รบกวนหาทางแก้ให้ด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kamkling, 21 ธันวาคม 2010.

  1. kamkling

    kamkling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +562
    โดยส่วนตัวผมจะเข้าสมถะก่อนวิปัสนา เมื่อจิตรวมกันจนนิ่งสงบแล้ว ปิติที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สนใจ เมื่อข้ามมาตรงจุดนั้นสักพักเราจะเห็นตัวเรา ก็ไม่แปลกอะไร แต่เมื่อเห็นร่างกายเริ่มเน่าเละแล้ว จะต้องออกทุกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่านั่งต่อไปไม่ต้องสน แต่ในความเป็นจริงโดยส่วนตัว หรือเรียกว่าสัญชาติญาณ จะสะดุ้งกลัวและออกจากสมาธิทันที ไม่รู้จะใช้เวลาอีกนานหรือเปล่ากว่าจะข้ามตรงนี้ไปได้ หรือว่าบุญเราน้อยก็ไม่รู้ หากใครพอรู้วิธีช่วยด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    นักใจกับนักปฏิบัติรุ่นหลังๆ ชอบปฏิบัติลัดขั้นตอน
    ฝึกสติยังใช้ไม่ได้
    รูปยังไม่เข้าใจ ไปพิจารณานามแล้ว
    จะไหวไหมนี่ นามเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
    แต่จิตเค้าสัมผัสรูปนามได้ เรียนเกินที่จิตทำได้
    อาการที่คุณเล่ามาทั้งหมด คุณยังไม่เห็นวิปัสสนา
    น่าจะนึกเอาเอง เป็นอารมร์เทียมๆของการเตรียมจิต
    เข้าวิปัสสนาที่แท้จริง ตรงนี้ต้องให้ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เข้าร่วมกันจึงจะเป็นปัญญาญาณ ผิดจากนี้ ได้แค่ฌาน
    ไปไม่ถึงญาณ
     
  3. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    พิมเคยอ่านมาจากปฏิปฏาท่านผู้เฒ่า(เขียนโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ค่ะ ขอยกตัวอย่างมาบางส่วนค่ะ

    "นี่เป็นเรื่องของท่านทั้งหลายที่จะต้องพยายามทรงจิตไว้เสมอ แล้วการทรงจิตไว้เพื่อให้จิตทรงอยู่เนื่องในการจิตจะระงับนิวรณ์ห้าประการคือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เราต้องต่อสู้จริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นของยาก ดูปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ฟังมาแล้ว อย่าฟังทิ้ง ฟังมาแล้วพึงปฏิบัติตาม ท่านทำได้เราก็ทำได้ ท่านบรรลุได้เราก็บรรลุได้ ที่นี้มาฟังปฏิปทาของท่านต่อไปโดยย่อ

