ข้อคิด & วิธีเลี่ยงการทำบาปกรรมประเภท "จำเป็นต้องโกหก" ในชีวิตประจำวัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย sss12, 22 พฤศจิกายน 2010.

  1. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ถาม – ได้ยินว่าแค่โกหกก็ต้องตกนรกแล้ว โทษหนักเกินไปหรือเปล่า? ในเมื่อชีวิตประจำวันของคนเรานั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงการพูดเท็จอย่างนี้

    ที่เคยได้ยินมานั้นพักไว้ก่อน ลองดูว่าคนที่รู้ดีที่สุดท่านพูดไว้อย่างไรดีกว่าครับ

    การโป้ปดมดเท็จนั้น เมื่อใครเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังให้มีกำเนิดในนรก ในดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ พอลองดูอย่างละเอียดรอบคอบก็จะพบว่ามีเงื่อนไขของการไปนรกเพราะมุสาวาทอยู่ นั่นคือเสพจนติด เพาะเลี้ยงตัวโกหกจนมันเติบโตขึ้นเป็นนิสัยถาวร ปั้นน้ำเป็นตัวบ่อยเสียจนชินชาหน้าไม่อาย

    เมื่อเล็งเข้าไปที่จิตใจของผู้สร้างสมนิสัยโป้ปดมดเท็จจนเคยตัว จะเห็นว่ามีความดำมืด มีความบิดเบี้ยวเลอะเลือน และที่ธรรมชาติเขาพิพากษาไว้ก็คือหากจิตชุ่มด้วยบาป สกปรกมะล่อกมะแล่กดูไม่ได้ ก็จะต้องมีที่ไปเหมาะกับความสกปรกโสมมของตนเอง

    อีกประการหนึ่ง ตัวมุสาตัวเดียวมันเหมือนเชื้อโรคร้าย สามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นโรคอื่นได้ไม่รู้จบ จะเปรียบเทียบเหมือนกับเอดส์ที่เข้าไปทำลายภูมิต้านทานโรคต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็ได้ เมื่อใดที่ความละอายถูกทำลายลง เมื่อนั้นคนเราย่อมหมดความยับยั้งชั่งใจที่จะกระทำบาป พร้อมจะก่อเวรก่อกรรมได้ทุกชนิด สมดังที่พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสคือ

    เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่แก่ใจ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งนั้น ย่อมไม่มี

    โกหกหนึ่งครั้งคือสร้างความบิดเบี้ยวให้กับจิตหนึ่งหน สังเกตดูก็ได้ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครั้งต่อไปลองพูดปดแบบรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องมันไม่จริง พูดเสร็จให้ดูเข้ามาในใจตัวเอง จะเห็นความฟุ้งซ่านจับไม่ติด หรือแม้หากว่าพื้นฐานเป็นผู้ทรงสติเป็นเยี่ยม อย่างน้อยที่สุดคุณจะเห็นความเย็นชาของจิต มีความรู้สึกอยากเย้ยโลก และเห็นว่าการสร้างข้อมูลเท็จได้แนบเนียนคืออำนาจที่แท้จริง

    ความจริงยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือ สัจจะความจริงนั่นแหละอำนาจสูงสุดมื่อคุณพูดถึงความจริงบ่อยๆ พูดอย่างมีสติทั้งรู้ว่าบางครั้งอาจก่อผลด้านลบให้กับตนเอง แต่ละครั้งคุณจะรู้สึกถึงพลัง ความมั่นคงทางใจ และความสามารถรู้เห็นอะไรๆได้ตามจริงราวกับคนเคยตาสั้นได้แว่นที่จักษุแพทย์มอบให้

