แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    พระบิดาของพระพุทธองค์ ได้ให้พราหมน์ มาทำนายชะตาของพระพุทธองค์ โดยพราหมน์ถูกคัดเลือกจากพราหมน์จำนวนมากจนเหลือ 8 คน(จำนวน จำได้ไม่แน่นอนครับ)

    โดยพราหมน์ แต่ละคนได้ทำนายไว้สองทาง ทางแรกจะทรงเป็นพระมหาจักพรรดิ หรือถ้าทรงบวชจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีพราหมน์หนุ่มคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่ทำนายว่า จะทรงบวชและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพราหมน์ผู้นี้คงรู้จักกันดีนะครับ ท่านคือสาวกองค์แรกท่านโกญทัญญะ นั่นเอง

     
  2. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    Budha ....ภาพพุทธประวัติสวยมากๆนะ อยากให้ดู ถ้ามีพุทธประวัติมาอธิบายด้วยน่าจะดี ท่านที่รู้สามารถเสริมได้นะครับ[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 28.jpg
      28.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.9 KB
      เปิดดู:
      700
  3. พุทธิวงษ์

    พุทธิวงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,200
    ค่าพลัง:
    +7,879
    555 แซวได้ตามสบายเลยครับ คนกันเองทั้งนั้นครับ พักกินข้าวกันก่อนนะครับทุกท่าน เดี๋ยวมาต่อใหม่ ว่าแต่แบบนี้หน้าที่ 999คงอีกไม่นาน ใช่มัยครับพี่หนึ่ง.....:cool:
     
  4. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    นี่น่าจะเป็นฤษีที่เป็นอาจารย์ของพระบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ(ท่านมีชื่อเสียงมาก แต่ผมจำชื่อไม่ได้) มาแสดงความยินดี เพราะทราบจากญานว่าพระพุทธเจ้าได้มาประสูติแล้ว และท่านเองก็หลั่งน้ำตาเพราะทราบว่าตัวเองจะหมดอายุไข ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ครับ และท่านได้กราบเจ้าชายสิทธัตถะ ในตอนที่เป็นทารก ซึ่งทำให้พระบิดาของพระพุุทธองค์ตกใจ และทราบว่าเจ้าชายเป็นผู้มีบุญบารมีมากๆครับ

     
  5. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    พระบิดา ได้ทรงพาเจ้าชายไปเที่ยวด้วยในงานประเพณีแรกนาขวัญ และเมื่อเจ้าชายท่านนั่งอยู่คนเดียวก็ได้พบการทำอาณาปานสติ ในชาตินี้เป็นครั้งแรกครับ
     
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    เอาเรื่องเล่าของคนอื่นมาให้อ่านนะครับ เป็นประสบการณ์ดีๆจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆ

    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระเกจิชื่อดังแห่ง วัดป่าอุดมสมพร เชิงเขาภูพาน ในเขตอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นพระสายลูกศิษย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระเกจิอีกรูปที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ประชาชนทั่วประเทศต่างให้ความศรัทธาเลื่อมใสไปทั่วสารทิศ บรรดาศิษยานุศิษย์และผู้คนชาวพุทธที่ต่างรู้จักกันดี ด้วยท่านมีบารมีอันแก่กล้า เป็นที่พึ่งทางใจของทุกคน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระอาจารย์ฝั้นท่านได้แสดงธรรมอันเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้าน เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ และอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล รักษาธรรมสืบต่อไป

    ท่านเป็นพระสมถะไม่ถือตัว เป็นกันเองกับทุกคน จึงเป็นที่รู้จักและเคารพสักการะของศรัทธาประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งท่านเป็นผู้ถึงแล้วด้วยคุณธรรมชั้นสูง สละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมาโดยตลอด ไม่ยินดียินร้ายในลาภ ยศ สรรเสริญ นับเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่หาได้ยาก เพราะด้วยการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน จึงได้รับผลที่แน่นอนนั่นเอง

    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร นั้น ท่านเป็นพระสมถะสงบเสี่ยมเจียมตัวอยู่โดยตลอด ใครมีความเดือดเนื้อร้อนใจ มีอุปสรรคปัญหาในชีวิต ถ้ามีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านแล้วจะเกิดความสบายใจ บันดาลผลให้เกิดความสุขใจอย่างคาดไม่ถึง นอกจากจะให้ธรรมะแล้วพระอาจารย์ฝั้นท่านก็ได้ปลุกเสกเหรียญพระสำหรับให้ประชาชนได้เช่าบูชาไปก็หลายรุ่น ซึ่งมีอยู่รุ่นหนึ่งที่ตัวผมเองได้เช่าไว้ห้อยบูชาตลอดเรื่อยมา เป็น เหรียญรุ่น 63 เนื้อทองแดง ชุบเงิน สร้างเมื่อปี 2518 เป็นเหรียญรูปยืนเห็นทั้งองค์ ในมือด้านซ้ายนั้นถือไม้เท้าด้วย ผมหาเช่ามาบูชา 2 องค์ ให้ภรรยาไว้ห้อยคอด้วยเช่นกัน เพื่อความอุ่นใจและความเป็นสิริมงคล ผมเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแรงกล้า ว่าเหรียญของท่านสามารถปกป้องเภทภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง ให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งผมเองนั้นก็ไม่ค่อยจะพบเห็นหรือประสบภัยต่าง ๆ ที่ร้ายแรงมาก่อนเลยในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของอุบัติเหตุ

    จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น วันนั้นผมได้ขับรถกระบะส่วนตัวมาตามถนนสายมิตรภาพ เพื่อมาติดต่อธุระกับภรรยา ที่จังหวัดขอนแก่น ในขณะที่รถได้วิ่งมาถึงบริเวณสี่แยกทางจะเข้าตัวเมืองขอนแก่นนั้น ปรากฏว่าได้มีรถบรรทุก 10 ล้อ ซึ่งบรรทุกน้ำอัดลมโคคา-โคลา มาเต็มคันรถ แล่นสวนมาด้วยความเร็วสูงและขับกินเลนเข้ามายังช่องทางขวามืออย่างกะทันหัน ได้พุ่งชนประสานงากับรถของผมอย่างเต็มเหนี่ยวเสียงชนดังสนั่นหวั่นไหว รถผมพังพินาศ กลายเป็นเศษเหล็กในทันที สำหรับโชเฟอร์รถบรรทุก 10 ล้อ อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปอย่างลอยนวลตามระเบียบ รถบรรทุกยังจอดอยู่บนถนน ส่วนผมกับภรรยาที่นั่งคู่กันมาด้านหน้า สลบไสลไม่ได้สติ และได้มีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเหลือ นำร่างไร้สติของผมพร้อมภรรยาส่งโรงพยาบาลทันที แต่กว่าจะงัดตัวผมออกจากซากรถได้ก็ทุลักทุเล ใช้เวลานานพอสมควร ผมกับภรรยามาฟื้นที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่มากนัก ใคร ๆ ที่เห็นสภาพรถของผมแล้วต่างส่ายหน้า คงจะคิดเหมือนๆ กันว่า คนที่นั่งอยู่ในรถกระบะคงตายคาที่หมด เพราะดูจากสภาพอันยับเยินของตัวรถแล้วไม่มีทางที่ใครจะสามารถรอดตายได้เด็ดขาด

    แต่น่าแปลก! เมื่อผมกับภรรยาถูกส่งตัวมารักษาเยียวยาที่โรงพยาบาล พอฟื้นคืนสติขึ้นมาปรากฏว่าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแม้แต่น้อย แค่บาดเจ็บ เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะรอดตายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งตัวผมเองคิดว่าอาจเป็นบารมีของเหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่แขวนคอก็เป็นได้ ที่ได้สร้างอิทธิปาฏิหาริย์ ให้รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งเหรียญรุ่นนี้พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ท่านทรงอธิษฐานจิตปลุกเสกเมื่อคราวที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงตัดลูกนิมิต ณ พระอุโบสถวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่อผมได้รับการยืนยันจากคณะแพทย์ของโรงพยาบาลว่า ตัวเองกับภรรยาไม่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงใด ๆ แพทย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ซึ่งเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2518 จนกระทั่งทุกวันนี้เกือบ 30 ปีเข้าไปแล้ว ผมก็ยังมิอาจที่จะลืมได้ และก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีศรัทธาเลื่อมใสต่อพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร อย่างไม่เสื่อมคลาย ให้ความนับถือบูชาดุจเทพเจ้าประจำใจของผมเลยทีเดียว
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    หลวงปู่คำพันธุ์ จ.นครพนม จากนิตยสารโลกลี้ลับ 2546

    ในบรรดาพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั่วทั้งพุทธจักร ย่อมรู้จักนามของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ นักบุญผู้มีเมตตาธรรมสูงแห่ง วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีศีลาจารวัตรอันงดงาม พรหมวิหารธรรม ของท่านประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะอิทธิมงคลของหลวงปู่คำพันธ์ ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์สูงล้ำหลายด้าน จึงได้รับความนิยมจากวงการพระเครื่องอย่างรวดเร็ว ด้วยท่านเป็นผู้อุทิศชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรมจนบรรลุผลทางใจกลายเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอันสูงสุด ทั้งยังเป็นแสงสว่างแห่งปัญญาวิสุทธิ์ ของชาวพุทธ ท่านมิใช่เกจิอาจารย์ธรรมดา แต่หลวงปู่นี้คือ ยอดเกจิอาจารย์ผู้รุ่งเรืองด้วยพุทธิปัญญาโดยแท้ ด้วยคำสอนอันเรียบง่ายของท่าน แต่ลึกซึ้งด้วยแก่นแท้แห่งธรรมที่นักปราชญ์ทั้งทางโลกและทางธรรมยอมรับว่าท่านมี ดวงตาที่สาม สามารถรู้แจ้งในพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น พหูสูตทางศาสนา ผู้หนึ่ง

    ในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 ทางวัดธาตุมหาชัยกำลังพัฒนา หลวงปู่คำพันธ์จึงได้สร้างอิทธิมงคล ชุด “มหาชัยมงคล” ขึ้น เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุน มูลนิธิสังฆศาสน์ และเป็นทุนพัฒนาวัดธาตุมหาชัย ซึ่งผมเองก็ได้เดินทางไปขอเช่าวัตถุมงคลด้วย เป็น พระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ และล็อกเกตอุดผงตะกรุดทองคำ เพื่อไว้บูชาและความเป็นสิริมงคล โดยที่ได้นำเอาพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อจัดใส่กรอบแขวนห้อยคอตัวเอง ส่วนล็อกเกตอุดผงได้ให้ภรรยาแขวนคอไว้บูชา ซึ่งหลวงปู่คำพันธ์ได้ทำ พิธีอธิษฐานจิต ปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคล นี้เป็นกรณีพิเศษ

    หลังจากที่ได้พระสมเด็จปรกโพธิ์ของหลวงปู่คำพันธ์ มาบูชา โดยคล้องคออยู่ตลอดเวลา จนมาช่วงหลายเดือนมกราคม ปี 2540 ผมได้เดินทางไปเข้าร่วมอบรมสัมมนาทางวิชาการฯ ของโรงเรียนในกลุ่มเขตการศึกษา 10 ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังเสร็จสิ้นภารกิจการอบรมฯ ที่จัดขึ้น 3 วันแล้ว วันสุดท้ายจึงได้ไปเที่ยวฟังเพลงในคาเฟ่แห่งหนึ่งในตัวจังหวัดเพียงคนเดียว จนกระทั่งเกิดเหตุทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่เมาสุรา และเหมือนคราวเคราะห์ เนื่องจากเหตุการณ์ณ์บานปลาย ขณะนั้นหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นได้ชักปืนขนาด .38 ออกมายิงใส่ตัวผมจำนวน 5 นัดซ้อน ในระยะเผาขน จนเป็นเหตุให้ผมล้มฟุบลงด้วยความเจ็บ ก่อนที่วัยรุ่นกลุ่มนั้นจะแตกกระเจิงหลบหนีไปคนละทิศละทาง และจากความแรงของวิถีกระสุนทำให้ผมมีอาการเจ็บปวดระคนจุกเสียดบริเวณหน้าอกและกลางหลังเหมือนกับจะหมดสติ และนอนนิ่งกองกับพื้นหมดสติไปในที่สุด ณ ที่ตรงนั้น ชั่วอึดใจได้มีผู้คนเห็นเหตุการณ์แห่มามุงดู พอผมตั้งสติได้จึงขยับตัวพยายามลุกขึ้นยืนท่ามกลางความงุนงงของผู้คนเหล่านั้น

    เวลานั้นผมบอกอะไรไม่ถูก เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่และแทบไม่น่าเชื่อว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่ ผมรอดตายมาได้ยังไง? ด้วยมีรอยกระสุนที่ถูกยิงบริเวณหน้าอก ชายโครง และท้องน้อย 5 จุด ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยไหม้และแผลเป็นลึกบุ๋มลงไปเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ ของหลวงปู่คำพันธ์แน่เลยที่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เพียงนี้

    ด้วยความศักดิ์สิทธิ์นี่เอง ผมจึงได้ห้อยพระสมเด็จฯ ติดตัวเป็นประจำด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีความมั่นใจกับพระเครื่อง ของหลวงปู่คำพันธ์ที่ท่านได้สร้างขึ้นว่า เป็นพระแท้ที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตา แคล้วคลาดสูงสุด ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระปรมาจารย์ หรือพระเกจิอาจารย์องค์สำคัญใดๆ ในแผ่นดินธรรมนี้เลย
     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    อภินิหารแม่ย่าโม จากกรรมทันตา ปี 2546

    ผมเป็นคนหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอพิมาย บ้านเดียวกับคนที่ผมกำลังจะเล่าประวัติเกี่ยวกับการสร้างกรรมก่อเวรของเขานี่แหล่ะครับ เราเป็นคนบ้านเดียวกัน รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี แม่ว่าฐานะของผมกับเขาจะค่อนข้างห่างกันก็ตาม พูดง่ายๆ เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ เพราะเป็นคนมีฐานะดี ส่วนผมก็แค่คนเดินดินกินข้าวกับน้ำพริกแกล้มผักริมรั้วธรมดา แต่บังเอิญว่าเจ้าของบ้านหลังใหญ่เขาเป็นคนโออ้อมอารี ไม่ถือเนื้อถือตัวผมก็ฌลยได้รู้จักมักคุ้นกับเขาเท่านั้นเอง อีกอย่างคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ใจดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่ค่อยเอาฐานะเงินทองมาเป็นเครื่องปิดกั้นความสัมพันธ์ที่ดีของเพื่อนบ้านหรอก……..

    ครอบครัวนี้แม้จะโชคดีเรื่องฐานะความเป็นอยู่ แต่ทว่ากลับอับโชคในเรื่องของลูกหลานที่จะสืบสกุล คือ ครอบรัวที่ว่านี้ เขาแต่งงานอยู่กินกันมานานหลายปีแล้ว แต่ว่าไม่มีลูกทั้งที่ใจอยากมีมากเหลือเกิน ก็ยังไม่ สามารถมีลูกไว้เชยชมได้สมใจทั้งที่หมอก็บอกว่าปกติทั้ง 2 คนผัวเมีย ไม่ใช่หมอคนเดียวที่พวกเขาพากันดั้นด้นไปหา แต่ไม่ว่าจะได้ข่าวจากทางไหนว่ามีหมอดีอยู่ที่นั่นที่นี่พวกเขาเป็นต้องพากันไปขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำทว่าก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดีกระทั้งหมดสิ้นกำลังใจไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

    ขณะที่กำลังคิดปลงกันว่า ชาตินี้คงไม่มีโอกาสมีลูกไว้เชยชมสมใจแล้วอยู่นั้นบังเอิญก็ให้ไปได้ยินคนเขาพูดกันว่าใครที่ต้องการลูก หากไปบนบานศาลกล่าวขอจากแม่ย่าโม วีรสตรีของเมืองโคราชเป็นได้สมใจทุกคน ลุงบุญมีกับป้าทองดี สองผัวเมียก็ฌลยาปรึกษากันว่าเมื่อหมอแผนปัจจุบันไม่สามารถช่วยให้มีลูกได้สมใจ ก็เห็นจะต้องไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือปาฏิหารย์ดูบ้าง อาจจะได้ผลขึ้นมาก็ได้ เมื่อต่างเห็นพ้องต้องกันอย่างนั้น จึงกำหนดวันที่จะไปเซ่นไหว้อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเพื่อขอลูกจากท่านซักคน

    เรื่องขอลูกแม่ย่าโม เกิดขึ้นเมื่อราวปี 2535 วันนั้นทั้ง 2 คนผัวเมียได้จัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จะใช้ในการขอลูกไว้ครบถ้วนอาทิ ผลไม้มงคล 7 ชนิด ธูป เทียน พวงมาลัย พร้อมทั้งขันธ์ห้าที่บรรจงแต่งขึ้นมาด้วยน้ำมือของตนเองแท้ ๆ เมื่อเสร็จการตระเตรียมข้าวของ แล้วก็พากันขนข้าวของนั้น ขึ้นรถบึ่งไปยังจุดหมายทันที พอไปถึงก็จัดแจงแต่งโต๊ะเซ่นไหว้พร้อมสรรพ จากนั้นก็ลงนั่งคุกเขาพนมมือกล่าวอธิษฐานขอลูกกับแม่ย่าโมดังที่ตั้งใจไว้ โดยผู้เป็นเมีย คือ ป้าทองมี เป็นผู้กล่าว มีใจความว่า

