ระงับโทสะและการจองเวร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 28 กันยายน 2010.

  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับศัตรูในปัจจุบันชาติอีกคนหนึ่ง คนนี้เริ่มเข้ามาในวงจรชีวิตของผมเมื่อ 14 ปีที่แล้ว และเพิ่งจะจบการจองเวรซึ่งกันได้ไม่นาน แต่สำหรับผมนั้นหยุดการจองเวรกับเค้านานแล้ว แต่เค้าเพิ่งจะหยุด และเริ่มกลับมาเป็นมิตรกับผม

    ผมขออนุญาติเล่าให้ฟังนะครับ

    คนคนนี้คือน้องเขยของผมครับ

    น้องเขยของผมคนนี้เริ่มคบกับน้องสาวผมโดยที่ไม่มีใครรู้ มารู้กันก็เมื่อตอนที่มีอะไรกันแล้ว และเป็นคนที่แม่ผมไม่ชอบมาแต่แรก แรกๆที่ผมเห็นก็รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เช่นกัน แต่ไม่มากมายอะไร และในหมู่พี่น้อง 3 คน มีอะไรก็ปรึกษากัน แต่ถ้าใครจะรักใคร ก็ไม่ห้าม แค่เตือนตามที่จะเตือนได้ แต่จะฟังหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่อง

    ผมขอกล่าวถึงนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของน้องเขยผมคนนี้ น้องเขยผมเป็นคนที่เจ้าชู้มากๆ (ลูกเขาเมียใครไม่เว้น) ขี้โม้ขี้อวด เจ้าอารมณ์ ชอบข่มผู้อื่น และไม่เคยให้ใจกับผู้ใด ประจบคนเก่ง

    ส่วนข้อดีก็มี คือ รักพ่อแม่ รักลูก ขยันทำมาหากิน เข้าได้กับทุกคน

    น้องเขยผมคนนี้ เจ้าชู้ ผมและพี่ชาย เคยเห็นไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่นหลายครั้งหลายหน รวมถึงการไปได้กับผู้หญิงคนไหนบ้าง เท่าที่ผมพอจะรู้และไม่รู้อีกมาก (ในแถวๆบ้าน ผมเองก็มีคนรู้จักเยอะ และรู้จักคนในครอบครัวผม)

    ทั้งผมและพี่ชายก็เคยเตือนถึงพฤติำรรมของน้องเขยให้น้องสาวฟังอยู่บ้าง แต่น้องสาวก็แค่คิดมากและเสียใจ แต่เลิกไม่ได้ พวกผมก็เลยหยุดเตือน เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้น้องสาวทุกข์ใจเปล่าๆ

    และเหตุการณ์นี้เอง ที่ผมว่าลูกเขาเมียใครไม่เว้น เพราะว่าน้องเขยผมคนนี้ จะเอาภรรยาคนแรกของผม ช่วงนั้นผมทำงานกลางคืนอยู่ และภรรยาผมก็ชอบเที่ยว น้องเขยคงเห็นว่ามีโอกาส จึงคิดฉวยโอกาส

    ผมรู้มาจากปากของภรรยาผมเอง ภรรยายอมรับแบบหมดเปลือก (หรือเปล่าไม่รู้) ว่าน้องเขยชวนภรรยาผมไปนอนด้วย และชวนหลายครั้งแล้ว (และในช่วงนั้น ก็มีคนเห็นน้องเขยของผมกับภรรยาของผมไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และผมรู้มาจากน้องชายของภรรยา และคนในระแวกนั้น) เมื่อผมรู้ บอกตามตรงว่าผมโกรธมาก นี่เ็อ็งคิดเล่นของคนในครอบครัวเลยเชียวหรือ

    และหลังจากที่ผมเลิกกับภรรยาคนแรกไปแล้ว ภรรยาผมก็ยังกลับมาเยี่ยมผมอยู่บ้าง (เพราะเค้าทิ้งผมไปตอนที่ผมยังป่วยหนักอยู่) แต่แปลก มาเยี่ยมผมแค่แป๊ปเดียว แต่กลับไปคลุกอยู่ที่ห้องของน้องสาวผมกับน้องเขยทั้งวัน แถมยังให้น้องเขยขับรถไปส่งอีก (ไม่รู้ว่าจะมาเยี่ยมใครกันแน่)

