พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มารอท่านกูรูตอบครับ

    ทั้ง กูรูsittiporn.s , กูรูnongnooo , กูรู:::เพชร::: , กูรูpsombat


    :cool::cool::cool::cool::cool:

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนทุกบ้านก่อน "งานเลี้ยง" บั่นทอนสุขภาพ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">27 ธันวาคม 2553 11:21 น.</td></tr></tbody></table>
    อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาล เฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับปีใหม่ แน่นอนว่าทุกบ้านก็คงจะเตรียมจัดปาร์ตี้เพื่อกินเลี้ยงสังสรรค์รับความสุข ที่จะมาเยือนในปีกระต่ายนี้ ดังนั้นพระเอกของงานก็คงจะอยู่ที่อาหารและเครื่องดื่ม อาทิ ขนมเค้ก อาหารทะเล อาหารปิ้งย่าง ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ ซึ่งรายการอาหารดังกล่าว ล้วนแต่เป็นอาหารที่ให้แคลอรี่สูง ส่งผลให้ทุกคนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ บางคนอาจพบว่ามีปริมาณไขมันในกระแสเลือดสูงด้วย

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกมากนัก เมื่อหลายคนกลับมาทำงานตามปกติแล้ว จะรู้สึกว่าไม่สดชื่น ทั้งๆ ที่ผ่านช่วงวันหยุดยาวมา นั่นเป็นสาเหตุมาจากการที่ร่างกายของเราผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลายในงานเลี้ยง ทั้งการอดนอนจากการฉลอง หรือการเดินทางไกลไปเที่ยวต่างจังหวัด จนทำให้ร่างกายอ่อนล้า แม้จะได้พักผ่อนคลายเครียดทางจิตใจ แต่ร่างกายกลับไม่ได้พักผ่อนเลย บางคนรู้สึกเวียนศีรษะ เป็นไข้ บางคนมีแผลร้อนในบริเวณช่องปาก หรือมีอาการเริมบริเวณริมฝีปาก ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ

    "โรงพยาบาลสมิติเวช" จึงได้ฝากความห่วงใยและแนะเทคนิคการดูแลสุขภาพช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผ่านทีมงาน Life & Family ว่า ทุก คนควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ควรหลีกเลี่ยงการฉลองอย่างต่อเนื่อง งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ และควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1-2 ลิตร แต่สำหรับบางคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์ได้จริงๆ ก็ควรหาวิตามินรวมมารับประทาน เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินบี 12 วิตามินเอ โฟเลท เพราะจะช่วยให้อาการแฮงค์จากแอลกอฮอร์ลดลง เนื่องจากวิตามินจะเข้าไปยับยั้งและดูดซึมแอลกอฮอร์ในร่างกาย

    นอกจากนั้น สำหรับครอบครัวที่รักสุขภาพและไม่มีการวางแผนไปเที่ยวฉลองที่ไหนในช่วง เทศกาลวันหยุดยาวนี้ ขอแนะนำให้ชวนกันไปออกกำลังกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพระาเป็นช่วงเวลาที่ฟิสเนส หรือสนามกีฬาต่างๆ ไม่มีคนมาใช้บริการหรือช่วงหลังวันหยุดก็ยังไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการมากนัก จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกกำลังสบายๆ ปลอดโปร่ง ไม่แออัดเหมือนกับวันปกติ เพราะการออกกำลังกาย ถือเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น อีกทั้งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphine) ที่สมองหลั่งออกมาตอนที่ออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลาย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทำให้มีการเผาผลาญไขมันและพลังงานที่ได้รับเกิน มาจากการกินเลี้ยงฉลอง และยังช่วยกระตุ้นให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดีอีกด้วย

    แต่อย่างไรนั้น หากใครที่มี อาการอ่อนเพลียมากๆ จนตาเหลือง ตัวเหลือง มีอาการหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะมีไข้ ให้สันนิษฐานอาการเบื้องต้นไว้ว่า เกิดจากการดื่มแอลกอฮอร์ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการ "ตับอักเสบเฉียบพลัน" ได้ หากอาการรุนแรงให้รีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ตรวจดูอาการ แต่สำหรับคนที่หยุดพักผ่อนด้วยการไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา ทะเล และน้ำตก ก็ต้องระมัดระวังการติดเชื้อไวรัสต่างๆ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมาก รวมไปถึงการถูกยุงและแมลงกัดต่อยด้วย เพราะบางคนอาจมีอาการแพ้ ควรเตรียมยาแก้แพ้ติดกระเป๋าไว้ด้วย

    สุดท้ายขอให้ทุกครอบ ครัวกินเลี้ยงฉลองกันอย่างระมัดระวัง เพราะถึงอย่างไรสุขภาพก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และขอให้ทุกคนเที่ยวพักผ่อนในช่วงเทศกาลอย่างมีความสุขสนุกกันทั่วหน้านะค่ะ ^_^


    .

    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000181717

    .
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ดูก็รู้ว่าขอความเห็นพี่หนุ่มตอบก่อน...โยนเผือกร้อนกันเห็นๆ หุหุ ... งั้นผมขอตอบแทนพี่หนุ่มละกันว่า เชื่ออาจารย์ปู่จะดีกว่า...ข้ามาคนเดียว เดี่ยวกันไปเลยทีละองค์ จะเห็นผลมากกว่า...
    ผมมี short note สั้นๆ ตามนี้ ตามหาเองว่าใครเป็นคนพิมพ์ไว้ หุหุ
    "พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า ,วังหลวง หรือวังหลังนั้น และเริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2400 โดยเริ่มต้นขึ้นที่วังหน้า ในช่วงต่อมาทางวังหลวงและวังหลังจึงเริ่มมีการสร้างพระพิมพ์ขึ้น โดยมีการแยกกันชัดเจนในปีพ.ศ.2415 อันเป็นปีที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านทิวงคตแล้ว โดยมีการใช้ตราครุฑ ประทับด้านหลังพระพิมพ์ เพราะฉะนั้น พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นจากวังหน้า ที่สร้างก่อนปี พ.ศ.2415 โดยส่วนใหญ่แล้วสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านจะเมตตามาเสกให้
    การที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านเสกพระพิมพ์และวัตถุมงคลให้นั้น หากทันท่านที่ยังมีขันธ์อยู่ พลังอิทธิคุณก็จะแตกต่างจากที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีทิวงคตแล้ว
    ส่วนพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2400 ถึง ปีพ.ศ.2428 อันเป็นปีที่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านทิวงคตนั้น คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) หลวงปู่จะเมตตามาเสกพระพิมพ์ให้ เพียงแต่ว่า เป็นองค์ไหนมาเสกเท่านั้นเอง โดยปกติแล้ว หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ท่านจะเป็นผู้ที่เสกพระพิมพ์และวัตถุมงคลเป็นส่วนใหญ่ (ในความคิดเห็นส่วนตัวผมไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยละ 95 ถ้าเป็นหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าเสกนั้น ประมาณร้อยละ 3 ถ้าเป็นหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ประมาณร้อยละ 1 ถ้าหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง 5 องค์เสกนั้น ไม่เกินร้อยละ 1)

