของวิกิลีกส์ได้

    ส่วนการเปิดเผยข้อมูลอย่างนี้ไปกระทบประเทศอื่นๆ ที่รัฐบาลสหรัฐ มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างไรบ้างเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็ยังคอยดูกันอยู่ว่าจะมีรัฐบาลไหนจับประเด็นมาฟ้องร้องจัดการกับหนุ่มใหญ่ออสเตรเลียคนนี้

    ข้อหาวันนี้ที่รัฐบาลสวีเดน ต้องการตัวเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเอกสารลับที่เขาเอามาแฉ หากแต่เป็นข้อหาเรื่องละเมิดทางเพศที่หลายคนสงสัยว่าเกิดเมื่อไร มีที่มาที่ไปอย่างไร

    แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะขยายความต่อไปอย่างไร อย่างน้อยปรากฏการณ์วิกิลีกส์ ก็จะทำให้ทุกรัฐบาลต้องปรับท่าทีและทัศนคติต่อคำว่า "ความลับราชการ" หรือ "ข่าวกรอง" ที่รัฐถือว่าเป็นสมบัติของผู้มีอำนาจทางการเมืองในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น โดยที่ชาวบ้านทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะรับรู้

    เมื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่รวดเร็วคล่องแคล่วและไร้พรมแดน และระดับการรับรู้ของชาวบ้านไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ผู้ปกครองก็ไม่อาจจะกำหนดเส้นแบ่งระหว่าง "ความลับราชการ" กับ "ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ" ตามมาตรฐานเดิมอีกต่อไป

    ซึ่งแปลว่าสังคมไทยจะต้องแก้ไขกติกาพื้นฐานว่าด้วย "เสรีภาพแห่งข่าวสาร" เพื่อสร้างความรับผิดให้กับนักการเมืองและข้าราชการต่อประชาชนเจ้าของประเทศในระดับที่สูงขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

    เพราะในโลกประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนต้องเป็นผู้ตัดสินว่าอะไร คือ "ความลับราชการ" และอะไร คือ "ข้อมูลสาธารณะ"

    อำนาจของการ "เก็บความลับ" ต้องไม่ใช่อยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่จะใช้ "ความลับราชการ" เหล่านั้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน

    สังคมใดมี "ความลับราชการ" มาก สังคมนั้นมีปัญหามาก และสังคมนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องความไม่ชอบมาพากลมาก เพราะหมายความว่า ประชาชนไม่อาจจะตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติหน้าที่ของคนที่อาสามาทำงานให้ประชาชนได้

    กฎหมายว่าด้วยการจัดลำดับ "ความลับราชการ" ของไทยยังขาดความโปร่งใส และคำว่า "เสรีภาพแห่งข่าวสาร" (freedom of information) ซึ่งหมายถึง การเปิดทางให้สิทธิประชาชนที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง และกว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่

    ทุกวันนี้ แม้เราจะมีกฎหมายว่าด้วย "เสรีภาพแห่งข่าวสาร" แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่เคารพในเจตนารมณ์ของคำว่า "เคารพในสิทธิของการรับรู้ข่าวสาร" ของประชาชนอย่างจริงจัง

    เป็นอย่างนี้เสมอ...เราอ้างว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่เราเพียงแค่เอาชื่อมาใช้ ไม่ได้สนใจเนื้อหาและสาระในทางปฏิบัติ และไม่ได้เชื่อในจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจังแต่อย่างไร

    เรื่องของการเปิดเผยข้อมูลก็เช่นกัน...เราอ้างว่าเราเชื่อในเสรีภาพข่าวสาร แต่ถึงเวลาปฏิบัติเรากลับทำอะไรเหมือนเดิม เพราะเราอยู่ท่ามกลางความกลัว และอาการหวงอำนาจ

    แต่หากเราไม่ทำข้อมูลให้เปิดกว้างต่อประชาชน ปรากฏการณ์ Wikileaks ก็จะเกิดขึ้นได้ในหลายๆ รูปแบบ อย่างที่ผู้กุมอำนาจทั้งหลาย ไม่อาจจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย

     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Social Media : "สื่อแห่งปี"ปลุก"ยักษ์"ในตัวคุณให้ตื่นแล้ว

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 2 มกราคม 2554 01:00

    ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีหรือสัปดาห์แรกของปีใหม่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหนังสือพิมพ์ทั่วโลกและในไทยก็หลีกหนีไม่พ้นจะต้องคัดเลือกข่าวเด่น
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ข่าวดังข่าวดับ 10 อันดับสรุปเหตุการณ์ เพื่อช่วยเตือนความจำของคนอ่าน
    รวมทั้งการเฟ้นหา "บุคคลแห่งปี" ในรูปแบบต่างๆ คอลัมน์ต่างๆ จะมีเนื้อหาในทำนอง "เหลียวหลังแลหน้า" เพื่อมองบทเรียนเพื่อวาดหวังไปถึงอนาคตของเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาหมอดูโหราจารย์มักจะอวดอ้างตำราพยากรณ์ปีหน้าว่าจะเกิด "ข่าวร้าย-ข่าวดี" อะไรบ้าง
    นิตยสารไทม์เคยยกย่องให้ YOU หรือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็น Person of The Year ประจำปี 2549 ด้วยเหตุผลว่าเว็บไซต์ต่างๆ ได้เข้าสู่ยุค 2.0 User Generated Content ที่มีเว็บไซต์ดังๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือ "คนใช้อินเทอร์เน็ต" เช่น Myspace Youtube Wikipedia ฯลฯ ได้ทำให้บทบาทของ Citizen Reporter โดดเด่นขึ้นจนทาบรัศมีของ "นักข่าวอาชีพ" แบบเดิมๆ
    ปีนี้นิตยสารไทม์ได้ประกาศให้ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.facebook.com เป็นบุคคลแห่งปี เพราะเว็บไซต์ของเขาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมโลก ในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกทั่วทุกมุมโลกเข้ามาเจอกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ จนก่อให้เกิดความสัมพันธ์แบบใหม่บนชุมชนใหม่ในโลกออนไลน์ ที่มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว 585 ล้านคน (ตัวเลขล่าสุดสิ้นปี 2553) เทียบเท่ากับประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากเป็นลำดับที่สาม รองจากประเทศจีนและอินเดีย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ใช้ www.facebook.com ในสหรัฐอเมริกาในปีที่แล้ว (2553) สามารถเอาชนะเว็บไซต์ประเภทค้นหาข้อมูลอย่าง www.google.com ได้อย่างเหลือเชื่อ คนอเมริกันเป็นสมาชิก facebook มากเป็นอันดับหนึ่งในโลก 146 ล้านคน คิดเป็น 47.38% ของจำนวนประชากรอเมริกันหรือเกือบครึ่งหนึ่ง จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนอเมริกันในการใช้ facebook เพื่อสื่อสารทุกๆ เรื่องกันตลอดเวลา
    ในประเทศไทยปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นประเทศที่มีสมาชิก facebook เพิ่มขึ้นมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จนทะลุไปเกินกว่า 6.73 ล้านคน คิดเป็น 10.14% ของประชากรไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ของโลก
    (อ่านสถิติทุกประเทศในโลกนี้ที่เป็นสมาชิก Facebook www.socialbackers.com/facebook-statistic)
    จึงไม่แปลกใจที่ในปีที่ผ่านมา สื่อออนไลน์ประเภท Social Media ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย คือ Facebook กับ Twitter ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์หลายอย่างในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่น่าจะใช้เวลาไตร่ตรองบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อในปี 2554 จะเป็นปีที่คนไทยสามารถเป็น "นาย" ของ Social Media ได้อย่างไร ในการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าปล่อยให้ Social Media ทำลายสังคมไทย
    สภาพแวดล้อมของ "สื่อแบบดั้งเดิม" (Traditional Media) ของประเทศไทยที่มีปัญหาในเชิงโครงสร้าง กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่สื่อหลักๆ ที่เป็นสื่อกระแสหลัก เช่น สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี 5-6 ช่อง และหนังสือพิมพ์รายวันระดับประเทศที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ข่าวสารและก่อร่างความคิดสร้างค่านิยมบางอย่างให้คนไทยมีอยู่ 4-5 ฉบับมานานเกินกว่า 10-20 ปี ที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
    ในปีที่ผ่านมา "สื่อรูปแบบใหม่" (New media) ได้มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวทางสังคมมากกว่าสื่อดั้งเดิมแล้ว ทั้งการนำเสนอข้อเท็จจริงที่เด่นชัดมากกว่า การแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง การแสดงตัวตนเป็นสื่อส่วนบุคคลที่อิสระต่อสื่อดั้งเดิม การสร้างกระแสจิตสาธารณะ ฯลฯ
    จึงขอยกย่องให้ Social Media เป็น Media of The Year ของประเทศไทย ที่ทำให้ "ทุกคนเป็นนักข่าว" ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนสามารถท้าทายต่ออิทธิพลของสื่อแบบดั้งเดิมในประเทศไทย อย่างสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีและหนังสือพิมพ์ระดับชาติ ที่มีส่วนชี้นำความคิดของคนไทยมายาวนานให้เสื่อมมนต์ขลังลงบ้างแล้ว
    Twitter Facebook เป็นสื่อออนไลน์ระดับโลก ที่ทำให้สื่อดั้งเดิมของไทยหวั่นไหว นักข่าวของสื่อแบบดั้งเดิมแทบทุกสำนักได้เริ่มเข้ามาใช้ Social Media เพื่อการสื่อสารและกระจายข่าวอย่างทันท่วงที เพื่อสนองตอบความใคร่อยากรู้ข้อมูลข่าวสารของผู้บริโภคที่ "หมดความอดทนรอ" ให้ผังรายการโทรทัศน์มาตามกำหนดเวลา หรือรอหนังสือพิมพ์วางแผงในตอนเช้าอีกต่อไปแล้ว
    นับจากเครือเนชั่นได้สร้างปรากฏการณ์ "นักข่าวภาคสนาม รายงานข่าวและภาพเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม" ที่ผ่านมาจากนโยบาย Twitter เชื่อมโยงกับ Facebook ได้อย่างดียิ่ง ที่แม้กระทั่งสื่อดั้งเดิมของตัวเองยังทำไม่ได้ จนทำให้เกิด "ชุมชนสาวกทวิตเตอร์เนชั่น" เป็นสมาชิกรวมกันมากกว่า 300,000 คน ภายใน 2 เดือนเท่านั้น มากกว่า "จำนวนสมาชิก" ของสื่อสิ่งพิมพ์ทุกฉบับในเครือเนชั่น ที่ลงทุนสร้างมายาวนาน 40 ปี
    Citizen Reporter นักข่าวพลเมืองอีกหลายคนได้ใช้ Social Media อย่าง Twitter และ Facebook รวมทั้ง www.oknation.net/blog รายงานเหตุการณ์ในช่วงนั้นได้อย่างเยี่ยมยอดไม่แพ้ "นักข่าวตัวจริง" จนทำให้ "ความจริง" ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้อีกต่อไป
    ท่ามกลางความอืดเนือย ล่าช้า ขลาดกลัว ฯลฯ ของสื่อแบบดั้งเดิม ที่ไม่สามารถหรืออาจจะไม่กล้า "ทำหน้าที่" อย่างครบถ้วนในการนำเสนอ "ความจริง" เนื่องเพราะอำนาจพิเศษจากพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สามารถควบคุมการนำเสนอ "ความจริง" ได้เฉพาะสื่อแบบเก่า แต่สื่อแบบใหม่อำนาจรัฐยังย่างกรายเข้าไปได้ไม่มากนัก
    การต่อสู้กันทางความคิดและความเชื่อระหว่างกลุ่มคนที่มีความเชื่อทางการเมืองแตกต่างกัน ที่อาจจะนิยาม ว่า "เสื้อเหลือง" กับ "เสื้อแดง" ได้ใช้พื้นที่ Social Media ทุกรูปแบบ เปิดสงครามแยกชิงมวลชนกันอย่างดุเดือดไม่แพ้ การปะทะกันบนถนนราชดำเนินสี่แยกคอกวัว หรือสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ได้ถูกวิพากษ์ ว่า "เลือกข้าง" เข้าข้างรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้นำเสนอ "ความจริง" อย่างครบถ้วน และนำเสนอ "ความเห็น" อย่างกล้าหาญเป็นอิสระ
    แม้ว่าสถานการณ์การชุมนุมเสื้อแดงได้เหลือแค่เดือนละ 2 ครั้ง แต่การใช้ Social Media เพื่อระดมพลอย่างได้ผลทุกครั้ง และยังเกิด "สงคราม" ข้อมูลข่าวสารอยู่เนืองๆ ผ่าน Facebook และ Blog จนบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือ "โฆษณาชวนเชื่อ" ปล่อยข่าวปล่อยของเพื่อชิงพื้นที่ข่าว
    อีกสถานการณ์หนึ่งในประเทศไทยที่ Social Media ได้เข้ามามีบทบาทอย่างเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่เกิดสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมฉับพลันเกือบครึ่งประเทศ ปรากฏว่า Citizen Reporter ที่มี "จิตอาสา" ได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่งในการรายงานสถานการณ์จากพื้นที่น้ำท่วม และสื่อแบบดั้งเดิมยังเข้าไปถึง
    นักข่าวพลเมือง อาสาสมัคร นักไอที ฯลฯ จากทั่วทุกสารทิศได้ประสานมือกันผ่าน Facebook Twitter Blog ฯลฯ เพื่อนำ "ความจริง "สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ให้ปรากฏผ่าน Social Media และสื่อแบบดั้งเดิม แล้วระดม "ความช่วยเหลือ" เข้าไปถึงมือผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที จนทำให้เกิด "เครือข่ายจิตอาสา" ของเหล่าอาสาสมัครสำหรับการเตือนภัยต่างๆ ผ่าน Social Media ที่เป็นรูปเป็นร่างไม่ฉุกละหุกอีกต่อไปแล้ว
    หากเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ขึ้นในปี 2554 น่าเชื่อได้ว่า "เครือข่ายจิตอาสา" จะทำหน้าที่อย่างแข็งขัน สื่อภาคพลเมืองจะระดมความช่วยเหลือ "พลเมือง" กันเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครร้องขออีกต่อไป
    แต่ยังมีข้อควรคำนึงอย่างหนึ่งของด้านลบ Social Media ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพที่หาได้มี "จิตอาสา" จริงๆ เหล่ามิจฉาชีพได้ใช้ Social Media หลอกลวงทำตัวเป็น "อาสาสมัคร" แต่แท้จริงแล้วได้ฉกฉวยสิ่งของเงินทองจากผู้บริจาคไปเป็นสมบัติส่วนตัวจำนวนมากเช่นกัน
    การใช้ Social Media สร้างกระแส "เกลียดชัง" หรือกระแส "คลั่งไคล้" ทำได้ง่ายมาก จนน่าห่วงว่าสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็น "ดาบสองคม" ที่หากไม่ระมัดระวังจะสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอย่างยากจะแก้ไขได้ทันท่วงที
    กรณี "เสธ.ไก่อู" โด่งดังได้รับความนิยมเหนือกว่าดาราชายอย่าง "ติ๊ก-เจษฎาภรณ์" อย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์เมษายน-พฤษภาคมเลือด ผ่านจากการโหวตบนเว็บบอร์ดแล้วนำไปสู่การสร้าง Fanpage ของ เสธ.ไก่อู จากบรรดาผู้ชื่นชอบสร้างขึ้นมาให้เพื่อ "แบ่งปัน" (Sharing) กระจายไปชั่วข้ามคืนนับแสนคน
    ผู้คนในโลกออนไลน์และโลกจริงได้เกิดกระแส "คลั่งไคล้ เสธ.ไก่อู" อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    ตรงกันข้ามกับกรณี "น้องเก๋งซีวิค" หลังจากภาพสาวกระโปรงสั้นยืนพิงเกาะกลางโทลล์เวย์แล้ว มือกด "บีบี" ที่มีฉากรถเก๋งซีวิคสีขาวยับเยินประกอบอยู่ได้ถูกโพสต์ขึ้น Twitter แล้วกระจายเป็น Virus ไปทั่ว Social Media ทุกชนิด จนไปสู่ Fanpage ประเภท "มั่นใจคนไทยเกินล้านคนเกลียด..." ได้ปรากฏตัวขึ้นเพียงแค่ไม่กี่นาที ได้มีสมาชิก Facebook กดเป็นสมาชิกนับหมื่นคน แล้วถล่มทลายเกินกว่าแสนคนในกลางดึกคืนนั้น
    ผู้คนในโลกออนไลน์และโลกจริงได้เกิดกระแสแบ่งปัน "เกลียดชังน้องเก๋งซีวิค" อย่างรุนแรง ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
    จนผู้ปกครองไม่กล้าจะพา "น้องเก๋งซีวิค" ออกมากล่าวคำ "ขอโทษ" ต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญของผู้คนในสังคม ที่กำลังอิ่มเอมความสุขสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ผ่านมา เพราะคำพูดของผู้คนบนแฟนเพจเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวกราดขาดเหตุผล ไม่พร้อมฟังคำอธิบายได้เกิดขึ้นกลายเป็น "เสียงส่วนใหญ่" ที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้
    สื่อกระแสหลักอย่างสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ถูกวิพากษ์และประณามว่าสื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพล "นามสกุลดัง" ทำให้ไม่กล้าบอกชื่อ "น้องเก๋งซีวิค" ที่อายุ 16 ปี แม้จะมีความพยายามอธิบายว่าการนำเสนอภาพใบหน้าและชื่อจริงของเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นการกระทำผิดกฎหมาย ก็ไม่มีใครบนโลกออนไลน์ยอมรับฟังบ้าง
    จึงขอยกย่องให้กระแสการใช้ Social Media ในประเทศไทยผ่านทาง Facebook Twitter Blog ให้เป็น Media of the Year 2553 ที่ได้ปลุก "ยักษ์" ในตัวคนไทยหลายล้านคนให้ "ตื่น" ขึ้นมา อย่างไม่มีใครจะหยุดยั้งได้อีกต่อไปแล้วในปี 2554
    พวกเขาจะกล้าลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นอย่างคึกคักยิ่งในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยหรือเห็นด้วยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องงอนง้อหรือนั่งรอคอย "สื่อแบบดั้งเดิม" เลือกจะนำเสนอหรือไม่อีกต่อไปแล้ว การสร้าง "สื่อส่วนบุคคล" (Personel Media) ที่ไม่พึ่งพา "สื่อเก่า" ในประเทศไทยอันล้าหลังในเชิงโครงสร้างสื่อที่ใช้คลื่นความถี่ การสร้าง "เครือข่ายจิตอาสา" ผ่าน Social Media ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิด "ภัยพิบัติ" ครั้งใหม่
    ปรากฏการณ์นี้ มี "พลังบวก" ที่จะแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์สังคมได้และอีกด้าน "พลังลบ" ที่พร้อมจะแสดงบทบาททำร้ายจิตใจ-ทำลายสังคมให้สับสนวุ่นวายมากยิ่งขึ้นได้
    สวัสดีปีใหม่ 2554 ขออำนวยพรให้ผู้อ่านคอลัมน์นี้ทุกคน จงประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่มุ่งหวัง ขอพลังจงอยู่กับทุกๆ ท่านเพื่อร่วมกันฝ่าฟัน ร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความดีงาม

