ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ รวบรวมโดย พ.ต.อ. ญาณพล ยั่งยืน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย santosos, 26 ธันวาคม 2010.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    พ.ศ. ๒๔๕๓ กำเนิด เด็กชายจาม ผิวขำ ในปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ช่วงก่อนที่จะทรงเสด็จสวรรคต ( ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ) ในปีนั้น หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ถือกำเนิด เป็นเด็กชายจาม ผิวขำ เมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๓ ตรงกับวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปี จอ ณ บ้านห้วยทราย คำชะอี จ.นครพนม ( ปัจจุบันเป็น อ.คำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ) โดยเป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายกา นางมะแง้ ผิวขำ หลวงปู่จาม มีพี่น้องรวม ๙ คน ดังนี้คือ นายแดง นายเจ๊ก นายจาม นางเจียง นายจูม นางจ๋า นายถนอม นายคำตา และนางเตื่อย

    พ.ศ. ๒๔๕๙ ไปกราบ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น เมื่ออายุได้ ๖ ปี พ่อแม่ได้พา เด็กชายจามฯไปกราบ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ซึ่งได้มาจำพรรษาอยู่ใกล้บ้านที่ภูผากูด คำชะอี

    พ.ศ. ๒๔๖๔ ดูแลอุปัฏฐากพระกรรมฐาน บรรดาศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นจำนวนประมาณ ๗๐ รูป ได้มารวมกันเป็นกองทัพธรรมสายพระกรรมฐานมากเป็นประวัติการณ์ ที่ภูผากูด เนื่องจาก หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ได้มาพักประจำอยู่ที่ถ้ำจำปา ขณะเด็กชายจาม อายุได้ประมาณ ๑๑ ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปอุปัฏฐากดูแลพระกรรมฐานทั้งหลายอย่างใกล้ชิด( สถานที่ซึ่งรวมตัวกันนั้น ต่อมาได้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์หนองน่อง ทางทิศใต้ของบ้านห้วยทราย และได้ย้ายมาเป็น วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ในปัจจุบัน )

    พ.ศ ๒๔๖๙ ถวายตัวกับหลวงปู่มั่น เมื่อเด็กชายจาม อายุได้ ๑๖ ปี พ่อแม่ได้พาไปถวายตัวกับหลวงปู่มั่น ที่ จ.อุบลราชธานี นุ่งขาวห่มขาว เป็นเวลา ๙ เดือน หรือที่เรียกว่าเป็น ผ้าขาว ๙ เดือน

    พ.ศ. ๒๔๗๐ บรรพชาเป็นสามเณร ครั้งที่ ๑ เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ๑ พรรษา ที่บ้านหนองขอน อ.บุ่ง จ.อุบลราชธานี (อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ) ได้รับใช้ครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้แก่ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , ท่านพ่อลี ธมฺมธโร , หลวงปู่สิงห์ ขนฺยาคโม , หลวงปู่มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้น นอกจากนั้น ยังเป็น สหธรรมิกเพื่อนสามเณร กับ สามเณรสิม ( หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ) อีกด้วย

    พ.ศ. ๒๔๗๑ ออกธุดงค์ เป็นครั้งแรก เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี หลวงปู่มั่น ได้ฝากสามเณรจาม ไว้กับ หลวงปู่กงมา หลวงปู่อ่อน หลวงปู่มหาปิ่น โดย สามเณรจาม ได้ติดตามครูบาอาจารย์ออกธุดงค์ไปยโสธร เป็นครั้งแรก

    พ.ศ. ๒๔๗๒ ป่วยจำเป็นต้องลาสิกขา เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี สามเณรจาม ได้ออกธุดงค์ไปยังขอนแก่น กับหลวงปู่อ่อน หลวงปู่กงมา ต่อมาในปีนั้น สามเณรจาม ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคเหน็บชา จึงจำเป็นต้องลาสิกขา เพื่อกลับ เพื่อกลับไปรักษาตัวที่ บ้านห้วยทราย คำชะอี จนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ต่อมาจนถึงอายุ ๒๘ ปี

    พ.ศ. ๒๔๘๐ อธิฐานขอบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อนายจาม ผิวขำ มีอายุได้ ๒๗ ปี พ่อกา ( โยมพ่อ ) บวชเป็นพระภิกษุ ( ใช้ชีวิตอีก ๖ ปี ก็มรณภาพในปี ๒๔๘๖ ) ส่วน แม่มะแง้ (โยมแม่) ก็ได้บวชชี ( ใช้ชีวิตอีก ๓๖ ปี จึงถึงแก่กรรม ) ช่วงเดือน พฤศจิกายน ๒๔๘๐ นายจาม ผิวขำ ไปไหว้พระธาตุพนม จ.นครพนม เพื่ออธิฐานขอบวชในพระพุทธศาสนา

    พ.ศ. ๒๔๘๑ บรรพชาเป็นสามเณร ครั้งที่ ๒ คณะญาติได้พาไปซื้อเครื่องบวชที่ร้านขายสังฆภัณฑ์ ที่ตลาดบ้านผือ นายจาม ผิวขำ พบนางสาวนาง เป็นลูกสาวเจ้าของร้าน เกิดปฏิพัทธ์จิตรักใคร่ทันทีเมื่อแรกพบ แม่ชีมะแง้ ได้ปรึกษากับแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เกรงจะมีปัญหาจึงได้พานายจาม ผิวขำ บวชเป็นสามเณร ไว้ก่อนที่วัดป่าโคกคอน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๘๑ เพื่อหนีผู้หญิง แล้วเดินเท้าต่อไป ไหว้พระพุทธบาทบัวบก หอนางอุษา และมุ่งหน้าไป วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

