ผมอกหักคับ อย่างรุนเเรง อยากได้พระธรรมรักษาเเผลใจ ในการเจ็บสาหัสครั้งนี้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย auntinoldschool, 12 ธันวาคม 2010.

  1. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    ผมอกหักคับ อย่างรุนเเรง อยากได้พระธรรมรักษาเเผลใจ ในการเจ็บสาหัสครั้งนี้ ตอนนี้เก็บตัวอยุ่ในห้องคนเดียว ไม่อยากทาน ไม่อยากพบครัย รุ้สึกเจ็บเเละคิดเเต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ทุกวินาที ทรมานมากเลยคับ อยากจะให้ความทรทานนี้ผ่านไป อยากกลับมาเป็นคนเดิมนะคับ คบกับเเฟนมาห้าปีทุ่มเททุกอย่างวางอนาคตไว้ทุกอย่าง เเต่วันนึงอยุ่ดีดีเค้าก็ทิ้งผมไปโดยไม่รุ้สาเหตุไม่มีการคุย ไม่มีการบอกลาไม่มีอะไรทั้งนั้นผมจะทําใจอย่างไรดีคับ
    เเบบว่าผมเป็นคนทําเพื่ออนาคตของเรามาตลอดเเต่วันนี้ อยุ่ดีดี เค้าก็ไปผมหมดเเรงเลยคับ โลกมันหมุนหมุน ว่างเปล่ามาก
     
  2. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ดีที่เค้ายังไม่ได้ทิ้งลูกอายุ ๒ เดือนให้คุณเลี้ยงอยู่คนเดียว
    ปล่อยให้คุณถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาหลายปี
    อยู่ดีๆ เด็กนั้นเป็นมะเร็งเม็ดเลือด
    คุณหาเงินหายา จนหมดตัวแทบจะต้องไปขายตัว ขายเลือด เพื่อยื้อชีวิตเด็กไว้
    ๘ ปีผ่านไป มารู้ทีหลังว่า เด็กคนนั้นที่คุณทุ่มชีวิตดูแลมา ๘ ปี ไม่ใช่ลูกคุณ แต่เป็นลูกแฟนเก่าคุณกะคนอื่น(หนังเกาหลีค่ะ แค่ดูยังร้องให้แทน รันทดมาก)

    รู้สึกดีขึ้นไหม

    คือพระธรรมบทไหนก็รักษาใจได้ทุกบทล่ะค่ะ (เช่นไปรักกันตรงไหน ตรงกระดูก หนังเส้นเอ็น ลำไส้น้อยใหญ่ เลือด หนอง)
    แต่เราอกหักอยู่ จะเข้าถึงทันทีนี่คงยากน่ะเนอะ (เข้าใจ อกหักอยู่บ่อยๆ)
     
  3. สุปราณะ

    สุปราณะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    206
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +122
    "ช่วงของการตัดขาดกัน เลิกเป็นคนรักกัน จิตใจคุณจะปั่นป่วนสับสน กลับไปกลับมาระหว่างอโหสิกับคิดแค้น เหมือนหัวใจไม่ใช่ของคุณ
    นั่นเพราะความจำจะมีอิทธิพลกับจิตใจอย่างที่สุดในช่วงนี้
    และเมื่อมีทั้งความทรงจำด้านดีกับด้านร้าย คุณก็ย่อมรู้สึกดีบ้าง ร้ายบ้างเป็นธรรมดา
    ทางออกที่สวยงามที่สุด คือหัดเดินทางเข้าวัดเพื่อไปทำบุญคนเดียว
    โดยมีเจตนาว่าจะให้ความสุขสดชื่นอันเกิดจากการทำบุญสำเร็จตามลำพัง
    เป็นพลังให้ยืนหยัดอยู่คนเดียวด้วยความเข้มแข็ง
    ระหว่างไปทำบุญคนเดียว ถ้าเหงาให้มีสติรู้ว่าเหงา และเอาใจไปจดจ่อกับการทำบุญ
    คุณจะรู้สึกถึงความแช่มชื่นที่กลบทับความหดหู่เสียได้
    หากพบว่าได้ผล ขอให้ทำบุญคนเดียวเรื่อยๆ อาทิตย์ละครั้งน่าจะกำลังดี
    ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินมากๆ ให้ใช้กำลังใจมากๆแทนก็แล้วกัน
    ถ้ารู้ว่ามีงานสงเคราะห์ที่ไหนให้รีบไปโดยไม่ต้องชวนใคร
    ผลบุญที่เกิดขึ้นจากการเดินทางเองคนเดียวอย่างเป็นสุขหลายครั้ง จะบันดาลให้คุณรู้สึกเชื่อมั่น
    ว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายความว่า ต้องเหงา ต้องเศร้าอย่างที่นึกคร่ำครวญไปเองเลย" ดังตฤณ



    ถ้าเล่น Face Book ก็ขอเชิญ ที่นี่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  4. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ถ้ารักมาตั้ง ๕ ปี ระหว่างที่รักกัน ไม่ได้มีคนอื่น นิสัยก็ไปกันได้
    ถ้าเค้าหายไปเฉยๆ อาจมีเหตุจำเป็นอื่น
    คุณลองใจเย็น แล้วลองพิจารณาดูว่าเค้าลำบากเรื่องอื่นๆอยู่รึปล่าว
    เช่นปัญหาสุขภาพ การเงิน ครอบครัว ทำนองนี้น่ะค่ะ
     
