น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    กราบนมัสการหลวงพี่เตชปญโญ ภิกขุ ลองดูนี่สิค่ะ
    ............................................................................

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4908899/Y4908899.html
     
  2. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ผมก็ไม่เข้าใจนะครับว่า ท่านเตชปัญโญ จะไปชื่องมงาย พุทธทาส แล้วไปปรามาส พระพุทธเจ้า ทำไม

    พุทธดำรัส:-
     
  3. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    พุทธดำรัส:-
     
  4. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    พุทธดำรัส:-
     
  5. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    สรุปก็คือว่า:- ท่านเตชปัญโญ ได้ลบหลู่ดูถูกกดูหมิ่นปรามาสพระพุทธเจ้า เหมือน พุทธทาส
     
  6. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    นี่คือกรรม ท่าน "เตชปญโญ ภิกขุ" ท่านกำลังจะเดินสู่พระนิพพาน
    แต่กรรมบางประการตามมา ท่านอโหสิกรรมไปเถิด แล้วช่วยเหลือ
    พระศาสนาให้มากขึ้น ตั้งจิตอโหสิกรรมทั้งมวล

    แล้ว "ขันติ" และ "วิริยะ" เพื่อเดินสู่พระนิพพาน

    แม้นองคุลีมาล ทำบาปมาก เขาก้ได้รับกรรมนั้น แต่เขาก็ได้นิพาน
    ได้ค่ะ ท่านต้อง "ขันติ" มากๆ นะคะ อย่าต่อยอดกรรมอีกนะคะ
    ใครกล่าวอะไร ท่าน "ขันติ" ไว้ค่ะ แล้วเดินตรงสู่นิพพานด้วยความ
    อดทน


    หน่อยเองค่ะ
     
  7. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    กราบนมัสการท่านเตชปญโญ ภิกขุ และท่านสาธุชนทั้งหลาย
    ................................................................

    ท่านที่มีจริตพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นะคะ อธิบายได้ดั่งนี้ค่ะ

    จิตวิทยาเขากล่าวว่า ทำอะไรซ้ำๆ กัน 38 ครั้งต่อกันจะติดเป็นนิสัย
    ค่ะ การที่เรารู้ธรรม มีความรู้ทางธรรม แต่ยังไม่เรียกเป็นปัญญาทาง
    ธรรมค่ะ เพราะเรายังไม่ได้ฝึกจิตให้รู้ธรรม เป็นการรู้แค่สมอง หรือกาย
    รู้เองค่ะ


    พระพุทธเจ้าท่านเทศน์พระสารีบุตร สรุปคือ "ผู้บรรลุธรรมโดยไม่ฝึก
    จิตไม่มีค่ะ"

    ทีนี้ในทางจิตวิทยา เรียกว่าสะกดจิตตัวเองไงคะ เปลี่ยนนิสัยคนได้
    เลยค่ะ ตัวอย่างนะคะ คนที่สูบบุหรี่ก็รู้ใช่ไหมคะ ว่าบุหรี่ไม่ดี แต่แหม
    ทำไมความรู้นี้ ยังไม่ทำให้เขาเลิกได้ละคะ

    เหมือนกันแหละค่ะ

    จิตนี้ต้องฝึกนะคะ ท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือการอ่านและ
    ถกพระธรรม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ต้องเจริญ "สมถะกรรมฐาน" ค่ะ
    เพราะหากจิตไม่มั่นคง มันจะสร้างความั่นคงโดยการใช้ "อุปทาน"
    ยึดเพื่อให้จิตนิ่ง แต่อุปทานนี้ไม่มีปัญญารองรับ มันก็ผิดหวังค่ะ

    คือ ยึดว่าอัตตามี ตัวตน อุปทานไปหมด พอมันเกิดอนิจจังขึ้นมา
    จิตก็ทุกข์ไงคะ

    จิตเรานี้จะนิ่งได้ก็คือ นิ่งจาก "สมาธิ" ค่ะ การเจริญสมถะกรรมฐานนี้
    จะช่วยให้จิตนิ่ง จิตจะไม่ยึดอุปทานหากมีปัญญาเป็นฐานค่ะ เช่นนี้
    เมื่อท่านเจริญสมถะกรรมฐาน ท่านก็เอาธรรมไปพิจารณา เรียกว่า
    วิปัสสนาในสมถะกรรมฐานค่ะ แหม น่าสนใจไหมคะ

    เช่น ท่านฝึกกสิน เพ่งให้เห็นภาพพระพุทธรุปได้นาน แสดงว่าพลัง
    สมาธิท่านสูง จิตท่านนิ่งมีกำลัง ก็ลองเอากิเลสมาพิจารณาสิคะ
    เช่น โกรธ ท่านก็สร้างภาพกสินเป็นตัวคนโกรธ ให้มันเห็นจะๆ ถึง
    ตัวตนกิเลสที่น่ารังเกียจ ให้ท่านสร้างภาพกสิน เป็นตัวคนโกรธสุดๆ
    หน้าดำหน้าแดง หน้าบูดหน้าเบี้ยว ไร้ซึ่งสุข มีแต่เครียดและทุกข์
    แล้วก็เอาภาพนั้นมาพิจารณาตัวท่านเองเวลาโกรธสิคะ ไม่ต่างกันค่ะ
    แล้วทีนี้ตัดด้วยกำลังแห่งสมถะกรรมฐานได้เลยค่ะ

    เช่น เพ่งกสินไฟ ก็เพ่งภาพไฟเผามันเลย
    555 กิเลสก็พ่ายแพ้ท่านแน่ค่ะ
     
  8. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    แต่หน่อยแนะนำท่านให้ฝึกสติปัฏฐานสี่ค่ะ
    ...............................................................