    พ.ศ. ๒๔๘๒ ( อายุ ๒๙ ปีบริบูรณ์ ) อุปสมบท เมื่ออายุได้ ๒๙ เต็มปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๒ ที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระเทพกวี ( จูม พนฺธุโล ) เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อบวชเสร็จ พระจาม มหาปุญโญ ได้ออกธุดงค์ไปองค์เดียวไปภาวนาที่พระบาทคอแก้ง อยู่บริเวณ วัดพุทธบาท ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขณะภาวนาเกิดนิมิตเห็นพญานาคขึ้นมาแล้วบอกว่าที่นี่เป็นพระพุทธบาทจริง พวกตนได้ขอไว้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จ ผ่านมา ต่อมา พระจาม ได้ภาวนาอยู่ถ้ำพระ อ.บ้านผือ แล้วย้ายไปภาวนาที่หออุษา และย้ายไปภาวนาที่ถ้ำบัวบก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งไม่ไกลกันนัก ที่ถ้ำพระพุทธบาทบัวบกนี้ พระจามได้ตั้งใจปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก จนได้รู้ว่า เจดีย์เก่าองค์หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่เป็นเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์ หลวงปู่บุญ ปญฺญาวุโธ อัฐิได้กลายเป็นพระธาตุแล้ว ซึ่งท่านได้เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ซึ่งพระจามไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ขณะภาวนาอยู่ได้เกิดแสงสว่างเป็นลำพุ่งลงมาจากท้องฟ้า สว่างเฉพาะบริเวณเจดีย์ พอรุ่งเช้าขึ้นจึงไปค้นดู ปรากฏหลักฐานที่สลักไว้ที่ฐานเจดีย์เท่านั้น จึงทราบความจริงดังกล่าวหลังจากนั้น พระจาม จึงได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดหนองน่อง บ้านห้วยทราย คำชะอี เป็นพรรษาที่ ๑

    พ.ศ. ๒๔๘๓ ( อายุ ๓๐ ปี ) เมื่อออกพรรษา จึงเดินทางไปอยู่ที่ภูเก้ากับหลวงพ่อกา ( โยมพ่อ ) ระยะหนึ่ง จึงไปอยู่ภูจ้อก้อจนถึง เดือน ๗ ( กรกฎาคม ๒๔๘๓ ) จึงเดินทางต่อไป อยู่กับพระอาจารย์คูณ อธิมุตโต วัดป่าพูนไพบูลย์ บ้านหินตั้ง อ.เมือง จ.มหาสารคาม จำพรรษาที่ ๒ กับพระอาจารย์คูณ ซึ่งเป็นญาติกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อออกพรรษาแล้ว พระจาม จึงได้เดินทางต่อไปบ้านห้วยยาง อ.ชุมแพ ต่อจากนั้นก็เดินทางต่อไปบ้านกกเกลี้ยง ต่อไปยังถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย ที่ถ้ำผาบิ้ง หลวงปู่จามได้นั่งภาวนา จนถึงคืนสุดท้าย เวลาใกล้รุ่ง ก่อนจะเดินทางไปยังเพชาบูรณ์ เกิดจิตแจ้งสว่างไปหมด เห็นทุกทิศทุกทางสว่างไสว จิตตั้งอยู่ในความสว่างประมาณ ๒๐ นาที เหมือนจุเทียนแล้วความสว่างก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสว่างรอบทิศ แล้วค่อยๆ ลดความสว่างลงไปๆ จนดับมืด ขณะสว่างนั้น ได้ยินคนคุยกันซึ่งเป็นอาโลกกสิณ และ ในตอนท้ายของการภาวนานั้น ได้ทราบว่าถ้ำผาบิ้งแห่งนี้ เป็นสถานที่นิพพานของพระอุบาลีมหาเถระ ตั้งแต่ พ.ศ.๔ หลังจากนั้นจึงได้ออกจากถ้ำผาบิ้ง มุ่งไปเพชรบูรณ์ พักที่เชิงเขาใกล้บ้านเลยวังใส ริมแม่น้ำเลย

    พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๓๑ ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อออกจากบ้านเลยวังใส ไปบ้านเลยวังกลอย เดินต่อไปอีกประมาณ ๔ โมงเย็น ถึงสำนักสงฆ์บ้านหินกลิ้ง เป็นที่ซึ่งพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล และโยมสร้างไว้ และพระอาจารย์มหาปิ่น ได้เคยจำพรรษาที่นั่นมาก่อนพระจาม พักอยู่ที่นั่นนานพอสมควร เนื่องจากพระสิงห์ ซึ่งเดินทางไปด้วยกันเกิดอาพาธด้วยไข้มาลาเรียและได้มรณะภาพ ลงที่นั้น ในพรรษาที่ ๓ พระจาม เดินทางต่อไปจำพรรษา ที่สำนักสงฆ์บ้านโนนผักเนา อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เมื่อออกพรรษาแล้ว พระจาม ได้เดินทางต่อไปโดยเดินข้ามเทือกเขาตะกุดรัง พิจิตร ตะพานหิน ถึงอุตรดิตถ์ต่อไปยังพระแท่นศิลาอาสน์ พักแรมที่นั่นแล้วออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางรถไฟ เดินนับหนอนรถไฟจากพระแท่นศิลาอาสน์ ลอดอุโมงค์เขาพึง เด่นชัย – แม่เมาะ – แม่ทะ ถึงแม่ตาลน้อย นายสถานีรถไฟแม่ตาลน้อย เกิดความเลื่อมใสจึงซื้อตั๋วรถไฟถวายถึงทาชมภู จึงได้ขึ้นรถไฟช่วงสั้น ๆ ไปลงที่สถานีท่าชมภู แล้วเดินเท้าตามทางรถไฟต่อไปยังสถานีแม่ทา – ลำพูน – เชียงใหม่ เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง ประมาณกลางเดือนธันวาคม ๒๔๘๔

