เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    [FONT=&quot]ดาวน์ทาวน์เมืองแฮร์ริสเบิร์ก เมืองหลวงของรัฐเพนซิลเวเนียตั้งอยู่ริมแม่น้ำซัสเควสซาฮานัฟจ์

    [/FONT]
    [FONT=&quot]กฎหมายล้มละลาย [/FONT][FONT=&quot]Chapter [/FONT][FONT=&quot]9 [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การล้มละลายของเมืองและเทศบาล[/FONT]
    [FONT=&quot]ปกติแล้วการล้มละลายหรือ [/FONT][FONT=&quot]Bankruptcy [/FONT][FONT=&quot]เรามักจะได้ยิน [/FONT][FONT=&quot]Chapter [/FONT][FONT=&quot]7 ใช้กับส่วนบุคคลหรือ [/FONT][FONT=&quot]Chapter [/FONT][FONT=&quot]11 ใช้กับบริษัทห้างร้านต่างๆ คราวนี้ก็มาถึง Chapter[/FONT][FONT=&quot]9 เรียกเป็นทางการว่า [/FONT][FONT=&quot]Municipality Bankruptcy[/FONT][FONT=&quot] หรือการล้มละลายของเขตปกครองส่วนท้องถิ่น อนุญาตให้องค์กรปกครองท้องถิ่นใช้มาตรานี้เข้ามาดำเนินการได้ [/FONT]
    [FONT=&quot] กฎหมายมาตรานี้เกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่([/FONT][FONT=&quot]the[/FONT][FONT=&quot] Great Depression[/FONT][FONT=&quot])หรือ ในช่วงทศวรรษ 1930 เพื่อป้องกันเจ้าหนี้ไม่ให้เข้ามายุ่งกับหน่วยปกครองที่ยื่นฟ้องล้มละลายใน ระหว่างที่กำหนดแผนการฟื้นฟูและการใช้หนี้ [/FONT]
    [FONT=&quot]จุดประสงค์ของ [/FONT][FONT=&quot]chapter[/FONT][FONT=&quot] 9 คือการป้องกันองค์กรท้องถิ่นที่มีปัญหาการเงินให้พ้นจากเจ้าหนี้ เพื่อให้องค์กรท้องถิ่นจัดการตัวเองแก้ปัญหาหนี้ อาทิเช่นการยืดอายุหนี้ออกไป,ลดเงินต้นและดอกเบี้ยหรือการขอกู้เงินใหม่[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่แตกต่างไปจาก [/FONT][FONT=&quot]chapters[/FONT][FONT=&quot] อื่นๆเพราะได้รับการคุ้มครองจากบทบัญญัติที่ 10 ของรัฐธรรมนูญ ([/FONT][FONT=&quot]the Tenth Amendment to the Constitution)กล่าวคือไม่สามารถยึดทรัพย์สินขององค์กรนั้นๆที่อยู่ในขอบเขตของ municipality แล้วนำออกจำแนกแจกจ่ายได้ (liquidation or dissolution)[/FONT]
    [FONT=&quot]คำว่า [/FONT][FONT=&quot]Municipality ที่จะใช้กับ Chapter 9 (11 U.S.C. ง 109(c).)[/FONT][FONT=&quot]ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายล้มละลายว่า เป็นแขนงหนึ่งทางการเมืองหรือสำนักงานของสาธารณะหรือเป็นเครื่องมือของรัฐ ประกอบด้วยซิตี้,เคาน์ตี้,เมือง([/FONT][FONT=&quot]townshipsซึ่งกำหนดไว้ว่ามีขนาดระหว่าง[/FONT][FONT=&quot] 6-54 ตารางไมล์),องค์กรบริหารโรงเรียน,องค์กรปรับปรุงสาธารณะในตำบลใดตำบลหนึ่ง,อาทิเช่น [/FONT][FONT=&quot] bridge authorities, highway authorities และ gas authorities เป็นต้น[/FONT]
    [FONT=&quot] ล่าสุดเมืองแฮร์ริสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย กำลังจะใช้กฎหมาย [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9[/FONT][FONT=&quot] เหตุเพราะเศรษฐกิจถดถอย,มีหนี้พอกพูน,จัดเก็บภาษีได้น้อย ทำให้รายได้ลดลงมากกว่ารายจ่าย การหารายได้เข้ามาบริหารเมืองนั้นมีหลายเมืองได้ออกพันธบัตร([/FONT][FONT=&quot]municipal bonds[/FONT][FONT=&quot])ถึงกำหนดต้องจ่ายก็อาจไม่มีจ่าย ตัวอย่างเช่นนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ต้องเลื่อนกำหนดการจ่ายหนี้ออกไป และไปได้เงิน 20 พันล้านดอลลาร์จากนครอาบูดาบีมาช่วยผ่อนปรน[/FONT]
    [FONT=&quot] ในอดีตเราเชื่อมั่นว่า[/FONT][FONT=&quot]”รัฐ”รวมทั้งองค์กรปกครองของรัฐมีความมั่นคง จึงเข้าไปซื้อพันธบัตรเพื่อหวังดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปเพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐอาจเก็บภาษีได้น้อยเพราะประชาชนยากจนลง ดังนั้นรัฐก็สามารถ”ล้มละลาย”ได้เหมือนกับบริษัทเอกชนหรือปัจเจกบุคคล [/FONT]
    [FONT=&quot]โดยปกติแล้วการปกครองระดับเมือง [/FONT][FONT=&quot](City) จะมีรายได้จากภาษีเงินได้ของประชาชนหรือภาษีทรัพย์สิน แต่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย คนว่างงานมาก การจัดเก็บภาษีเงินได้ก็ต้องลดลง ขณะเดียวกันเมื่อมีการว่างงาน คนว่างงานก็ไม่ค่อยมีเงินมาจับจ่ายใช้สอย เมืองนั้นก็ไม่อาจจัดเก็บภาษี sales tax ได้มาก [/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนี้เมื่อเมืองหรือรัฐหรือนครแห่งนั้นตกอยู่ในภาวะมีหนี้สินมากขึ้น เครดิตของรัฐก็ไม่ดี ยากที่จะไปขอกู้ยืมจากสถาบันการเงินหรือจะออกพันธบัตรมาระดมทุนก็ไม่มีใครอยากซื้อ ลักษณะนี้จะส่งผลโดยรวมต่อเศรษฐกิจของสหรัฐเพราะแต่ละเมืองในสหรัฐย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม [/FONT]
    [FONT=&quot]เมืองแฮร์ริสเบิร์กเป็นเมืองหลวงของรัฐเพนซิลเวเนีย ระยะทางอยู่ห่างจากฟิลาเดลเฟียทางตะวันออกพอๆกับห่างจากวอชิงตันดี.ซี.ทางใต้ของเมือง ประชากรมี 48,950 คน (จากการสำรวจประชากรปี 2000) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซัสเควสซาฮานัฟจ์([/FONT][FONT=&quot]Susquehanna River[/FONT][FONT=&quot]) เป็นเมืองใหญ่อันดับ 9 ของรัฐเพนซิลเวเนียรองจากเมือง[/FONT] [FONT=&quot]Philadelphia[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Pittsburgh[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Allentown[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Erie[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Reading[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Scranton[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Bethlehem[/FONT][FONT=&quot] และ [/FONT][FONT=&quot]Lancaster[/FONT]
    [FONT=&quot]ประชากรของเมืองแบ่งออกเป็นคนผิวดำ 54.38 % คนผิวขาว 31.72 % คนฮิสแปนิก 11.69 % คนหมู่เกาะแปซิฟิก 6.54 % คนอเมริกันพื้นเมือง 0.37 % คนเอเชีย 0.07 % คนที่ระบุว่ามีสองผิวขึ้นไป 3.64 % ในจำนวนนี้มีชาวเวียดนามอพยพ 2,649 ครัวเรือน[/FONT]
    [FONT=&quot]เมืองนี้ยังมีห้องอาหารไทยตั้งอยู่ชื่อ [/FONT][FONT=&quot]Kanlaya[/FONT][FONT=&quot] Thai Restaurant เลขที่ 1030 South 13 St, [/FONT][FONT=&quot]Harrisburg[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]PA[/FONT][FONT=&quot]17104[/FONT][FONT=&quot] โทร.[/FONT][FONT=&quot] (717) 233-0222 เป็นเจ้าของเดียวกับห้องอาหารกัลยาและห้อวอาหาร [/FONT][FONT=&quot]Asian Spice ที่วอชิงตัน ดี.ซี.[/FONT]
    [FONT=&quot]แฮร์ริสเบิร์กตึ้งขื้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายจอห์น แฮร์ริส ซีเนียร์( [/FONT][FONT=&quot]John Harris, Sr. เกิดปี 1673 – ตายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1748) เขาเป็นผู้อพยพจากอังกฤษมาอยู่สหรัฐในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 จากนั้นก็มาปักหลักตั้งมั่นในเขตนี้ จนเมืองนี้ได้ชื่อว่า [/FONT][FONT=&quot]Harrisburg[/FONT][FONT=&quot] จวบจนกระทั่งปัจจุบัน[/FONT]
    [FONT=&quot] ในวันที่ 1 มีนาคม 2010 นี้แฮร์ริสเบิร์กจะต้องจ่ายหนี้ 2 ล้านดอลลาร์จาก 68 ล้านดอลลาร์ที่จะต้องจ่ายในปีนี้ ส่วนหนี้ ของเมืองหลวงแห่งนี้มีทั้งหมด 288 ล้านดอลลาร์ [/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสภานครแฮร์ริสเบิร์กได้ผ่านกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่ไม่มีเงินทุนใดๆที่ระบุว่าจะจ่ายหนี้ เป็นเหตุให้หลายคนมองว่าเมืองนี้น่าจะยื่นฟ้องล้มละลายด้วย [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9[/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตาม ลินดา ทอมป์สัน นายกเทศมนตรีจากพรรคเดโมแครตเพิ่งได้รับเลือกเข้ามาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ไม่เห็นด้วยที่จะให้เมืองยื่นล้มละลาย เธอระบุว่ายังมีแผนฉุกเฉินที่จะนำมาใช้อาทิเช่นขายทรัพย์สมบัติบางส่วนของซิตี้ออกไป [/FONT]
    [FONT=&quot] มิเชล ทอร์เรส ผู้อำนวยการของ[/FONT][FONT=&quot]the[/FONT][FONT=&quot] Harrisburg Authority[/FONT][FONT=&quot] ที่ดูแลโรงงานบำบัดของเสียเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงาน([/FONT][FONT=&quot]the incinerator plant[/FONT][FONT=&quot]) เปิดเผยว่าซิตี้มีเงินพอที่จะจ่ายหนี้วันที่ 1 มีนาคมแก่ผู้ถือพันธบัตรของเมือง แต่ก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาทั้งหมดได้เพราะหนี้มีมากถึง 288 ล้านดอลลาร์ [/FONT]
    [FONT=&quot]เมืองนี้ประชากรของเมืองหนี้หนี้ต่อหัว ([/FONT][FONT=&quot]per-capita debt[/FONT][FONT=&quot])คนละ[/FONT][FONT=&quot] 9,500 ดอลลาร์ หรือสูงที่สุดของรัฐเพนซิลเวเนียและมากกว่าฟิลาเดลเฟียเป็น 3 เท่า การจะนำที่ของเมืองออกจำหน่ายอาทิเช่นที่จอดรถหรืออื่นๆจะส่งผลต่ออนาคตของเมืองเพราะจะมีรายได้ลดลงไปอีก การจะขึ้นภาษีอีกก็ลำบากเพราะปัจจุบันอัตราภาษีสูงอยู่แล้ว หากขึ้นภาษีอีกประชาชนมีทางเลือกที่จะอพยพไปอยู่เมืองอื่นได้เช่นกัน [/FONT]
    [FONT=&quot]Chapter 9 [/FONT][FONT=&quot]มีผลบังคับในปี 1934 นับตั้งแต่นั้นมาได้มีการยื่นฟ้องล้มละลายขององค์กรปกครองท้องถิ่นประมาณ 600 แห่ง ในปี 1994 [/FONT][FONT=&quot]Orange County[/FONT][FONT=&quot] รัฐแคลิฟอร์เนียได้ใช้กฎหมายนี้เพราะออเรนจ์ เคาน์ตี้สูญเงิน 1.6 พันล้านดอลลาร์ เหตุผลวางนโยบายผิดพลาดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย [/FONT]
    [FONT=&quot] เมืองพิตสเบิร์กเองก็ใช้ [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9[/FONT][FONT=&quot] และบริหารมาตั้งแต่ปี 2004 เช่นเดียวกับเมืองวัลเลโฮ่([/FONT][FONT=&quot]Vallejo[/FONT][FONT=&quot])รัฐแคลิฟอร์เนียที่มีประชากร 116,000 คน อยู่ใกล้กับซาน ฟรานซิสโก ก็ใช้ [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9[/FONT][FONT=&quot] ในปี 2008 เหตุเพราะราคาบ้านตกต่ำลง รายได้ลดจำเป็นต้องใช้กฎหมายล้มละลายเข้ามาช่วย[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อเดือนมกราคม 2010 บริษัท [/FONT][FONT=&quot]Las Vegas Monorail Co., [/FONT][FONT=&quot]เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร จัดบริหารรถไฟ 3.9 ไมล์ ในเขตลาส เวกัส สทริปมีพันธบัตรออกจำหน่าย 600 ล้านดอลลาร์ต้องยื่นล้มละลายตาม[/FONT][FONT=&quot] Chapter 11[/FONT][FONT=&quot]เหตุเพราะในปี 2009 มีผู้นั่งรถไฟรางเดียวลดลง 21 % เมื่อเทียบกับปี 2008 [/FONT]
    [FONT=&quot]ขณะเดียวกัน [/FONT][FONT=&quot]Ambac[/FONT][FONT=&quot] Assurance Corp., [/FONT][FONT=&quot]บริษัทลูกของ [/FONT][FONT=&quot]Ambac[/FONT][FONT=&quot] Financial Group Inc.,[/FONT][FONT=&quot]เป็นผู้รับประกันพันธบัตรจาก[/FONT][FONT=&quot]Las Vegas Monorail[/FONT][FONT=&quot] ต้องการให้บริษัทใช้ [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9 [/FONT][FONT=&quot]มากกว่าเพราะบริษัทนี้คล้ายกับเป็น [/FONT][FONT=&quot]municipality[/FONT][FONT=&quot] แห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในเดือนนี้ว่าจะให้ไปใช้ [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9 [/FONT][FONT=&quot]ได้หรือไม่ [/FONT]
    [FONT=&quot] คงไม่ค่อยมีใครได้ยินคำว่า [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9[/FONT][FONT=&quot] แม้กระทั่งแซนดี้ ฮอสกิ้นส์ รักษา [/FONT][FONT=&quot]CEO ของ[/FONT][FONT=&quot]Sierra Kings Health District[/FONT][FONT=&quot] แห่งเมือง[/FONT][FONT=&quot]Reedley[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Calif.[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]เขาทำงานมา[/FONT][FONT=&quot] 30 ปีในฝ่ายตรวจสอบและฝ่ายการเงินก็ไม่เคยได้ยินกฎหมายมาตรานี้มาก่อน จนกระทั่งเขายื่นฟ้องล้มละลายองค์กรสุขภาพแห่งนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2009 จึงรู้ว่ามี [/FONT][FONT=&quot]Chapter 9 [/FONT][FONT=&quot]ใช้บังคับ[/FONT]
    [FONT=&quot]การใช้กฎหมายล้มละลายเข้มมาบังคับไม่ว่าจะเป็นบริษัท,ปัจเจกบุคคล,องค์กร,ซิตี้ จะทำให้เครดิตตกต่ำลงเพราะไม่มีใครอยากค้าขายด้วย โดยเฉพาะพวกที่ส่งสินค้าต่างๆให้([/FONT][FONT=&quot]vendors[/FONT][FONT=&quot]) [/FONT]...