    แต่เป็น
     
  9. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    แต่หน่อยแนะนำท่านให้ฝึกสติปัฏฐานสี่ค่ะ
    ...............................................................

    แต่เป็นแบบพิสดารนะคะ
     
  10. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    แต่หน่อยแนะนำท่านให้ฝึกสติปัฏฐานสี่ค่ะ
    ...............................................................

    แต่เป็นแบบพิสดารนะคะ แบบนี้ไม่มีที่ไหนสอนค่ะ ไม่สงวนลิขสิทธิ์
    นะคะ หน่อยได้มาจากอาจารย์ลับๆ ผู้หนึ่ง ดังนี้ค่ะ


    พวกกสินจะใช้กำลังหาญสู้กิเลส ต้องฝึกนานหลายปีค่ะ นิพพานช้า
    แต่ฝึกแล้ว อภิญญาจะมาก แหม ก็พวกจอมยุทธสายบู๊ก็งี้แหละค่ะ

    แต่ท่านเป็นสายบุ๋น คือ เอาปัญญาเข้าหาญชนะกิเลส ท่านเดินมา
    สายวิปัสสนา แต่ต้องเพิ่มกำลังสมถะเข้าไป แล้วเอาชัยชนะกิเลส
    ด้วยปัญญาค่ะ

    หลักของสติปัฏฐานสี่ คือ การเน้นย้ำให้เกิดสติในจิตตลอดเวลา ไม่ว่า
    จะให้สตินั้นอยู่ในลักษระใดก็ตาม แล้วพิจารณาธรรมอีกที อาทิเช่น
    ภาวนา "พุทโธ" แบบสายพระอาจารย์มั่น แบบนี้จิตมีกำลัง ที่เรียก
    ว่าพุทธานุภาพ ใช้เอาชนะกิเลสได้ค่ะ แหม หลายท่านก็อรหันต์
    เพราะแบบนี้แหละค่ะ

    ส่วนบางสายก็ภาวนา "ยุบหนอ พองหนอ" นี่เป็นสติปัฏฐานสี่สาย
    หลวงพ่อจรัลค่ะ เป็นการใช้ "ธรรมานุภาพ" คือ ยุบหนอ พองหนอ
    นี่มันอนิจจังค่ะ เป็นพระธรรม เมื่อจิตภาวนาจนมีพลังมั่นคง ก็เอา
    อันนี้แหละค่ะ ตัดกิเลส ฉับเดียวมันก็พ่ายเราได้เลยค่ะ

    ลองดูสติปัฏฐานสี่แบบพิสดารไร้ลักษณ์ดูนะคะ แบบนี้ยาก ต้องใช้ปัญญาสูง ต้องมีฐานเป็นวิปัสสนากรรมฐานมาก่อน เช่นท่าน ฝึกได้
    แน่ค่ะ

    วิธีการ

    1. เข้าวิปัสนากรรมฐาน ดูจิตว่ามีกิเลสใดอยู่ กิเลสมีโครงสร้างอย่าง
    ไร อย่างท่าน มีโกรธนิดๆ นะคะ ไม่ใช่โกรธเพราะโดนคนปรามาส
    ท่านโกรธเพราะคิดว่าคนคิดผิด ไม่ตรงกับท่านค่ะ เห็นไหมค่ะ โครง
    สร้างกิเลสความโกรธมันก็ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า มันมี "อุปทาน" ไป
    อยู่กับอะไร เช่น อุปทานว่าตนนี้ต้องได้รับการสรรเสริญ ก็ต้องตัด
    กิเลสตัวนี้อีกแบบ แต่ถ้าอุปทานว่า ตนนี้คิดถูก แหม มันก็ยึดต่างกัน
    ใช่ไหมคะ

    วิธีตัด โอ้ย เยอะแยะ กิเลสไม่รอดค่ะ เช่น

    1. เอาพุทธานุภาพตัด อย่างพระอาจารย์มั่น แต่แหมต้องฝึกนาน
    2. เอาธรรมานุภาพตัด อย่างหลวงพ่อจรัล นี่ก็นานเหมือนกันค่ะ
    3. เอาเมตตาตัดโกรธ อันนี้หากท่านมีความเมตตามาก ไม่ยาก
    ค่ะ (แต่ไม่เหมาะไว้ให้พระโพธิสัตว์ใช้ดีกว่าค่ะ คนทั่วไปกำลังไม่ถึง
    เพราะใช้กำลังของตนเองที่มีเมตตามาก หากไม่ถึง แต่มีศรัทธาจริต
    ก็พึ่งพระพุทธานุภาพ และพระธรรมานุภาพไปก่อนดีกว่าค่ะ)
    4. เอาปัญญาตัดโกรธ แบบนี้น่าสน เหมาะกับท่านค่ะ