    มาพูดถึงความจำเป็นต้องโกหกในชีวิตประจำวันกันบ้าง การโกหกมดเท็จนั้นมีหลายแบบ แบบที่เดือดร้อนคนอื่นมากก็มี ไม่เดือดร้อนใครเลยก็มี โกหกโดยเจตนาให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายก็มี โกหกเพราะมาดหมายเอาประโยชน์เข้าตนก็มี โกหกทุกวันจนติดเป็นนิสัยก็มี นานๆโกหกทีก็มี โกหกแบบหยอกล้อเล่นหัวเพื่อได้หัวเราะกันก็มี โกหกแบบตลกเลือดจะให้ตระหนกตกใจปางตายก็มี

    ตัวแปรต่างๆจะทำให้เกิดน้ำหนักผิดแผกแตกต่างไป ที่เห็นผลใกล้ที่สุดก็คือความบิดเบี้ยวทางความรู้สึกอันเป็นของรู้เฉพาะตน (ผู้มีความสามารถหยั่งรู้วาระจิตก็ทราบได้ แต่คนทั่วไปเขาจะไม่รู้สึกถึงความบิดเบี้ยวอันนี้ในเราเลย)

    ความบิดเบี้ยวทางจิตเป็นอย่างไร? ขอให้ลองดูตอนคุณโกหกคำโต เมื่อไหร่โกหกเสร็จลองพยายามรู้ตามจริงว่าหายใจเข้าหรือออกให้ได้สักสิบครั้ง นับดูสิครับว่าจิตมีความสามารถตามรู้ไปได้จริงๆกี่ครั้ง เสร็จแล้วเอาใหม่ ถ้ามีโอกาสให้โกหกเพื่อประโยชน์ของเรา แต่เราไม่เอา จะเอาแต่ความจริง พูดแต่คำที่เป็นสัตย์ พูดออกมาจากใจที่ซื่อทางโลกแต่เจ้าปัญญาทางธรรม พอพูดเสร็จสังเกตดูว่ารู้สึกดีอย่างไร เกิดความมั่นคงทางใจแค่ไหน ขอให้ทราบว่านั่นแหละอำนาจแห่งสัจจะที่เราได้รับในทันที ลองพิสูจน์ให้เห็นอำนาจนั้นชัดขึ้นด้วยการตามรู้ลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง แล้วจะรู้ว่าเราทำได้ไม่ยากเลย

    ความสามารถรู้ตามจริงนั้น โดยทั่วไปคนเราถือเป็นเรื่องผิวเผิน แต่ที่แท้มีความสำคัญยิ่งยวดกับชีวิต เพราะเมื่อสามารถรู้ได้ตามจริง ก็ย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คนเราเมื่อรู้จักประโยชน์ย่อมเก็บเกี่ยวแต่ประโยชน์มาสั่งสมไว้ให้พอกพูน แต่เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็อาจพลาดตักตวงมันเข้ามาด้วยความละโมบโลภมาก เหมือนกองขยะแห่งบาปกรรมส่งกลิ่นเน่าเหม็นเพียงใดก็ไม่รู้สึก เพราะจมูกแห่งมโนธรรมมันตายด้านไปเสียแล้ว

    นี่แหละ สังเกตจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับเราเอง เอาเราเองเป็นที่ตั้งของเครื่องวัด ก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ขู่เล่น ท่านตรัสชี้ว่าอะไรเป็นอะไรตามจริงต่างหาก


    ถาม – ผมทำการค้า หลายครั้งบอกความจริงกับลูกค้า แต่บอกไม่หมด เหมือนบิดเบือนข้อมูลไป ถือว่าเป็นการผิดศีลเรื่องการพูดปดหรือไม่ครับ?