    พ.ศ. ๒๔๘๕ อายุ ๓๒ ปี พรรษาที่ ๔ พบพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระจามออกจากวัดเจดีย์หลวง มุ่งหน้าไปจำพรรษาที่ วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้พบกับอาจารย์สิม พุทธาจาโร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกันในสมัยที่เป็นสามเณร แม้ว่าจะเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ขณะนั้นก็ต่างพรรษากัน เป็นระดับครูบาอาจารย์แล้ว ความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็ยังเป็นเชื้อให้มีการถกแถลงด้านธรรมะกันอย่างออกรสในธรรม ในปีนั้น หลวงปู่จามได้เคยโต้วาทีกับบาทหลวงคริสต์ ที่บ้านพุงต้อม ต.ยุวา อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ช่วงนั้นมีหญิงสาวหลายคนพยายามที่จะได้ตัวหลวงปู่จามไปเป็นสามี หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เทศนาภัย ๔ อย่างของนักบวช ได้แก่ มาตุคาม ,ทนคำสอนไม่ได้ , ทนต่อปากท้อง ทนลำบากไม่ได้ และกามคุณ ๕ หลังจากนั้น พระอาจารย์สิม ได้พา พระจาม ออกธุดงค์ขึ้นไปถ้ำเชียงดาว และต่อมาได้พบกับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ บ้านป่าฮิ้น เสนาสนะป่าแม่กอย

    พ.ศ. ๒๔๘๖ อายุ ๓๔ ปี ธุดงค์กับ หลวงปู่ชอบ ,หลวงปู่สิม หลวงปู่ชอบ ได้พาอาจารย์สิม และพระจาม ออกธุดงค์ไปที่ อ.ฝาง อ.แม่อาย-บ้านม่วงสุม-บ้านมุ่งหวาย-บ่อน้ำร้อน อ.ฝาง ถึงประมาณเดือน ๖ ของปีนั้น ใกล้เข้าพรรษา พระจาม จึงขอแยกทางมุ่งไปยังวัดโรงธรรมสามัคคี เพื่อจำพรรษา ส่วนหลวงปู่ชอบ เดินทางต่อไปเพื่อจำพรรษาใน พม่าและจะถูกทหารจีนจับ ชาวบ้านต้องพาหลวงปู่ชอบ ไปซ่อนไว้ในยุ้งข้าว สาเหตุที่ หลวงปู่จาม ท่านไม่ชอบที่จะไปพม่า เพราะรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจว่า เคยรบพุ่งกับพม่ามาแต่อดีตชาติ จึงไม่อยากไปเมืองพม่า ในปีนั้นจึงได้ จำพรรษา ที่วัดโรงธรรมสามัคคีอีก ๑ พรรษา (พรรษาที่ ๕) พร้อมกับหลวงปู่สิม

    พ.ศ. ๒๔๘๗ อายุ ๓๔ ปี ใช้ “ ธรรมโอสถ ” รักษาโรค ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่สิม ตามป่าเขา ตามดอยต่าง ๆ เขตจังหวัดเชียงใหม่ แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ ( พรรษาที่ ๖ ) อยู่กับหลวงปู่สิม วัดอุโมงค์เชิงดอยสุเทพ อ. เมือง จ.เชียงใหม่ ในสมัยนั้นเป็นป่าทึบมีเจดีย์ทรงลังกา ๑ องค์ และอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันวัดอุโมงค์ อยู่ติดกับด้านหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปีนั้น ( ๒๔๘๗ ) หลวงปู่จามได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ มีอาการปวดท้อง ได้รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่หาย เปลี่ยนมารักษาแผนโบราณก็ไม่หาย ในที่สุดท่านก็ได้ใช้วิธีภาวนาบำเพ็ญสมาธิและงดอาหารหยาบทั้งหมด ฉันเฉพาะนมถั่วเหลืองวันละ ๑ แก้วและน้ำเท่านั้น ใช้ “ธรรมโอสถ” รักษาโรคกระเพาะ อีกไม่นานนัก อาการป่วยก็ทุเลาเบาบางลง ในที่สุดก็หายจากโรคกระเพาะ มีอาการปกติ สามารถฉันอาหารได้เป็นปกติ

    พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๕ ปี ( พรรษาที่ ๗ ) หลวงปู่สิม และหลวงปู่จาม ได้เคยไปอยู่ที่บ้านพักบนดอยของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กิรติปาล ซึ่งเป็นภรรยาของนายคิวลิปเปอร์ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ บ้านพักส่วนตัวนี้ตั้งอยู่บนดอย อยู่ทางทิศใต้ ของเมืองเชียงใหม่ และพักภาวนาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร

    พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๖ ปี ( พรรษาที่ ๘ ) พบ หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์น้อย สุภโร หลวงปู่จาม กับหลวงปู่สิม ไปจำพรรษาที่ป่าช้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ ก่อนเข้าพรรษา ได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่บ้านแม่หนองหาน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ขาว ได้เตือนหลวงปู่จามให้ระวังเรื่องผู้หญิงว่า “ ให้ระวังเรื่องผู้หญิงให้มาก ถ้ารอดได้ก็สามารถรักษาพรหมจรรย์ตลอดรอดฝั่ง ถ้าไม่ได้ก็ต้องแพ้มาตุคาม ( หญิง ) แน่นอน ” หลวงปู่จาม สำนึกในคำสอนของหลวงปู่ขาว ไว้เสมอ ซึ่งแต่ละแห่งที่ไปจำพรรษาอยู่หรือไปพักอยู่นาน ๆ ก็จะพบผู้หญิงมาชอบเสมอมา เว้นแต่ที่ช่อแล ไม่มีผู้หญิงมาชอบ จึงบำเพ็ญอยู่ที่นั้นนานมากกว่าที่อื่น นอกจากที่นี่แล้ว เกือบทุกแห่งที่ไปพักแม้ไปปักกลดภาวนาอยู่ระยะสั้นก็พบผู้หญิงมาชอบ จนกระทั้งอายุ ๖๐ ปี จึงไม่มีผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวในเชิงชู้สาวอีกเลย หลวงปู่จาม จึงมักเตือนพระหนุ่ม ๆ เสมอ ในเรื่องผู้หญิง ( แม่หญิง ) ให้ระวังเป็นอันดับแรก ต่อไปก็เรื่องเงิน และอวดอุตริ หลวงปู่จาม กับ พระอาจารย์น้อย สุภโร ไปฟังธรรมจากหลวงปู่ขาว ซึ่งท่านแสดงสติปัฏฐานสี่ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้งกินใจมาก พระอาจารย์น้อย องค์นี้รุ่นราวคราวเดียวกับ ท่านพ่อลี (วัดอโศการาม) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และต่อมาท่านพระอาจารย์น้อยได้มรณะภาพ ที่ถ้ำพระสบาย ในปี ๒๕๐๐ ( พระอาจารย์น้อย เป็นคนบ้านผักบุ้ง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี รูปถ่ายในหนังสือบูรพาจารย์ หน้า ๑๔๒ มี ๕ องค์ รูปแรกที่ระบุว่าไม่ทราบชื่อ นั้นคือ พระอาจารย์น้อย ) หลวงปู่จามได้ศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ขาว อยู่เสนาสนะป่าบ้านป่าเต้ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดยอยู่กับหลวงปู่แหวน และหลวงปู่ชอบ ด้วยที่นั่น ต่อมา หลวงปู่จามได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่มั่น อยู่อีสาน ที่บ้านหนองผือนาใน จึงได้กราบเรียน หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบได้ทราบ หลังจากนั้นจึงเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งไปอีสาน บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยเดินทางเลาะมาทางหนองคายและเดินทางต่อไป บ้านหนองผือ นาใน กราบหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม

    ในปี ๒๔๘๙ หลวงปู่จามไปพักที่วัดบ้านนาในกับหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ต่อจากนั้นหลวงปู่หลุยจึงพาหลวงปู่จามเข้ากราบหลวงปู่มั่น ซึ่งพักอยู่บ้านหนองผือนาใน แล้วกราบเรียนหลวงปู่มั่นว่า “ สามเณรจาม ตอนนี้บวชเป็นพระแล้วครับกระผม ” หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “ บวชแล้ว เพราะท่านมีนิสัยนักบวช ” หลวงปู่มั่นจึงให้โอวาทแก่หลวงปู่จามว่า “เมื่อก้าวมาสู่หนทางแห่งความดี ต้องเดินหน้าสู้ทน ตายเป็นว่า (ตายเป็นตาย ) อยู่เป็นว่า (อยู่เป็นอยู่ ) เหตุเพราะทางอื่นนั้นปราศจากความร่มเย็น ไม่เป็นความสุข อันนี้ความดีจะเป็นผลของตน ผู้เดินอยู่ในทางนี้ได้ตลอดไปนั้น จิตใจก็อยู่ใกล้ธรรมอยู่กับธรรมะไม่ละทิ้งความดี ตนก็จะเป็นผู้ราบรื่น ร่มเย็น ผาสุกอยู่ได้ในปฏิปทาแห่งตน ” เมื่อให้ธรรมะจบ หลวงปู่มั่นถามว่า “เข้าใจไหม จำไว้ให้ดี ” เมื่อลากลับไปที่วัดบ้านนาใน หลวงปู่จาม ซาบซึ้งในคำสอนนี้ ด้วยความปีติสุขใจยิ่ง พยายามทบทวนเพื่อให้จำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ไม่ลืม เพราะถือว่าคำสอนนี้เป็นกุญแจสำคัญแห่งชีวิตนี้ ต่อมาหลวงปู่จาม ได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นในวาระสำคัญหลายครั้ง โดยที่หลวงปู่จาม ได้ อธิฐานจิตถามหลวงปู่มั่นล่วงหน้าไว้ทั้ง ๔ ครั้ง ปรากฏว่าหลวงปู่มั่นทราบ ได้ด้วยญาณทัศนะและเทศนาในเรื่องที่หลวงปู่จามต้องการทราบทุกครั้ง

    ครั้งที่ ๑ หลวงปู่จามมีความสงสัยว่า ” คนที่ได้ธรรมะเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ธรรมะปฏิบัติอย่างไร “ จึงอธิษฐานถามหลวงปู่มั่น คืนวันนั้น หลวงปู่มั่นยก หิริ โอตฺตปฺป” ขึ้นมาเป็นหัวข้อแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ที่พักอย่าตามสถานที่ต่างๆ จะมารวมกันฟังธรรมเสมอ เมื่อหลวงปู่มั่น เทศนาจบลงก็หันหน้ามามองไปที่หลวงปู่จาม แล้วถามเป็นเชิงปรารภว่า “เป็นอย่างไรท่านจาม ผู้ได้ธรรมเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม” หลวงปู่จามตอบว่า”เข้าใจครับกระผม” บรรดาพระสงฆ์ที่นั่งฟังก็หันมามองหลวงปู่จามก้นทั้งหมด เมื่อหลวงปู่จามมกลับไปที่พัก ก็รีบนั่งภาวนาเพื่อทบทวนคำสอนของหลวงปู่มั่น เพื่อให้จำได้อย่างขึ้นใจ