    Social Media : "
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หมอดูกับสังคมไทย

    โดย : อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
    วันที่ 31 ธันวาคม 2553

    ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา จะพบว่าคนในสังคมไทยทุกชนชั้นหันเข้าไปหาหมอดูมากขึ้น เราจึงได้ยินชื่อของโหรประจำคณะทหารที่ทำรัฐประหาร (คมช.)
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เห็นข่าววัยรุ่นก็ไปชุมนุมรอคิวไปหาหมอดู แถวถนนรัชดาฯ รับรู้ถึงการขยายตัวของลัทธิแก้กรรม ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอ่านชะตากรรม หนังสือคู่สร้างคู่สมได้รับชื่อเสียงเรื่องหมอดู หมอทรัพย์ สวนเมืองเป็นคอลัมนิสต์คนเดียวที่มีจดหมายมาบ่นถึงเมื่อย้ายที่เขียน

    การหันไปพึ่งพิง "อำนาจเหนือธรรมชาติ" ในรูปแบบต่างๆ ขยายตัวและซึมลึกมากขึ้นในสังคมไทย ผมถามนักศึกษาในชั้นเรียนทุกปีว่ามีใครบ้างบนบานศาลกล่าวขอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ใครบ้างไม่ได้บน ผลปรากฏว่าร้อยละเก้าสิบของนักเรียนจะ "บน" และประมาณร้อยละห้าสิบของนักศึกษาที่บนบานศาลกล่าวจะ "บน" มากกว่าหนึ่งแห่ง

    จึงไม่น่าแปลกใจ ที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ก็ไปต่อคิวหมอดูเหมือนกันกับที่กรุงเทพฯ

    การเข้าหาหมอดูจะไม่เกิดขึ้นในสังคมที่ปั่นป่วนจริงๆ เพราะหากตกอยู่ในสภาพปั่นป่วนคนก็จะรู้ว่าช่องทางรอดที่เหลือน้อยอยู่ตรงไหนและจะมุ่งไปที่นั่น หากแต่จะอยู่ในสังคมที่ดูเหมือนว่ามั่นคง แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นสังคมไร้ระบบหรืออย่างน้อยที่สุดคนก็รู้สึกว่ามิติบางด้านของสังคมมันไร้ระบบ ดังที่เราจะเห็นได้ว่าก่อนฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการจะมีข้าราชการวิ่งไปหาหมอดูกันขาขวิดทีเดียว

    นอกจากสังคมไร้ระบบหรือถูกรับรู้ว่าไร้ระบบแล้ว คนจำนวนมากของสังคมไทยเป็นคนที่ไม่รู้จักสังคม ไม่รู้จักความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายบรรดามีที่เกิดขึ้น และที่สำคัญ ไม่รู้จักตัวเอง จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดแก่ตัวเขาได้ วิธีเดียวที่จะทำให้เขา "เข้าใจ" ปรากฏการณ์ได้ คือ การไปหา "หมอดู" หรือไปหา "แม่ชี" เพื่อแก้กรรม

    แม้ว่าในบางคนของกลุ่มคนไร้ศักยภาพทางความคิดนี้ จะพยายามอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ศักยภาพที่จะทำให้เชื่อกลับไม่พอที่จะกล่อมตัวเองให้เข้าใจได้ก็ต้องไปสยบยอมกับหมอดู

    ธรรมดาของคนเราทุกยุคทุกสมัยก็ย่อมต้องการรู้อนาคตทั้งสิ้น แต่คนสมัยก่อนต้องการรู้อนาคตเฉพาะเรื่องที่สำคัญถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ได้อยากจะรู้อนาคตไปเสียทุกเรื่องอย่างคนปัจจุบัน เช่น ในสังคมชาวนา (ซึ่งไม่มีแล้วในสังคมไทย) ก็อาจจะไปหาพ่อหมอเพื่อทำนายทายทักอาการความเจ็บป่วย แต่ย่อมไม่ไปหาพ่อหมอเพื่อทำนายว่าวันพรุ่งนี้จะปลูกข้าวดีหรือเปล่า

    การที่คนในสังคมไร้ศักยภาพในการเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมและไม่เข้าใจตนเอง ซึ่งทำให้จัดวางตนเองในชุมชน

    การที่คนในสังคมไทยกลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคม และไม่เข้าตนเอง จนไม่รู้ว่าจะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของตนอย่างไรในชุมชน ที่ทำงาน หรือสังคม ทำให้คนกลุ่มนี้มักจะมองหาแพะนอกตัวของตนเองเสมอ หมอดูหรือนักลัทธิแก้กรรมทั้งหมดก็จะอธิบายด้วยการโทษไปที่ส่วนข้างนอกพฤติกรรมจริงๆ ของคน เช่น ดวงหรือกรรม คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนไม่มีการศึกษานะครับ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมมักจะขำในใจเสมอ คือ เพื่อนผมคนหนึ่งมีการศึกษาสูง แต่เผอิญสะเพร่าทำน้ำท่วมบ้านที่ปลูกใหม่ และต้องเสียเงินเสียความรู้สึก เมื่อผมได้ข่าวก็ไปให้กำลังใจ แทนที่เธอจะอธิบายด้วยความสะเพร่าหรือความขี้ลืมของตนเอง เธอกลับอธิบายไปทำนองว่ามัน "ขึด" เพราะนำบ้านสองหลังมาต่อกันเป็นหลังเดียวด้วยสีหน้าท่าทางว่าเชื่อเช่นนั้นจริงๆ (ฮา)

    เอาเข้าจริงๆ แล้ว การศึกษาของไทยกลับเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนไทยไร้ศักยภาพในการเข้าใจความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายบรรดามีที่เกิดขึ้น และเมื่อไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงก็ไม่รู้จะจัดวางตนเองเข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงมาอย่างไร

    การศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ควรจะสร้างให้คนเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเข้าใจตนเองกลับไม่ได้ทำหน้าที่นี้ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะครูอาจารย์ในสังคมไทยเองติดกับดักสองด้าน ด้านแรก ได้แก่ กับดักความเลอเลิศของความเป็นไทย ซึ่งรวมเอาความเข้าใจกระพี้ของศาสนาด้วย อีกด้านหนึ่ง คือ การคิดว่ามนุษย์นั้นมีธรรมชาติคงที่ ดังนั้น การสอนวิชาอะไรที่ควรจะเป็นพื้นฐานของความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยจึงเหลือเพียงแค่เป็นการสอนแค่ระดับความเลอเลิศของสังคมวัฒนธรรมไทย ซึ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย ที่สำคัญ ก็จะสร้างวิชาทำนองว่า "บัณฑิตที่พึงประสงค์" "ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง" หรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจทั้งความเป็นบัณฑิตและความเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ เพราะในท้ายที่สุด ก็เป็นการสอนแบบนิทานอีสปที่สรุปว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...

    กับดักสองอย่างที่กำกับไปอย่างกว้างขวาง ผมเดาว่าครูในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยคงต้องผ่านการประเมินจากนักศึกษา และมีอยู่ข้อหนึ่งในการประเมินการสอน ได้แก่ การสอนของครูคนนั้นได้สอดแทรกศีลธรรม จริยธรรมหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกอย่างยิ่ง เพราะการสอนวิชาต่างๆ หากสอนให้มีจรรยาบรรณทางวิชาการไม่ลอกใครมาก็เป็นศีลธรรมแล้ว เหตุที่ต้องสร้างการประเมินที่ตื้นเขินแบบนี้ ก็เพราะคนออกแบบประเมินไม่รู้ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แฮ่ๆ ผมมักจะเล่นตลกกับนักศึกษาก่อนจะจบการสอน ด้วยการถามว่า "ศีลห้ามีอะไรบ้าง" (ซึ่งแปลกมากนักศึกษาจำนวนหนึ่งตอบได้ไม่ครบ) แล้วผมก็สรุปว่าผมได้สอดแทรกศีลธรรม จริยธรรมแล้วนะ จากนั้นก็จะเริ่มด่าแบบประเมินแบบนี้และลงท้ายด้วยการบอกนักศึกษาว่าให้ผมศูนย์ได้เลยในข้อนี้ได้เลย

    ทำอย่างไรจะให้ระบบการศึกษาไทยเป็นพลังในการทำให้นักเรียนนักศึกษาสามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคม ชุมชน และตัวเองได้มากกว่านี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำ ก็คือ จะต้องปรับหลักสูตรสังคมศึกษาในโรงเรียน และหลักสูตรวิชาพื้นฐานทางด้านสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ให้หลุดพ้นจากกับดักทางความคิดทั้งสองประการ ที่สำคัญ จะต้องให้อาจารย์ที่เก่งที่สุดสอนวิชาพื้นฐาน ไม่ใช่คนเก่งไปสอนวิชาระดับสูง

    สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนต่อมา ได้แก่ ยกเลิกการสอนคณะศึกษาศาสตร์ในระดับปริญญาตรี แต่ให้เปิดเป็นการสอนในระดับใบประกอบวิชาชีพที่รับนักศึกษาที่จบวิชาปริญญาตรีวิชาเอกต่างๆ มาเข้าเรียน ขณะเดียวกัน ก็ต้องเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับวิชาที่เรียกกันว่า "วิชาครู" เพื่อจะได้ผลิตครูที่จะออกไปสอนหนังสือมีภูมิรู้ที่กว้างขวางและลึกซึ้ง และ "วิชาครู" ที่สำคัญ ได้แก่ วิชาที่ทำให้ครูเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกที่สลับซับซ้อน

    ท้ายที่สุดนี้ ขอคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขสมหวังตลอดปี 2554 (แหม ขออำนาจเหนือธรรมชาติอีกแล้ว) ดังนั้น เอาใหม่อีกรูปแบบหนึ่งครับ ขอให้พวกเราทุกท่านที่อยู่กับสังคมไทยได้ร่วมพลังกับสร้างสรรค์สังคมไทยรอดพ้นจากวิกฤติทั้งปวง สวัสดีปีใหม่ครับ

     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เศรษฐกิจไทยในปีที่เปลี่ยนผ่าน

    โดย : ธงชัย สันติวงษ์
    วันที่ 4 มกราคม 2554

    ผมได้เขียนบทความแนวการบริหารมาติดต่อกันนาน พอๆ กันกับอายุของ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ เริ่มแรกโดยการติติงเรื่องของประสิทธิภาพการบริหาร
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ที่มักถูกมองข้ามและเป็นนิสัยของเถ้าแก่ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในบรรดานายธนาคารที่ใช้สไตล์ "เสี่ย" สั่งลุยให้ถึงเป้า แต่ไม่ติดตามประสิทธิภาพการบริหารภายใน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ จนทำให้ต้องหาทางรักษากำไรมาชดเชย โดยการ "ขยายส่วนต่างดอกเบี้ย"

    ผมได้เขียนครั้งแรกเพื่อให้ธนาคารรู้ตัวเองและให้ประชาชนทราบ ใน "ทัศนภาพการจัดการ" นสพ.ผู้จัดการ ก่อน แล้วจากนั้น จึงมาเขียน "การบริหารรัฐ จัดการธุรกิจ" ด้วยการชวนของ คุณอดิศักดิ์ ในยุคที่กระแสเรื่อง "รีเอ็นจิเนียริ่ง" เป็นที่สนใจเต็มที่

    แล้วได้เขียนติดต่อเรื่อย และโดยเหตุผลที่เป็นอดีตนักเรียนทุน ก.พ.จึงตอบแทนหนี้ข้าวแดงแกงร้อนของประชาชน กับเพื่อให้ได้ติดตามโลกที่เปลี่ยนไว ด้วยอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ทำงานมากับธนาคารนานนับสิบปี กับได้เคยรับใช้ผู้ใหญ่ "คนดีของแผ่นดิน" หลายท่าน

    กับในฐานะเป็นครูอาจารย์และเคยเป็นผู้บริหารมาก่อน จึงเต็มใจเขียนให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบเรื่องร่วมสมัยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง กับหวังให้มีจิตสำนึกด้านคุณธรรมคู่กัน แต่ทำได้แค่ไหนเพียงใด ยั่งยืนหรือไม่ ไม่ทราบได้ ที่แน่ๆ และที่รู้สึกได้ คือ เมืองไทยมีช่องว่างแห่งความรู้มาก มีการลอกเลียนแบบสูง กับมีการประชาสัมพันธ์สร้างภาพเกินขนาด รวมทั้งมีการวิพากษ์น้อยเกินไป ทำให้ไม่มีโอกาสเห็นแง่มุมต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพคนและพลังในการรักษาประเทศชาติกับธรรมชาติให้ยั่งยืนได้

    ลักษณะไทยในสายตาผม คือ คนไทยปรับตัวเก่ง ริเริ่มได้ดี แต่ไม่สามารถสร้างสมความเจริญ เพื่อการเติบโตได้ จึงอันตรายที่จะโตแบบไม่ยั่งยืน พร้อมกับสูญเสียของรักและหวงแหน คือ ทรัพย์สมบัติส่วนตัว ของกิจการและของชาติโดยรวม

    ที่ผมไม่อยากให้เป็น คือ ไม่อยากเห็นคนไทยต้องกลายเป็น "ไวกิ้งแห่งเอเชีย กับยิปซีของโลก" ตะลอนไปขายแรงงานในต่างแดน โดยปล่อยให้ต่างชาติมาใช้อยู่และกลืนกินทรัพยากรของเรา ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มากด้วยการเปลี่ยนแปลงและมีข่าวสารข้อมูลและเงินเป็นกลไกการรุก

    กับ อยากให้ช่วยกันแก้ไข นิสัยเก่าของเราที่ขาดวินัย ระเบียบและความอดทน แต่มีความทันสมัยใช้จ่ายสมถะอย่างพอเพียง โดยมีความรู้สู้และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้

    ผมเป็นเพียงแรงหนึ่งที่ทำงานแบบนี้ แต่ก็เต็มใจ ทั้งๆ ที่เบื่อหน่าย เห็นประเทศของเราไม่คืบหน้าถูกทิ้งห่างโดยคู่แข่งเก่า ไกลมากขึ้นเรื่อย โดยเข้าใจดีว่า คนไทยเป็นคนรักสบาย ลืมง่าย ฉลาด กับ ไม่ชอบพูดความจริง รวมทั้งขี้อิจฉาด้วย

    ทุกปีที่ผ่านมา เมื่อถึงวาระปีใหม่ ในฐานะอดีตคนทำงานวางแผน ผมจะคาดคะเน และชี้ถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น และที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อให้นักธุรกิจและนักบริหารกับชาวบ้านได้ติดตามเหตุการณ์ และระวังตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน

    ในปีนี้ เนื่องจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ที่ต่อเนื่องมาจนถึงการมีข้อขัดแย้งครั้งใหญ่ จึงมองได้ไม่ชัดเจน แต่ก็เห็นได้ถึงสิ่งผิดปกติ ที่ฝ่ายการเมืองจะสร้างความเสียหายแก่ประเทศได้

    ทั้งนี้ นับตั้งแต่ราวช่วงอดีตนายกฯ ชาติชาย ผมได้ถูกถามถึงบุคคล 2 คน ว่า คือ ลูกเต้าของใคร ซึ่งครั้งนั้น ผมทราบดีว่า เขาคนนั้น คือ Investment Banker รายใหญ่ของชาติยักษ์เศรษฐกิจมหาอำนาจ ที่เริ่มตั้งเป้าเดินงานเข้าสู่ประเทศไทย ด้วยการขนย้ายทุนข้ามชาติ และเตรียมครอบงำเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

    ไม่น่าเชื่อว่า แผนการนั้นได้ผลและสำเร็จไปเป็นขั้นๆ ภายใต้การสูญเสียอย่างไม่รู้ตัวหรือไม่รู้สึกใดๆ ของคนไทย ที่ชัดเจน คือ ธุรกิจค้าปลีก โชห่วย สถาบันการเงิน การผลิตขนาดเล็ก หรือ SMEs กับตัวแทนจำหน่ายในไทยของสินค้าต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจเจ้าสัว รุ่นเสื่อผืนหมอนใบ ที่ล่มสลาย และหายเงียบไปจำนวนมาก

    ภาพการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่หลุดจากการถูกผมติดตามจับภาพไว้ทุกขณะ แต่ไม่ได้ปล่อยออกมาอย่างที่ควร อย่างไรก็ตาม สำหรับปีที่ผ่านมา หลังจากดำเนินการทางยุทธศาสตร์มาติดต่อกันกว่าสามสิบปีแล้ว ปีที่กำลังจะหมดไปนี้ ดูจะเป็นปีสำคัญของ "ข้อต่อเหตุการณ์" โดยมีการปรับรวมฐานให้มั่นคงเป็นแผ่นเดียวที่แน่นหนาของต่างชาติ ที่ถือครองเศรษฐกิจไทยไปได้แล้วถึงราว 60-70% โดยสามารถปักหลักและวางตัวคนที่เป็น "ม้าใช้" ไว้ทำงานในหน่วยงานสำคัญได้สำเร็จ พร้อมกับยังเดินหน้าต่อไป โดยไม่พึงต้องยำเกรงใดๆ

    ทั้งหมดนี้ ปรากฏขึ้นในภาพการเมืองไทย ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ไม่ได้หยุดนิ่งใดๆ หากแต่ยังคงคึกคัก จนกำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ปีใหม่ที่จะมาถึง

    สิ่งที่ผมเห็นว่า สำคัญเป็นภาพใหญ่ คือ เศรษฐกิจไทย ในมือของธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทยที่ค่อนข้างจะมีอำนาจเหนือตลาด ด้วยการผูกขาดนั้น ได้มีการปักหลัก รุกคืบและขยายตัวสูงมาก แต่เป็นการโตแบบ "สไตล์เถ้าแก่กับเสี่ยสั่งลุย" ภายใต้ความอ่อนแอของรัฐบาล ที่คล้ายจะไม่ประสา แต่ก็มีแววว่า ตั้งใจทำตามที่ได้มีถูกชี้นำและครอบงำตลอดมา

    เช่น การดำเนินนโยบายเงินบาทแข็งค่า ที่ได้กล่าวเสมอมาว่า เพราะเขากำลังเดินยุทธศาสตร์ ซื้อและควบรวมทรัพย์สินกิจการของไทย รวมไปถึงการกำเงินไทยออกไปซื้อของถูกในอาเซียน-อินโดจีน ดังเช่น มีข่าวต่อมาว่า ชาตินักลงทุนรายใหญ่ 3 ชาติ ทิ้งหุ้นอมตะไทย แล้วไปซื้ออมตะเวียดนาม เป็นต้น และขณะนี้ ในภูมิภาคหลายแห่งได้เริ่มกลายเป็นแหล่งฐานสำหรับรุกขยายต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ โดยมีกรุงเทพฯ เป็น "ศูนย์สั่งการใหญ่" ดังที่น่าแปลกใจว่าอยู่ๆ ก็มีกรรมการนโยบายการเงิน ออกมาปรามเรื่องการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จนทำเอาคนไทยที่จองไว้ ต้องปล่อยให้ต่างชาติที่มาใหม่ ในยุคสมัยสถาบันการเงินทำบริการข้ามโลกได้อย่างเสรี ขณะที่คนไทยเองกลับได้รับความสำคัญเพียงเป็น "นักบริโภคนิยม" กับดีใจที่มีคนเอาเศษเงินมาซื้อใจคนที่เป็นหนี้นอกระบบ กับผู้เฒ่าที่ถูกดูแคลนและมองข้ามมาตลอด

    ที่น่าเป็นห่วงสุดๆ คือ วิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้คนไทยต้องขายทิ้งกิจการจำนวนมาก ให้ต่างชาติในไทยไป เช่น ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยวและสปา เป็นต้น ทำให้ต้องเสียดาย "ภูมิปัญญา" ไทยที่เก่งออกแบบ สร้างสรรค์กิจการได้เหนือชั้น ต่างกันก็แต่ที่ไม่มีเงินทุนพอเพียงกับขาดพี่เลี้ยงเป็นหน่วยงานสร้างสรรค์ ที่สร้างอะไรไม่เป็นเลย มากำกับอยู่

    กับความเข้าใจเหตุการณ์และใช้เสียงเพื่อชูประชาธิปไตยไทยให้แข็งแรง สำคัญที่สุด ก็คือ การแก้ไขต้องเริ่มต้นที่การ "ยกเครื่องสภามหาวิทยาลัยทุกแห่งเสียใหม่" เพื่อให้เป็นมันสมองของประเทศได้ต่อไป

    แล้วที่สังเกตติดตามได้ ในโค้งสุดท้าย คือ ขณะถึงวาระใกล้เทศกาล และที่จะมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลด้วยการเลือกตั้งใหม่นั้น ครม. ได้ดำเนินการทางยุทธศาสตร์ของธุรกิจการเมืองไปอย่างรวดเร็วและแนบเนียน ดังเช่นมีการอนุมัติให้สร้างโรงงานยาสูบแห่งใหม่ ที่นิคมโรจนะ อยุธยา ซึ่งก็คือ หนังใหญ่เรื่อง "ขุนศึกยามาดา" คืนรัง นั่นเอง แต่ที่สำคัญกว่า คือ แล้วที่ดินของโรงงานยาสูบ (เมื่อโรงงานยาสูบย้ายไปแล้ว) ที่มีไปทั่วทางภาคเหนือกับโดยเฉพาะที่ผืนใหญ่ใจกลางเมือง ใกล้ถนนพระราม 4 หอประชุมสิริกิติ์จะเป็นของใคร นั่นคือ คำถามใหญ่ที่ควรมีไว้ตลอดเวลาในขณะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนี้เอง

    ที่ผมกลัวมาก ก็คือ เกรงว่าปีใหม่นี้จะเป็นปีแห่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ผ่านตลาดทุนไทยต่อจากที่ธุรกิจไทยจีนที่มีอันเป็นไปมากแล้ว ในปีที่เพิ่งผ่านไป

     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    GUERRILLA MARKETING

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 28 ธันวาคม 2553

    วิกฤติเศรษฐกิจโลก ธรรมชาติลงโทษทั่วปฐพีนักการตลาดอย่างเราๆ ต้องพลิกกระบวนท่ากันจ้าละหวั่น
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ในยุคที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก แล้วยังถูกธรรมชาติซ้ำเติมไม่ยั้งแทบทุกหย่อมหญ้าอย่างเช่นทุกวันนี้ ทำให้นักการตลาดอย่างเราๆต้องพลิกแพลงหากระบวนท่ากันจ้าละหวั่นหาทางสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

    ผมจำได้ว่า หลายปีมาแล้วเคยมีภาพยนตร์ทีวีเรื่อง Garrison’s Guerrilla เนื้อเรื่องสนุกมาก เป็นการจารกรรมของกลุ่มพระเอกโดยการนำของแกริสัน การวางแผนจารกรรมดำเนินอย่างรวดเร็วแบบสงครามกองโจร โดยผู้ที่ถูกจู่โจมตั้งตัวไม่ติด Mood & Tone ของหนังเร็ว แรง ลุ้น และเวิร์ค