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมอ่านแล้วก็งงน่ะครับ มันดูไม่มีสาเหตุเอาซ่ะเลย รักกันมา5ปี ไปโดยไม่พูดคุย ไม่ลา มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ? หรือเธอจะเป็นอะไรไปโดยที่คุณไม่ทราบ? หรือเปล่า
     
  6. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,774
    ค่าพลัง:
    +12,933
    [๑๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของกามทั้งหลาย? ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีวิตด้วยความขยันประกอบศิลปใด คือ ด้วยการนับคะแนนก็ดี ด้วยการ
    คำนวณก็ดี ด้วยการนับจำนวนก็ดี ด้วยการไถก็ดี ด้วยการค้าขายก็ดี ด้วยการเลี้ยงโคก็ดี ด้วย
    การยิงธนูก็ดี ด้วยการเป็นราชบุรุษก็ดี ด้วยศิลปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ต้องตรากตรำต่อความหนาว
    ต้องตรากตรำต่อความร้อน งุ่นง่านอยู่ด้วยสัมผัสแต่เหลืบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลาน
    ต้องตายด้วยความหิวระหาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์
    ที่เห็นๆ กันอยู่ มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่งกาม
    ทั้งหลายทั้งนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อกุลบุตรนั้นขยัน สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนี้ โภคะ
    เหล่านั้นก็ไม่สำเร็จผล เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก รำพัน ตีอก คร่ำครวญ ถึงความหลงเลือนว่า
    ความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็เป็น
    โทษของกามทั้งหลาย ... เกิดเพราะเหตุแห่งกามทั้งหลายทั้งนั้น.


    จาก ๓. มหาทุกขักขันธสูตร
     
  7. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    เค้าหนีกลับบ้านไปน่ะคับ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเค้าอาจ จะเบื่อหรือ ไม่อยากอยุ่กับผมเเล้ว ผมคงดีไม่พอสําหรับเเฟนผมมั่งคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2010
  8. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    ทุกอย่างย่อมมีเหตุมีปัจจัย...
    ผมว่าอาจเป็นกรรมเก่า ที่คุณเคยทำให้เธอช้ำใจมาก่อน ชาตินี้จึงได้เอาคืน... ผมก็เคยอกหักครับ รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่เวลาจะทำให้เราผ่านพ้นไปได้...
    ในทางธรรม ผมว่า น่าจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส คือให้เราดูจิตดูใจตัวเอง ว่านี่แหละคือ ทุกข์ ทุกข์จากการพลัดพรากจากของรัก เพราะเรายังยึดมั่นถือมั่น ว่านี่เป็นเรา นี่ของเรา ไปหลงอยู่ในสมมติบัญญัติว่านี่แฟนเรา ต้องอยู่กับเรา ชีวิตก็อย่างนี้แหละครับ มันมีแต่ทุกข์ ตื่นมาก็ทุกข์แล้ว ทุกข์เพราะร่างกายเรานี่แหล่ะ เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เหม็น เดี๋ยวก็ป่วย แต่ให้มองว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เพราะเราเกิดมาก็ต้องมีทุกข์ จะได้หาทางดับทุกข์....

    หากคุณมองดูใจตัวเอง ต้องแยกออกว่า ความรักกับความหลงมันต่างกันยังไง ความรักที่ถูกต้องคือ การยินดีหรือปรารถนาดีที่เห็นคนที่เรารักมีความสุข หากเขามีทุกข์ก็ปรารถให้เขาพ้นทุกข์ หรือในทางธรรมก็คือ เมตตา กรุณา นั่นแหละครับ แต่หากเป็นความรักที่ปนด้วยความหลง คือ ความต้องการให้เขาอยู่กับเรา เป็นของเรา เพื่อให้ตัวเองมีความสุข.....

    เป็นกำลังใจให้ครับ....เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป
     
  9. ปัญญาพร

    ปัญญาพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +797
    ทุกข์เพราะรัก (หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ)...

    จาก... Post ของคุณ wellrider<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ นามเต็ม สนอง โพธิ์สุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๘๗ ที่ตำบลหนองผักนาก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี มีโอกาสเรียนบาลีนักธรรมอยู่ ๒ ปี จนสอบนักธรรมตรีได้

    เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบท ณ วัดดอนไร่ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีหลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโตเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านอุปสมบทได้เพียงพรรษาเดียว ก็เริ่มออกธุดงค์ไปทางภาคอีสาน

    หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เป็นศิษย์ของหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านได้ฝากตัวเพื่อฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่สังวาลย์ ด้วยการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถึง ๓ พรรษา

    ท่านเป็นผู้มีความจริงใจและจริงจังต่องานการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดสังฆทาน อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งวัดสังฆทานยังได้แยกสาขาออกไปเพื่อเผยแผ่ธรรมะตามจังหวัดต่างๆ ถึงกว่า ๓๐ แห่ง ทั่วประเทศ และในต่างประเทศอีก ๒ สาขา

    ทุกข์เพราะรัก
    โดย หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
    วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี


    ความวุ่นวายที่ทุกคนมีอยู่ยังดับไม่ลง เดี๋ยวเรื่องนั้นเข้ามาแทรกเดี๋ยวเรื่องนี้เข้ามาซ้อน เรื่องลูกหลานเรื่องบ้านเรือน เรื่องรักเรื่องใคร่ เรื่องโลภโกรธหลงมีอยู่ในหัวใจทุกคน แสวงหาความอยาก ความรัก เช่นไปขอความรักเขา อยากให้เขารักเรามากๆ รักน้อยไม่เอา อยากให้มันเพิ่มมากขึ้น ที่จริงมันเพิ่มทุกข์ทั้งนั้น