    Apacnews.net
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]บารัค โอบามากับเงินกู้ธุรกิจ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]จาก 3.5 แสนถึง 1 ล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2010 กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่าอัตรการว่างงานของคนอเมริกัน ณ เดือนธันวาคม 2009 อยู่ที่ 9.7 % หรือลดลงจาก 10 % ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐที่เริ่มมาตั้งแต่ธันวาคม 2007 พบว่ามีคนตกงานประมาณ 8.4 ล้านคน ก่อนที่จะกลับมาทบทวนใหม่ว่ามี 7.2 ล้านรายที่ตกงาน และเมื่อถึงมกราคม 2010 ปรากฎว่ามีถึง 1.1 ล้านคนมุ่งหางานทำ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ในจำนวนนี้แรงงานภาคการเงินว่างงานมากที่สุด หลังจากธนาคารเพื่อการลงทุนหรือ [/FONT][FONT=&quot]Investment Bank และบริษัทประกันภัยต้องล้มละลายไปหลายแห่ง[/FONT]
    [FONT=&quot] ด้วยเหตุนี้ในปี 2010 นโยบายของฝ่ายบริหารรัฐบาลบารัค โอบามา จึงมุ่งเน้นในด้านการสร้างงานให้กับคนอเมริกัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เสนอต่อสภาคอง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เกรสเพื่อขยายนโยบายกู้เงินให้แก่ธุรกิจขนาดเล็ก เพราะถือว่าเป็นด่านแรกในการสร้างงานให้กับชุมชน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]โอบามากล่าวตอนหนึ่งว่า [/FONT][FONT=&quot]“ผมมีความเชื่อมั่นว่า หากเรามาร่วมมือกันด้วยการเก็บเรื่องการเมืองไว้ก่อน เราจะทำได้อีก เราจะสามารถรื้อฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาได้ใหม่ มีรากฐานที่เข้มแข็งกว่าเดิมและจะเพิ่มแรงงานได้มากขึ้น นำไปสู่ความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป”[/FONT]
    [FONT=&quot] ในการพบปะกับประชาชนประจำสัปดาห์ โอบามามีการยกตัวอย่างให้เห็นด้วยว่ารัฐบาลไม่สามารถสร้างงานให้คนอเมริกันได้ แต่สามารถสนับสนุนหรือเปิดประตูให้เกิดการจ้างงานได้มากขึ้นผ่านสำนักงานบริหารธุรกิจขนาดเล็ก([/FONT][FONT=&quot]the Small Business Administration[/FONT][FONT=&quot]) โดยยกตัวอย่างว่าบริษัท[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]Southwest Windpower[/FONT][FONT=&quot] ที่เมือง [/FONT][FONT=&quot]Flagstaff[/FONT][FONT=&quot] รัฐอริโซนา เริ่มธุรกิจของตัวเองในบ้านหลังเล็กๆ หลังจากได้รับเงินกู้จาก [/FONT][FONT=&quot]SBA ปัจจุบันสามารถจำหน่ายกังหันลม([/FONT][FONT=&quot]wind turbines [/FONT][FONT=&quot])ได้กว่า 160,000 เครื่องแก่ 90 ประเทศทั่วโลกและมีการจ้างงานเพิ่มอีกด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot] โอบามากล่าวว่าเมื่อปี 2009 [/FONT][FONT=&quot]SBA ได้อนุมัติเงินกู้แก่ธุรกิจขนาดเล็ก 47,000 ราย เพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้ สามารถจ่ายเพย์โรลให้กับพนักงานและมีการจ้างงานเพิ่ม [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลโอบามากำลังจะทำเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจคือ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] 1.ปล่อยเงินกู้เพื่อนำไปฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot](Commercial real estate loans)[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] 2.เพิ่มเครดิตและเงินทุนแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ([/FONT][FONT=&quot]to increase loans used for lines of credit and capital[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ขยายวงเงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กจากเดิม 350,000 ดอลลาร์เป็น 1 ล้านดอลลาร์เรียกว่า[/FONT][FONT=&quot] Small Business Administration Express loans[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นโยบายที่จะปล่อยเงินกู้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]refinancing[/FONT][FONT=&quot]) ให้กับเจ้าของผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ภาคการพาณิชย์ เงื่อนไขก็คือเจ้าของจะต้องเป็นผู้ถือเงินกู้เดิมและมีเอกสารการจ่ายเงินกู้ตลอดปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้รับสิทธินี้ โดยเตรียมใช้เงินปีละ 18.7 พันล้านดอลลาร์ปล่อยกู้เพื่อป้องกันไม่ให้อสังหาริมทรัพย์ภาคพาณิชย์นี้ถูกยึดโดยธนาคาร[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนี้ยังจะใช้เงิน 30 พันล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปในโครงการกอบกู้วิกฤติธนาคารเพื่อการ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ลงทุน ส่งต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆตามชุมชนเพื่อปล่อยกู้แก่ธุรกิจขนาดเล็ก เพราะเชื่อว่าธุรกิจขนาดเล็กจะช่วยสร้างงานให้กับชุมชนต่างๆได้เป็นอย่างดี หรือโอนเงินจาก[/FONT][FONT=&quot] TARP fund [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]The Troubled Asset Relief Program[/FONT][FONT=&quot]) มาเป็น [/FONT][FONT=&quot]Small Business Lending Fund[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ยิ่งไปกว่านั้นยังเสนอให้ยกเว้นภาษีที่ธุรกิจได้กำไรในปี 2010 ([/FONT][FONT=&quot]capital gains taxes[/FONT][FONT=&quot])รวมทั้งจะให้เครดิตภาษีแก่ธุรกิจขนาดเล็กอีกรายละ 5,000 ดอลลาร์เมื่อเพิ่มงานได้ 1 คน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ฝ่ายบริหารโอบามาประเมินว่าเมื่อสิ้นปี 2011 อัตราการว่างงานของคนอเมริกันจะอยู่ที่ 8.9 % และเมื่อสิ้นปี 2010 อัตราการว่างงานจะลดไปอยู่ที่ 7.9 % สำหรับอัตราการว่างงานที่สังคมจะอยู่เป็นสุขที่สุดนักเศรษฐศาสตร์มองว่าน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 5.5 % (เพราะทุกสังคมจะต้องมีการว่างงานแฝงอยู่ตลอดเวลา) [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]“สัปดาห์หน้า คองเกรสจะเริ่มอภิปรายข้อเสนอเหล่านี้ หากท่านใดมีแนวความคิดใหม่ๆที่จะสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กเพื่อสร้างงานแล้ว ผมแฮปปี้ที่จะนำมาพิจารณา ประตูเปิดกว้างเสมอ อย่างไรก็ตามผมขอให้สมาชิกทั้งสองพรรคอย่าต่อต้านแนวคิดนี้ เพราะมันไม่ใชืเรื่องของพรรคเดโมแครต,พรรครีพับลิกันฅพรรคริเบอรัลหรือพรรคอนุรักษ์ แต่เป็นความคิดที่ดดีทางการเมืองโดยรวม เราต้องกมรให้คนอเมริกันกลับไปทำงาน”โอบามาตบท้าย[/FONT]
    [FONT=&quot] การมองหรือพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นวันที่ 8 ก.พ.แอแลน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐกล่าวในรายการ [/FONT][FONT=&quot]Meet the Press[/FONT][FONT=&quot] ทางทีวี[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]NBC[/FONT][FONT=&quot] ว่าการที่ราคาหุ้นในตลาดหุ้นตกนั้นเป็นสัญญาฯเตือนที่จะต้องระมัดระวังเพราะ ไม่ใช่เพียงราคาในกระดาษเท่านั้นแต่จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2010 มาถึงวันที่ 5 ก.พ.ตลาดหุ้นสหรัฐลดลงไปแล้ว 4 % [/FONT][FONT=&quot]“จึงน่าเป็นห่วงว่าการลดอัตราการว่างงานลงคงจะมองไม่เห็นในเร็วๆนี้ ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำสภาคองเกรสจะต้องสร้างงานบวกกับการลดภาษีให้กับธุรกิจขนาดเล็ก แต่การจะสร้างงานได้จะต้องมีธุรกิจเกิดขึ้น” [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตามยังพอมองเห็นความเติบโตทางเศรษฐกิจตามมาเพราะไตรมาสสุดท้ายของปี 2009 [/FONT][FONT=&quot]GDP[/FONT][FONT=&quot] เติบโต 5.7 % และกรีนสแปนยังมองว่าขณะนี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งอสังหาริมทรัพย์เป็นแกนกลางที่ทำให่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะมีการยึดบ้านกันมาก[/FONT]
    [FONT=&quot] กรีนสแปนยังเห็นด้วยว่ารัฐบาลควรจะขึ้นอัตราภาษีเพราะการปล่อยให้ประเทศติดลบงบประมาณมากๆไม่เกิดผลดีตลาดเงินแต่อย่างใด[/FONT][FONT=&quot]”แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นทั้งหมด เพราะหากขึ้นอัตราภาษีทั้งหมด ก็จะเกิดผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ” กรีนสแปนชี้[/FONT]
    [FONT=&quot] ล่าสุดรัฐบาลโอบามาคงไม่ขึ้นภาษีเพราะสภาคองเกรสอนุมัติเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ให้รัฐบาลกลางเพิ่มหนี้ขึ้นอีก 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เป็น 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT].
    Apacnews.net
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    [FONT=&quot]บัญญัติเศรษฐกิจ 7 ประการ [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ทุกคนต้องเป็นกังวล[/FONT] [FONT=&quot] บทความเรื่องนี้ปรากฎในเว็บไซท์ของ [/FONT][FONT=&quot]the Nieman Watchdog[/FONT][FONT=&quot] ที่รายงานแบบเจาะลึกโดยผู้สื่อข่าวชื่อจอห์น แฮนราฮาน([/FONT][FONT=&quot]John Hanrahan[/FONT][FONT=&quot])ซึ่ง ไปสัมภาษณ์นักเศรษฐศาสตร์หลายๆคนโดยเฉพาะเหตุผลที่เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ และของโลกฟุบไป อาทิเช่นสถาบันการเงินในสหรัฐล้ม,สงครามในอิรักและอัฟกานิสถานทำให้เศรษฐกิจ อ่อนแอลงอย่างไร,ความยากจนในสหรัฐและความยากจนของโลก,บทบาทของรัฐบาลที่ใช้ จ่ายเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ[/FONT]
    [FONT=&quot] หลังจากอ่านรายงานของจอห์น แฮนราฮานแล้ว สิ่งที่ทุกคนจะต้องกังวลมี 7 ประการดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] 1.ชนชั้นกลางจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป[/FONT]
    [FONT=&quot] ภายหลังจากเศรษฐกิจพังช่วงปี 2007-2008 คนชั้นกลางอเมริกันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นตกต่ำลงโดยเฉพาะเงินสะสม [/FONT][FONT=&quot]401(k)[/FONT][FONT=&quot] ตกฮวบลงและราคาบ้านก็ตกต่ำลง จะทำให้เขาขาดความมั่นใจในด้านการใช้จ่ายเงิน โดยเฉพาะราคาบ้าน 1 ใน 4 ของเจ้าของบ้านตกอยู่ในสถานการณ์[/FONT][FONT=&quot]”บัวใต้น้ำ”([/FONT][FONT=&quot]underwater[/FONT][FONT=&quot]) จากการศึกษาของแบร์รี่ พี.บอสเวิร์ธ และ โรแซนนา สมาร์ทแห่งสถาบันบรู้คกิ้งพบว่าคนอเมริกันสูญเสียความมั่งคั่งไป 13 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างกลางปี 2007- เดือนมีนาคม 2009 ทำให้คนยุคลูกดก([/FONT][FONT=&quot]baby boomers[/FONT][FONT=&quot])หรือคนเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ใกล้จะเกษียณถูกกระทบกระเทือนมกาที่สุด ส่วนคนอายุน้อยกว่า 50 ปีลงมาก็มีรายได้น้อยกว่ายุคปี 1983 [/FONT]
    [FONT=&quot] ในห้วง 10 ถึง 20 ปีที่ผ่านมาคนอเมริกันมีชีวิตอยู่ภายใต้หนี้เครดิต คาร์ด หรือเป็นฟองสบู่แห่งการกู้ยืม คนอเมริกันหลายสิบล้านคนมีชีวิตอยู่ด้วยเช็คใบต่อใบจากการทำงานขาดความมั่นคงอย่างแท้จริง และยังพบว่าหนี้สินเริ่มพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฐานที่เข้มแข็งมาก่อนเริ่มสั่นคลอนมากขึ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]2.การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน[/FONT]
    [FONT=&quot] การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจใช้เวลานานถึง 10 ปีจนกว่าครอบครัวคนอเมริกันจะกลับมามีมาตรฐานด้านความเป็นอยู่เหมือนเดิมก่อนที่เศรษฐกิจจะพัง โดยเฉพาะการว่างงานจะยังคงสูงถึง 10 % ไปจนกว่าจะสิ้นปี 2010 การแก้ปัญหานี้รัฐบาลจะต้องไม่ใช้วิธีการ[/FONT][FONT=&quot]”กระตุ้น”อย่างเดียว ต้องมีโครงการฟื้นฟูที่สำคัญอาทิเช่นการให้เครดิตภาษีแก่คนซื้อบ้านหรือโครงการ[/FONT][FONT=&quot]cash for clunkers[/FONT][FONT=&quot] (นำรถเก่าที่กินน้ำมันไปซื้อรถยนต์ใหม่ที่กินน้ำมันน้อยกว่า) และการเพิ่มระยะเวลาจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ว่างงาน[/FONT]
    [FONT=&quot]3.การฟื้นตัวเพียงชั่วคราวเท่านั้น[/FONT]
    [FONT=&quot] เศรษฐกิจ สหรัฐอาจถดถอยอีกครั้งหรือพูดง่ายๆเป็นการฟื้นตัวชั่วคราวเพราะเท่าที่ผ่าน มาพลังงานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือระบบเครดิตและอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่ แนวทางที่จะทำให้ฟื้นตัวแบบยั่งยืนควรหันกลับไปดูยุครัฐบาลรอนัลด์ เรแกน ด้วยการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน,สร้างงานและมีสินค้าด้านสาธารณะ,ขยาย โครงการช่วยสังคมด้านต่างๆ,การเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางพร้อมกับเพิ่ม ผลผลิต[/FONT]
    [FONT=&quot] 4.ยังไม่มีเครื่องมือช่วยให้พ้นเศรษฐกิจถดถอย[/FONT]
    [FONT=&quot] ปัจจุบันแนวทางรับมือกับเศรษฐกิจถดถอยคือการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางก็ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงต่ำไปกว่าศูนย์ รัฐบาลอาจทุ่มเงินเพื่อกระตุ้นได้หรือนำเงินออกไปช่วยผู้ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ต้องทราบว่าประเทศจะกู้เงินได้เท่าใดและใช้เงินได้เท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นเงินที่อยากกู้อาจไม่ได้เหมือนเดิมแล้วก็ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]5.คนวอชิงตันยังห่วงกับการขาดดุล[/FONT]
    [FONT=&quot] คนในกรุงวอชิงตันโดยทั่วไปไม่ได้ห่วงเรื่องการขาดดุลเท่าใดนัก ยกเว้นคนระดับนำเท่านั้นที่ห่วงการขาดดุลของประเทศ แต่ก็มีบางคนไม่คิดให้รอบคอบเช่นนายปีเตอร์ จี.ปีเตอร์สัน มหาเศรษฐีนักการธนาคารมองว่าการแก้ปัญหาการขาดดุลจะต้องนำเงินประกันสังคมออกมาช่วย อย่างไรก็ตามให้นำบทเรียนในอดีตมาปรับใช้เช่นในช่วงปี 1937 ธนาคารกลางและรัฐบาลประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.โรสเวลท์ ประกาศว่าเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทำให้การใช้จ่ายเงินถูกตัด,นโยบายการเงินถูกตรึงให้กระชับส่งผลให้เศรษฐกิจกลับตกต่ำลงไปอีก[/FONT]
    [FONT=&quot]6.สิ่งใดที่ทำให้ตลาดหุ้นเพิ่มจะต้องเลี่ยง[/FONT]
    [FONT=&quot] การฟื้นตัวของตลาดหุ้นโดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์เพิ่ม 70 % นับแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ต้องตั้งข้อสงสัยว่าเศรษฐกิจจะเป็นฟองสบู่อีกครั้งหรือไม่ หรือว่าจะเป็นระเบิดลูกใหม่ทางเศรษฐกิจ จึงต้องตั้งคำถามว่ามีอะไรพิเศษที่ถูกปั๊มเข้าสู่ระบบ อาทิเช่นเริ่มจากการใช้เงินช่วยแบบ[/FONT][FONT=&quot]bailouts[/FONT][FONT=&quot] มาจนการลดอัตราดอกเบี้ยถึงศูนย์ของธนาคาร หรือว่านักลงทุนต่างประเทศสนใจที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวและอัตราดอกเบี้ยต่ำจึงนำเงินมาลงทุน และเงินเหล่านี้จริงๆแล้วมาจากไหน ดูเหมือนว่าไม่มีใครรู้[/FONT]
    [FONT=&quot]7.ภาคการเงินยังขาดความรับผิดชอบ[/FONT]
    [FONT=&quot] ภาคการเงินยังขาดความรับผิดชอบและยังไม่ถูกลงโทษทั้งใน[/FONT][FONT=&quot]Wall Street[/FONT][FONT=&quot] และตัวอย่างการเกิดการลงทุนแบบหลอกลวง([/FONT][FONT=&quot]Ponzi scheme[/FONT][FONT=&quot])ทำให้ชนชั้นกลางจำนวนมากต้องสูญเสียเงิน ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าระบบการเงินในศตวรรษที่ 21 กลับยังใช้กฎเกณฑ์ของศตวรรษที่ 20 ทำให้กฎเหล่านี้ตามไม่ทันสมัยใหม่อันนำมาสู่การข่มขู่ระบบเศรษฐกิจทั้งมวล เมื่อตรวจสอบจะพบว่าในบรรดาบริษัทต่างๆของสหรัฐ 40 % มีกำไรมาจากภาคการเงิน เช่นกำไรจากราคาบ้านที่เกินจริง,กำไรจากเครดิต คาร์ด,จากธนาคารและจากทรัพย์สินราคาเกินจริง[/FONT]
    [FONT=&quot] ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้เป็นไปอย่างไม่ยั่งยืนมีคนเพียง 1 % ที่รายได้พุ่งมากที่สุด ในขณะที่ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่รายได้กลับลดลงเฉลี่ยครัวเรือนละ 2,000 ดอลลาร์ จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ครอบครัวมั่งคั่งแต่อย่างใด [/FONT]
    [FONT=&quot](บทความนี้ย่อมาจากเรื่อง [/FONT][FONT=&quot]7 Things About The Economy Everyone Should Be Worried About[/FONT][FONT=&quot] เขียนโดย [/FONT][FONT=&quot]Dan Froomkin[/FONT][FONT=&quot] เขาเป็นหัวหน้าสำนักงานของนสพ.[/FONT][FONT=&quot]Huffington Post[/FONT][FONT=&quot]ในกรุงวอชิงตันและเป็นรองบรรณาธิการ[/FONT][FONT=&quot]NiemanWatchdog.org[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]....อ่านต่อ[/FONT]
    [FONT=&quot]สหรัฐขาดดุล 1.35 ล้านล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot] สำนักงบประมาณคองเกรสรายงานว่าในปีนี้สหรัฐจะขาดดุลงบประมาณ 1.35 ล้านล้านดอลลาร์เพราะเศรษฐกิจถดถอยจะฟื้นตัวช้า อีกทั้งภาวะการว่างงานยังคงอยู่ที่ 10.1 % ขณะเศรษฐกิจจะเติบโตกว่า 2 % เท่านั้น ส่วนในปี 2011 เชื่อว่าอัตราการว่างจะลดเหลือ 9.5 % และดุลงบประมาณจะขาดลดเหลือ 980 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขว่านโยบายการตัดภาษีจากสมัยรัฐบาลจอร์จ บุช จะต้องไม่ถูกยืดออกไป ส่วนในปี 2015 สหรัฐจะขาดดุลงบประมาณเหลือ 480 พันล้านดอลลาร์ งบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลกลางสหรัฐรวม 3.5 ล้านล้านดอลลาร์[/FONT]...


    Apacnews.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2010
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    Phase II.......Part 2 of ( ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความเชื่อ )


    สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคม การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ซึ่งจะไม่มีการแบ่งแยกในเรื่องชาติพันธุ์ ความเชื่อ ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ สีผิวใดๆ ทั้งสิ้น


    โดยส่วนตัว ผมเชื่อใน "พระเจ้า" หรือจะเรียกว่าพระยะเวห์ (Yahweh)และพระเยซูคริสต์.......แต่ผมไม่เชื่อใน " ศาสนาคริสต์ " ครับ และในความคิดซึ่งมาจากการศึกษาค้นคว้าของผม "พระเจ้า" ไม่เคยแบ่งแยกมนุษย์ด้วยศาสนา หรือลัทธิใดๆ เพื่อทำให้เกิดความแตกต่าง แล้วทำให้ต้องมาเข่นฆ่ากันเองเพราะความต่างเหล่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือพระเจ้ามองมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ หรือสีผิวว่าเป็นมนุษย์เหมือนกันหมด ถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์คุณจะมองเห็นและเข้าใจสิ่งหนึ่งคือ "ศาสนา ลัทธิและนิกาย" ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นและกำหนดด้วยน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น


    แล้วก็เป็นมนุษย์อีกเช่นกันที่ใช้ความแตกต่างของศาสนาเหล่านั้นเพื่อสร้างอำนาจ สร้างอาณาจักรและแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ด้วยเงินบริจาค ด้วยการทำบุญ และ "การหลีกเลี่ยงภาษี" จนถึงวันนี้แล้วทุกอย่างคงต้องตรงไปตรงมาครับ ในสงครามครูเสดที่ "ศาสนาคริสต์" และ "ศาสนาอิสลาม" ถูก "เสี้ยม" ให้ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ยาวนานกินเวลานับร้อยปี โดยลืมไปว่าทั้งสองศาสนามีจุดกำเนิดหรือศาสดาองค์เดียวกันเพียงแต่เรียกชื่อต่างกันไปในความเชื่อของตน และเมื่อทั้งสองศาสนาอ่อนล้าลงเพราะการต่อสู้ที่ยาวนาน ในที่สุดก็ถูกยึดครอง "ทั้งหมด" หลังจากการยึดครองแล้ว กลุ่ม NWO ซึ่งจะรวมทั้ง อิลลูมินาติ, บิลเดอร์เบิร์ก, ซีเอฟอาร์, ไทรแรทเทอรัล คอมมิชชั่น, ฟรีเมซั่น และอีกมากมายหลายกลุ่ม ที่ประกอบขึ้นในลักษณะโครงสร้างของ "ปิระมิด"


    ก็ใช้ทั้งสองศาสนาเป็นเครื่องมือในการผลักดันวาระต่างๆ ในรอบ 100 ปี ที่ผ่านมา โดยอาศัยความเชื่อ ความศรัทธาและเงินบริจาค เป็นอาวุธหลัก และพวกเค้าจะใช้ "ความต่าง" นี้แหละครับในการก่อ "สงครามใหญ่" โดยเริ่มจากเหตุการณ์ 911 ซึ่งทั้งหมด.......เป็นจริงและเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองออกหรือไม่เท่านั้นเอง


    ทุกวันนี้เกือบทุกศาสนาใหญ่ที่มีบนโลกใบนี้ฤูก "แทรกซึม" หมดครับ ถ้าคุณปฏิเสธว่าไม่จริง ก็คือคุณไม่เคยรู้หรืออาจะยังมองไม่ออกครับ แล้วก็ยังมีอีกหลายแสนคนที่ตกเป็น "เหยื่อ" โดยที่ไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน ทั้งที่ทุกคนไปด้วยความเชื่อ ไปด้วยจิตใจที่เป็นบุญ เป็นกุศล ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาก็คือ ทำแล้วสบายใจ แค่นั้นเองจริงๆ ผมจะบอกความจริงที่กำลังจะเกิดว่า วันนึงพวกเค้าจะ "หลอมรวม" ศาสนาเหล่านี้เข้าด้วยกันครับ เป็นศาสนาใหม่ ศาสนาเดียวของโลก ศาสดาองค์ใหม่ ซึ่งก็คือเป้าหมายที่แท้จริงของการแทรกซึมนั่นเอง

    วันนี้เรายังไม่ต้องมาเถียงกันในเรื่องนี้ครับ ขอเวลาอีกซัก 5-10 ปีในการพิสูจน์ แล้วคุณจะเห็นมันด้วยตาของคุณเอง ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรจากนี้ไปลองจับตาดูความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเริ่มต้นตอนนี้ แต่ทั้งหมดเค้าทำมานานแล้ว "อย่างแยบยล" ชนิดที่คนรุ่นใหม่ๆ อ่านไม่ออก เพราะว่ามันคือสิ่งใหม่ที่ "อาจจะ" ดีกว่า ด้วยการ "แยกออก แตกออก" สร้างเครือข่าย สะสมกำลัง สะสมทุน แล้วใช้ลัทธิที่สร้างขึ้นใหม่นี้ในการเคลื่อนไหวในด้านต่างๆ รวมทั้ง "การเมือง"


    คำถามก็คือทำไมเค้าไม่ให้ศาสนาเป็นเรื่องของศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" "จิตใจ" และ "ความดีงาม" นั่นก็เพราะเค้ากำลังอาศัยการสร้างอำนาจ การสร้างอาณาจักร ขยายอิทธิพล ด้วยความเชื่อและเงินบริจาค "เป็นอาวุธ" ลองไล่เรียงนิกายที่แยกตัวออกมาเหล่านี้ย้อนกลับขึ้นไปสิครับ คุณจะเห็นว่าก็คือพวกเค้า หรือกลุ่ม NWO ที่สนับสนุนเงินทุนและทำงานผ่านคนไทยบางกลุ่ม นั่นเอง โดนรู้ทันไล่ไปเจอ "CIA"...โดน เคลียร์ไปบ้างก็มี


    จนถึงวันนี้ที่สองนิกายของศาสนาอิสลามคือสุหนี่และชีอะห์กลับต้องห้ำหั่นกันเอง โดยการ "เสี้ยม" ของอีกศาสนาหนึ่ง เพื่อบั่นทอนเสถียรถาพในตะวันออกลางเพื่อทำให้กลุ่ม NWO แทรกตัวเข้าไปครอบครองและแสวงหาประโยชน์จากธุรกิจน้ำมัน การค้าอาวุธและสงครามได้นั่นเอง


    ปัญหาเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ก็เป็นเพราะการถูกแบ่งแยกให้แตกต่างโดยคำว่า "ศาสนา" นั่นเอง และนี่ก็เป็นต้นเหตุหรือที่มาของปัญหาทั้งหมดของโลกใบนี้ และจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของมวลมนุษยชาติทั้งมวลด้วยเช่นกัน ถ้าคุณสามารถเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นมิติที่ "สู้กัน" ด้วยความเชื่อและจิตวิญญานของมนุษย์ คุณก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆ กำลังเกิดขึ้นและจะเกิดตามมาได้อย่างชัดเจนอย่างทะลุปรุโปร่ง


    และทั้งหมดทั้งสิ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะเกิดจาก 2 ฝ่าย ก็คือสงครามระหว่างความดีและความชั่ว ฝ่ายหนึ่งคือความเชื่อใน "พระเจ้า" และอีกฝ่ายคือ "ซาตาน" หรือแอนตี้ไครส์ (ที่ถูกกล่าวถึงในศาสนาคริสต์รวมทั้งศาสดาพยากรณ์ต่างๆเช่น นอสสตราดามุส) หรือ "ดัจจัล" ในศาสนาอิสลาม ที่กำลังผลักดันหรือทำ NWO หรือ การจัดระเบียบโลกใหม่ โดยการรวบรวมมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนาเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านพระเจ้านั่นเอง สงครามนี้คือสิ่งที่อยู่บน "ยอดสุด" ของสงครามที่สู้รบกันมาต่อเนื่องยาวนานหลายพันปี หรือจะเรียกว่า "สงครามฝ่ายวิญญาน" ที่ยากต่อการเข้าถึงและเข้าใจของมนุษย์ทั่วๆ ไป

    และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไม "พระคัมภีร์ไบเบิ้ล" จึงสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้ได้ ด้วยความ..แม่นยำ..ชนิดเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์และคำต่อคำ ล่วงหน้าไว้หลายพันปีที่ผ่านมา ซึ่งมนุษย์ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ต่อปรากฏการณ์นี้ได้นับจนถึงวันนี้


    เพราะฉะนั้นเป้าหมายก็คือการเข้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านทาง


    1.การลดประชากรโลกลงให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมและสอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ โดยการสร้าง โรคภัยไข้เจ็บ(ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเกิดโดยธรรมชาติ) อาหารและสารเคมีที่เป็น(ฟาร์สฟู๊ด เคมีและยาฆ่าแมลงต่างๆ) ภัยพิบัติครั้งร้ายแรง โรคระบาด การกันดารอาหาร และสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก


    2.การเข้าควบคุมระบบเครดิต การเงิน การธนาคารของโลกใบนี้ เพื่อควบคุมกระแสเศรษฐกิจ และการค้าโลกทั้งปวง เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ของมนุษย์ หลังจากการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ "ในโลกเก่า" แล้ว ด้วยวิธีการล้มสกุลเงินดอลล่า ที่ใช้เชื่อมโยงโลกใบนี้อยู่ทั้งหมด


    3.ซึ่งจะเป็นการกำเนิดของ เงินสกุลใหม่ เงินสกุลเดียวที่จะใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก



    4.การรวบรวมศาสนาและความเชื่อทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อการนำในด้านจิตวิญญานให้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ในโลกยุคใหม่


    5.การปกครองด้วยรัฐบาลโลก ไม่มีการแบ่งแยกขอบเขตของประเทศอีกต่อไป โดยการรวม 6 ภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งก็ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที ตั้งแต่เราเริ่มมีคำว่า Globaliztion หรือโลกาภิวัติ นั่นเองครับ


    6.การตัดสินคดีความต่างๆและข้อพิพาทด้วย "ศาลโลก" ที่เกิดขึ้นแล้ว


    7.ภาษาใหม่ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต ที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารของ "โลกใหม่"


    8.องค์กรระดับโลกต่างๆ ก็จะนำมาบังคับใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็ UN, IMF, World Bank, WHO, WTO, OPEC, APEC, NAFTA, AFTA, GATT, G8, G20, NATO และอีกสารพัดองค์กรความร่วมมือเพื่อรอเวลาของการ "ควบรวม" ที่ได้จัดตั้งขึ้นรอไว้เพื่อการนี้ ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่เราไม่เคยเข้าใจจุดประสงค์และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเค้านั่นเอง



    เพราะฉะนั้นถ้ากรอบความคิด "ทางโลก" ของคุณยังไม่ถูกทำลายลง "มิติ" นี้จะเป็นอะไรที่คุณไปไม่ถึงอย่างแน่นอน...หรือคุณจะเข้าใจเท่าที่คุณจะสามารถทำความเข้าใจได้ก็ไม่ว่ากันครับ


    คุณจะเห็นได้ว่าหมากทุกตัวบนกระดานได้เข้าประจำจุดหมดแล้ว และสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้ ก็จะมุ่งไปสู่วาระโลกใหม่ทั้ง 8 ข้อข้างต้น ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ลองสังเกตุทุกชิ้นข่าวที่คุณอ่านมันจะเป็นประเด็นย่อยๆที่อยู่ใน 8 ข้อนี้ครับ


    หรือถ้าคุณจะยังว่าทั้งหมดนี้เป็น Conspiracy Theory หรือทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดอยู่ ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล ส่วนผมและครอบครัวเลือกที่จะเตรียมพร้อมและปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดและสอดคล้องกับสิ่งต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นดีกว่าครับ.......

    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2010
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเราทำใจให้เป็นกลาง รักษาความเป็นกลาง จะได้มองเห็นความจริงได้ชัดตามจริง
    ไม่บิดเบือนเพราะอคติ เพราะความเชื่อ เพราะทิฏฐิ เพราะความคิดเห็น
    เราก็จะเห็นความจริงของโลก และความเป็นไปของโลก จะได้เอาตัวรอดจากโลกได้
    จะเรียกว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ได้ไหมเนี่ย แหะ แหะ
    แต่ว่าถ้าได้เจอผู้รู้จริง ก็นับว่าเป็นวาสนา เพราะเดินตามผู้รู้จริง ไม่ตกหลุมดำแน่นอน
    และในวันหน้าเมื่อผู้รู้จริงได้เป็นผู้รู้แจ้ง เราก็อาจจะได้รู้แจ้งตามเพราะเลือกจะทำตามผู้ที่เราศรัทธาแบบไม่มีเงื่อนไขแล้ว

    เราอยู่ชมรมอนุรักษ์จิตพุทธะ
    จะเกิดก็ขอให้จิตวิญญาณมีสติปัญญา จะตายก็ขอให้จิตวิญญาณมีสติปัญญา
    เพราะว่ายังไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังต้องอาศัยสติปัญญาพาพ้นภัยไปเป็นคราวๆ เนาะ

    ปล.คนที่มีสมบัติมากๆ เวลาสูญเสียมันก็เจ็บปวดมากเป็นธรรมดา
    ต้องมีปัญญามากกกว่าคนมีสมบัติน้อยๆ ถึงจะเอาตัวรอดจากความทุกข์เมื่อถึงคราวต้องสูญเสียสมบัติ
    คนที่ไม่มีอะไรต้องเสีย ก็ไม่ต้องทุกข์เนาะ คนไม่มีห่วงไม่มีภาระ ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะห่วงหรือภาระ

    คนที่เป็นทาสของเงิน ก็ทำงานเพื่อเงิน นับถือเงินเป็นพระเจ้า อนาคตก็ขึ้นอยู่กับเงิน สุขทุกข์ก็อยู่ที่เงิน
    คนที่เป็นทาสของความดี ก็ทำกรรมเพื่อความดี นับถือความดีเป็นพระเจ้า อนาคตก็ย่อมจะดี ขึ้นสู่ที่สูงเพราะมีความดีค้ำจุนอนาคตไว้
    คนที่เป็นทาสของความชั่ว ก็ทำกรรมเพื่อความชั่ว นับถือความชั่วเป็นพระเจ้า อนาคตก็ไหลลงต่ำไปตามกรรมชั่ว
    คนที่เป็นทาสของตัวเอง ก็ทำกรรมเพื่อตัวเอง อนาคตก็เป็นไปตามกรรมที่ตัวเองกำหนดไม่ต้องไปโทษใครเวลาเป็นทุกข์ก็โทษตัวเองคนเดียวเลย
    ถ้าเลิกเป็นทาสได้ จะเป็นไงต่อไป ก็ยังไม่รู้เลยนะนี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2010
  6. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ให้เหตุแห่งโลกทาน ได้ผลแห่งโลกทาน
    ให้เหตุแห่งธรรมทาน ได้ผลแห่งธรรมทาน
    อนุโมทนาครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชี้ สัมพันธ์จีน-มะกัน ไม่ใช่แบบ “ซีโร่ซัมเกม”
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>14 ธันวาคม 2553 20:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หยัง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวถึงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ว่าควรเน้นความร่วมมือและนโยบายสมประโยชน์ แทนที่จะคิดแบบใครแพ้ใครชนะ 10 ธ.ค. (ภาพไชน่า เดลี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ไชน่า เดลี - หยัง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เตือนนักการเมืองสหรัฐฯ ให้คิดใหม่ ชี้ สัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไม่ใช่ “ซีโร่ซัมเกม”

    ซีโร่ซัมเกม เป็นศัพท์ทางรัฐศาสตร์ หมายถึง เกมที่ต้องมีผู้แพ้-ชนะ โดยฝ่ายที่ได้ประโยชน์ จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ซึ่งเมื่อนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ แล้ว เท่ากับว่า หากจีนได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรืออื่นๆ สหรัฐฯ ย่อมต้องเสียประโยชน์

    ในการสัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ (10 ธ.ค.) หยัง กระตุ้นให้สหรัฐฯ เคารพ และหยุดความคิดเอาเปรียบ หรือพยายามสั่นคลอนเสถียรภาพจีนเสียที ชี้ จีนและสหรัฐฯ ควรร่วมมือ และดำเนินนโยบายสมประโยชน์ มากกว่าจะมาคิดแต่ว่า “ใครได้ใครเสีย”

    “เศรษฐกิจโลกยุคโลกาภิวัตน์ให้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ พวกเราควรเป็นหุ้นส่วนที่สมประโยชน์และร่วมมือในภาคส่วนต่างๆ ให้มากขึ้น”

    หยัง ชี้ว่า “5 ปีมานี้ จีนพัฒนาได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ไม่ค่อยราบรื่นนัก เพราะยังมีอุปสรรคระยะยาวบางประการ”

    หยังกระตุ้นให้สหรัฐฯ เคารพอธิปไตยและดินแดนของจีน ย้ำ ไม่ควรแทรกแซงกิจการภายในของจีน

    “ทั้งสองฝ่ายควรไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อเป็นเงื่อนไขพื้นฐานป้องกันความเข้าใจผิดต่อกัน” หยัง กล่าว

    ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน เตรียมการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนหน้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายชี้ว่า เป็นการเยือนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การทูตของสองประเทศ

    ต๋า เว่ย นักวิชาการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วมสมัยของจีน กล่าวว่า “การเรียกร้องของหยังให้สหรัฐฯ เคารพ และเข้าใจระบบสังคมจีนเป็นหลัก เนื่องจากสหรัฐฯกำลังกดดันจีนทางด้านอุดมการณ์อย่างหนัก”

    ต๋า กล่าวว่า “ไม่ว่าเรื่องกูเกิลย้ายฐานออกจากจีน หรือเรื่องการให้รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ แก่นักโทษการเมืองจีน หลิว เสี่ยวปัว เสมือนเป็นไฟเขียวให้สหรัฐฯ สั่นสะเทือนสังคมจีนได้ง่ายขึ้น”

    “เมื่อจีนยืนหยัดในนโยบายสังคมนิยม สหรัฐฯ ย่อมหวาดกลัวการผงาดของประเทศที่มีระบบสังคมแตกต่างกับตนเอง”

    ต๋า กล่าวว่า “การเยือนของประธานาธิบดี หู จิ่นเทา จะช่วยอัดฉีดแรงขับเคลื่อนในอนาคตอันใกล้และจะช่วยขจัดความขัดแย้ง อาทิ ข้อพิพาททางการค้า และปัญหาอื่นๆ”

    รายงานข่าวกล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างจีน-สหรัฐฯ กระทบต่อสังคมโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เนื่องจากเวลานี้ เศรษฐกิจโลก ต่างพึ่งพิงจีน-สหรัฐฯ อย่างมาก

    ในเดือน ต.ค.ไต้ ปิ่งกั๋ว มุขมนตรีและผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศระดับสูงของจีน ได้ตกลงกับ นางฮิลลารี คลินตัน รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า การเยือนของ หู เป็นนัยสำคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี จีนและสหรัฐฯจะรักษาสัมพันธ์เพื่อให้มั่นใจในผลประโยชน์สองฝ่าย

    เจฟ บาเดอร์ ผู้อำนวยการอาวุโสของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ด้านกิจการเอเชีย ชี้ รัฐบาลโอบามาจะขยับขยายความสัมพันธ์กับจีน ขณะเดียวกัน ก็สานสัมพันธ์กับพันธมิตรอื่นๆ เพื่อควบคุมการผงาดของจีนด้วย
    China - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจ้ามือป๊อกเด้ง