    ถ้าเจตนาเราต้องการกล่อมคนฟังให้ถึงขั้นเข้าใจผิดจากความจริง ก็เรียกว่าเป็นการมุสาทั้งนั้นครับ จะด้วยวิธีบอกทั้งหมดหรือบางส่วน หรือกระทั่งใช้ภาษากายเป็นอุบายล่อตาก็ตาม เจตนาทำให้คนดูหรือคนฟังสำคัญผิดจากความจริงอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง คือมุสาวาทเต็มขั้น

    กล่าวกว้างๆอย่างนี้ ความจริงในภาคปฏิบัติต้องดูเป็นเรื่องๆด้วยครับ บางทีคุณไม่ได้พูดโกหกแม้แต่คำเดียว ทว่าเจตนานั้นฉ้อฉล ทำให้คนฟังหลงกล กลับความเข้าใจจากดำเป็นขาว จากขาวเป็นดำ อย่างนี้ก็เข้าข่ายมุสาวาท ตรงข้าม แม้คุณไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่นพ่อสอนลูกด้วยการอุปมาอุปไมยหรือยกนิทานมาเล่าเป็นการสาธก แต่ลูกเกิดความเข้าอกเข้าใจสัจจธรรมอย่างถูกต้อง อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายมุสาวาท

    ในหลายกรณี ถ้าเราพูดความจริงตามหน้าที่ โดยคิดว่าหน้าที่ของเราให้ข้อมูลเขาได้แค่นี้ ก็ถือว่ารอดตัว ยกตัวอย่างเช่นทีมแพทย์ตกลงกันว่าจะบอกญาติคนไข้ว่าผลการผ่าตัดมีโอกาสสำเร็จต่ำ ทั้งที่นึกๆอยู่ในใจว่าไม่มีทางสำเร็จเลย อย่างนี้ก็ไม่นับเป็นการโกหก เพราะผลยังไม่ปรากฏชัดเจนแน่นอน เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครรู้จริง

    สำหรับพวกที่ต้องติดต่อค้าขายอาจเลี่ยงยาก เพราะไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลด้านเดียว แต่มักต้องให้ข้อมูลด้านอื่นที่ผู้บริหารสั่งมาด้วย เริ่มต้นอาจเป็นกตัตตากรรม คือคุณจำใจโกหกตามคำสั่งโดยไม่ยินดี แต่พอทำบ่อยๆจนชิน กลายเป็นความเต็มใจ ในที่สุดก็เป็นกรรมของคุณเองได้ พูดง่ายๆคือใจหมดความรู้สึกผิดเมื่อใด ตรงนั้นคือมุสาวาทเต็มขั้นแล้ว

    บางทีอยู่ในโลกก็หลีกเลี่ยงบาปกรรมยากครับ คุณต้องรักษาศีลให้สะอาดผ่องแผ้วพอจะไปเกิดในสังคมอารยะที่ไม่มีการโกหกเลย เอาเป็นว่าถ้าจำเป็นต้องโกหกก็ขอให้รักษา ‘ความไม่ยินดี’ ไว้ บอกตัวเองว่าเราไม่อยากอยู่ในวงจรแห่งการมุสาเลย วันนี้เราทำเขา วันหน้าก็ต้องโดนเขาทำบ้าง เมื่อใดคุณขาแข็งพอจะปลีกตัวออกมาจากวงจรเดิมๆเสียได้ก็อย่าช้าแล้วกัน


    ถาม – ถ้าจำเป็นต้องโกหกบ้างนิดๆหน่อยๆ กฎแห่งกรรมถือว่าหยวนๆให้บ้างไหม?

    ผมไม่ได้มีหน้าที่พิทักษ์กฎแห่งกรรมนะครับ คงไม่อาจเป็นตัวแทนธรรมชาติหยวนหรือไม่หยวนให้คุณๆได้สักแค่ไหน เอาเป็นว่าตัดสินใจอย่างไรก็ขอให้รู้อยู่ว่าตัวเองมีความละอายติดจิตติดวิญญาณแค่ไหนก็แล้วกัน