    สามีก็อยากให้ภรรยารักให้มากรักให้หลงเลย ให้รักตนคนเดียวไม่ให้ไปรักคนอื่น ภรรยาก็อยากให้สามีรักตนคนเดียวไม่อยากให้รักผู้หญิงอื่น ให้รักคนเดียวและอยากให้รักมากๆ มีเพื่อนฝูงก็อยากให้เพื่อนฝูงรักและเห็นใจตนคนเดียว

    เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็ทุกข์มากขึ้น รักมากก็กังวลมาก กลัวจะเป็นโน่นเป็นนี่ กลัวจะไม่ดี กังวลกลัวจะเปลี่ยนแปลง เกิดความทุกข์กระสับกระส่ายกระวนกระวาย เมื่อรักมากห่วงมากก็เป็นทุกข์มาก ห่วงมากๆเข้าก็หึงหวงเกิดทะเลาะขัดแย้งกันเพราะไม่ตรงตามที่ตกลง

    ภรรยาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อสามีไปไหนไม่ตรงตามเวลา คอยแล้วคอยอีกคอยจนดึกดื่น ถ้าไม่มาคืนนี้ก็เป็นปัญหาเพราะมันรักหมดหัวใจจนหลงมากก็ห่วงมาก เป็นทุกข์กังวล ผลที่สุดเมื่อไม่สมใจแล้วก็ขัดแย้งกันต่อว่ากันถากถางกันรุนแรง ทีแรกก็หวานกันดีหนักเข้าคำพูดที่ไม่ดีก็ออกมา การต่อว่ากันทะเลาะขัดแย้งกันก็มาจากความรักมากนั่นเอง เพราะรักมากจึงต้องห่วงกลายเป็นว่าเอาความรักมาทะเลาะกัน

    แม้รักลูกมากก็ตาม ลูกกลับดึกดื่นกลับไม่ตรงเวลา แม่ก็ด่าสาดเข้าไปคอยบ่นคอยว่า ลูกก็ไม่ชอบ ความรักจึงกลายเป็นความทุกข์เสียแล้ว

    “ทำไมรักแล้วต้องเป็นอย่างนี้ด้วย” รักแล้วต้องคอยติดตามเป็นเงาตามตัวทำไม? คนถูกรักก็ไม่เข้าใจในความรัก คนที่รักก็ไม่เข้าใจในความรัก รักแล้วกลายเป็นห่วงกลายเป็นเฝ้าติดตามจนกลายเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา รักไม่มีธรรมะมักเป็นอย่างนี้

    เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วไม่มีครอบครัวหรือชีวิตใดที่เป็นไปตามความหวัง ตามความต้องการตามที่ตนปรารถนาได้ ลูกต้องการให้พ่อแม่ตนรักอย่างมีขอบเขต แต่พ่อแม่ก็รักมากเกินไปจนไม่มีขอบเขต สามีก็อยากให้ภรรยารักตนให้มากและให้มีขอบเขต แต่มันก็ไม่มีขอบเขต ภรรยาก็มีรักที่ไม่มีขอบเขตกับสามีหรือสามีก็มีรักที่ไม่มีขอบเขตกับภรรยา พิษภัยความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความรักมาก แล้วปัญหานี้ก็แก้ไม่ตก

    ถ้าเราไม่เข้าหาธรรมะมันก็หนักเอียงไปทางเดียว เอียงไปทางที่เป็นทุกข์อยู่เรื่อย เพราะเราอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันตรงกับตามความต้องการ แต่มันก็ไม่เป็นดังที่เราต้องการสักที นี่แหละชีวิตคนเราถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็จะมีปัญหา แม้แต่ความรักก็เป็นเรื่องใหญ่โตเป็นความทุกข์ที่เข้ามาแทรกซ้อนอยู่ทุกลม หายใจ

    แม้คนที่รักเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอะไรขึ้นมาก็เป็นทุกข์กับคนที่รัก ทรมานจิตใจเหลือเกินเจ็บหัวใจเหลือเกินเพราะไม่อยากให้เขาเจ็บไข้ไม่อยากให้ เขาตาย อยากให้เขาดีอยู่ตลอดเวลา เพราะความรักมากเป็นห่วงมากจึงเฝ้าเป็นทุกข์อยู่คนเดียว

    ส่วนพ่อแม่ที่รักลูกมาก ลูกไม่เป็นทุกข์แต่พ่อแม่เป็นทุกข์เพราะห่วงลูกมากอยากให้ลูกเป็นไปตามที่ตน ต้องการ แต่ลูกก็เป็นลูกอย่างนั้นเองที่ไม่เข้าใจพ่อแม่ แม้ภรรยาก็เป็นภรรยาอย่างนั้นเองที่ไม่เข้าใจสามี หรือแม้สามีก็เป็นสามีอย่างนั้นเองที่ไม่เข้าใจภรรยา จึงเป็นความรักที่ไม่เข้าใจกัน

    ความรักจะเข้าใจกันทีแรกเท่านั้น อยู่ไปนานๆ มันไม่รู้จักความเข้าใจเพราะมันเกินเลยไม่มีขอบเขต คนเราจึงมีปัญหาหัวใจ เป็นทุกข์เพราะห่วง เพราะหวง เพราะกังวล เพราะมันไม่ตรงตามที่เราต้องการ