    ทำอย่างนี้นะคะ

    ท่องในใจแต่ไม่ต้องจำ เหมือนท่านตั้งใจจะสอนจิตตัวเอง สอน
    แบบดีๆ นะคะ บอกทุกวัน ทุกอิริยาบท ตลอดเวลา นี่ละ ย้ำๆ จิต
    มันเข้าไป ว่า "ยึดถูกผิดก็ทุกข์หนอ ปล่อยวางๆ" ท่องอยู่แบบนี้
    ทั้งวี่ทั้งวันไม่ว่าจะทำอะไร พอมีใครมายั่วให้โกรธจิตจะมีพลัง
    ถึงจุดหนึ่ง จะคลายโกรธได้ นี่จะเรียกว่าสะกดจิตตัวเองแบบจิต
    วิทยาก็ได้ หรือเรียกว่า สติปัฏฐานสี่ประยุกต์ ดีไซนืให้เข้ากับโครง
    สร้างกิเลสแต่ละตัวโดยเฉพาะแต่ละคน กิเลสกระจอกไปเลยค่ะ

    ถ้ามีกำลังกสิน ก็เอามาช่วยได้ค่ะ ท่องไปนึกภาพเพ่งกสินไปยิ่งมีพลัง
    อย่าท้อถอยนะคะ ทำไปเรื่อยๆ กิเลสมันจะพ่ายแพ้เราได้แน่ค่ะ



    ท่านลองวิธีนี้นะคะ
    เมื่อท่านสะกดจิตตัวเองได้ จิตคนอื่นท่านก็ทำได้
    ท่านจะได้อภิญญาสะกดจิตคนได้ แหม พูดอย่างนี้
    ท่านก็ไม่เชื่อแน่ ต้องลองทำดูก่อนค่ะ

    แต่ท่านต้องพากเพียรเหมือนฝนทั่งให้เป็นเข็มนะคะ ทำทุกอิริยาบท
    ตลอดเวลา อาจนานถึงปีก้ต้องทำค่ะ กิเลสจะแพ้ได้ในที่สุด

    แต่กิเลสความโกรธท่านเบาบาง ละเอียดแล้ว ตัดไม่ยาก ใช้กำลัง
    น้อย ท่านจะตัดได้เร็ว หากมีปัญญา เวลาเอาชนะกิเลสหยาบต้องใช้
    แรงกรรมฐานมาก แต่ถ้าเป็นกิเลสละเอียด มันหลอกเก่งค่ะ เหมือน
    กิเลสพวกอรูป นามธรรมทั้งหลาย ละเอียดมาก แปลงกายเก่ง เดี๋ยว
    ให้เรายึดนั่นนี่ ให้เราคิดว่าเป็นพระอรหันตืเสียก้ได้

    ท่านต้องเอาชนะกิเลสละเอียดนี้ด้วยปัญญา ท่านจะมีปัญญาเฉียบ
    แหลม ประดุจเซียนกระบี่ที่มีกระบวนท่าไร้ลักษณ์ เอาชนะด้วยกำลัง
    เพียงน้อยก็มีชัยได้ค่ะ


    สู้ๆ นะคะ
    สาธุค่ะ........................
     
  11. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    พุทธดำรัส:- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศตะวันออก หลั่งไปสู่ทิศตะวันออก บ่าไปสู่ทิศตะวันออกฉันใด ภิกษุเจริญพอกพูนซึ่งฌาน ๔ ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพานฉันนั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องบน ๕ (คือ รูป ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา) เหล่านี้แล


    ฌานสังยุต
     
  12. เบญจลักษณ์

    เบญจลักษณ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +26
    น่าเป็นห่วงจริง ๆๆๆๆ

    ทำไมสอนแบบเนี้ย แล้วใครจะกลัวการทำบาปเนี้ย จริงป่ะ(b-hmm)
     
  13. ไผ่สีทอง

    ไผ่สีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +120
    กราบนมัสการท่านเตชปญโญ ภิกขุ

    ด้วยปัญญาอันมากมายของท่านขณะนี้ กระผมเชื่อว่าท่านไม่เห็นด้วยด้วยกับ ท่าน บรรพต อ., น้องหน่อยน่ารัก และท่านอื่นๆๆ
    ถ้าท่านเชื่อในธรรมที่ทุกท่านพยายามบอก ขอให้อ่านเท่านี้พอ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ถ้าท่านไม่เชื่อ ขอให้ท่านอ่านต่อไปครับ
    1. ท่านเชื่อหรือไม่ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ถ้าเชื่อ กรุณาอ่านข้อ 2
    2. ท่านจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ หลักธรรมในพระไตรปิฏก ก็แล้วแต่
    ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ถ้าท่านเชื่อกรุณาอ่านข้อ 3
    3. ท่านเชื่อหรือไม่ว่า มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจริง ถ้าเชื่อกรุณา อ่านต่อข้อ 4
    4. ท่านเชื่อหรือไม่ว่า หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ถ้าเชื่อ อ่านข้อ5
    5. พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ เมื่อละสังขาร หรือ ดับขันธ์ เข้านิพพาน
    กระดูก(ภาษาชาวบ้าน)จะกลายเป็นพระธาตุ หรือแม้แต่เส้นเกษา ทุกส่วนของร่างกาย จะกลายเป็นพระธาตุไปทั้งหมด