    ท่านกล่าวว่า สมัยที่ท่านได้อสุภสัญญา เห็นกระดูกลอยมา และก็พิจารณาเห็นคนทั้งหมด สัตว์ทั้งหมดเป็นกระดูก ก็จับกระดูกเป็นภาพนิมิต จนกระทั่งจิตทรงตัวฌานสี่ เป็นอันว่าอสุภกรรมฐานนี่เขาบอกว่าเป็นกรรมฐานพิจารณา ทรงจิตไว้อย่างสูงแค่ปฐมฌาน เขาว่ากันอย่างนั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ ถ้าเราฉลาด เราก็เอาปฐมฌานมาทำฌานเสียอย่างสบายๆ ถึงฌานสี่
    ท่านผู้เฒ่าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านจับเอาอสุภทั้งหมด เมื่อได้อัฏฐิกัง ปฏิกุลังแล้ว ท่านก็ไล่เบี้ยไปเลยตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ จับภาพไปเลยให้จิตทรง มันเน่าแบบไหน มันเหม็นแบบไหน มันเละแบบไหน มันขึ้นแบบไหน มันพองแบบไหน ท่านทำเป็นฌานสี่ได้หมดทุกอสุภ ๑๐ อย่าง จิตใจทรงตัว เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร เน่าหมด เห็นวัตถุธาตุต่างๆ เห็นโครงกระดูก ไม่มีความติดในความสวยสดงดงาม แต่ทว่าเวลานั้นเป็นเรื่องสมถภาวนา เวลานั้นความรู้สึกในระหว่างเพศก็ไม่มี เห็นคนๆ เน่า เห็นสัตว์ๆ เน่า เห็นคนเป็นกระดูก เห็นสัตว์เป็นกระดูกมีสภาพน่าเกลียด แต่จิตยังไม่น้อมไปในด้านวิปัสสนาอย่างสูง มัวแต่เล่นสมถภาวนาธรรมดาเห็นว่าเน่า เห็นว่าเหม็น เห็นว่าน่าเกลียด เห็นว่าโสโครก นี่เป็นสมถภาวนา ถ้าเป็นวิปัสสนาต้องพิจารณาเห็นความเสื่อมความโทรมของร่างกาย มีสภาพไม่เที่ยง เสื่อมไปทีละเล็กละน้อย แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว จิตไม่เข้าไปยึดไปถือ ท่านบอกว่าเวลานั้นอารมณ์วิปัสสนาญาณท่านมีนิดหน่อย เล่นเฉพาะสมถภาวนาให้มันช่ำใจเพราะความเข้าใจผิด ตามบันทึกท่านบอกว่า ถ้าเราคิดควบกับวิปัสสนาเสียเวลานั้น ความจริงท่านบอกว่าหลวงพ่อปานก็สอนวิปัสสนา แต่ว่าท่านเป็นคนใจเดียว ถ้าจะเอาอะไรเอาให้มันพังไปเป็นด้านๆ ถ้าไม่ได้ยอมตายเสียดีกว่า ขึ้นชื่อว่าไม่สามารถในชีวิตนี้จะไม่มีเป็นอันขาดสำหรับท่าน ท่านรู้สึกว่ามีกำลังใจเด็ดเดี่ยวมาก

    ในสมัยที่กำลังเล่นอสุภกรรมฐาน แล้วก็มีวิปัสสนาญาณเจือปนนิดหน่อยกันฌานเสื่อม สิ่งที่เป็นศัตรูกับอารมณ์อย่างนี้มันก็เกิด นั่นก็คืออิสตรีที่เป็นเพศตรงกันข้าม สตรีก็ระวังบุรุษ ถ้าบุรุษก็ระวังสตรีจะเข้ามาเล้าโลมด้วยเหตุต่างๆ มาติดต่อสร้างความสัมพันธ์ในฐานะที่อยากจะเป็นคนรักด้วย ดีไม่ดีแกก็พูดเปิดเผยชวนรักชวนแต่งงาน แต่ต้องระวัง และก็จงอย่าไปโทษใครเขา ถ้าเราไปหลงละเมอในคำป้อยอทั้งหลายเหล่านั้น คำชักชวน ความดีของเรามันจะด้วน ฌานจะสลายตัว"

    ที่มา:
     
  4. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ----> หน้า 37

    อสุภกรรมฐาน

    อสุภ แปลว่า ไม่สวย ไม่งาม กรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน
    รวมความแล้วได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม
    มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน


    กำลังสมาธิของอสุภกรรมฐาน
    อสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่างนี้ มีกำลังสมาธิเพียงปฐมฌานเป็นอย่างสูงสุด ไม่สามารถ
    จะทรงฌานให้มีกำลังให้สูงกว่านั้นได้ เพราะเป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์ด้านพิจารณามากกว่า
    การเพ่ง ใช้อารมณ์จิตใคร่ครวญพิจารณาอยู่เป็นปกติ จึงทรงสมาธิได้อย่างสูงก็เพียงปฐมฌาน
    เป็นกรรมฐานที่มีอารมณ์คล้ายคลึงกับวิปัสสนาญาณมาก นักปฏิบัติที่พิจารณาอสุภกรรมฐาน
    จนทรงปฐมฌานได้ดีแล้ว พิจารณาวิปัสสนาญาณควบคู่กันไป จะบังเกิดผลรู้แจ้งเห็นจริงใน
    อารมณ์วิปัสสนาญาณได้อย่างไม่ยากนัก สำหรับอสุภกรรมฐานนี้เป็นสมถกรรมฐานที่ให้ผล
    ในทางกำจัด ราคจริตเหมือนกันทั้ง ๑๐ กอง คือค้นคว้าหาความจริงจากวัตถุที่มีชีวิตและไม่มี
    ชีวิต ที่นิยมชมชอบกันว่าสวยสดงดงามที่บรรดามวลชนทั้งหลายพากันมัวเมา หลงไหลใฝ่ฝัน
    ว่าสวยสดงดงามจนเป็นเหตุให้เกิดภยันตรายแก่ตน ลืมชีวิตความเป็นอยู่ของตน มอบหมาย
    ความรักความปรารถนาให้แก่วัตถุที่ตนหลงรัก เป็นการประพฤติที่ฝืนต่อกฎของความเป็นจริง
    เป็นเหตุของความทุกข์ที่ไม่รู้จักจบสิ้น กรรมฐานนี้จะค้นคว้าหาความจริงจากสรรพวัสดุต่างๆ
    ที่เห็นว่าสวยสดงดงามเอามาตีแผ่ให้เห็นเหตุเห็นผลว่า สิ่งที่สัตว์และคนหลงไหลใฝ่ฝันนั้น
    ความจริงไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรงาม เป็นของน่าเกลียดโสโครกทั้งสิ้น กรรมฐานในหมวด
    อสุภกรรมฐานมีความหมายในรูปนี้ จึงเป็นกรรมฐานที่ระงับดับอารมณ์ที่ใคร่อยู่ในกามารมณ์
    เสียได้ ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้ชำนาญเป็นพื้นฐานแล้ว ต่อไปเจริญวิปัสสนาญาณ
    จะเข้าถึงการบรรลุเป็นพระอนาคามีผลไม่ยากนัก เพราะพระอนาคามีผลเป็นพระอริยบุคคล
    ที่มีความสงบระงับดับความรู้สึกในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ท่านที่เจริญกรรมฐานหมวดอสุภนี้
    ก็เป็นการเริ่มต้นในการเจริญฌานด้านที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกามารมณ์ ฉะนั้น นักปฏิบัติกรรมฐาน
    ที่มีความชำนาญในอสุภกรรมฐานจึงเป็นของง่ายในการเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อให้บรรลุเป็น
    อนาคามีผลและอรหัตตผล

    อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง
    อสุภกรรมฐาน ท่านจำแนกไว้เป็น ๑๐ อย่างด้วยกัน คือ
    ๑. อุทธุมาตกอสุภ คือ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป
    มีร่างกายขึ้นบวม พองไปด้วยลม ที่เรียกกันว่า ผีตายขึ้นอืดนั่นเอง
    ๒. วินิลกอสุภ เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่
    มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวที่มีผ้าสีเขียวคลุมไว้ อาศัยที่ร่างกาย
    ของผู้ตายส่วนใหญ่ก็ปกคลุมด้วยผ้า ฉะนั้น สีเขียวตามร่างกายของผู้ตายจึงมีสีเขียวมาก ท่าน
    จึงเรียกว่า วินีลกะ แปลว่าสีเขียว
    ๓. วิปุพพกอสุภ เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
    ๔. วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลาง มีกายขาด
    ออกจากกัน
    ๕. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกสัตว์ยื้อแย่งกัดกิน
    ๖. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจายมีมือ
    แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง
    ๗. หตวิกขิตตกอสุภ คือซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่
    ๘. โลหิตกอสุภ คือซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ
    ๙. ปุฬุวกอสุภ คือซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่
    ๑๐. อัฏฐิกอสุภ คือซากศพที่มีแต่กระดูก

    อสุภกรรมฐานนี้ท่านพระพุทธโฆษาจารย์เจ้า ได้พรรณนาไว้ในวิสุทธิมรรครวม
    เป็นอสุภที่มีอาการ ๑๐ อย่างตามที่กล่าวมาแล้ว
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=254
     