    ขอเข้าเรื่องเสียที ท่ามกลางความสับสนของการสื่อสารในขณะนี้ Guerrilla Marketing หรือการตลาดแบบกองโจร น่าจะเป็นทางออกที่ดีของนักการตลาด เพราะลักษณะที่ รุกไล่-รุนแรง-รวดเร็ว จึง Work สุดๆ จนสามารถเข้าแทรกแซงการตลาดที่มีรูปแบบตามตำรา ซึ่งทำให้โฆษณาในแบบที่ทำกันมานานเริ่มน่าเบื่อ เพราะ Predictable ให้ข้อมูลมากมาย บางครั้งก็มุ่งให้ความบันเทิงจนกระทั่งขาดสาระ ไม่รู้ว่าต้องการจะบอกอะไร มีภาพยนตร์โฆษณาหลายเรื่องที่ผู้บริโภคชื่นชมเรื่องราว แต่กลับจำชื่อสินค้าไม่ได้

    Jay Conrad Levinson เจ้าพ่อการตลาด G (Guerrilla) marketing เขียนหนังสือเกี่ยวกับการตลาดแบบกองโจรไว้หลายเล่ม ช่วยกรุยทางให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถประมือกับบริษัทระดับอภิมหาได้ เป็นการก้าวเข้าสู่แนวคิดทางการตลาดที่ถึงลูกถึงคนมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ ถึงตัวผู้บริโภคอย่างแรง แนวคิดของ Levinson ไม่ได้มุ่งที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอย่างเดียว แต่บริษัทฯเจ้าของสินค้าจะต้องผลิตสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ เพื่อสนับสนุนโฆษณาด้วยเช่นกัน

    ไม่นานหลังจากนั้น องค์กรใหญ่ๆก็เริ่มใช้ลูกเล่นการตลาดแบบกองโจรในการขายสินค้าของตน แต่ก็ไม่ได้ผลนัก เนื่องจากผู้บริโภคเกิดความฉงนว่า องค์กรใหญ่กำลังทำอะไร? ก้าวล่วงขอบเขตและศักดิ์ศรีความเป็นยักษ์ใหญ่ของตนออกไปทำไม? จนถึงขั้นทำให้รู้สึกว่า กำลังไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค

    ทำไม Guerrilla Marketing จึงเป็นที่นิยมมากนัก?

    เพราะประสิทธิภาพที่เหลือเชื่อ และเป็นกระบวนการที่แหวก (breakthrough –คำยอดนิยมพอๆกับคำว่า”ท้าทาย”) จากแนวทางโฆษณาเดิมๆอย่างสิ้นเชิง

    บางครั้ง การตลาดแบบกองโจร เป็นแคมเปญแบบ Viral Marketing ซึ่งเป็นเทคนิคการตลาดที่ใช้ Social Network สร้างให้เกิดการรู้จักพบเห็นสินค้า (Awareness) อย่างรวดเร็ว ราวกับการระบาดของเชื้อไวรัส วัตถุประสงค์ทางการตลาดคือ การกระจายข่าวสารแบบปากต่อปาก (Words of mouth) แต่ยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ต, มี Twitter, มี Facebook ล้วนเป็นวิธีที่เอื้อให้การตลาดแบบนี้ ได้ผลรวดเร็วกว่าแต่ก่อน

    แนวคิดของ Guerrilla Marketing สร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นการส่งเสริมการขายที่แปลกแหวกแนว โดยใช้เวลา พลัง และจินตนาการ แทนการใช้งบประมาณก้อนใหญ่ เป็นแคมเปญที่คาดไม่ถึง เป็น interactive เกิดขึ้นกับผู้บริโภคในสถานที่ที่ไม่ได้คาดคิด มุ่งหมายสร้างความไม่ซ้ำแบบใคร มีพลังดึงดูดและกระตุ้นให้ผู้พบเห็นเกิดความคิดต่างๆขึ้น
    การตลาดแบบกองโจรเท่าที่พบเห็น เป็นลักษณะการปรากฏตัวในที่สาธารณะ เข้ามาแนะนำตัว สกัดกั้น เพื่อสื่อสารเกี่ยวกับสินค้า แจกตัวอย่างสินค้าตามทางเท้า ริมถนน เช่น การแจกเครื่องดื่มเย็นฉ่ำในวันที่อากาศร้อนจัด, การให้คนแต่งตัวเป็น mascot ออกไปเดินตามถนน หน้าลิฟต์ในอาคารสำนักงาน เป็นการเข้าถึงตัวผู้บริโภคอย่างไม่ธรรมดา เพื่อให้ได้ผลสูงสุดด้วยงบประมาณน้อยสุด การเข้าถึงที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ คือ การใช้เทคโนโลยีทางดิจิทอลซึ่งเป็นการหยุดผู้บริโภคให้เกิดความสนใจ และเป็นการสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับยี่ห้อสินค้าหรือแบรนด์ เพื่อให้จดจำได้นานๆ

    การตลาดแบบกองโจร ไม่เพียงแต่บุกทะลวงถึงตัวผู้บริโภค บางครั้งบางคราวเป็นการช่วงชิง ผู้บริโภคจากคู่แข่ง แบบใครดีใครได้

    GUERRILLA MARKETING -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จากปลายท่อ สู่ต้นตอของปัญหา

    โดย : จำลักษณ์ ขุนพลแก้ว
    วันที่ 28 ธันวาคม 2553

    ลูกหลานเราจะอยู่อย่างไร ถ้าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจนยากเกินการควบคุม
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT> ความจริงแล้วธรรมชาติและสภาพแวดล้อม เป็นปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจและควบคุมได้อยู่แล้ว แต่เราก็พยายามจะแสดงตนเหนือมัน ถึงวันนี้เราคงรู้แล้วว่าใครมีอิทธิพลเหนือใครกันแน่จากมหันตภัยทั้งหลายที่เกิดขึ้น และกำลังจะก่อตัวรุนแรงขึ้นในอนาคต ตอกย้ำให้เห็นชัดจากผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยขาดจิตสำนึกทางสังคมนั่นเอง สำหรับมืออาชีพแล้วสำนึกและความรับผิดชอบเป็นหัวใจสำคัญ
    จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และแพร่กระจายไปในศตวรรษที่ 19 การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มขึ้นในช่วงปี 1950 แนวความคิดช่วงนั้นไม่ได้ให้ความสนใจและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีการจัดการอยู่บ้างแต่ยังไม่เป็นระบบ และไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นกำเนิด โดยมีเทคนิคในการเจือจางความเข้มข้นหรือพยายามกระจายมลพิษออกไปในวงกว้าง เช่น การต่อท่อระบายน้ำเสียลงสู่กลางทะเลโดยไม่ได้รับการบำบัด การทำให้ปล่องระบายอากาศเสียมีความสูงเพื่อสามารถจะกระจายมลพิษออกไปได้ไกลขึ้นจากจุดกำเนิด หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงการบำบัดมลพิษ เนื่องจากมีการสะสมมลพิษจำนวนมากขึ้นทั้งในดิน น้ำ และอากาศ ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนบริเวณแหล่งกำเนิดมลพิษนั้นมีคุณภาพลดลง ห่วงโซ่อาหารได้รับผลกระทบ จึงเริ่มมีการกำหนดค่ามาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับมลพิษหรือของเสียที่ปล่อยออกนอกโรงงานหรือแหล่งกำเนิด เช่น ค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง มาตรฐานอากาศที่ปล่อยออกจากปล่อง มาตรฐานอากาศในจุดปฏิบัติงานเพื่อให้การบำบัดมลพิษเหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งมักเรียกวิธีดังกล่าวว่า ”End of Pipe Treatment”
    แม้ว่าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างจิตสำนึกที่ดีขึ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถระงับยับยั้งความเสียหายที่สะสมมาหลายร้อยปีได้ ในฐานะที่ภาคการผลิตเป็นกลไกสำคัญในการลดผลกระทบที่จะมีขึ้นกับสิ่งแวดล้อมได้ จึงมีความพยายามอย่างมากที่จะพัฒนาเครื่องมือในการส่งเสริมการผลิตที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด อาทิ Clean Technology (CT) Waste Minimization (WM) Cleaner Production (CP) และ Pollution Prevention (P2) เครื่องมือเหล่านี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
    องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเซีย (Asian Productivity Organization หรือชื่อย่อว่า APO) ได้พยายามผลักดันให้บรรดาประเทศสมาชิก (ซึ่งปัจจุบันมี 20 ประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย) ได้นำหลักการของ Green Productivity หรือ GP ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วยการเพิ่มผลิตภาพควบคู่ไปกับการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมด้วยการลดมลพิษให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด
    สำหรับนิยามของ GP อ้างอิงจาก “Handbook on Green Productivity” ซึ่งจัดทำโดย Asian Productivity Organization (APO) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “Green Productivity is …a strategy for enhancing productivity and environmental performance for overall socio-economic development. It is the application of appropriate techniques, technologies, and management systems to produce environmentally compatible goods and services. Green Productivity can be applied in manufacturing, service, agriculture, and communities”
    GP จึงถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องมีการดำเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมาย ด้วยการสร้างจิตสำนึก และความตระหนักต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และดำเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) แม้ว่าจะเห็นผลในทันทีที่มีการปรับปรุงเกิดขึ้น แต่การรักษาสภาพที่ดีนั้นให้คงอยู่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน
    การพัฒนาตามแนวทาง GP จำเป็นต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญของ “การพึ่งพาอาศัยกันของระบบ
    เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (Interdependency of Economic, Social, and Environmental Systems)” โดยมุ่งเน้นใน 3 ประเด็นหลัก ที่เรียกว่า GP’s Triple Focus ได้แก่
    • สิ่งแวดล้อม (Environment) โดยคำนึงถึงสังคม ชุมชน ผู้มีส่วนได้เสีย เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
    • ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) การผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่มีความสูญเปล่าสิ้นเปลือง
    • คุณภาพ (Quality) ผลลัพธ์ที่ได้สอดรับกับความต้องการลูกค้า ทั้งในรูปของสินค้าและบริการ
    นอกจากนั้นยังอาจแบ่งเป็นประเด็นมุ่งเน้นในทางปฏิบัติได้ 3 เรื่องด้วยกันคือ (1) Waste Prevention การจัดการกับของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการ (2) Energy Conservation การใช้พลังงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ และ (3) Pollution Control การควบคุมมลพิษไม่ว่าจะเป็นอากาศพิษ น้ำเสีย และขยะ เนื่องจากการบำบัดมลพิษเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง การลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามทาง GP จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ
    แนวความคิดด้าน GP มีวิธีการเหมือนกับวงจรของการดำเนินตามระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 และขยายวงไปสู่แนวคิด CSR ในปัจจุบัน แบ่งเป็นช่วง การวางแผน (Plan) การนำไปปฏิบัติ(Do) การติดตามและวัดผล (Check) และการทบทวนและตัดสินผลการดำเนินการ (Act) สำหรับ GP ไม่มีข้อกำหนดที่ระบุถึงการจัดทำ ควบคุมเอกสารและบันทึก ดังนั้นการนำ GP ไปใช้ไม่มีความยุ่งยากในการจัดเตรียมเอกสารและไม่มีการให้ใบรับรอง สิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของการนำ GP ไปใช้ คือความมุ่งมั่นต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการนำไปปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นเรื่อง ลดการใช้น้ำ พลังงาน สารเคมี การใช้สารเคมีทดแทน การหมุนเวียน และการนำกลับมาใช้ใหม่

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โกลด์แมนตีมูลค่าเฟซบุ๊ค5หมื่นล้านดอลล์

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 4 มกราคม 2554
    [​IMG]

    เฟซบุ๊คส่อแววทรงอิทธิพล หลังข่าวเผยระดมทุน 500 ล้านดอลล์จากโกลด์แมนแซคส์ และบ.รัสเซีย ในข้อตกลงที่ให้มูลค่าบริษัท 50,000 ล้านดอลล์
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT>หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์รายงานอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับข้อตกลง ว่าบริษัทโกลด์แมน แซคส์ ลงทุน 450 ล้านดอลลาร์ในเฟซบุ๊ค และบริษัทดิจิทัล สกาย เทคโนโลยีส์ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของรัสเซีย ลงทุนอีก 50 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทหลังนั้นลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ในเฟซบุคอยู่แล้ว
    ทั้งเฟซบุ๊ค และโกลด์แมนปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกับข่าวนี้
    <!-- Tags Keyword -->
     
  10. pongsakn

    pongsakn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +12
    เข้าล๊อคเปะ บิงโก เพราะตามคำทำนายบอกว่า ปลายปี 2012 โลกจะวิบัติ หายนะ จากภัยนอกโลก จากภัยที่มนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมจนย่อยยับ และดังบทความข้างต้นคือภัยทางเศรษฐกิจ แล้วมนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะเหลืออะไร แต่ แต่ .....อย่างไรก็ตาม คิดว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา อาจมีปัจจัยดี ๆ เข้ามาบ้าง เพราะสมการที่ว่า 1+ 1 =2 อาจไม่ใช่ เพียงแต่ควรตั้งสติอย่างไม่ประมาท หากเศรษฐกิจสหรัฐฯพัง สงครามคงไม่ยากที่จะเกิดขึ้นอีก และที่สำคัญ คู่ต่อการสหรัฐฯครั้งนี้คือประเทศจีน ไม่ใช่ประเทศกระจอก ๆ ดังที่สหรัฐฯเคยไปก่อสงครามประเทศเขา อย่างไรก็ตาม ประเทศทั่วโลกคงไม่ต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐต้องล้มลงแน่นอน เพราะมันจะไปกระทบระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ที่สำคัญตลาดหุ้นทั่วโลกคงพังพินาศตามไปด้วย ยิ่งในโลกเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ตลาดหุ้นถือเป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าในไทยมันจะเป็นส่วนไม่มากนัก แต่ทำให้เศรษฐกิจของไทยล้มมาแล้ว 2 ครั้ง เพราะตลาดหุ้น มันเกี่ยวพันไปหมดสำหรับโลกยุคนี้ ประชาชนธรรมดาคงต้องรับกรรมไปตามระเบียบเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้น
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

    คำเตือนครั้งสุดท้าย : ความบ้าคลั่งของสังคมที่หลงทาง


    The End is Getting Near !!!
    จุดจบใกล้เข้ามาแล้ว !!!