    ขอให้พิจารณาตามจริงว่าแม้เราจะไม่โกหกเป็นประจำ แต่ลงถ้าได้เริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ก็มักจะเหมือนเราก้มหัวให้ใครเขาใช้ ถูกใช้ได้ครั้งหนึ่งก็จะอ่อนแอลงนิดหนึ่ง พอเขาใช้อีกเราก็อาจจะยอมก้มหัวอีก ในที่สุดหัวเราก็อ่อนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นขี้ข้าตัวมุสาไปเต็มยศ นี่แหละ ผมสรุปว่าที่มาของการโกหกใหญ่ก็คือการโกหกเล็กๆนั่นเอง โดยเฉพาะถ้าโกหกเล็กๆโดยปราศจากความละอาย

    แรงขับดันให้โกหกมักมาจากคำว่า ‘จำเป็น’ หรือ ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ มันอยู่ที่เราตัดสินใจเลือก ถ้าใช้ความฉลาดกันจริงๆก็อาจไม่จำเป็นต้อง ‘โกหกเต็มๆ’ หรอก หลายๆเรื่องเราเอาความจริงส่วนที่ไม่เสียหายมาพูดได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในทุกเรื่องอยู่แล้ว

    ขอให้สังเกตจากชีวิตประจำวันว่าคำพูดนั้นดิ้นไปได้เรื่อยๆครับ ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ใจเล็งอีกอย่างหนึ่ง จิตคิดพูดของคนในโลกมักเบี่ยงเบน ไม่เป็นไปเพื่อการเห็นตามจริง แต่เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อให้คนอื่นเห็นเราตามที่เราอยากให้เขาเห็น


    ลองฝึกฝนดู ใจเล็งอย่างไรปากพูดตามนั้น ก่อนพูดก็ทำตัวเป็นนายคำพูด สั่งให้เกิดแต่คำพูดที่เป็นประโยชน์ หรือก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบน้อยที่สุด เมื่อคิดก่อนพูดบ่อยเข้า ชีวิตจะลงตัวไปเอง ความจำเป็นต้องโกหกจะค่อยๆหายไปจากชีวิตเราจนกระทั่งไม่เหลือเลยจนได้แหละน่า ธรรมชาติเขาไม่ใจไม้ไส้ระกำกับคนตั้งใจดีมีใจจริงหรอกครับ

    ที่มา ������ʺ�§�������§��� - �ѧ�ij
    เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว - ดังตฤณ


     
  2. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ขอบคุณครับ

    ละเอียด และเป็นประโยชน์มาก

    พอลืมๆไป อ่านทีไรก็ได้เตือนสติทุกที

    อนุโมทนาบุญ
     
  3. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,254
    การพูดโกหกอันดับหนึ่งคือคุณโกหกตัวเองเพราะจิตคุณรู้
    เเละเมื่อคุณโกหกคนอื่นก็เหมือนคุณโกหกจิตตัวเอง
    อย่ามาบอกว่าโกหกเพื่อคนอื่นธรรมนั้นเป็นสิ่งธรรมชาติอ้างไม่ได้
    ทางที่ดีอย่าพูดหรือเลี่ยงที่จะไม่พูดดีกว่าเพราะคงไม่มีคนเอาปืนมาจ่อหัวให้พูด
     
  4. simmie

    simmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +820
    เมื่อใจนึกสงสัยหรือพยายามหาเหตุผลข้ออ้างใดๆ ...หิริ-โอตตัปปะ คือ คำตอบ
     
  5. Mupuii

    Mupuii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +38
    ขออนุโมทนา สาธุค่ะ

    หนูก้อต้องโกหกเพราะความจำเป็นบ่อยเหมือนกัน เพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย

    และหนูก็เคยโกหกคุณพ่อ คุณแม่ จนทำไห้ท่านร้องไห้ บาปหนักไหมค่ะ จะแก้ยังไง

    ทุกวันนี้หนูสวดมนต์ภาวนาทุกคืนค่ะ มีวิธีอื่นอีกไหมค่ะ แนะนำหนูด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2010
  6. พีรดนย์