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    <DD class=columnist-name>ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร <DD class=by-line>โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR </DD><DD class=by-line>วันที่ 14 ธันวาคม 2553 01:00</DD>เมื่อผมเข้ามาอยู่ในแวดวงของการลงทุนเต็มตัว บ่อยครั้งผมคิดถึงประสบการณ์เก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเล่น เกม "พนัน"
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101214/show_ads_impl.js"></SCRIPT> ที่ผมเคยทำมา ส่วนใหญ่แล้ว เกม "พนัน" ที่ว่า มักจะเป็นเกมเดิมพันของ "ชีวิต" มากกว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง
    ในบางครั้งผมก็เล่น "พนัน" เป็นเงินบ้าง และทุกครั้งก็เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน หนึ่งในการเล่นพนันที่ผมเคยทำ ก็คือ การเป็น "เจ้ามือป๊อกเด้ง" และต่อไปนี้ คือ ประสบการณ์ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น
    ในการเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งนั้น สิ่งที่ผมพบ ก็คือ ผมอาจจะได้เปรียบลูกมือเล็กน้อยในแง่ที่ผมสามารถเลือกที่จะ "จับ" หรือเปิดไพ่ของลูกมือก่อนโดยเฉพาะคนที่ "จั่ว" ไพ่ไปหลายใบและมีโอกาส "ตาย" ซึ่งจะทำให้ผมชนะหรือ "กิน" คนนั้นก่อน
    นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผมมักจะเล่นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในช่วงเวลาหนึ่งติดต่อกันจนเงินบนหน้าตักผมกองท่วม อาจจะเป็นเพราะผมมีฝีมือ หรือที่น่าจะเป็นมากกว่า ก็คือ "ดวง" กำลังขึ้น แต่หลังจากนั้น "ดวง" ผมก็มักจะเริ่มตก ผมเริ่มแพ้หรือเสียเงินมากขึ้นและมากขึ้น จนเงินกองโตนั้นลดลงไปเรื่อยๆ จนแทบหมดซึ่งถ้าเวลายังเหลือ
    ผมก็จะต้อง "ควักเค้า" หรือเอาเงินจากกระเป๋าออกมาเพิ่ม และแล้วโชคก็มักจะกลับมา ผมเริ่มได้กำไรและพอร์ต...อุ๊บ... กองเงินบนหน้าตักก็เติบโตขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็จะลดลงไปอีกในเวลาต่อมา เป็นวงจรหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตีสอง ซึ่งได้เวลานอนและเป็นเวลาที่ต้องเลิกเล่น นั่นก็จะเป็นเวลาตัดสินว่าผมจะได้หรือจะเสียเงินจากการเล่นพนันในครั้งนั้น
    การเล่นหุ้นหรือการลงทุน โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น และ "กล้าได้กล้าเสีย" บางทีผมก็คิดว่าอาจจะมีอะไรคล้ายๆ กับการเล่นเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งอยู่เหมือนกันในแง่ของผลตอบแทน หรือเม็ดเงินที่ได้หรือเสีย ลองมาดูตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายๆ คน
    คนแรก ก็คือ Jesse Livermore "นักเก็งกำไรบันลือโลก" ลิเวอร์มอร์นั้น เป็นนักเก็งกำไรโดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ โดยการใช้มาร์จิน หรือเงินกู้มาเก็งกำไรมหาศาล วิธีการลงทุนนั้น แน่นอน คงเป็น การ "ซื้อนำ" ไล่ราคา รวมถึงการปล่อยข่าวต่างๆ
    ในแนวนี้ก็คงคล้ายๆ กับการทำตัวเป็น "เจ้ามือ" ป๊อกเด้ง ซึ่งมีความได้เปรียบคน ที่ "ซื้อตาม" หรือลูกมืออยู่ไม่น้อย ผลการเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์นั้น คล้ายคลึงกับเจ้ามือป๊อกเด้งมากนั่น ก็คือ เขารวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น "เซเลบ" ที่คนรู้จักกล่าวขวัญกันไปทั่ว และต่อมาเขาก็เจ๊งจนล้มละลาย แต่ด้วยการที่ยัง มี "เครดิต" หรือ ยัง "เหลือเค้า" อยู่บ้าง เขาจึงสามารถทำกำไรกลับมาได้อีก แต่แล้วเขาก็เจ๊งอีก นับได้ถึงสามครั้งที่เขาล้มละลายและกลับมาใหม่เหมือนเจ้ามือป๊อกเด้งเหมือนกัน โชคไม่ดีที่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเลิกเพราะฆ่าตัวตาย พอร์ตของเขาเหลือศูนย์ดอลลาร์
    คนที่สอง ผมยกให้ Julian Robertson ตำนานผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ อดีตผู้บริหารกองทุน Tiger Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรกๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยเทคนิคการลงทุนที่มาใน แนว "VI" อยู่เหมือนกันแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่
    ผลตอบแทนที่โดดเด่นทำให้พอร์ตของเขาเติบโตมหาศาล จากปีเริ่มต้นในปี 1980 ที่พอร์ตแค่ 8 ล้านดอลลาร์กลายเป็น 7.2 พันล้านในปี 1996 และกลายเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยกองทุนถึงกว่า 22 พันล้านดอลลาร์ ในปี 1998
    แต่พอถึงปี 2000 "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา กองทุน Tiger มีผลงานย่ำแย่มาก ผลงานพ่ายแพ้ดัชนี S&P ย่อยยับและผู้ถือหน่วยลงทุนพากันถอนทุนทำให้เขาต้องประกาศปิดกองทุน สาเหตุหนึ่งก็คือการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นไฮเทคที่กำลังร้อนแรง และราคาวิ่งกันมายาวนานเลย
    ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ การที่ Tiger Fund ถือหุ้นบริษัท US Airway อยู่ในพอร์ตมหาศาล ซึ่งราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาปฏิเสธที่จะขายมัน ในที่สุด US Airway ก็ล้มละลายทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหายยับเยิน
    ยังดีที่ Robertson ยังเหลือเงินส่วนตัวอยู่บ้าง ต่อมาเขาก็ใช้เงินนั้นช่วยเป็น "เงินเริ่มต้น" เพื่อก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายสิบกอง
    นอกจากนั้น ลูกน้องหลายคนที่เคยทำงานใน Tiger Fund ก็ออกไปตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายกองที่เรียกกันว่า Tiger Cubs หรือกองทุน "ลูกเสือ" ส่วนตัวจูเลียนเองก็คงจะแก่เกินที่จะเล่นเองแล้วเขาจึงหันมาทำเรื่องการกุศลแทน
    คนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ Bill Miller ผู้บริหารกองทุน Legg Mason Value Trust บิล มิลเลอร์ เคยเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนรวม ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด ในระยะเวลาที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ในระยะเวลา 15 ปี จากปี 1991-2005 กองทุนของเขาทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P ได้ทุกปีติดต่อกัน กองทุนเติบโตขึ้นจาก 750 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 เป็น 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2006
    เขาบอกว่าตนเองเป็น Value Investor ทั้งๆ ที่พอร์ตลงทุนของเขาเล่นหุ้นไฮเทคจำนวนมาก ที่มีราคา หรือค่า PE สูงลิ่ว ในตอนนั้นเขาเป็น "ซูเปอร์สตาร์" แต่แล้ว "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา ตั้งแต่ปี 2006 ผลตอบแทนของเขาก็ตกต่ำลง และต่ำกว่าดัชนี S&P ในปี 2008 จากต้นปีถึงเดือน มิ.ย. พอร์ตเขาขาดทุนถึง 28%
    ในขณะที่ดัชนีลบแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้านับย้อนหลังไปสิบปี สถิติของเขาต่ำกว่าดัชนี S&P และแม้ว่าจะดูย้อนหลังไปตั้งแต่ตั้งกองทุน ผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้น ก็กลายเป็นธรรมดา คือ ดีกว่าดัชนี S&P เพียงนิดเดียว เทียบกับ เจ้ามือป๊อกเด้ง นี่ก็คือ ช่วงที่เงินบนหน้าตักกองโตลดฮวบลงไปเกือบหมด เราคงต้องดูกันต่อไปว่าเงิน "บนหน้าตัก" จะโตขึ้นอีกไหมสำหรับ บิล มิลเลอร์
    อาการแบบเจ้ามือป๊อกเด้ง หรือจะเรียกให้เท่ว่า "ป๊อกเด้งซินโดรม" นี้ ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อยถ้าเวลาของการเล่น หรือการลงทุนยาวพอ มันเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนธรรมดาเช่นเดียวกับ "เซียน" มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นนักเก็งกำไรเช่นเดียวกับคนที่เรียกตัวเองว่า Value Investor
    ดังนั้น เราต้องไม่ประมาทและมีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นกระทิงที่ยาวนาน อาจทำให้เราฮึกเหิมและโลภเกินไปจนลืมไปว่า "หายนะ" นั้น มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ถ้าเราไม่แน่ใจ การ "เก็บเงินเข้ากระเป๋าบ้างในยามที่เงินกำลังกองเต็มหน้าตัก" ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สงคราม:ต้นตอปัญหาทั้งปวง<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ทำไมนักศึกษาอเมริกันไม่ประท้วง<O:p></O:p>
    เมื่อวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2009 นักศึกษาระบบยูซี (<?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE><ST1:pLACETYPE>University</ST1:pLACETYPE> of <ST1:pLACENAME>California</ST1:pLACENAME></ST1:pLACE>)หลายแคมปัสออกประท้วงต่อต้านการขึ้นค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยโดยเริ่มจากปีการศึกษาหน้าจะขึ้นรวม 32 % เป้นเหตุให้นักศึกษาเข้าไปยึดครองตึกในมหาวิทยาลัยและถูกจับกุม อาทิเช่นที่ยูซีเบิร์คลี่ย์ถูกจับกุม 41 คน ส่วนที่ UC <ST1:CITY><ST1:pLACE>Davis</ST1:pLACE></ST1:CITY> ถูกจับ 50 คน และการประท้วงที่ UC Santa Cruz ตลอดจนที่ UCLA ก็ตอบรับไปพร้อมๆกัน<O:p></O:p>
    มหาวิทยาลัยระบบUC มีทั้งหมด 10 แคมปัสโดยแคมปัสน้องใหม่เพิ่งผลิตบัณฑิตรุ่นแรกออกไปเมื่อปี 2008 คือ UC Merced <O:p></O:p>
    ปัญหาเกิดจากรัฐแคลิฟอร์เนียขาดดุลงบประมาณรายจ่าย 24 พันล้านดอลลาร์จำเป็นต้องตัดทุกส่วนของรัฐลงทั้งการศึกษา,สาธารณสุข,สันทนาการ(สวนสาธารณะ),เวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในส่วนของการศึกษาทั้งระบบนับตั้งแต่ Community College, Cal State System และ UC System ถูกตัดงบประมาณโดยสภาฯมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ส่วนของระบบยูซีถูกตัด 813 ล้านดอลลาร์<O:p></O:p>
    สิ่งที่ยูซีจะทำได้ก็คือลดหลักสูตรการสอน,ลดเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่และอาจารย์ซึ่งจะส่งผลถึงลดค่าใช้จ่ายหรือรายได้ของครูบาอาจารย์รวมทั้งมีการลอยแพเจ้าหน้าที่ 900 ตำแหน่ง ที่สำคัญ UC Board of Regents ตัดสินใจเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ให้ขึ้นค่าเล่าเรียนอีก 32 % ในปีการศึกษาหน้า การประท้วงจึงตามมา<O:p></O:p>
    ในฤดูร่วงปีการศึกษาหน้าค่าเรียนจะเพิ่มอีก 2,500 ดอลลาร์ทำให้ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยเป็นปีละ 10,302 ดอลลาร์ เมื่อรวมค่าที่พัก,ค่าหนังสือและอื่นๆที่นักศึกษาปริญญาตรีต้องใช้อีกปีละประมาณ 16,000 ดอลลาร์ การขึ้นค่าเรียนครั้งนี้มหาวิทยาลัยประเมินว่าจะได้รับเงินเพิ่ม 505 ล้านดอลลาร์ในจำนวนนี้ 175 ล้านดอลลาร์จะนำมาเป็นเงินช่วยการศึกษา(financial aid)<O:p></O:p>
    เรื่องนี้นักการเมืองท้องถิ่นและผู้นำสหภาพแรงงานร่วมกับนักศึกษาประท้วงการขึ้นค่าเล่าเรียนครั้งนี้โดยชี้เป้าว่าจะต้องไปลดเงินรายได้(compensation package)ของประธานมหาวิทยาลัยด้วยที่ได้รับเกือบ 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี <O:p></O:p>
    การประท้วงของนักศึกษาอเมริกันครั้งนี้เป็นปัญหาปลายเหตุ ทำให้คิดถึงนักศึกษาช่วงสงครามเวียดนามที่ออกมาประท้วงอย่างรุนแรงและติดต่อกันจนเกิดขบวนบุปผาชนหรือฮิปปี้ขึ้นมา<O:p></O:p>
    ปัญหาใหญ่ของสังคมอเมริกันที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มด้วยสงครามปราบปรามการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2001 หรือที่รู้จักกันในนาม 911ทำให้สหรัฐต้องกระโดดลงสงครามอิรักและอัฟกานิสถานอย่างจริงจังเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2003 เงินงบประมาณเพื่อทำสงครามเมื่อสิ้นปีงบ ประมาณ 2009 (วันที่ 30 กันยายน 2009)ใช้ไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์(trillion)เงินเหล่านี้ไปจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น <O:p></O:p>
    เมื่อสหรัฐเข้าไปทำสงครามในอิรัก บ่อน้ำมันและท่อลำเลียงน้ำมันถูกทำลายทำให้ คนทั่วโลกต้องซื้อน้ำมันดิบแพงขึ้นเพราะดีมานน์และซัพพลายไม่สมดุลกัน ปกติก่อนจะสหรัฐจะบุกนั้นอิรักยังส่งน้ำมันดิบออกสู่ตลาดโลกได้โดยโครงการมนุษยธรรมแลกข้าว,อาหารและเวชชภัณฑ์จากต่างประเทศควบคุมโดยองค์การสหประชาชาติ<O:p></O:p>
    ประกอบกับสหรัฐเกิดวิกฤติซับไพรม,ปัญหาราคาบ้านตก,สถาบันการเงินล้ม ทุกอย่างจึงประดังเข้ามา ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังจาก The Great Depression ช่วงทศวรรษ 1930 ผู้คนว่างงานกว่า 10.2 % บ้านถูกยึดเป็นปัญหาลูกโซ่ตามมา<O:p></O:p>
    ในปีงบประมาณ 2010 กระทรวงกลาโหมสหรัฐยื่นของบประมาณทำสงครามเข้ามาอีก 130 พันล้านดอลลาร์ <O:p></O:p>
    โจเซฟ อี.สติ๊กลิตซ์(Joseph Stiglitz) อดีตรองประธานธนาคารโลก,นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2001 ประเมินว่าเงินที่จะต้องทำสงครามทั้งหมด 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสงครามจะต้องยุติในปี 2010 พร้อมกับการถอนทหารอเมริกันออกมา เขาประเมินว่าสงครามต้องใช้เงินเดือนละ 12 พันล้านดอลลาร์ <O:p></O:p>
    สตี๊กลิตซ์ยังชี้ว่าด้วยเงินดังกล่าวสหรัฐสามารถสร้างบ้านได้ 8 ล้านหลัง,จ้างครูได้ 15 ล้านคน,จ่ายค่าเลี้ยงดูเด็กได้ 530 ล้านคน,จ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาแก่นักศึกษาได้ 43 ล้านคน,ช่วยสวัสดิการแก่คนอเมริกันได้ 50 ปี “สหรัฐให้เงินช่วยเหลืออัฟริกา 5 พันล้านดอลลาร์ เท่ากับใช้เงินทำสงครามครั้งนี้เพียง 10 วันเท่านั้น”<O:p></O:p>
    นอกจากนี้เมื่อสงครามสงบ สหรัฐยังจะต้องใช้เงิน Long-term health care อีกระหว่าง 350-700 พันล้านดอลลาร์เป็นค่ารักษาพยาบาลทหารอเมริกันผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ เดือนพฤศจิกายนมีทหารอเมริกันเสียชีวิตในอิรักและอัฟกานิสถาน4,281 คน บาดเจ็บอีก 30,182 คน หลังสงครามจะมีทหารอเมริกันกว่า 1 แสนคนกลับมาและจะมีปัญหาด้านทางจิตกันอีกมากมาย<O:p></O:p>
    เรื่องนี้ก็ประสานกับการประเมินของสำนักงบประมาณสภาคองเกรส(Congressional Budget Office)ที่เสนอรายงานเมื่อเดือนตุลาคม 2007 ระบุว่าสงครามที่สหรัฐทำกับอิรักนั้นจะสูญประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อถึงปี 2017 เพราะจำนวนหนึ่งจะต้องนำไปใช้ค่าดอกเบี้ยด้วย(การทำสงครามครั้งนี้ต้องยืมเงินไปทำจึงเกิดดอกเบี้ยตามมา) <O:p></O:p>
    ก่อนสงครามจะเริ่มที่หัวหน้าที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจทำเนียบขาวประเมินว่าสงครามอีรักจะใช้เงินระหว่าง 100-200 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น สรุปแล้วการใช้เงินเพื่อสงครามตามที่สตี๊กลิตซ์ประเมินก็คือเพิ่มขึ้นระหว่าง 50-60 เท่า จากการประเมินครั้งแรกของฝ่ายบริหารจอร์จ บุช <O:p></O:p>
    มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้นำเงินที่สำนักงบประมาณสภาคองเกรสประเมินค่าใช้จ่ายในสงครามอิรักปี 2003-2006 ดังนี้ ($92b + $68b + $53b + $87bหรือรวม 245 พันล้านดอลลาร์) เขาคิดว่ากว่าสงครามจะสงบคงใช้เงิน 400 พันล้านดอลลาร์ <O:p></O:p>
    เขาใช้เงิน 75 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเป็นตัวตั้งในค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีในการทำสงครามปี 2003-2006 โดยนำจำนวนคนอเมริกัน 300 ล้านคนมาหารจะทำให้แต่ละคนจ่ายเงิน 250 ดอลลาร์ช่วยสงคราม หรือหากนำ 120 ล้านครอบครัวมาหารก็จะตกครอบครัวละ 625 ดอลลาร์ต่อปี <O:p></O:p>
    ดังนั้นใน 4 ปี (2003-2006)ครอบครัวอเมริกันใช้เงินภาษีช่วยทำสงครามอิรักรวม 2,500 ดอลลาร์ และเมื่อมาถึงปี 2010 เราจะต้องสนับสนุนสงครามกันอีกครอบครัวละเท่าใด เงินที่บอกว่ารัฐบาลทำ Tax break ให้กับเราทุกคนก็เสมือนหนึ่งคนอเมริกันถูกรัฐบาล”แหกตา”นั่นเอง<O:p></O:p>
    มีตัวเลขที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือปัญหาจากสงครามนิตยสาร Time เปิดเผยข้อมูลจากกองทัพบกพบว่าในปี 2004 ครอบครัวทหารมีการหย่าร้าง 10,477 ราย ต่อมาปี 2005 การหย่าร้างลดลงเหลือ 8,367 ราย ประเด็นก็คือการส่งคู่สมรสออกสงครามนานจะทำให้เกิดความกดดันจนถึงขั้นหย่าร้าง <O:p></O:p>
    เมื่อมาถึงปี 2010 จะมีการหย่าร้างกันไปอีกเท่าใด <O:p></O:p>
    สิ่งเหล่านี้เองที่นักศึกษาอเมริกันจะต้องศึกษาถึงเหตุแห่งทุกข์ นักศึกษาต้องเป็นผู้นำประท้วงสงครามเพราะสงครามคือเหตุแห่งทุกข์แถมยังเข้ามาทำลายทุกชีวิตในสังคมอเมริกันและสัง<O:p></O:p>
    คมคู่สงคราม คนที่ได้ประโยชน์จากการนี้คือพวกพ่อค้ายุทธปัจจัยทั้งมวล<O:p></O:p>....
    Apacnews.net
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนอิรักในสหรัฐและในแคลิฟอร์เนีย<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    อิรักเป็นประเทศอู่อารยธรรมในอดีตเรียกว่าอารยธรรม”เมโสโปเตเมีย” (<?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE>Mesopotamia</ST1:pLACE>)หรือประเทศที่อยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย อันประกอบด้วยแม่น้ำไทกริส(<ST1:pLACE>Tigris</ST1:pLACE>) และยูเฟรติส(<ST1:pLACE>Euphrates</ST1:pLACE>)ที่ไหลจากทางเหนือลงทางใต้ อิรักจึงมีความสามารถเพาะปลูกด้านเกษตรกรรมได้ดีอีกประเทศหนึ่งแม้ว่าจะล้อมรอบด้วยประเทศทะเลทรายก็ตาม <O:p></O:p>
    คนอิรักถูกระบุว่าเป็นคนผิวขาวกลุ่มอารยัน ไม่ใช่ผิวขาวแบบคอเคเชี่ยน คนไทยรู้จักกันในนามพวก”แขกขาว”<O:p></O:p>
    สหรัฐเปิดฉากบุกอิรักเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2003 เรียกว่า Operation Iraqi Freedom จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ถอนทหารออกมา มีการโค่นล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน ที่ระบุว่าได้ผลิตและซ่อนอาวุธร้ายแรงไว้ทำสงคราม แต่ก็ไม่พบอะไร จนซัดดัมถูกจับได้และถูกประหารชีวิต <O:p></O:p>
    องค์กรORB(An Opinion Research Business) สำรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2008 ประเมินว่าสงครามอิรักมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,033,000 คน (โดยวางไว้ที่ระหว่าง 946,000 ถึง 1,120,000 คน) เป็นทั้งพลเรือนและทหารจากทุกฝ่าย<O:p></O:p>
    สำหรับเงินที่ใช้ในการสงครามตกประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์(trillion) มาจากหลายประเทศ แต่หลักๆแล้วเป็นเงินจากภาษีอากรของคนอเมริกัน <O:p></O:p>
    ภายหลังสงครามทุกครั้งสงบลง เรามักจะได้ยินว่าสหรัฐซึ่งเข้าไปทำสงครามในประเทศนั้นประเทศนี้ต้องรับเอาผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาตั้งหลักปักฐานในสหรัฐ เป็นความรับผิดชอบของสังคมอเมริกันที่มีต่อคนหลายเชื้อชาติ ดังนั้นสหรัฐจึงรวมเอาผู้คนหลากหลายจากทั่วโลกมาอยู่รวมกัน ถือเป็นวัตรปฏิบัติตั้งแต่การเริ่มก่อตั้งประเทศ ที่มียุโรปชาติต่างๆอพยพกันเข้ามา <O:p></O:p>
    จึงไม่มีใครถือว่าเชื้อชาติของตัวเองยิ่งใหญ่กว่าชาติอื่น มีอยู่คำเดียวคือคำว่า”อเมริกัน” อันหมายถึงเสรีภาพและความเสมอภาคทางโอกาส การรังเกียจเหยียดผิวก็ยังมีอยู่แต่มักจะซ่อนตัว โดยเฉพาะคนผิวดำที่มีรากฐานมาจากการถูกนำตัวมาเป็น”ทาส”ยังได้รับการดูถูกมากทีเดียว<O:p></O:p>
    ฉบับนี้อยากจะกล่าวถึงชาวอิรักในสหรัฐ โดยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานไม่น้อยกว่าคนชาติอื่นๆ ในช่วงปีค.ศ. 1900-1905 ชาวอิรักกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาอยู่สหรัฐเป็นกลุ่มยิวอิรัก(Iraqi Jewish)พวกนี้นับถือศาสนายูดายใช้คัมภีร์ของเฮบบรู จากนั้นยิวอิรัก 20 ครอบครัวอพยพจากกรุงแบกแดดมาปักหลักที่นิวยอร์กช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ( ปี 1914-1918) เป็นการเพิ่มประชากรอิรักขึ้นมา คนอพยพเหล่านี้เข้าสู่ระบบการศึกษา นักธุรกิจก็ต้องการโอกาสทางธุรกิจ ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1939 มียิวอิรักอีก 70 ครอบครัวอพยพเข้ามาอยู่ในสหรัฐ <O:p></O:p>
    ผู้อพยพเหล่านี้กระจายมาจากฝั่งตะวันออกสู่ฝั่งตะวันตกของสหรัฐเริ่มในทศวรรษที่ 1920 ห้วงเวลานั้นมียิวอิรักประมาณ 15,000 คนกระจายอยู่ในรัฐนิวยอร์ก,นิวเจอร์ซี,คอนเนคติกัต,ฟลอริด้า,แมสซาชูเส็ทและแคลิฟอร์เนีย นอกจากนี้กระจายเป็นกลุ่มเล็กๆในรัฐอริโซนา,โคโลราโด้,อิลลินอยส์,แมรี่แลนด์,เนวาดา,นอร์ธ แคโรไลนา,โอไฮโอ้,เพนซิลเวเนียและเท็กซัส<O:p></O:p>
    การสำรวจประชากรปี 2000 พบว่าคนอเมริกัน(เกิดในสหรัฐ)ที่มีเชื้อสายอิรักมีประมาณ 37,714 คน ส่วนคนอิรักที่เกิดในอิรักมีอยู่ประมาณ 90,000 คน จากข้อมูลของสำนักงานพลเมืองและบริการคนเข้าเมือง(the Bureau of Citizenship and Immigration Services) พบว่าช่วงปี 1989-2001 มีคนเชื้อสายอิรักอพยพเข้ามาอยู่สหรัฐอีก 49,006 คน ในจำนวนนี้ 25,710 คนได้แปลงสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันระหว่างปี 1991-2001 <O:p></O:p>
    ภายหลังจากเกิดสงครามที่สหรัฐบุกเข้าโจมตีอิรัก ก็เกิดผู้ลี้ภัยอพยพ(refugees) เข้ามาอยู่ในสหรัฐอีกประมาณ 7,000 คน คนเหล่านี้อยู่มากที่สุดในรัฐมิชิแกน,แคลิฟอร์เนียและอิลลินอยส์ ส่วนเมืองที่คนอิรักอยู่มากหนาแน่นประกอบด้วย Detroit, Chicago และ San Diego อย่างไรก็ตามคนเชื้อสายอิรักในสหรัฐมีประมาณ 14 % ของผู้อพยพมาจาก <ST1:pLACE>Western Asia</ST1:pLACE> หรือที่เรารู้จักกันในนาม”โลกอาหรับ”นั่นเอง<O:p></O:p>
    ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแจ้งว่านับตั้งแต่เกิดสงครามในอิรักขึ้นมา สหรัฐได้รับเอาผู้ลี้ภัยอพยพจากอิรักเข้ามาอยู่ในสหรัฐแล้ว 13,000 คน โดยปี 2008 รับเข้ามา 1,600 คน บุคคลที่จะรับเข้ามาจะต้องตรวจสอบประวัติโดยละเอียดเพราะเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศด้วย เมื่อนับรวมการรับผู้อพยพอิรักเข้ามาอยู่ในสหรัฐในระยะเวลา 2 ปีถึงวันที่ 30 กันยายน 2009 อันเป็นวันสิ้นปีงบประมาณ คาดว่าจะมีผู้อพยพอิรักเข้ามาอยู่ในสหรัฐ 30,000 คน <O:p></O:p>
    มองมายังรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะนี้บริเวณที่เรียกว่า <ST1:pLACE>Inland Empire</ST1:pLACE> ของรัฐนี้ซึ่งรวมเอา <ST1:pLACE>Riverside</ST1:pLACE> และ <ST1:CITY><ST1:pLACE>San Bernardino</ST1:pLACE></ST1:CITY> เคาน์ตี้ไว้ด้วยกันนั้น จากข้อมูลของกรมบริการสังคม รัฐแคลิฟอร์เนียพบว่านับตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมามีผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาปักหลักในเขตนี้ 2,500 คน ในจำนวนนี้เวียดนามมีมากที่สุด 1,000 คน แต่เมื่อถึงปี 2008 มีผู้ลี้ภัยอพยพเข้ามาอยู่เพิ่มเติมอีก 150 ราย แยกเป็นคนเชื้อสายอิรัก 141 คนและเวียดนาม 9 คน นอกจากเขต Inland แล้วเมื่อปี 2008 ที่ซาน ดิเอโก้เคาน์ตี้มีผู้อพยพจากอิรักเข้ามาอยู่เพิ่มมากขึ้น<O:p></O:p>
    เมื่อผู้ลี้ภัยอพยพเดินทางมาอยู่ในสหรัฐ หากมีคนรู้จักเช่นญาติพี่น้องที่มาก่อน ก็จะส่งคนเหล่านี้ไปอยู่ใกล้กันเพื่อจะได้ช่วยเหลือเมื่อเข้ามาอยู่สังคมใหม่ แต่หากไม่รู้จักใครเลย กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ มีสำนักงานหนึ่งที่เรียกว่า Bureau of Population, Refugees and Migration ทำหน้าที่จัดหาสถานที่ให้พักพิง จัดสอนภาษาอังกฤษ,ให้ที่พักและอาหารตลอดจนจัดหางานให้<O:p></O:p>
    การพิจารณารับครอบครัวชาวอิรักจะเริ่มรับจากคนที่ช่วยเหลือกองกำลังสหรัฐที่รบอยู่ในสหรัฐก่อน ตามมาด้วยครอบครัวล่ามที่ช่วยแปลภาษาให้ทหารอเมริกัน และต่อมาคนเหล่านี้กลายเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูก”เก็บ”ในอิรัก จึงจำเป็นต้องอพยพออกจากอิรักเพื่อความปลอดภัย <O:p></O:p>....
    Apacnews.net
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพนตากอนตัดงบประมาณป้องกัน<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    บริษัทสหรัฐหาลูกค้าต่างชาติซื้ออาวุธ<O:p></O:p>
    การแสดงยุทโธปกรณ์ในงานปารีส แอร์โชว์ครั้งที่ 48 เริ่มวันที่ 15 มิถุนายน 2009 ไปตลอดทั้งสัปดาห์ที่สนามบินเมือง เลอ บูร์เกต์ ทางเหนือของปารีส ประเทศฝรั่งเศสนั้น บริษัทผู้ผลิตอาวุธสหรัฐจะนำเครื่องบินพาณิชย์,เครื่องบินรบขับไล่,ขีปนาวุธ,เครื่องยนต์,อากาศยานที่ไม่ต้องช้นักบินบังคับ(Pilotless drones)และอื่นๆออกแสดงเพื่อหาลูกค้า เป็นการพบปะกันระหว่างบริษัทผู้ผลิตกับบริษัทต่างๆตลอดจนทหารของประเทศจากทั่วโลกเพื่อตกลงซื้อขายอาวุธกัน<O:p></O:p>
    เราอาจสังสัยว่าทำไมสังคมอเมริกันตกอยู่ในความยากลำบากเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ภาคการเงิน,ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าในห้วง 8 ปีที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมสหรัฐใช้งบประมาณซื้ออาวุธเพิ่ม 40 % เพื่อนำไปทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย,สงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก รัฐบาลต้องตัดงบประมาณส่วนอื่นๆเช่นงบสาธารณสุข,งบการศึกษาและการพัฒนาสังคม ฯลฯ ลง คนอเมริกันไม่เคยเสียเงินค่าเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจในสวนสาธารณะปัจจุบันต้องเสียค่าเข้าไปพักผอ่น และสวนสาธารณะหลายแห่งต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีงบประมาณจ้างคนดูแลรักษาและรักษาความปลอดภัย<O:p></O:p>
    งบประมาณกระทรวงกลาโหม สหรัฐปี 2008ใช้ทั้งสิ้น 164,000 ล้านดอลลาร์เมื่อถึงงบปี 2010 จะถูกตัดลงเหลือ 131,000 ล้านดอลลาร์ งบประมาณที่ลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตอาวุธโดยตรง โดยปกติบริษัทอเมริกันจะผลิตอาวุธป้อนกระทรวงกลาโหมตั้งแต่กระสุนปืนยันเรือรบ เมืองไทยอาจบอกว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือบรบ การมอบหมายให้บริษัทอเมริกันผลิตเพราะเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ,การจ้างงานในประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน อยู่ในลักษณะ”อเมริกันซื้อ อเมริกันขาย อเมริกันเจริญ” <O:p></O:p>
    ล่าสุดบริษัท Boeing Co. และบริษัท Lockheed Martin Corp.กำลังเสนอขายเครื่องบินรบให้กับประเทศอินเดียและบราซิล นอกจากนี้โบอิ้งยังเสนอขายเครื่องบินขนส่งลำเลียง <O:p></O:p>
    C-17 ขณะเดียวกันประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศก็หวั่นเกรงการข่มขู่ของประเทศอิหร่านจึงมองหาอาวุธป้องกันตนเอง(missile defense)จึงเล็งมายังบริษัท Lockheed และ Raytheon <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE>Co.</ST1:pLACE> <O:p></O:p>
    ความจริงแล้วบริษัทอเมริกันมีประสบการณ์สูงในการขายอุปกรณ์ให้กับต่างประเทศ แต่ไม่ใช่เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ อาทิเช่นยอดขายของบริษัท Caterpillar และ General Electric มากกว่าครึ่งขายแก่บริษัทต่างชาติ<O:p></O:p>
    นโยบายของรัฐบาลอเมริกันปัจจุบันก็คือพยายามใช้อุปกรณ์การรบที่ไม่ต้องใช้คน(unmanned drones) ดังนั้นจึงจะลดการสั่งซื้อเครื่องบินรบเช่น F-22 ลำละ 140 ล้านดอลลาร์ถือว่าแพงเกินความจำเป็น เป็นเหตุให้บริษัทโบอิ้งซึ่งได้งบจากรัฐบาลถึง 80 % ของยอดขายทั้งหมดคงขายเครื่องบินไม่ได้มากอีกต่อไปเช่นเครื่องบินลำเลียง C-17 ลำละ 276 ล้านดอลลาร์ โบอิ้งต้องการขายให้กระทรวงกลาโหมปีละ 16 ลำเพื่อนำมาช่วยหลังจากต้องตัดลูกค้าต่างชาติลง เช่นโบอิ้งตัดยอดที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE)สั่งซื้อลง 4 ลำ<O:p></O:p>
    สำหรับเครื่อง F-22 กองทัพอากาศสหรัฐซื้อแล้ว 187 ลำก็คงระงับยอดที่เหลือ ขณะเดียวกันประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลียสนใจเครื่องบินรบนี้ แต่มีปัญหาเพราะกฎหมายรัฐบาลกลางห้ามจำหน่ายอาวุธที่จะข่มขู่ความมั่นคงของสหรัฐ <O:p></O:p>
    ข้อมูลจาก the Arms Control Association แห่งวอชิงตันรายงานว่าประเทศอิรักต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่จากบริษัทล็อคฮีด,ซื้อเฮลิคอปเตอร์จากโบอิ้งและรถถัง Abrams จากบริษัท General Dynamics Corp. เพื่อเสริมกำลังรบของตัวเอง ถือเป็นอันดับสองรองจากอิสราเอลที่ซื้ออาวุธจากสหรัฐ นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมยังรายงานต่อสภาคองเกรสว่าในปี 2008 สหรัฐวางแผนขายอาวุธมูลค่า 74.5 พันล้านดอลลาร์แก่ 25 ประเทศทั่วโลกหรือเพิ่มเกือบเท่าตัวเมื่อขายในปี 2007 ในจำนวนนี้อิรักคิดเป็น 18.7 พันล้านดอลลาร์<O:p></O:p>
    การซื้อขายอาวุธของสหรัฐมีขั้นตอนดังนี้บริษัทคอนแทรคเตอร์ของสหรัฐจะทำหน้าที่ติดต่อกับรัฐบาลต่างประเทศผ่านกระทรวงกลาโหมสหรัฐ จากนั้นสภาคองเกรสจะต้องเป็นผู้อนุมัติ การขายอาวุธยังขึ้นกับการเมืองและความขัดแย้งในภูมิภาคด้วย ตัวอย่างเช่นการขายเครื่องบินรบ F-16s แก่ปากีสถานต้องล่าช้าออกไปเพราะข้อแรกเกิดความขัดแย้งระหว่างปากีสถานกับอินเดีย ข้อสองปากีสถานพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาทำให้สหรัฐไม่พอใจเพราะขัดต่อความมั่นคงของโลก <O:p></O:p>
    ส่วนอินเดียติดต่อขอซื้อเครื่องบินรบจากบริษัทล็อคฮีดและโบอิ้ง หากทุกอย่างผ่านไปด้วยดีคิดเป็นเงิน 11 พันล้านดอลลาร์ เมื่อต้นปี 2009 อินเดียใช้เงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์ซื้อเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำจากโบอิ้งไปเรียบร้อยแล้ว<O:p></O:p>
    การค้าอาวุธของสหรัฐยังต้องพบกับคู่แข่งจากประเทศยุโรปอาทิเช่นบริษัท Saab,บริษัท European Aeronautic Defence and Space <ST1:pLACE>Co.</ST1:pLACE>, และ BAE Systems ตัวอย่างเช่นบริษัทล็อคฮีดพยายามที่จะขายเครื่องบินรบ F-35 รวม 5 ลำแต่ต้องแข่งกับเครื่อง Eurofighter ของยุโรป อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าสินค้าประเภทอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐจะกลายเป็นสินค้าออกหลักของประเทศ<O:p></O:p>
    นอกจากนี้การค้าอาวุธแบบลักลอบยังเกิดขึ้นจากทั่วโลกตัวอย่างเช่นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2009 หนังสือพิมพ์ภาษาอาราบิกชื่อ Al-Quds al-Arabiyeh รายงานว่าทหารอีจิปต์ได้ตรวจพบอาวุธต่างๆซ่อนอยู่ตามชายแดนอิสราเอลบริเวณคาบสมุทรไซนาย(the <ST1:pLACE>Sinai Peninsula</ST1:pLACE>)ประกอบด้วยจรวด 266 คัน,กับระเบิด 40 เครื่อง,กระสุนยิงระเบิด(mortar shells)50 ลูกและระเบิดมือ 20 ลูก,ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน 3 เครื่อง โดยไม่พบผู้ตองสงสัย<O:p></O:p>
    หนังสือพิมพ์เลบานอน Al-Mustakbal รายงานวันเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่อิจิปต์ได้จับกุมสมาชิกกลุมการ์ดปฏิวัติของอิหร่าน(<ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Iran</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION>'s Revolutionary Guard) 4 คนได้หลังจากลักลอบเข้าอีจิปต์ เป็นที่ทราบกันว่าอิหร่านได้สนับสนุนกลุ่ม Hezbollah เพื่อถล่มอิสราเอล ดังนั้นจึงเชื่อว่าโลกคงจะยังไม่สงบ ตราบใดที่ความขัดแย้งนำไปสู่การสังหารกันในคนระหว่างเชื้อชาติและสีผิว โดยมีประเทศมหาอำนาจเป็นผู้ผลิตอาวุธให้พวกเขาฆ่ากัน <O:p>....อ่านต่อ</O:p>
    งบประมาณการซื้ออาวุธ 15 ประเทศ<O:p></O:p>
    สถาบัน SIPRI (Stockholm International Peace Research Institute) ค้นคว้าและรวบรวมการใช้เงินงบประมาณของประเทศต่างๆ 15 ประเทศแรกเพื่อซื้ออาวุธในปี 2008 ตีพิมพ์ใน Military expenditure: SIPRI Yearbook 2008: Armaments, Disarmament and International Security (Oxford University Press: <ST1:CITY><ST1:pLACE>Oxford</ST1:pLACE></ST1:CITY>, 2008), ประกอบด้วยดังนี้<O:p></O:p>
    1.<ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>USA</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 607 พันล้านดอลลาร์คิดเป็น 41.5 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(GDP) <O:p></O:p>
    2 .China 84.9พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 5.8 % ของ GDP <O:p></O:p>
    3.<ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>France</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 65.7 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 4.5 % ของ GDP<O:p></O:p>
    4. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>UK</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 65.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 4.5 % ของ GDP <O:p></O:p>
    5. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Russia</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 58.6พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 4.0 % ของ GDP <O:p></O:p>
    6. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Germany</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 46.8 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 3.2 % ของ GDP <O:p></O:p>
    7. Japan 46.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 3.2 % ของ GDP <O:p></O:p>
    8. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Italy</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 40.6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 2.8 % ของ GDP <O:p></O:p>
    9. Saudi Arabiab 38.2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 2.6 % ของ GDP <O:p></O:p>
    10. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>India</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 30.0 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 2.1 % ของ GDP <O:p></O:p>
    11. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>South Korea</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 24.2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.7 % ของ GDP <O:p></O:p>
    12. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Brazil</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 23.3พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.6 % ของ GDP <O:p></O:p>
    13. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Canada</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 19.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.3 % ของ GDP <O:p></O:p>
    14. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Spain</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 19.2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.3 % ของ GDP <O:p></O:p>
    15. <ST1:COUNTRY-REGION><ST1:pLACE>Australia</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION> 18.4 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.3 % ของ GDP <O:p></O:p>
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันยาวนาน<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    บางธุรกิจยังจ้างงานสวนกระแส<O:p></O:p>
    ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย(Recession )เต็มรูปแบบ เริ่มจากการปิดโรงงานคนตกงาน,อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นทุกวัน คนว่างงานบางส่วนต้องไปเข้าแถวเพื่อรอรับอาหารแจก<O:p></O:p>
    กล่าวกันว่าภาวะเช่นนี้ยังไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่(the Great Depression)เหมือนช่วงทศวรรษ 1930 แต่เป็นระดับ”น้องๆ”และถือว่าถดถอยมากกว่าช่วงปี 1981-1982 ที่รอนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ<O:p></O:p>
    ระยะเวลาเศรษฐกิจถดถอยช่วงปี 1981-1982 และปี 1973-1975 นั้นแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 16 เดือนจึงจะเริ่มฟื้นตัว สมมติว่าเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้จะเริ่มฟื้นตัวในเดือนเมษายน 2010 ก็ ถือว่ายาวนานที่สุดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา<O:p></O:p>
    เมอร์เรย์ ไวด์เดนโบม ประธานที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจยุครอนัลด์ เรแกน ให้ความเห็นว่าการถดถอยของเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันมันกว้างและกินลึกมากกว่าปี 1982 เพราะทำให้ทุกคนเกิดความวิตกมากว่าและครั้งนี้อาจจะยาวนานกว่าที่ผ่านมา <O:p></O:p>
    ยุคเรแกนเศรษฐกิจถดถอยเริ่มจากกรกฎาคม 1981 สิ้นสุดตุลาคม 1982 โดยมีตัวเลขเปรียบเทียบดังนี้<O:p></O:p>
    เดือนมกราคม 2009 คนงานจากโรงงานถูกลอยแพ 207,000 คน ถือว่าว่างงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 1982 <O:p></O:p>
    ยอดขายรถยนต์ตกต่ำมากในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อเทียบกับยอดขายแต่ละเดือนแล้วถือว่าตกต่ำมากที่สุดในรอบ 27 ปี <O:p></O:p>
    การสร้างบ้านใหม่(เพื่อขาย)ถือว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ปี 1982 <O:p></O:p>
    ปัจจุบันมีผู้ว่างงานแล้ว 12.5 ล้านคน หรือมากกว่าการว่างงานปี 1982 <O:p></O:p>
    ในห้วงปี 1982 นายพอล โวลเกอร์ เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ(ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา)เพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อป้องกันอัตราเงินเฟ้อ <O:p></O:p>
    เขตอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือในเขตมิดเวสต์,เขตแปซิฟิก(ตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ)และกระจายไปยังรัฐทางใต้ของประเทศจะได้รับผลกระทบช่วงสุดท้าย<O:p></O:p>
    ที่รัฐมิชิแกนคนงานรถยนต์ตกงานมากที่สุด จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ในเขตนั้นประกาศหางานให้ฟรีในโฆษณาย่อย และเมื่อเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลงเมื่อตุลาคม 1982 ปรากฎว่าอัตราการว่างงานในสังคมอเมริกันมีตัวเลขอยู่ที่ 10.8 %<O:p></O:p>
    เมื่อรัฐบาลรายงานว่ามีอัตราว่างงาน 10.1 % ในเดือนกันยายน 1982 ปรากฎว่าแต่ละคนก็ต่างชี้หน้ากันว่าเป็นคนทำให้เกิดเศรษฐกิจวิกฤติ สหภาพแรงงานจัดเดินขบวนประท้วงตรงไปยังทำเนียบขาวและกระทรวงแรงงาน สภาหอการค้าสหรัฐตำหนิว่าเป็นเพราะพรรคเดโมแครต ในขณะที่พรรคเดโมแครตก็ชี้นิ้วไปยังประธานาธิบดีรอนัลด์ เรแกน <O:p></O:p>
    ปัจจุบันความรู้สึกของผู้คนออาจจะแตกต่างไปจากทศวรรษ 1980 เมื่อความหวังของผู้คนลดน้อยลง ,ราคาบ้านตกต่ำ,ตลาดหุ้นลดฮวบ และจะนำไปสู่การตกงาน,สูญเสียบ้านและแม้กระทั่งเงินเก็บสะสมไว้สำหรับการเกษียณอายุ <O:p></O:p>
    เมื่อดูจากตัวเลขโดยรวมแล้วพบว่าความเชื่อมั่นของผู้คนลดน้อยลง ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ(GDP)ติดลบอยู่ 6.2 % ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 และอัตราการว่างงานอยู่ที่ 8.1 % เมื่อเดือนกุมภาพันธ์และยังไม่ถึง 10.8 % เท่ากับเดือนกันยายน 1982 แต่ทุกวันนี้ถือว่าเศรษฐกิจถดถอยยังไม่สิ้นสุดลง และยังไม่มีใครทราบว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใดเพียงแต่คาดการณ์เอาเท่านั้นว่าน่าจะประมาณ 2 ปี<O:p></O:p>
    อย่างไรก็ตามแม้ว่าธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆจะลอยแพคนงาน อาทิเช่นภาคก่อสร้างคนตกงาน 110,000 รายในเดือนมกราคม 2009 ส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้มีคนว่างงานเกิน 1 ล้านคนตั้งแต่ต้นปี 2007<O:p></O:p>
    โรงงานมีคนว่างงาน 207,000 ตำแหน่ง ธุรกิจการค้าปลีกตกงาน 45,000 คน คนงานทำงานในแวร์เฮาส์ตกงาน 44,000 คนและคนงานประเภทชั่วคราวตกงาน 80,000 ตำแหน่ง ธุรกิจการเงินลอยแพคนงาน 42,000 คน <O:p></O:p>
    The Options Group ซึ่งเป็นบริษัทจัดหาเจ้าหน้าที่แก่วอลสตรีทประเมินเมื่อวันที่ 10 มีนาคมว่ากองทุนรวมหรือ Hedge fund เชื่อว่าพนักงานในกองทุนจะถูกลดอีกประมาณ 20,000 ตำแหน่งในปี 2009 หลังจากธุรกิจต่างๆมีการรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอด เมื่อธุรกิจรวมตัวกนก็จะต้องปลดพนักงานบางส่วนออกไป พื้นที่ซึ่งพนักงานเหล่านี้จะถูกปลดออกมากที่สุดประกอบด้วยนิวยอร์ก,ลอนดอนตามด้วยฮ่องกงและโตเกียว ธุรกิจกองทุนรวมเมื่อปี 2007 มีพนักงานทั้งสิ้น 155,000 ราย <O:p></O:p>
    นับตั้งแต่ฤดูร้อนของปี 2007 เป็นต้นมาพนักงานในธุรกิจธนาคาร,สถาบันการเงินและโบรคเกอร์ถูกลอยแพไปแล้วประมาณ 300,000 คนทั่วโลก<O:p></O:p>
    เมื่อนับรวมระหว่างเดือนตุลาคม 2008 ถึงมกราคม 2009 ปรากฎว่าถูกลอยแพไปกว่า 2 ล้านคน แต่ในห้วงเดียวกันนี้ก็ยังมีธุรกิจบางประเภทจ้างงานเพิ่มขึ้นประกอบด้วยภาคสาธารณสุขและการแพทย์เพิ่ม 19,000 คน และภาคการศึกษามีการจ้างงานเพิ่ม 33,000 ตำแหน่ง <O:p></O:p>....

