ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    รูปเหมือนหลวงพ่อเดิม เทียบกับรูปขนาด ๔ x ๖ นิ้ว ของฤาษี (ฤาษีองค์นี้ถูกถ่ายรูปไว้ขณะที่คณะของแม่จันทาฤกษ์ยาม ลอยเรืออยู่ที่เขื่อนแห่งหนึ่งเพื่อทำพิธีบวงสรวงอะไรสักอย่าง จำชื่อฤาษีองค์นี้ไม่ได้แล้ว รูปนี้เกิดจากลูกศิษย์คนหนึ่งของแม่จันทาได้ถ่ายไปที่กลุ่มหมอกที่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำแล้วก็ติดเป็นรูปนี้ ถ่ายด้วยกล้องที่ใช้ฟิล์ม ส่วนของฟิล์มรูปนี้อยู่ที่ฤาษีเกษแก้ว แล้วก็อัดเป็นรูปจากฟิล์มต้นฉบับนั้นมาค่ะ)​
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
  3. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191

    ณ.บัดนี้ Encyclopaedia girl ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว 55555555


    โมทนา สาธุ สาธุค่ะ นี่คือคำตอบของการ ทำดี ต้องได้ดี เพียงแต่ว่า มันจะมา ช้าหรือเร็ว

    น้องคนนึงที่เรารู้จักได้ไม่นาน (แต่คุยเหมือนกะคนที่สนิทสนม กันมานาน) sheน้อยใจในโชคชะตาค่ะ เลยหลงผิดไม่เชื่อเรื่อง ทำดีได้ดี งั้นเราฝากเรื่องนี้ด้วย เผื่อยัยคนนั้น ผ่านมาอ่านเจอ อิอิอิอิ (ตอนนี้ sheคงเปลี่ยนความคิดแร้ว)

    [​IMG] หนาวแล้ว ดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าลืมห่มผ้าเวลานอน [​IMG]
     
  4. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493


    ไปอ่านมาแล้วครับ พระบรมราชานุสาวรีย์ช่างสง่างามมากๆ

    ขอกราบแทบเบื้องพระบาทองค์สมเด็จพ่อพระนเรศเป็นเจ้าพระพุทธเจ้าข้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  5. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขอเดาว่าท่านคือองค์ฤาษีตาไฟครับเพราะมีพระเนตรสามดวง

    หากผิดพลาดไปประการใดกระผมขอกราบขอขมาพระคุณเจ้าขอรับ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ฤาษีตาไฟ

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=createdate vAlign=top></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    [​IMG]


    คาถาบูชาพระปู่ฤาษี

    นะโม ๓ จบ

    โอมสิทธิ การิยะ แห่งบรมครูทั้งหลาย อะธิเจ
    ตะโส อะปะ มัชชะโต โมนะ ปะกะสุ สิกะ คะโต โส
    พะนัพ ภะวันติ ตาทิโน อุปะสัน ตัสสะ สะติมะโต
    ขอสติปัญญา ความสำเร็จและงาน

    ***************


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอยกนิ้วให้คุณไก่เหลืองฯ คิดว่าน่าจะใช่ฤาษีตาไฟค่ะ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    กระซิบว่า ทางสายธาตุน่าจะยังสามารถจัดหารูปฤาษีตาไฟ ขนาดโพสการ์ดได้อีก ถ้าอย่างไรหากหาได้อีกจะมาบอกนะคะ

    คุณนายเจ๊โหน่งเอ๋ย sheคนนั้นคงกำลังเสียใจที่ไปปรามาสพระธรรมนะหนูว่า คงสำนึกแล้วหล่ะ หลงไปสักสองสามชาติได้ ป่านนี้คงกำลังเลี้ยวยูเทิร์นกลับตัวกลับใจใหม่ เข้าสู่เส้นทางสายพระนิพพานตามเดิมค่ะ หวังว่าเธอคนนั้นจะไม่เกิดมิจฉาฐิตติขึ้นอีกนะพี่ นึกถึงคำอธิษฐานจิตที่ไปพบมาจากวัดนครหลวง อธิษฐานแบบป้ายข้างล่างนี้คงไม่หลงทางอีกค่ะคุณพี่คุณนายเจ๊โหน่ง

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0124.JPG
      IMG_0124.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.3 KB
      เปิดดู:
      771
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    มารู้จัก ร้อยเอก หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ปัจจุบันท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ บทความนี้คัดลอกมาจาก บทสัมภาษณ์พิเศษ จากเว็บไซต์ our-teacher.com ผมขอที่จะไม่กล่าวหรือชี้นำในประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพราะอาจทำให้ท่านผู้อ่านไขว้เขวได้ จึงขอฝากไว้ให้เป็นวิจารณญาณกันครับ