    แม้ความรักที่สาบานว่าจะรักกันจนตายมันก็ยังทิ้งกันได้ ต่างคนต่างเกิดมาก็ตายจากกันได้ ไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงเลย แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่นว่าทุกอย่างนั้นจะเป็นไปตามสัญญาไม่มีหรอก

    ถ้าเขาไม่รักแล้วจะทำอย่างไร

    เขาไม่ห่วงเราแล้วเราจะห่วงเขาทำไม? เขาไม่รักเราแล้วเราจะรักเขาทำไม? เมื่อรักไม่สมปรารถนา เราจะตายบูชาความรักทำไม? เขานั่งยิ้มอยู่แต่เราไปผูกคอตาย เป็นความคิดผิดๆ รักเขามากเขาไม่รักด้วยไปตายดีกว่า โธ่! เขาไม่รักแล้วจะตายทำไมจะต้องทำใจให้ได้ รักตัวเองเข้าหาธรรมสิ!

    คนเรามันโง่ก็คิดไปผิดๆ เขาไม่รักเรายิ่งทุกข์ใหญ่ เขาไม่รักเราสิสบายใจเราไม่ต้องไปปรนนิบัติเอาใจเขา เป็นทาสของความรัก เรียกว่าเป็นทุกข์เพราะความรัก

    ถ้าเป็นคนมีธรรมะใครไม่รักไม่หวงไม่ห่วงก็ไม่เป็นไร เราจะได้อยู่กับธรรมะ จะได้ไปบวชเรียนไปสร้างบารมีจะได้คบคนดีเป็นมิตร จะได้ไม่ผิดหวัง ไม่เจอคนหลอกลวง ถ้าฝืนทนอยู่กับคนที่เขาไม่รัก เขาไม่จริงใจด้วย เป็นความคิดผิด เป็นความทุกข์

    ถ้ามีธรรมะประจำใจแล้วจะปลงตก ผัวไปมีเมียน้อยก็ยกให้เมียน้อยเลย จะได้ไปหาธรรมะรอเวลานี้มานานแล้วจะได้หมดห่วงเสียที อยู่กับคนไม่ดีคนสองใจนี่ไม่มีความสุขหรอก ไปอยู่กับธรรมะใจเดียวดีกว่าสบายใจดี ถ้าฉลาดคิดสักหน่อยสลัดทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วเลย ถ้าไม่ฉลาดคิดก็เป็นทุกข์อยู่นั่นเองต้องตกเป็นทาสของมันเป็นทาสของความรัก ความหวง ความห่วง

    การปรุงแต่งที่ผิดๆว่าลูกเราครอบครัวเราทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดความกังวลเป็นทุกข์ นึกคิดขึ้นมาเพราะความหลงผิดปรุงแต่งผิดๆ ไปนึกถึงคนนั้นคนนี้ขึ้นมาก็เกิดความร้อนรุ่มกลุ้มใจ ถ้าเราเพิ่มความรักมากขึ้นก็ทุกข์มากขึ้น ควรทำใจให้สงบคิดเสียว่า (ช่างมึ..ช่างมัน) มันจะเกิดก็ต้องเกิดมันจะดับก็ต้องดับมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้นานเนแล้ว

    ความรู้ความเข้าใจมีสติระลึกรู้ระวังใจตัวเองนี้ต้องฝึกฝนอบรมไปเรื่อยๆ ทำให้เรามีความสุขได้มากเหมือนไปสวรรค์ในครั้งหนึ่งเหมือนมีวิมานในใจ ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักยึดเหนี่ยวทำให้ใจร่มเย็น เรามีความสุขสงบครั้งหนึ่งก็เท่ากับเป็นทุนเป็นปัจจัยที่ฝังลึกลงไปในหัวใจ เราว่าทางดับทุกข์มีทางเดิน แต่ที่วุ่นวายอยู่นี่เพราะเรายังเดินทางไปไม่ถึง เรายังอยู่กับความวุ่นวาย เราต้องละความห่วงความกังวลให้มันน้อยลงมันก็สิ้นทุกข์ไปเอง

    การมีธรรมะฝึกอบรมใจช่วยให้จิตใจเรามีพื้นฐาน เมื่อมีทุกข์จะได้ไม่ไปทุกข์กับมัน อดทนรู้ทันอารมณ์รู้ทันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมา อันนี้เขาเรียกว่าธรรมะคุ้มครองปกป้องรักษา อยู่กับพระรัตนตรัยแล้วก็จะมีความสุข

    การมีธรรมะได้เปรียบอย่างนี้แหละ พยายามฝึกใจฝึกให้เห็นธรรมให้รู้ธรรมที่ใจ ทุกข์มันเกิดที่ใจก็ต้องแก้ปัญหาที่ใจด้วยความคิดทางธรรม และแก้ปัญหาด้วยการภาวนา (พุทโธ) ทำให้ใจเราเย็นลงสงบลง ภาวนามากๆ เข้า ใจมันสบายเอง จิตมันไม่สับสนกังวล ความห่วงก็น้อย

    เพราะอะไร เพราะมีปัญญาที่ตัดใจได้ เมื่อเราเกิดมาคนเดียวก็ตายคนเดียว ห่วงกันก็แค่นั้นเองช่วยอะไรกันไม่ได้ พอมีปัญญาก็ปลงตก ถ้าไม่มีปัญญาก็ทุกข์คนเดียวทั้งที่คนอื่นเขาไม่ทุกข์เท่าไหร่ ฉะนั้นธรรมะนี้จึงแก้ปัญหาหัวใจตนเอง