    5. ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พุทธทาสเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสหมดแล้ว
    ถ้าเชื่อ ถามว่ามีส่วนใดที่เป็นพระธาตุ มีหรือไม่มี เป็นหรือยังไม่เป็น
    ใช่หรือยังไม่ใช่ก็แล้วแต่

    พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ทรงดำเนินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบรมศาสดา ตามในพระไตรปิฏก
    ซึ่งในพระไตรปิฏก ก็ได้รวบรวมธรรมะต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทุกท่านทราบว่า
    ในพระไตรปิฏก จะสอนอยู่เรื่องเดียวคือ อริยสัจสี่
    อริยสัจสี่ ทุกท่านรู้แล้วคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    พระอริยเจ้าก็ล้วนแล้วเดินตามทางที่พระองค์ทรงวางไว้ มรรคะแปลว่าทางเดิน
    มรรคมีองค์แปด ทุกท่านรู้แล้ว ถ้าเดินตาม มรรคะ แสดงว่าเป็นสัมมาทิฏิ
    ก็จะได้บรรลุธรรม ตามขั้นของปัญญา
    องค์แปดประการ สรุปรวมแบ่งเป็นสามประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ถ้าท่านมีศีล ไม่ทำสมาธิ ปัญญา ย่อมไม่เกิด
    ถ้าท่านไม่มีศีล ทำสมาธิ ต่อให้ดีแค่ไหน ปัญญา ย่อมไม่เกิดเช่นกัน
    ต้องถึงพร้อมด้วย ศีลและสมาธิ อันปัญญาย่อมเกิดตามมาเป็นเครื่องสังหารกิเลส ตามกำลังของศีล และกำลังของสมาธิ
    ถ้ามีปัญญา ห้ำหั่น สังโยชน์ 10 ประการ ก็ได้ชื่อว่า สำเร็จกิจในพระพุทธศาสนาแล้ว หมายความว่ากิจอันอื่นไม่มีอีกแล้ว
    ถ้าละสังโยชน์ได้ 3 ข้อ ก็ได้ชื่อว่า ได้โลกุตระธรรมขั้นต่ำ เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีเป็นต้น
    ถ้าละสังโยชน์ได้ 5 ข้อ ก็ได้ชื่อว่า ได้โลกุตระธรรมขั้นกลาง คือ พระอนาคามี
    ถ้าละได้ ทั้งหมด 10 ข้อ ก็ได้ชื่อว่า ได้โลกุตระธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา คือ พระอรหันต์
    พระอรหันต์ยังแบ่งความรู้ ความสามารถ ออกเป็น 4 แบบ ตามกำลังของปัญญา แต่ความหมดกิเลสนั้นมีเท่ากัน มีพระอรหันต์แบบ
    1. สุขวิปัสโก
    2. เตวิชโช หรือวิชาสาม
    3. ฉฬภิญโญ หรืออภิญญาหก
    4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ท่านแรกต้องเคยทำสมาธิจนถึงฌาณสี่ เป็นอย่างน้อย
    ท่านที่สองต้องทำกรรมฐานในกสิน แสงสว่าง หรือเตโชกสิน หรือกสินสีขาวอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอย่างน้อย
    ท่านที่สามทำสมาธิในกสินสิบทุกกอง แล้วอธิษฐานอิทธฤทธิ์ได้
    ท่านที่สี่เจริญ ทั้งรูปฌาณ และอรูปฌาณ คือได้สมาบัติแปด จนคล่องตัว

    ทุกอย่างมีในพระไตรปิฏกหมดแล้ว หรือถ้าอยากฝึกในด้านอภิญญา ก็สามารถค้นคว้าได้จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งพระพุทธโกษาจารย์ ท่านได้ รจนาไว้

    พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ก็ได้เดินตามพระไตรปิฏก และก็ได้สั่งสอนลูกศิษย์ไว้มากมาย โดยเฉพาะพระราชพรหมญาณ หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็สอนกรรมฐานทั้งหมด 40 กอง ซึ่งมีพระอรหันต์น้อยมากที่สอนทั้งหมด และการเลือกกรรมกองใดกองหนึ่งให้เหมาะกับจริตของตัวเองก็สำคัญเพราะมีถึง 6 แบบ
    ทุกท่านก็รู้หมดแล้ว และพระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ก็ทรงสั่งสอนเหมือนกันหมดจะนิพพาน หรือ ปรินิพพาน ต้องทำการดับขันธ์5 ให้หมดจด แม้แต่บรมครูก็ทรงกระทำเช่นกัน วิธี่หาอ่านได้ทั่วไป ต้องเป็นพระอรหันต์แต่งเท่านั้น
    ยกตัวอย่างเรื่อง จิตคือพุทธะ ของหลวงปู่ดูลย์ ตอนท้ายๆ มีแต่งไว้เป็นต้น

    ท่านที่ทำการดับขันธ์ได้หรือไม่ได้นั้น ให้ดูที่พระธาตุ สาธุ

    พระดีหรือไม่ดี ให้ดูที่ในหลวงทรงเสด็จไปนมัสการหรือป่าว

    ท่านพุทธทาสท่านก็เป็นพระดี แต่ยังปฏิบัติไม่ถึง บารมียังไม่เต็ม
    ยังไม่รู้หมด ท่านก็สอนตามภูมิธรรมของท่าน แต่ยังไม่ที่สุด
    ท่านกล้าบิดเบือนคำสอน ท่านก็เลยต้องอยู่ในวัฏฏะสงสารอีกยาวนาน

    ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจจารณา
    ท่านเตชปญโญ ภิกขุ จะเห็นอย่างไรขอรับ จะอยู่อีกนาน ตามท่านไป
    หรือจะเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้ลูกหลานกราบไว้ได้อย่างสนิทใจ
    ทำอาสวะให้สิ้นได้ก็ยิ่งดี จะได้เป็นกำลังของพระพุทธศาสนาสืบไป

    เรื่องธรรมะขั้นต่างๆ หาอ่านได้ทั่วไป ขอให้ยึดตามพระไตรปิฏก ขอให้ยึดตามหลวงปู่มั่น ของให้ยึดตามพระอรหันต์เท่านั้น
    เช่นอยากรู้เรื่องขันธ์ 5 กับจิต อ่านจากตำรา แล้วก็มาเถียงกันนั้นไม่มีประโยชน์
    ธรรมทุกอย่างล้วนเกิดจากการปฏิบัติให้รู้แจ้งแทงตลอด
    บอกอะไรใครก็ไม่ได้ เป็นใบ้ เป็นปัจจัตตัง

    ขอได้โปรดลองพิจารณาไตร่ตรอง ลองอ่านหนังสือเล่มต่างๆ เพิ่มเติม สาธุ
    สิ่งไหนถูก ก็ทำต่อไป สิ่งไหนผิดรู้แล้วก็แก้ไขใหม่
    ให้เจริญอิทธิบาทให้มากๆ ขอให้บารมีเต็มในเร็วพลัน

    ขอให้เจริญในธรรม สาธุ
    สวัสดี
     
  14. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    หลายท่านมีจิตกุศลมากครับ ช่วยท่านไปนิพพานไม่ว่าด้วยกำลังใจหรือธรรมทาน เท่าที่ร่วมบุญกันได้ ขอให้ท่านเพียรพยายามนะครับ

    ผมคิดว่าท่าน

    1) เป็นผู้ละอัตตาได้ระดับหนึ่ง ถึงขนาดยอมให้คนธรรมดาไม่ห่มเหลืองปรามาสเพื่อได้พระธรรม นี่คือ บุญกุศลของท่าน
    2) เป็นผู้แสวงหา "สหายธรรม" ท่านอาจขาดแคลนแม้นอยู่ในโลกของสงฆ์ ท่านยังดั้นด้นมาหาในโลกแห่งฆารวาส
    3) ท่านไม่ประมาทในธรรม ท่านระลึกเสมอว่าพระธรรมล้ำลึก ท่านจึงไม่เชื่อใครง่ายๆ นี่คือ เหตุจะให้ท่านได้อรหันต์ได้
    4) ท่านมีความกระหายใคร่รู้ในธรรม บูชาพระธรรมด้วยเกรียติยศ ยอมให้คนธรรมดาปรามาสเพื่อพระธรรม จากคนเหล่านั้น
    5) ท่านมีความ "พึ่งตน" ท่านไม่เชื่อใครง่ายๆ แม้นพุทธทาสท่านก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ เพียงแต่หลักธรรมสอดคล้องความคิดท่านขณะนี้เท่านั้นเอง
    6) ท่านยอมรับคำปรามาส แทนสถาบันสงฆ์และผู้บิดเบือนศาสนาทั้งหลาย โดยไม่หนีเลย ท่านสละตนขนาดนี้ ท่านจงสู้ต่อไปเถอะ



    ผมเอาใจช่วย และร่วมบุญสร้างพระอรหันต์ครั้งนี้ด้วยครับ
    สาธุ...................................................
     