    แต่ยัง ผมยังไม่ระเบิดอารมณ์ ผมเก็บข้อมูลเอาไว้ เพราะช่วงนั้น ภรรยาของผมเองก็ทำตัวไม่ดี ผมเฝ้าดูพฤติกรรมอยู่เงียบๆ

    แต่มีครั้งนั้นที่น้องเขยทำให้ผมโกรธมาก เพราะตอนนั้นที่ผมป่วยเป็นฝีในลำไส้ เลือดออกอยู่ตลอด ทำให้ไม่มีแรงทำงาน น้องเขยของผม ด่าผมกับพ่อแม่และคนอื่นๆ ว่าผมเป็นคนขี้เกียจ อ้างโน่นอ้างนี่เพื่อจะได้ไม่ต้องทำงาน โดยที่ยังไม่รู้ถึงสาเหตุของผมสักนิด พ่อแม่ก็เลยพากันเห็นด้วยกันหมด แต่ว่าตอนนั้นผมไม่มีแรงจะไปสู้รบกับใคร ผมจึงแค่รู้สึกโกรธ และคืนนั้นเองที่ผมหนีออกจากบ้าน และสุดท้ายก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาล พอแม่และคนอื่นๆไปเยี่ยม จึงได้รู้ความจริง

    พอผมได้เลือดจนเริ่มกลับมามีแรงอีกครั้ง ผมกลับไปจะเอาเรื่องน้องเขยผม (เนื่องด้วยความแค้นที่สะสมมามากแล้ว) แต่น้องสาวมาห้ามไว้ และคนอื่นๆอีก ผมจึงหยุด แต่กล่าววาจาอาฆาตไว้ และบอกว่ารู้ถึงเรื่องที่แอบมีอะไรกับภรรยาของผมด้วย แล้วผมก็เดินจากออกมา (แต่ก่อนเดินจากออกมา ผมเตะต้นไม้หักไปต้นหนึ่ง) ผมเดินออกมาได้สักพัก น้องเขยรีบวิ่งมาหา คุยกับผม 2 ต่อ 2 พูดทำนองขอโทษ แต่ก็มีการเอาปืนมาขู่กันด้วย แต่ตอนนั้นสติของผมกลับมาแล้ว ผมหยุดโกรธไปแล้ว ผมจึงเฉยๆ และบอกไปว่า พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ไม่โกรธแล้ว ไม่ทำอะไรหรอก

    ยังไม่พอ น้องเขย ชอบไปด่านินทาผมลับหลังให้คนอื่นฟังอยู่บ่อยๆ และคนพวกนั้นแหละที่มาบอกผม และชอบข่มเหงวางอำนาจกับผมทั้งต่อหน้าคนอื่นและเมื่อคุยกัน 2 ต่อ 2 ไม่เคยเรียกผมว่าพี่ ทั้งๆที่อายุห่างกัน 6 ปี และไม่เคยเกรงใจหรือให้ความเคารพ บางครั้งเรียกไอ้ด้วยซ้ำ

    ต่อมาน้องเขย เริ่มกินเหล้าหนักขึ้น และเริ่มทุบตีน้องสาวของผม แต่จะตีกันแรงๆ ตอนที่แม่ไม่อยู่ (ในช่วงนี้พ่อของผมเสียแล้ว) ทั้งผมและพี่ต้องมาคอยห้ามและพาน้องสาวหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก

    แต่น้องสาวของผมก็ไม่เข็ด ยังกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แถมช่วงที่หนียังเป็นห่วงเค้าอีก (นี่แหละที่เค้าเรียกว่าคู่เวรคู่กรรม)

    มีครั้งหนึ่งที่พลาด ดันเมาแล้วตีน้องสาวผมตอนที่แม่อยู่ด้วย ผมกับแม่ก็ช่วยกันห้ามพัลวัน จนแม่ผมเรียกให้ตำรวจมาช่วยจับน้องเขยผมคนนี้ เอาไประงับสติอารมณ์ ได้นอนโรงพักคืนนึง