    Apacnews.net
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ศีลธรรมนักเรียนอเมริกันตกต่ำลง<o:p></o:p>
    พบทั้งโกหก,ลักขโมย,โกงข้อสอบ<o:p></o:p>
    เมื่อพูดถึงศีลธรรมของแต่ละสังคม ชุมชน มักจะเกิดปัญหาตามมาเพราะผู้คนมีมาตรฐานทางศีลธรรมไม่เท่ากัน แม้ว่าจะเรียนวิชาศีลธรรมมาเหมือนกัน เข้าวัดและโบสถ์เดียวกันก็ตาม
    คราวนี้ก็มาถึงการสำรวจศีลธรรมของนักเรียนระดับไฮสคูลอเมริกัน โดยสถาบันโจเซฟสัน(The Josephson Institute)ที่มีสำนักงานอยู่ในแอล.เอ.<o:p></o:p>
    สถาบันแห่งนี้สำรวจนักเรียนไฮสคูล 29,760 รายโดยเลือกสุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน 100 โรงกระจายไปทั่วสหรัฐ ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน แบบสอบถามจะแจกโดยตรงในห้องเรียน<o:p></o:p>
    นายไมเคิล โจเซฟสัน ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานสถาบันเปิดเผยว่าเขาตกใจมากเมื่อพบว่ามีการลักขโมยเกิดขึ้น การสำรวจพบว่าเด็กชาย 35 % เด็กหญิง 26 % หรือโดยรวมแล้วประมาณ 30 % บอกว่าได้ขโมยของตามร้านค้าต่างๆเมื่อปี 2007 <o:p></o:p>
    ในจำนวนนี้ 1 ใน 5 ยอมรับว่าขโมยสิ่งของจากเพื่อนและอีก 23 % ขโมยบางอย่างจากพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของตัวเอง<o:p></o:p>
    นายโจเฟซสันตั้งคำถามว่า ค่าของสังคมคืออะไร ? นี่ไม่ต้องกล่าวถึงคนรุ่นถัดไปที่จะไปเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ? หากเรามองกลับไปถึงพวกเขา เขาอาจจะตอบว่า”ทำไมจะไม่ทำล่ะ ในเมื่อคนอื่นก็ทำกัน” <o:p></o:p>
    การสำรวจยังพบว่า<o:p></o:p>
    การฉ้อฉลต่อโรงเรียนเริ่มแย่มากๆ ในจำนวนนี้นักเรียน 64 % มีการโกงข้อสอบกันในปีที่แล้ว ส่วน 38 % ตอบว่าได้โกงข้อสอบสองหรือสามครั้ง เมื่อเทียบกับปี 2006 แล้วพบว่าการฉ้อโกงเพิ่มขึ้น 60 % และ 35 % ตามลำดับ<o:p></o:p>
    ในจำนวนนี้ 36 % ได้ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเลียนข้อความหรือข้อเขียนของคนอื่น(plagiarize)ให้ดูประหนึ่งว่าเป็นข้อเขียนของตน เพิ่มจาก 33 % ที่สำรวจในปี 2004 นอกจากนี้พบว่า 42 % โกหกว่าได้ประหยัดเงิน ซึ่งแบ่งเป็นเด็กชาย 49 % เป็นหญิง 36 % <o:p></o:p>
    เมื่อถามถึงเรื่องจริยธรรม หลังจากตอบคำถามข้างต้นแล้ว 93 % ของนักเรียนเหล่านี้ตอบว่าพวกเขาพึงพอใจกับจริยธรรมและประพฤติที่ได้กระทำ ในจำนวนนี้ 77 % บอกว่า”เมื่อไรก็ตามที่คิดว่าอะไรถูก ,ฉันจะทำได้ดีกว่าคนอื่นๆที่ฉันรู้จัก”<o:p></o:p>
    คราวนี้ลองมาฟังคำพูดของนิจมี ซูริงโก้(Nijmie Dzurinko)อายุ 37 ปีเป็นผู้อำนวยการของthe <st1:city><st1:place>Philadelphia</st1:place></st1:city> Student Union กล่าวว่าผลสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนความเห็นทั้งหมดโดยเฉพาะเด็กนักเรียนในเขตยากจนที่เรียกว่า the inner-city <o:p></o:p>
    “หลายคนมักจะมองว่าปัญหาของสังคมมาจากคนหนุ่มสาว แต่พวกเขาก็ลืมไปว่าในการตัดสินใจของสังคมนั้นไม่ได้มาจากเด็กเหล่านี้ พวกเขาจึงกลายเป็นแพะรับบาปไป”ซูริงโก้กล่าว ซึ่ง<o:p></o:p>
    องค์กรที่เธอทำหน้าที่อยู่นี้เป็นตัวแทนเพื่อช่วยเหลือเด็กในเขตยากจนโดยเฉพาะการหาทุนให้โรงเรียน<o:p></o:p>
    ขณะที่นายปีเตอร์ แอนเดอร์สัน อาจารย์ใหญ่โรงเรียนแอนโดเวอร์ ไฮสคูล เมือง <st1:city><st1:place>Andover</st1:place></st1:city> รัฐแมสซาชูเส็ทท์ให้ความเห็นว่าเขาและคณะครูเห็นว่าเด็กนักเรียนโกงข้อสอบหรือลอกเลียนน้อย ส่วนใหญ่เด็กจะร่วมกันทำการบ้าน<o:p></o:p>
    เด็กส่วนใหญ่จะยุ่งอยู่กับกิจกรรมหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการกีฬา,งานสโมสรบางคนอาจจะไปหางานพาร์ตไทม์ทำและนักเรียนปีสุดท้ายมักจะวุ่นอยู่กับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมมากกว่าชั้นเรียนอื่นๆ<o:p></o:p>
    ปัญหาของแต่ละส่วนอาจแตกต่างกันไปที่<st1:place>Long Island</st1:place> ได้มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียนและประธานวิทยาลัยเพื่อรณรงค์ให้นักศึกาาทุกคนได้เห็นเกียรติภูมิของด้านการศึกษาและพยายามลดการฉ้อโกงและการลอกเลียนข้อเขียนให้หมดไป โดยเน้นไปที่โรงเรียนและผู้ปกครองให้ช่วยกันสอดส่อง<o:p></o:p>
    กลับไปหานายโจเซฟสันเขาให้ความเห็นว่าแนวโน้มเรื่องจริยธรรมของนักเรียนเริ่มมีปัญหาและจะส่งผลถึงสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย “ผู้ใหญ่ไม่ได้มองปัยหานี้อย่างเอาจริงเอาจัง ทางโรงเรียนก็ไม่ได้มองหนักขึ้นไปอีก...พวกเขาไม่อยากรับรู้ นี่คือปัญหา” <o:p></o:p>
    นายโจเซฟสันกล่าวว่าการสำรวจครั้งนี้ทำให้เห็นปัญหาพื้นฐานทางด้านจริยธรรม จำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน และขอให้มองในแง่บวกเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้<o:p></o:p>....
    Apacnews.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทุกคนต้องการเงินแต่ความโลภ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    จากเงินคือรากเหง้าของความชั่วร้าย <O:p></O:p>
    บางคนให้คำนิยามว่า”เงิน”คือรากเหง้าแห่งความชั่วร้าย(Money is the root of evil )แต่มีบางคนแย้งว่าความรัก(โลภ)เงินคือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งมวล(For the love of money is the root of all kinds of evil) สรุปก็คือเงินทำให้คนกลายเป็นคนชั่วร้ายได้<O:p></O:p>
    หลังเกิดวิกฤติทางการเงินของโลก เราก็จะได้พบกับข่าวความรุนแรงเกิดขึ้นไปทั่ว <O:p></O:p>
    คาร์ลีน บัลเดอร์รามา(Carlene Balderrama)แม่บ้านวัย 52 ปีชาวแมสซาชูเส็ทท์ เก็บปัญหาวิกฤติการเงินของครอบครัวไว้หนักบ่า สามีก็ไม่รู้ เธอเขียนจดหมายถึงบริษัทเงินกู้พร้อมกับคำเตือนว่า<O:p></O:p>
    ”เมื่อคุณยึดบ้านของฉัน,ฉันก็คงตายแล้ว” จากนั้นเธอก็ยิงตัวตายทิ้งโน๊ตไว้บนโต๊ะพร้อมกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้ด้วยเพื่อให้สามีนำประกันชีวิตไปจ่ายค่าบ้านแทน<O:p></O:p>
    จากวิกฤติการเงินครั้งนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทั่วสหรัฐให้ความสนใจ เพราะความรุนแรงเริ่มเพิ่มขึ้น องค์กรต่างๆได้กระตุ้นให้ทุกคนขอความช่วยเหลือ บางแห่งโทรศัพท์สายตรงด้านสุขภาพจิตมีคนโทร.ไปมากจนโทร.ไม่ติด สถานให้คำปรึกษามีคนขอคำปรึกษามากและสถานที่พักพิง(shelter)เพราะความรุนแรงในครอบครัวก็เต็มเพราะถูกนำไปอาศัยอยู่มากขึ้น<O:p></O:p>
    ท่านสาธุคุณแคนนอน แอนน์ มาโลนี แห่ง <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE><ST1:pLACENAME>Trinity</ST1:pLACENAME> <ST1:pLACETYPE>Church</ST1:pLACETYPE></ST1:pLACE> ในนิวยอร์กยอมรับว่า วิกฤติครั้งนี้ทำให้ทุกคนหวนไปคิดถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่ทุกคนสิ้นหวังหดหู่ ทางด้าน The Samaritans of New York ได้รับโทรศัพท์ป้องกันการฆ่าตัวตายเพิ่ม 16 % ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาทางการเงิน เหตุเพราะนิวยอร์กคือศูนย์กลางทางการเงินใหญ่ของโลก<O:p></O:p>
    เวอร์จิเนีย เซอร์วิซิโอ ผู้อำนวยฝ่ายป้องกันการอัตวินิบาตกรรม(ฆ่าตัวตาย)ของลี เคาน์ตี้ รัฐฟลอริด้าเปิดเผยว่าปีนี้ที่ไมอามี่มีผู้โทร.เข้ามาขอคำปรึกษากว่า 500 รายเกี่ยวกับบ้านถูกยึด “ที่โทร.เข้ามาเขาบอกว่าเขาสูญเสียทุกอย่าง เสียบ้าน บางรายบอกว่าบ้านกำลังจะถูกยึด หลายรายบอกว่าตกงาน”<O:p></O:p>
    คราวนี้มาดูข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนอเมริกัน<O:p></O:p>
    ที่ลอส แอนเจลิสสัปดาห์ที่ผ่านมา นายคาร์ธิก ราชาราม(Karthik Rajaram)อายุ 45 ปี เคยทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีของบริษัท Sony Pictures และยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง ต่อมาเขาตกงานอยู่หลายเดือน ทางเลือกของเขาคือฆ่าตัวตายและฆ่าคนทั้งครอบครัวเพื่อหลีกหนีปัญหาทั้งมวล เป็นโน๊ตย่อๆที่ทิ้งไว้ให้ตำรวจ<O:p></O:p>
    หลังจากได้รับจดหมายดังกล่าวตำรวจเร่งรัดไปยังองค์กรป้องกันการฆ่าตัวตายในแอล.เอ.ให้หาวิธีช่วยและป้องกันเพราะเกรงว่าจะเกิดปรากฎการณ์เอาอย่าง ( the copycat phenomenon)มากขึ้น<O:p></O:p>
    ที่เทนเนสซี่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แพมเมลา รอสส์ อายุ 57 ปี และสามีของเธอกำลังต่อสู้เพื่อป้องกันบ้านถูกยึด ต่อมาเจ้าหน้าที่เชอร์รีฟนำหมายขับไล่(evict)มายังบ้าน ระหว่างนั้นเธอใช้ปืนยิงใส่หน้าอกตัวเองถึงกับเสียชีวิต แต่เศร้าไปกว่านั้นพบว่าเธอและสามียังมีเวลาอีก 10 วันที่ศาลอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์<O:p></O:p>
    เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่อาครอน รัฐโอไฮโอ สตรีวัย 90 ปียิงตัวเองแต่ไม่ตาย เป็นเหตุให้บริษัทเงินกู้ Fannie Mae ระงับการยึดบ้านของคุณย่าคนนี้พร้อมทั้งยกเรื่องเงินกู้ให้เพื่อให้เธออยู่บ้านหลังนี้ที่เคยอยู่มา 38 ปีต่อไป <O:p></O:p>
    ที่เมือง <ST1:CITY><ST1:pLACE>Ocala</ST1:pLACE></ST1:CITY> รัฐฟลอริด้านายโรแลนด์ กอร์(Roland Gore)ยิงภรรยาและสุนัขของตัวเองและจากนั้นก็จุดไฟเผาบ้านที่กำลังจะถูกยึดก่อนจะฆ่าตัวตาย กรณีเช่นนี้เป็นหนึ่งในหลายๆกรณีที่คนมักจะสังหารคู่สมรสหรือสัตว์ของตัวเอง ก่อนที่จะจุดไฟเผาบ้าน,ทำร้ายตำรวจแล้วฆ่าตัวตาย <O:p></O:p>
    คริสเต็น แรนด์ ผู้อำนวยการองค์กร <ST1:pLACE><ST1:pLACENAME>Violence</ST1:pLACENAME> <ST1:pLACENAME>Policy</ST1:pLACENAME> <ST1:pLACETYPE>Center</ST1:pLACETYPE></ST1:pLACE> แห่งวอชิงตันดี.ซี.ให้ความเห็นว่าความกดดันทางการเงินคือจุดที่ทำให้คนคิดว่าตัวเองไม่อาจก้าวต่อไปได้ ดังนั้นครอบครัวสมควรตายมากกว่าที่จะอยู่โดยไม่มีเงินใดๆสนับสนุน<O:p></O:p>
    นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด ชาร์เลสเวิร์ธ จิตแพทย์แห่งฮิวสตันให้ความเห็นว่าวิกฤติในปัจุบันทำให้คนตื่นตระหนกและคิดว่าไม่มีใครช่วยเขาได้ โดยเฉพาะรัฐบาลที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะอยู่ในสังคมที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาไม่ได้รับการปกป้องทางการเงินเท่าบรรดาบริษัทใหญ่ๆ<O:p></O:p>
    แม้ว่าจะไม่มีสถิติตัวเลขแน่ชัดว่าการฆ่าตัวตายเกิดจากวิกฤติการเงินในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา แต่จากประวัติศาสตร์ การฆ่าตัวตายจะมีมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจตกอยู่ในขั้นวิกฤติ และวิกฤติการเงินในปัจจุบันถือว่าเลวร้ายมากนับตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐ(the Great Depression)เป็นต้นมา คือเศรษฐกิจตกต่ำเริ่มในปีค.ศ.1929 <O:p></O:p>
    หัวใจของปัญหาใหญ่ปัจจุบันก็คือบ้านถูกยึดเพิ่มขึ้น ราคาบ้านตกลง ตัวเลขเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2008 ของสมาคมอสังหาริมทรัพย์(Mortgage Bankers Association)พบว่าคนอเมริกันกว่า 4 ล้านคนผ่อนบ้านล่าช้า 1 เดือน <O:p></O:p>
    นอกจากนี้ยังพบว่าคนอเมริกัน 5 แสนรายกำลังเข้าสู่ขั้นตอนของบ้านถูกยึด แนวโน้มเช่นนี้จะเกิดขึ้นไปถึงปีหน้า แม้ว่ารัฐบาลจะเริ่มใช้โครงการยืดหยุ่นในการให้กู้เงินรีไฟแนนซ์ก็ตาม<O:p></O:p>
    มีข่าวเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมว่าไม่เฉพาะสังคมอเมริกันเท่านั้นที่อียิปต์ชายรายหนึ่งอายุ 56 ปีผูกคอตายในบ้านที่กรุงไคโร เหตุเพราะสูญเงินที่สะสมไว้จำนวนมากไปกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่ดิ่งเหว <O:p></O:p>
    ทั้งนี้เขาเก็บออมเงินเมื่อครั้งไปทำงานในคูเวต ก่อนกลับมาใช้ชีวิตในอียิปต์และลงทุนในตลาดหุ้น ต่อมามูลค่าหลักทรัพย์หายไปกว่าครึ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ลูกๆของเขาให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าพ่อของเขาเคยขู่ฆ่าตัวตายหลายครั้งเพราะมีปัญหาทางการเงิน<O:p></O:p>
    มาถึงตรงนี้เราก็พบว่าเงินมีไว้เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นคน มีไว้ใช้ในความจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิต ไม่ได้มีไว้เพื่อ”เพิ่มเงิน”ขึ้นไปอีก เมื่อสังคมโดยรวมอยู่ไม่ได้ คนมีเงินมากๆก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจงใช้เงินด้วยการเป็น”นาย”ของมัน อย่าทำให้มันเป็น”นาย”ของเรา<O:p></O:p>
    ข้อสำคัญกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษดากร บิดหาแห่งเกษตรกรรมยุคใหม่ของไทยเคยตรัสอย่างตกผลึกไว้ว่า “เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” หรือนัยหนึ่งเงินทองนั้นหากไม่ตายก็หามาใหม่ได้
    Apacnews.net
     