    สัมภาษณ์พิเศษ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล เหลนของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงฯ [FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]สถานการณ์ทางการเมืองของไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากแต่ละฝ่ายได้มีการอ้างในเรื่องของสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาว ไทย เพื่อดึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ผวจ.นครปฐม วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่มีการละเมิดสถาบันอย่างต่อ เนื่องว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกับช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ฝ่ายที่ไม่ประสงค์ดีกับชาติคิดการใหญ่ แต่ก็มีความต่างของบางประเด็นในปัจจุบัน โดยในปี 2475 บางทฤษฎีบอกว่าคณะผู้ก่อการฯ คิดไกลไปจนถึงพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบของประเทศ แต่อีกหลายทฤษฎีก็บอกว่าคณะผู้ก่อการฯ ยังยึดมั่นในจารีตประเพณีที่จะธำรงไว้ซึ่งสถาบันสำคัญ ๆ ของชาติ “แต่ผู้คิดการใหญ่ปี 2552 คิดไกลไปมากกว่านั้นเป็นเรื่องแนวคิดที่ต้องการเปลี่ยนระบบของชาติโดยไม่ ต้องการรักษาความถูกต้อง ไม่ต้องการรักษาระบบจริยธรรมสังคม แต่ก็ไม่อยากพูดว่าเขาคิดไปไกลจนถึงการไม่รักษาสถาบันไว้ ผมขอพูดว่าอันตรายมากเหมือนกับเล่นละครฉากใหญ่ บทบาทหนึ่งบอกว่าตนจงรักภักดี แต่ในข้อเท็จจริงคนคนเดียวกันกลับปฏิบัติในทางตรงกันข้าม นี่แสดงว่าไม่กล้าจริงเพราะถ้ากล้าจริง เก่งจริงต้องพูดออกมาให้ชัดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำงานใหญ่ในครั้งนี้คือ อะไร อุดมการณ์ต้องปรากฏ ไม่ใช่อุดมการณ์ของการโกหก เพราะการโกหกหลอกลวงจะเรียกอุดมการณ์ไม่ได้” “สมัยก่อนการโกหกพกลมเป็นสิ่งที่คนไทยถือสามาก ทั้งการพูดจาเท็จ การเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับคนบางกลุ่มบางคน ซึ่งน่าห่วงใยอนาคตลูกหลานมาก หากสังคมเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยสอนว่า โกหกได้หนึ่งเรื่องก็โกหกได้อีกทุกเรื่อง ๆ จะกลับกลายเป็นสิ่งที่คนโบราณเรียกกมลสันดาน ผมยังจำคำพูดนี้ได้” ท่านปนัดดา กล่าว ม.ล. ปนัดดา เล่าว่า ครอบครัวดิศกุล เคยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 อย่างหนัก โดยบิดา (พล.ต. ม.ร.ว. สังขดิศ ดิศกุล) เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มักเล่าให้ฟังเสมอว่า ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 สมเด็จทวด (ของ ม.ล. ปนัดดา)หรือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แม้จะทรงพระชราภาพมากแล้ว และเป็นผู้ที่ทำคุณความดีให้กับชาติบ้านเมืองในหลายด้าน เพราะทำงานใกล้ชิดรัชกาลที่ 5 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 7 แต่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 กลับถูกจับเป็นตัวประกันไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมถึง 4 วัน ทำให้พระองค์ท่านเสียพระทัยมากที่ถูกข่มเหงรังแกจากผู้มีอำนาจรัฐบางคนในช่วงนั้นท่านถึงได้เสด็จไปอยู่ที่ปีนังกว่า 9 ปี เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ [/FONT]
    [FONT=Angsana New,Angsana New]อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์วันนั้นมาถึงวันนี้ ม.ล. ปนัดดายังมองโลกในแง่ดีว่า เหตุการณ์จากนี้คงไม่หนักหนาสากรรจ์แบบที่บรรพบุรุษเคยเผชิญมาถ้ามีการ ต่อสู้ด้วยเหตุผล ความรู้ และใช้ปัญญาเข้าหากัน โดยสิ่งที่ตนเองยืนหยัดตลอดมาและตลอดไปคือ ความตรงไปตรงมา ไม่พูดจาตลบตะแลง ยึดมั่นความจงรักภักดี และความรักในประเทศชาติ และเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาการละเมิดสถาบันนั้น ยังเชื่อว่าระบบนิติรัฐมีความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีอำนาจรัฐต้องจริงจังไม่ปล่อยปละละเลยแบบที่ผ่านมา ต้องบอกประชาชนไปเลยว่าอะไรคือถูกผิด อะไรคือความดีความชั่ว ไม่ใช่ปล่อยให้ไปคิดกันเอาเอง เพราะพี่น้องที่อยู่ห่างไกลไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารเหมือนพวกเรา ดังนั้น ผู้นำที่เหมาะสมในตอนนี้ต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น แต่ต้องมีความเด็ดขาดด้วย ที่ต้องย้ำในเรื่องนี้เพราะสถานการณ์ขณะนี้อันตราย เพราะฝ่ายที่หวังพยายามสร้างความแตกแยกได้ลงลึกมากเหมือนต้องการให้มีการ แบ่งแยกชนชั้น โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “อำมาตย์” ซึ่งเป็นคำที่หมดสมัยไปแล้ว เพราะตอนนี้มีแต่ประชาชนเต็มขั้นที่ปกครองประเทศ “ผมคิดว่าความจริงเขาคงอยากพูดคำอื่นด้วยซ้ำ แต่พูดไม่ได้ ฝ่ายที่ประสงค์ร้ายเขามุ่งมั่นให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าห่วงใย เพราะคนไทยกลับลืมเรื่องความรัก ลืมคำว่าชาติ ทั้งที่ในประวัติศาสตร์ของไทยเราที่ผ่านมา การพูดถึง “ชาติ” คำเดียว ความสงบ สามัคคี รักใคร่ จะกลับมา แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามเพราะประเด็นเรื่อง “ชาติ” กลับถูกทอดทิ้ง แต่มาพูดเรื่องของอำนาจแทน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย” ม.ล. ปนัดดา ถ่ายทอดความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เมื่อถามกลับไปว่าเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ สถาบันต้องเปลี่ยนแปลงด้วยหรือไม่ ม.ล. ปนัดดาตอบทันทีว่าเป็นเรื่องที่ทุก ๆ คนต้องปรับตัว “ไม่มีอะไรที่เราจะอยู่ไปได้เหมือนกับในอดีต สิ่งที่จะอยู่คำฟ้าตลอด คือความดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตนแบบคนไทย ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ของความดีออกไปจากความเป็นคนไทยได้ ดังนั้นอะไรที่เป็นความเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ก็ควรต้องมีการพัฒนาให้อยู่ในกรอบดังกล่าว ไม่ใช่ถือยศถือศักดิ์ตลอดเวลา”ม.ล. ปนัดดา หรือ “คุณเหลน” เป็นบุตรชายคนเดียวของ พล.ต. ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล อดีตเอกอัครรราชทูตไทยประจำประเทศสวิสส์ และสำนักวาติกัน และมีศักดิ์เป็นเหลนสายตรงสืบตระกูลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี การออกมายืนแถวหน้าในการปกป้องสถาบันของ ม.ล. ปนัดดา มักถูกตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเป็นเพราะตัวเองเป็นราชสกุลใช่หรือไม่ จึงต้องปกป้องแบบสุดตัวแบบนี้ เหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เปิดใจว่าเรื่องการเป็นราชสกุลเป็นเพียงส่วนประกอบ เพราะสำหรับตัวเองแล้วเต็มใจอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่นี้ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตได้รับการอบรมบ่มสอนว่า เกิดมาเป็นคนไทย ต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งที่ตัวเองจดจำอยู่เสมอคือความรักที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คิดว่าความ[/FONT]
    [FONT=Angsana New,Angsana New]สำนึกประการนี้เปลี่ยนไม่ได้ทั้งจากนี้และตลอดไป เพราะอาจจะเป็นปรัชญาชีวิตของคนไทยไปแล้วส่วนการที่ผู้บังคับบัญชา (นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย) มอบหมายงานเรื่องปกป้องสถาบันนั้น คงเป็นเพราะท่านเห็นว่าเราเป็นข้าราชการที่มีความตั้งใจจริงและบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เล่นการเมืองและไม่เคยคิดเล่นด้วย ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันแยกออกจากตัวเราไม่ได้ มันต้องอยู่ติดตัวเราไปจนวันตายข้าราชการต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนต้องเป็น แถวหน้าในการดำรงรักษาชาติบ้านเมืองในทางที่ถูกต้อง “การที่ผมออกมายืนแถวหน้าในเรื่องนี้ ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกราชสกุล แต่ออกมาในฐานะที่มีความสำนึกในการเป็นคนไทยและพสกนิกรของในหลวงอย่างล้น เปี่ยม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นสมาชิกราชสกุล ในทางกลับกันการเป็นสมาชิกราชสกุลอาจจะขาดทุนด้วยซ้ำที่เกิดขึ้นมาในยุคสมัย นี้ ที่ต้องถูกโจมตีอยู่บ่อย ๆ มันไม่ค่อยแฟร์ ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่อยากเอาเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไข ราชสกุลมาเกี่ยวข้อง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนไทย ที่พอดีว่าคนไทยคนนี้อาจจะมีอักษรย่ออะไรทำนองนั้นมานำหน้าชื่อ แต่ผมอายุเท่านี้แล้ว ก็คงไม่นานสักเท่าไรที่ยศถาบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ จะจบลง” เขาย้ำแม้จะมีหลายครั้งที่เหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ จะถูกตำหนิจากฝ่ายไม่หวังดีว่าเป็นราชสกุลปลายแถว แต่คุณเหลนบอกว่า “ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลยและคิดว่าหากบุพการียังมีชีวิตอยู่ ท่านก็คงจะบอกพี่ในคำพูดเดียวกันว่า ไม่เห็นจะเจ็บปวดอะไรในเมื่อเราไม่เคยคิดว่าเราเป็นราชนิกุล ไม่ว่าจะท้ายแถว ต้นแถว อีกทั้งสมเด็จทวดสอนไว้ว่ายิ่งถ้าเป็นสมาชิกในราชสกุลต้องปฏิบัติตนให้เป็น แบบอย่างกับคนในสังคม อาจจะลำบากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง ดังนั้นการมาเรียกเราว่าปลายแถวต้นแถวอะไร เราไม่ได้สะทกสะท้าน ในทางกลับกันเราอาจต้องหันกลับมามองตัวเองว่าเราไปทำตัวอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะถ้ามีการสะท้อนกลับมาว่าเราทำตัวแบบนั้น คงต้องปรับปรุงตัวครั้งใหญ่” ม.ล. ปนัดดา ผู้เป็นทายาทสืบตราจุลจอมเกล้าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอักษรย่อ “ม.ล.” นำหน้าชื่อ แต่หากใครได้พบปะ ม.ล. ปนัดดา จะพบว่าเหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ผู้นี้ อ่อนน้อมถ่อมตน ยกมือไหว้ทุกคนก่อนโดยไม่ถือตัว แม้ว่าคู่สนทนาจะมีศักดิ์และอายุที่ด้อยกว่า ก็จะขอให้เรียกชื่อแทนตัวว่า “พี่หม่อม” หรือ “พี่เหลน” แทนคำที่ฟังดูโก้หรูอย่างคำว่า “ท่าน” จนเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็นเสมอมา ตั้งคำถามไปว่า เหตุใดถึงเป็นคนที่เป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้ พี่หม่อม ตอบว่า “คงเป็นที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว และโรงเรียนสาธิตประสานมิตรอย่างเคร่งครัดในเรื่องเอกลักษณ์ของความเป็นคน ไทย โดยเฉพาะการถ่ายทอดคำสอนของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ย้ำเสมอว่า ไม่ใช่ว่ามียศถาบรรดาศักดิ์แล้วเที่ยวไปทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน วางอำนาจแต่ตรงกันข้ามถ้าเรามียศถาบรรดาศักดิ์เราต้องเสียสละ มีน้ำใจ อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหาประชาชน นี่คือตัวตนที่ปฏิบัติเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นและคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป” [/FONT]
    [FONT=Angsana New,Angsana New]นอกจากจะมีกิริยามารยาทที่งดงามอย่างไทยจนเป็นที่ประทับใจของผู้ที่พบเห็น แล้ว เสื้อผ้าหน้าผมของเหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ผู้นี้ ก็ล้วนแต่แสดงออกซึ่งความเป็นไทยด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าไหมคอราชปะแตนที่เป็นเอกลักษณ์ของ ม.ล. ปนัดดา เป็นเหตุให้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “กรรมการเอกลักษณ์ของชาติ” ซึ่งเป็นหมวกอีกใบที่เจ้าตัวภูมิใจมาก พร้อมกับบอกความลับว่า “ภรรยา (คุณอัมพร ดิศกุล ณ อยุธยา)” เป็นผู้ดูแลให้ทั้งหมด แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ใส่ชุดเครื่องแบบซ้ำ โดยเปลี่ยนแต่เสื้อยืดตัวในเท่านั้น เพราะไม่ทันจริงๆ (หัวเราะ)อีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล เหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มุ่งมั่นทำให้ดีที่สุด คือการรักษา “วังวรดิศ” ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จทวด ซึ่งตอนนี้วังวรดิศอายุร่วมร้อยปีแล้ว ม.ล. ปนัดดา ย้อนความว่า ชื่อ “เหลน” หรือ ปนัดดา เป็นชื่อที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงตั้งไว้ โดยถ้าหากมีเหลนคนโตที่เป็นผู้ชายให้ชื่อ “ปนัดดา” ซึ่งแปลว่า เหลน ตั้งไว้เพื่อให้เรารู้จักรับผิดชอบชั่วดีเพื่อดำรงวงศ์สกุล ในส่วนนี้ผมขอสดุดีคุณความดีของคุณพ่อ (พล.ต. ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล) ที่เสียสละอย่างยิ่งเพราะในขณะนั้นมีคนมาหลอกล่อให้ขายวังวรดิศ ในราคาที่สูงกว่าพันล้านบาท เพื่อทำศูนย์การค้า หรือแม้แต่สถานทูตต่างประเทศก็มาขอซื้อขอเช่า แต่คุณพ่อไม่เคยใจอ่อน มีแต่บอกว่า เราต้องรัดเข็มขัด ต้องประหยัด เพื่อรักษาพระนามของบรรพบุรุษไว้ นั่นคือสมเด็จปู่ของพ่อหรือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ผู้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของชาติและของโลก อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ไม่มีการติดต่อขอซื้อแล้ว เพราะคงเข้าใจแนวคิดเราชัดเจนว่า ไม่ขาย หากมาถามมาก ๆ มีหวังเกิดสงครามเพราะเหมือนดูถูกเรา“คุณพ่อพูดอยู่เสมอว่าเราไม่มีสิทธิแม้แต่จะคิด (ขายวัง) เพราะคิดเมื่อไหร่ก็ผิดเมื่อนั้นบาปเมื่อนั้น คำพูดนี้ผมก็พูดกับลูกชาย หรือน้องโหลน (วรดิศ ดิศกุล ณ อยุธยา) อยู่เสมอ ซึ่งชื่อ “วรดิศ” เป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จย่า พร้อมรับสั่งว่าเพื่อให้น้องโหลนมีความมุ่งมั่นรักษาความดีเหมือนกับคุณปู่ เหมือนกับพ่อในการรักษาวังวรดิศไว้ให้ได้ ไม่ทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงบรรพบุรุษ เป็นที่มาของชื่อว่า วรดิศ อันเป็นชื่อเดียวกับวังของสมเด็จทวด โดยทุกวันนี้ครอบครัวของเราเลือกที่จะปลูกบ้านเล็ก ๆ ข้างวังเพื่อทำหน้าที่เหมือนกับเป็นกองรักษาการณ์เพื่อดูแลในยามค่ำคืน” คุณเหลนเล่าด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เราต้องการรักษาเพื่อเป็นมรดกให้กับประเทศชาติ เราแอบเรียกของเราว่าเป็น “โรงเรียนดำรง ราชานุภาพ” เพราะที่นี่มีพิพิธภัณฑ์คือตัวตำหนักที่ประทับของสมเด็จฯ เราเรียกว่าตำหนักใหญ่ อีกซีกหนึ่งข้ามคลองไปจะเป็นหอสมุดดำรงราชานุภาพ ใครเข้าไปที่นั่นก็ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คุณความดีของผู้คน ในอดีต ความผูกพันในเรื่องความรักและเทิดทูนสถาบัน โดยวังวรดิศได้รับการดูแลมาอย่างต่อเนื่อง จนมีละครและภาพยนตร์ เข้ามาติดต่อเพื่อขอใช้เป็นฉากประกอบ ซึ่งทางวังวรดิศไม่ได้ขัดข้อง เพราะเห็นว่าเป็นการเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ทราบว่ายังมีวังหรือบ้านโบราณหลัง นี้อยู่ ตั้งมั่นอยู่ ยังไม่ได้หายไปไหน ไม่ใช่การโฆษณาว่าเป็นวังที่เลอเลิศอะไรแต่อยากให้เด็กๆ หันมาศึกษาเกี่ยวกับโบราณสถานโดยผ่านภาพยนตร์และละคร ซึ่งได้ผลเพราะตอนหลังมีนักเรียนจำได้ว่าอยู่ในละครเรื่องนั้นเรื่องนี้ [/FONT]
    [FONT=Angsana New,Angsana New]แต่มีบางครั้งที่เราอยากให้เด็กมาศึกษาประวัติเกี่ยวกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เด็กบางคนกลับบอกว่าอยากมายืนดูว่าพระเอก นางเอก อยู่ไหน ตรงนี้อาจจะสื่อผิดไป (หัวเราะ). ………………. โดย ร้อยเอก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล [/FONT]
    [/FONT]
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434