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดยเตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    -พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ที่หมายถึง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)<o:p></o:p>
    -แล้วทำไมบางคนถึงกล่าวว่า ยกเว้น จิต คือเห็นว่ามีจิตเป็น อัตตา หรือตัวตนที่เวียนว่ายตายเกิดได้<o:p></o:p>
    -บางคนก็กล่าวว่า นิพพาน เป็นอัตตา คือเห็นว่านิพพาน เป็นบ้าน เป็นเมืองที่เป็นอมตะ (ไปโน่น)<o:p></o:p>
    -แล้วอย่างนี้แสดงว่าคนที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ยอมรับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ใช่หรือไม่??????????<o:p></o:p>
    -ถ้าสมมติพระดำรัสของพระพุทธองค์ยังมีการยกเว้น ก็แสดงว่าพระดำรัสของพระพุทธองค์นั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่? แล้วอย่างนี้จะไปเชื่อพระดำรัสส่วนใหญ่ได้อย่างไร ? เพราะไม่รู้ว่าข้อไหนจะยกเว้นอีก?<o:p></o:p>
    -หรือเราจะยกเว้นตามใจของเราเอง? อย่างเช่นว่า ยกเว้น นิพพาน หรือยกเว้น จิต?<o:p></o:p>
    -อีกอย่างจิตก็มาจากนามขันธ์ ๔ (เวทนา-ความรู้สึก, สัญญา-ความจำ, สังขาร-ความคิด วิญญาณ-การรับรู้) มาทำงานร่วมกันมิใช่หรือ?<o:p></o:p>
    -แล้วทำไมจะมาว่าจิตไม่ใช่นามขันธ์ ๔ นี้เล่า อย่างนี้จะเป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์หรือเปล่า? ลองคิดดูเถิดท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย...
    -จะว่าจิตเป็นขันธ์ที่ ๖ หรือ? ก็กล่าวตู่อีกนั่นเอง? (ไม่เคยได้ยินว่าพระองค์ทรงกล่าว่ามีขันธ์ที่ ๖ นี่นา??)<o:p></o:p>
    -เพียงแค่การพิจารณาเท่านี้ก็พอจะเห็นเค้าลางๆแล้วว่า มีการมั่ว... ไม่ได้รู้หลักการอย่าถูกต้องกันเลย <o:p></o:p>
    แล้วก็ยังตีความพุทธพจน์กันตามใจอีก<o:p></o:p>
    -อย่าเป็นกบในกะลาที่เอาแต่ถ่มน้ำลายรดฟ้ากันเลย<o:p></o:p>
    -พระไตรปิฎกก็มีหลักการให้ศึกษามากมาย แต่นี่พวกคุณโยมกลับไม่เอา จะเอาก็แต่นั่งหลับตาดูนรก-สวรรค์กันท่าเดียว แล้วก็ถูกจิตตัวเองหลอก<o:p></o:p>
    -ลองคิดดูง่ายๆ ทำไมพระพุทธองค์ถึงไม่ทรงสอนหลักเริ่มต้นให้นั่งสมาธิดูนรก-สวรรค์กันเล่า ถ้ามันมีจริง?<o:p></o:p>
    แต่ทำไมถึงสอนเรื่องอนัตตา เพื่อดับทุกข์?<o:p></o:p>
    -อย่าลืมพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อนัตตา น๊ะ...<o:p></o:p>
    -เมื่อทุกสิ่งเป็นอนัตตา แล้วจะเอาอะไรมาเกิดเล่า ? จะเอาอะไรไปตายเล่า? ยิ่งนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าก็ยิ่งเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ (เอ.. เทวดาฝรั่งทำไมไม่เหมือนเทวดาไทยน๊ะ เทวดาไทยสวมชฎาด้วย ..ใครตอบได้)<o:p></o:p>
    -ทุกสิ่งเป็นเพียง สิ่งปรุงแต่ง ขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น......<o:p></o:p>
    -แล้วจะโลภเอาอัตตาไปทำไม ... มันเป็นไปไม่ได้เลย..<o:p></o:p>
    -พวกกบในกะลา ทั้งหลาย ออกไปดูโลกเขาบ้าง เขาไปกันถึงไหน แล้ว แต่เรากลับถอยหลังเข้าคลอง<o:p></o:p>
    -ป.ล. ไม่มีใครมากล้าแตะต้องหนังสือและบทความของอาตมารับรองได้ เพราะมันเป็นสากลไปซะแล้ว<o:p></o:p>
    เพราะฝรั่งเขาชอบใจ แต่คนไทยกลับเกลียดกลัว<o:p></o:p>
    ตชปญฺโญ ภิกขุ whatami@thai.com<o:p></o:p>
    www.whatami.8m.com<o:p></o:p>
    http://members.thai.net/whatami/<o:p></o:p>
     
  16. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,983
    ....ลำบากหน่อย....
     
  17. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    กราบนมัสการหลวงพี่ "เตชปญโญ ภิกขุ" ครับ
    .............................................................................

    1) ร่างกายเรานี้ก็มีโต เปลี่ยนแปลง ป่วย ตาย ใช่ไหมครับ ทีนี้ ร่างกายที่ตาย
    เผาไป มันก็ไปเป็นผุยผง แยกออกเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนพลังงาน
    ส่วนหนึ่งมันก็ออกไปได้ครับ แต่เป็นอะไร .... หลวงพี่ลองหาเอง

    2) บนโลกนี้มีสภาพอย่างที่เราเห็น หลังจากนั้นที่ตาเราไม่เห็นละครับ อันนี้
    หลวงพี่ต้องดูเอง หากเรายังไม่เห็นเรายังพูดไม่ได้ครับว่ามี หรือไม่มี

    3) กรรมฐานบางแบบ ก็พิสดาร หากไม่ฝึกดูจะไม่รู้ครับ ว่าที่เขาบอกถอดกาย
    ทิพย์ไปดูนรก สวรรค์มันจริงหรือเปล่า หลวงพี่ลองฝึกดูก่อนนะครับ ให้เห็นจ๊ะๆ
    กะตัวเองไปเลย วิชานี้เรียกว่า "มโนมยิทธิ"

    4) จิตไม่ใช่ขันธ์ในห้าขันธ์ครับ ขันธ์เป็น แค่ "กอง" ๆ ที่จิตไปหยิบเอามาปรุงแต่ง
    ไปยึดไว้ ธรรมบางหมวด ไม่ได้กล่าวถึงทุกอย่าง เช่น ไตรลักษณ์ ก็บอกเพียง
    ลักษณะจิตที่ยึดมั่นถือมั่นว่า "ทุกขัง" แต่ทุกขัง นี่ก็ไม่ใช่จิต ดั่งนี้ ขันธ์ห้า
    ก็ไม่ได้หมายรวมเอาจิตเข้าไปในธรรมหมวดนี้ เพียงแต่อธิบาย "เครื่องปรุง" ที่จิต
    ใช้ไปปรุงเท่านั้น