  15. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    น่าสงสารคนอเมริกันจังค่ะ เพราะเขาไม่เคยลำบาก ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาตลอด พอตกต่ำเลย "จมไม่ลง" ทำใจไม่ได้ ต้องฆ่าตัวตาย หนีปัญหา
    บ้านเราถ้าหมดตัว ก็แค่กลับบ้านนอก มาทำไร่ไถนา ยังมีพ่อแม่พี่น้องให้พึ่งพา มีนามีไร่ให้ทำกิน (คิดว่าคนส่วนมากยังมีญาติพี่น้องอยู่ ตจว ใช่ไม๊คะ ส่วนน้อยที่ไร้ญาติ หรือเครือญาติอยู่กรุงเทพที่เดียว)
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]รายได้ผู้บริหาร[/FONT][FONT=&quot]Wall Street[/FONT][FONT=&quot] 3 พันล้าน[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ก่อนเกิดวิกฤติ[/FONT][FONT=&quot] Investment-banking[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงินในวอลสตรีทครั้งนี้มีการตรวจสอบรายได้ของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเพื่อการลงทุนในห้วงปี 2003-2007 พบว่าพวกเขามีรายได้รวมกันกว่า 3 พันล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]บริษัท[/FONT][FONT=&quot]Merrill Lynch & Co. [/FONT][FONT=&quot]จ่ายให้กับนายสแตนลีย โอนีล([/FONT][FONT=&quot]CEO)ของบริษัท 172 ล้านดอลลาร์ และ[/FONT][FONT=&quot] John Thain [/FONT][FONT=&quot]86 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 15 กันยายนธนาคารแห่งอเมริกาก็ซื้อบริษัทนี้ด้วยเงิน 50 พันล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] บริษัท[/FONT][FONT=&quot] Bear Stearns Cos.[/FONT][FONT=&quot] นายเจมส์(จิมมี่)เคย์น ทำรายได้ 161 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่บริษัทจะพังทลายจากนั้นก็ขายให้กับบริษัทเจพี มอร์แกน เชส เมื่อเดือนมิถุนายน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นายพอล เฮนรี รมว.คลังสหรัฐก่อนที่จะมารับตำแหน่งก็เป็น[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]CEO[/FONT][FONT=&quot] ของบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Goldman Sachs Group Inc.[/FONT][FONT=&quot] รับเงินรายได้ระหว่าง 2003-2006 รวม 111 ล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ในปี 2007 พนักงาน 5 บริษัทประกอบด้วย [/FONT][FONT=&quot]Goldman, Morgan Stanley, Merrill, Lehman Brothers Holdings Inc. [/FONT][FONT=&quot]และ [/FONT][FONT=&quot]Bear Stearns [/FONT][FONT=&quot]รวม[/FONT][FONT=&quot] 185,687 [/FONT][FONT=&quot]คนได้รับค่าจ้างรวม 66 พันล้านดอลลาร์และโบนัสอีกรวม 39 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ยแล้วพนักงานจะได้รับรายได้ต่อคนปีละ 353,089 ดอลลาร์และโบนัสอีกปีละ 211,849 ดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้ง 5 บริษัทมีรายได้สุทธิรวมกัน 93 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีระหว่างปี 2003- 2007 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อพิจารณาจากปี 2003-2007 [/FONT][FONT=&quot]CEO [/FONT][FONT=&quot] ของ[/FONT][FONT=&quot] 5 บริษัทได้รายได้รวม 3.1 พันล้านดอลลาร์ โดยแยกให้เห็นดังนี้ [/FONT][FONT=&quot] Goldman Sachs [/FONT][FONT=&quot]จ่าย 859 ล้านดอลลาร์ ตามด้วย[/FONT][FONT=&quot] Bear Stearns [/FONT][FONT=&quot]จ่าย 609 ล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot]CEO [/FONT][FONT=&quot]ของทั้ง 5 บริษัทได้รับรายได้เพิ่มเป็นสองเท่าทุกปี [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]รายได้เหล่านี้รวมถึงเงินเดือน,โบนัส,หุ้นและ[/FONT][FONT=&quot] stock options[/FONT][FONT=&quot] ซึ่ง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]options[/FONT][FONT=&quot] ที่ว่านี้จะมีราคาน้อยกว่าราคาปกติ 3 เท่าตัวเมื่อหุ้นนั้นผู้บริหารได้รับ จะได้รับประโยชน์เมื่อลาออกจากบริษัทด้วยการขายหุ้นเหล่านี้ออกไป ทั้งนี้แต่ละบริษัทจะมีวิธีการแตกต่างกันไปเรื่องการวัดมูลค่าของบริษัท ทำให้มูลค่าหุ้นแตกต่างกันไป[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] กล่าวกันว่าบริษัทใน[/FONT][FONT=&quot]Wall Street[/FONT][FONT=&quot] ได้รับหุ้นของบริษัทดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นใดถึง 50 % [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] คราวนี้หันมามองเมื่อ[/FONT][FONT=&quot]Lehman Brothers[/FONT][FONT=&quot] ยื่นล้มละลายนั้นเพราะเป็นหนี้อยู่ 613 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียวกันคือวันที่ 15 กันยายนบริษัท [/FONT][FONT=&quot]Merrill Lynch[/FONT][FONT=&quot] ขายให้กับธนาคารอเมริกาตกหุ้นละ 29 ดอลลาร์หรือต่ำถึง 70 % เมื่อเทียบกับราคาหุ้นสูงสุดของบริษัทราคา 97.53 ดอลลาร์ ณ วันที่ 24 มกราคม 2007[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] บริษัท[/FONT][FONT=&quot]Goldman [/FONT][FONT=&quot]และ [/FONT][FONT=&quot]Morgan Stanley[/FONT][FONT=&quot] ถูกเปลี่ยนจากธนาคารเพื่อการลงทุนมาเป็นบริษัทธนาคาร([/FONT][FONT=&quot]bank holding companies[/FONT][FONT=&quot])เพื่อจะได้เปิดธนาคารพาณิชย์สาขารับฝากเงินได้และยังเข้าไปกู้เงินธนาคารกลางได้แบบถาวรนั้น ปรากฎว่า [/FONT][FONT=&quot]Lloyd Blankfein[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]CEO ของ [/FONT][FONT=&quot]Goldman [/FONT][FONT=&quot] มีรายได้ 57.6 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 เป็นทั้งเงินเดือน,โบนัสและ [/FONT][FONT=&quot]options [/FONT][FONT=&quot] ส่วนประธานบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Goldman[/FONT][FONT=&quot] 2 คนคือแกรี่ โคห์น และ จอน วินเคิลรีด ได้รับคนละ 56 ล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ทางด้านบริษัท [/FONT][FONT=&quot]Morgan Stanley[/FONT][FONT=&quot] ทั้ง [/FONT][FONT=&quot]CEO เดิมและคนปัจจุบันคือจอห์น แมคและฟิลิป เพอร์เซลล์ ได้รับรวมกัน 194 ล้านดอลลาร์ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] เรื่องนี้ [/FONT][FONT=&quot]Ann Woolner[/FONT][FONT=&quot] นักเขียนของสำนักข่าวบลูมเบิร์กเธอเขียนด้วยความโกรธว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของความตะกละและการตัดสินใจอันผิดพลาดของผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจ สหรัฐต้องหลอมละลาย [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] คนอเมริกันจะต้องสูญเสียเงินเกษียณ,เงินดาวน์บ้านหลังแรก,เงินค่าเล่าเรียนคอลเลจของลูกแม้กระทั่งค่าทำความร้อนในฤดูหนาว แสดงให้เห็นว่าเราเปิดหน้าต่างของเราแล้วโยนเงินสดทิ้งไป[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] แต่สำหรับผู้บริหารบริษัทเหล่านี้กลับเดินหนีจากปัญหาอย่างสะดวกดายโดยมีเงินติดกระเป๋าไปคนละหลายร้อยล้านดอลลาร์ โดยปล่อยให้พวกเราต้องสูญเสียอนาคตและอนาคตของลูกๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] สแตนลีย์ โอนีล รับไป 161 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 หลังจากที่เขาพ้นตำแหน่งจาก[/FONT][FONT=&quot] Merrill Lynch & [/FONT][FONT=&quot]Co.[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ขณะที่[/FONT][FONT=&quot] Angelo Mozilo[/FONT][FONT=&quot] ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารระดับสูงบริษัท[/FONT][FONT=&quot] Countrywide Financial Corp.,[/FONT][FONT=&quot]ออกจากตำแหน่งด้วยเงินติดกระเป๋า 122 ล้านดอลลาร์ และรอเบิร์ต วิลลัมสแตด ซีอีโอบริษัท [/FONT][FONT=&quot]American International Group Inc., [/FONT][FONT=&quot]รับไป 7 ล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นาย[/FONT][FONT=&quot] Richard Fuld[/FONT][FONT=&quot] ถือหุ้นในบริษัท[/FONT][FONT=&quot]Lehman Brothers Holdings Inc.[/FONT][FONT=&quot] มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ แต่เขายังขายออกไปได้ 490 ล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Ann Woolner[/FONT][FONT=&quot] เสนอทางออกที่จะจัดการปัญหานี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] การ ยื่นฟ้องข้อหาอาชญากรรมเพื่อให้คนพวกนี้ติดคุกจากนั้นรัฐบาลเข้ายึดบัญชี เงินฝากในธนาคาร,เงินลงทุน,คฤหาสน์,เครื่องบินส่วนตัวรวมถึงเรือยัทช์ที่พวก เขามีอยู่ เธอให้เหตุผลว่าควรทำแบบผู้บริหารของบริษัท [/FONT][FONT=&quot]Enron [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] WorldCom [/FONT][FONT=&quot]ที่ต้องคดีอาชญากรรม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนี้ให้ยื่นฟ้องแพ่งกับบรรดากรรมการ([/FONT][FONT=&quot]Directors [/FONT][FONT=&quot])ของบริษัท[/FONT][FONT=&quot] ตัวอย่างเช่นผู้ถือหุ้นบริษัท[/FONT][FONT=&quot]WorldCom [/FONT][FONT=&quot]ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 18 ล้านดอลลาร์จากบรรดากรรมการบริษัทและอีก 36 ล้านดอลลาร์จากกรณีที่บริษัทได้ซื้อประกันไว้ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ประเด็นต่อมาเธอเสนอให้ทบทวนกฎเกณฑ์การควบคุมโดยเฉพาะคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ([/FONT][FONT=&quot]The U.S. Securities and Exchange Commission[/FONT][FONT=&quot])เธอเห็นว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อป้องกันการหลอมละลายของสถาบันการเงินเหล่านี้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]...
    Apacnews.net