    สวัสดี พ่อคุณ

    คำนี้เกิดจากจิตแรกที่อ่่านคำว่าสวัสดีครับของคุณ AON เสร็จปั๊บพูดในใจทันที ก็ยังขำว่าควรจะพูดอย่างนี้มากกว่าคือ

    สวัสดีค่ะคุณ AO_N2001

    --------------------------------------------------------------------

    หายไปนานเลยท่านพี่จงรักภักดี กลับมาเข้มเหมือนเดิม ทหารจั๊ดแถว วันทยาหัตถ์ ต้อนรับท่านขุนศึกกลับบ้าน
     
  10. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ยินดีต้อนรับ และสวัสดีคุณน้อง AO_N2001 ค่ะ

    และยินดีต้อนรับ เจ้าของกระทู้ กลับเข้าสู่กระทู้ หลังจากหายไป หลายวันค่ะ

    คุณเจ๊ะ>>>>>>>>บอกจัดแถวสิค๊ะ ^_ู^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2010
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อวานมีความรู้สึกอยากไปวัดปราสาท ก็พอดีมีนัดกับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาพาลูกชายไปฝากพระอาจารย์ฉลาด เจ้าอาวาสวัดปราสาทเพื่อบวชเรียน อายุครบบวชแล้วคือ 20 ปี กำหนดนัดหมายทำพิธีกันวันที่ 14 พ.ย. นี้เวลาเช้า พูดกันไปพูดกันมา ต่างมีบุญสัมพันธ์กับพระเจ้าปราสาททองเหมือนๆกันจึงมาร่วมบุญกัน ทั้งที่จะสร้างหลังคาโบสถ์วัดชุมพลฯด้วย ท่านพระครูฉลาดท่านก็ไปวัดชุมพลฯ กับวัดนครหลวง บ่อยๆอยู่เหมือนกัน ทางสายธาตุคิดว่าเป็นเพราะบุญสัมพันธ์กันจึงมาเจอกันเพื่อส่งเสริมบำรุงงานพระศาสนาร่วมกันอีก