    พีรดนย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +63
    โมทนาสาธุครับ

    วาทะของคุณดังตฤณได้อ่านทีไรก็มีประโยชน์มากมาย
     
  7. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    1. ผลกรรมของการโกหก

    พุทธวจนะที่ว่า....."ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"
    โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๔* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิด ในนรก ฯลฯ
    วิบากคือเศษกรรม ของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ จากคำสอนของพระพุทธองค์ทำให้เห็นได้ว่า กรรมหรือผลกรรมของการโกหกนั้นพอสรุปคร่าวๆไ้ด้ดังนี้

    - ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายนอก เห็นง่าย คือคนเขาจะไม่เชื่อถือ พูดอะไรไปแม้จริง ก็มีกระแสบางอย่างทำให้เขารู้สึกมัวๆ ขัดๆเพราะคนโกหกประจำจะดูกะล่อนๆ สัมผัสรู้สึกได้

    - ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายใน เห็นยาก แต่รู้ได้ถ้าเลิกเข้าข้างตัวเอง คือใจจะปรุงแต่ง ฟุ้งไปในอุปาทานนานาชนิดอยู่ตลอด หลอกคนอื่นบ่อยๆ ในที่สุดก็หลอกกระทั่งตัวเอง ยิ่งหม่นมืดยิ่งมองไม่เห็นว่าหลอก นึกว่าดี นึกว่าไม่เป็นไร การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดีอยู่เเล้ว เเต่ก็ขึ้นอยู่ที่บางครั้ง บางคนอาจโกหกเพราะจําใจ เเต่ที่เเน่ๆ พวกโกหกทําให้คนอื่นดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ทั้งๆที่เเท้ที่จริง คนๆนั้นเป็นคนดี อันนี้บาปหนาครับ

    2. การโกหกที่ทำให้พ่อแม่ร้องไห้ บาปแน่นอนค่ะ แต่อย่าคิดมากเกินไปในสิ่งที่เราทำไปแล้วแก้ไขไม่ได้ กรรมเก่าเราลบล้างไม่ได้ แต่เราพยายามสร้างกรรมดีใหม่เพื่อช่วยให้ผลกรรมไม่ดีเจือจางไปได้บ้างดีกว่าค่ะ และให้คิดในเชิงสร้างสรรค์ว่า สิ่งที่เราทำไปแล้ว แล้วรู้ว่าไม่ดีนั้น ต่อไปนี้เราจะแก้ไขนิสัยนี้อย่างไร หรือ จะทำอย่างไรไม่ให้มันเกิดได้อีก ลองทำตามวิธีดังนี้ดูนะค่ะ

    - หากคุณพ่อ-แม่ ยังอยู่ แนะนำให้ลองขอขมาทำในสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับท่าน ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ ดูเพ่ิมเติมตามลิงค์ค่ะ http://palungjit.org/threads/คำกล่าวขอขมา-บิดา-มารดา.135134/

    - การสวดมนต์ทุกวันตามที่คุณบอกเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ หากมีเวลาลองนั่งสมาธิภาวนาด้วยจะยิ่งดี แล้วหลังจากสวดมนต์+สมาธิแล้ว ให้แบ่งบุญจากการปฎิบัติดีของเราให้ คุณพ่อ-แม่ ผู้ให้ธาตุขันธ์เราด้วย วิธีคือ ให้นึกถึงบุญคุณของท่าน + แบ่งบุญให้ท่านทั้งสองทุกวันๆ ผลจากการกระทำนี้ จะทำให้เราเกิดความเกรงกลัวในการทำให้ท่านเสียใจมากขึ้นคะ เพราะเรานึกถึงบุญคุณของท่านอยู่ตลอด ผลก็คือ จิตใจเราก็ดี และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกวันเช่นกันค่ะ