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]วิกฤติกำลังลุกลามถึงธนาคาร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]รวมทั้งบริษัทปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์[/FONT]
    [FONT=&quot] ภายหลังจากวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐผ่านไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว คงจำได้ว่าในทศวรรษ 1990 สถาบันการเงินประเภท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Savings-and-loan[/FONT][FONT=&quot] พังลงรัฐบาลต้องนำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าไปช่วยเป็นเงิน 150,000 ล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ขณะนี้วิกฤตดังกล่าวกำลังกลับมาสังคมอเมริกันอีก เริ่มจากปัญหาเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยค่าหรือ [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] mortgages[/FONT][FONT=&quot] ที่ปล่อยให้คนเครดิตไม่ดีหรือรายได้น้อยซื้อบ้าน เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นคนเหล่านี้ไม่มีเงินผ่อนพอ นำไปสู่การยึดบ้านและวิกฤตนี้ก็ลามเข้ามายังสถาบันการเงินหรือบริษัทปล่อย เงินกู้เพื่ออสังหาริมทรัพย์เหล่านี้เรียกว่าเป็น[/FONT][FONT=&quot]”ลูกโซ่”[/FONT]
    [FONT=&quot] แน่นอนมันกระเทือนเป็นวงกว้างไปยังระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จะเห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลอเมริกันดังนี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมนายเฮนรี่ พอล รมว.คลังสหรัฐกำลังทำเรื่องเพื่อขออนุมัติจากสภาคองเกรสเพื่อกระทรวงการคลัง จะได้นำเงินไปซื้อหุ้น(เป็นการชั่วคราว)ของบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Fannie Mae [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] Freddie Mac นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ[/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]the Federal Reserve[/FONT][FONT=&quot])จะให้ทั้งสองบริษัทยืมเงินรวมทั้งเพิ่มเครดิต([/FONT][FONT=&quot]line of credit[/FONT][FONT=&quot])อีกด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]Fannie Mae [/FONT][FONT=&quot]และ [/FONT][FONT=&quot]Freddie Mac[/FONT][FONT=&quot] เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินขึ้นมา ขอให้ทราบว่า 2 บริษัทนี้เป็นเหมือนวิสาหกิจของรัฐ([/FONT][FONT=&quot]government-sponsored enterprises[/FONT][FONT=&quot])ซึ่งสภาคองเกรสออกกฎหมายขึ้นมารองรับในปี 1938[/FONT][FONT=&quot](Fannie) [/FONT][FONT=&quot]และปี [/FONT][FONT=&quot]1970 (Freddie) [/FONT][FONT=&quot]เพื่อนำมาช่วยให้ประชาชนซื้ออสังหาริมทรัพย์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]บริษัทใหญ่ทั้งสองดำเนินการด้านอสังหาริมทรัพย์ดังนี้ ซื้อเงินปล่อยกู้จากธนาคาร,นำมารวมกันให้เป็นพันธบัตร,นำออกจำหน่ายเป็นหุ้นให้แก่นักลงทุน ความเสี่ยงต่างๆจึงทำให้ทั้งสองบริษัทรับความเสี่ยงไว้ทั้งหมด แต่บริษัทก็ยังมีรายได้จากการขายหุ้นและพร้อมที่จะหารายได้ให้แก่ผู้ถือหุ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อเป็นบริษัทของรัฐบาลทุกคนก็มั่นใจเพราะรัฐบาลคงไม่ปล่อยให้สองบริษัทนี้ล่ม ดังนั้นบริษัทนี้จึงใหญ่โตและเป็นตัวเล่นขนาดใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ทั้งสองบริษัทสามารถกู้เงินจากกระทรวงการคลัง ได้มากสุดถึง 2.25 พันล้านดอลลาร์ โดยมีข้อยกเว้นหลายประการอาทิเช่นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากรัฐบาลท้อง ถิ่น,รัฐบาลมลรัฐ,รัฐบาลกลางตลอดจนการลงทะเบียนในตลาดหุ้นก็ยกเว้นค่า ธรรมเนียม รวมทั้งใช้ธนาคารกลางของประเทศเป็นธนาคารรองรับเมื่อกู้จึงได้อัตราดอกเบี้ย ที่ต่ำมาก([/FONT][FONT=&quot]super-low[/FONT][FONT=&quot] rates[/FONT][FONT=&quot])จากรัฐบาล[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นสองบริษัทนี้จึงได้รับการจัดอันดับเครดิตติด [/FONT][FONT=&quot]AAA[/FONT][FONT=&quot] ตลอดเวลา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ปัจจุบันทั้งสองบริษัทถือเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ไว้ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์([/FONT][FONT=&quot]trillion[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]จึง ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องการปล่อยกู้ซึ่งนายแอนแลน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางเตือนไว้เมื่อปี 2004 หลังจากได้เห็นความเติบโตอย่างรวดเร็วของสองบริษัทว่าจะต้องมีการจำกัดข้อ ปฏิบัติ(การปล่อยกู้)เพราะการขยายตัวดังกล่าวถือเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดผลก ระทบต่อตลาดการเงินอย่างยิ่ง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Fannie[/FONT][FONT=&quot] แจ้งผลการดำเนินงานของตัวเองว่ามีกำไร 10.6 พันล้านดอลลาร์ระหว่างปี 1998-2004 ขณะที่[/FONT][FONT=&quot] Freddie Mac [/FONT][FONT=&quot]เปิดเผยว่าได้กำไร 5 พันล้านดอลลาร์การดำเนินงานระหว่างปี 2000-2002 แต่ทั้งสองบริษัทก็ไม่ได้ยื่นรายละเอียดของรายได้ จนกระทั่งได้มีการยกเครื่องบัญชีของตัวเอง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อเกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาความเชื่อถือของบริษัททั้งสองก็ลดลงด้วย เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นของ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Fannie[/FONT][FONT=&quot] ลดลงไป 32 % เมื่อนับตั้งแต่ต้นปี 2008 เป็นต้นมาราคาหุ้นบริษัทนี้ตกไป 65 %[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ทางด้าน[/FONT][FONT=&quot]Freddie [/FONT][FONT=&quot]หุ้นตกไป 47 % และเมื่อนับตั้งแต่ต้นปีมาราคาหุ้นตกไป 75 % [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อีกเรื่องเป็นสถาบันปล่อยกู้เหมือนกัน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมบรรษัทประกันเงินฝากรัฐบาลกลาง([/FONT][FONT=&quot]the[/FONT][FONT=&quot] Federal Deposit Insurance Corp.[/FONT][FONT=&quot]หรือ [/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot]) เข้าไปควบคุมกิจการธนาคาร[/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] ที่พาสซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย ธนาคารแห่งนี้ถือเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่ออสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับต้นๆ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot] จะเข้าควบคุมและดำเนินกิจการจนกว่าจะหาบริษัทอื่นมาซื้อกิจการไปดำเนินการได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot] ประกาศให้ผู้ฝากเงินมั่นใจว่าประกันเงินฝากครอบคลุมแต่ละบัญชี 100,000 ดอลลาร์?[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] Bank[/FONT][FONT=&quot] เป็นบริษัทลูกของ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] Bancorp Inc.[/FONT][FONT=&quot]ซึ่ง มีปัญหาสภพาคล่องที่ไม่อาจหาทุนมาดำเนินการต่อได้ หลังจากราคาบ้านตกต่ำ เกิดการยึดบ้านเข้ามามากเพราะธนาคารแห่งนี้ปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้านเป็นหลัก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2008 [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มีทรัพย์สินอยู่ [/FONT][FONT=&quot]32.01 [/FONT][FONT=&quot]พันล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] วิกฤติของธนาคารครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 26 มิถุนายนวุฒิสมาชิกชาร์ลส์ ชูเมอร์ พรรคเดโมแครตนิวยอร์กได้ทำจดหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมธนาคารของรัฐบาลกลางเข้าไปดูแลไม่ให้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] ล้ม ส่งผลให้เจ้าของเงินฝากระดมเข้าไปถอนเงินประเภท run[/FONT][FONT=&quot] on [/FONT][FONT=&quot] ภายหลังจากนั้น 11 วันผู้ฝากเงินไปถอนเงินจากธนาคารนี้ถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ แน่นอนธนาคารหรือสถาบันการเงินใดพบกับสภาพเช่นนี้ย่อมขาดสภาพคล่องแน่นอน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]John Bovenzi[/FONT][FONT=&quot] เข้าไปเป็นCOO([/FONT][FONT=&quot]the chief operating officer)[/FONT][FONT=&quot]จาก[/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot] เพื่อดำเนินกิจการธนาคาร[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] กล่าวกับ [/FONT][FONT=&quot]CNN[/FONT][FONT=&quot] เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้ฝากว่าธนาคารสหรัฐล้มถือว่าเป็นของหายากจริงๆ แม้ว่าจะมีธนาคาร 90 แห่งสถานะง่อนแง่นอยู่ในมือ แต่ไม่เชื่อว่าธนาคารเหล่านี้จะล้ม อีกทั้งรัฐบาลมีประกันเงินฝากจึงขอให้ผู้ฝากเงินมั่นใจได้ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] ภายหลังจากรัฐบาลเข้าไปดำเนินการได้เพิ่มชื่อเข้าไปว่าเป็น [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] Federal Bank แล้วมอบให้ [/FONT][FONT=&quot]FDIC เข้าไปควบคุมเพราะสถานะของ [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] จัดอยู่ในจำพวก [/FONT][FONT=&quot]T[/FONT][FONT=&quot]hrift[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]and Loan ซึ่งแตกต่างไปจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปกล่าวคือ T[/FONT][FONT=&quot]hrift[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]and Loan จะต้องปล่อยเงินกู้อสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 65 % ที่เหลือเป็นการปล่อยเงินกู้เพื่ออื่นๆหรือที่เรียกว่า[/FONT][FONT=&quot] consumer loans[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ณ วันที่ 31 มีนาคม 2008 [/FONT][FONT=&quot]IndyMac[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]มียอดเงินฝากรวม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]19.06[/FONT][FONT=&quot] พันล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]John Bovenzi[/FONT][FONT=&quot] ให้ประกันว่าบัญชีเงินฝาก 100,000 ดอลลาร์และต่ำกว่าได้รับการคุ้มครองแน่นอน ปัจจุบันมีเงินประกันอยู่ 53 พันล้านดอลลาร์ ส่วนต่างของ 100,000 ดอลลาร์ รัฐบาลกำลังพิจารณาให้การคุ้มครองเช่นกัน ส่วนเงินฝากถึง 250,000 ดอลลาร์ที่อยู่ในบัญชีเกษียณจากงานเช่น [/FONT][FONT=&quot]IRA[/FONT][FONT=&quot] ก็ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ธนาคารแห่งนี้เปิดดำเนินกิจการอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมก็มีผู้ฝากไปยืนออกกว่า 200 คนเพื่อจะได้ทราบสถานะของบัญชีเงินฝากตัวเอง หลายคนฝากเงินไว้เกิน 100,000 ดอลลาร์อันเป็นบัญชีสะสมทรัพย์ที่พวกเขาอดออมตลอดมา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]การเข้าไปควบคุมกิจการของ [/FONT][FONT=&quot] IndyMac [/FONT][FONT=&quot]รัฐบาลต้องนำเงินเข้าไปดำเนินการระหว่าง 4-8 พันล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เมื่อปี 1984 [/FONT][FONT=&quot] Continental Illinois National Bank[/FONT][FONT=&quot] ล้มไปขณะนั้นมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 40 พันล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] การกอบกู้สถาบันการเงินสหรัฐได้กระทำมาตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ธนาคารต้องล้ม เมื่อเดือนมีนาคมธนาคารกลางสหรัฐให้เงินกู้แก่บริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]JPMorgan[/FONT][FONT=&quot] Chase[/FONT][FONT=&quot] 30,000 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการบริษัท[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Bear Stearns[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทด้านการลงทุนหรือ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]investment bank[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] จากการรายงาน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot] ณ สิ้นปี 2007 พบว่าเงินฝากของคนอเมริกันในธนาคารมี 6.9 ล้านล้าน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ดอลลาร์([/FONT][FONT=&quot]trillion[/FONT][FONT=&quot]) แต่ทว่ามีเพียง 4.2 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ได้รับการประกันเงินฝาก การประกันเงินฝาก [/FONT][FONT=&quot]FDIC[/FONT][FONT=&quot] ให้บัญชีละ 100,000 ดอลลาร์