    เรื่องของพระปัญจศิรินั้น หากท่านใดที่มีหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่านั้น จะพอทราบเป็นเบื้องต้นว่า พระปัญจศิรินั้น ลักษณะเนื้อหา , สี นั้นในยุคแรกๆ (ที่ทันสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสียังมีชีวิตอยู่) จะมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่หากสร้างพระปัญจศิริหลังที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ทิวงคตแล้ว จะมีการเชิญสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี โดยท่านเป็นอทิสมันกาย มาเสกให้ในบางพิธีเหมือนกัน แต่พลังอิทธิคุณที่อยู่ในองค์พระพิมพ์หรือวัตถุมงคลจะแตกต่างกัน"

    เพราะฉะนั้นลองตามหาพระพิมพ์ที่ทันหลวงปู่เจ้าประคุณสมเด็จฯโต และร่วมเสกโดยหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร อย่างน้อยสามองค์เสก ไว้อาราธนาขึ้นคอ จะเบาคอดีกว่านะครับ เช่น พระพิมพ์...รุ่นบางๆ แรกๆ,พระสมเด็จกลักไม้ขีด...,พระผงยา..., พระพิมพ์ที่บุ..., พระพิมพ์พิเศษ...2 พิมพ์ เป็นต้น
     
  4. นายเฉลิมพล

    นายเฉลิมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +460
    สวัสดีตอนดึกครับ
    วันนี้มีปุ่มอนุโมทนาให้กด หลังจากไม่ได้กดหลายวัน
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, :::เพชร:::+, nongnooo+</td></tr></tbody></table>