  5. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ----> หน้า 38

    การพิจารณาอสุภ


    การพิจารณาอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่าง
    ดังต่อไปนี้
    ๑. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาวหรือ
    เป็นร่างกายของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา
    ๒. พิจารณาโดยเพศ อย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่าซากศพ
    นี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่
    ๓. กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง
    เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น
    ๔. กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ
    ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ตามที่นิยม
    กัน ท่านให้สังเกตว่า ที่เห็นอยู่นั้นเป็นทางด้านศีรษะ หรือด้านปลายเท้า
    ๕. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่
    ที่ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้
    ๖. กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์และมนุษย์นี้
    มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริงตามที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหล
    ใฝ่ฝันอยู่ ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคุ้ง มีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือด
    น้ำหนองเต็มร่างกาย หาอะไรที่จะพอพิสูจน์ได้ว่า น่ารักน่าชมไม่มีเลย สภาพของร่างกายที่พอ
    จะมองเห็นว่าสวยสดงดงาม พอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือ หนังกำพร้าที่ปกปิดอวัยวะภายใน
    ทำให้มองไม่เห็นสิ่งโสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฏ
    อยู่ภายใน แต่ทว่าหนังกำพร้านั้นใช่ว่าจะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่คอยขัดถูแล้ว
    ไม่นานเท่าใด คือไม่เกินสองวันที่ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใสก็กลายเป็นสิ่งโสโครก
    เหม็นสาบเหม็นสาง ตัวเองก็รังเกียจตัวเอง เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ได้ พอตายแล้วยิ่งโสโครก
    ใหญ่ ร่างกายที่เคยผ่องใส ก็กลายเป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง น้ำเหลืองไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว
    บริเวณ คนที่เคยรักกันปานจะกลืน พอสิ้นลมปราณลงไปในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอา
    มือเข้าไปแตะต้องก็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่จะมองก็ไม่อยากมอง มีความรังเกียจซากศพ
    ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่ออยู่รักและหวงแหน จะไปสังคมสมาคมคบหา สมาคมกับใครอื่นไม่ได้ ทราบ
    เข้าเมื่อไรเป็นมีเรื่อง แต่พอตายจากกันวันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลายเป็นศัตรูกัน กลัว
    วิญญาณคนตายจะมาหลอกมาหลอน เกรงคนที่แสนรักจะมาทำอันตราย ความเลวร้ายของ
    สังขารร่างกายเป็นอย่างนี้ เมื่อพิจารณากำหนดทราบร่างกายของซากศพทั้งหลายที่พิจารณา
    เห็นแล้ว ก็น้อมนึกถึงสิ่งที่ตนรัก คือคนที่รัก ที่ปรารถนา ที่เราเห็นว่าเขาสวยเขางาม เอา
    ความจริงจากซากอสุภเข้าไปเปรียบเทียบดู พิจารณาว่า คนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวย
    สดงดงามนั้น เขากับซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เดิมซากศพนี้ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้
    เดินได้ ทำงานได้ แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวให้สวยสดงดงามได้ ทำอะไร ๆ
    ได้ทุกอย่าง ตามที่คนรักของเราทำ แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขา เรา
    จะมานั่งหลอกตนเองว่า เขาสวย เขางาม น่ารัก น่าปรารถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเอง
    สิ่งที่เรามัวเมากาย เมาชีวิต หลงใหลว่า ร่างกายเราสวยสดงามวิไล ไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชม
    ไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก นำแป้งมาทา เอาน้ำหอม
    มาพรม แล้วก็เอาผ้าที่เต็มไปด้วยสีมาหุ้มห่อ เอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้องมองดูคล้าย
    บ้าหอบฟางแล้วก็ชมตัวเองว่าสวยสดงดงาม ลืมคิดถึงสภาพความเป็นจริง ที่เราเองก็หอบเอา
    ความโสโครกเข้าไว้พอแรง เราเองเรารู้ว่าในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากเราที่ชมว่าปาก
    สวย ในปากเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของเราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอ
    บ้วนออกมาแล้วกลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะนี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งอย่างละ
     