    5) วิธีสอนของพระอรหันต์แต่ละท่านแตกต่างกันครับ แถมพระพุทธองค์ก็สอน
    แต่ละคนต่างกัน สมัยก่อนคนไม่เหมือนสมัยนี้ นั่งกรรมฐานทั้งวี่วัน ดังนี้ พระ
    องค์ก็สอนแค่ธรรม ไม่ต้องบอกกรรมฐาน เพราะพระองคืก็เคยไปเรียนกรรมฐาน
    กับคนพวกนี้ครับ ส่วนบางท่าน เช่น พระสารีบุตร ท่านไม่เคยเรียนกรรมฐาน
    พระพุทธองค์ก็ทรงสอนกรรมฐานด้วย ดั่งนี้ ไม่มีใครบรรลุธรรมด้วยการเพียงฟัง
    และอ่าน โดยไม่มีกำลังแห่งกรรมฐานเป็นพื้นครับ เช่นนี้ ต้องฝึกกรรมฐานครับ



    ท่านที่มีอภิญญาช่วยถอดจิตไปสอนวิชา"มโนมยิทธิ" ให้ท่านเตชปญโญ ภิกขุ"
    หน่อยสิครับ ท่านจะแจ้งเห็นได้ จะได้ตั้งใจฝึกกรรมฐานต่อน่ะครับ

    สาธุ.............................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤศจิกายน 2006
  18. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ๑.จิตกับขันธ์ ๕ นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
    - มโนธาตุ คือ จิต อันได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิด 1, สัมปฏิจฉันนะจิต 1 หมายความว่า จิตนั้นเป็นตัวเสวยสิ่งที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (ปัญจทวาราวัชชนจิด) และจิตนั้นเป็นที่รวมแห่งการเสวยสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ มีอารมณ์ ความรู้สึก ความโลภโกรธหลง พอใจไม่พอใจ สุกข์หรือทุกข์ ฯลฯ
    - ขันธ์ 5 นั้นเป็นส่วนที่เนื่องกับจิต ส่งตรงไปสู่จิต ๆ เป็นที่เสวยสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ขันธ์ 5 นั้นมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสิ่งที่มากระทบ จึงชื่อว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเหมือน AI ตัวหนึ่ง เป็นสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่กับจิต เนื่องอยู่กับจิต จนแทบจะแยกไม่ออก ไม่สามารถเห็นกระบวนการนั้นได้ง่าย ๆ เพราะฉนั้น จิต จึงไม่ใช่ขันธ์ 5, จิตจึงไม่ในขันธ์ 5 (จิตจะไปอาศัยอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ได้) แต่ขันธ์ 5 มีอยู่ในจิต อาศัยอยู่ในจิต เนื่องด้วยจิต (สำหรับพระอรหันต์ เป็นผู้มีจิต ไม่เนื่อง ไม่ข้องแวะ เกาะเกี่ยวด้วยขันธ์ 5 จะเกิดอะไรขึ้นตามกระบวนการ AI ของขันธ์ 5 จิตของท่านก็นิ่งเฉย สักแต่รู้แล้วกองไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ได้เข้ามาทำความเศร้าหมองให้แก่จิตของพระอรหันต์เลย)

    ๒. จิตเป็นอัตตา หรืออนัตตา?
    - จิตนั้นเป็นสันตติ คือ ต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ไม่มีประมาณ
    - จะกล่าวว่าจิตเป็นอัตตา เกิดขึ้นทีเดียว ตั้งอยู่ทีเดียว ดับลงที่เดียว ดับแล้วหายเลยนั้น ไม่ได้ ไม่ถูก
    - จะกล่าวว่าจิตเป็นอนัตตา มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา เป็นสภาพไม่เที่ยง นั้นก็พอได้ แต่เนื่องจากมันเร็วมาก และหาเบื้องต้น, เบื้องปลายไม่ได้ จึงควรกล่าวว่าเป็นสันตติ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นั้นดีแล้ว

    ๓. นิพพาน ในความหมายของคุณโยมนั้นเป็นเช่นไร?
    - นิพพาน แปลว่า เที่ยงอย่างยิ่ง, สุขอย่างยิ่ง(อย่างไม่มีอามิส ไม่เจือด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมอง)
    - ทันทีที่บันลุอรหันต์ จิตจะเข้าสู่ภาวะพระนิพพานทันที เที่ยงตรงอย่างยิ่ง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองใดๆ เกาะเกี่ยวจิตดวงนี้ได้เลย
    - นิพพาน เป็นสภาวะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระเพื้อม สงบนิ่ง เปรียบเหมือนเพชรที่ไม่มีสิ่งใดมาทำให้มัวหมอง ด่างพร้อยได้
    - ที่ว่าพระอรหันต์ตาย นั้นหมายถึงกายแตกดับ จิตที่แน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมไม่มีคำว่าเคลื่อน หรือจุติ ใดใด เพราะหมดภพหมดชาติแล้ว
    - ความดีใดที่ทำแล้วได้ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็มีสถานทิพย์เป็นที่อยู่ ก็แล้วความดีของพระอรหันต์ผู้มีจิตใจไม่สั่นคลอน ไม่มีกิเลส เหตุใดจะไม่มีสถานอันเป็นทิพย์พิเศษรองรับความดีนั้นเล่า หลวงพ่อสด เรียก อายตนนิพพาน, หลวงพ่อฤาษีลิงดำเรียก ทิพย์พิเศษ, แม้หลวงปู่มั่น ยังกล่าวว่าเมื่อท่านปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง พระพุทธเจ้า พร้อมเหล่าอรหันต์สาวก ล้วนเสด็จมาปรากฏแก่จิตแก่ใจท่าน เคยได้ยินใหม่ว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ในสุข ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต

    ๔. และนิพพานนั้นเป็นอัตตา หรืออนัตตา?
    - พระพุทธองค์ตรัสว่า "เราไม่เห็นศัพท์อันไหนในโลก จะกล่าวว่าเป็นนิพพานได้เลย" ศัพท์ในโลกนี้จะแปลความหมายของคำว่านิพพานไม่ได้เลย
    - พระพุทธองค์ทรงตรัสได้ก็เพียงแต่ว่า "นิพพานนัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"(เพราะเป็นสุขที่ไม่มีอามิส), "นิพพานนัง ปรมัง สุญญัง นิพพานสูญอย่างยิ่ง"(เพราะสูญหรือว่างจากกิเลส)
    - พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัส นิพพานัง อนัตตาติ, นิพพานัง อัตตาติ หากมีในพระไตรปิฎก หรือในคัมภีร์ของพราหมณ์ของคริสต์ของอิสลามก็บอกมาอ้างมา, ส่วนคำว่า สัพพะ ธัมมานัง อนัตตาติ นั้นมีความหมายดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้น
    - ทุกคำถามเลยนะต้องมาสรุปลงที่คำว่า อัตตา หรือ อนัตตา ก็บอกแล้วว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ

    1. อย่าลืมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกผนวช เพราะเหตุใด เพราะต้องการพ้นจากความทุกข์ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มิใช่หรือ ?
    2. อย่าลืมว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ธรรม อันเป็นเครื่องให้พ้นไปจากความทุกข์ มิใช่หรือ ?
    3. ท่าน บวช เพื่ออะไร ? ท่านถึงจุดหมายปลายทางของท่านแล้วหรือ ?
    4. จิต ที่ถึงนิพพานนั้น มีความสุข เที่ยงแท้แน่นอน ไม่สะทกสะท้านต่อกิเลสธรรมตัวใดเลย เพราะตัดมันออกจากใจได้หมดแล้ว แล้วท่านกำลังปฏิบัติเพื่อตัดกิเลสอยู่หรือ ? รึว่ากำลังปฏิบัติให้เข้าถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ? รึว่ากำลังปฏิบัติเข้าสู่ตัวตน ฉันคนเดียว ฉันเกิดตายชาติเดียว ฉันนี่แหละตัวกู เธอนั่นแหละตัวแก ?
    5. ผมฟังคำถามผมก็งงเหมือนกัน สรุปว่าคุณเข้าใจอะไรบ้างเนี่ย ?

    ผิดพลาดประการใด กราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
    ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เชื่อว่าทุกคนมีสติปัญญาไม่ได้ด้อยไปกว่าผมเลย
    ^-^ ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2006
  19. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เยี่ยมๆๆ เลยครับ
    ............................................................................

    เราจะโต เราจะโต (ในธรรม) ท่านทั้งหลายกำลังเจริญในธรรมมากขึ้นแล้ว
    ทีนี้ การสนทนาธรรม หรือวิปัสสนานี้ ลองใช้หลักธรรมสี่ข้อนี้ประกอบนะครับ

    1. จิต พิจารณา อัตตา ตนเองตลอด ว่ายึดมั่นว่าความคิดนั้นต้องเป็นของเรา
    เราถูกต้อง เมื่อคลายอัตตา จะได้รับธรรมได้มาก
    2. มีอุเบกขา เมื่อเห็นความแตกต่างทางความคิด ไม่ออกแรงกระทบแต่อาจ
    ยั่วยุด้วยอุบายให้อีกฝ่ายเก่งขึ้นได้
    3. วิริยะ เพราะการถกธรรมนี้ เป็ฯสิ่งเข้าถึงยาก ต้องพากเพียรศึกษา ต้องหาข้อ
    มูลประกอบด้วย อย่าท้อครับ เราจะพัฒนาขึ้น
    4. วาจา จิต กาย สรรเสริญ ผู้สนทนาธรรมเป็นเนืองนิตย์ เพราะเราต่างเป็นครู
    ให้กันและกัน จึงต้องให้การเคารพกันด้วยครับ


    พยายามเข้าครับ บุญใหญ่ร่วมกันสร้างพระอรหันต์เร็วๆ

    ขอให้เจริญในธรรมนะครับ สหายธรรมทุกท่าน
    สาธุ...........................................
     
  20. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เราจะตาย " เราจะตายในธรรม "(i)
     

แชร์หน้านี้

Loading...