    รอท่านกูรูnongnooo , ท่านกูรู:::เพชร::: นะครับ


    .
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านพระกริ่งคนหนึ่งในเมืองไทยทีเดียว ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นนักซื้อขายพระหรือเซียนพระแต่ประการใด แต่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหล่อพระกริ่ง และด้านไสยเวทย์คนหนึ่งในเมืองไทยที่หาตัวจับได้ยากยิ่งเลยทีเดียว ท่านยังเป็นปรมาจารย์ทางโหราศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๖๒ อาจารย์เทพย์เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษกว่าคนทั่วไป ท่านมีรกซึ่งมีลักษณะเป็นหมวกครอบศีรษะออกมาด้วยเป็นที่พิศดาร คุณหลวงวิศาลรุนกร (อั้น สาริกบุตร) ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นคุณลุงของอาจารย์เทพย์ และท่านยังเป็นโหราจารย์ที่มีชื่อคนหนึ่ง ตั้งชื่อให้ว่าเทพย์เพื่อเป็นมงคล ท่านพูดเป็นคำขันว่า เจ้าหมอเทพย์คนนี้น่ากลัวจะมีวิชาดีเอาติดตัวมาด้วย คำพูดของท่านเป็นจริงเมื่ออาจารย์เทพย์เติบโตขึ้นท่านก็กลายเป็นนักวิชาการ ทางด้านโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ของเมืองไทยคนหนึ่งมี พันเอกหลวงธรณีนิติญาณ (สวัสดิ์ อินทรพล) ซึ่งเป็นคุณลุงทางฝ่ายมารดา ถ่ายทอดวิชาหมอดู โหราศาสตร์ไทยให้ท่าน ในขณะที่คุณหลวงวิศาลฯ สอนวิชาโหราศาสตร์สากล ท่านเป็นคนวิริยะอุตสาหะจริงๆ ใช้เวลาทุกขณะค้นคว้าหาความรู้ทางด้านนนี้มาตลอด ส่วนทางด้านไสยเวทย์มีคุณพ่อของอาจารย์ซึ่งถ่ายทอดวิชาวัดปากคลองมะขามเฒ่า ให้เป็นพื้นฐาน (คุณพ่อของอาจารย์เทพย์เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลอง) นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์สี วัดมณีชลขันธ์ อาจารย์ผาด หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วถ่ายทอดวิชาทำยาจินดามณีอันศักดิ์สิทธิ์ และวิชาทำพระไม้โพธิ์แกะห้ามสมุทรที่มีคุณวิเศษ เป็นลูกศิษย์รักของท่านเจ้าคุณศรีสัจจาสนธิ์ วัดสุทัศน์ที่ถ่ายทอดวิชาการหล่อพระกริ่งอันดับหนึ่งในเมืองไทย และท่านยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากวัดประดู่โรงธรรม อยุธยา ตักศิลาที่สำคัญยิ่งของเมืองไทย ท่านได้พบกับหลวงปู่เทียม วัดกษัตริย์ตรา หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ ที่เดินทางมาศึกษาวิชาวัดประดู่เหมือนกัน และเป็นสหธรรมมิกที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ แลกเปลี่ยนวิชากันอยู่เสมอมิได้ขาด นอกจากนี้ท่านยังแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน (สำหรับหลวงปู่รอดนี้ เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกศิษย์ของท่านถูกเจ้าเข้ามาตลอด ญาติจึงพามาหาหลวงปู่รอดเพื่อแก้ไข แต่ท่านได้รดน้ำมนต์ ลงตะกรุดให้ติดตัว แต่เจ้าก็ยังเข้าได้อยู่ดี จึงได้ให้ลูกศิษย์มาหาอาจารย์เทพย์ เพื่อขอคำแนะนำ อาจารย์เทพย์ได้ลงตะกรุดไปให้ดอกหนึ่งถวายหลวงปู่รอด หลวงปู่รอดจึงให้คนที่ถูกเจ้าเข้าสิงใส่ติดตัวแทนตะกรุดหลวงปู่ เป็นที่น่าอัศจรรย์เจ้าที่เคยเข้าได้มาตลอดกลับเข้าไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่ บัดนั้น หลวงปู่รอดจึงขึ้นมาหาอาจารย์เทพย์ถามเรื่องยันต์ในตะกรุดนั้นว่าลงอะไร อาจารย์เทพย์จึงถวายวิชาลงตะกรุดนั้นให้หลวงปู่รอดไป นับตั้งแต่บัดนั้นหลวงปู่รอดไปมาหาสู่อาจารย์เทพย์มาโดยตลอดแลกเปลี่ยนวิชา กันอยู่เสมอ ท่านมากรุงเทพเมื่อไหร่ต้องมาแวะพักค้างที่บ้านอาจารย์เทพย์มิได้ขาด อาจารย์เทพย์นับถือหลงปู่รอดเป็นครูบาอาจารย์ของท่านองค์หนึ่งเลยทีเดียว ท่านยังเป็นเจ้าพิธีที่สำคัญๆของเมืองไทยอยู่หลายพิธี ซึ่งหลายท่านยังคงไม่ทราบ เช่น พิธีมหาจักรพรรดิ์กษัตราธิราช วัดปรินายก และที่พิษณุโลก พิธีที่สำคัญและน้อยท่านที่ทราบวิธีการจัดให้ถูกต้อง และพิธีหล่อพระกริ่งจอมสุรินทร์ พระกริงเอกาทศรถ พระกริ่งจิตคุโตหลวงพ่อผาง ฯลฯ ที่กล่าวมานี้ท่านลงแผ่นทอง กำหนดฤกษ์ยามให้ และเป็นเจ้าพิธีควบคุมด้วยตัวท่านเอง พระกริ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือพระกริ่งวัดปรินายก พระกริ่งปวเรศน้อย วัดช่องลม(วัดสีห์ไกรสร) ท่านทำตอนที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ ว่ากันให้หมู่ลูกศิษย์เททองเสร็จ ยิงได้เลยยังไม่ต้องปลุกเศกผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ ปืนยิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว ทำให้พระกริ่งชุดนี้ เป็นที่เสาะแสวงหากันมากในหมู่นักนิยมสะสมพระเครื่อง และยังมีการปลอมออกมาหลายฝีมือทีเดียว พระกริ่งดาว ๗ ดวง ที่หล่อเพียง ๗ องค์เท่านั้น ใครที่คิดจะหาปิดประตูได้เลย เพราะอยู่กับผู้ที่มีอันจะกินระดับแนวหน้าของเมืองไทยทั้งหมด ที่เรียกกริ่ง ๗ ดาวนี้ เนื่องจากในปีนั้นมีดวงพระเคราะห์ทั้ง ๗ ดวงเคลื่อนเข้ามาอยู่ในราศีเดียวกัน และให้คุณเป็นอันมาก เรียกว่ารอกันเป็นสิบๆ ปีได้เลยกว่าจะเกิดปรากฏการแบบนี้ จึงเป็นที่มาของพระกริ่ง ๗ ดาว ส่วนพระบูชาไม้โพธ์แกะปางห้ามสมุทร หรือโพธิ์นิพพาน ท่านได้สร้างไว้เหมือนกันแต่น้อยมากๆ พระควัมบดีแกะจากไม้รักซ้อนตายพรายก้นอุดด้วยพระธาตุและผงวิเศษ พระควัมบดีแกะจากไม้หิ่งหายผี ส่วนเครื่องรางก็จะมี เสื้อยันต์ท่านทำสมัยสงครามอิน โดจีน ผ้ายันต์ต่างๆ เชือกคาดเอว (ลงแล้วเผาไฟไม่ไหม้ตามตำรา) สำหรับเครื่องรางเหล่านี้จะต้องมีเครื่องสังเวยครูตามตำรานั้นๆ เลยทีเดียวถ้าไม่มีมาท่านจะไม่ทำให้เป็นอันขาด เพราะท่านถือเรื่องการเคารพครูเป็นอย่างสูง เครื่องรางของท่านแต่ละชิ้นจึงมีราคาค่าตัวสูงพอสมควร ตะกรุดต่างๆ เช่น ตะกรุดมหาจักดิ์กษัตราธิราชที่ลงในพิธีมหาจักรพรรดิ์ที่นับดอกได้ ปีที่ทองคำตกบาทละ ๕๐๐๐ กว่า เคยมีคนเอาทองคำหนัก ๖ บาทมาแลกตะกรุดมหาจักรพรรดิ์ไป ๑ ดอก ตะกรุดคู่ชีวิต ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม และตะกรุดอื่นๆ ประคำประเจ้าตรึงไตรภพ ที่ทำจำน้อยมากมีไม่เกิน ๒๐ กว่าเส้นเท่าที่ทราบ และหาผู้ที่รู้จริงทำได้น้อยมากเช่นกัน แม้แต่วัดกลางบางแก้วเอง สิ้นหลวงปู่บุญ ก็ไม่มีท่านใดทำต่อได้เลย ลงด้วยคาถารัตนมาลา ทั้ง ๑๐๘ คาถาและต้องท่องจบสูตรรัตนมาลาทั้งหมด ๓ ห้อง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไส้ทำด้วยเงินลงยันต์ บ้างท่านเป็นทองคำก็มี พันดวยกระดาษสาโรยด้วยผงยันต์ปถมัง ฯลฯ ลงรักปิดทองทั้งเส้น ผมยังมีบุญที่ได้เห็นอยู่หนึ่งเส้นในชีวิต เพราะของสำคัญอาจารย์เทพย์ส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในมือผู้ที่มีอันจะกินระดับเจ้าสัว แทบทั้งสิ้นจึงไม่มีของหลุดออกมาให้เห็น มีดเทพศาสตราที่รวบรวมชนวนพระกริ่งที่ท่านทำทั้งหมดมาหลอมเป็นใบ นำมาตบแต่งเป็นมีดจารทั้งใบหน้าหลังมีดท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขณะที่ลงใบปลายมีดลงยันต์โอ้ฟ้าผ่าอยู่นั้น ฟ้าก็ได้ผ่าลงมาให้เห็นจริงๆ จะเห็นได้ว่าท่านเรียนวิชาอะไรก็สำเร็จตามคุณวิเศษของตำรานั้น เท่าที่ผมได้ทราบมากับตัวเองและที่เห็นในเรื่องเหล่านี้ก็จะมี อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และอาจารย์ชุม ไชยคีรี สองท่านนี้ที่ทำได้ตามตำราจริงๆ คุณวิเศษของมีดนั้นเรื่องไล่ผี ขับคุณไสยถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีดของท่านยังใช้ทำความได้ด้วย (เรื่องนี้ผมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากลูกศิษย์คนสนิทของท่านคนหนึ่ง ว่ายังใช้ทำความได้ดี ใช้ข่มศัตรู เพียงแต่นำรู้ถ่ายของคู่ความ คู่กรณีมาว่าคาถาที่กำกับ และพันกับด้ามมีดเท่านั้น คู่ความไม่สามารถว่าความได้เลย) วิชาทำยาจินดามณีได้รับอนุญาติจากสำนักพระราชวัง ให้ใช้พระอุโบสถวัดพระแก้วประกอบพิธี นับว่าหาได้ยากจริงๆ เท่าที่ทราบก็ไม่มีผู้ใดอีกเลยที่ทำพิธียาจินดามณี ในพระอุโบสถ วัดพระแก้วได้ นอกจากนี้ยังได้รับโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้หล่อพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ถวายพระองค์อีกด้วย สีผึ้งสามไฟที่เลื่องลือในด้านเมตตานิยม การเจรจาเป็นอย่างสูง พิธีสุดท้ายท่านทำที่วัดเสน่ห์หา เมื่อทำสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดเสน์ห์หาพอดี นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมากสำหรับอาจารย์เทพย์ ที่ได้ลองทำวิชาสีผึ้งสามไฟ ใครมาขอท่านจะให้แค่เท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น และนำไปผสมกับสีผึ้งที่เตรียมมา ลูกศิษย์ที่ได้ใช้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าวิเศษตามที่ท่านได้บอก สรรพคุณจริงๆ ระยะหลังท่านได้เลิกทำเครื่องราง เพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่ยังคงไว้ในส่วนพระกริ่งของท่านเองที่ทำเพื่อการสร้างวัดวาอาราม บูรณปฏิสังขรณ์ ถาวรวัตถุต่างๆ ครั้งหลังนี้ท่านเลือกประกอบพิธีที่วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒาราม) มาโดยตลอดเพราะรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาส พระกริ่งที่เทวัดคะเคียนนี้ ที่ผมจำได้จะมี พระกริ่งนวโกฏิ (พระนวเศรษฐี) พระกริ่งปวเรศ พระชัยวัฒน์ พระบูชาหลวงพ่อดำ (พระบูชาหลวงพ่อดำนี้เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ พระจำองค์สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ที่พระองค์เดิมเป็นพระสมัยเชียงแสนหล่อด้วยสำริด เนื้อกลับเป็นสีดำ ส่วนฐานท่านได้ให้ช่างแกะเป็นเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง และแผงไม้ประดับองค์พระด้านหลัง คล้ายกับพระพุทธชินราช พิษณุโลก และถวายพระนามใหม่ว่าหลวงพ่อดำ) เหรียญนารายณ์แปลงรูป เหรียญพุทธนิมิตร ส่วนการประกอบพิธีพุทธาภิเษกท่านได้นิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะองค์ (หลวงพ่อทองอยู่นี้ท่านดังมากในเรื่องใช้กสิณดับแสงดาว และท่านยังเป็นญาติทางฝ่ายแม่ของอาจารย์เทพย์อีกด้วย) ส่วนหลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นสหธรรมมิกกับอาจารย์เทพย์ เวลาที่หลวงปู่โต๊ะทำผงมักจะมาทำที่บ้านของอาจารย์เทพย์เสมอ ประสพการณ์ของอาจารย์เทพย์นั้นมักจะมีในแทบทุกด้าน วิชาที่ท่านทำแต่ละอย่างนั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวิชาชั้นสูง อย่างเช่น ทางด้านเมตตามหานิยม นั้นท่านทำให้ถึงขนาดที่ว่าเทวดายังต้องลงมารัก มาเมตตาสงสาร ให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เมตตามมหาเสน่ห์แล้วจบลงด้วยการนอนร่วมเพศกันเหมือนกับอาจารย์ลวงโลก ในสมัยนี้ทำ ท่านยกอุปมาอุปมัยมาสั่งสอนลูกศิษย์โดยตลอด ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ วิชามหาเสน่ห์ท่านก็มีแต่ไม่ได้ประสิทธิประสาทให้กับผู้ใด ท่านว่าเป็นวิชาขั้นต่ำ ท่านเคยทำวิชานี้ให้พระอาจารย์ติ๋ว วัดมณีชลขันธ์ ได้ประจักษ์เป็นบุญตามาแล้ว (เมื่อปี ๕๐ มีลูกศิษย์พระอาจารย์ติ๋ว ท่านหนึ่งโทรมาแลกเปลี่ยนประสพการณ์กับผม เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งที่พระอาจารย์ติ๋วเข็ญรถอาจารย์เทพย์ ออกมาหน้าบ้านท่านบอกอยากเห็นอะไรมั๊ย พอพูดจบท่านนั่งภาวนาคาถาสักครู่ ในขณะนั้นมีผู้หญิงสองคนเดินผ่านหน้าบ้านท่านพอดี ท่านจึงเป่าคาถาใส่ผู้หญิงสองคนนั้น ปรากฎว่าผู้หญิงสองคนนั้นเดินเข้ามาหาอาจารย์เทพย์และหอมแก้มท่านเป็นการ ใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย พระอาจารย์ติ๋วเห็นแล้วถึงกับอึ้ง ในวิชามหาเสน่ห์ของอาจารย์เทพย์ที่ทำให้ดู) อาจารย์เทพย์ ท่านมรณะเมื่อ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๖ นับว่าเป็นการสูญเสียครูบาจารย์ที่สำคัญ ท่านหนึ่งในเมืองไทย นี่เป็นประสพการณ์เล็กๆน้อยส่วนหนึ่งที่ผมได้รับรู้ ได้เห็นมา