    แม่ผมบอกน้องสาวให้เลิกกับน้องเขย แต่น้องสาวผมไม่เลิก แถมตอนที่น้องเขยติดคุก น้องสาวยังไปห่วงเค้าอีก (เฮ้อ.........กรรม) ผลสุดท้ายแม่ผมเลยให้ออกไปอยู่กันที่อื่น เพราะแม่ไม่อยากเห็นลูกตัวเองถูกเค้าตีอย่างนี้ จะห้ามลูกสาวตัวเอง ก็ห้ามไม่ได้

    น้องสาวกับน้องเขยก็เลยไปหาเช่าห้องอยู่กันข้างนอก และในช่วงนี้เอง เมื่อผมบังเอิญไปเจอน้องเขยข้างนอก ถ้าไปทัก น้องเขยจะทำท่าเอาเรื่องทันที (ดูเหมือนกับหมาบ้า) วันหลังผมเลยไม่ทัก

    ทุกท่านเองก็คงจะเคยรู้สึก เมื่อเราบังเอิญไปเจอกับคนที่เป็นศัตรูกับเรา ความรู้สึกมันจะเป็นยังไง มันจะอึมครึม รู้สึกกระวนกระวาย รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที ผมเองก็เช่นกัน และพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกันได้ทุกเมื่อ ถ้ามีอารมณ์หรือสถานการณ์พาไปแม้แต่นิดเดียว

    และเมื่อต้นปีมานี้เอง น้องเขยกับน้องสาวผม ซื้อรถมาใหม่ ขับมาอวดคนที่บ้านผม มาแบบวางมาด และมีการคุยข่มผมและเยาะเย้ยถากถาง (ตามประสาของเขา)

    แต่ว่าช่วงนั้น ผมได้ปฎิบัติธรรมมาพอสมควรแล้ว เริ่มปฎิบัติอย่างจริงจังมาได้ 4-5 ปีแล้ว และผลของการปฎิบัติเริ่มได้ผลเมื่อ 1-2 ปีนี้เอง ผมจึงเฉยๆ แต่ผมถามอะไรเขาบางอย่าง เพื่อที่จะดูว่า เขาเปลี่ยนนิสัยไปบ้างหรือยัง และจากที่ฟังคำตอบ หรือคำพูดบางอย่าง เขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    ผมนั้นไม่มีอะไรแล้ว แต่น้องเขยผมยังคงมีความระแวง และไม่ชอบผมอยู่
    ตลอดเวลาที่น้องเขยมาที่บ้านกับน้องสาวผม เราไม่เคยคุยกันเลย ผมเองก็ไม่เริ่มก่อน เพราะรู้ว่าทุกอย่างต้องอยู่ที่เค้าเท่านั้นเป็นผู้เริ่ม

    ประมาณ 1 เดือน ที่ผ่านมานี้ น้องเขยเริ่มเข้ามาคุยดีกับผมแล้ว เราคุยกันดีปกติ ถึงจะยังไม่สนิทใจนัก เพราะความที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน

    แต่เรื่องราวความแค้นของผมกับน้องเขย การจองเวรพยาบาท ทุกอย่าง หยุดลงแล้ว

    การเป็นศัตรูกันมาถึง 14 ปี ได้ยุติลงแล้ว

    ผมรู้สึกยินดี ที่ความอาฆาตพยาบาทในใจผม ได้หมดลงแล้ว ความสงบสุขในใจ มีเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าทวีคูณ

    ปล.ในช่วงที่ผมเริ่มปฎิบัติอย่างจริงจังช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น ถึงผมจะแผ่เมตตาไปให้กับทุกคน ทุกภพภูมิ แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะแผ่ให้กับน้องเขยของผม เนื่องจาก ผมแค้นเค้ามาก จนได้อ่านเรื่องธรรมะมากขึ้น และผลจากการปฎิบัติที่เริ่มส่งผล ทำให้ผมเริ่มที่จะแผ่ให้กับน้องเขย เพื่อที่จะหยุดการจองเวรในจิตของตนเอง เมื่อประมาณต้นปีมานี้เอง และก็ส่งผลในปัจจุบันนี้