    ครั้งที่ ๒ หลวงปู่จามอยากรู้เรื่อง ”พระธรรมวินัยว่า ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด เป็นอย่างไร” จึงได้กำหนดจิต อธิษฐานถามหลวงปู่มั่น และหลวงปู่จาม ก็คิดนึกในใจต่อ ไปว่า “ อยากรู้ถึงปฏิปทาภพชาติของตนเองด้วย ” ในคืนนั้นหลวงปู่มั่น ได้เทศนา โดยยกหัวข้อธรรมขึ้นว่า “ หีนา ธมฺมา มชฺฌิมา ธมฺมา ปณีตา ธมฺมา ” แล้วอธิบายธรรมและวินัยควบคู่กันไปให้รู้เข้าใจกระจ่าง และ ได้แจกแจงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนพอดี ต่อจากนั้นหลวงปู่มั่นก็เทศนาต่อไปว่า
    “ ให้ตั้งใจเจริญพุทธคุณ ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ เจริญพุทธเนตฺติ ด้วยการประพฤติเพื่อความหนักแน่นในธรรม ผู้ถึงพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เท่านั้นที่เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอยู่ได้…” เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่น ก็หันมาถามอีกว่า “ ท่านจามเข้าใจไหม ที่ต้องการรู้นะ จำไว้ให้ดี ”

    ครั้งที่ ๓ หลวงปู่จามอยากรู้เรื่องพระอภิธรรม จึงอธิษฐานจิตถามไว้ พอตอนกลางคืน หลวงปู่มั่นก็เทศนาเริ่มต้นที่มูลกัจจายนะ ตรงตามที่หลวงปู่จาม ตั้งอธิฐานไว้

    ครั้งที่ ๔ หลวงปู่ เกิดข้อสงสัยว่าเราเองก็ทำความเพียร อย่างจริงจังมาก แต่ไม่ค่อยได้ผลดีตามที่ปรารถนา พระองค์อื่นก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับเราเองก็คงมีอีก ไม่น้อยจึงอธิษฐานจิตถามไว้ล่วงหน้า เมื่อหลวงปู่มั่น ได้เทศนากัณฑ์แรกจบไป ก็เทศนาเตือนสติในตอนท้ายว่า “ เอาจริงเอาจังเกินไป หรือขวนขวายพยายามพากเพียรมากไปแต่ขาดปัญญา ก็เป็นเหตุ ให้ใจดิ้นรนอยากได้ อยากเป็น อยากเห็น อยากสำเร็จ อยากบรรลุธรรม โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความอยากของตนจึงเป็นอุปสรรคของตน จึงให้ดูใจดูตนของตนด้วยสติปัญญา “ เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่นก็หันหน้ามาทางหลวงปู่จาม แล้วถามว่า “ เป็นอย่างไรท่านจาม ความโลภเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม ” หลวงปู่จาม ตอบอย่างเคารพและเกรงกลัวเป็นที่สุดว่า “ เข้าใจซาบซึ้งเป็นที่สุดครับกระผม”

    พ.ศ. ๒๔๙๑ อายุ ๓๘ ปี ( พรรษาที่ ๑๐ ) พบ ครูบาไชยา ( ใจยา ) หลวงปู่จามจำพรรษา กับหลวงปู่สิมที่ถ้ำผาพั้วะ ใกล้บ้านห้วยอีลิง เขตอำเภอจอมทอง ได้หาโอกาสไปกราบและศึกษาธรรมะกับ ครูบาไชยา (ใจยา) พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่จอมทอง สมัยนั้น ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัย เมื่อออกพรรษา ก็ลงจากถ้ำผาพั้วะ ส่วนหลวงปู่สิม ขอแยกไปตั้งวัดป่าสันติธรรม

    พ.ศ. ๒๔๙๒ อายุ ๓๙ ปี ( พรรษาที่ ๑๑ ) ถูกยิงด้วยปืนลูกซอง หลวงปู่จาม จำพรรษาที่สวนลำไย ระหว่างบ้านท่ากานและบ้านทุ่งเสี้ยว เขตอำเภอสันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นส่วนลำไยของพ่อน้อยมา ในพรรษานี้ หลวงปู่จาม เริ่มเทศนาเปิดธรรมะพิศดารให้ญาติโยมฟังมากขึ้น เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จามได้ไปพักภาวนาอยู่ในป่าอยู่กลางทุ่ง ถูกชาวบ้านชื่อนายดวง ซึ่งเป็นนักเลงโตแถบนั้น เป็นหลานกำนันซึ่งไม่เคยศรัทธาพระ นายดวงต้องการทดลองพระธุดงค์กรรมฐานที่แปลกหน้ามา นายดวงจึงยิงหลวงปู่จามด้วยปืนลูกซอง ยิงออกเสียงดังแต่กระสุนไม่ถูก จึงพูดกับลุงกำนันว่า “ พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ดี จริง ๆ ข้า ฯ ไปยิงมาเมื่อกี้นี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ”