    อาจารย์เทพย์ท่านเป็นคนกรุงเทพ ฯ มีศักดิ์เป็นหลานชายของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) อดีตผู้อำนวยการของโรงเรียนสวนกุหลาบ คุณหลวงวิศาลดรุณกรนี้ตามประวัติชำนาญทางโหราศาสตร์มาก เพราะเป็นศิษย์ของพระเทวโลก โหรหลวงนามอุโฆษในสมัยรัชกาลที่ ๖ และคุณหลวงยังชำนาญทางวิทยาคมและพระกรรมฐาน โดยเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานในสำนักวัดราชสิทธาราม โดยมีพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เป็นอาจารย์ พระสังวราชุ่มนี้เป็นผู้ทรงกิตติคุณทางวิปัสสนาธุระองค์หนึ่ง และได้เล่าเรียนทางวิปัสสนาเพิ่มเติม แม้ทางสายมหายาน โดยคุณหลวงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ขององทันเคียด แห่งวัดอุภัยราชบำรุง (วัดญวน) เพื่อศึกษากรรมฐานกระทำมุทราตามแบบพุทธตันตระอีกด้วย อ.เทพย์ก็ได้ความรู้จากเจ้าคุณอามิใช่น้อย ส่วนทางมารดาของท่านเองก็มีผู้ชำนาญในทางนี้คือท่าน พันเองหลวงธรณีนิติญาณ