    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  2. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ต่อไปผมจะกล่าวถึงการปฎิบัติเพื่อระงับโทสะของผมนะครับ

    สำหรับผม ผมปฎิบัติมาในแนวเมตตาจิต เพื่อให้จิตมีความอ่อนโยน และผมเองก็เป็นคนที่มีโทสะแรงเป็นพื้นเดิมอยู่แล้วด้วยจึงปฎิบัติในทางนี้

    ผมเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงคิดได้ว่า ต้องกำหนดที่เมตตาจิต เพื่อให้จิตอ่อนโยน ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่า นี่คือวิธีที่ใช่ และไม่เคยศึกษาเรื่องการปฎิบัติมาก่อน แต่เมื่อมาหาความรู้ในเวปนี้ ก็ได้ข้อมูลว่าใช่ เออแฮะ....ผมมาถูกทางได้ยังไงกัน และเมื่อก่อนผมปฎิบัติสมาธิก็จริง แต่ไม่รู้หลักการปฎิบัติอะไรเลย แต่ผมก็ปฎิบัติของผมแบบถูกๆผิดๆมาเรื่อยๆ ถึง 6 ปี แต่ไม่ทิ้ง จนมาเจอหลักของตัวเอง ตามที่จิตต้องการ นี่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

    การจะระงับโทสะหรือลดการจองเวรอาฆาตแค้น


    ความโกรธหรือโทสะ เป็นเหตุให้เกิดการ อาฆาตแค้น จองเวรกัน เมื่อเราระงับความโกรธได้ ก็เท่ากับว่า เราลดการจองเวรต่อกันด้วย


    ผมจะใช้หลักพิจารณา เมื่อตอนที่เพิ่งเริ่มใหม่ๆ ผมกำหนดอยู่ 3 ขั้นตอน คือ

    ตั้งสติ หรือ มีสติ
    พยายามหาวิธีที่จะระงับความโกรธ
    พิจารณาเหตุแห่งความโกรธ

    -อย่างแรกผมจะตั้งสติก่อน เมื่อรู้ว่าโกรธขึ้นมาแล้ว ตั้งสติไว้ให้รู้ว่าโกรธแล้ว
    -ต่อมาผมจะหาวิธีระงับความโกรธ อย่างแรก คือ ออกจากพื้นที่นั้นก่อน และหายใจลึกๆ (หรือวิธีอื่นๆ)
    -และเมื่อเริ่มผ่อนคลายลง ผมก็จะพิจารณาในความโกรธนั้น ว่าที่โกรธนั้นเพราะอะไร เหตุคืออะไร และถ้าเราปล่อยให้จิตไปตามแรงโกรธนั้น จะเกิดผลอย่างไรบ้าง

    ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จะพิจารณาในสิ่งใดก็ตาม ก็ขอให้เอาตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นหลัก อย่าคิดเองเออเอง เพราะความคิดของตนที่ยังไม่ใช่ปัญญาที่รู้แจ้งแล้ว ยังมีความไม่ถูกต้องอยู่

    ในช่วงแรกๆของผู้ปฎิบัติธรรม หรือผู้ที่อยากจะระงับความโกรธของตนเองนั้น จะต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาช่วย เพื่อที่จะดึงจิตให้ออกจากความโกรธนั้นให้ได้

    และอย่างแรกที่ผู้ที่อยากจะระงับความโกรธของตนเองจะต้องมีเลยคือ

    ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    เชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด
    เชื่อในกฎแห่งกรรม

    ทำไม 3 สิ่งนี้ต้องมี เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้จิตของเรารู้จักปล่อยวางความโกรธลง ตัวอย่างเช่น (จากประสบการณ์ของผมเอง)

    ผมโดนหัวหน้าผู้หญิงด่า แถมเวลาด่า เค้าด่าแบบว่า เราโง่ เราไม่มีสมอง ทั้งๆที่เราเพิ่งเข้างานแท้ๆ ยังไม่รู้เรื่องระบบงานอะไรเลย และด่าต่อหน้าคนอื่นด้วย