    หลวงปู่จามได้ธุดงค์ต่อไป มุ่งไปสะเมิง ได้พบกับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจึงชวนหลวงปู่จามธุดงค์ไปดอยอินทนนท์ ต่อจากนั้นหลวงปู่ชอบได้ชวนหลวงปู่จามให้ไปบำเพ็ญภาวนาที่พระธาตุองค์หนึ่ง เจดีย์เก่าแก่ ตั้งอยู่กลางป่าบนเทือกเขา หลวงปู่ชอบบอกว่า ได้เคยไปมาก่อนแล้ว ท่านว่า “ เป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เละเคยเป็นบริเวณรุ่งเรืองมาก่อน ”
    พ.ศ. ๒๔๙๕ อายุ ๔๒ ปี อ่านพระไตรปิฏก ๓ รอบ หลวงปู่จามเดินธุดงค์ต่อไป มุ่งไปพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปภาวนาหลายแห่ง เช่น วัดพระธาตุจอมกิตติ วัดป่าสัก วัดเก่าแก่หลายแห่งในเขตอำเภอเชียงแสน สมัยนั้นมักเป็นวัดร้าง หลวงปู่จามเล่าว่า ภาวนาแถบนี้ได้รับผลดีมีความเจริญก้าวหน้าในด้านจิตใจ และภาวนาได้ทราบว่าที่ท่านเป็นผู้หนึ่งในอดีตชาติที่ร่วมก่อสร้างพระธาตุจอมกิตติ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพุทธเจ้าในสมัยยุคเชียงแสน หลวงปู่จามได้ธุดงค์วกกลับไปลำปาง ไปพักอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง และได้เทศนาสั่งสอนพระสงฆ์สามเณรฝ่ายมหานิกายและคณะญาติโยม เพื่อให้ได้สัมมาปฏิบัติ หลวงปู่จามพักอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนเป็นที่ทราบถึงพระเณรและคณะศรัทธาญาติโยมจากอำเภอต่าง ๆ ใกล้เคียงได้เดินทางมาฟังธรรมอยู่เป็นประจำหลวงปู่จามเล่าว่า อานิสงส์ของการเทศน์สั่งสอนพระสงฆ์สามเณรและญาติโยมคราวนั้นได้ปรากฏนิมิต ขณะเทศนานั้นปรากฏเป็นภาพฝนตกมาจากท้องฟ้าเป็นแสงระยิบระยับเหมือนเพชรพลอยตกลงมา โปรยลงมาเฉพาะบริเวณที่เทศนาในป่าช้านั้นตลอดเวลาที่เทศนาอบรม เหนือพระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่มาฟังธรรมตอนนั้น หลวงปู่จามให้เหตุผลว่า “ ผู้เทศน์ได้อานิสงส์ ผู้ฟังได้อานิสงส์ ตลอดจนได้รับความรู้ฉลาดในเชิงอรรถภูมิธรรม ” ในปีนั้นได้จำพรรษาที่วัดเชตวัน อ.เมือง จ.ลำปาง โดยหลวงปู่จามได้อธิฐานจะอ่านพระไตรปิฏกให้จบทุกเล่มในพรรษานี้ ปรากฏว่าท่านได้จบถึง ๓ รอบ มุมานะทั้งกลางวัน กลางคืน เมื่อออกพรรษาแล้วได้เดินธุดงค์ไปลำพูน เดินธุดงค์ผ่านเข้าเชียงใหม่ ไปบ้านช่อแล ไปวัดหลวงปู่ตื้อ ไปโรงธรรมสามัคคี (อยู่แทนหลวงปู่สิม ๑ พรรษา)

    พ.ศ. ๒๔๙๙ อายุ ๔๖ ปี พรรษาที่ ๑๗ ถ้ำพระสบาย ที่ถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม ขณะสมณศักดิ์เป็นพระครูสุทธิธัมมาจารย์ได้นำคณะญาติโยมจัดสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในถ้ำพระสบายโดยมีเจ้าแม่สุข ณ ลำปาง แม่เลี้ยงเต่า จันทรวิโรจน์ แม่เหรียญ กิ่งเทียน เป็นเจ้าศรัทธาใหญ่ตามคำปรารภของท่านพ่อลี ให้จัดสร้างและทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และด้วยจิตอธิฐานของท่านพ่อลี ได้เกิดต้นโพธิ์ขึ้นเอง ๓ ต้นบริเวณหน้าถ้ำพระสบาย เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จ ท่านพ่อลีได้นิมนต์ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ หลวงปู่แว่น ธนปาโล พระอาจารย์น้อย สุภโร ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยต่างองค์ก็ต่างสวดบทมนต์ตามถนัดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตีสี่จึงจบเสร็จพิธี พิธีที่แปลก แต่ละองค์จะมีพานไว้ข้างหน้าเพื่อเสี่ยงทายบารมี และจะนั่งอยู่องค์ละทิศของเจดีย์ หลวงปู่แว่น ธนปาโล นั่งอยู่หน้าถ้ำ จึงอธิษฐานว่าถ้าพระธาตุเสด็จมาในพานของใครมากน้อยก็แสดงว่าผู้นั้นได้ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากน้อยตามปริมาณที่พระธาตุเสด็จมา แต่ละองค์ก็สวดบทมนต์ที่ตนถนัดหรือจำมาได้ ตลอดเวลารวมทั้งสวดปาฏิโมกข์ เมื่อสวดถึงประมาณตีสี่ ปรากฏว่าเสียงตกกราวลงมาคล้ายกระจกแตก จึงให้สัญญาณหยุดสวดเจริญพระพุทธมนต์ แล้วจึงได้ตรวจดูในพานของแต่ละท่านที่วางอยู่หน้าที่นั่งปรากฏว่าในพานของท่านพ่อลี มีพระธาตุมากที่สุด รองลงมาก็เป็นของหลวงปู่จาม ต่อมาก็พระอาจารย์น้อย,หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แว่น ตามลำดับ ในมติคณะสงฆ์ตอนนั้น ได้มอบหมายให้หลวงปู่ตื้อ เป็นผู้วินิจฉัยถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะทุกองค์ยอมรับในความสามารถเข้าฌาณของหลวงปู่ตื้อ ว่ามีญาณทัศนะเป็นที่แน่นอน เมื่อหลวงปู่ตื้อเข้าสมาธิ เล็งญาณดูในอดีต จึงแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบร่วมกันว่า ท่านพ่อลี เป็นพระเจ้าอโศกมหาราช หลวงปู่จาม เป็นกษัตริย์ชื่อ เทวนัมปิยะ ของประเทศศรีลังกา พระอาจารย์น้อย เป็นเสนาอำมาตย์ของกษัตริย์ศรีลังกาองค์นั้น (เทวนัมปิยะ) หลวงปู่ตื้อ เป็นโจรมีเมตตาคนจน ตั้งปางโจรอยู่แถวถ้ำพระสบาย ปล้นคนรวยเอาไปช่วยคนจน หลวงปู่แว่น เจ้าเมืองลำปางในอดีต ช่วงนั้นท่านพ่อลีได้บอกหลวงปู่จามอีกว่า “ได้พบสาวกของท่านองค์หนึ่งเป็นเจ้าแห่งผีที่ผานกเค้า (จ.เลย) อย่าลืมไปโปรดเขาด้วย” ต่อมาท่านพ่อลีได้ชวนหลวงปู่จามลงไปกรุงเทพฯ เพื่อไปสร้างวัดที่นาแม่ขาว ที่สมุทรปราการ ( วัดอโศการาม ในปัจจุบัน ) แต่หลวงปู่จาม ออกอุบาย อ้างว่าชอบที่จะหาสถานที่วิเวกต่อไป