    จำได้ว่าภายหลังบิดาท่านย้ายไปทำงานราชการแถบชานเมือง แต่อ.เทพย์ก็ยังคงวนเวียนศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางไสยเวทพุทธาคมอยู่ในแถบพระนครนี่เอง ก็มีแถววัดสามปลื้ม วัดปทุมคงคา วัดสามจีน ย่านนี้ซึ่งมีคนดีมีวิชา เป็นพระเป็นอาจารย์สักบ้างอยู่หลายท่าน และก็ได้เรียนกับท่านมหาโต๊ะสำนักวัดราชบุรณะ และก็อาจารย์อีกหลายรูปแถบฝังธน ทั้งทางเลขยันต์และพระกรรมฐานจนมีความแตกฉาน ต่อมาราว พ.ศ. 247 กว่า ๆ ท่านพระครูใบฎีกาเทพย์ สิงหรักษ์ ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) วัดระฆัง ได้พิมพ์ตำราเพ็ชรรัตน์มหายันต์ขึ้น ช่วงนั้นอ.เทพย์ท่านได้แวะเวียนไปปรึกษาด้านวิชาอยู่เนือง ๆ และก็มีท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ ฯ อีกรูปหนึ่งที่อ.เทพย์ยกย่องเป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ ท่านผู้นี้สนใจศึกษาไสยศาสตร์ตั้งแต่ครั้งยังบวชเป็นสามเณรกับพระพุทธวิถีนายก (บุญ) วัดกลางบางแก้ว กล่าวกันว่า ในสมัยนั้นท่านแตกฉานในวิชาทางนี้มาก ถึงขนาดยกย่องกันว่า ไม่มีคาถาอาคมบทไหนที่ไม่เคยผ่านสายตาท่านมาก่อน อ.เทพย์ได้เรียนวิชาพระยันต์ ๑๐๘ นะ ๑๔ ตามตำรับพระพนรัตน วัดป่าแก้วที่ใช้หล่อพระชัยวัฒน์ในพระราชพิธี ต่อมาได้ประยุกต์มาหล่อพระกริ่งกันจนทุกวันนี้

    วิชาทางคงกระพัน อ.เทพย์เคยไปฝากตัวศึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ ที่จำวัดอยู่วัดน้อยทองอยู่และวัดภุมรินทร์ราชปักษา ซึ่งปัจจุบันร้างไปแล้วภายหลังสงครามโลก และก็ได้ไปสำนักวัดมณีชลขันฑ์ ลพบุรี ได้วิชาสายนี้มามากพอดู ท่านอาจารย์เทพย์ก็เป็นที่รู้จักของบรรดาพระเถรานุเถระทั้งหลายในกรุงเทพ ฯ สมัยก่อน รูปใดมีความรู้ความสามารถท่านก็ไปปรึกษาอยู่เนือง ๆ ประกอบกับได้ค้นคว้าด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่จากตำรับตำราสารพัดที่ตกทอดมาแต่โบราณ ติดขัดตรงไหนก็ไปไต่ถามผู้รู้ จนกระทั่งมีความแตกฉาน แม้สำนักวัดประดู่ทรงธรรม สำนักวัดพระญาติ ทางพระนครศรีอยุธยา ท่านก็เคยไปสืบวิชามา และก็รู้จักกับอ.เฮง อีกด้วย เด็กนักเรียนสวนกุหลาบ เทพศิรินทร์สมัยก่อนมาลงวิชาชาตรีกับอ.เฮงมิใช่น้อย

    การศึกษาวิชาของอ.เทพย์ ก็วนเวียนอยู่ในสายกรุงเก่า-กรุงเทพนี้เอง คือครูบาอาจารย์จากอยุธยาและบางกอกก็สายเดียวกัน เว้นแต่สายทางมอญซึ่งท่านไปแลกเปลี่ยนกับพระสมุห์โต๊ดวัดชนะสงคราม และก็หลวงปู่รอด ปรมาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมแห่งวัดบางน้ำวน และก็เริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นตามวัยวุฒิคุณวุฒิ ท่านไม่หยุดจะเสาะแสวงหาความรู้ ทำให้ยากที่จะกำหนดครูบาอาจารย์ที่ได้เรียนวิชามาได้แน่นอน ที่สำคัญคืออาจารย์ฆราวาสซึ่งสำเร็จวิชาแก้ว ๔ ดวง ได้สอนวิชานี้ให้โดยบอกเป็นปริศนา “หกสองหกยกเสียสองตัว คุณแก้วเหนือหัวคำเดิมอย่าเสีย ฯลฯ” ให้คิดถอดถอนเพื่อหนุนธาตุทำให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา คนใกล้ชิดอ.เทพย์เล่าว่าอาจารย์ผู้นี้บอกเคล็ดวิชาแล้วก็เดินลงน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับ อ.พรหม ขมาลา (เปรียญ) สำนักวัดพระเชตุพน ซึ่งท่านผู้นี้มีส่วนสำคัญในการเสาะหาตำรับตำราต่าง ๆ เพื่อมาชำระ โดยในครั้งแรกมีพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ฯ เป็นที่ปรึกษา แต่ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียกลางคัน ทำให้โครงการตำราคัมภีร์พระเวทต้องชะงักไปชั่วคราว แต่ก็ได้ริเริ่มจนเสร็จ อ.พรหมผู้นี้ชำนาญทางผงวิเศษ เพราะสืบสายวิชามาจากสายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง แม้ อ.ตรียัมปวาย (พ.อ.ประจญ กิตติประวัติ) ก็ยังรู้จักและนับถือ ใช้เวลาหลายปีจึงสำเร็จออกมาเป็นชุดคัมภีร์พระเวท ๖ เล่ม ตั้งแต่ฉบับปฐมบรรพ ถึงฉัฏฐบรรพ ชุดคัมภีร์ ๖ เล่มนี้ท่านพิมพ์เองและได้ขาดตลาดไปร่วม ๓๐ ปีแล้ว แม้ที่พิมพ์ขายอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยจากคัมภีร์ชุดใหญ่ ๖ เล่มนั้น

    สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะมีผู้คน ลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนไปปรึกษา หาความรู้อยู่ไม่ขาด แรกที่เดียวบ้านอ.เทพย์อยู่ถนนเพลินจิต พระนคร ต่อมา ท่านได้ขายที่และย้ายไปอยู่แถว ลาดพร้าว บางเขน ท่านมีเรื่องต้องไปบวชในร่มเงาสมณเพศ จำพรรษาที่วัดสีหไกรสร บางกอกน้อย เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการให้ฤกษ์กับคณะปฏิวัติ พอคลี่คลายจึงได้ลาสิกขาออกมา ระหว่างบวชได้สร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศน้อย” เสกดีมาก ๆ ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ (พระไพโรจน์วุฒาจารย์) รับนิมนต์มาเสกด้วย ลูกศิษย์ลูกหา อ.เทพย์ส่วนใหญ่เป็นคนใหญ่คนโต นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ทางในรั้วในวังก็รู้จัก และไม่เพียงด้านไสยศาสตร์แม้โหราศาสตร์ท่านก็แตกฉาน ท่านเคยทำยาจินดามณีถวายพระเจ้าอยู่หัวด้วย