    อันนี้ เมื่อผมทำตามขั้นตอน 1-2 แล้ว ผมก็พิจารณาว่า ผมโกรธทำไมหรือ ผมโกรธเพราะ
    เค้าด่า ทั้งๆที่เราไม่ผิด ด่าไม่มีเหตุผล
    ด่าต่อหน้าคนอื่น
    ด่าหยาบคายเกินไป

    ผมก็จะพิจารณาเป็นข้อๆ ในข้อแรกนั้น ผมมีข้อเปรียบเทียบจากคนอื่นที่ว่า หัวหน้าเค้าเป็นคนอย่างนี้เอง และจากที่ผมเองก็เคยเห็น เวลาที่เค้าดีๆ เค้าก็ดีกับทุกคนมาก อืม..อารมณ์งานมันพาไป เค้าเครียดเรื่องงาน

    สอง คนอื่นมีความสำคัญขนาดนั้นหรือ ที่เราจะต้องสนใจ จะต้องอาย (คิดให้มากๆนะ)

    สาม คำพูดมันไปตามอารมณ์เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฎิบัติ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เราเองก็เป็นเช่นนั้น

    สี่ ถ้าผมปล่อยให้ตัวเองไปตามแรงโกรธ ผมอาจจะหุนหันพลันแล่น ออกจากงานเอง หรือด่ากับหัวหน้า สุดท้ายก็ออกจากงาน ไม่มีทางไหนดีเลยแฮะ

    การจะพิจารณาเำพื่อให้รู้ถึงความโกรธ หรือเพื่อให้ระงับความโกรธได้ในที่สุดนั้น อย่างที่บอก ตามสถานการณ์ เราเจอกับสถานการณ์อย่างไหน เราก็ยกเอาข้อธรรมมาเปรียบเทียบ หรือบางครั้งอาจจะต้องใช้ปัญญาในทางโลกร่วมด้วย แต่ถ้าสุดท้ายเราหาเหตุที่จะพิจารณาเพื่อให้ความโกรธนั้นสงบไม่ได้ ก็จึงใช้ในเรื่องของกฏแห่งกรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาพิจารณาเพียงอย่างเดียว เช่น

    มีคนมาแอบวางยาเบื่อสุนัขเรา โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร
    เราก็พิจารณาให้เห็นเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด (อธิบายแค่พอเข้าใจนะครับ)

    การปฎิบัตินี้ แรกๆ ในแต่ละขั้นตอน อาจจะต้องใช้เวลามาก แต่เมื่อเราปฎิบัติไปบ่อยๆเข้า จนเกิดความชำนาญ หรือคุ้นชิน จะเริ่มใช้เวลาในการกำหนดสติบังคับจิตเพื่อไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์โกรธเร็วขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาเมื่อเจอเหตุการณ์ที่จะกระเทือนอารมณ์โกรธของเราขึ้นมา สติจะพิจารณาหาเหตุเองเลยโดยที่เรายังไม่ทันรู้สึกโกรธเลยด้วยซ้ำ

    และทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ปฎิบัติก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้บ่อยๆมากๆ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ จิตของเราอ่อนโยนเร็วขึ้น

    และวิธีปฎิบัติของผมนี้ เป็นการปฎิบัติในขั้นต้นเท่านั้นนะครับ

    ผิดถูกประการใด ผมต้องขอโทษด้วยครับ ว่ากล่าวตักเตือนและแนะนำได้ครับ

    อ้อ!.....และผลของการปฎิบัติจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เรามีความพยายามและตั้งใจปฏิบัตินะครับ ถ้ารับรู้เฉยๆ แต่ไม่นำไปปฏิบัติ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด

    เจริญในธรรมครับทุกท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  3. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    อานาปานสติช่วยคุณได้ เมื่อกี้โดนแช่งให้ตาย หูได้ยินเกิดจิตที่หู หูดับ แต่ก่อนป่านนี้สวนกลับแล้ว วันนี้ดีใจมากที่ทำได้ โดยอารมณ์นั้นไม่เข้ามาในใจเราอีก แต่ก่อนถึงไม่โต้ตอบก็แทบกระอัก(deejai)
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    อนุโมทนาทุกท่านครับ