    เราต้องรู้จักบั่นทอนตัดกิเลสอย่างหยาบอย่างกลางอย่างละเอียดให้มันลดน้อย ถอยลง ขัดเกลาให้มันว่างบ้างสงบบ้าง จากหนักกลายเป็นเบา เบาลงๆเกิดความปล่อยวางขึ้นก็สบาย เพราะความรู้ทันว่าอะไรควรคิดอะไรไม่ควรคิด อะไรควรรับอะไรไม่ควรรับจึงจะมีความสุข เมื่อเข้ามาสู่แดนธรรมมาสู่ทางสว่างทางสงบ

    รู้จักละวางให้ใจว่างบ้างด้วยการภาวนา ด้วยการเข้าใจธรรม พอมันไปห่วงไปรักไปกังวลคนอื่นมันเป็นทุกข์ทุกทีอีกแล้วว่าเขาจะเป็นโน่น เป็นนี่ ตัดใจให้ได้ช่างมันเถอะเกิดคนเดียวตายคนเดียว เอาความตายมาตัดปุ๊ปสบายใจ คนเรากรรมใครกรรมมัน เขาทำบุญไว้ก็ต้องไปดีเขาทำบาปก็ต้องไปตามกรรมของเขา ใครจะไปดึงรั้งเขาได้

    จึงว่าเราเกิดมาแล้วก็ศึกษาชีวิตให้เป็นธรรมะเสีย เกิดคนเดียวตายคนเดียวกินคนเดียวทุกข์คนเดียว ถ้าเรายังช่วยใจตนเองให้สงบไม่ได้ ก็ช่วยคนอื่นไม่ได้จะต้องช่วยเหลือตนเองก่อน เมื่อช่วยเหลือตนเองได้ก็ช่วยเหลือผู้อื่นได้

    ที่มา ::

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    http://www.wimutti.net
    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
    "
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล<!-- google_ad_section_end -->


    หวังว่า...อ่านแล้ว คงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นนะคะ

    rat_wting​
     
  10. aronn

    aronn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +47


    <!-- /jumpto --><!-- bodytext -->อุทาน - ๘. ปาฏลิคามิยวรรค - ๘. วิสาขาสูตร
    <DL><DD>๘. วิสาขาสูตร</DD></DL>
    <DL><DD>[๑๗๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้</DD></DL><DL><DD>สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพารามปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา</DD></DL>ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล หลานของนางวิสาขามิคารมารดาเป็นที่รักที่พอใจ ทำ
    กาละลง ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมารดามีผ้าเปียก ผมเปียกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ในเวลาเที่ยง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะนางวิสาขา
    มิคารมารดาว่า เชิญเถิดนางวิสาขา ท่านมาแต่ไหนหนอ มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้ามา ณ ที่นี้
    ในเวลาเที่ยงนางวิสาขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานของหม่อมฉัน เป็นที่รักที่
    พอใจ ทำกาละเสียแล้ว เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงมีผ้าเปียกมีผมเปียก เข้ามา ณที่นี้ในเวลา
    เที่ยง เจ้าค่ะ ฯ
    <DL><DD>พ. ดูกรนางวิสาขา ท่านพึงปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ในพระนครสาวัตถีหรือ ฯ</DD></DL><DL><DD>วิ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตรและหลานเท่ามนุษย์ใน</DD></DL>พระนครสาวัตถี เจ้าค่ะ ฯ
    <DL><DD>พ. ดูกรนางวิสาขา มนุษย์ในพระนครสาวัตถีมากเพียงไร ทำกาละอยู่ทุกวันๆ ฯ</DD></DL><DL><DD>วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์ในพระนครสาวัตถี ๑๐ คนบ้าง ๙ คนบ้าง ๘ คนบ้าง</DD></DL>๗ คนบ้าง ๖ คนบ้าง ๕ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ๒ คนบ้าง๑ คนบ้าง ทำกาละอยู่ทุกวันๆ ฯ
    <DL><DD>พ. ดูกรนางวิสาขา ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านพึงเป็นผู้มีผ้าเปียกหรือมี</DD></DL>ผมเปียกเป็นบางครั้งบางคราวหรือหนอ ฯ
    <DL><DD>วิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าค่ะ พอเพียงแล้วด้วยบุตรและหลานมาก</DD></DL>เพียงนั้นแก่หม่อมฉัน ฯ
    <DL><DD>พ. ดูกรนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙๐ ผู้นั้นก็มี</DD></DL>ทุกข์ ๙๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๘๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๘๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๗๐ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗๐ ผู้ใดมี
    สิ่งที่รัก ๖๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๕๐ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔๐ ผู้นั้น
    ก็มีทุกข์ ๔๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๓๐ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๒๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๒๐ ผู้ใด
    มีสิ่งที่รัก ๑๐ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๙ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๙ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๘ผู้นั้นก็มี
    ทุกข์ ๘ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๗ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๗ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๖ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๖ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๕
    ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๕ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๔ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๔ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๓ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๓ ผู้ใดมีสิ่ง
    ที่รัก ๒ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๒ ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ๑ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑ ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์
    เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส ฯ
    <DL><DD>ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า</DD></DL><DL><DD>ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี มากมายหลายอย่างนี้</DD></DL><DL><DD>มีอยู่ในโลก เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักเมื่อไม่มีสัตว์หรือ</DD></DL><DL><DD>สังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไรและความทุกข์เหล่านี้ย่อมไม่มี</DD></DL><DL><DD>เพราะเหตุนั้นแล ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ</DD></DL><DL><DD>ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ปรารถนา</DD></DL><DL><DD>ความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารให้เป็น</DD></DL><DL><DD>ที่รัก ในโลกไหนๆ ฯ</DD><DD>---------------</DD></DL>ถ้าอยากหายเร็วๆก็ไปเรียนกรรมฐาน สามวันก็หาย รับรองได้ ถ้าปฏิบัติจริง
    สู้ต่อไป ไอ้มดแดง:cool:
     