    สมัยก่อนใครสนใจเรื่องคงกระพัน ไปพบท่าน ท่านเสกคาถาจำพวกหัวใจ ๔ ตัว แล้วก็ลองสับให้ดูได้ อย่างเรื่องสะเดาะกุญแจนี้ มีครั้งหนึ่งอาจารย์เทพย์ไปบ้านอ.หนู (นิรันดร์) ที่ทำพระกริ่งวัดสุทัศน์ ไปนอนเล่นอยู่หรืออย่างไรนี่แหละ อยู่ ๆ ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาบอกเห็นว่าขลังนัก ลองสะเดาะประแจให้ดูหน่อย ถ้าทำได้จริงถึงจะเชื่อ อะไรทำนองนี้ สถานการณ์บังคับท่านจึงจำใจหยิบกุญแจมาใส่มือบริกรรม แล้วก็ตบไปที่กุญแจนั้น เสียงลั่นดังเปรี๊ยะปรากฏว่ากุญแจลั่นออก ข้างในแตกและพังไปเลย ปัจจุบันได้ยินว่ากุญแจนั้นก็ยังอยู่เป็นหลักฐาน แต่อยู่ที่ใครผมไม่ทราบเพราะไม่ได้ถามไว้ แล้วก็เรื่องปลุกพระภควัมให้ลุกนั่ง คือเอาพระภควัมมาใส่แช่น้ำมันหอมในขันสัมฤทธิ์ ปลุกให้พระลุกตั้งขึ้น ท่านทำไว้หลายองค์ แต่ต้องนั่งเสกนานหลายวัน ที่น่าสนใจคือมีคราวหนึ่งท่านลองเสกดอกจำปาเป็นแมลงภู่ตามคำยุของศิษย์ เอาดอกจำปาใส่ขันปิดฝาเสก เสกแล้วเสกเล่าก็ไม่เป็น จนผ่านไปหลายวัน ไม่เป็นสักที ท่านเกิดโมโหจึงเอาขันไปเททิ้ง พอเทออกเท่านั้นล่ะครับ ดอกจำปาก็บินเป็นแมลงภู่ไปทันที ใครอยากเสกอะไรก็ขอให้จำไว้เป็นอุทาหรณ์ ว่ามันไม่ใช่ของง่ายเลยนะครับ บั้นปลายอ.เทพย์ท่านป่วยเป็นเบาหวาน จนถึงที่สุดกับต้องตัดขาทั้งสองข้าง แต่ท่านก็กำลังใจดี มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จนถึงวาระสุดท้ายท่านก็จากไปอย่างสงบ พระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านยังมีอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เมื่อผมยังบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศ เคยไปฉันบ้านท่านผู้นี้ ยังได้พบกับ อ.ถนอม ศิษย์สำคัญคนหนึ่งของอ.เทพย์ที่บ้านท่านเลยครับ จบเรื่องท่านอาจารย์ใหญ่แต่เพียงคร่าว ๆ เท่านี้ครับ เรื่องยังมีอีกมากจำไม่หมด ตรงไหนเลอะเลือนไปก็กราบขออภัยท่านผู้เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้

    อนึ่ง ลายมืออักขระในตำราอาจารย์เทพย์นั้นมิใช่ลายมืออาจารย์เทพย์เขียนดังที่หลายคนเข้าใจ ผู้เขียนคืออ.จริน ผู้มีลายมืองดงาม กล่าวกันว่าท่านผู้นี้ก็สามารถลบผงปถมังทะลุกระดานได้ครับ


    ข้อมูลจากเวป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ขอบพระคุณในวิทยาทานครับ ตอนผมไปกราบปู่ประถมครั้งที่สาม ท่านก็ทักผมว่า "ทำไมใช้พระเยอะจัง หลาน" แล้วท่านก็ให้อาจิ๋วหยิบพระที่ท่านห้อยอยู่องค์เดียวให้ผมชม แล้วท่านก็เล่าประวัติพระองค์นั้นให้ผมฟัง ถึงอย่างนั้นแล้วปัจจุบันผมก็ยังห้อยพระหลายองค์อยู่ดีครับ (กิเลสล้วนๆ)
    ส่วนพระพิมพ์...รุ่นบางๆ แรกๆ คุณปู่ประถมก็หยิบให้ชมเป็นบุญตาแล้วครับ จำติดหูติดตา และยังตามหาอยู่ครับ เพิ่งจะพบบ้างแล้วครับ ได้อัญเชิญมาไว้ที่บ้านและติดตัวบูชาเหมือนกันครับ
     
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    เดิมทีผมก็เหมือนคุณคงภัคหรือพี่ๆหลายคนในที่นี้นะครับ คือห้อยพระราว 3 องค์ขึ้นไป บางทีมีองค์เทพฯด้วยก็อาจจะมีอีกเส้น รู้สึกรำคาญอยู่ในตอนแรกๆ ทั้งเสียง ทั้งน้ำหนัก ทั้งจะต้องจัดกลุ่มองค์พระให้ไปด้วยกันได้ ทั้งตั้งจิตสมาธิให้รวมศูนย์ แต่ภายหลังได้ทดลองอาราธนาอย่างเข้มข้น จึงได้ข้อสรุปออกมาอย่างอาจารย์ปู่ท่านเมตตาสอนสั่ง คือเดี่ยวโลด

    มาหาดใหญ่ครานี้ ผมห้อยพระกริ่งปวเรศก้นทองคำ ข้างหลังใส่พิมพ์พิเศษองค์บาง ก็ดีในทุกๆเรื่องนะครับ แต่หนักไปทางเมตตา แท้พลังท่านจะไม่รุนแรงเท่า TOP4 เพราะท่านออกไปทางมหาอำนาจมากไปหน่อย ผมจึงจะห้อยเฉพาะเวลาเดินทางไปทำบุญ ประกอบพิธีทางศาสนาหรือนั่งสมาธิ,พระสมเด็จกลักไม้ขีดลงรักปิดทอง ผมจะอาราธนาช่วงที่เกิดปัญการเงินไม่คล่องตัว เพราะท่านดีเลิศทางโภคทรัพย์,พระองค์บางรุ่นแรกๆ/เนื้อผงยาปัญจสิริ แก้ไขเรื่องดวง และออกไปทางเมตตา มหานิยม เป็นต้น

    ผมมีสร้อยอยู่ 7 เส้น ใช้บ่อยๆจริงๆอยู่เพียง 3 เส้น (1.กลักไม้ขีด,2.พระวัชรสัตว์(องค์จตุคาม),3.พระกริ่ง+3 โลก,4.ปัญจสิริองค์บาง รุ่นแรกๆ,5.TOP4 ประกบผงยาปัญจสิริ,6.TOP4 ที่เป็นพระโลหิตธาตุองค์ปัจจุบัน+พระราหุล,7.พระกริ่งปวเรศอีก 2 พิมพ์)