    พ.ศ. ๒๕๐๐ อายุ ๔๗ ปี หลวงปู่จามไปภาวนาอยู่เกาะคา ลำปาง เป็นที่พักสงฆ์ชั่วคราว ในปีนั้นพระอาจารย์น้อย สุภโร มรณภาพ จึงได้ทำพิธีฌาปนกิจที่วัดสำราญนิวาส อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

    พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๐๑ ห้วยน้ำริน หลวงปู่จามธุดงค์ไปลำพูน ไปพักอยู่ตามป่าช้า เพื่อตระเวนเทศนาสั่งสอนพระสงฆ์ สามเณร ญาติโยมได้พบกับหลวงปู่หลอด ปโมทิโต ( วัดใหม่เสนานิคม กรุงเทพฯ ) จึงธุดงค์ไปด้วยกันเป็นสหธรรมิกกัน ต่อมาภายหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ หลวงปู่หลอดได้มาเยี่ยมหลวงปู่จามที่ห้วยทราย ( วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ) ได้พูดกับพระอุปัฏฐากหลวงปู่จามว่า “ ขณะอยู่ลำพูน หลวงปู่จาม เทศน์เก่งมาก ผู้ฟังธรรมล้นหลาม ”

    พ.ศ. ๒๕๐๑ ( พรรษาที่ ๒๐ ) อายุ ๔๙ ปี จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ หลวงปู่จาม ได้เทศนาอบรมพระสงฆ์ สามเณร ญาติโยมในด้านการภาวนาในช่วงตอนบ่ายเป็นประจำ

    พ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๔ ( พรรษาที่ ๒๑ - ๒๓ ) อายุ ๕๐–๕๒ ปี โยมแม่ผัน โยมเลียงพัน ทิพยมณฑล ได้นิมนต์หลวงปู่จาม ไปพักที่โรงบ่มใบยาบ้านแม่แต อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้สร้างเป็นที่พักสงฆ์ถวายเพื่อจะด้อบรมสั่งสอนธรรมะแก่พระเณรและญาติโยม มีพระสงฆ์ สามเณร จำพรรษาอยู่ด้วยหลายองค์ ได้แก่ หลวงปู่บุญหนา ธมฺมทินโน( วัดโสตถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ปัจจุบัน ) ได้เคยจำพรรษาอยู่ที่พักสงฆ์โรงงานบ่มใบยา ๒ พรรษา กับหลวงปู่จาม หลวงปู่จาม จำพรรษาอยู่ที่พักสงฆ์โรงบ่มใบยาแห่งนี้ ๓ พรรษา แต่ระหว่างที่พักอยู่ที่นี้ เมื่อออกพรรษาก็ไปธุดงค์ที่อื่นบ้าง ไปธุระบ้าง ตามเหตุอันควร

    พ.ศ. ๒๕๐๕ พรรษาที่ ๒๔ อายุ ๕๓ หลวงปู่จาม มีกิจนิมนต์ไปกรุงเทพฯ ได้พบกับ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี ขณะมีสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณพุทธปาพจนจินดา ก็ได้สนธนาธรรมตามสมควร หลวงปู่จาม ได้ไปสนทนาธรรมกับ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์(สนั่น) หลวงปู่จาม ชวนท่านออกไปปฏิบัติธรรมในป่าเขา สมเด็จฯท่านบอกว่าหาอุบายหลายปียังหาช่องทางออกไม่ได้ การสนทนาธรรม ได้สอบความถูกต้องระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ ทำให้เข้าใจกันได้ดี

    ในปีนั้นมีศิษย์หลวงปู่จามท่านหนึ่งซึ่งได้ไปบวชที่วัดเจดีย์หลวง จากนั้นจึงได้ไปส่งที่บ้านเกิดที่ลพบุรี หลวงปู่จาม จึงถือโอกาสนั้นได้ไปแสวงหาสถานที่ภาวนาแถวลพบุรี มีหลายแห่ง หลวงปู่จามได้ไปภาวนาอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง มีนกเอี้ยงจำนวนมากร้องเสียงดังมาก ท่านได้นั่งภาวนาและกำหนดจิตดูว่าทำไมนกตัวนี้จึงเสียงดังผิดปกติ จึงส่งจิตถามหัวหน้านกเอี้ยง หัวหน้าก็ร้องบอกเจ้านกบริวารว่าอย่าส่งเสียงดังรบกวนพระคุณเจ้ากำลังบำเพ็ญถาวนา ถ้าหากจะไปหากินหัวหน้าก็จะร้องเสียงดังครั้งเดียวนกเหล่านั้น ก็จะกระจาย สลายตัว ต่างก็บินไปหากินที่อื่นโดยไม่ส่งเสียงดังรบกวนอีกต่อไป หลวงปู่จามได้พักอยู่ระยะหนึ่งก็ลานกเอี้ยงว่าจะกลับไปเชียงใหม่แล้ว พอวันที่ท่านออก เดินทางกลับด้วยเท้าพร้อมบริวาร บรรดานกเอี้ยงก็ร้องให้สัญญาณ แล้วทุกตัวก็บินมารวมกันเป็นขบวน อ้อมไปอ้อมมา นำหน้าท่านบ้างอ้อมมาตามหลังบ้าง เมื่อเดินทางออกไปได้หลายกิโลเมตร ประมาณ ๑ ชั่วโมง ฝูงนกเอี้ยงที่บินมาร้องดังระงมมาส่งตลอดทางนั้น ก็บินวนแล้วก็กลับไป
     