  11. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ขอให้คุณผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้นะค่ะ...ครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเราดีที่สุด อยู่กับครอบครัวของเราดีที่สุดค่ะ คนที่รักเรามากที่สุดคือคนในครอบครัวของเราเองค่ะ
    chearrchearrchearrchearrchearr
     
  12. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณทุกความเห็นคับ :'(
     
  13. ขวัญภพ

    ขวัญภพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    เข้าใจนะค่ะว่าอกหักมันเป็นอย่างไร ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ตัวเองก็เคยเหมือนกันค่ะ คบกันมา 7 ปี คิดว่าถ้าเรียนจบแล้ว ทำงานเก็บเงินสักพักหนึ่งก็จะแต่งงานกัน แต่สุดท้ายเขาก็ไปเฉยเลย ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ที่ำไม่ใช่เรา ตอนนั้นความรู้สึกว่าอยากตายมันแล่นขึ้นมาในหัวเลยละ จะเป็นจะตายให้ได้ จำได้ว่าร้องไห้เสียงดังมาก จนแม่ต้องลุกขึ้นมาดู แล้วกอดเราไว้ทั้งคืนจนถึงเช้า แม่ทำอย่างนี้กับเราทุกวันเกือบเดือนได้มั้ง จากนั้นเราก็เริ่มเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเลย ข้าวปลาอาหารแทบไม่แตะต้องเลย ไม่รับโทรศัพท์จากเพื่อน ๆ ด้วย อายค่ะ ที่โดนทิ้ง เมื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเองนาน ๆ เข้าก็เริ่มได้คิด คิดถึงหน้าของแม่วันที่เราเสียใจสุด ๆ แต่แม่เสียใจมากกว่า เราร้องไห้เสียงดัง แต่ตอนนั้นแม่อาจจะร้องไห้อยู่ในใจก็ได้ ตอนที่เราไม่กินข้าว แม่ก็เป็นทุกข์เราไม่เคยเห็นหน้าแม่หมองเศร้ามากขนาดนี้ ก็คิดได้ว่าทำไมเราต้องผูกชีิวิตที่แม่ให้มากับคนที่เขาไม่เคยเห็นคุณค่าเราเลย เขาเป็นใครก็ไม่รู้ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่คนที่จะต้องอยู่ต่อคือเรา และคนที่รักเราที่สุดก็คือแม่ และครอบครัวของเราเอง ที่สำคัญเราต้องรักตัวเอง ถ้าเราไม่รักตัวเองแล้วใครจะมารักเราละ ดังคำพระท่านว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล" ไม่มีใครช่วยคุณได้แต่คุณเท่านั้นที่ต้องช่วยตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองมาก ๆ คิดถึงคนที่รักเรามากที่สุด รักตัวเองให้มาก ๆ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ หาเพื่อนคุยหรือหากิจกรรมอะไรที่เราชอบทำก็ำได้จะได้ไม่เหงา และไม่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ต้องหาคำตอบ เขาไปก็คือไป มันเกิดขึ้นแล้ว จะทุกข์ทำไม มันแก้ไขอะไรไม่ได้ สู้ให้จบไปดีกว่า เริ่มมองส่วนดีของเขาแล้วอโหสิกรรมให้กับเค้าไป อย่าต่อกรรมกันต่อไปเลย (กรรมคือการกระทำนะคะ ) ถ้าทำใจไม่ได้ ก็เลือกทำแบบที่เราทำสิ คือเลือกที่เก็บเขาไว้ในใจ ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยินดีที่เขาไปมีสุข ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกก็ตาม เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้น ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแม้แต่สังขารของตัวเอง วันหนึ่งก็ชรา เหี่ยวแห้งไม่น่ามอง คิดอย่างนี้สบายใจดี อย่าไปคิดอะไรให้มันมากเลย เขียนแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้คุณได้อ่าน เผื่อจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง เป็นกำลังใจให้สู้ต่อนะค่ะ ถ้าเล่น FB หรือ M ละก้อเข้ามาคุยกันก็ได้ค่ะ veta72@windowslive.com ยินดีเสมอ ขอให้เข้มแข็งในเร็ววันนะค่ะ คุณพระรักษาค่ะ
     
  14. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    thx

    thx u :'(มันยากจะทําใจได้เหมือนกันคนไม่เอาไหนคนนึงรุ้จักรักเป็นรุ้จักลุกขึ้นมาทําเพื่อคนคนนึง สร้้างอนาคตให้คนคนนึง เท่าที่จะพอทําได้ เเต่สุดท้ายไม่เหลือรัยเลย เเค่การบอกลา
     