    How big does America's annual budget deficit have to get before you begin to question the sovereignty of American Government?

    จะต้องให้อเมริกาขาดดุลย์งบประมาณประจำปีสูงขึ้นไปอีกเท่าไหร่ ก่อนที่คุณจะตั้งคำถามว่ารัฐบาลอเมริกัน "ถังแตก" หรือไม่?

    How much total debt can the economy hold before you begin to question whether or not it can be repay?

    ระบบเศรษฐกิจจะสามารถรองรับหนี้ได้อีกเท่าไหร่ ก่อนที่คุณจะตั้งคำถามว่าจะจ่ายคืนได้หรือไม่?

    How high do the price of Gold & Silver have to go before you realize there is something that already happened?

    ต้องให้ราคาทองคำและเงินพุ่งขึ้นไปอีกเท่าไหร่ คุณถึงจะเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว?

    How many new rules and regulations on trade and capital and finance will have to be implemented before you finally reallize that you're screwed?

    จะต้องให้มีกฏเกณฑ์ใหม่ๆ ทั้งด้านการค้า การลงทุนและการเงิน ตั้งขึ้นมาอีกเท่าไหร่ ก่อนที่คุณจะตระหนักได้ว่า "เราถูกหลอก" ?


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/WRvjufH29vE?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1

    <WBR></WBR><WBR></WBR><WBR></WBR>


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/blog-post_04.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-04T09:21:00+07:00>9:21 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-1287399262050286998")); } </SCRIPT>Insider by Lindsey Williams ( Special ) ........ " The Elite Speak "


    ในเวอร์ชั่นพิเศษนี้จะเป็นการขยายความและเจาะลึกลงไปในรายละเอียด ของ Insider หรือข้อมูลภายในที่เค้านำมาเปิดเผย (ความยาว 59 นาที)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/L1SNyAlsXDY?fs=1&hl=en_US&rel=0 width=480 height=295 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/insider-by-lindsey-williams-special.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-04T09:10:00+07:00>9:10 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-4488432624172570501")); } </SCRIPT>2011 Outlook with " Gerald Celente "


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/m5RbbPWebZc?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x006699&color2=0x54abd6 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2011/01/2011-outlook-with-gerald-celente.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2011-01-04T09:07:00+07:00>9:07 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-8494846211337696118")); } </SCRIPT>จอร์จ โซรอส กับ " จีน ระบบใหม่ เงินสกุลใหม่ การจัดระเบียบโลกใหม่ในด้านการเงิน "


    " New World Order,
    I think this is a healthy and painful adjustments the world have to go through " ...George Soros...


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Ki4cqqMZ7JE?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x2b405b&color2=0x6b8ab6 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America

    [​IMG]
    Jan 3 2011, 9:52 PM
    yim (guest): http://www.moneytalks.net/<WBR>daily-updates/<WBR>4741-year-end-breakout-in-<WBR>silver-new-highs-in-copper<WBR>-gold-next.html

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 3 2011, 9:54 PM
    yim (guest): http://www.midasletter.com<WBR>/<WBR>index.php/<WBR>2011-is-the-year-of-the-pr<WBR>ecious-metals-junior-miner<WBR>s-10123101/<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 3 2011, 9:55 PM
    yim (guest): http://www.moneytalks.net/<WBR>daily-updates/<WBR>4738-how-to-protect-yourse<WBR>lf-from-a-resumption-of-tr<WBR>ouble.html

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มังกรพร้อมกู้วิกฤติหนี้ เศรษฐกิจ-การเงินสเปน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 มกราคม 2554 13:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    แฟ้มภาพ – รองนายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียงแถลงในการประชุมเศรษฐกิจโลกปี 2553 ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จีนเชื่อมั่นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ-การเงินของสเปน ลั่น จีนพร้อมแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของสเปน (ภาพเอเอฟพี)

    เอเยนซี - รองนายกรัฐมนตรีจีนเชื่อมั่นว่าสเปนจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ ลั่น “จีนพร้อมสนับสนุนการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของสเปน”

    รองนายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง เยือนกรุงมาดริดของสเปนอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งจะเยือนอังกฤษและเยอรมณีด้วย หลี่ประกาศวานนี้ (3 พ.ย.) ว่า “จีนเป็นผู้ลงทุนระยะยาวในตลาดการเงินยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสเปน เรามั่นใจว่าตลาดการเงินสเปนที่ประสบสภาวะหนี้สาธารณะจะสามารถฟื้นฟูได้ และจีนจะต้องมีมาตรการสนับสนุนสเปนเพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ลงทุนรายใหญ่”

    การฟื้นฟูเศรษฐกิจ-การเงินของสเปนเป็นเรื่องสำคัญสุดในยุโรปในขณะนี้ เนื่องด้วยขนาดเศรษฐกิจสเปนใหญ่เป็นสองเท่าของ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกสรวมกัน ขณะที่เมื่อสิ้นเดือน ก.ย. 2553 หนี้สาธารณะของสเปนเพิ่ม 57.7 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเทียบกับเมื่อปี 2552 ซึ่งเพิ่ม 53.2 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลอย่างหนัก

    สำนักข่าวซินหวายกคำกล่าวของ จู ปังเจ้า ทูตจีนประจำกรุงมาดริด ว่า “จีนเต็มใจที่จะช่วยเหลือสเปนฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และการพบปะระหว่างหลี่ เค่อเฉียงกับโฆเซ่ หลุยส์ โรดริเกซ ซาปาเตโร่ นายกรัฐมนตรีสเปน และรัฐมนตรีคลังเอเลนา ซาลกาโด เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยการพูดคุยครั้งนี้จะเน้นการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกัน”

    ขนาดเศรษฐกิจสเปน ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศในสหภาพยุโรป ทว่าตกฮวบลงมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2551 ในช่วงที่โลกประสบวิกฤติการเงิน กอปรกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูง ทำให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกของสเปนประจำปี 2553โตเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ไตรมาสสองเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์ และไตรมาสสามแย่สุด 0 เปอร์เซ็นต์

    China - Manager Online -
     
  13. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    โพสต์ <abbr class="published" title="2011-01-04T05:41:20+00:00">วันนี้, 12:41 PM</abbr>
    [​IMG]


    หมดนี่คือ 450 ล้านดอง ครับ !!!!!

    อย่าหวังจะซื้อ บ้านพักตากอากาศที่ศรีพันวาหรือซื้อเรื่อยอร์ชเที่ยวทะเลที่ดูไบนะครับ หมดนี่ ซื้อทองแท่งได้แค่ 3 แท่งครับ
    Nexttonothing: วันนี้, 12:50 PM

    [​IMG]
     
  14. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    ฟองสบู่ รอบใหม่ ใกล้ แตก แล้ว
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->Crazy Rabbit 20 ธ.ค. 53</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Update : สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ (กำลังอยู่ใน New Normal จริงหรือ)

    เมื่อหลายเดือนก่อนผมนำข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐมาให้ดูกันนะครับ ข้อสรุปในตอนนั้นคือยังไม่แน่ว่า ต่อไปจะดีขึ้นหรือแย่ลง ดูกราฟอะไรก็ไปข้างๆ (sideway) แต่ก็มีหลายคนอ่านแล้วออกความเห็นประมาณว่า แย่แน่นอนไม่ฟื้น ผมว่าในการลงทุน ทางที่ดีแล้วอย่ามี attitude ใช้ข้อมูลอย่างเดียวครับ อย่าฝังใจกับอะไร

    เศรษฐกิจสหรัฐค่อยๆดีวันดีคืน และโอกาสที่จะเกิด double-dip recession น้อยลงไปทุกที คุณ Bernanke ประธานเฟดเองเคยใช้คำว่า very unlikely ส่วน Dr. Doom Nouriel Roubini เงียบมากช่วงหลังๆ

    ภาพใหญ่เลย Real GDP ของสหรัฐกลับมาใกล้เคียงกับระดับก่อน recession แล้ว น่าจะเท่ากันใน Q4 นี้ นับว่าฟื้นตัวเร็วกว่า ยุโรป และญี่ปุ่น ในขณะที่หนี้สาธารณะ (ต้องบอกว่าก่อนว่า เป็นค่า nominal นะ) ก็พุ่งมาอยู่ที่เกือบ 14 ล้านล้าน US$ ยังไม่ได้รวมอีก 9 แสนล้านที่จะเกิดจากการต่ออายุมาตรการลดภาษี

    ดูผิวเผินก็น่าจะ OK นะครับ แต่การที่มีตัวเลขคนว่างงานถึง 9.8% และเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำทำท่าจะฝืด federal reserve หรือเฟดจึงมีมาตรการ QE2 ตามที่เราทราบกัน

    เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ New Normal แล้วหรือเปล่า คืนวันที่อัตราการว่างงานราว 4-5% จะไม่กลับมาอีกแล้วหรือ เป็นสิ่งที่เราต้องตามดูกันต่อไป <!--MsgFile=0-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    คนที่อธิบายกราฟข้างบนได้ดีกว่าใคร ก็คือคุณ Obama ซึ่งได้พูดไว้เร็วๆนี้ ว่า ...
    (ขอบคุณ BusinessWeek.com) <!--MsgFile=1-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>อ้าว แปะรูปผิด จริงๆผมชอบ Cut the Rope มากกว่านะ <!--MsgFile=2-->
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>คำว่า New Normal นั้นมีมานานแล้ว หมายถึงความผิดปกติที่กินเวลานานจนเป็นความปกติไป คนที่เอาคำนี้มาใช้รอบล่าสุดคือ Bill Gross CEO ของ Pimco กองทุนพันธบัตรใหญ่ที่สุดในโลก พ

    ถ้าจะถามว่า อะไรบางที่มันไม่เป็นปกติ ทำท่าจะเป็น New Normal ก็เห็นจะมีอยู่สองสามอย่างที่เค้าเป็นห่วงกัน 1. อัตราการว่างงาน 2. ตลาดอสังหา 3. เงินเฟ้อ

    1. อัตราการว่าง

    อัตราการว่างในสหรัฐ หรือ Civil Unemployment Rate เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% เมื่อเดือนก่อน หรืออยู่ในระดับ 9.5-10% มาปีกว่าแล้ว ในบางรัฐเช่น California ของผู้ว่าคนเหล็ก ตกงาน 12.4%

    ตัวเลขอัตราการว่างงานนี้ออกจะมึนๆนิดนึงนะครับ ถ้าคุณตกงานและไม่ยากทำงานแล้ว เลยไม่หางานทำ เค้าก็จะไม่นับคุณอยู่ใน Labor Force และไม่นับเป็นคนว่างงาน ดังนั้นตัวเลขการว่างงาน 9.8% นี่แสดงภาพตลาดแรงงานในสหรัฐเพียงมุมเดียว ถ้านับคนที่เคยทำงานและหยุดหางานไปด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ซึ่งเราเรียกคนเหล่านี้ว่า Discouraged Worker ตัวเลขการว่างงานจะกลายเป็น 11.3%

    คนที่กลับเข้ามาได้งาน มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้งาน part-time ซึ่งในตัวเลขจะนับเป็นมีงานทำแล้ว แต่ถ้านับคนเหล่าว่าตกงาน อัตราการว่างงงานจะเป็น 17% หนักเอาการอยู่ นิตยสาร BusinessWeek บอกว่า คนที่ตกงานในเดือนตุลาคม พอถึงเดือนพฤศจิกายน 17 คนได้งานแล้ว 64 คนยังหางานอยู่ และ 19 คนหยุดหางานแล้ว

    สัญญาณที่ดูดีขึ้นคือตัวเลขคนขอใช้สิทธิรับเงินชดเชยจากการว่างงานเป็นครั้งแรก (Initial Jobless Claim) ลดลงอย่างดูมีความหวังในช่วง 3-4 เดือนหลังๆ แปลว่า คนตกงานใหม่ลดลงแล้วนะ แต่เมื่อหักกับตัวเลขการจ้างงานใหม่แล้วอัตราการว่างงานยังไม่ลดลง (ในปี 2010 ทั้งประเทศจ้างงานเพิ่ม 9 แสนกว่าคน โรงงาน Foxconn ในจีนที่รับจ้างผลิต iPhone จ้างงานเพิ่ม 3 แสนคน) <!--MsgFile=3-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>2. ตลาดอสังหา

    มูลค่าอสังหาในสหรัฐหายไปแล้วทั้งสิ้น 9 ล้านล้านเหรียฐจากมูลค่าสูงสุดในปี 2006 กราฟนี้ฟ้องสภาพตลาดบ้านในสหรัฐได้ดี คงไม่ต้องอธิบายเพิ่ม ถึงแม้ mortgage rate จะเตี้ยติดดิน ยอดขายบ้านใหม่ และการสร้างบ้านใหม่ก็อยู่ในระดับต่ำมาก ยังดีตัวเลขยอดขายเก่าในช่วง 3-4 เดือนหลังเริ่มดูดีขึ้น แต่จะกลับมาเหมือนเดิมคงจะหลายปี หรือไม่ก็ new normal ไปแล้ว ความมั่งคั่งของคนอเมริกันเชื่อมโยงกับอสังหาอย่างมาก <!--MsgFile=4-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>3. เงินเฟ้อ ที่น้อยเกินไป

    ประเทศอื่นเค้าขึ้นกันตูมๆ ยูเป็นอะไร แสดงว่ายู export เงินเฟ้อให้ชาวบ้านนี่หว่า พอเงินเฟ้อยูพอดี เพื่อนๆตายหมด <!--MsgFile=5-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>QE2 ตอนนี้เป็นอย่างไร?

    สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง QE นั้นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไปคือ

    1. เป็นนโยบายของเฟด วัตถุประสงค์คือ เพิ่มเงินเฟ้อในสหรัฐ และกระตุ้นการจ้างงาน
    2. โดยการซื้อพันธบัตรจำนวน 600,000 ล้าน US$ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจนถึงสิ้นไตรมาสสองปีหน้า ไม่ได้มีข้อตกลงว่าจะซื้อเท่าไหร่ ในแต่ละเดือน และสามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ พันธบัตรที่จะซื้อส่วนใหญ่เน้นระยะยาว
    3. ในเวลาเดียวกันเฟดจะเอาเงินที่ได้คืนจาก Mortgage Backed Security (MBS กราฟแดง) ที่หมดอายุ มาซื้อพันธบัตรด้วย รวมเงิน QE2 จึงเป็นประมาณ 900,000 ล้าน US$

    ดังนั้นสำหรับเรื่อง QE สิ่งที่ต้องติดตามเป็นอย่างยิ่ง คือตัวเลขเงินเฟ้อและการจ้างงาน

    สิ่งที่ควรจะรู้ต่อไปคือ ตอนนี้เฟดซื้อไปเท่าไหร่แล้ว และแนวโน้มเป็นอย่างไร กำลังจะกลับทิศหรือหยุดการซื้อหรือไม่ เฟดเหมือนเรือบรรทุกน้ำมัน ถ้าจะเลี้ยวต้องออกอาการล่วงหน้าพอสมควร ดังนั้นควรจับตาเส้นสีน้ำเงินซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่อยู่ในมือเฟด ถ้ามีทีท่าหยุดขึ้น แสดงว่า QE2 ใกล้จบแล้ว ตัวเลขนี้ประกาศทุกสัปดาห์ในงบดุลของเฟด

    หรือดูที่นี่
    http://research.stlouisfed.org/fred2/graph/?graph_id=33976&category_id=0 <!--MsgEdited=6-->
    <!--MsgFile=6-->
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>ในทางทฤษฎีคือ ถ้ามี demand ในพันธบัตรเพิ่มขึ้นจากเฟดราคามันควรสูงขึ้น และ yield ควรตกลง อันนี้มีคนถามเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมพยายามให้ดูกราฟว่า จริงๆแล้วตอนนี้ yield มันขึ้นนะไม่ได้ลงซักหน่อย เราอาจจะอธิบายมันได้ว่า

    1. ความคาดหวังเงินเฟ้อในอนาคต (Inflation Expectation) เริ่มสูงขึ้น พันธบัตรจะขายได้ yield ก็ต้องสมน้ำสมเนื้อ แต่เนื่องจาก coupon rate นั้นคงที่ดังนั้น ราคามันจึงตกเพื่อให้ yield สูงขึ้น

    2. รัฐบาล Obama ต่ออายุมาตรการลดภาษีออกไป ทำให้สหรัฐจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ต้องกู้โดยการออกพันธบัตรมากขึ้น ดังนั้นปริมาณพันธบัตรจะทำให้ราคาตก หรืออาจจะมองแบบนี้ก็ได้ว่า รัฐบาลมีหนี้มากขึ้น แสดงว่าความเชื่อถือลดลง ถ้าจะกู้ขอดอกเบี้ยสูงขึ้นสักหน่อย

    ในอนาคตสหรัฐอาจจะอ่วมจากการจ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะก็เป็นได้


    เงินยังไหลเข้า Asia ต่อไปหรือเปล่า?

    ไม่แน่นะครับ ที่ผ่านมาเงินไหลเข้าพันธบัตรไทยและประเทศอื่นๆในเอเชียเยอะมาก เพราะว่ามีส่วนต่างของ yield พันธบัตรอยู่ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูงขึ้นเร็วมากในระยะหลังทำให้ส่วนต่างลดลง วานนี้ 10 yr Treasury Yield ของสหรัฐอยู่ที่ 3.33% ไทยอยู่ที่ 3.84% ไม่ได้ต่างกันมาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่หุ้นเรายังไม่ลงมากอาจเพราะกองทุน RMF LTF คอยช้อนอยู่เหมือนปีก่อน

    เมื่อรวมกับเศรษฐกิจจีนที่ถ้าไม่ landing ก็คงบินต่ำ เงินอาจจะไหลออกจากภูมิภาคก็เป็นได้

    กราฟ 10 Year US Treasury yield vs. SET Index <!--MsgFile=8-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER>
    สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่?

    อันนี้เป็นคำถามที่ควรสนใจมาก เพราะมันกระทบต่อการลงทุนทุกอย่าง fed fund rate อยู่ในช่วง 0-0.25% นะครับ เป็นที่ยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ (เป็นไปตาม Taylor Rule) ในเมื่ออัตรการว่างงานสูง อัตราเงินเฟ้อต่ำ เฟดจึงคงดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์นี้ for extened period (ประชุมทีไรจะพูดคำนี้ ตลาดชอบ)

    แต่ถ้าดูจากราคา Fed Fund Futures (ตลาดสหรัฐนี่มีอะไรให้เล่นเยอะจริงๆ) นักลงทุนคาดว่า เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยในกลางปีหน้า ก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกกันนะครับ

    ของอังกฤษนี่คาดว่าจะก่อนสหรัฐเล็กน้อย <!--MsgFile=9-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER>
    ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน
    ขอบคุณ BusinessWeek, Krugman และ St. Louis Fed

    ฝากไว้ให้คิด : Thailand นี่ New Normal แล้วใช้มั้ยเศรษฐกิจจะโตแค่ 4-5% หรือต่ำไปอีกนาน เพราะแรงงานเราหมดประเทศแล้ว ประกอบกับเราไม่เก่งเรื่องเทคโลโลยี่ แต่ข้อดีคือ ทุนเราเริ่มมีเยอะ ในทางเศรษฐศาสตร์ GDP = f(L,K,T) นะครับ ถ้าจะให้มันไปต่อ ต้องเพิ่ม Labour Productivity และสร้างเทคโนโลยี่

    ก็ดูกันต่อไำปว่าไทยจะพ้นจาก Middle Income Trap นี้ไปได้หรือเ้ปล่า


    ลืมแปะค่าเงิน Asia <!--MsgFile=11-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    ตัวเลขสำคัญอีกหลายๆตัว
    ขอบคุณ econoday.com <!--MsgEdited=23-->

    <!--MsgFile=23-->
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พลิกปูมสัมพันธ์ มังกร-อินทรี ปี 2010 จับตาสหรัฐสกัด 'ดาวรุ่ง' แห่งเอเชีย (จบ)
    31 ธันวาคม 2553 - 00:00
    ตลอดปี 2010 สหรัฐกับจีนพยายามคลี่คลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างกัน และแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง เพราะต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ในระยะยาวแล้ว วอชิงตันย่อมไม่พ้นต้องหวาดระแวงปักกิ่งว่าอาจผงาดขึ้นมา แล้วรื้อโครงสร้างอำนาจที่สหรัฐยังคงครองฐานะนำในโลกเวลานี้
    แม้มหาอำนาจทั้งสองจะมีเรื่องกินใจกันหลายเรื่องอย่างที่เล่าไว้ในตอนที่แล้ว แต่นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดร.จิงถงหยวน ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งศูนย์ศึกษาความมั่นคงระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า ต่างยังคงเปิดช่องทางสื่อสารถึงกันตลอดเวลา
    ประธานาธิบดีโอบามา ได้พบกับผู้นำจีน หูจิ่นเทา ในหลายเวที เช่น ที่ประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงเกี่ยวกับนิวเคลียร์ เวทีจี 20 และเอเปก และยังได้หารือกันทางโทรศัพท์หลายครั้ง ซึ่งช่วยให้ความสัมพันธ์กระเตื้องขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่เสื่อมถอยลงไป
    ขณะเดียวกัน ระดับเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการเยี่ยมเยือนกันไปมาในหลายวาระ ซึ่งเป็นโอกาสที่ต่างฝ่ายต่างได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น คลี่คลายประเด็นที่มองต่างมุมกัน และหาทางออกต่อปัญหาต่างๆ เช่น การประชุม Strategic and Economic Dialogue (S&ED) หรือ "เวทีหารือว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์" ครั้งที่ 2 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้ได้ข้อตกลงนับสิบฉบับ ครอบคลุมทั้งเรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
    หลังจากหารือกันนาน จีนได้เห็นพ้องกับมาตรการลงโทษอิหร่านเพิ่มเติมในเรื่องนิวเคลียร์ และหลังจากระงับมานาน 9 เดือน การหารือในกิจการทหารของจีนกับสหรัฐก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม ที่เมืองฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย และอีกครั้งที่กรุงวอชิงตันในเดือนธันวาคม รัฐมนตรีกลาโหมของจีน เหลียงกวงเลีย ได้พบกับโรเบิร์ต เกตส์ เมื่อเดือนตุลาคมในเวทีประชุมระดับรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเกตส์กำลังจะไปเยือนจีนในเดือนมกราคม 2011
    ลมผันลมผวนในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐในรอบปี 2010 เป็นไปในสภาพที่อเมริกากำลังติดหล่มในปัญหาระดับโลกหลายเรื่อง ในขณะที่จีนกำลังเติบใหญ่และมั่นใจในตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองไม่ได้เหมือนกับช่วงสงครามเย็นที่สหรัฐกับโซเวียตเผชิญหน้ากัน จีนกับสหรัฐนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกันในหลายด้านและมีผลประโยชน์โยงโยกันอยู่อย่างมาก
    สหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับสองของจีนรองจากสหภาพยุโรป ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2010 จีนค้ากับสหรัฐเป็นมูลค่า 371,000 ล้านดอลลาร์ แม้ยังมีความไม่ลงตัวในเรื่องการเสียเปรียบดุลการค้า เรื่องค่าเงินหยวน และเรื่องสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา แต่สหรัฐก็ได้ส่งออกมายังตลาดจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    จีนยังคงให้สหรัฐหยิบยืมเงินไปใช้ผ่านการซื้อพันธบัตรของกระทรวงการคลังอเมริกัน ซึ่งมีมูลค่ารวม 883,000 ล้านดอลลาร์เมื่อนับถึงเดือนสิงหาคม 2010 ขณะเดียวกัน จีนยังคงส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นมูลค่ามหาศาล
    ทั้งสองฝ่ายยังตระหนักด้วยว่า ถึงอย่างไรก็ต้องร่วมกันคลี่คลายปัญหาทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค ที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เช่น ปัญหาโลกร้อน สิ่งแวดล้อม การแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ ไปจนถึงเรื่องโรคระบาด และโจรสลัด
    อย่างไรก็ตาม แม้มีความเห็นพ้องกันว่าต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่จีนกับสหรัฐก็มักมีจุดยืนต่างกันในเรื่องแนวทางวิธีการ หรือในประเด็นที่ว่า ใครควรทำมากน้อยแค่ไหน ลงทุนลงแรงอย่างไร แบกรับภาระรับผิดชอบเพียงใด อีกทั้งต่างยังคงไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน หวาดระแวงในเจตนาของกันและกัน และวิตกต่อความเป็นไปในอนาคต
    แม้ปักกิ่งยอมรับว่า สหรัฐมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพในย่านเอเชีย-แปซิฟิก แต่ก็รู้สึกคลางแคลงใจต่อการเดินหมากของอเมริกันในภูมิภาคนี้ เช่น กรณีสหรัฐขยายความสัมพันธ์กับเวียดนาม กระชับความเป็นพันธมิตรกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ดังเช่นกรณีการซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่ใกล้กับเขตแดนทางทะเลของจีน เป็นต้น ซึ่งปักกิ่งมองว่าเป็นความพยายามที่จะตีวงล้อมจีน
    การที่สหรัฐยังคงมีบทบาททางทหารในเอเชียตะวันออก นับเป็นการท้าทายต่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของจีน ในขณะที่จีนพยายามรักษาบูรณภาพแห่งดินแดน และยืนยันสิทธิของตนในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้
    กรณีที่สหรัฐมีโอกาสเข้าแทรกแซงมากที่สุด คือ วิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งหากปักกิ่งกับไทเปเกิดขัดแย้งกันถึงขั้นใช้อาวุธ กองทัพจีนคงต้องเผชิญหน้ากับกองทัพสหรัฐซึ่งมีแสนยานุภาพสูงกว่า
    ขณะเดียวกัน วอชิงตันก็ขัดอกขัดใจที่นโยบายด้านการทหาร และการปรับปรุงกองทัพของจีนขาดความโปร่งใส เมื่อเร็วๆ นี้ เพนตากอนออกรายงานเกี่ยวกับขีดความสามารถทางทหารของจีน ระบุว่า กองทัพจีนกำลังวางยุทธศาสตร์ป้องกันการเข้าถึงดินแดนจีนโดยใช้ทั้งอาวุธตามแบบและอาวุธนอกแบบ เช่น ขีปนาวุธทำลายเรือ, ขีปนาวุธทำลายเป้าหมายบนภาคพื้น, ขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งสามารถถล่มเป้าหมายในระยะ 2,000 กิโลเมตรได้
    อาวุธเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือในการป้องกันพื้นที่ในย่านแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อกองทัพเรือสหรัฐที่จะเข้าเปิดยุทธการในภูมิภาคนี้
    ปักกิ่งกับวอชิงตันยังมีแนวทางแตกต่างกันในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ทางทหารด้วย ขณะที่สหรัฐแยกแยะว่าการหารือด้านการทหารกับข้อพิพาททางการเมืองนั้นเป็นคนละเรื่องกัน และเน้นในเรื่องมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความโปร่งใส จีนกลับมองว่า ความสัมพันธ์ทางการเมืองต้องมีความหนักแน่นมั่นคงก่อน จึงจะเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกันได้
    จีนได้เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และสามารถฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก ทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มาได้อย่างสบายๆ นั่นทำให้จีนมีความมั่นอกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตน ปักกิ่งจึงไม่อินังขังขอบนักกับเสียงเรียกร้องจากวอชิงตัน ไม่ว่าในเรื่องค่าเงิน เกาหลีเหนือ หรือโลกร้อน
    ภายในจีนเอง บรรดาผู้กำหนดนโยบายก็กำลังถกเถียงกันว่า จีนควรเข้าช่วยแบกรับภาระในการแก้ปัญหาของโลกมากน้อยแค่ไหน และทำแล้วจีนจะได้อะไร รวมทั้งประเด็นที่ว่า จีนควรรับมืออย่างไรกับพลังภายนอกที่คุกคามผลประโยชน์หลักของจีน เช่น พวกที่ขายอาวุธให้ไต้หวัน พวกที่แสดงท่าทีจะเข้ายุ่งเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน เป็นต้น
    ในระยะเฉพาะหน้านี้ จีนคงไม่มีเจตนาที่จะท้าทายบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคนี้ และยอมรับว่าอเมริกามีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพ แต่ในระยะข้างหน้า คาดว่าจีนจะเล่นบทกร้าวมากขึ้นในอาณาบริเวณที่จีนมองว่าเป็นเขตอิทธิพลของตน ซึ่งอาจสวนทางกับความต้องการของสหรัฐที่อยากจะเป็นพี่เบิ้มในแถบนี้ต่อไป
    เมื่อจีนผงาด สหรัฐย่อมมองว่า ยุทธศาสตร์ที่จะครองอำนาจนำในเอเชีย-แปซิฟิกต่อไปก็คือ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบพันธมิตร และแสนยานุภาพทางทหาร ทว่านั่นก็จะทำให้จีนมองว่าอเมริกากำลังพยายามจะสกัดกั้นและปิดล้อมการผงาดของจีน
    หากไม่จัดวางดุลอำนาจในภูมิภาคให้เหมาะสม จีนกับสหรัฐอาจปะทะกันเข้าสักวันก็เป็นได้ แล้วภูมิภาคนี้ก็จะปั่นป่วนไปหมด เพราะหลายประเทศมีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐและจีน
    การเยือนวอชิงตันในเดือนมกราคม 2011 นับเป็นโอกาสอันดีที่หูจิ่นเทาจะได้สมานไมตรีกับโอบามา ผู้นำทั้งสองต่างรู้ดีว่า ถ้าปล่อยให้ความหวาดระแวงบานปลายเป็นความขัดแย้ง ผลประโยชน์ที่เคยมีร่วมกันก็จะปลาสนาการไปสิ้น