  6. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ----> หน้า 39

    ต่อไปก็อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอกกาย
    เราก็รังเกียจทั้ง ๆ ที่เป็นตัวของเราเอง นี้ก็เป็นสิ่งโสโครกที่เป็นสมบัติของเราเองอีก
    น้ำเลือด น้ำเหลือง ของซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไร เมื่อตายไปแล้ว
    จากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตายเขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีน้ำเลือดน้ำเหลือง
    หลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่าสวยสด
    งดงามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสโครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไร มาเป็นของ
    น่ารักน่าปรารถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารักก็มี
    สภาพอย่างนั้น พยายามพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจจนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใดก็
    ตามที่เขานิยมกันว่า น่ารัก น่าชมนั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจ
    สะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีทันใด เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความ
    รังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้อง รังเกียจที่จะคิดว่าน่ารักน่าเอ็นดู เพราะความสวยสดงดงามเห็นผิว
    ภายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระปัสสาวะที่เคลื่อนที่
    ได้พูดด้วยสนทนาด้วย ก็เห็นสภาพผู้ที่พูดจาสนทนาด้วย เป็นถุงอุจจาระปัสสาวะและถุงน้ำเลือด
    น้ำหนองมาพูดคุยด้วย คิดว่าขณะนี้มีสภาพเป็นถุงน้ำเลือดน้ำหนอง มาสนทนาปราศรัยกับเรา
    ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกัน
    เป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในที่สุด ก็จะเหลือแต่กระดูกกระจัดกระจายไป
    เขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่
    เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมของโสโครกแล้ว แต่ถ้า
    จะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็พอที่จะทนรักทนชอบได้บ้าง แต่นี่เปล่าเลยท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้น
    ก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความโสโครกเท่านั้นยังไม่พอ กลับหาความเที่ยงแท้แน่นอน
    ไม่ได้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุกวันทุกเวลาเคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวันทุกนาที
    ยิ่งมากวันความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นคนหนุ่ม
    คนสาว จากความเป็นคนหนุ่มคนสาวมาเป็นคนแก่ การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่า ยังนำเอา
    โรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน ปวดที่โน่น ปวดที่นี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าว
    มีตลอดเวลา อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่วสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลน กำลัง
    วังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะดวก หูก็หนัก ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัดเต็มไปด้วยความ
    ทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษ ท่านใดก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อนความทรุดโทรม
    นี้ได้ ในที่สุดก็พังทลายกลายเป็นซากศพที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้ อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครก
    อย่างนี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความ
    เสื่อมอย่างนี้ เป็นอนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตาม
    กฎธรรมดา
    พิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์อันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกาย
    ของตนเองและร่างกายของผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ หมด
    ความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น
    เห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็นอย่างนี้ท่านเรียกว่าได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนา
    เห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อหน่ายในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความ
    ไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันเวลา
    ขณะที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหาร
    ร่างกาย มีการประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะมีลาภแล้วลาภหมดไป มียศแล้ว ยศสิ้นไป
    มีสุขแล้วก็มีทุกข์มาทับถม เดี๋ยวมีคำสรรเสริญมาป้อยอ แต่ก็ไม่นานก็ถูกนินทา เป็นเหตุให้ใจ
    เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเสื่อมโทรมของร่างกายมีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก
    ร่างกายร่วงโรย ความจำเสื่อม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสิ้น
    เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้ว ก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้ คือ
    เห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ได้ ไม่ต้องการให้ปวดเจ็บเมื่อยล้า
    แต่มันก็จะเป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อม ใครก็ห้ามไม่ได้
    ไม่ต้องการตาย มันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้นี้ ท่านเรียกว่า อนัตตา แปลว่า
    เป็นสิ่งเหลือวิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปล อนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเรา
    จริงแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่
    ͹ѵ
     
  7. pim_jai

    pim_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +568
    ถ้าอยากอ่านต่อเชิญที่ลิงค์นี้ค่ะ
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    วิธีแก้ ให้ทำแบบนี้ครับ

    ทำแบบเดิม ให้ ซ้ำ ให้ย้ำอีก

    อัดเข้าไปอีก ทำซ้ำ ทำซ้ำ ทำซ้ำ หากยังไม่หายกลัวอีก หรือตกใจอีก ก็ทำแบบเดิมอีก

    ถึงจะกลัวแล้วเลิกนั่ง ก็ตังใหม่ แบบเดิม

    หากกลัวแล้วออกอีก ก็ตั้งใหม่อีก ย้ำๆ ซ้ำๆๆ อย่าไปเปลี่ยน กรรมฐาน ..
    ที่ทำมาเบื้องต้นถือว่าดีแล้วครับ