    “ขอให้แม่ย่าโมที่ศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกหลานด้วย หลานอยากมีลูกไว้สืบสกุล ไว้เชยชม ขอย่าจงช่วยบันดาล ประทานลูกให้ซักคนเถิด หากได้ลูกสมความตั้งใจหญิงชายก็ไม่ว่า ลูกจะเอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาคล้องให้และจะเอาเพลงโคราชชื่อดังมาเล่นให้ดูพร้อมกัน 3 คณะ เลยทีเดียว”



    หลังจากนั้น 2 คน ก็พากันกลับบ้านพร้อมความหวังที่ว่า หากแม่ย่าโมสงสารคงจะประทานลูกมาให้ซักคนจะเป็นหญิงก็ได้ชายก็ดี เมื่อได้มาแล้วก็จะรักถนอมและตั้งใจเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเลย ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ป้าทองดีก็ได้ฝันว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายแบบสมัยโบราณ ตัดผมสั้น หรือทรงดอกกระทุ่ม มาเรียกให้ตื่น พร้อมกับบอกว่า

    “ทองมันมีเจ้าของแล้ว แต่เจ้าของเขาไม่อยู่ เขาฝากเอาไว้ ข้าเห็นเจ้าอยากได้ ข้าเลยเอามาให้ยืมใส่ แต่ถ้าเจ้าของเขากลับมา ข้าจะมาเอาคืนจากเอ็ง” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ก่อนไปยังจะหันมาย้ำว่า “อย่าลืมนะ ข้าจะมาเอาคืน” จากนั้นป้าทองดี ก็ตื่นขึ้นมาจริง ๆ

    ด้วยตกใจว่าตัวเองฝันแปลก ป้าทองดีจึงได้ปลุกลุงบุญมีขึ้นมาฟังความฝันของตัวเอง โดยทั้ง 2 คน ต่างเห็นว่าเป็นฝันที่แปลกมาก ๆ ลึก ๆในใจก็อดคิดไปถึงสิ่งที่ตนอยากได้และไปขอกับย่าโมไว้ว่าอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้

    ไม่นานหลังจากนั้นป้าทองดีก็ตั้งท้องขึ้นมาจริงๆทั้ง 2 คนดีใจมาก พากันไปเซ่นไหว้ นำเครื่องของที่กล่าวไว้ว่าจะนำไปถวายแม่ย่าโมไปแก้บนอย่างครบถ้วนทั้งพวงมาลัยพวงใหญ่และแม่เพลงโคราชทั้ง 3 คณะ ตามที่ลั่นวาจาไว้

    ในทางส่วนตัวเองป้าทองดีก็ดูแลเอาใจใส่ครรภ์ของตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งไปให้หมอตรวจ สรรหาของกินดี ๆ มีประโยชน์มาบำรุงครรภ์ โดยเฉพาะช่วงแพ้ท้องป้าทองดีแกอยากจะกินขนมหวานๆ มาก จะต้องกินทุกวันขาดไม่ได้เลย ถ้าวันไหนป้าไม่ได้กิน จะหงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างมาก ๆ บางครั้งพาลโกรธเลือดขึ้นหน้า อาละวาดฟาดหัวฟาดหางไปทั่ว พูดง่ายๆจากที่เคยเป็นคนอารมณ์เย็น ใจดี กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ใจร้อน ถึงขั้นใจร้ายใจดำไปเลยก็มี ลุงบุญมีจึงได้ไปหาซื้อขนมหวานมาจัดเตรียมไว้ทุกวัน ป้าทองดีหิวเมื่อไหร่ หรืออยากกินเมื่อไหร่เป็นต้องได้กิน

    มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นป้าทองดีท้องได้ประมาณ 3 เดือน เห็นจะได้ อารมณ์ร้ายของป้า ได้ทวีความรุนแรงอย่างสุด ๆ ตอนนั้นป้ายังแพ้ทองอยากกินขนมหวานอยู่ ซึ่งป้าก็ไปซื้อที่ตลาดมาเตรียมไว้เช่นที่เคยทำ แต่อยู่ ๆ มาวันหนึ่ง ขนมที่แกจัดหามาไว้สำหรับตัวเองได้หายไป ถามสามีว่าได้เอาไปกินบ้างหรือเปล่า สามีก็ไม่รู้เรื่อง ป้าแกโกรธมากถึงขนาดกล่าวอาฆาตว่าใครเอาไปจะไปตามฆ่าให้ตายเลยทีเดียว

    วันต่อมาขนมที่แกซื้อไว้ก็มีอันหายสาบสูญ แบบไร้ร่องรอยไปอีก คราวนี้ยิ่งเพิ่มความโกรธให้กับป้าเป็นหลายเท่า พอวันใหม่แกจึงวางแผนว่าจะต้องจับขโมยตัวนี้ให้ได้ ว่าแล้วป้าก็จัดแจงเอาขนมวางไว้ที่เดิม แล้วตัวแกก็เฝ้าแอบดูตลอดไม่ให้คลาดสายตา ไม่นาน ก็มีสุนัขผอมโซตัวหนึ่งเดินโซเข้ามาด้วยความหิวโหย หมายจะขโมยกินขนมของป้า ให้สมกับที่อดอยากเสียเหลือเกิน

    ด้านป้าทองดีที่แอบดูอยู่เห็นอย่างนั้นแทนที่จะสงสาร กลับโกรธแค้นแน่นอกขึ้นมาทันที พร้อมกับ ระบายความเค้นเคืองออกมา เหมือนดั่งกับเขื่อนกั้นน้ำแตก แกคว้าได้ไม้ท่อนใหญ่กระหน่ำตีสุนัขตัวนั้น แบบไม่เลี้ยง แกไม่สนใจใยดีต่อเสียงร้องคร่ำครวญ ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสของเจ้าสุนัขตัวนั้นเลย เมื่อสุนัขยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งร้องโอดโอย โหยหวน มันไม่คิดจะสู้เหมือนรู้ว่าตัวเองทำผิด จึงได้แต่วิ่งหนีออกไปในลักษณะขาลาก สะโพกคลาก กะโหลกแทบแตก ทุรนทุราย หัวซุกหัวซุนออกไปแบบไม่คิดชีวิต ทั้งที่จริงก็ไปได้ไม่เร็วนัก เนื่องจากขาที่เจ็บจากน้ำมือของป้าทองดี

    กระนั้นป้าทองดียังไม่หายโกรธแค้นออกวิ่งตามไล่ตีสุนัขต่อไป ชนิดว่าต้องตายไปข้างหนึ่งจึงจะหายแค้น สุนัขตัวนั้นวิ่งไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้เตี้ย ๆ ซึ่งที่นั่นยังมีลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ อายุซักเดือนเศษกำลังคลานต้วมเตี้ยมพร้อมกับร้องหาแม่อยู่ 2 ตัว แม่สุนัขวิ่งเข้าไปหาลูกเหมือนจะปลอบขวัญ ส่วนลูกพอเจอแม่ก็รีบวิ่งเข้าไปซุกไซร้หานมแม่ แล้วดูดดื่มอย่างหิวโหย แม่สุนัขยืนนิ่ง หอบจนตัวโยน ขาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดและเหนื่อยล้า ปากก็ก้มลงเลียแผลให้ตัวเอง สลับกับเลียเนื้อตัวลูกน้อยอย่างปลอบโยน

    วินาทีนั้นมันคงคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ทว่าเปล่าเลย ป้าทองดีเมื่อตามมาถึง ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตรงเข้าหวดตีสุนัขแม่ลูกอ่อนอย่างโหดเหี้ยม หมายจะให้ตายคามือให้ได้ แม่สุนัขเมื่อทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องหนี แม้จะห่วงลูกแต่ก็ต้องไป ไม่เช่นนั้นต้องตายอย่างหมดทางสู้อยู่ตรงนั้น มันวิ่งหนีไปพลางหันกลับมามองดูลูกด้วยความเป็นห่วง ส่วนป้าทองดีก็ยังไม่ลดละ คงวิ่งตามไล่ตีสุนัขตัวนั้นต่อ จนมันหนีเข้าไปแอบในพุ่มไม้หนาม ตามเขาไปตีไม่ได้ ป้าทองดีจึงได้หยุดมองด้วยความเหนื่อยหอบ พร้อมกับก่น ด่า สาบแช่งหมาตัวนั้นต่อ