    ผมขอมากล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกสักนิดหนึ่ง

    การปฎิบัติที่ได้ผลนั้น จะต้องปฏิบัติกรรมฐานด้วยเป็นประจำ เพื่อให้จิตสงบจากทางโลก หรือ กิเลสตัณหา เพราะจิตที่สงบได้นั้น คือจิตที่มีพลังในการจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ ที่จะต้องบังคับจิตใจของตนให้ระงับ กิเลสตัณหาต่างๆ หรืออารมณ์และความคิดที่ไม่ดีต่างๆ แม้จะสงบได้แค่แป๊ปเดียว หรือนิดเดียวก็ตามที จิตนั้นก็มีพลังเช่นกัน และจิตที่สงบก็จะทำให้เราเริ่มเกิดปัญญาในทางธรรมที่ถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ

    และการระงับได้ ไม่ใช่การตัดได้ การตัดได้ คือพระอรหันต์เท่านั้น



    เจริญในธรรมครับ
     
  5. จิตปรุง

    จิตปรุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +802
    อนุโมทนากับคุณ Supop ค่ะ กับข้อแนะนำในการปฎิบัติเพื่อระงับโทสะและ
    การจองเวร เห็นด้วยกับหลักที่คุณปฎิบัติค่ะ เมื่อก่อนเราก็เปนคนโกรธง่าย อัตตาสูง หลังจากใช้หลักอย่างที่คุณปฎิบัติรวมกับการตามดูตามรู้จิต ก็ดีขึ้น อย่างแรกกับตัวเราเองความเร่าร้อนในใจมันเบาบางลงผลพลอยได้กับคนรอบข้างก็ดีขึ้น หลักธรรมสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เป็นอย่างดีจริงๆๆ
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมค่ะ
     
  6. numtalsod

    numtalsod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +173
    เมื่อสิบนาทีที่ผ่านมาก็โกรธ ใครคนหนึ่งอยู่ อาฆาตมันผู้นั้นเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆผ่อนอารมณ์ให้กลับมาตั้งอยู่ในความสงบ ระงับดวงจิตแห่งความโกรธเอาไว้ให้ได้ บอกตนเองว่า โกรธเขาเราก็เล่าร้อน
    เพียงเพื่อเล่าให้ใครก็ได้รับฟังค่ะ
     
  7. palpats

    palpats Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +97
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ ผมเองก็เคยมีอารมณ์โกรธเสมอ
    ปัจจุบันลดลงมากแล้วครับ
     
  8. ฟาเยีย

    ฟาเยีย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,125
    ค่าพลัง:
    +951
    อนุโมทาบุญด้วยค่ะ เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  9. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    คงใกล้ึถึงเวลาจะได้เข้าร่มกาสาวพักแล้วกระมัง..ยินดีด้วยนะครับ สาธุในธรรม ศัตรูกันมากี่ภพกี่ชาติมันก็อย่างนี่้แหล่ะครับ เจอกันไม่ได้ต้องได้เข้าห้ำหั่นกัน จนกว่าจะมีคนใดคนนึ่ง พ้นวิสัยไปก่อน อีกคนก็จะตามไม่ทัน ถึงจะได้ขาดจากกัน
     
  10. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณคุณ supop มากครับที่นำเรื่องดีๆ มีข้อคิดมาเล่าสู่กันฟัง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เราตัดกรรมให้อภัยเขาแล้ว แต่น้องเขยยังมีกิเลส บาปหนาใกล้แล้วครับชีวิตน้องเขยคุณคงจะต้องเตรียมตัวรับกรรมที่เขาก่อไว้ เห็นมาเย่อะแล้วครับประเภทเจ้าชู้ ไม่เลือกลูกเขา เมียใคร สุดท้ายเขาจะตกต่ำแบบสุดๆ ไปไหนก็มีแต่คนรังเกียจ
     
  11. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณค่ะ........................
     
  12. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ขอบคุณกับความเห็นของทุกท่านครับ
     
  13. HOPE FROM MY HEART

    HOPE FROM MY HEART สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +10
    โมทนา สาธุค่ะ สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม;39 จะโกรธ เกลียด ไปเพื่ออะไร ไม่นานก็ ต้องตายจำกกัน อยู่ให้สุข ตายให้สุขดีกว่าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...