    สรุป:
    1. พระที่หลวงปู่แต่ละองค์เสกให้นั้นครอบจักรวาลอยู่แล้ว เว้นแต่ว่า บางพิมพ์นั้นจะให้พิเศษสุดไปทางเรื่องใด
    2. การห้อยพระวังหน้า ควรห้อยเดี่ยวตามวาระโอกาสต่างๆที่อยากจะอัญเชิญท่านตามบูรพาจารย์สอนสั่ง จะได้ผลดี ถือว่าเป็นการเชื่อฟังครูบาอาจารย์ด้วย
    3. ห้อยพระตามความชอบ จริต ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
    4. พระบางพิมพ์แม้จะเป็นพิมพ์,เนื้อเดียวกัน พลังอิทธิคุณอาจแตกต่างกันก็มีมาก
    5. สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของพระพิมพ์วังหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เรื่องของการห้อยพระวังหน้า

    มีเรื่องสำคัญคือ ในการสร้างแต่ละรุ่นนั้น องค์ประกอบที่สำคัญคือ มวลสารในการสร้าง , ฤกษ์ในการกดพิมพ์พระ อีกทั้งเรื่องพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง

    ในบางรุ่น มีความพิเศษของรุ่น ถึงแม้จะสร้างในวาระเดียวกัน นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกัน

    ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน พิมพ์ไหน สามารถที่จะห้อยเดี่ยวได้ สำหรับพระวังหน้า แต่ความพิเศษจะเป็นเฉพาะรุ่นครับ

    ส่วนเรื่องของเนื้อปัญจสิริ หรือ เนื้อที่มีสีเดียว อุปเท่ห์การใช้ จะต้องคำนึงถึงเรื่องของสีองค์พระ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเราเช่นกัน

    [​IMG]

    ลองดูตามตารางนี้ครับ

    ตารางนี้ ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้วิเคราะห์มาให้แล้วว่า ผู้ที่เกิดในวันไหน ควรใช้พระสีอะไร ใช้ในแง่มุมไหน

    ที่จะแนะนำเพิ่มเติมก็คือ ต่อให้ห้อยเยอะองค์ องค์ที่ท่านทำงาน จะมีเพียงองค์เดียวเท่านั้นครับ

    อีกเรื่องก็คือ ผมไม่แนะนำให้ห้อยพระพิมพ์หรือพระเครื่องที่พระสงฆ์ท่านอธิษฐานจิต ปนกับ พระพิมพ์หรือพระเครื่องที่พระฤาษีอธิษฐานจิต เช่น การห้อยชุดเบญจภาคี หากต้องการที่จะห้อยพระพิมพ์หรือพระเครื่องที่พระฤาษีอธิษฐานจิต ให้ห้อยเดี่ยวๆครับ


    .
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ๑)เป็นกุศโลบายให้ทรงความดีให้เสมอกับพุทธคุณ อิทธิคุณของพระเครื่องนั้นๆ พุทธคุณ อิทธิคุณยิ่งสูง ความดียิ่งต้องสูง ยิ่งหากมีพระบรมสารีริกธาตุ ยิ่งต้องทรงความดีสูงสุด หากคิด พูด ทำชั่ว แบบนี้จะไม่ได้ผล

    ๒)เป็นกุศโลบายให้จิตเป็นพุทธานุสติ จิตเกาะพระพุทธเจ้า พระสงฆเจ้า เอาไว้ก่อน

    ๓)เป็นกุศโลบายให้ระลึกถึงเหตุแห่งการได้รับพระเครื่องนั้นมานั่นคือบุญ เห็นพระ=เห็นบุญที่เคยทำมา แขวนมากจิตก็จะรู้สึกว่าได้ทำบุญมามาก

    ฯลฯ

    ยังมีชีวิตอยู่เลือกอะไรที่ดีกับตัวเองได้ก็เลือกไปเถอะครับ ละสังขารเมื่อไหร่ของพวกนี้ก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้แต่บุญ บาปเท่านั้น อาจารย์ปู่สมัยหนุ่มท่านก็แขวนมากมายครับ แต่เวลานี้ถ้าท่านจะเลือก ท่านก็เลือกองค์เดียว แต่หากท่านไม่มีพระเครื่องเลย ด้วยกำลังจิตของท่าน ท่านก็สบายๆ พิจารณาให้ดีท่านก็เป็นพระอริยเจ้าอยู่แล้วครับ...

    พูดคุยกันแบบสบายๆ ทั่วๆไป หากให้เราสามารถเลือกพระเครื่องได้เพียงองค์เดียวแบบไม่ต้องไปเผื่อองค์นั้น องค์นี้ วาระนั้น วาระนี้ มีพุทธคุณด้านนั้น ด้านนี้ หรือมีอิทธคุณด้านนั้น ด้านนี้แล้วเราจะเลือกองค์ไหนที่ตรงกับจริตเรา หากไม่ได้อาราธนาสวมใส่แล้วเหมือนขาดอะไรไป แบบนี้เราจะตอบตัวเราเองได้แบบอัตโนมัติว่า จิตเราชอบพระองค์ไหนกันแน่ ยิ่งมีมาก ก็จะยิ่งมีโอกาสได้อาราธนาสวมใส่น้อยเวลาครับ เลือกองค์ใดองค์หนึ่ง ใส่ทุกวัน จิตเกาะองค์พระองค์นั้นได้ดีกว่า ไปทำบุญ ทำทานที่ไหนก็ถวายอุทิศบุญกุศลให้พระท่าน จะเผลอไผลทำชั่วทั้งกาย วาจา ใจ ก็จะรู้สึกว่า พระท่านกำลังมองเราอยู่ ทำสมาธิที่ไหน หรือท่าไหนก็เห็นพระท่านในสมาธิชัดแจ๋ว เข้าถึงฌานได้

    สรุปว่า "พระภายนอก"ดีเลิศอย่างไร แต่หากไม่พยายามทำ"พระภายใน"ให้เกิด เราก็จะไม่ได้ประโยชน์สูงสุดของการมีพระภายนอก หมดลมเมื่อไหร่เราจะไปที่ดีๆไม่ได้ จะต้องมาตามเก็บพระภายนอกกันอีกไม่รู้อีกเท่าไหร่ และไม่รู้อีกเมื่อไหร่..
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    post นี้ผมขอใช้ในการสื่อความถึงเฉพาะเพื่อนๆชาวพระวังหน้าเท่านั้น ท่านอื่น อาจจะไม่เห็นด้วยก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ...