    พูดถึงเรื่องคชศาสตร์แล้วจึงขอนำข้อมูลมาเสนอ เพื่อเป็นความรู้นะคะ

    คชศาสตร์

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->

    <!-- /jumpto --><!-- bodytext -->คชศาสตร์ เป็นวิชาหนึ่งในวิชาไตรเทพของศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสตร์เกี่ยวกับช้าง แบ่งออกเป็น 2 ตำรา คือ
    1. ตำราคชลักษณ์ กล่าวถึงรูปพรรณสัณฐานของช้าง ทั้งดีและชั่ว
    2. ตำราคชกรรม กล่าวถึงตำราที่รวบรวมเวทมนตร์คาถา กระบวนการจับช้าง รักษาช้าง และการบำบัดเสนียดจัญไรต่าง ๆ ของช้าง
    ตำราพระคชศาสตร์ ได้กล่าวถึงการกำเนิดช้างมงคลว่า พระนารายณ์ได้เนรมิตดอกบัวให้เป็นโลก ทรงแบ่งกลีบ และเกสรบัวดอกนั้น ออกเป็น 4 ส่วนนำไปถวายพระพรหม พระอิศวร พระวิษณุและพระอัคนี มหาเทพทั้ง 4 ทรงเนรมิตช้างจากกลีบ และเกสรบัว ที่พระนารายณ์ประทาน และสามารถแบ่งช้างมงคลเป็น 4 ตระกูล ตามนามแห่งเทพผู้ให้กำเนิด คือ
    1. ช้างตระกูลพรหมพงศ์ พระพรหมเป็นผู้สร้าง ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีย่อมให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางวัตถุและวิทยาการต่างๆ
    2. ช้างตระกูลอิศวรพงศ์ พระอิศวรเป็นผู้สร้าง ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีบ้านเมืองจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์และอำนาจ
    3. ช้างตระกูลวิษณุพงศ์ พระวิษณุ(พระนารายณ์) เป็นผู้สร้าง ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีย่อมมีชัยชนะแก่ศัตรู ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ผลาหารธัญญาหารจะบริบูรณ์
    4. ช้างตระกูลอัคนีพงศ์ พระอัคนีเป็นผู้สร้าง ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีบ้านเมืองจะเจริญด้วยมังสาหารและมีผลในทางระงับศึก อันพึงจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว ทั้งมีผลในทางระงับความอุบาทว์ทั้งปวง อันเกิดแก่บ้านเมืองและราชบัลลังก์
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    กรมพระคชบาล

    ในสมัยกรุงศรีอยุธยามี "กรมพระคชบาล" คอยดูแลเรื่องการฝึกฝนช้างและช้างศึกโดยเฉพาะครับ เชื่อว่ากรมนี้น่าจะเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเจ้าสามพระยา หลังจากตีเมืองเขมรพระนครหลวงได้ และนำพราหมณ์ที่เชี่ยวชาญด้านคชศาสตร์พร้อมตำราคชศาสตร์กลับมาด้วย
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif].[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จนถึงสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศิลปศาสตร์แห่งคชสารเป็นที่นิยมมาก พระองค์เชี่ยวชาญวิชาคชศาสตร์และคชศึก ทรงฝึกฝนช้างทรงด้วยพระองค์เอง จนเป็นพระมาหกษัตริย์นักรบบนหลังช้างที่ยิ่งใหญ่ จากหลักฐานบันทึกของชาวต่างชาติร่วมสมัย [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif].[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ต่อมาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ทรงโปรดช้างมาก เพราะทรงฝึกฝนการขี่บังคับช้างมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อขึ้นครองราชย์จึงโปรดที่จะเสด็จออกโพนช้าง(กวาดต้อน)ด้วยพระองค์เองหลายครั้ง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif].[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พระองค์ทรงมีกลเม็ดเคล็ดลับมากมายในการคล้องและฝึกช้าง จึงทรงโปรดให้รวบรวมเป็นตำราขึ้นเพื่อการสืบทอด โดยเน้นเฉพาะไปที่ผู้ที่จะมาเป็นตำแหน่งสมุหพระคชบาลเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ทรงแยกกรมพระคชบาลให้ไปอยู่ในบังคับบัญชาของสมุหกลาโหม ทรงตั้งกรมช้างต้น (ช้างหลวง) ขึ้นใหม่ สังกัดอยู่กับกรมวังเพื่อใช้ในกิจการของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif].[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]​
    .
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การคล้องและฝึกฝนช้างจึงถือเสมือนเป็นกีฬาหรือ "คชศาสตร์" สำหรับพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่จะต้องฝึกฝนฝีมือศาสตร์แห่งคชสารสงครามนี้ไว้ จะได้มีความสามารถมากเพียงพอ ซึ่ง[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พระเพทราชา ทรงเป็นเจ้าทรงกรมในกรมพระคชบาลมาในสมัยพระนารายณ์ จึงมีฐานอำนาจและกำลังเพียงพอที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif].[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตำราคชศาสตร์ ยังคงมีความสำคัญและยังคงใช้ประกอบพิธีกรรมของกรมพระคชบาลอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจริญของบ้านเมืองและเทคโนโลยีสงครามสมัยใหม่รวมถึงการคมนาคมที่สะดวกสบายขึ้น การใช้ช้างเพื่อเป็นพาหนะและการสงครามจึงลดลง [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในสงครามครั้งหนึ่ง จะมีช้างร่วมศึกด้วยข้างละประมาณ 200 - 300 เชือก ช้างจะผ่านพิธีกรรม ลงยันต์ตามตัวเพื่อให้หนังเหนียวและศักดิ์สิทธิ์ พร้อมแต่งช้างให้พร้อมในการรบด้วยการใส่เกราะขาด้วยโซ่พันหรือเกราะมีหนาม ใส่เกราะงวงที่มีหนามแหลม ใส่เกราะงา แล้วกระตุ้นให้ช้างให้ตกน้ำมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงคราม หรือกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา ให้ดมฝิ่นหรือควันศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดความฮึกเหิม ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้างให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้าเพื่อไม่ให้ช้างตกใจและเสียสมาธิในการพุ่งไปข้างหน้า เรียกว่า " ผ้าหน้าราหู "[/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ส่วนช้างศึกหลวง มีตำแหน่งของหลังช้าง 3 คน คือ ตำแหน่งบนคอช้าง พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ มหาเสนาระดับแม่ทัพ จะเป็นผู้ควบคุมช้างเข้าทำการต่อสู้เอง โดยอาวุธประเภทต่าง ๆ ทั้งธนูและหอกซัดในระยะใกล้และใช้ง้าวเมื่อประชิดตัว ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณการปรับรูปทัพและส่งอาวุธที่อยู่บนสับคับให้แก่คอช้าง โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่าง ๆ เช่น โล่ เขนเป็นต้น และตำแหน่งควาญช้างท้าย ซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด คอยปัดอาวุธไม่ให้ศัตรูเข้ามาทำร้ายจากทางด้านหลัง[/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ช้างทรงของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ จะมีขุนทหารฝีมือดี 4 คนประจำตำแหน่ง[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เท้าช้างทั้ง 4 ข้างด้วย เรียกว่า "จาตุรงคบาท" ซึ่งไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันด้วย และจะมี จาตุรงคบาทกลางช้างและท้ายช้างสำรอง ตามเสด็จช้างทรงอย่างคล่องแคล่วเพื่อสลับผลัดเปลี่ยนหากตำแหน่งนั้นตายลง[/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในพระราชสงครามโบราณ การชนช้างแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้นำหรือพระมหากษัตริย์ เรียกว่า การกระทำ"ยุทธหัตถี" ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากเริ่มมีเทคโนโลยีการใช้ปืนตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องในการสงครามมากขึ้น สงครามแบบโบราณเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พระมหากษัตริย์ไม่นิยมนำช้างศึกออกนำหน้ากองทัพเองเช่นในอดีตอีกแล้ว เพราะเสี่ยงกับลูกปืนที่เล็งยิงตำแหน่งคอช้างได้ง่าย !!![/FONT]


    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=116207
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2010
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลง กรุงศรีอยุธยา

    อยุธยา (หรือ กรุงศรีอยุธยา)
    คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ

    *กรุงศรีอยุธยา ราชธานีไทย ถึงเคยแตกแหลกไป ก็ไม่สิ้นคนดี
    เราจะรบศัตรู ต่อสู้ไพรี เราจะกู้เกียรติศรี- อยุธยาไว้เอยฯ

    อยุธยารุ่งเรืองกระเดื่องนาม เมืองงามธรรมชาติช่วยสนอง
    บริบูรณ์ลุ่มน้ำและลำคลอง ท้าวอู่ทองทรงสร้างให้ชาวไทย
    (ซ้ำ *)

    ครั้งโบราณแพ้พม่าเป็นข้าเขา พระนเรศวรเจ้าทรงกู้ได้
    ไล่ศัตรูไปพ้นแผ่นดินไทย ศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี
    (ซ้ำ *)

    ชาวศรีอยุธยามาด้วยกัน เลือดไทยใจมั่นไม่พรั่นหนี
    ชีวิตเราขอน้อมและยอมพลี ไว้เกียรติศรีอยุธยาคู่ฟ้าดินฯ
    (ซ้ำ *)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2010
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE id=post3979848 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>31-10-2010, 01:46 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->wellrider<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3979848", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 4,556
    Groans: 0
    Groaned at 32 Times in 25 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 56
    ได้รับอนุโมทนา 43,020 ครั้ง ใน 3,860 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2162 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_3979848 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->โต้คลื่นชีวิตด้วยกรรมฐาน (ศ.นพ.ประเวศ วะสี)<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    การเจริญกรรมฐานกับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (Meditation)