    Apacnews.net
    [/FONT]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]ทหารอเมริกันถูกยึดบ้านมากขึ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ทหารอเมริกันก็ไม่แตกต่างไปจากพลเรือนเมื่อบ้านพวกเขาถูกยึดมากขึ้นหรือมากกว่า 4 เท่าตัวเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วประเทศ เรื่องเริ่มจากดังนี้ เจฟฟรีย์ เวอร์สตีจ จ่าทหารผู้ทำหน้าที่ซ่อมเครื่องบินรบ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]F-16[/FONT][FONT=&quot] จากหน่วยรบทางอากาศที่ 132 เดินทางจากดีมอยส์ รัฐไอโอวาไปยังอิรักเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน จ่าอากาศลูก 4 เมื่อกลับมาอาจไม่มีบ้านอยู่อีกต่อไปก็ได้[/FONT]
    [FONT=&quot] บ้านของเขาเป็นบ้านฟาร์มขนาด 4 ห้องนอน โดยมีแคเธอลีน ภรรยาเป็นผู้ดูแล บ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับ[/FONT][FONT=&quot]Iowa State Fairgrounds[/FONT][FONT=&quot] ถูกยื่นโนติ๊สเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากค่าผ่อนรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 1,100 ดอลลาร์ เหตุผลหนึ่งเพราะภรรยาของเขาเป็นมะเร็งเต้านมต้องหยุดงานไม่อาจผ่อนบ้านได้ หลังจากที่เขาเดินทางไปอิรักแล้ว แคเธอลีนก็ได้รับอนุมัติจากศาลให้ล้มละลายได้ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] บริษัทวิจัย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]RealtyTrac[/FONT][FONT=&quot] Inc.[/FONT][FONT=&quot]แห่งเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่าในรอบ 7 ทศวรรษ(70 ปี)ที่ผ่านมา การที่บ้านทหารถูกยึดมากขึ้นไม่เคยปรากฎมาก่อนเพราะถูกยึดเพิ่ม 4 เท่าตัวเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของประเทศ ครอบครัวทหารอเมริกันชั้นผู้น้อยขอกู้เงินซื้อบ้านแบบ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] mortgages[/FONT][FONT=&quot] ทั้งสิ้นเพราะเงื่อนไขสะดวกดี ในขณะที่เงินกู้เพื่อซื้อบ้านจากองค์การทหารผ่านศึก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]Veterans Administration[/FONT][FONT=&quot])กลับมีผู้ไปกู้ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นายพอล ซัลลิแวน ผู้อำนวยการ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Veterans for Common Sense[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือทหารยอมรับว่าทหารไม่เคยพบประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสงครามเวียดนาม,สงครามโลกครั้งที่สองหรือสงครามเกาหลี ทหารเหล่านี้มีความเสี่ยงที่บ้านจะถูกยึดมากขึ้น นับตั้งแต่การเริ่มสงครามอัฟกานิสถานและอิรักมาตั้งแต่ปี 2002 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] บ้านของทหารที่อยู่ในขั้นตอนการถูกยึดกันมากในเขต 10 เมืองและนครต่างๆโดยเฉพาะที่อยู่รายรอบในรัศมี 10 ไมล์ของฐานทัพทหาร อาทิเช่นที่เมือง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Norfolk[/FONT][FONT=&quot] รัฐเวอร์จิเนียอันเป็นฐานของทหารเรือขนาดใหญ่ระหว่างมกราคมถึงเมษายน 2008 บ้านถูกยึดเพิ่ม 217 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2007 ขณะที่อัตราเฉลี่ยทั่วประเทศบ้านถูกธนาคารยึดเพิ่ม 59 % [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนี้ตัวเลขการยึดจากเมืองอื่นๆยังประกอบด้วย[/FONT][FONT=&quot]Columbia[/FONT][FONT=&quot] รัฐเซาท์ แคโรไลนา เป็นที่ตั้งของ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Fort[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Jackson[/FONT][FONT=&quot] หรือฐานทัพกองทัพบกที่ระดมพลมาฝึกก่อนส่งออกไปรบในอิรักและอัฟกานิสถาน มีบ้านถูกยึดเพิ่ม 492 % ขณะที่เขตเมือง [/FONT][FONT=&quot]Woodbridge[/FONT][FONT=&quot] รัฐเวอร์จิเนียอันเป็นฐานของนาวิกโยธิน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Base [/FONT][FONT=&quot]Quantico[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]บ้านถูกยึด 414 % [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ไม่ว่าจะเป็นบ้านในเขตของนาวิกโยธินที่ [/FONT][FONT=&quot]Norfolk[/FONT][FONT=&quot] Naval Base [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] the [/FONT][FONT=&quot]Camp[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Pendleton[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ที่อยู่ใกล้เมืองโอเชียนไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนียหรือที่เมือง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Havelock[/FONT][FONT=&quot] นอร์ธ แคโรไลนาอันเป็นฐานทัพอากาศของนาวิโยธินที่[/FONT][FONT=&quot] Cherry Point[/FONT][FONT=&quot] บ้านถูกยึดเพิ่มเท่าตัวทั้งสิ้น [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ครอบครัวทหารกลายเป็นเป้าหมายของนักปล่อยเงินกู้แบบ [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] เพราะทหารมีเครดิตไม่ดีนักอีกทั้งบุคคลเหล่านี้โยกย้ายบ่อยหรือเดินทางไปประจำการในต่างประเทศ เมื่อได้รับข้อเสนอด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อัตราดอกเบี้ยต่ำในเบื้องต้นทุกคนจึงคว้าทันที ในขณะที่เงินกู้ที่พวกเขามีสิทธิ์เช่น[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]VA loans[/FONT][FONT=&quot]กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ เมื่อปี 2007 มีผู้กู้จาก [/FONT][FONT=&quot]VA loans [/FONT][FONT=&quot]เพียง[/FONT][FONT=&quot]135,000 [/FONT][FONT=&quot]รายถือว่าอัตรากู้ลดติดต่อกันถึง 4 ปี [/FONT][FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] ทหารบกและนาวิกโยธินที่ประจำการได้ 4 ปีจะมีรายได้ตกปีละ 27,000 ดอลลาร์รวมทั้งค่าสู้รบอีกเดือนละ 225 ดอลลาร์ รายได้นี้เกิดขึ้นจากกฎหมาย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Military Authorization Act[/FONT][FONT=&quot] ปี 2008 ซึ่งทหารได้รับเงินเพิ่มอีก 3.5 % เมื่อเทียบกับปี 2007 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ส่วนทหารที่อาศัยอยู่นอกกรมกองจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านตกเดือนละ 500 ดอลลาร์ ในขณะที่อัตราเฉลี่ยรายได้ของครอบครัวสหรัฐจะตกปีละ 59,224 ดอลลาร์ (ตัวเลขปี 2007 จาก[/FONT][FONT=&quot] the National Association of Realtors in [/FONT][FONT=&quot]Chicago[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ปัจจุบันมีกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อ [/FONT][FONT=&quot]The Service[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]members' Civil Relief Act [/FONT][FONT=&quot]ช่วยป้องกันไม่ให้บ้านทหารถูกยึดในระหว่างที่ออกรบและเมื่อกลับมาแล้วในระยะ 90 วันซึ่งสมาชิกสภาคองเกรสพยายามที่จะต่ออายุออกไป 1 ปีเพราะเห็นว่า 3 เดือนเป็นช่วงสั้นไปที่อาจตั้งตัวไม่ทัน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตามในกรณีของครอบครัวเวอร์สตีจธนาคาร เวลล์ฟาร์โก้ที่เป็นเจ้าของเงินกู้ได้เพิกถอนการสั่งยึดบ้านหลังจากได้รับ จดหมายว่าหัวหน้าครอบครัวเดินทางสู่สมรภูมิอิรัก ล่าสุดทราบว่าทางธนาคารกำลังวางแผนให้ครอบครัวนี้รีไฟแนนซ์ เพื่อลดค่าผ่อนรายเดือนลง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยก็จะลดลงมาเหลือ 5.25 % ซึ่งก็จะช่วยให้ครอบครัวนี้หายใจได้บ้าง[/FONT][FONT=&quot]....อ่านต่อ[/FONT]
    [FONT=&quot] กระนั้นก็ตามโดยรวมแล้วทหารส่วนใหญ่จะถูกยึดบ้านของตัวเอง หลังจากพบเข้ากับ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ต่อไปนี้เป็นรายชื่อเขตเมืองที่บ้านถูกยึดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ปี 2007[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Columbia[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]South Carolina[/FONT][FONT=&quot]: 492%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Woodbridge[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Virginia[/FONT][FONT=&quot]: 414%[/FONT]
    [FONT=&quot] Triangle, [/FONT][FONT=&quot]Virginia[/FONT][FONT=&quot]: 363%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Oceanside[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]California[/FONT][FONT=&quot]: 182%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Norfolk[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Virginia[/FONT][FONT=&quot]: 155%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Havelock[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]North Carolina[/FONT][FONT=&quot]: 133%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Carlsbad[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]California[/FONT][FONT=&quot]: 131%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Barstow[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]California[/FONT][FONT=&quot]: 120%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Columbus[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]Georgia[/FONT][FONT=&quot]: 102%[/FONT]
    [FONT=&quot] Twentynine Palms, [/FONT][FONT=&quot]California[/FONT][FONT=&quot]: 73%[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]U.S.[/FONT][FONT=&quot] Total: 59%
    Apacnews.net
    [/FONT]
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]หนี้เครดิต คาร์ด[/FONT][FONT=&quot]: ลูกโซ่ที่เกิดจาก
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดอกเบี้ยอสังหาริมทรัพย์ด้อยค่า[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวเอ.พี.ด้านการเงินได้ศึกษาพบว่าปัจจุบันคนอเมริกันผ่อนหนี้เครดิต คาร์ดกันลำบากมากขึ้น บางรายไม่มีผ่อนหรือผ่อนช้า จนกลายมาเป็นปัญหาที่ทำให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหนี้ที่จ่ายเกิน 90 วันเริ่มมีมากขึ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระบุว่าผลผลิต([/FONT][FONT=&quot]byproduct[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]นี้เกิดขึ้นจากภาวะวิกฤตของดอกเบี้ยอสังหาริมทรัพย์ด้อยค่าหรือ[/FONT][FONT=&quot] the subprime mortgage crisis[/FONT][FONT=&quot] ที่กำลังกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] คลิฟฟ์ ตัน นักวิชาการที่ไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่มหาวิทยาลัย[/FONT][FONT=&quot] Stanford[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเครดิตกล่าวว่าหนี้ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เริ่มที่จะกระจายเข้าไปยังหนี้เครดิตและอื่นๆตามมา ปัจจุบันเราเริ่มเห็นมันทะลักเข้ามาแล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] จากการศึกษาจากบริษัทเครดิต คาร์ดขนาดใหญ่ 17 แห่งเมื่อเดือนตุลาคม 2007 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2006 พบว่าหนี้เครดิต คาร์ดที่ต้องจ่ายภายใน 30 วันเพิ่มขึ้นเป็น 26 % หรือยอดเงิน 17.3 พันล้านดอลลาร์ ยอดหนี้จำนวนนี้คิดเป็นกว่า 4 % ของเงินต้นที่บริษัทเครดิต คาร์ดตลอดจนธนาคารต่างๆปล่อยออกมาอาทิเช่น[/FONT][FONT=&quot] Bank of America[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]Capital[/FONT][FONT=&quot] One[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]Home Depot [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] Wal-Mart.[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เดือนตุลาคมเช่นเดียวกันเมื่อเจ้าหนี้ติดตามจนเบื่อเพราะหนี้ตกอยู่ในภาวะไม่มีทางจ่าย[/FONT][FONT=&quot]defaults[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]จำเป็นที่สถาบันการเงินต้องตัดยอดทิ้งเพิ่มเป็น 18 % หรือคิดเป็นเงิน 961 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ต้องรายงานไปยังคณะกรรมการหลักทรัพย์([/FONT][FONT=&quot]Securities and Exchange Commission[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นอกจากนี้ยังพบว่าบรรดาลูกหนี้ที่ไม่มีเงินจ่ายถึงแม้ว่าจะครบกำหนดผ่อนแล้วและยืดออกไปถึง 90 วันมีจำนวนเพิ่มขึ้น 50 % เป็นรายงานจากแหล่งเงินกู้ขนาดใหญ่อย่าง[/FONT][FONT=&quot] Advanta,GE Money Bank [/FONT][FONT=&quot]และธนาคาร[/FONT][FONT=&quot] HSBC [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ฝ่ายวิเคราะห์จากสำนักข่าวเอ.พี.ได้รวบรวมตัวเลขผู้ถือเครดิตคาร์ด 325 ล้านรายเพื่อศึกษา ซึ่งตัวเลขนี้เป็นยอดที่จะต้องมอบให้กับ [/FONT][FONT=&quot]The Trust[/FONT][FONT=&quot]s[/FONT][FONT=&quot] (บริษัทเครดิต คาร์ดหรือธนาคารเป็นผู้ตั้ง The Trust[/FONT][FONT=&quot]s[/FONT][FONT=&quot] ขึ้นมา) จากนั้นจะนำยอดกู้จากเครดิต คาร์ดไปจำหน่ายแก่นักลงทุนอีกทอดหนึ่ง เหมือนที่ธนาคารนำ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] mortgage loans[/FONT][FONT=&quot] ไปจำหน่ายแก่นักลงทุน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ปัจจุบันคนอเมริกันเป็นหนี้เครดิตรวมกันประมาณ 920 พันล้านดอลลาร์ และเครดิตที่มีปัญหามีอยู่ประมาณ 45 % ของจำนวนที่กล่าวมา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องหนี้เครดิตก็ตาม สถาบันการเงินและธนาคารที่ออกเครดิต คาร์ดก็ยังต้องการให้คนอเมริกันถือบัตรพาลาสสติกนี้กันมากๆ ด้วยการเสนอไปถึงบ้านเพื่อให้คนอเมริกัน [/FONT][FONT=&quot]sign-ups[/FONT][FONT=&quot] แบบง่ายๆเช่นบอกว่า [/FONT][FONT=&quot]Pre-approved สาเหตุเพราะบริษัทเครดิต คาร์ดสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้สูงถึง 36 % ต่อปี แถมยังมีค่าธรรมเนียมประเภทจ่ายช้าก็ต้องเสีย [/FONT][FONT=&quot]late fees[/FONT][FONT=&quot] ตลอดจนการลงโทษอื่นๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ตัวเลขล่าสุดทั้งประเภทจ่ายช้า([/FONT][FONT=&quot]delinquencies[/FONT][FONT=&quot])[/FONT][FONT=&quot]และไม่มีจ่าย([/FONT][FONT=&quot]defaults[/FONT][FONT=&quot])ในรอบ 30 วันเพิ่ม 25,716 รายเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2006 และระหว่างตุลาคมถึงพฤศจิกายนปี 2007 เดือนเดียวเพิ่มเป็น 6 พันราย นักวิเคราะห์เชื่อว่าลูกหนี้ทั้งสองประเภทที่กล่าวมาจะมีเพิ่มอีกหลังจากฤดูจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านไป [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] อย่างไรก็ตามปัญหาเคริดตคาร์ด คนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าไม่ใช่เรื่อง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]big[/FONT][FONT=&quot] deal[/FONT][FONT=&quot] เพราะอะไรหรือมาฟังนายเฮาเวิรด์ ดวอร์คิน[/FONT][FONT=&quot](Howard Dvorkin)ผู้ก่อตั้งองค์กร[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Consolidated Credit Counseling Services[/FONT][FONT=&quot] เมืองฟอร์ธ ลอเดอร์เดล รัฐฟลอริด้า องค์กรนี้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้เป็นหนี้เครดิต คาร์ดประมาณ 5 ล้านราย [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ดวอร์คินยอมรับว่า[/FONT][FONT=&quot]”พื้นฐานของสังคมอเมริกัน ผู้บริโภคต้องการ,ต้องการ,ต้องการ,จ่าย,จ่าย,จ่าย,แต่ทุกคนจะต้องจ่ายหนี้ที่ก่อขึ้น ถือเป็นขั้นตอนที่ทำให้เจ็บปวดทีเดียว”[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] การจะหนีหนี้โดยยื่นฟ้องล้มละลายด้วย [/FONT][FONT=&quot]Chapter 7 [/FONT][FONT=&quot]ก็ไม่ง่ายเหมือนเดิมเพราะกฎหมายว่าด้วยการยื่นล้มละลายตัวเองปี 2005 เปลี่ยนแปลงไป หลักการของกฎหมายมีว่าคนที่มีรายได้มากกว่าอัตราเฉลี่ยหรืออัตราปกติไม่อาจยื่นฟ้องด้วย [/FONT][FONT=&quot]Chapter 7[/FONT][FONT=&quot] แต่สามารถหันมาใช้ [/FONT][FONT=&quot]Chapter 13[/FONT][FONT=&quot] ได้โดยมาตรานี้จะต้องมีแผนการจ่ายเจ้าหนี้คืนแก่เจ้าหนี้รวมอยู่ด้วย [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] คนอเมริกันหลายคนไม่มีการวางแผนหรือไม่ทราบว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่นนายเคนเนธ แมคกินเนส อายุ 61 ปีอาชีพเสมียนไปรษณีย์อยู่เมือง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Flushing[/FONT][FONT=&quot] รัฐนิวยอร์ก เขาเล่าว่าเขาเริ่มต่อสู้กับเครดิต คาร์ดมาเมื่อ 9 ปีที่แล้วโดยเริ่มจากจ่ายค่าเล่าเรียนและหนังสือให้กับลูกที่เข้าคอลเลจ ตอนนั้นดอกเบี้ย เครดิต คาร์ด 6 % หรือถูกกว่าดอกเบี้ยกู้เรียนโดยตรงที่เสีย 8.6 % [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] จากนั้นเขาก็ยื่นแอพพลายทั้ง [/FONT][FONT=&quot]Citibank [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Chase cards เพื่อซื้ออาหาร,ทำฟัน,จ่ายค่าหมอ[/FONT][FONT=&quot] ([/FONT][FONT=&quot]copays[/FONT][FONT=&quot])หรือผ่าตัดเล็กๆน้อย จนกระทั่งดอกเบี้ยคาร์ดเพิ่มเป็น 30 % ทำให้เขาเป็นหนี้อยู่ 37,000 ดอลาร์ เดือนกุมภาพันธ์ 2008 เขาเตรียมยื่นฟ้องล้มละลาย [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]“ผมก็พยายามที่จะจ่ายคืนบัญชีที่ดอกเบี้ยสูงๆ แต่มันก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก็โดน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]late charges[/FONT][FONT=&quot] เดี๋ยวก็โดน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]surcharges[/FONT][FONT=&quot] ก็เลยทำอะไรไม่ได้ทำให้ติดหล่ม[/FONT][FONT=&quot]”นายแมคกินเนสกล่าว[/FONT]
    [FONT=&quot] สถานการณ์การเงินและเครดิต ปัจจุบันเริ่มพัวพันกันเป็นลูกโซ่ไปหมดเริ่มตั้งแต่[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]subprime[/FONT][FONT=&quot] mortgage loans[/FONT][FONT=&quot] ตามมาถึงการกู้เงินเพื่อซื้อรถ,เครดิต คาร์ดและเงินกู้เพื่อการศึกษา บริษัท[/FONT][FONT=&quot]Capital One Financial Corp. [/FONT][FONT=&quot]ซึ่ง ออกเครดิต คาร์ด รายใหญ่รายหนึ่งระบุว่าาการจ่ายเงินช้าและไม่ยอมจ่ายของลูกหนี้จะมีมากในเขต ที่เกิดผลกระทบจากอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่[/FONT][FONT=&quot]California [/FONT][FONT=&quot]และ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Florida[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ฝ่ายบริหารของ [/FONT][FONT=&quot]Capital One [/FONT][FONT=&quot]แจ้งแก่นักวิเคราะห์ของสำนักข่าวเอ.พี.ว่าในปี 2008 บริษัทเตรียมที่จะประกาศหนี้สูญประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์ เพราะยอดหนี้ที่จ่ายช้าเริ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในเขตที่มีปัญหาการผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]Capital One[/FONT][FONT=&quot] มีลูกค้าอยู่[/FONT][FONT=&quot] 30[/FONT][FONT=&quot] ล้านบัญชี[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ในจำนวนนี้[/FONT][FONT=&quot] Bank of America Corp.[/FONT][FONT=&quot]มียอดที่ลูกหนี้เครดิตจ่ายช้ามากที่สุดประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อเดือนตุลาคม 2007 ยอดลูกหนี้ไม่จ่ายหนี้เพิ่ม 200 % เมื่อเทียบกับตุลาคมปี 2006 [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] กล่าวโดยสรุปบริษัทที่ปล่อยหนี้ไม่ว่าจะเป็นเครดิต คาร์ดหรือหนี้ที่ตนเปิดเครดิตให้ลูกค้าเอง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]own books[/FONT][FONT=&quot])อาทิเช่น[/FONT][FONT=&quot] Capital One, American Express Co., Discover Financial Services Co.[/FONT][FONT=&quot],[/FONT][FONT=&quot]Wal-Mart Stores Inc., Home Depot Inc., Lowe's Companies Inc., Target Corp. [/FONT][FONT=&quot]และ [/FONT][FONT=&quot]Circuit City Stores Inc. [/FONT][FONT=&quot]ต่างรายงานว่าตัวเลขที่ลูกหนี้จ่ายช้าไม่ตรงตามกำหนดหรือไม่จ่ายเลยเพิ่มเป็นเลข 2 หลัก([/FONT][FONT=&quot]double-digit[/FONT][FONT=&quot])ทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นักวิเคราะห์เชื่อว่าในปี 2008 ที่กำลังเดินทางมาถึง คนอเมริกันจำนวนมากจะตกอยู่ในความยุ่งยากในการจัดการปัญหาทางการเงินของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเครดิตและจะต้องผ่อนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ผลกระทบที่เป็นลูกโซ่นี้อาจกลายเป็นทฤษฎีโดมิโนทางเศรษฐกิจคือล้มทับกันไปเป็นทอดๆก็ได้ หากไม่เร่งแก้ปัญหากันทั้งระบบ
    Apacnews.net
    [/FONT]
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]สหรัฐลงทุน 1.6 ล้านล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อควบคุมน้ำมันในประเทศอิรัก(1)[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] เมื่อเดือนมตุลาคม 2002 วิลเลียม นอร์ดโฮ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลเสนอรายงานว่าเมื่อถึงปี 2012 สงครามอิรักจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์([/FONT][FONT=&quot]trillion[/FONT][FONT=&quot])ขณะที่ฝ่ายบริหารจอร์จ บุช เชื่อว่าการทำสงครามดังกล่าวจะใช้เงินประมาณ 60 พันล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณเพื่อทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานไปแล้ว 610 พันล้านดอลลาร์ ต่อมาเดือนกันยายนนายรอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมและประธานาธิบดีจอร์จ บุช ต้องการเงินอีก 42.3 พันล้านดอลลาร์เพื่อใช้จ่ายทำสงครามในปีงบประมาณ 2008 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ขณะเดียวกันสำนักงบประมาณสภาคองเกรส([/FONT][FONT=&quot]Congressional Budget Office [/FONT][FONT=&quot])ประเมินว่ายอดงบประมาณที่จะต้องใช้ทำสงครามเป็นเงินระหว่าง 1-2 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับว่ากองกำลังของสหรัฐจะปักหลักอยู่ในอิรักนานเท่าใดและเงื่อนไขด้านการรบจะยังคงมีต่อไปรุนแรงขนาดไหน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อหันกลับไปดูการประเมินของนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเลยแล้วทุกคนต่างเห็นด้วยว่าใกล้เคียงที่สุดและ[/FONT][FONT=&quot]”จะต้องยกเครดิตให้นอร์ดโฮส์”แอแลน ครูกเกอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยา ลัยพริ้นซ์ตันให้การสนับสนุน[/FONT]
    [FONT=&quot] ครูกเกอร์กล่าวว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วไม่มีใครท้าทายนายมิทช์ แดเนียล ผู้อำนวยการสำนักงงบประมาณทำเนียบขาวที่ระบุว่าเงินเพื่อทำสงครามในอิรักไม่เกิน 60 พันล้านดอลลาร์ เพราะนักเศรษฐศาสตร์ทุกคนไปถือเอาตัวอย่างสงครมอ่าวเปอร์เซียปี 1991 (สมัยจอร์จ บุช ผู้พ่อเป็นประธานาธิบดี)ทำสงครามเพียง 6 สัปดาห์ถล่มทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศ เพื่อขับอิรักให้พ้นจากการยึดครองประเทศคูเวต แต่เงินงบประมาณทำสงครามครั้งนั้นหลายประเทศช่วยกันออก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ครูเกอร์กล่าวอีกว่าทุกคนมองว่าเป็นสงครามที่ง่ายเสร็จแล้วก็เสร็จ แต่ไม่ได้มองถึงผลกระทบตามมาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากกรุงแบกแดดแตก ตัวอย่างเช่น แอแลน กรีนสแปน ประธานเฟดขณะนั้นรายงานต่อสภาคองเกรสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002 ว่า เขายังสงสัยอยู่ว่ามันจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าปัจจุบันหรือไม่ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นอร์ดโฮส์เปิดเผยว่างานที่เขาจัดทำขึ้นตีพิมพ์ครั้งแรกใน[/FONT][FONT=&quot] American [/FONT][FONT=&quot]Academy[/FONT][FONT=&quot] of [/FONT][FONT=&quot]Arts[/FONT][FONT=&quot] and Sciences[/FONT][FONT=&quot] เพราะไม่ได้ประเมินค่าใช้จ่ายด้านสงครามไว้ จึงทำให้ผู้วางนโยบายและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่างานเขียนของตนมาจาก[/FONT][FONT=&quot]”นอกโลก”[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] ทั้งนี้เขายกตัวอย่างว่าเมื่อปี 1966 กระทรวงกลาโหมสหรัฐประเมินค่าใช้จ่ายของสงครามเวียดนามผิดไปประมาณ 90 % ทั้งนี้นอร์ดโฮส์เข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ภายหลังจากสงครามเวียดนามยุติได้ 2 ปี [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] การประเมินเงินที่ใช้ในสงครมอิรักเขาประเมิน ทั้งระบบ ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายโดยตรงทางด้านทหาร,ค่าใช้จ่ายด้านการยึดครอง,การ ก่อสร้างตึกต่างๆที่พังทลายไป,การช่วยด้านมนุษยธรรมตลอดจนการเพิ่มขึ้นของ ราคาน้ำมัน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ต่อมาเดือนมกราคม 2006 ลินดา บลิมส์ ศาสตราจารย์ผู้บรรยายวิชางบประมาณสาธารณะมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดและโจเซฟ สติกลิทซ์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ อดีตที่ปรึกษารัฐบาลคลินตันประเมินว่างบประมาณเพื่อสงครามครั้งนี้จะต้อง มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 2 ท่านประเมินรวมยอดงบประมาณทั้งหมด,เศรษฐกิจที่สูญเสียไปกับชีวิตของทหาร อเมริกัน,ตำแหน่งงานของคนถูกตัดและค่าน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ส่วนผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นอาทิเช่นการใช้เงินงบประมาณโดยตรงกับอิรักแทนที่จะใช้กับสหรัฐ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ลินดา บลิมส์ กล่าวว่านักเศรษฐศาสตร์คิดงบประมาณสงครามผิดมีเหตุจาก 2 ประการคือ 1.คนทำงบประมาณเป็นเจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาว เมื่อคนทำเองคิดเองก็ย่อมมองอะไรง่ายและสั้นไป 2.รัฐบาลกระทำไม่โปร่งใสโดยเฉพาะงบประมาณด้านกลาโหม ตัวอย่างเช่นรัฐบาลคิดง่ายเกินไปคิดว่าเหมือนสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1991 เมื่อเสร็จสงครามทุกอย่างก็จบ แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องใช้เงินค่าชดเชยและค่ารักษาพยาบาลทหารที่บาดเจ็บและทุพลภาพปีละ 4 พันล้านดอลลาร์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการคำนวณเช่นนี้ระบุว่า เศรษบศาสตร์ของสหรัฐมีขนาดใหญ่โตปีละ 13 ล้านล้านดอลลาร์ หากสงครามอิรัก 10 ปีใช้เงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ยังถือว่าใช้เงินเพื่อสงครามปีละน้อยกว่า 1 % หรือหากคิดตามอัตราค่าเงินปัจจุบันกับค่าเงินในอดีตถือว่าสงครามอิรักใช้น้อยกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2,สงครามกลางเมืองและสงครามเวียดนาม ตามลำดับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นายแกรี่ เบกเกอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก้และนักคิดอนุรักษ์นิยมจาก [/FONT][FONT=&quot] Hoover Institution[/FONT][FONT=&quot] ชี้ว่าหากคงกองทหารอเมริกันไว้ในอ่าวเพื่อคุมอิรัก ก็ต้องใช้เงินเป็นแสนล้านดอลลาร์อยู่ดี แต่จะต้องมองด้วยว่าถ้า ซัดดัม ฮุสเซน ยังอยู่ในอำนาจและมีขีปนาวุธที่จะทำลายล้างมหาศาลจะเกิดอะไรขึ้น(กับโลกนี้)[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ตอนนี้เป็นเรื่องของการใช้เงินเพื่อทำสงคราม ตอนต่อไปสงครามอิรักเป็นเรื่องของสหรัฐที่ต้องการควบคุมน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด ควบคุมอย่างไรโปรดติดตาม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ตาราง[/FONT]
    [FONT=&quot]William Nordhaus [/FONT][FONT=&quot]นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลประเมินไว้เมื่อตุลาคม 2002 ว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและสงครามอิรัก รัฐบาลอเมริกันจะใช้เงินเกือบ 1.6 ล้านล้านดอลลารเมื่อถึงปี 2012 โดยแยกให้เห็นว่า [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]งบประมาณด้านทหารโดยตรง [/FONT][FONT=&quot] 140 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]งบเพื่อคงกองกำลังและรักษาสันติภาพ [/FONT][FONT=&quot] 500 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]ผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน [/FONT][FONT=&quot] 500 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]ผลกระทบต่อเศรษฐศาสตร์มหภาค [/FONT][FONT=&quot] 345 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]การก่อสร้างใหม่ๆในอิรัก [/FONT][FONT=&quot] 100 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]ช่วยด้านมนุษยธรรม [/FONT][FONT=&quot] 10 พันล้านดอลลาร์[/FONT]
    [FONT=&quot]รวมยอดใช้จ่าย [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] 1.595 ล้านล้านดอลลาร์

    Apacnews.net
    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...