    ขาดแค่ทำซ้ำ ทำย้ำ ทำซ้ำ ทำย้ำ
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้ากรณีนี้นะครับ

    คุณอย่าไปตั้ง ข้อสังเกตขึ้นมาเชียวว่า "จะผ่านได้ตอนไหน"

    ตรงนี้ให้มองไปเลยว่า คำถามนี้ คือ มารที่ปรุงคำถามมาหลอก

    หากมันหลอกคุณให้ หาคำตอบให้กับคำถามได้สำเร็จ ผลคือ
    คุณจะหาวิธีการอื่นมาปฏิบัติ ทำให้ เสียกรรมฐานที่ทำดีอยู่แล้วไป

    ขอให้คุณทำใจหนักแน่นดั่งแผ่นดินไปเลยครับ ผ่านไม่ผ่านไม่สน กูจะทำ
    แล้วหัวเราะต่อ คำถามที่กระซิบนั้นไปเลย หัวเราะเยาะมัน แต่อย่าอิน
    มากนะครับ เดี๋ยวมันสับขาหลอกเอาคำถามอื่นมาให้อีก มันดักทางได้
    หมดหละครับหากคุณอินเพียงนิดเดียว

    ทำต่อไปก่อนเถอะครับ พระกรรมฐานทั้งหลาย ท่านรับรองว่า การ
    พิจารณากายสังขารแบบนั้น ไปเรื่อยๆ มีอานิสงค์มาก วันไหนพิจารณา
    ได้ตลอดก็เรียกว่า "เจริญ" วันไหนมันพิจารณาแล้วหลุดออกมาก่อนก็เรียก
    ว่ามัน "เสื่อม"

    ก็ดูเจริญ แล้วเสื่อม....เจริญ แล้วเสื่อม...เจริญ แล้วเสื่อม...เจริญ แล้วเสื่อม
    ไปเรื่อยๆเลยครับ(อันนี้จะเป็นการ เจริญสติปัฏฐาน อนุปัสสนาเข้ามาช่วยให้
    กรรมฐานดำเนินต่อได้) เอาสัก 15 ปี ไม่เห็นผลค่อยว่ากันใหม่ (แต่ถ้ายังเข้มแข็ง
    อยู่ ก็ทำต่อไปก็ไม่ว่ากันนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010
  11. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    คิดว่ามันเป็นแค่มายาภาพ ไม่ต้องไปกลัวจ้องดูต่อไปจนกว่าจะจบ แค่ภาพนี่มันทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนผมก็เคย แบบว่านอนอยู่แล้วฝันว่าตกจากฟ้าลงมา รู้สึกกลัวก็เลยสะดุ้งตื่น พอมันเกิดอีก ก็คิดว่ามันแค่ความฝันไม่เกิดจริงซักหน่อย ก็เลยปล่อยให้มันตกลงมา มันสนุกตื่นเต้นดี เหมือนกับถูกโยนลงมาจากบนฟ้า สักพักมันก็หยุดเองเหมือนมีอากาศมารองรับตัวเราไว้ไม่ให้ถึงพื้นดิน
     