    พลิกปูมสัมพันธ์ มังกร-อินทรี ปี 2010 จับตาสหรัฐสกัด 'ดาวรุ่ง' แห่งเอเชีย (จบ) | ไทยโพสต์
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บราซิลผวา!เร่งสอบเหตุพบปลาตาย100ตันตามชายฝั่ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>5 มกราคม 2554 04:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ปลาตายเกลื่อนชายฝั่งของบราซิล

    เอเจนซี - ผลสำรวจของสหพันธ์ชาวประมงเมืองปารานากัว ในรัฐปารานาของบราซิล พบปลาตายอย่างน้อย 100 ตันตามชายฝั่งของรัฐแห่งนี้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว(30) โดยเวลานี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบสาเหตุ

    รายงานข่าวระบุว่าเมื่อวันอาทิตย์(2) ตัวแทนจากสถาบันสิ่งแวดล้อมปารานาพร้อมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพย์กรน้ำ เข้าเก็บตัวอย่างปลาเพื่อนำไปตรวจสอบสาเหตุการตายของปลาจำนวนมหาศาลครั้งนี้ และคาดหมายว่าจะเปิดเผยผลตรวจสอบเบื้องต้นได้เร็วๆนี้

    ขณะที่ เอดมีร์ มาโนเอล แฟร์เรรา ประธานสหพันธ์ชาวประมงเมืองปารานา เปิดเผยข้อมูลว่าเหตุปลาตายครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เนื่องจากตามชายฝั่งทะเลระหว่างเมืองปารานากัวและกัวราเกคาบา มีชาวประมงอย่างน้อย 2,800 คนที่ต้องพึ่งพาการหาปลาเลี้ยงชีพ

    "เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว เราเริ่มได้รับทราบว่ามีปลาตายจำนวนมาก มีชุมนุมหนึ่งพบมาถึง 15 ตัน เราต้องประสบกับสถานการณ์ตามชายหาดที่น่าเศร้า"

    นอกเหนือจากเมืองปารานากัวแล้ว แฟร์เรรา เล่าต่อว่าเหตุปลาตายค่อยๆปรากฎให้เห็นตามเมืองชายฝั่งอื่นๆตามมา "ปลาตายขยายวงไปยังอันโตนินาและกัวราเกคาบา เราจำเป็นต้องแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน" เขาเตือน

    ด้านนาวาเอก เอดสัน โอลิเวียรา อาวิลา เจ้าหน้าที่ประสานงานป้องกันพลเรือนท้องถิ่นของรัฐปารานา ตั้งสมมุติฐานถึงสาเหตุการตายของปลาไว้ 3 ข้อด้วยกัน "เราต้องรอผลตรวจสอบอีกที แต่เดาว่าบางทีอาจเป็นเพราะความไม่สมดุลของสิ่งแวดล้อม ไม่ก็เรือประมงทำหกหรือเกิดจากสารเคมีรั่วไหล"

    อย่างไรก็ตามแม้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน แต่ทางเมืองปารานากัว ได้สั่งระงับจำหน่ายอาหารทะเลในพื้นที่ชั่วคราวในมาตรการป้องกันไว้ก่อน
    Around the World - Manager Online -
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'มาเลเซีย'ยอมชะลอหลังถูกค้านใช้ยุงลายGMOต้านไข้เลือดออก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>5 มกราคม 2554 02:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี - ทางการมาเลเซียต้องยอมชะลอการดำเนินการทดลองภาคสนามครั้งสำคัญ ในการใช้เทคโนโลยีตัดต่อเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (จีเอ็ม หรือ จีเอ็มโอ) เพื่อต่อสู้กวาดล้างไข้เลือดออกที่เป็นโรคระบาดร้ายแรงของภูมิภาคแถบนี้มาหลายปีแล้ว โดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของแดนเสือเหลืองระบุวันอังคาร(4)ว่า ต้องเลื่อนการปล่อยฝูงยุงลายจีเอ็มโอตัวผู้ในพื้นที่ 2 รัฐของมาเลเซียออกไปก่อน ภายหลังถูกคัดค้านหนักจากพวกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชาวบ้าน

    ตามแผนการทดลองซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเอเชีย ได้กำหนดที่จะนำเอายุงลายจีเอ็มโอตัวผู้ 4,000 - 6,000 ตัวไปปล่อยตั้งแต่เดือนที่แล้ว ยุงลายเหล่านี้ถูกตัดต่อทางพันธุกรรมเพื่อให้ลูกหลานของมันสิ้นชีวิตลงอย่างรวดเร็ว พวกนักวิจัยคาดหวังว่าด้วยเทคนิคเช่นนี้จะทำให้ประชากรยุงลาย ซึ่งตัวเมียเป็นพาหะแพร่เชื้อไข้เลือดออก มีอัตราเติบโตขยายตัวลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า การทดลองเช่นนี้ทำให้กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเกิดความวิตกกังวลกันอย่างกว้างขวาง จนพากันออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลระงับการทดสอบเอาไว้ก่อน เนื่องจากหวั่นเกรงว่ายุงจีเอ็มโอาจจะไม่สามารถทำลายไข้เลือดออกได้ แถมยังจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องชนิดไม่คาดคิดตามมาอีกด้วย

    โมฮาเหม็ด โมฮาหมัด ซัลเละห์ ผู้อำนวนการกองวิจัยและประเมินผล แห่งกรมดูแลรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ ของมาเลเซีย เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า การทดลองดังกล่าวซึ่งเตรียมที่จะกระทำใน 2 รัฐของมาเลเซีย ต้องเลื่อนออกไปก่อนจนกว่าจะมีการหารือทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ทดสอบแล้ว

    “มีการประท้วงกันมากมาย เวลานี้เรากำลังวางเข็มที่จะทำการทดลองกันในครึ่งแรกของปี 2011 นี้” เขากล่าวพร้อมกับอธิบายว่า ก่อนที่จะทำการทดสอบ “พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขจำเป็นจะต้องได้รับความยินยอมจากชาวบ้านในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ แต่ถ้าหากเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีประชากรอาศัยอยู่ ก็จะต้องได้รับการอนุมัติจากพวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับรัฐ”

    โมฮัมเหม็ดบอกด้วยว่า จะมีการจัดเวทีสาธารณะขึ้นมาเพื่ออธิบายให้ชาวบ้านทราบเกี่ยวกับการทดสอบดังกล่าว ทั้งนี้กระทรวงสิ่งแวดล้อมของมาเลเซียแจ้งว่า ได้รับหนังสือร้องเรียนกว่า 30 ฉบับเกี่ยวกับการทดลองนี้ โดยมีทั้งจากกลุ่มในมาเลเซียและกลุ่มระหว่างประเทศ

    เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน องค์กรเอ็นจีโอทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมรวม 22 องค์กร ยังได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลแดนเสือเหลือง ขอให้ระงับการทดลอง แล้วหันไปลงทุนใช้วิธีอื่นๆ ที่ปลอดภัยมากกว่าในการจัดการกับเชื้อไข้เลือดออก

    “ขณะที่ไข้เลือดออกเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากในมาเลเซีย และจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่การเดินไปในเส้นทางจีเอ็ม กลับทำให้เราต้องเข้าสู่ดินแดนแห่งความเสี่ยง การตัดต่อทางพันธุกรรมนั้นบ่อยๆ ครั้งมักก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มิได้มีการคาดหมายตั้งใจกันเอาไว้ก่อน” จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ระบุในตอนหนึ่ง

    “เรายังไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับยุงจีเอ็ม ตลอดจนในเรื่องที่พวกมันจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับยุงป่าที่ไม่ใช่ยุงจีเอ็ม ขณะที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ในระบบนิเวศ, ไวรัสไข้เลือดออก, และประชากรมนุษย์ จะต้องได้รับผลกระทบกระเทือนทั้งสิ้น”

    ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบแสดงท่าทีปฏิเสธไม่เห็นด้วยกับความวิตกหวาดหวั่นเช่นนี้ โดยระบุว่าการทดลองคราวนี้ไม่มีอันตรายอะไร เนื่องจากยุงจีเอ็มโอจะมีชีวิตอยู่เพียงแค่สองสามวันเท่านั้นก็ตายหมดแล้ว
    Around the World - Manager Online - '
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ด็อกเตอร์มันปิ้ง" ผู้ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>5 มกราคม 2554 05:36 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เขาล่ะ "หลี่ เกิงเชียง" เจ้าของธุรกิจร้าน “ด็อกเตอร์มันเทศ” ขณะกำลังขายมันเทศปิ้งภายในมหาวิทยาลัยที่เมืองฉางซาเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2554 - ไชน่าเดลี

    ไชน่าเดลี - เผยเส้นทางสู่ความเป็นเศรษฐี นักศึกษาหนุ่มไม่ยอมเป็นมนุษย์เงินเดือนราคาถูก ๆ หันมาเอาดีในการขายมันเทศปิ้ง จนมีรายได้ตกเดือนละ 15,000 หยวน

    นาย หลี่ เกิงเชียง ซึ่งเมื่อปี 2552 เขาเป็นนักศึกษาวิชาเอกด้านธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการป่าไม้ในเมืองฉางซา,มณฑลหูหนัน เล่าว่า บริษัทที่เขาไปฝึกงานล้วนเสนอเงินเดือนให้ต่ำมาก ซึ่งไม่ถึง 1,500 หยวนในระหว่างการฝึกงาน และเมื่อขึ้นทะเบียนสำเร็จการศึกษาแล้ว จะได้ไม่ถึงเดือนละ 3,000 หยวน เขาจึงปฏิเสธ

    ต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน หนุ่มหลี่ได้ไปเที่ยวกรุงปักกิ่ง และเกิดแรงบันดาลใจ ที่จะเป็นพ่อค้าขายมันเทศปิ้งขึ้นมา และยังสังเกตเห็นอีกว่า การใช้เครื่องปิ้งให้มันเทศสุก หอมกรุ่นร้อนๆ นั้น เป็นวิธีที่ดีกว่าการปิ้งด้วยถ่านอย่างแต่ก่อน แถมรสชาติก็อร่อย สะอาด และให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่าอีกด้วย

    เมื่อกลับมามณฑลหูหนัน เขาก็เริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ปิ้งมันเทศขายในบริเวณมหาวิทยาลัยกันละ โดยตั้งชื่อร้านโดนใจลูกค้านักศึกษา ที่แห่มาอุดหนุนกันจนปิ้งแทบไม่ทันว่า “ด็อกเตอร์ สวีต โพเทโท” (Dr. Sweet Potato) หรือร้าน “ด็อกเตอร์มันเทศ”ต่อมาหนุ่มหัวใสไม่อายทำกินผู้นี้ก็เปิดร้านสาขาอีก 2 ร้าน โดยใช้เงินลงทุนขั้นแรก 50,000 หยวน

    หนึ่งปีผ่านไป ตอนนี้ นายหลี่เป็นบอสใหญ่ของร้านสาขาถึง 10 แห่งในเมืองฉางซา โดยเขาเป็นเจ้าของ 3 ร้าน ส่วนอีก 7 ร้านนั้น เขาขายแฟรนไชส์ให้แก่นักศึกษา ซึ่งยังหางานทำไม่ได้

    “ในอนาคตผมอยากเปิดร้านสาขาให้ได้ถึง 100 ร้าน เพื่อสนับสนุนให้พวกบัณฑิตจบมหาวิทยาลัยประกอบกิจการของตัวเอง” บอสหลี่เล่าถึงความปรารถนา

    “ มันดีออกครับ ที่ได้เป็น ‘มิสเตอร์มันปิ้ง’ ถึงผมจะเป็นนักศึกษาก็เถอะ และท้ายที่สุดแล้ว การได้เป็นนายจ้างตัวเอง มันดีกว่าได้เงินเดือนน้อยนิดในเมืองใหญ่ ๆ ตั้งเยอะ”
    China - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

    European Crisis.......Update


    อันเนื่องมาจาคำถามเรื่องคำพยากรณ์เกี่ยวกับ "การก่อตั้ง การดำรงอยู่และการล่มสลาย" ของสหภาพยุโรป อยู่ในเล่มและบทไหนของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ??? และต่อไปนี้จะเป็นการเปิดเผยคำพยากรณ์ดังกล่าวจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับอนาคตของสหภาพยุโรปครับ