  2. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
  3. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    สามเณรจามแล้ว ว่า “เณรจามขี้โรค ข้อยตรวจตราดูแล้วยืดยาว เกิดมาตายมามากหลายเหลือเกิน เจ้าเคยเป็นพ่อค้าควาย มีหมู่ควายหลายล้านเต็มไปหมด อุปนิสัยของเจ้าของผู้เอาแบบอย่างขององค์พระพุทธเจ้า ทั้งเอาแบบและเป็นผู้เดินตามแบบ ต่อไปข้างหน้าของเจ้าอีกก็ยืดยาว สุดแท้แต่บุญพาวาสนาส่ง”
    “เณรจามขี้โรค” เป็นคำพูดของหลวงปู่สิงห์ที่มองเห็นอนาคต เพราะอีกไม่กี่ปี เณรจามจะล้มป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างรุนแรงจนลุกขึ้นไม่ได้ ต้องสึกออกไปเพื่อรักษาตัว ส่วนคำว่า “ผู้เดินตามพระพุทธเจ้า” นั้น ภายหลังหลวงปู่จามจึงเข้าใจว่า ตัวท่านเองบำเพ็ญเป็น “นิยตโพธิสัตว์” ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นจาก ทุกข์ทั้งปวง
     
  4. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    จากนั้นในคืนต่อมา หลวงปู่จามตั้งจิตมั่นภาวนาบนเส้นทางโพธิญาณปรากฏว่าการภาวนาได้ผลมาก จิตที่เคยเร่าร้อนกลับสงบอย่างรวดเร็ว จิตเย็นเบาสบาย จิตรวมลงถึงฐานอัปปนาสมาธิ พักในสมาธิ เพื่อให้เกิดพลังเต็มที่ แล้วจิตจะถอนขึ้นมาเอง มาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เกิดญาณทัศนะ สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ อย่างที่ไม่เคยรู้เห็นมาก่อน อันเป็นวาสนาของผู้บำเพ็ญพระโพธิญาณได้แจ้งชัดว่า “ได้เคยอธิฐานตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้แล้วในอดีตชาติ”
     
  5. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    บทสทนาหลวงปู่จามกับศิษย์
    ถาม : หลวงปู่ไม่เอาพระอรหันต์ในชาตินี้หรือ ?
    ตอบ :เอาอยู่ แต่เอาไม่ได้
    ถาม : หลวงปู่สร้างสมบุญญาบารมีไว้มากมายพอหรือยังและได้ญาณทัศนะถึงขั้นไหน ?
    ตอบ : ธรรมดาผู้ที่เกิดตายหลายชาติ นับไม่ไหว ย่อมมีอยู่
    ถาม : พลังอำนาจทางกสิณ หลวงปู่ได้เมื่อใด ?
    ตอบ : มีของเดิมอยู่
    ถาม : หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องเกิดอีกกี่ชาติ ?
    ตอบ : เกิดตายอีกหลายชาตินับไม่ไหว
    ถาม : เกิดตายอีกหลายชาติ หลวงปู่ไม่เบื่อหรือ ?
    ตอบ : เบื่อไม่ได้ เป็นหน้าที่
    ถาม : เคยเกิดมาเป็นใหญ่เป็นโต เคยเป็นตำแหน่งใดบ้างในอดีตชาติ ?
    ตอบ : พระเจ้าแผ่นดิน ฮ่องเต้ เจ้าชาย พราหมณ์ อาจารย์ทิสาปาโมกข์ ฤาษี แม่ทัพ
    ถาม : หลวงปู่เคยตกนรกไหม ?
    ตอบ : เคย หลายชาติ
    ถาม : หลวงปู่เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไหม ?
    ตอบ : เคย หลายชาติ
    ถาม : หลวงปู่ กลัวอะไรมากที่สุด ?
    ตอบ : ช้าง เจอต้องหนี
    ถาม : หลวงปู่ชอบ อะไรมากที่สุด ?
    ตอบ : “หัวเราะ” ก็แล้วแต่จะเป็นไป
    ถาม : หลวงปู่เกลียดอะไรมากที่สุด ?
    ตอบ : ตกนรก
     
  6. ~มะเดี่ยว~

    ~มะเดี่ยว~ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +61
    ไปกราบท่านมาสองครั้ง

    ครั้งแรกผมกับแฟนขับรถผ่านวัด เข้ามุกดาหาร เห็นป้ายวัดข้างทาง วัดหลวงปู่จาม คิดว่าวัดนี้น่าจะเป็นเป็นวัดป่าสายหลวงปู่มั่น

    แต่ไม่รู้ว่ามีพระอาจารย์องค์ใดอยู่ในวัดนี้

    ตกเย็น ขับรถจากมุกดาหารลองเข้าไปในวัด พระข้างนอกถามว่ามากราบหลวงปู่หรือ หลวงปู่อยู่ในห้อง เราก็ยังไม่รู้ว่าหลวงปู่จาม หน้าตา

    เป็นยังงัย

    พอเข้าไปในห้อง หลวงปู่นั่งรอเลย ในห้องไม่มีใครเลย พอกราบพระประธานเสร็จ หันไปที่หลวงปู่ หลวงปู่กวักมือ

    ส่งขวดน้ำให้เปิดฝาให้ พอเปิดแล้วก็ถวายท่าน โอ้ว........

    มีโอกาสได้กราบเท้าท่านและขอถ่ายรูปมาด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สาธุ สาธุ สาธุ ปิดภาคเรียนนี้ จะไปกราบท่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...