    ระหว่างหันหลังกลับป้าทองดียังไม่หายโกรธ และก็เป็นความเหมาะเสียเหลือเกิน ที่แกเหลือบไปเห็นลูกสุนัข 2 ตัว ที่คลานต้วมเตี้ยมตามแม่มา ป้าหยุดมองมันเหมือนนึกอะไรได้ จากนั้นป้าก็หัวเราะอย่างสะใจ ตรงลิ่วเข้าไปอุ้มลูกสุนัขกลับเข้าบ้าน จัดแจงหาเชือกผูกขาของลูกสุนัขไว้ แล้วก็ไปเอาจอบมาขุดหลุมจนลึกเสร็จแล้วก็เอาลูก สุนัขทั้ง 2 โยนลงไปที่ก้นหลุม พร้อมกับเอาดินกลบหลุมฝังลูกสุนัขทั้งเป็น ท่ามกลางเสียงบ่นคำรามด้วยความสะใจของป้าทองดีนั้น แม่สุนัขได้ออกมายืนดูลูกของมันพร้อมกับเห่ากรรโชก เหมือนจะขู่ไม่ให้ป้าทำ บางครั้งก็ร้องคราง เหมือนจะของร้องให้ป้าไว้ชีวิตลูกน้อยของมัน แต่ป้าไม่สนแถมยังเหยียดหยันอาฆาต ท้าทายให้แม่สุนัขเข้ามาช่วยลูกน้อยของมันอีก

    “แน่จริง มึงเข้ามาช่วยลูกของมึงเลย กูจะได้ฆ่ามึงอีกตัว ก็มึงมันไม่เจียม เลือกมาขโมยของกู ก็ต้องได้รับโทษอย่างนี้แหล่ะ”

    การกระทำของป้าทั้งหมดอยู่ในสายตาของลุงบุญมีผู้เป็นสามีโดยตลอด ลุงได้พยายามเข้าห้ามปรามไม่ให้ทำ แต่ป้าไม่สนใจกลับด่าว่าลุง แถมพาลโกรธมาถึงลุงด้วย ที่ไปเข้าข้างหมาแทนที่จะเข้าข้างเมีย และว่าขนมที่เตรียมไว้ก็เพื่อจะให้ลูกกิน ไม่ใช่แกกินเองเสียเมื่อไหร่ ที่แกทำไปทั้งหมดก็เพราะรักลูกในท้อง อยากให้ลูกได้กินดี อยู่ดีมีสุข สมกับเป็นลูกของย่าโมที่ท่านประทานให้มา ลุงบุญมีฟังไปก็ได้แต่เศร้าสลดในการกระทำของเมียไปอย่างไม่รู้จะห้ามหรือช่วยเหลืออะไรได้ แกรู้ดีว่าเวลาเมียแกโกรธอะไรก็ฉุดไม่อยู่ทั้งนั้น

    ป้าทองดีระบายความโกรธแค้น ชนิดลืมไปว่า แกเองก็กำลังจะเป็นแม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่รับรู้เลยว่าสิ่งที่แกทำมันเป็นบาปหนาสาหัสเพียงใด แกไม่สนใจใยดีต่อ "แม่" ที่ต้องทนดูลูถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา อย่างชนิดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แม้ว่าแม่ที่ว่าจะเป็นเพียงแม่หมาตัวหนึ่งก็ตาม

    แม่หมาเอง เวลานั้นได้แต่เฝ้าหอนและคุ้ยเขี่ยเนินดินที่เห็นลูกถูกฝัง ยากจะได้รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าลูกนั้นได้ตายไปแล้ว ที่พอจะรับรู้ความรู้สึกได้ก็เพียง แค่มันต้องเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันและลูกของมันแน่ๆ มันรักลูก ข้อนี้ก็เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นมันคงไม่มาวนเวียนอยู่ที่หลุมฝังศพของลูกมัน วันแล้ววันเล่าหรอก

    ใคร ๆ ก็รู้ก็เห็นว่าหมามันรักลูก มันทำทุกอย่างไปก็เพื่อลูก มีเพียงคนเดียวในเวลานั้นที่ไม่ยอมรับรู้เลย คือ ป้าทองดี ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะแกปล่อยให้อำนาจความโกรธแค้น เข้าครอบงำจิตใจของแกจนมืดบอดนั่นเอง กระทั่งเมื่อหายโกรธจึงรู้ตัวว่าทำผิด แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

    เหตุการณ์ผ่านไปจนป้าทองดีท้องได้ 7 เดือน แกได้ปวดท้องคลอดลูกซึ่งลูกที่ออกมา ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง เพศหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นใครรักใครเห็นใครชม เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจแก่ลุงป้าที่เป็นพ่อแม่มาก แกชื่นชมถนอมลูกอย่างดี ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่แกมีอยู่ จึงต้องรักษาอย่างดีที่สุด โดยที่ทั้ง 2 ลืมความฝันของป้าทองดีเมื่อครั้งก่อนจะตั้งท้องไปเสียสนิท

    เด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของปาทองดีและลุงบุญมี เติบโตขึ้นท่ามกลาง ความรักและเอาใจใส่อย่างดีของพ่อแม่และญาติ พี่น้อง อย่างใกล้ชิด โดยที่เด็กหญิงรัศมีเองก็เป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่โยเย สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยให้พ่อแม่ต้องกังวลใจ

    กระทั่งเด็กหญิงรัศมีอายุได้ขวบเต็มกำลังน่ารักน่าชัง เพราะเพิ่งหัดพูด หัดเดิน เป็นที่หลงใหล ของพ่อแม่ยิ่งนัก ก็ได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือ อยู่ ๆ เด็กหญิงรัศมีที่ไม่เคยเจ็บป่วย ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน พ่อแม่ พาไปหาหมอรักษากระทั่งทุเลาหมอให้กลับบ้านได้ แต่ไม่นานอาการก็ทรุดลงถึงขั้น ช๊อก หมดสติ ต้องพาไปหาหมอใหม่ ซึ่งคราวนี้โชคไม่เข้าข้าง ปรากฏว่าเด็กหญิงได้สิ้นใจไปเสียก่อนจะถึงโรงพยาบาลแล้ว

    ป้าทองดีเสียใจมากร้องห่มร้องให้แทบขาดใจ ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ลุงบุญมี ก็เช่นเดียวกันแต่ไม่ว่าจะเสียใจซํกปานใด ก็ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ต้องปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป

    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ชาวบ้านที่รู้ต่างพากันซุบซิบว่า คงเป็นเพราะกรรมที่ป้าทองดี ทำไว้กับหมาแม่ลูกอ่อน เมื่อคราวที่แกท้องได้สามเดือนนั่นเอง หากแกไม่ปล่อยให้อำนาจโมโหครอบงำจิตใจ เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดขึ้น

    ส่วนตัวของป้าทองดีเองแกยังไม่ปักใจเชื่อนักว่า เป็นเรื่องของผลกรรมที่แกสร้างขึ้น แต่แกไปคิดเอาว่าที่แกสูญเสียลูกไป ก็เพราะแม่ย่าโมมาเอาคืน ตามที่แกเคยฝันเมื่อก่อนหน้าที่แกจะท้อง และด้วยความหวังว่า หากบุญยังพอมีแกขออธิษฐานให้ได้พบกับลูกคนนี้อีก ไม่ว่าจะไปเกิดใหม่เป็นลูกของใครก็ตาม

    ทั้งนี้ก่อนทำพิธีฝังศพสมัยนั้นเขายังถือกันว่า ศพเด็กห้ามเผาใช้วิธีฝังแทน ประจวบกับวัดแถวบ้านยังไม่มีเมรุสำหรับเผาศพ หากศพใดต้องการเผาแทนฝัง ก็ต้องสร้างเชิงตะกอนขึ้นมาเอง ป้าทองดีจึงเลือกที่จะฝัง ก่อนฝัง แกได้ใช้เขม่าสีดำ ป้ายไว้บริเวณหลังหูซ้ายเพื่อให้จำได้ เวลาที่กลับมาเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นลูกใครก็ตาม

    ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี กระทั่งปีถัดมา ทางวัดได้บอกบุญไปยัง ญาติ โยม ทั่วสารทิศ ขอบริจาคเงิน ทอง ข้าวของ เพื่อสมทบทุนในการสร้างเมรุ ซึ่งผลปรากฏว่าได้เงินมาก้อนหนึ่งมากพอที่จะทำให้ความตั้งใจเป็นจริงขึ้นมาได้ ทางวัดจึงได้จัดสร้างเมรุจนสำเร็จ ไม่นานต่อจากนั้น ทางราชการก็ได้จัดส่วนการบริหารท้องถิ่นที่เรียกว่า อบต. ขึ้นมา เพื่อสนองนโยบายดังกล่าว ชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะขอที่วัด บริเวณป่าช้าเก่าสร้างเป็นที่ทำการ อบต. ซึ่งทางวัดก็อนุญาตแต่โดยดี