    - พยายามระลึกถึงศีลห้าในทุกๆวัน เช่น ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ลองตั้งใจดูว่า วันนี้เราจะรักษาศีลห้าให้ครบทุกข้อให้ได้ ผลก็คือ หากมีเหตุใดก็ตามให้เราต้องโกหก รับรองได้ค่ะ ว่าสติมันจะดีดขึ้นมาให้รู้สึกผิดไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งแรกๆอาจจะช้าหน่อยที่รู้สึกตัว ทำซ้ำๆไป รับรองว่า สติมันจะทัน และในระยะยาว การพยายามระลึกว่าจะรักษาศีลห้าเสมอแบบนี้ จะส่งผลให้จิตใจเรามั่นคงขึ้น และสติจะตามมาทันก่อนเราจะทำผิดศีล ลองทำดูนะค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2010
  8. Mupuii

    Mupuii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับคำแนะนำ

    คือนั้นเปนครั้งแรกและครั้งเดียวที่นู๋โกหกคุณพ่อคุณแม่ เปนเรื่องใหญ่พอสมควร

    นู่ไม่เคยโกหกท่านหรือใครๆเรย จนเหตุการณ์เลวร้ายนั้นเข้ามาในชีวิต

    ทำไห้นู๋ต้องโกหก แต่พอท่านมารู้ความจิงท่านเลยร้องไห้ เพราะว่าสงสารนู๋

    คือท่านเสียใจที่นู๋ไม่บอกท่านเรื่องที่นู๋โดนหลอกไปจนเกือบหมดตัว

    คือคุนพ่อคุนแม่ท่านไม่โกรธนู๋เรย ไม่พูดจาซ้ำเติม

    หรืออะไรที่รุนแรงทั้งนั้น ท่านพูดแค่ว่ากลับไปอยู่บ้านสักพัก พักผ่อน สบายใจแล้ว

    ค่อยกลับมาเรียน ทำงาน อะไรแล้วแต่ตามใจ เริ่มต้นใหม่ มีอะไรอย่าตัดสินใจคนเดียวอีก

    ประมาณนี้ค่ะ แต่นู๋ก้อยังต้องขอขมาใช่มั้ยค่ะ รบกวนตอบนู๋อีกครั้งค่ะ

    คือตอนนั้นนู๋แค่กราบขอโทษ นู๋พูดอารายไม่ออกเลยร้องไห้อย่างเดียว
     
  9. john2518

    john2518 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +561
    ตอบหนูหมูปุ้ย..ทุกอย่างเป็นกรรม คือการกระทำของเรา..เอง
    บางครั้งเจอคนดีเราก็ไม่สนใจ เจอคนไม่ดีเราก็ซวยไป
    เพราะความถือมั่นยึดติดในตัว
    ควรปล่อยวางหมั่นสวดมนต์ภาวนาเยอะๆหากัลยามิตรทางธรรมทำให้เราดีขึ้น..อยู่ง่ายกินง่าย..พูดน้อย..
     
  10. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081

    อยากแนะนำให้ทำค่ะ จะรอให้ถึงวันเกิดท่าน หรือ วันเกิดเราก็ได้ค่ะ
    เคยแนะนำให้เพื่อนทำแบบนี้ แล้วเขาก็ได้สิ่งดีๆกลับมา สบายใจมากขึ้น
    คุณพ่อ-แม่เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกันค่ะ เหมือนเป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อ-แม่
    รู้สึกดีอีกวิธีหนึ่งเลยค่ะ
     
  11. Mupuii

    Mupuii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณมากนะคะ คุณพี่sss12 นู๋จะนำไปทำแน่นอนค่ะ
     
  12. Mupuii

    Mupuii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +38

    นู๋ก้ออยู่ง่ายกินง่ายนะค่ะ ไม่ใช่ว่านู๋ไม่สนใจไคร นู๋แค่อยากไห้มันค่อยเปนค่อย

    ไปหนะค่ะ คนเราต้องดูกันไปเรื่อยๆว่าจะดีไปตลอดรึเปล่า รีบไปก็ไม่ดี ตั้งแต่

    เกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ทุกวันนี้นู๋ต้องคิดให้มากขึ้นหนะค่ะในทุกเรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...