    กรรมฐานคือ เครื่องมือโต้คลื่นชีวิต
    การดำเนินชีวิตเปรียบเสมือนการแล่นเรือ
    ไปในท้องทะเลและมหาสมุทร
    ทะเลและมหาสมุทรที่ไม่มีคลื่นนั้นไม่มี
    คลื่นลูกเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรืออาจเจอใต้ฝุ่น
    ซึ่งทำให้เมาคลื่น ไม่สบาย หรือเรืออับปางลง
    ในชีวิตก็เช่นเดียวกันที่มีคลื่นลูกเล็กบ้างใหญ่บ้าง
    ที่ทำให้ชีวิตสั่นคลอนหรืออับปาง
    ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัว ชีวิตการงาน
    ใหญ่หรือเล็ก ทุกข์หรือสุข
    ล้วนเป็นคลื่นที่มากระทบ
    ทำให้ชีวิตโคลงเคลงและอับปางได้ทั้งสิ้น
    บุคคลจึงควรสร้างเครื่องมือโต้คลื่นชีวิต
    ประคองให้เรือชีวิตแล่นไปได้ด้วยดีไม่อับปาง

    เครื่องมือโต้คลื่นชีวิตคือ กรรมฐาน

    กรรมฐานคือ ฐานของกรรมหรือการกระทำ หรือหน้าที่การงาน
    ซึ่งในที่นี้หมายถึง จิต หรือฐานอันเป็นการทำงานของจิต
    อาจเรียกว่า เป็นการบริหารจิตก็ได้
    เรามีการบริหารการงานภายนอก
    แต่ขาดการบริหารภายในคือ จิต
    การพัฒนา จึงเอียงเป็นเรื่องของภายนอกเกือบทั้งสิ้น
    การเอียง ทำให้ล่มได้
    ความสมดุล ทำให้แล่นไปได้เลียบและนาน
    ถ้าชีวิตและโลกจะสมดุล
    ต้องมีการบริหารภายในหรือจิตหรือกรรมฐานด้วย
    กรรมฐานเป็นกระบวนการภายในที่ดูจิตใจของตัวเอง
    (internal reflection) และขยับจิตใจให้สูงขึ้น
    ปรกติจิตหลุกหลิกเหมือนลูกลิงไม่อยู่นิ่ง จับดูได้ยาก
    เพราะคิดเรื่องนั้นผลุบแผลบ รวดเร็ว
    การทำให้จิตสงบ จึงเป็นเครื่องมือที่จะดูจิต และยกระดับจิตให้สูงขึ้น

    สิ่งแวดล้อม มีส่วนทำให้จิตสงบ
    เช่น การอยู่คนเดียวการอยู่ในที่สงบ
    เช่น อยู่ในป่า อยู่บนเขา อยู่ในถ้ำ
    บรรยากาศและสถาปัตยกรรมของวัด โน้มนำให้จิตสงบ เป็นต้น

    การสวดมนต์ การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    หรือระลึกถึงพระเยซูคริสต์ หรือพระศาสดามะหะหมัด
    หรือพระผู้เป็นเจ้า ทำให้จิตสงบ เป็นต้น

    การเจริญสติ ให้จิตรู้อยู่กับปัจจุบันหรือรู้กาย
    เช่น รู้ลมหายใจเข้าออก (อาณาปานสติ)
    รู้การก้าวย่างเดิน (เดินจงกรม)
    หรือรู้อิริยาบถต่างๆ รู้ความรู้สึก สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้
    รู้จิต จิตมีกิเลสก็รู้ ไม่มีกิเลสก็รู้
    รู้ธรรม หรือรู้ในความรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว
    พยายามให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า มีสติอยู่ในทุกเรื่อง
    รู้ตัวรู้ความคิดจิตใจต่อเนื่อง
    จิตสงบมีความสุขและมีพลังมาก
    ความหงุดหงิดรำคาญ ความทุกข์ใดๆ เข้ามาสู่จิตไม่ได้
    สามารถป้องกันปัญหาทุกชนิด
    สติจึงเป็นเครื่องมือโต้คลื่นชีวิตอย่างเอก
    บุคคลจึงควรเจริญสติไว้เป็นเครื่องมือประจำตน

    การเจริญสมาธิ คือ การฝึกให้จิตนิ่งอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง
    หรือนิ่งไปเลย เมื่อจิตนิ่ง ก็ได้พักผ่อนและมีพลัง
    เป็นฐานให้เกิดปัญญาได้ง่าย แต่ต้องระวัง
    เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิ อาจมีนิมิตหรือเห็นนั่นเห็นนี่
    ต้องมีสติและปัญญารู้จักแยกแยะระหว่างนิมิตกับความเป็นจริง
    มิฉะนั้นจะฟั่นเฟือนลงไปได้ กับอีกประการหนึ่ง
    เมื่อมีสมาธิอาจรู้สึกว่า มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
    เช่น ไปหลอกลวง หรือควบคุมผู้อื่นให้ตกอยู่ในอำนาจของตน
    หรือเพื่อเงินทอง ต้องมีสติ และปัญญากำกับ
    ให้สมาธิสัมพันธ์กับปัญญา

    การเจริญปัญญา หมายถึง การมีปัญญารู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง
    ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย และละคลายจากความยึดมั่นในตัวตนลง
    เมื่อคลายจากความยึดมั่นในตัวตนลง ก็เป็นอิสระ
    มีความสุขสูงสุด มีไมตรีจิตอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง
    นี้คือ พัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงสุด
    พัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงสุด เข้าถึงด้วยปัญญา
    ปัญญาที่รู้ว่า ตัวเองไม่ใช่ศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
    การเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าก็คือ การหลุดพ้นจากพันธนาการในตัวเอง
    การเข้าถึงสิ่งสูงสุด จะเป็นการเข้าถึงความจริงของจักรวาลก็ดี
    เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าก็ดี หรือเข้าถึงพระนิพพานหรือสุญตาก็ดี
    คือ การหลุดพ้นจากพันธนาการ ในตัวเอง ประสบอิสรภาพ

    ฉะนั้น นี้แลคือ กรรมฐาน อันได้แก่ การทำให้จิตสงบ
    จะโดยสิ่งแวดล้อม การสวดมนต์ การเจริญสติ การเจริญสมาธิ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง หรือทั้งหมดก็ตาม
    แล้วยกระดับจิตให้สูงขึ้น ด้วยปัญญา
    จนหลุดพ้นจากความบีบคั้นด้วยความเห็นแก่ตัว
    เป็นอิสระมากขึ้นเป็นลำดับ

    กรรมฐานทำให้อยู่สบาย เป็นเครื่องมือโต้คลื่นชีวิต
    และทำให้การอยู่ร่วมกันด้วยสันติเป็นไปง่ายขึ้น
    จึงสมควรที่ชุมชน บุคคล สังคม และโลก จะเจริญกรรมฐาน

    ในแต่ละชุมชนควรจะมีศูนย์สอนกรรมฐาน (Meditation center)
    จะเป็นวัดหรือสำนักสงฆ์ หรือในรูปอื่น
    สุดแต่สภาวะในชุมชนนั้นๆ
    พระสงฆ์และคณะสงฆ์ ควรถือการฝึกและการสอนกรรมฐาน
    เป็นหน้าที่และเป็นบริการชุมชน
    สถาบันการศึกษาทุกประเภทและทุกระดับ
    ควรมีการสอนกรรมฐาน
    ถ้าครูทุกคนเป็นครูสอนกรรมฐานได้ด้วย
    จะเกิดความเจริยอย่างก้าวกระโดด
    ทำไมครูจะต้องสอนแต่เรื่องภายนอกหรือเรื่องวัตถุเท่านั้น
    ในเมื่อความเป็นจริงทั้งภายนอกและภายในคือ จิตด้วย
    ถ้าครูรู้กรรมฐาน ตัวครูเองก็จะมีความสุข
    ความเมตตาและความฉลาดมากขึ้น
    และสามารถนำเรื่องการเจริญสติ เจริญสมาธิเจริญปัญญา
    ไปสู่กระบวนการเรียนรู้ การปฏิรูปการเรียนรู้ไปสู่การเรียนรู้ที่ดี
    หรือการเรียนรู้ในอุดมคตินั้น ควรจะมีการเจริญสติ
    เจริญสมาธิ เจริญปัญญา หรือการเจริญกรรมฐาน
    เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งด้วย