    ก่อนที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ ทางวัดและชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรที่จะได้จัดพิธีล้างป่าช้าเสียก่อน เพื่อตัดปัญหาเรื่องไปสร้างอาคารทับที่อยู่ของใครที่เรามองไม่เห็นเข้า อีกอย่างก็เพื่อขอขมาลาโทษต่อดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมาก่อน

    ขณะทำพิธีขุดหาศพที่ฝังอยู่ใต้ดินเพื่อนำมาประกอบพิธีทางศาสนาอยู่นั้น ปรากฏว่ามีอยู่ศพหนึ่งเป็นเพศหญิงอายุขวบเศษ ๆ ยังอยู่ในสภาพปกติดีทุกอย่าง ไม่เน่าเปื่อย ทั้งที่เวลาได้ผ่านไปหลายปีแล้ว ที่เปลี่ยนไปบ้างก็แค่เนื้อหนังเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึงเหมือนคนธรรมดาเท่านั้น

    ศพที่ว่านั้นก็คือ ศพของเด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของป้าทองดี กับลุงบุญมีนั่นเอง เมื่อป้าทองดีรู้ข่าว ก็ไปดูศพลูกพร้อมกับร่ำไห้ ทั้งด้วยความดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน จากนั้นก็ได้นำศพของลูกไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ยังไม่ให้ทางวัดเผา

    เมื่อเรื่องราวรู้ไปถึงหูชาวบ้านต่างแห่แหนกันมาดู และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือ การขอเลขเด็ด ๆ จากแม่หนูรัศมีเสียเลย ส่วนจะมีใครถูกหรือไม่อันนี้ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ไว้ นับวันจำนวนผู้ที่มาขอเลขเด็ดยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น ป้าทองดีกับลุงบุญมีไม่รู้จะห้ามอย่างไร จึงตัดปัญหาด้วยการ นำศพลูกสาวไปมอบให้โรงพยาบาลมหาราชเพื่อศึกษาเป็นวิทยาทานต่อไป กระทั่งปัจจุบัน ศพของเด็กหญิงรัศมีก็ยังถูกเก็บรักษาไว้ที่นั่น ลุงและป้าเองก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมลูกแกเป็นระยะๆ

    เรื่องประหลาดยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ไม่นานหลังจากขุดศพของเด็กหญิงรัศมีขึ้นมา น้องสาวของป้าทองดี ก็ได้ตั้งท้อง และฝันว่า เด็กหญิงรัศมี ลูกของพี่สาวได้มาขอเกิดเป็นลูก เมื่อเล่าให้สามีและพี่สาวฟังแล้ว ต่างคนก็ต่างเฝ้ารอคอยว่าจะเป็นจริงตามที่ฝันหรือไม่

    จวบกระทั่งคลอดออกมา ปรากฏว่าเป็นเด็กหญิง มีหน้าตาละม้าย คล้ายกับเด็กหญิงรัศมี ลูกสาวของป้าทองดีมาก หนำซ้ำยังมีรอยปานสีดำติด อยู่ที่หลังใบหูด้านซ้าย ตามที่ป้าทองดีทำตำหนิไว้ไม่มีผิด ทำให้ทุกคนเชื่อว่า เด็กหญิงรัศมีได้กลับมาเกิดใหม่จริง ๆ

    ที่แปลกยิ่งไปกว่านั้น เด็กหญิงที่เกิดใหม่หรือ เด็กหญิงอรอุมา แทนที่จะติดพ่อแม่ ที่แท้จริง กลับไปติดป้าทองดีแทน เหมือนกับว่าป้าทองดีเป็นแม่แท้ ๆ ไม่ใช่ป้า ปัจจุบันเด็กหญิงอรอุมาอายุได้ 4 ขวบเแล้ว และอาศัยอยู่กับป้าทองดี โดยที่ป้าทองดีได้รับมาอุปการะเป็นลูก เด็กหญิงเองก็เรียกป้าว่าแม่ เช่นเดียวกัน

    ส่วนป้าทองดี เชื่อว่าลูกสาวของตนกลับมาเกิดใหม่ ก็ได้พาเด็กหญิงอรอุมาไปกราบไว้แม่ย่าโม และขออธิษฐานกับแม่ย่าโมว่า คราวนี้ ขอให้ลูกอยู่กับตนไปนาน ๆ อย่าให้มีเหตุต้องพลัดพรากเช่นครั้งก่อนอีกเลย ซึ่งจนปัจจุบันก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น โดยที่เด็กหญิงอรอุมา ก็โตวันโตคืน ท่ามกลางความรักที่แท้จริงของพ่อแม่ ทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว

    ที่ผมเขียนเล่ามาทั้งหมดนี้ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ ที่จะผิดแผกไปบ้างก็เพียงชื่อบุคคล เอ่ยถึงทั้งหมดเป็นชื่อที่ผมสมมติให้ใหม่ เนื่องจากไม่ต้องการให้เจ้าของเรื่องได้รับผลกระทบใดๆที่ตามมา ซึ่งผมเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิด หรือไม่เกิด ก็ขอป้องกันเอาไว้ก่อน ดีที่สุดครับ
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    เจ้าแม่กวนอิม

    ดิฉัน นางจิตรณดา ลิม หลานสาวคุณย่าโม เมืองนครราชสีมา เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้รู้จักและนับถือพระแม่กวนอิม ประมาณเดือนมกราคม ปี ๒๕๓๖ เพื่อนได้นำมาให้เช่าจากเขาสมอแครง จังหวัดพิษณุโลก ขณะนั้นดิฉันก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพื่อนให้เช่าก็เลยรับไว้ เมื่อปี ๒๕๓๙ หลานสะใภ้ซึ่งมีอาชีพรับราชการครู ได้ตั้งท้องประมาณ ๓ เดือน มีเลือดออกบ่อย เมื่อไปพบแพทย์ตรวจอัลตราซาวนด์ ก็ปรากฏว่าเป็นเนื้องอกในมดลูกทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องมาก อาจแท้งก่อนกำหนด หรือก้อนเนื้องอกอาจเบียดเด็กจนทำให้พิการก็ได้

    มีคืนหนึ่ง พอหลานสะใภ้รู้สึกตัวกลางดึก ปรากฏว่ามีเลือดออกมาก จนเปื้อนที่นอนเลอะไปหมด เจ้าตัวเขาคิดว่าแท้งแน่แล้ว รีบนำส่งโรงพยาบาล หมอฉีดยากันแท้ง ตัวดิฉันเองทำใจไม่ได้ กลัวหลานจะออกมาพิการเป็นปมด้อยให้กับเด็ก ปรึกษาญาติพี่น้องและตกลงให้หมอทำแท้ง แต่อาเขาไม่ยอมกลัวบาป ถ้าเขาไม่อยากเกิดก็ให้เขาแท้งเอง ดิฉันคิดอะไรไม่ถูก นึกถึงพระแม่กวนอิมขึ้นมาทันที

    ดิฉันจึงอธิษฐานจิตต่อพระแม่ว่า หากเด็กที่เกิดมานี้ มีบุญวาสนา ไม่ถึงเวลาจะไป ขอให้เขาอยู่รอดปลอดภัย ทั้งแม่และลูกมีอาการครบทุกประการจนคลอด หากเป็นหญิงจะตั้งชื่อ "น้องอิม" และลูกจะบวชพราหมณ์ถวายพระแม่ รุ่งขึ้นอีกวันเลือดค่อย ๆ หยุดไหล อาการดีขึ้น หมอให้กลับไปพักที่บ้าน เวลาผ่านไปจนครบกำหนดคลอด ไม่มีอาการเลือดออกทั้งแม่และลูกก็สมบูรณ์แข็งแรง จนวันที่ ๒๖กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ เด็กคนนี้ก็คลอดออกมาเป็นเพศหญิง น้ำหนัก ๒,๘๗๐ กรัม หน้าตาน่าเกลียดน่าชังสมบูรณ์แข็งแรงทุกประการ เวลานั้น ดิฉัน ปลื้มปีติมาก นึกถึงแต่พระแม่กวนอิมที่ทรงประทานพรให้กับดิฉัน กราบขอบพระคุณพระแม่กวนอิม ลูกจะบวชถวายพระแม่