  15. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    เค้าทําให้ผมมีความหวังมีความฝัน มีความอบอุ่น ถึงเค้าจะไม่ใช่ผุ้หญิงที่ดีรัยมากมายเเต่สําหรับผม ก็รุ้สึกว่าเค้าคือทุกอย่าง วันนึงเสียมันไป ก็ไม่รุ้จะเเก้ไข อะไร ตรงไหนอย่างไง เหมือนข้านทามเมตชีนมาเวลาเดิมเวลาที่เราไม่มีเค้าเเต่เเค่ความรุ้สึกมันไม่เหมือนเดิมอีกเเล้วเคยที่จะทําทุกอย่างร่วมกันมาเเล้ว คนอื่นอาจจะลืมง่าย คิดได้คิดเป็น เเต่ผมไม่รุ้จะคิดยังไงดีสําหรับเรื่องนี้
     
  16. อสังขตะ

    อสังขตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +265
    ขอเป็นกำลังใจเช่นกันครับ.. รักและให้เกียรติตนเองให้มากฯ ที่พึ่งที่วิเศษก็คือหลักคำสอนขององค์พระัสัมมาสัมพุทธเจ้า และกำลังใจอันเข้มแข็งของตนเท่านั้น
     
  17. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    โอโหกำลังใจเพียบครับ....

    ไม่ต้องคิดมากครับ.....มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนะ.....โลกนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้หละครับ.......

    มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งนะ.....ประสบการณ์มีหลายคนแนะนำ...อ่านแล้วหลุด.....ลองไปอ่านดูนะครับ.....เหมาะสำหรับคนช้ำรักและผู้ที่ต้องการเข้าใจความรัก....

    ความรักหลากสี โดย ดังตฤณ....
    http://dungtrin.com/watha_love/
     
  18. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณทุกกําลังใจคับ
     
  19. king_6914

    king_6914 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +18,384
    ขอเป็น อีกหนึ่งกำลังใจนะคะ เวลา จะช่วยได้ค่ะ

    อีกหนึ่งปีผ่านไป คุณมองกลับมาวันนี้ คุณอาจจะเห็นเป็นเรื่องตลกไปเลย

    ขอให้คุณข้ามเวลานี้ไปให้ได้ค่ะ

    ให้คิดว่าทุกสิ่งอย่างมีที่มาที่ไปเสมอ

    สักวันคุณก็จะรู้คำตอบค่ะ
     
  20. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    อรรถกถา อัสสกชาดก
    ...ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครชื่อว่า ปาฏลิ แคว้นกาสี พระองค์มีอัครมเหสีพระนามว่า อุพพรี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของ<WBR>พระ<WBR>องค์ มีรูปโฉมงดงามน่าดู มีพระฉวีเหนือมนุษย์ แต่ยังไม่ถึงวรรณะทิพย์. พระนางได้สิ้นพระชนม์ลง พระราชาทรงโศกาดูร เสวยทุกข์โทมนัสยิ่งนัก เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระนางนั้น พระองค์ให้เชิญพระศพของพระนางลงในราง แล้วใส่น้ำมันหล่อไว้ ยกไปตั้งไว้ใต้พระแท่นไสยาสน์ ทรงอดพระกระยาหาร บรรทมกันแสงปริเทวนาการ.
    พระราชมารดาพระราชบิดา หมู่พระญาติมิตรอำมาตย์ พราหมณ์ คหบดีเป็นต้น พากันทูลปลอบโยนเป็นต้นว่า อย่าทรงเศร้าโศกไปเลยมหาราช สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่สามารถให้พระองค์ยินยอมได้ พระองค์ทรงรำพันอยู่เช่นนั้นล่วงไป ๗ วัน.
    ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบส สำเร็จอภิญญาห้าและสมาบัติแปด อยู่ในหิมวันตประเทศ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูชมพูทวีปด้วยทิพยจักษุ เห็นพระราชาปริเทวนาการอยู่อย่างนั้น ดำริว่า เราควรเป็นที่พึ่งของพระราชาพระองค์นั้น จึงเหาะไปบนอากาศด้วยอิทธานุภาพ แล้วลงไปในพระอุทยาน นั่งเหนือแผ่นมงคลสิลา ราวกะว่า พระปฏิมาทองคำ.
    ครั้งนั้น มาณพ พราหมณ์ชาวนครพาราณสีคนหนึ่งไปพระอุทยาน เห็นพระโพธิ<WBR>สัตว์ จึงนั่งลงไหว้ พระโพธิสัตว์กระทำปฏิสันถารกับมาณพนั้น แล้วถามว่า มาณพ พระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรมหรือ. มาณพตอบว่า ขอรับพระคุณเจ้า พระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรม แต่พระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระองค์เชิญพระศพของพระนางไว้ในรางแล้ว ทรงบรรทมพร่ำเพ้อรำพัน วันนี้เป็นวันที่ ๗ พระคุณเจ้าจะไม่ช่วยพระราชาให้พ้นจากทุกข์บ้างหรือ เมื่อมีผู้มีศีล เช่นท่านสมควรจะให้พระราชาเสวยทุกข์เช่นนั้นหรือ.
    พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เราไม่รู้จักพระราชา หากพระราชาจะเสด็จมาถามเรา เรานี่แหละจะทูลบอกที่ที่พระมเหสีไปเกิด จะให้พระนางตรัสสนทนากับพระราชาทีเดียว. มาณพนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้านั่งรออยู่ที่นี้ จนกว่ากระผมจะทูลเชิญพระราชาเสด็จมา มาณพรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์แล้ว ไปเฝ้าพระราชา กราบทูลความนั้น แล้วทูลพระองค์ควรเสด็จไปยังสำนักของท่านผู้มีจักษุทิพย์.
    พระราชาทรงดีพระทัยที่จะได้ทรงเห็นพระนางอุพพรี เสด็จขึ้นรถไปอุทยาน ไหว้พระโพธิสัตว์ แล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่ง ถามว่า ได้ยินว่าท่านรู้ที่เกิดของพระเทวีจริงหรือ. พระโพธิสัตว์ทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เกิดที่ไหน. ทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระนางทรงมัวเมาในรูป อาศัยความเมาไม่ทรงทำกรรมดี จึงไปเกิดในกำเนิดหนอนมูลโค. ตรัสว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อ. ทูลว่า ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะแสดงแก่พระองค์ แล้วให้พูด. ตรัสว่า ดีแล้ว จงให้พระนางพูดเถิด.
    พระโพธิสัตว์ได้ทำให้หนอนสองตัวมาด้วยอานุภาพของตน โดยอธิษฐานว่า ขอให้หนอนสองตัวจงชำแรกก้อนโคมัยออกมาเบื้องพระพักตร์ของพระราชา หนอนสองตัวก็ออกมาตามนั้น. พระโพธิสัตว์ เมื่อจะแสดงพระเทวี จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเทวีอุพพรีนี้จากพระองค์ไปแล้ว เดินตามหลังหนอนโคมัยมา ขอพระองค์จงทอดพระเนตรเถิด. พระราชาตรัสว่า พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า สัตว์ที่เกิดในกำเนิดหนอนโคมัยชื่อ<WBR>อุพพรี พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมาภาพจะให้หนอนนั้นพูด. ตรัสว่า ให้พูดเถิดพระคุณเจ้า.
    พระโพธิสัตว์ เมื่อจะให้หนอนพูดด้วยอานุภาพของตนจึงเรียกว่า แน่ะนาง<WBR>อุพพรี นางหนอนพูดเป็นภาษามนุษย์ว่า อะไรเจ้าคะ.
    พระโพธิสัตว์ถามว่า ในอัตภาพที่ล่วงแล้ว ท่านเป็นอะไร. ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ ชื่ออุพพรีเจ้าคะ.
    ถามว่า ก็เดี๋ยวนี้พระราชาอัสสกะยังเป็นที่รักของเจ้า หรือว่าหนอนโคมัยเป็นที่รักของเจ้า. ตอบว่า ท่านเจ้าขา พระราชาเป็นพระสวามีของข้าพเจ้าในชาติก่อน ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเที่ยวชื่นชมรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกับพระราชานั้นในอุทยานนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าไปต่างภพกันแล้ว พระราชาอัสสกะจะเป็นอะไรกับข้าพเจ้าเล่า บัดนี้ ข้าพเจ้าจะสังหารพระเจ้าอัสสกะ เอาพระโลหิตในพระศอของพระองค์ มาล้างเท้าของหนอนโคมัยผัวของข้าพเจ้าเสีย แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยภาษามนุษย์ ในท่าม<WBR>กลาง<WBR>บริษัท<WBR>ว่า :-