    การก่อตั้ง EU นั้นเป็นการกลับมาใหม่อีกครั้งของอาณาจักรโรมซึ่งมีคำพยากรณ์ไว้ใน วิวรณ์ 17:10 “และมีกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ได้ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ และอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่ได้เป็นขึ้น และเมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว จะต้องดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง” นั่นหมายถึง 1.อียิปต์ Egyption, 2.อัซซีเรีย Assyrian, 3.บาบิโลนเดิม Babylonian, 4.เปอร์เซีย Medo-Persian, 5.กรีก Greek and 6.อาณาจักรโรมัน Roman empires (องค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ / พระธรรมวิวรณ์ถูกเขียนขึ้นในสมัยโรม), 7.และอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่ได้เป็นขึ้น และเมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว จะต้องดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
    (ซึ่งหมายถึง EU ในปัจจุบัน ที่จะดำรงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง)

    ซึ่งอาณาจักรทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกพยากรณ์ไว้แล้วโดยดาเนียลตั้งแต่สมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนจากหลักฐานในพระคัมภีร์ต่อไปนี้

    ดาเนียล 2 ปฏิมากรในพระสุบินของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์



    [​IMG]
    2:31 โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทอดพระเนตร และดูเถิด มีปฏิมากรขนาดใหญ่ ปฏิมากรนี้ใหญ่และสุกใสยิ่งนัก ตั้งอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ และรูปร่างก็น่ากลัว
    2:32 เศียรของปฏิมากรนี้เป็นทองคำเนื้อดี อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองเหลือง
    2:33 ขาเป็นเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดิน (เท้าคือสหภาพยุโรป ที่มีเยอรมัน ฝรั่งเศษเปรียบเหมือนเหล็ก และประเทศเล็กๆเปรียบเหมือนดิน)
    2:34 ขณะเมื่อพระองค์ทอดพระเนตร มีหินก้อนหนึ่ง (โลกยุคใหม่) ถูกตัดออกมามิใช่ด้วยมือ กระทบปฏิมากรที่เท้า (EU) อันเป็นเหล็กปนดิน กระทำให้แตกเป็นชิ้นๆ (จะเกิดยุคใหม่ขึ้น สหภาพยุโรปแตก)
    2:35 แล้วส่วนเหล็ก ส่วนดิน ส่วนทองเหลือง ส่วนเงินและส่วนทองคำ ก็แตกเป็นชิ้นๆพร้อมกัน กลายเป็นเหมือนแกลบจากลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดพาเอาไป จึงหาร่องรอยไม่พบเสียเลย (อาณาจักรบาบิโลนทั้งเก่าและใหม่รวมทั้งสหภาพยุโรปล่มสลาย)แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ (อาณาจักรโลกใหม่หรือยุคใหม่ที่เกิดขึ้น จะรวมทั่วโลกเป็นอาณาจักรเดียว ซึ่งใกล้เข้ามาแล้ว)
    2:36 นี่เป็นพระสุบิน พระเจ้าข้า บัดนี้เหล่าข้าพระองค์ขอกราบทูลคำแก้พระสุบินต่อพระพักตร์กษัตริย์




    การก่อตั้งอยู่ของสหภาพยุโรป หรือ EU

    กรุงบาบิโลนของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คืออาณาจักรโลกแห่งแรก
    2:37 โอ ข้าแต่กษัตริย์ กษัตริย์จอมกษัตริย์ทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ทรงประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดชและสง่าราศี
    2:38 และได้ทรงมอบไว้ในหัตถ์พระองค์ท่านซึ่งบุตรทั้งหลายของมนุษย์ สัตว์ในทุ่งนาและนกในอากาศไม่ว่ามันจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใดๆให้แก่พระองค์ กระทำให้พระองค์ปกครองมันได้ทั้งหมด เศียรทองคำนั้นคือพระองค์เอง(กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กับอาณาจักรโลกแห่งแรก)

    อาณาจักรโลกแห่งที่สองและสาม คือมีเดียเปอร์เซียและกรีก
    2:39 ต่อจากพระองค์ไปจะมีราชอาณาจักรด้อยกว่าพระองค์ และยังมีราชอาณาจักรที่สาม เป็นทองเหลือง ซึ่งจะปกครองอยู่ทั่วพิภพ(กรีก ที่ขยายอาณาจักรมาจนถึงเอเซียในสมัยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์)

    อาณาจักรโลกแห่งที่สี่ คือโรม
    2:40 และจะมีราชอาณาจักรที่สี่แข็งแรงดั่งเหล็ก เพราะเหล็กตีสิ่งทั้งหลายให้หักเป็นชิ้นๆและปราบสิ่งทั้งปวงลงได้ ราชอาณาจักรนั้นจะหัก และทุบสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ดังเหล็กซึ่งทุบให้แหลก (แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมัน)
    2:41 ดั่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเท้าและนิ้วเท้า เท้าเป็นดินช่างหม้อบ้าง เหล็กบ้าง จะเป็นราชอาณาจักรประสม แต่ความแข็งแกร่งของเหล็กจะยังอยู่ในนั้นบ้าง
    (สหภาพยุโรป ก็คืออารยะธรรมของอาณาจักรโรมันเดิม ที่มีเยอรมัน ฝรั่งเศษเปรียบเหมือนเหล็ก และประเทศเล็กๆเปรียบเหมือนดิน) ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรเหล็กปนดินเหนียว
    2:42 และนิ้วเท้าเป็นเหล็กปนดินฉันใด ราชอาณาจักรนั้นจึงแข็งแรงบ้างเปราะบ้างฉันนั้น (ในสหภาพยุโรปประกอบไปด้วยชาติน้อยใหญ่ต่างๆ ซึ่งแข็งบ้างเปราะบ้างอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้)
    2:43 ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรเหล็กปนดินเหนียว ราชอาณาจักรจะปนกันด้วยเชื้อสายของมนุษย์ แต่จะไม่ยึดกันแน่นไว้ได้อย่างเดียวกับที่เหล็กไม่ประสมเข้ากับดิน



    การดำรงอยู่ของของสหภาพยุโรป หรือ EU



    ในปัจจุบันหลักฐานที่บ่งชี้ว่า EU คือRoman Empire ฟื้นคืนชีพได้แก่ สัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ใน EU เช่น

    สัญลักษณ์ผู้หญิงนั่งบนสัตว์ร้าย


    [​IMG]


    Europa carried away by a bull
    (German Maritime Museum)



    [​IMG]


    EU commemorative coin showing Europa and the bull เหรียญกษาปต์สกุลยูโรแสดงสัญลักษณ์ผู้หญิงนั่งบนสัตว์ร้าย

    วิวรณ์ 17:3 ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวหนึ่ง ซึ่งมีชื่อหลายชื่อเป็นคำหมิ่นประมาทเต็มไปทั้งตัว มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา

    สัญลักษณ์นี้เล็งถึงระบบโลกในยุคสุดท้าย ซึ่ง”ผู้หญิง”เป็นสัญลักษณ์ของ ”พระ” ในศาสนาของบาบิโลน และ สัตว์ร้าย (beast) หมายถึงการเมืองและการค้าแห่งบาบิโลน ในวิวรณ์ 17 ได้เปรียบเทียบ “ผู้หญิง” เป็น ”มหานครบาบิโลน” ในขณะที่ วิวรณ์ 18 ได้กล่าวถึงการล่มสลายของมหานครบาบิโลน ซึ่งก็หมายถึงการเกิดความชั่วช้าสามานต์ในศาสนา และ เกิดระบบการเมืองการปกครองที่ชั่วร้าย เหี้ยมโหด รวมทั้งเกิดความยุ่งเหยิงในระบบการค้าต่างๆด้วย



    ธงของกลุ่มสหภาพยุโรป





    [​IMG]

    ธงเป็นรูปดาวสีทอง 12 ดวง บนพื้นสีน้ำเงิน

    ดาว 12 ดวงที่เรียงกันเป็นวงกลม หมายถึง ความเป็นปึกแผ่น เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้คนในสหภาพยุโรป

    เลข 12 แสดงถึงความสมบูรณ์แบบที่บรรลุถึงความสำเร็จที่รวมเป็นหนึ่งเดียว

    ความหมายของธงของ EU ยังอธิบายได้ถึงการมีอิทธิพลมาจาก ดาว 12 ดวงล้อมรอบศีรษะของพระนางมารีย์โดยความเชื่อของโรมันคาทอลิคดังพบในพระธรรมวิวรณ์

    12:1 มีการมหัศจรรย์ใหญ่ยิ่งปรากฏในสวรรค์ คือผู้หญิงคนหนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า และบนศีรษะมีดวงดาวสิบสองดวงเป็นมงกุฎ

    ซึ่งพระนางมารีย์นั้น ชาวโรมันคาทอลิคเชื่อว่าเป็น “พระแม่ของพระเจ้า” (Mother of God) อย่างไรก็ตาม ตามความจริงนั้นคือ ผู้หญิงในวิวรณ์ 12:1 นั้นเล็งถึงประเทศอิสราเอล และดาว 12 ดวงหมายถึง 12 เผ่าของอิสราเอลนั่นเอง

    ดังนั้นธงของ EU นั้นมีความหมายสำคัญเล็งไปที่โรมันคาทอลิค และตามความเชื่อของบาบิโลนซึ่งมี นครวาติกันเป็นศูนย์กลางนั้นเอง มีพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงข้อนี้คือวิวรณ์ 17:9 “ภูเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่” ซึ่งอาณาจักโรมัน (Ancient Rome) นั้นได้ถูกสร้างบนภูเขาเจ็ดยอด และวิวรณ์ 17:4 “หญิงนั้นนุ่งห่มด้วยผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม” ซึ่งพระคาดินาลของคาทอลิคใส่ชุดสีแดงเข้ม และบาทหลวงใส่ชุดสีม่วง



    [​IMG]

    โปสเตอร์ของ EU ซึ่งเป็นรูปหอบาเบลที่สร้างไม่เสร็จตั้งแต่สมัยบาบิโลน (ซึ่งหอบาเบลนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เพื่อ "แทนที่" ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า) ซึ่งจากภาพในโปสเตอร์นั้นได้แสดงถึงการรับวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากบาบิโลน



    [​IMG]

    ตึกที่ทำการของสหภาพยุโรปก็ถูกสร้างเป็นรูปร่างคล้ายๆหอบาเบล..." อย่างตั้งใจ "


    [​IMG]


    การล่มสลายของของสหภาพยุโรป หรือ EU ที่จะมาถึง

    หลังจากอาณาจักรโรมคืนมาใหม่แล้ว (EU) อาณาจักรของพระคริสต์จะตั้งขึ้น ( The Second coming หรือการกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์*** )

    ดาเนียล 2

    2:44 และในสมัยของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่ง (โลกยุคใหม่) ซึ่งไม่มีวันทำลายเสียได้ หรือราชอาณาจักรนั้นจะไม่ตกไปแก่ชนชาติอื่น ราชอาณาจักรนั้นจะกระทำให้บรรดาราชอาณาจักรเหล่านี้ (EU) แตกเป็นชิ้นๆถึงอวสาน และราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์
    2:45 ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรก้อนหินถูกตัดออกจากภูเขามิใช่ด้วยมือ และก้อนหินนั้น(พระเยซูคริสต์)ได้กระทำให้เหล็ก ทองเหลือง ดิน เงิน และทองคำแตกเป็นชิ้นๆ (EU ล่มสลาย) พระเจ้ายิ่งใหญ่ได้ทรงให้กษัตริย์รู้ว่าอะไรจะบังเกิดมาภายหลังนี้ พระสุบินนั้นเที่ยงแท้และคำแก้พระสุบินก็แน่นอน"



    และแล้วเราก็มีผู้ร่วมรายการจากทางบ้านทั้ง 4 ท่านได้ส่งคำตอบมายังรายการเพื่อตอบคำถามนี้ครับ ซึ่งก็ตอบได้ใกล้เคียงทุกคำตอบและยากต่อการตัดสิน จึงขอให้ทุกท่านคือ คุณ Terran, คุณ Banksia, คุณวินซ์ และคุณ Realman ได้ส่งที่อยู่ของท่านมายัง " jimmysiri@live.com " เพื่อจัดส่งของรางวัลไปให้ครับ



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America
    [​IMG]
    Jan 4 2011, 2:55 PM
    Neng (guest): http://www.dailymail.co.uk<WBR>/<WBR>sciencetech/<WBR>article-1343470/<WBR>Have-scientists-discovered<WBR>-create-downpours-desert.h<WBR>tml

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 4 2011, 3:12 PM
    Neng (guest): HAARP.<WBR>.<WBR>.<WBR>อีกแล้วว อนาคตจะเป็นเช่นไรกับเจ้าเ<WBR>ครื่องนี้ สงครามเทอนาโดใช่มั้ยคุณ jimmy ?<WBR>?<WBR>?<WBR>?<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 4 2011, 3:48 PM
    JimmySiri: เจ้าเครื่อง HAARP นี่ผมกำลังรอให้มันถูกลงอี<WBR>กซักหน่อยแล้วซื้อมาตั้งไว<WBR>้หน้าบ้านซักเครื่องครับ พอร้อนมากๆก็เปิดเลย หรือจะใช้ในการรดน้ำต้นไม้<WBR>หรือเติมน้ำบ่อปลาก็สะดวกด<WBR>ีครับ ประหยัดค่าน้ำไปได้อีก ตอนนนี้ยังแพงอยู่ราคา 7 ล้านปอนด์หรือ 11 ล้านดอลล่าสหรัฐ เป็นขนาดย่อแล้วนะครับ อีกซักพักคงมีกันครบทุกประ<WBR>เทศ เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า แล้วก็สนุกล่ะครับทีนี้ 555

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 4 2011, 4:08 PM
    JimmySiri: ทองคำ แนวรับ 18/<WBR>1394,<WBR> 45/<WBR>1384,<WBR> 1366,<WBR> 100/<WBR>1332

    [​IMG]
    [​IMG]

    Jan 4 2011, 4:55 PM
    JimmySiri: Harvey Organ 3 มกรา 2011.<WBR>.<WBR>.<WBR>Expect huge volatility for the first 5 trading sessions in the Dow and Nasdaq.<WBR> They will try and influence gold and silver down but I believe that sovereign wealth funds like China,<WBR> Singapore etc are waiting in the wings to grap any offerings of size.<WBR>

    Expect tomorrow to be a roller coaster of a ride in the precious metals.<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>แม่นไม๊ล่ะครับ
    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri

     

แชร์หน้านี้

Loading...