    หลังจากที่หลานออกจากโรงพยาบาล และสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ดิฉันก็ได้ไปบวชชีพราหมณ์ ถือศีลภาวนาเพื่อถวายพระแม่ตามความตั้งใจ จนกระทั่งวันนี้ "น้องอิม" อายุได้ ๖ ขวบ เรียนอยู่ที่โรงเรียนมารีย์วิทยานคราชสีมา ชั้น ป.๑ เป็นเด็กฉลาด อ่อนหวาน หน้าตาดี และชอบทำบุญให้ทาน ขี้สงสาร และที่สำคัญคือ เรียนหนังสือเก่งมาก

    อีกเรื่องหนึ่ง ที่ดิฉันยังติดค้างคาใจอยู่ตลอดมาจนถึงวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่ดิฉันจะได้เผยแพร่ปาฏิหาริย์ความเมตตาปรานีที่พระแม่กวนอิมมีต่อดิฉันและครอบครัวเสมอมา เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ดิฉันได้แต่งงานกับชาวสิงคโปร์ วัย ๕๑ ปี ทำงานอยู่ Singapore Airline ตำแหน่ง Lead technician คืนแรกที่เป็น สามี-ภรรยากัน ดิฉันได้เห็นที่หลัง และหน้าท้องของเขาเป็นตุ่ม ๆ ผื่นแดง ๆ และเป็นแผลลึกพอสมควร คันมาก บางครั้งทนไม่ไหวเกาจนเลือดไหลต้องไปหาหมอทุก ๆเดือนเพื่อเอายามาทาและกิน พอทุเลาชั่วคราวไม่เคยหายขาดเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี

    วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระแม่กวนอิม ดิฉันเข้าไปในตำหนักพระแม่กวนอิม ที่ประเทศสิงคโปร์ และได้สวดมนต์นั่งสมาธิถวายพระแม่ เสร็จแล้วดิฉันก็ขอพรให้ช่วยให้สามีของดิฉันหายจากโรคนี้ด้วย ลูกจะกินเจถวายและจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอดไป เมื่อกลับถึงเมืองไทยจะนำเรื่องราวปาฏิหาริย์ของพระแม่ลงในหนังสือโลกทิพย์ เดือน มกราคม ปี ๒๕๔๖ ดิฉันและสามีกลับเมืองไทย เมื่อดิฉันไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ก็จะนำน้ำที่ถวายพระแม่ ลาไหว้แล้วนำมาทาที่แผลให้สามี จนกระทั่งแผลหายสนิท อาการผื่นแดงที่เคยเป็นก็หายไป จากนั้นมา สามีของดิฉันก็เชื่อและศรัทธาในความเมตตาปรานี ของพระแม่ที่ทรงมีพระเมตตาครอบครัวของเรา

    ปัจจุบันดิฉันและครอบครัวมีความสุขมาก วันนี้ ดิฉันได้นำเรื่องราวอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์และความเมตตาปรานีที่พระแม่มีต่อครอบครัว และสามีมาลงในหนังสือโลกทิพย์ตามคำอธิษฐาน ให้ผู้ที่ขยันปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมประสบความสำเร็จ และได้รับความช่วยเหลือเมตตาปรานีจากพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมดังครอบครัวของดิฉัน

    สาธุ นะโม กวนซีอิม ผ่อ
     
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    เรื่องเล่า ผีปอบ

    ผีปอบมีจริงหรือไม่ ? การที่จะตอบคำถามนี้ จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องนำเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบด้วยตนเองมาเล่า และเรื่องนี้เองอาจจะเป็นคำตอบว่า “ผีปอบมีจริงหรือไม่ ?”

    ผีปอบนั้น เป็นผีประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นและอาศัยอยู่กับคนที่ยังไม่ตาย ผู้ที่เป็นเจ้าของผีปอบนั้นยังมีชีวิตอยู่ เป็นบุคคลเช่นเดียวกับบุคคลทั่ว ๆ ไป ไปไหนมาไหนได้ตามปกติ ส่วนสาเหตุที่ทำให้บุคคลนั้นเกิดมีผีปอบอาศัยอยู่ในตัว ทางภาคอีสานเขาว่ากันว่า เกิดจากการที่ใครก็ตาม ไปเรียนมนตร์คาถาที่พิเรนทร์ ๆ เช่น ผู้หญิงที่ไปเรียนมนตร์คาถาเพื่อเสกเป่าให้อวัยวะเพศของตนใหญ่ขึ้น เพื่อให้ถูกอกถูกใจผู้ชายที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่ามนตร์คาถาที่พิเรนทร์อย่างนี้มีอยู่ด้วยหรือ ตอบว่า มีอยู่ครับ

    ข้าพเจ้าขอยกเอาเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านของข้าพเจ้า ชาวบ้านทั้งหลายกล่าวกันว่า เธอเรียนมนตร์คาถาที่พิเรนทร์นี้มาด้วย ความจริงผู้หญิงคนนี้เธอมีรูปร่างและหน้าตาดี ถึงไม่เรียนมนตร์คาถาที่พิเรนทร์อย่างนี้ หนุ่ม ๆ และแก่ ๆ ก็จะหลงใหลไม่น้อยทีเดียว ขณะนี้สามีของเธอเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเสียแล้ว เธอมีชีวิตอยู่กับลูก ๆ ๓ คน ลูกของเธอก็ยังเล็ก ๆ อยู่ แต่ไม่มีหนุ่มแก่คนไหนกล้าเข้าไปเกาะแกะด้วยเลย เพราะกลัวผีปอบของเธอจะกินตับเข้าให้ ก็อยู่กับลูก ๆ ตามลำพัง ข้าพเจ้าก็สงสารเธอเหมือนกัน เพราะถูกสังคมลงโทษจริง ๆ ซ้ำร้ายแม้แต่มองหน้าก็ไม่ค่อยมีใครอยากมอง พากันรังเกียจ และกลัวเธอยิ่งกว่าคนเป็นโรคติดต่อร้ายแรงเสียอีก

    มันทรมานใจของผู้ที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างมากทีเดียว และก็ไม่มีใครกล้าที่จะบอกเธอตรง ๆ ว่า “เธอเป็นผีปอบ” เพราะถ้ามีคนพูดเช่นนั้น อาจจะโดนข้อหาหมิ่นประมาท เพราะไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำเช่นนั้นได้ เธอเองก็มึนงงอยู่มากทีเดียวว่า ทำไมคนทั้งหลายจึงไม่อยากพูดคุยหรือคบหาสมาคมกับเราเลย นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิงที่เรียนมนตร์คาถาพิเรนทร์ ๆ ส่วนผู้ชายที่ไปเรียนมนตร์คาถา ที่ทำให้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นสาเหตุทำให้เป็นผีปอบได้เช่นกัน

    การเรียนมนตร์คาถาที่พิเรนทร์อย่างนี้ เขาจะมีข้อกำหนดควบคุมความประพฤติของผู้ที่เรียนมนตร์คาถานั้นไว้ด้วย เพื่อให้ผู้ที่เรียนมนตร์คาถานั้นประพฤติตนโดยเคร่งครัดด้วย ถ้าทำได้ตามข้อกำหนดนั้น มนตร์คาถานั้นก็จะให้ผลดี ใช้ประโยชน์ได้ดีตลอดไป ข้อกำหนดเช่นว่านั้น เช่น ห้ามกินลาบเลือด หรือ ลู่ เป็นอันขาด หรือ ห้ามกินกบกินเขียด อย่างนี้เป็นต้น ถ้าผู้เรียนปฏิบัติตนได้ตามนี้ ก็จะอยู่ได้อย่างปกติ ถ้าใครควบคุมตนเองไม่ได้ มนตร์คาถานั้นก็จะเสื่อม แล้วก็จะกลายเป็นผีปอบขึ้นมาทันที

    สาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นผีปอบนี้ ไม่ใช่แต่เรียนมนตร์คาถาอย่างเดียวเท่านั้น บางอย่างก็เป็นสาเหตุให้เกิดเป็นผีปอบได้ เช่น สักลายต่าง ๆ ตามตัว อาจจะเป็นลายดำหรือลายแดงก็ได้ น้ำยาที่นำมาสักนั้น บางชนิดเอามาจากว่าน ว่านชนิดนั้นมีชื่อว่า “ว่านกระจาย”