    ถ้าพระทุกองค์และครูทุกคนสามารถสอนกรรมฐานได้
    มนุษยชาติจะเปลี่ยน เพราะเรามีครูกรรมฐานจำนวนมาก
    และมีทางว่า ทุกคนในสังคมจะได้ฝึกการเจริญกรรมฐาน
    ผู้ใดที่เจริญกรรมฐานแล้ว
    ย่อมเข้าใจอานิสงส์ของกรรมฐานอยู่แล้วด้วยตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโก
    แต่ควรนึกถึงแนวนโยบายด้วย
    นั่นคือ การที่ส่งเสริมสนับสนุนให้พระทุกองค์
    และครูทุกคนเป็นครูกรรมฐานได้
    อันจะก่อให้เกิดการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ
    เพื่อมนุษยชาติจะได้ประสบความเจริญอย่างแท้จริง
    และอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้


    คัดลอกจาก จากบทที่ 9 ตอนที่ 4
    หนังสือ “วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 สู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา”
    เขียนโดย “ประเวศ วะสี” จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์


    </TR></TBODY>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2010
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บ่ายวันนี้เอาหนังสือสวดมนต์ไปสวดที่โบสถ์วัดปราสาท บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร ทางสายธาตุเคยทำได้ผลมาแล้วตอนไปสวดที่โบสถ์ร้างวัดวรเชษฐ์ จึงเอาแบบอย่างมาทำอีกครั้งเพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทั้งหมด 26 บท เรียกว่าท่องบทสวดมนต์ก็ได้ค่ะ เพราะอ่านออกเสียงแบบหนักแน่น มีสมาธิ อ่านจบใช้เวลา 1ชั่วโมง 15 นาที จากนั้นก็นั่งสมาธิอีกครึ่งชั่วโมง อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ สวดมนต์ในโบสถ์มหาอุด คนเดียวเพราะวันนี้ไม่ค่อยมีใครมาวัดปราสาท ตอนสวดอยู่มีผู้หญิงสองคนเข้ามาเอาน้ำมนต์จากนั้นก็ไม่มีใครอีก สงบมากๆ เจ้ากรรมนายเวรท่านจะได้สงบฟังบทธรรมได้ชัดๆ ฟังแล้วเจ้ากรรมนายเวรจะได้สบายใจ สว่างใจ บารมีธรรมเกิด ท่านจะได้ใจอ่อนอโหสิกรรมให้เราเสียทีนะคะ

    คงต้องไปอีกหลายครั้งเพราะครั้งนี้รู้สึกว่ายังไม่พอค่ะ

    สำหรับกระทู้นี้ คงห่างออกไปบ้างค่ะ จะเขียนตามวาระประเพณีหรืองานต่างๆที่น่าสนใจ ทางสายธาตุจะเข้ามาเขียนสักครั้งค่ะ

    เกือบสองปีแล้วที่เขียนเรื่องนี้ ถือว่ากระทู้นี้อายุมากเหมือนกันนะคะ เดิมทีตั้งใจว่าจะซาๆการเข้าอินเตอร์เนตตั้งแต่ต้นปีค่ะ

    กระทู้นี้ทำให้ได้รู้จักบุคคลสองคนแบบตัวเป็นๆ คือพี่จงรักภักดี และน้องโมเย ขอบคุณบุญหนุนส่งให้เราได้รู้จักกันค่ะ

    เอาไว้มีวาระบุญเช่นงานบวช งานผ้าป่า จะเข้ามาเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังกันค่ะ

    ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สามารถหาหลักฐานต่างๆได้โดยอัศจรรย์ เพราะทางสายธาตุไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ถ้าท่านไม่ช่วยให้หลักฐานวิ่งมาชน ทางสายธาตุก็คงหาเองไม่เจอ และตอนนี้ความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติก็มีขึ้นเยอะเลยค่ะ กราบคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองโลกนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

    เมื่อเช้าอ่านเรื่องของแม่จันทาฤกษ์ยาม ท่านปฎิบัติธรรมสายหลวงปู่มั่น

    อ่านเรื่องราวของแม่จันทาฤกษ์ยามแล้วมีกำลังใจ แม่จันทาไม่รู้หนังสือด้วยซ้ำไป เราเรียนหนังสือมาตั้งเยอะ มีต้นทุนดีกว่าแม่จันทา จะต้องเอาแม่จันทาเป็นตัวอย่างทีดีในเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจและขยันปฎิบัติ

    ป.ล. รูปพระฤาษีสามตาที่มีอยู่ ทางสายธาตุจะเชิญท่านมาสแกนเป็นไฟล์ ถ้าทำแล้วรูปออกมาสวยดี ทางสายธาตุจะเอามาแปะไว้ในกระทู้ให้ผู้สนใจโหลดไปพิมพ์เองเพื่อบูชานะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2010
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    [​IMG]


    คนเราก็ยังมีทางให้เิดินต่อไป อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหน.....



    คัดลอกมาจาก myself blog

    เห็นว่าเป็นภาพและคำบรรยายที่ให้ความหมาย ที่ประทับใจไม่น้อย นำมาฝากกันครับ หลายๆท่านอ่านจะเสนอเป็นทางเลือกเพิ่มเติมนั่นก็คือทางสายกลาง ?
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ผมเห็นแล้วครับ เห็นผ่าน "ผู้หญิง" นั่นแหละว่า การสู่อนาคตใหม่ของประเทศไทยในศตวรรษที่ ๒๐ ไปรอดและไปรุ่งแน่ โดย "ผู้หญิง" นั่นแหละเป็นตัวจุดประกายนำ ก็ทำไมล่ะ...ตอนนี้ "ทีมวอลเลย์บอลหญิง" ของไทยเรา กำลังทำให้พลโลกกว่า ๖,๐๐๐ ล้านคน ที่รู้จัก "ประเทศไทย" อยู่แล้ว ต้องรู้จักด้วยทึ่ง และชื่นชมมากยิ่งขึ้น ที่ยังไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้จัก ก็จะต้องได้ยินวันแล้ว-วันเล่า จนต้องรู้จักประเทศไทยไปโดยปริยาย
    ในศึกแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก รอบสุดท้าย ปี ๒๐๑๐ ที่กำลังแข่งกันอยู่ที่ญี่ปุ่นขณะนี้ไง นักตบหญิงไทยของเรา ตบทั้งสหรัฐอเมริกา คาซัคสถาน โครเอเชีย เยอรมนี และใครต่อใครอีกหลายชาติหงายท้อง-หงายไส้ จนเข้ารอบสอง เรียกว่า "ช็อกโลก" ยังไม่ฟื้นกันถึงตอนนี้ และเมื่อวาน (๗ พ.ย.๕๓)
    ตบฮอลแลนด์คาสนาม ชนะไป ๓-๑!
    แต่ก่อนหน้า แพ้ให้กับบราซิล ๓ เซตรวด แต่ถ้าลงไปดูในรายละเอียดถึงลีลา ทีมเวิร์ก ความอดทน และการใช้สมองพลิกแพลง-แก้เกมในการต่อสู้แต่ละลูกที่ตบกัน สาวไทยถึงแม้ว่าแพ้ให้กับทีมอันดับ ๑ ของโลก และแชมป์โอลิมปิก ปี ๒๐๐๘ อย่างบราซิล กลับสร้างความฮือฮาให้กับวงการวอลเลย์บอลโลก
    เขาทึ่งกันน่ะครับ!
    ไม่ได้ทึ่งที่บราซิลชนะ แต่ทึ่งทีมไทยที่สามารถทำให้ทีมอันดับ ๑ โลกต้อง "คิดใหม่" เมื่อเจอกับทีมสาวไทยอันไม่อยู่ในสายตาของเขามาก่อน!!
    พรุ่งนี้ (๙ พ.ย.) ทีมไทยหลังถล่มฮอลแลนด์จนต้องร้องไห้คาสนามทั้งโค้ช ทั้งนักตบเมื่อวานซืน จะลงตบกับทีมสาวอิตาลี ส่วนทีมที่แพ้สาวไทยเราไปแล้วคือฮอลแลนด์ จะไปพบกับอเมริกา
    ที่ผมนำมาคุยกะท่านนี่ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือไม่ได้มองเป็นเป้าหมายหลักว่าทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยจะได้เป็นแชมป์โลก หรือไม่ได้ แต่มองถึงด้าน "การพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลไทย" ผ่านทีม การที่ทีมนักตบหญิงไทยสร้างคลื่นกระแทกตลิ่งโลกได้ถึงขนาดนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพชัดเจนคือ
    คนไทย "ทำงานเป็นทีม" ได้แล้ว!....