  12. สูร

    สูร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +31
    นั่นคืออสุภะนิมิต
    เป็นของดี แสดงว่าสมาธิก้าวไปสู้ขั้นปัญญาแล้ว
    จงดูแล้วพิจารณาไปเรื่อยๆ วนไปวนมาๆ
    จนที่สุดจิตจะสว่างภาพหายไป โล่งไป
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ dangcarry [​IMG]
    เอ๊ะ รู้สึกว่าเคยถามท่านเก่ง ไปครั้งหนึ่ง ที่ห้องพุทธภูมิ ว่าท่านปราถนาพุทธภูมิหรือ
    วันนี้จะขออนุญาติถามว่าท่านปราถนาพุทธภูมิ หรือเปล่าค่ะ
    ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรน่ะค่ะ แค่อยากถามอ่ะค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    รู้แล้วช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นก็ดีอยู่นะ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะเรื่องแบบนี้ใครคิดเองได้ก็เท่ากับว่าเสียรู้กิเลส เหมือนกับไอ้พวกที่ปฏิบัติพออ่านออกเขียนได้สักหน่อยมันก็จะคิดว่าตนเองเป็นอริยะบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรสำหรับผลการปฏิบัติ เหมือนกับคนที่บอกว่าผมนั้นปราถนานรกภูมินั่นแหละ พ่อแม่เขาไม่ได้สั่งไม่ได้สอน ครูบาอาจารย์เขาก็ไม่ได้สั่งไม่ได้สอน ว่าควรทำตัวอย่างไร แถมยังเอารูปหลวงตาบัวมาใช้แล้วยังปฏิบัติตัวอย่างคนขาดการอบรมสั่งสอนเที่ยวไปสอนคนนั้นคนนี้ด้วยโวหารต่างๆนานา แต่ที่จริงปัญญาและภูมิธรรมนั้นมีเท่าหางมด คงรู้นะหางมดคืออะไร(มันไม่มีไง) คุณแดงผมจะปราถนาอะไรก็ตามถ้าต้องการรู้ว่าอะไรอย่างไรก็ใช้การพิจารณาด้วยตนเองดีกว่า เพราะถึงผมบอกว่าผมปราถนาแต่การกระทำต่างๆมันไม่ใช่ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรกับคุณ เช่นเดียวกับไอ้พวกมารศาสนาทั้งหลายที่ปากก็บอกว่าตนนั้นดุจดังอริยะบุคคลมากล้นด้วยปัญญา แต่ทั้งการกระทำ คำพูดจิตใจล้วนอยู่ในอเวจีทั้งนั้น จึงไม่มีความดีที่เป็นของตนจริงๆเลย คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร คนที่ดีแต่พูด และใช้คำพูดเพื่อให้คนอื่นเสียหายนั้นมันก็เป็นเพียงภูมิหนึ่งที่ต้องรอส่วนบุญส่วนกุศลเท่านั้นเอง เพราะหลงคิดว่าทำสมาธิด้วยมิจฉาทิฐิจะได้กุศล อกุศลกรรมทั้งหลายไม่อาจตามได้ นั่นเพราะมันเป็นพวกมิจฉาทิฐิมันจึงได้ไม่รู้ตัวว่า มันเป็นอยู่และเป็นไปด้วยความหลงในสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของมันเองเท่านั้น คุณแดงก็อย่าประมาทแล้วกันนะฟังได้แต่อย่าเชื่อให้พิจารณาเอาครับ ไอ้คนนั้นหนะที่ใช้รูปหลวงตามาบังหน้าหนะถ้าอยากจองเวรให้ถึงชาติสุดท้ายก็อธิฐานเอานะ ถ้าไม่อยากทำอย่างนั้นก็ไปกราบหลวงตาบ้างนะความชั่วในใจที่เป็นเหมือนหอกคอยทิ่มแทงคนอื่นมันจะได้หายไปบ้าง (วิญญาณไม่ดีๆ มันจะได้ออกไปจากจิตใจบ้าง)<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  14. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เพิ่มสติ รู้เท่าทัน อากการเกิด
    มีสติ รู้เท่าทัน อาการขันธ์
    สะดุ้งกลัวตกใจ ไม่รู้ทัน
    รู้เท่าทัน ตั้งมั่นพอ ก้อ เห็น เป็นธรรมดา

    สู้ต่อไป เดินจึงถึง
     
  15. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    หากยังมี อัตตา ท่านจะพิจารณา อสุภะ ไม่ได้
    หากท่านเห็นร่างกายเป็น อนัตตา ท่านจะชำนาญในการพิจารณา อสุภะ
     
  16. topnank

    topnank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,899
    ค่าพลัง:
    +874
    คุณยังทำสมาธิยังไม่ถึง ฌาน ครับ จิตยังไม่ร่วมเป็นหนึ่ง แต่การเกิดแบบนี้ก็ให้รักษา

    อาการแบบนี้ให้เกิดทุกวัน หมั่นทำทุกวันครับทนเอาหน่อย นี้เป็นทางเดินของพระโสดาบัน

    ฝึกให้ชำนาญ ถ้าได้สมาธิดีเมื่อไร คุณจะไปได้เร็วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...