    เขาว่ากันว่า ว่านกระจายนี้เมื่อยังไม่ได้ขุดขึ้นมาจากพื้นดิน โยนกบหรือเขียดเข้าไปในกอว่านนั้น กบเขียดจะตายทันที เพราะมันถูกว่านนั้นดูดกินเลือดหมด ว่านกระจายนี้เขาว่า ทำให้อยู่ยงคงกระพันด้วย ผู้ถูกสักด้วยว่านนี้ น้ำว่านจะซึมซับเข้าไปในเลือดเนื้อ ยากที่จะลบออกได้ จะติดตัวผู้นั้นตลอดไปจนตายจากกัน ผู้ถูกสักจะต้องงดเว้นการกระทำต่าง ๆ ตามข้อกำหนดโดยเคร่งครัด เช่น ห้ามกินลาบเลือดหรือลู่ หรือห้ามกินกบเขียด ดังกล่าวแล้วนั้นโดยเคร่งครัด ถ้าละเมิดก็จะกลายเป็นผีปอบไปทันที ผีปอบนั้น เข้าตัวจะควบคุมไม่อยู่ มันอยากกินใครมันก็ไปกิน หรือบางทีเพียงแต่เจ้าของคิดหรือนึกเท่านั้น ตัวผีปอบนั้นก็จะไปกินคนนั้นเข้าแล้ว หรือบางทีเพียงแต่เขาคิดถึงเท่านั้น ผีปอบนั้นก็จะไปสิงคนนั้น แล้วบอกว่า คิดถึงมาเยี่ยม อย่างนี้เป็นต้น

    หมอผีที่ทำหน้าที่ไล่ผีปอบให้ออกจากร่างคนป่วยนั้น บางคนไม่ต้องเรียนมนตร์คาถาไล่ผีมาหรอก เพียงแต่เป็นคนที่ชาวบ้านชาวเมืองเขากลัวกัน เช่น เสียงดังฟังชัด เป็นนักเลง เอาจริงเอาจัง จนคนทั้งหลายกลัวกัน ผีปอบก็กลัวด้วย ที่หมู่บ้านของข้าพเจ้า มีคน ๆ หนึ่ง ที่ชาวบ้านเขากลัว แกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ ผู้ใหญ่ทิ ผู้ใหญ่คนนี้เสียงดังมีอำนาจเด็ดขาด เอาจริงเอาจัง เด็ก ๆ พอได้ยินเสียงตาคนนี้ ร้องไห้อยู่ก็หยุดร้องทันที เด็ก ๆ ไม่กล้าเดินผ่านหน้าบ้านแก เพียงแกกระแอมใส่เท่านั้น เด็กวิ่งหนีหางจุกตูดเลย ผีปอบเข้าสิงใครแล้ว เพียงแต่มีคนบอกว่า ผู้ใหญ่ทิมาแล้วเท่านั้น เป็นเยี่ยวราดเต็มกางเกง ตาลีตาลานออกจากร่างคนป่วย กูไม่อยู่แล้ว ไปแล้ว เท่านั้นแหละ หมอผีที่แน่ ๆ เก่ง ๆ เป็นอายไปตาม ๆ กัน

    ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะได้เล่าถึงเรื่องผีปอบที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบมากับตนเอง เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ ๑๕ ปี พ่อกับแม่ได้นำข้าพเจ้าไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับ ท่านพระครูพา วัดยอดลำธาร บ้านนาแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร บ้านนาแก้วนี้อยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตร และอยู่คนละอำเภอด้วย ท่านพระครูพาซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดยอดลำธารนี้มีศักดิ์เป็นลุงของข้าพเจ้า ท่านบรรพชามาตั้งแต่เป็นสามเณรดำรงตนอยู่ในสมณเพศจนแก่จนเฒ่า และมรณภาพในขณะที่อยู่ในสมณเพศนั้นด้วย ท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ในวันที่ข้าพเจ้าไปบรรพชาเป็นสามเณรนั้น มีหลวงตาองค์หนึ่ง อายุได้ประมาณ ๖๕ ปีแล้ว ชื่อว่า หลวงตาสี อุปสมบทเป็นพระอยู่กับท่านพระครูพามา ๓ พรรษาแล้ว มีลายสักสีแดงเต็มตัว

    เขาว่ากันว่า หลวงตาองค์นี้เมื่อตอนเป็นหนุ่ม นักเลงครบเครื่อง สักว่านกระจายเต็มตามตัว เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน แต่พอแก่ตัวมา รักษาตัวตามข้อกำหนดไม่ได้ ว่านกระจายที่สักเข้าไปในเนื้อตัวนั้น ได้กลายเป็นผีปอบไป ผีปอบได้ออกอาละวาดกินผู้คนตายไปหลายคนในเวลาไม่นานนัก ผลสุดท้ายผีปอบที่เกิดกับตัวของแกเองมันแก่กล้าขึ้น คือ มันไม่เกรงกลัวใคร มันก็ออกปาก (คำว่า ออกปากนั้น หมายความว่า ในขณะที่หมอผีมาไล่ให้ผีปอบออกจากร่างคนป่วยนั้น คนป่วยที่ถูกผีปอบสิงอยู่นั้น จะพูดออกมาเลยว่า มันชื่ออะไร มันกินคนมาแล้วกี่คน มันเรียนมนตร์คาถาอะไร หรือ สักอะไร มันจะบอกหมดเลย)

    เมื่อผีปอบออกปากพูดออกมาแล้ว บอกชัดเจนแล้วเช่นนี้ ญาติพี่น้องของคนที่ถูกผีปอบกิน ก็โกรธแกมาก พากันไปขับไล่ให้หนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ไม่ให้อยู่ที่บ้านนั้น ถ้าอยู่จะฆ่าให้ตาย แกก็กลัวตาย จึงได้หนีตายมาขอบวชเป็นพระอยู่กับท่านพระครูพาซึ่งเป็นลุงของข้าพเจ้า อยู่มาได้ตั้ง ๓ พรรษาแล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นก็ยังไม่มีใครทราบ เพราะผีปอบมันยังไม่ออกปากพูด ทั้งนี้ อาจจะเป็นอิทธิพลของผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มตัวแกอยู่ การถือศีลเป็นพระ สวดมนตร์ภาวนา ยังคุ้มครองแกได้อยู่ อีกอย่างหนึ่ง บ้านที่หลวงตาคนนี้มาขอบวชอยู่นั้น แกยังไม่คุ้นเคยใครดี ยังเกรงกันอยู่ ผีปอบก็ยังสงบอยู่ ยังไม่แก่กล้าก็เป็นได้

    แต่พออยู่มาได้พรรษาที่ ๔ เท่านั้น ชาวบ้านโดยเฉพาะผู้ที่มีญาติถูกผีปอบกิน พากันเฮโลลงมาพบท่านพระครูพาที่วัดให้วุ่นวายไปหมด เอะอะโวยวายให้ไล่หลวงตาสีออกจากบ้านนี้ หลวงตาสีเป็นผีปอบ ออกปากพูดว่า กินคนหลายคนแล้วในบ้านนี้ ท่านพระครูพาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จำเป็นต้องให้หลวงตาสีไปอยู่ที่อื่น

    ท่านพระครูพาก็อดสงสารหลวงตาองค์นี้ไม่ได้ จึงได้ให้คนนำไปอยู่ที่ วัดบ้านหนองฮาง อำเภอวานรนิวาส บ้านหนองฮางนี้อยู่ห่างจากบ้านของข้าพเจ้าเพียง ๒ กิโลเมตรเท่านั้น ชาวบ้านหนองฮางนั้น พากันดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะอยู่ ๆ ก็มีพระมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งวัดที่บ้านหนองฮางนั้น ได้ร้างจากพระมาเป็นเวลานานแล้ว จึงพากันต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หารู้ไม่ว่า ภัยร้ายจากผีปอบกำลังคืบคลานเข้ามาในบ้านนั้นแล้ว

    หลวงตาองค์นี้ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้เพียง ๒ พรรษาเท่านั้น ผีปอบก็ออกอาละวาดกินคนเช่นเดิม และออกปากพูดชัดเจนว่า มันคือ หลวงตาสี อยู่ที่วัดนี้ กินคนมาหลายคนแล้ว ชาวบ้านโดยเฉพาะผู้ที่ญาติพี่น้องต้องตายไปเพราะปอบหลวงตาสีกิน เป็นต้องขับไล่หลวงตาสีที่เคยรักนับถือไปอยู่ที่อื่น แกก็จำเป็นต้องหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะผีปอบในตัวของแกเองเป็นเหตุ

    แต่ก่อนที่จะหนีไป แกได้ฝากสิ่งของที่แกไม่สามารถจะนำไปได้ไว้กับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็รับไว้ แกหนีไปครั้งนี้ ก็ได้กลับไปหาท่านพระครูพาอุปัชฌาย์ของแกนั่นแหละ ท่านพระครูพาก็จนใจ แต่ไม่ให้อยู่ที่บ้านนั้น ให้ไปอยู่บ้านอื่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไร แกก็ต้องไปตามที่ท่านพระครูพาบัญชา