    การที่ได้พบเห็น อาราธนาสวมใส่พระวังหน้าองค์ใดก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุด ไม่ต้องไปตามหาการอธิษฐานจิตขององค์ใดอีกให้เสียเวลา แต่ก็เป็นที่น่าแปลกที่บางท่านกลับมองว่าเป็นของเก๊ไป ซึ่งก็อาจจะเป็นบุญที่ท่านเหล่านั้นไม่ได้นิยมพระวังหน้า ให้มองผ่านๆไป การทำบุญในโอกาสต่างๆจิตไม่ได้ปรารถนาพระพิมพ์ใดๆ แต่ทำเพราะอยากทำ ไม่ได้ทำเพราะอยากได้พระพิมพ์

    การนิยมพระกรุไหน พระองค์ไหนของท่านใด ผมก็คิดว่าเหมาะกับจริตของคนๆนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปยัดเยียดให้มาชอบเหมือนเราหรอกครับ คนทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดี สิ่งที่เหมาะให้กับตนเองได้อยู่แล้ว ผมก็ post ว่าให้หาความรู้ก่อนจะหาพระ หากปรารถนาจะได้จริงๆ ก็ควรหาข้อมูลให้ครบทุกด้านก่อน ความรู้มี หาของไม่ยากครับ ความรู้ไม่มี ของที่หามาได้กลับจะสร้างปัญหาคาใจให้ตัวเองตลอดเวลา จะเลือกอะไรก็ตาม ขอให้มีความสุข และโชคดีกับสิ่งที่ตัวเองได้เลือกแล้วก็แล้วกันครับ.....
     
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    โมทนาสาธุครับพี่หนุ่ม พี่เพชร ขออนุญาตเสริมอีกเรื่อง (copy มาจากบอร์ดผม)

    ---------------

    คนส่วนใหญ่มักมององค์พระพิมพ์ที่มูลค่า ปริมาณ ความหายาก เป็นนัยยะสำคัญ ... ไม่ได้มองไปถึงผู้ให้สร้าง(เจ้า) ผู้สร้าง(ช่าง) ผู้เมตตาเสก,ผู้เมตตาอธิษฐานจิตให้ (...) และเทวดาประจำองค์พระพิมพ์ เลย ว่าท่านมีเจตนาอย่างไรในการสร้าง

    เป็นที่ทราบในกลุ่มดีว่า หากเจตนาดี ทำเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อชาติ เพื่อพระมหากษัตริย์ - พระพรหม เทพเทวาทั้งหลาย แม้กระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านย่อมมีพระเมตตา โมทนาสาธุด้วยเป็นแน่แท้

    หากเจตนาในการสร้าง เพื่อลาภ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะคิดกันต่อไปได้<!-- google_ad_section_end -->

    ---------------

    อยากให้มีจิตระลึกถึงคณะบุคคลข้างต้นด้วยจักดีมากครับ เช่น การถวายน้ำทุกเช้า ถวายดอกไม้เพื่อบูชาคุณท่านเป็นต้น

    อ่อ สิ่งที่ผมพกพาติดตัวเป็นประจำก็คือเบี้ยแก้แห่งวังหน้า
    การห้อยพระตามวาระ ตามอิทธิคุณ ตอบโจทย์สำหรับคนที่มีของดีเยอะ ตามจริต และเพื่อการตรวจสอบพลังอิทธิคุณ
    สำหรับผมเลือกมาได้ประมาณ 4 พิมพ์ข้างต้น จากหลายร้อยองค์ ก็นับว่าบุญแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องตามผม ผมอาจพูดผิดก็ได้ และภาวนาให้พบพระพิมพ์ที่ตรงเรามากที่สุดนะครับ :)

    ของทุกอย่างส่วนใหญ่ได้มาจากพี่หนุ่ม พวกเราทุกคนหรือใครก็ตามที่ได้พระจากพี่เขาไป แม้จะมีข้อขัดแย้งอะไรหลายอย่าง อย่าลืมบุญคุณตรงนี้ด้วยนะครับ แม้พี่เขาจะไม่อยากได้อะไรจากเราก็ตาม ทั้งนี้กินความรวมไปถึงพี่ใหญ่ อาจารย์ปู่ด้วย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ทุกท่านที่ตอบสมบูรณอยู่แล้วครับ งั้นผมขอผ่านรึกันครับ หุ หุ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตัวเราเอง หากยังสร้างพระภายใน ไม่ได้ถึงขั้นพระอริยสงฆ์แล้ว

    เรายังจำเป็นต้องใช้พระพิมพ์หรือพระเครื่องอยู่

    ในเมื่อเรามีพระพิมพ์ หรือ พระเครื่อง แล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ก็คือ การสร้างพระภายใน นั่นคือการเจริญวิปัสนากรรมฐาน ผมเองก็ได้ทำทุกวัน แต่อาจจะทำโดยใช้เวลาไม่มากนัก ต้องปรับปรุงตนเองต่อไป

    การเจริญวิปัสนากรรมฐาน เป็นสิ่งที่เราสามารถตัดภพตัดชาติได้

    และเมื่อเราเจริญวิปัสนากรรมฐานแล้ว เราต้องเชิญเจ้ากรรมนายเวรของเรามา ร่วมโมทนาบุญและขออโหสิกรรม และเราเองต้องอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเราด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการตัดภพตัดชาติที่ต้องเกิดมาในการใช้หนี้กรรม

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนา สาธุ สาธุ ..........
     
  18. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบพระคุณครับพี่ IT Man ข้อสรุปตรงประเด็นเลย ถ้างั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมจะห้อยองค์เดียวแล้วครับ ผมเองก็กิเลสหนา ขนาดไปกราบเท้าปู่ประถมแล้วก็ยังไม่เชื่อที่ท่านบอกอีก ตอนนี้ทั้งรุ่นพี่รุ่นใหญ่ย้ำมาอย่างนี้แล้ว ถ้าผมยังไม่ทำตามคำสอบของคุณปู่อีกผมก็แย่เต็มทนแล้วครับ กราบขอบคุณในคำสั่งสอนครับ
    คงภัค
     
  19. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบคุณพี่หนุ่มอีกคนครับ งั้นผมต้องไปหาพระพิมพ์ปัญจสิริที่ไม่มีสีน้ำเงินแล้วครับ เพราะผมเกิดวันศุกร์ (ถ้าพี่หนุ่มไม่เตือนก็แย่เลย)
     
  20. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบพระคุณพี่เพชรในธรรมะที่เตือนสติผมครับ กิเลสผมยังหนาอยู่คงยังต้องพึงบุญพระพิมพ์เพื่อให้จิตเกาะเกี่ยวไว้ให้ทำดี คิดดี และพูดดีครับ กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ
    คงภัค
     

แชร์หน้านี้

Loading...