    ...เคล็ดลับ-อันเป็นหัวใจของความสำเร็จด้านการพัฒนาสังคมชาติ คือ
    ต้องพัฒนาคนก่อนพัฒนาวัตถุ!
    คือต้องฝึกฝน เคี่ยวกรำให้คนในชาติรู้จัก "อดทน-อดกลั้น-รอคอย-พร้อมพรัก-พิทักษ์สิทธิ์เรา-เคารพสิทธิ์เขา" ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ฝึกฝน-อบรม-บ่มสันดาน ให้คนในชาติเคารพและยึดมั่นใน
    ระเบียบ-วินัย!
    ระหว่างชาติก้าวหน้า กับ ระเบียบ-วินัย ถ้าถามว่า "อะไรควรต้องมาก่อน?" คำตอบ คือ
    "ต้องมาพร้อมกัน"!
    เพราะถ้าบริหารให้คนในชาติยึดระเบียบ-วินัยเป็นเครื่องร้อยรัดสังคมไม่ได้ ก็จะเป็น "ชาติที่เจริญ" และก้าวหน้าไม่ได้ ในทางเดียวกัน ชาติที่ไม่สามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้ หรือมีแต่ถอยหลังสู่จุดล่มสลาย ก็เพราะจิตสำนึกคนในชาติ "ไม่ยึด-ไม่มี" ระเบียบ-วินัย ในการปฏิบัติตัวต่อชาตินั่นเอง
    พูดถึง "ระเบียบ-วินัย" มันเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น ผมจะยกที่เป็นรูปธรรมซึ่งเห็นได้-จับต้องได้ ผ่านตัวอย่างสัก ๑ ตัวอย่าง เช่น
    การ "เข้าแถว" นั่นไง!
    อาจมีคนเถียง "ทำไมคนไทยจะเข้าแถวไม่เป็น ไปดูที่พารากอนซิ เข้าแถวซื้อคริสปี้กันยาวเหยียด"!?
    นั่นไม่ใช่แถวที่เกิดขึ้นด้วยการหล่อหลอมจนเป็นจิตสำนึก หากแต่ความเห่อ-อยากอยากเป็นแฟชั่นชั่วครั้งชั่วคราว มันบังคับให้ต้องไปยืนเรียงรอรับส่วนบุญ ไม่ใช่เข้าแถวด้วยศรัทธาที่เข้าถึงคำว่า "ระเบียบ-วินัย"
    เพราะคนในชาติที่ยึดมั่นระเบียบ-วินัยจริงๆ ในโลกนี้ เขาไม่จ้างคนเข้าแถว หรือเกิดระบบเข้าแถวเพื่อ "ขายคิว" ให้คนที่อยาก "ลัดคิว" หรอก!
    ตามโรงเรียน อันเป็นแปลงเพาะ "ทรัพยากรหน่ออ่อน" เท่าที่สังเกต ถึงมีเข้าแถวเคารพธงชาติ ก็ฝืนทำสักแต่ว่าทำๆ ให้จบๆ กันไป หาได้มีการบ่มเพาะด้านความหมายในสิ่งที่ทำให้หยั่งรากลงไปในจิตสำนึกจนเป็นจิตวิญญาณไม่
    ไม่ต้องดูอะไรมาก ถ้าท่านดูข่าวโทรทัศน์ ลองสังเกตแถวทหารเกาหลีเหนือ-ใต้ แถวทหารญี่ปุ่น แถวทหารจีน กระทั่งแถวทหารไต้หวัน ประเทศที่สามารถพัฒนาชาติตัวเองได้สูงสุดในครึ่งศตวรรษเหล่านี้ เขามีเคล็ดลับทำสำเร็จอย่างนั้นได้เพราะเหตุใด ทั้งที่ย้อนหลังไป ๒๐-๓๐ ปี ประเทศเหล่านี้
    อยู่ข้างหลังไทย!?
    คำตอบสั้น-ง่าย-ตรงตัวที่สุดคือ....
    เขาฝึกให้ "เข้าแถว" กันได้เหมือน...เอาไม้เสียบ!...

    ..."ทีมวอลเลย์บอลหญิง" ของเรา การสร้างชื่อกระฉ่อนโลกครั้งนี้ เท่าที่ผมฟังๆอ่านๆ จากข่าว แต่ละสำนักบอกตรงกันอย่างหนึ่งคือ
    ทีมเวิร์กเยี่ยม!
    ไม่เคยได้ยินว่าคนไทย "ทำงานเป็นทีม" ได้เยี่ยม-ได้สำเร็จ และในนัดที่ลงเล่นกับบราซิลถึงแพ้ ก็ได้รับคำชมว่า "ทีมเวิร์กและระเบียบ-วินัยนักตบสาวไทยยอดเยี่ยม"
    แค่นี้ก็ถือว่าพบความสำเร็จแล้ว ถ้าได้เป็นแชมป์โลก...ก็แค่ของแถม เพราะแต่ไหนแต่ไรมา คนไทยไม่เคยทำอะไรที่เป็นทีมเวิร์กได้สำเร็จเลย จะสำเร็จก็ล้วนเป็นความสำเร็จที่ทำด้วยตัวคนเดียว เช่น การต่อยมวย เป็นต้น ถ้าเป็นอย่างทีมฟุตบอล ทีมนักการเมืองบริหารประเทศละก็ เลิกพูดกัน!
    นี่คือตัวอย่างจากการพิสูจน์แล้วว่า เรื่องรูปร่างของคนไทย หรือคนเอเชีย ไม่ใช่ปัญหาและอุปสรรคที่จะทำอะไรให้ชนะคนที่ตัวใหญ่กว่าอย่างคนยุโรปได้เลย
    การฝึกฝน-อบรม-บ่มเพาะ ให้ยึดมั่นในระเบียบ-วินัย การไม่อิจฉา-ริษยา, การไม่หวังดี-หวังเด่นแต่คนเดียว, การไม่เอารัดเอาเปรียบในขณะที่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบ, การรู้จักเคารพ-เชื่อฟังผู้อื่น ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะมีพร้อมสำหรับคนที่รู้จักคำว่า "ทำงานเป็นทีม"
    เมื่อรู้จักทำงานเป็นทีม ก็ย่อมรู้จักระเบียบ-วินัย และถ้ายึดมั่นระเบียบ-วินัย การทำงานเป็นทีมก็เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุนั้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เมื่อแก่นรากดีแล้วอย่างนี้ จะเรียน-จะสอน-จะฝึกฝนอะไร ทุกอย่างก็ง่าย และพุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง เพราะธรรมชาติให้สมอง ให้สติปัญญา "อันฝึกเแล้ว" เป็นตัวนำชนะ ไม่ใช่ให้ร่างกายที่ใหญ่แต่ "ด้อยการฝึก" เป็นสัญญาณแห่งผู้ชนะ ไม่อย่างนั้นวัว-ควาย ต้องจูงคน ไม่ใช่คนจูงวัว-ควาย.....


    การพัฒนาไทยกับการ"เข้าแถว" | ไทยโพสต์
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .....กรณีวอลเลย์บอลหญิงนี้ เป็นกรณีตัวอย่างที่ควรยึดและเชิดชูให้เห็น ด้วยรูปร่างที่เล็ก แต่ชนะรูปร่างใหญ่อย่างคนยุโรปได้สบายๆ เพราะทีมเวิร์ก และระเบียบ-วินัยนั้น เปิดประตูสติ-ปัญญาด้วยมาตรฐานทัดเทียมกัน รับการฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น ต้องฝึกจึงประเสริฐ ผิดกับสัตว์ไม่ต้องฝึก เกิดเป็นปลาก็ว่ายน้ำได้ เกิดเป็นนกก็บินได้ แต่มนุษย์ ถ้าไม่ฝึกให้กิน ให้นอน ให้คลาน ให้เดิน ตายตั้งแต่เกิดแล้ว!
    ฉะนั้น ถ้าหวังจะปฏิรูปประเทศ หวังประเทศสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างประเทศที่เขาพัฒนาประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ต้องไปเริ่มต้นที่กระดาษอันเรียกว่ารัฐธรรมนูญหรอก เริ่มจากฝึกคนในชาติให้รู้จักระเบียบ-วินัยผ่านการ "เข้าแถว" ก่อนนี่แหละ คนไทยเข้าแถวเป็นเมื่อไหร่
    ไทยจะเป็น "แถวหน้า" ของโลก!

    ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน การพัฒนาไทยกับการ"เข้าแถว" | ไทยโพสต์
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    หนังสือยอดนิยมในต่างประเทศ [FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ถวายสดุดีในหลวง พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีแต่ให้ เมื่อเช้าวันนี้ ([/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]28 [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ส.ค. [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]52 / 10.00 [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]น.) ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายข้าราชการประจา กล่าวในการบรรยายพิเศษ ณ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ สานักงานอัยการสูงสุดว่า....หนังสือ [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]“LETTERS FROM LEADERS”(ISBN 978-1-59921-501-3) [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ที่กาลังได้รับความนิยมและมีจาหน่ายอย่างกว้างขวางในต่างประเทศขณะนี้ โดยนายเฮนรี่ โอ. ดอร์แมนน์ ([/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]Henry O. Dormann) [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ผู้เขียนได้กล่าวถึงคุณความดีและความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบุคคลสาคัญของโลก ในยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นคติคาสอนแก่ผู้คนในวันนี้ที่จะสามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณค่า และประกอบด้วยหลักคุณธรรมจรรยา ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเฉกเช่นบุคคลสาคัญของโลกหลาย ๆ ท่าน ที่นายเฮนรี่ โอ. ดอร์แมนน์ กล่าวชื่นชมไว้ในหนังสือเล่มนี้หนังสือความสาเร็จของผู้นาโลกดังกล่าว ได้ถวายสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินของ ประชาชนชาวไทย โดยทรงเป็นแบบอย่างของความดีงามและนาพาประเทศไทยสู่ความเป็นชาติที่มีความ สง่างามของประชาคมโลกในทุกวันนี้ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีความนอบน้อมถ่อมพระองค์และพระราชทานพระเมตตาแก่ ประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยตลอดระยะเวลา [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]63 [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ปีที่ได้ทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงมีแต่ให้และทุ่มเทพระวรกายด้วยพระวิริยะอุตสาหะเพื่อความร่มเย็น เป็นสุขของบ้านเมืองไทย [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman][/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]นักอ่านหลายต่อหลายท่านมีความภาคภูมิใจที่หนังสือเล่มนี้ กล่าวถวายพระเกียรติพระองค์ท่านถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีดวงพระราช หฤทัยของความเป็นผู้นาโดยแท้ เช่นเดียวกับที่หนังสือเล่มนี้ที่กล่าวชื่นชมสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะ ห์ที่ [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]2 [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]แห่งจอร์แดน [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman], [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]นายลี กวนยู [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman], [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]ดาโต๊ะมหาเธร์ โมฮัมหมัด [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman], [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]นาย มิคาอิล กอร์บาชอฟ [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman], [/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]อดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ [/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman],[/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Angsana New][FONT=Angsana New,Angsana New]นายเดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ควรแก่การศึกษาค้นคว้าทั้งสิ้น[/FONT][/FONT][FONT=Times New Roman,Times New Roman][FONT=Times New Roman,Times New Roman]” ……………… [/FONT][/FONT]

    แหล่งที่มา http://www.our-teacher.com/our-teacher/00-captainpanatda/pdf/23.pdf
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ประวัติความเป็นมาของพระกริ่งนเรศวร
    ตำนานแห่ง พุทธศิลป์ ที่แสดงถึง ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์

    บันทึกประวัติศาสตร์แห่งตำนานพระกริ่งไทย เอกลักษณ์เฉพาะของเมืองพิษณุโลก
    ปฐมบทแห่งตำนานการสร้างพระกริ่งของเมืองไทย ต้นกำเนิดเป็นที่ยอมรับกันมาช้านานว่า พระสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เป็นผู้รจนากำหนดขึ้นทั้งในส่วนพระยันต์ 108 นะปถมัง 14 นะ อันเป็นพระยันต์บังคับ และพิธีกรรมจัดสร้างซึ่งสรรพตำรานี้ ได้ตกทอดมาสู่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์ท่าเตียน) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศ ผู้สถาปนาพระกริ่งปวเรศ อันลือชื่อจากนั้น ตำราก็ตกไปอยู่กับสมเด็จพระพุธมาจารย์(มา) หรือท่านเจ้ามา แห่งวัดสามปลื้ม ผู้สร้างพระชัยวัฒน์ท่านเจ้ามา เมื่อสิ้นสมัยท่านเจ้ามา ผู้สืบทอดตำราก็คือ สมเด็จพระสังฆราช(แพ) แห่งวัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านได้สร้างพระกริ่งอันทรงพุทธานุภาพหลายรุ่นจึงนับได้ว่า ตำราการสร้างพระกริ่งของแผ่นดินสยาม ต้นกำเนิดมีขึ้นในยุคสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระอาจารย์ของพระองค์ท่าน ถือได้ว่า ปฐมบูรพจารย์แห่งพระกริ่งไทย ก็คือ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมเด็จพระสังฆราช ในสมัยครั้งอดีตกาล ผู้ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงให้ความเคารพบูชาอย่างยิ่ง และสมเด็จพระพนรัตนี้เองที่เป็นผู้ทรงทูลของบิณฑบาตชีวิต ของเหล่าทหารหาญที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่ทันในคราวที่ทรงประกาศพระบรมราชกฤษดาภินิหาร กระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา​

    กำเนิดพระกริ่งนเรศวร พระกริ่งที่แสดงถึงพระบรมราชานุภาพ และพระบรมราชกฤษดาภินิหาร
    พระกริ่งนเรศวรถือกำเนิดขี้น ณ แผ่นดินเมืองพิษณุโลก อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังจันทน์ สถานที่ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชสมภพ โดยพระกริ่งนเรศวรนี้ สร้างขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2507 นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์แห่งพระกริ่งนเรศวร พระกริ่งที่รำลึกถึง พระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงกอบกู้เอกราชให้กับคนไทยทั้งชาติผู้ทรงเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในการพิทักษ์ผืนแผ่นดินสยามไว้ให้ลูกหลานไทย จากนั้นก็มีการสร้างพระกริ่งนเรศวรของเมืองพิษณุโลกขึ้นอีกหลายคราในโอกาสสำคัญๆ เช่น พระกริ่งนเรศวรวังจันทน์ ปี 2515 พระกริ่งนเรศวรเผด็จศึก ปี 2522 พระกริ่งนเรศวร 400 ปี ปี 2533 พระกริ่งนเรศวร ปี 2536 พระกริ่งนเรศวรพระองค์ดำ ปี 2542 และพระกริ่งนเรศวรเพ็ชรกลับ ปี 2544 พระกริ่งนเรศวรที่กล่าวมานี้คือพระกริ่งนเรศวรที่สร้างขึ้นที่เมืองพิษณุโลก และประกอบพิธีภายในวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราช พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่แผ่นดินไทยของคนไทย นอกจากนั้นพระกริ่งนเรศวรก็ยังมีการสร้าง ณ ที่ต่างๆ อีกหลายรุ่น ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมทั้งสิ้น
    ข้อบังคับของการจัดสร้างพระกริ่งนเรศวรนั้น จะต้องมีความสัมพันธ์กับเรื่องราวในพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อาทิเช่น วันพระราชสมภพ วันขึ้นครองราชย์ วันประกาศอิสรภาพ วันกระทำยุทธหัตถี หรือสถานที่เกี่ยวเนื่องกัน และตัองมีการประกอบพิธีบวงสรวงของพระบรมราชานุญาตจัดสร้างต่อดวงพระวิญญาณ มีการจัดเครื่องสังเวย ถวายพระเกียรติยศอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระกริ่งนเรศวรโดยแท้และแตกต่างจากพระกริ่ง สำนักอื่นๆโดยสิ้นเชิง ในการประกอบพิธีการจัดสร้างพระกริ่งนเรศวร มักจะพบเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องราวน่าประหลาดมหัศจรรย์ให้ได้เล่าขานกันอยู่เสมอ พระกริ่งนเรศวรจึงเป็นพระกริ่งที่มีคุณค่า มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีความสืบเนื่องตั้งแต่อดีต มีแบบแผนประเพณีปฎิบัติ เป็นพระกริ่งที่ผนวกเอาความรู้สึกของความเป็นชาติ ศาสนา และ องค์พระมหากษัตริย์เข้าไว้ด้วยกัน และ เป็นเกียรติประวัติ แห่งศาสตร์ของพระกริ่งอย่างแท้จริง​



    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]




    แหล่งที่มา http://www.akefuture.com/know_detail.asp?id=59

    ท่านใดที่มีไว้เคารพบูชา ต้องขออนุโมทนา สาธุการด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...