    ประเทศนี้ เราผู้มีความจงรัก ได้เที่ยวเล่นอยู่กับพระเจ้าอัสสกะผู้เป็นพระสวามีที่รัก ผู้มีความประสงค์ตามความใคร่.

    ความสุขและความทุกข์เก่า ถูกความสุขและความทุกข์ใหม่ปกปิดไว้ เพราะฉะนั้น หนอนจึงเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าพระเจ้าอัสสกะอีก.

    ในบทเหล่านั้น บทว่า อยมสฺสกราเชน เทโส วิจริโต มยา ความว่า อุทยาน<WBR>ประเทศ<WBR>อันน่ารื่นรมย์นี้ เราเคยเที่ยวไปกับพระเจ้าอัสสกะ. คำว่า อนุ ในบทว่า อนุกามยกาเมน เป็นเพียงนิบาต. ความว่า เราผู้มีความใคร่ต่อพระเจ้าอัสสกะนั้น ได้เที่ยวเล่นกับพระเจ้าอัสสกะผู้ใคร่เรา. บทว่า ปิเยน ได้แก่ เป็นที่รักในอัตภาพนั้น. บทว่า นเวน สุขทุกฺเขน โปราณํ อปิถิยฺยติ ความว่า นางหนอนกล่าวว่า ท่านเจ้าขา สุขเก่าถูกสุขใหม่ปกปิดครอบงำ ทุกข์เก่าถูกทุกข์ใหม่ปกปิดครอบงำ นี้เป็นธรรมดาของโลก. บทว่า ตสฺมา อสฺสกรญฺญาว กีโฏ ปิยตโร มมํ ความว่า เพราะสุขทุกข์เก่าถูกสุขทุกข์ใหม่ปกปิด ฉะนั้น หนอนจึงเป็นที่รักของข้าพเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าอัสสกะร้อยเท่าพันเท่า.

    พระเจ้าอัสสกะได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงแค้นพระทัย ยังประทับอยู่ ณ ที่นั้น รับสั่งให้ย้ายศพพระเทวีออกไป ทรงสรงสนานพระเศียร แล้วไหว้พระโพธิสัตว์ เสด็จเข้าพระนคร ทรงอภิเษกสตรีอื่นเป็นอัครมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม.
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถวายโอวาทพระราชาให้ทรงหายโศกแล้ว ก็ได้กลับไปยังป่า<WBR>หิมพานต์.
     

แชร์หน้านี้

Loading...