    หลวงตาสีมาอยู่ที่ใหม่ได้เพียง ๒ เดือนเท่านั้น พอดีข้าพเจ้าซึ่งยังเป็นสามเณรอยู่ อยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อเยี่ยมโยมแม่ บ้านของข้าพเจ้าอยู่ห่างจากบ้านที่หลวงตาสีไปอยู่ และถูกขับครั้งสุดท้ายเพียง ๒ กิโลเมตรเท่านั้น หลวงตาสีคงได้ทราบว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมโยมแม่ แกคิดถึงสิ่งของที่ฝากไว้ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านนั้น แกจะใช้ให้ผีปอบของแกไปดูสิ่งของที่แกฝากไว้นั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

    พอข้าพเจ้ากลับไปถึงบ้านได้ ๒ วัน เท่านั้น ชาวบ้านที่หลวงตาสีฝากของไว้นั้น มาพูดให้ข้าพเจ้าฟังว่า ผีปอบของหลวงตาสีมาด้วยรู้หรือเปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ปรากฎเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในระหว่างเดินทางเลย

    ชาวบ้านได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ผีปอบหลวงตาสีไปเข้าสิงร่างคนที่บ้านเขา ได้ออกปากพูดว่า มาดูสิ่งของที่ฝากไว้ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านก็ถามว่า มากับใคร ผีปอบก็ตอบว่า มากับสามเณรบุญเลิศ ที่แกมาเยี่ยมโยมแม่แก ชาวบ้านได้เอาหมอผีมาไล่ผีปอบให้ออกจากร่างคนนั้นไป พร้อมทั้งสั่งกำชับว่า ให้คนมาเอาของที่ฝากไว้ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านนั้นคืนไปให้หมด ถ้าไม่มาเอาจะเผาทิ้งให้หมด ข้าพเจ้าก็จำต้องรับเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านพระครูพาฟัง และก็คงรู้ถึงหูของหลวงตาสีเองด้วย จึงใช้ให้คนไปขนสิ่งของมาหมด

    หลวงตาสีมาอยู่ที่อยู่ใหม่ได้ประมาณ ๓ เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ชีวิตของแกก็ถึงจุดจบ แกไม่ได้เปิดประตูกุฏิเป็นเวลา ๒ วัน ชาวบ้านก็งัดประตูเข้าไปดู ปรากฎว่า แกนั่งพิงฝากุฏิสิ้นใจอยู่ตรงนั้นนั่นเอง มีอุจจาระ ปัสสาวะ ราดเต็มไปหมด เข้าใจว่า แกคงเกิดท้องร่วงอย่างแรง และไม่มีใครช่วยเหลือ เพราะแกอยู่ที่วัดนั้นองค์เดียว ไม่มีพระเณรอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปีแล้ว ผีปอบที่อาศัยตัวแกอยู่ก็ดับดิ้นสิ้นไปด้วย เพราะวัตถุที่ทำให้เป็นผีปอบได้สิ้นไปแล้ว ผีปอบจึงต้องดับตามไป

    เรื่องเช่นนี้ ท่านผู้อ่านจงใช้วิจารณญาณว่า ผีปอบมีจริงหรือไม่ ? ส่วนข้าพเจ้านั้น เชื่อว่า มีจริง จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ประสบมาด้วยตนเอง ดังเรื่องราวทั้งหมดทั้งปวงนี้



    <script type="text/javascript"> <!-- ad_partner="20100124860315308"; ad_website="2010012641234524"; ad_zone="2010012629086864"; ad_format="20080422569846860"; ad_type="tm"; ad_color_border="000000"; ad_color_bg="FFFFFF"; ad_background="00000000000017"; ad_color_title="FFF600"; ad_color_text="B4FF00"; ad_color_url="FE8F00"; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://ads.bumq.com/ad_show2.js"></script> [​IMG] <table bgcolor="#000000" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="468" height="60"> <tbody> <tr> <td align="middle" bgcolor="#ffffff" height="58">
    </td></tr></tbody></table>
     
  11. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    ภาพไหนที่ดูแล้วน่าจะรู้กันทั่วไปผมขอข้ามนะครับ เอาอันที่ผมพอจะทราบอันที่มีเกร็ดย่อยๆนะครับ เดี๋ยวจะเป็นการมาสอนผู้รู้ไป และอีกอย่างผมพิมพ์เร็วมาก 5 คำต่อนาทีได้

    ภาพนี้เป็นตอนที่ทรงอดอาหารทรมาณกาย จนแทบจะเสียชีวิตแล้วครับ ก็มีเทวดา(จำชื่อไม่ได้ แต่องค์นี้มีชื่อเสียงมากครับ ขออภัย) แปลงกายมาเล่นพิณเพื่อเตือนสติ โดยทำการลองเสียงพิณในรูปแบบต่างๆ หย่อนไปก็ไม่เพราะ ตึงไปก็ขาด ต้องตึงปานกลางจึงจะให้เสียงที่ไพเราะ ทำให้พระพุทธองค์ทรงได้สติและกลับมาบำเพ็ญโดยการเดินสายกลาง ทำให้เหล่าปัญจวัคคีทั้ง 5 ที่คอยดูแลอยู่เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงละทิ้ง การแสวงหาทางพ้นทุกข์แล้ว จึงพากันทอดทิ้งพระองค์ไปครับ

     
  12. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    เรื่องเล่าประสบการณ์ชุดใหญ่จากพี่หนุ่มในช่วงเที่ยงวันนี้...สุดยอดมากๆครับ.....(^_^)...
     
  13. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    หวาดดีครับ พี่หนุ่ม และทุกท่าน ครับ

    พึ่งกลับมาจาก ขอนแก่น เมื่อวาน วันนี้ ตามอ่าน เกือบ 20 หน้า ยังไม่หมดเลย 55555

    เดี๋ยว กลับมาอ่านต่อ
     
  14. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    เป็นตอนก่อนตรัสรู้ครับ มีนาง.......... เอาข้าวมธุปายาสมาถวาย นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนตรัสรู้ครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  15. มังกรน้อย101

    มังกรน้อย101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +4,390
    ทุกเรื่องราวในกะทู้นี้สุดยอดมากเลยครับ รู้สึกว่าทำให้ผมติดงอมแง่มซ่ะแล้ว:cool:
     
  16. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    เมื่อฉันท์อาหารเสร็จก็ นำถาดไปลอยที่แม่น้ำเพื่อเสี่ยงทาย ถ้าท่านจะตรัสรู้ในวันนี้ขอให้ถาดลอยทวนน้ำครับ เมื่อลอยถาดก็ลอยทวนน้ำไปจมรวมกับของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆอีก 3 องค์ ท่านเองเป็นองค์ที่ 4 (กัปนี้จะมีพระพุทธเจ้า 5 องค์ครับ พระศรีอาริยเมตไตร เป็นองค์ที่ 5 ครับ)

     
  17. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    จากนั้นท่านก็ทรงนั่งบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้ครับ ถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ลุกขึ้น พวกมารต่างๆก็ยกทัพมา เพื่อให้พระองค์ทรงหยุดการบำเพ็ญ พระแม่ธรณีก็ปรากฏกายขึ้น และทำการบีบมวยผมเพื่อแสดงถึงหลักฐาน ที่เหล่าผู้คนได้แสดงการสักการะ และกรวดน้ำ(ถ้าผิดพลาด ขออภัยนะครับ) ผลก็คือน้ำที่พระแม่ธรณีบีบออกมา มากมายจนเกิดเป็นห้วงน้ำขนาดใหญ่กวาดเอาเหล่ามารไปจนหมดครับ

     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,872
    ตำราเดิมของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วก็เขียนไว้เช่นนั้นครับ
    พระกริ่งของวัดสุทัศน์ก็เจตนาใช้ทำครอบน้ำมนต์ และให้เอาพระชัยแขวนบูชา พอมาปัจจุบัน คนเราชอบใช้แขวนคอด้วยพระกริ่งแทน ก็ใช้ได้เช่นกันครับ ดีเหมือนกัน สูตรการสร้างแบบเดียวกัน
    แต่ลองหาพระชัย จะดีกว่าตรงที่มีราคาถูกกว่าพระกริ่ง ในพิธีเดียวกัน และน้ำหนักเบากว่า
     
  19. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    พญานาค(จำชื่อไม่ได้ครับ) ได้มาเอาตัวพันรอบพระพุทธเจ้า และแผ่พังพานเพื่อกันฝนครับ นี่คือที่มาของปางนาคปรกครับ บางตำนานเขียนเป็นพญานาค 7 เศียรครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  20. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    หลังจากตรัสรู้ทรงท้อแท้ คิดว่ามนุษย์นี่ยากจะเข้าใจสิ่งที่ทรงสอน ไม่สามารถสอนได้ พระพรหม(ไม่แน่ใจนะครับ) ก็มาขอให้พระพุทธเจ้าโปรดสัตว์ โดยยกตัวอย่างบัว 4 เหล่า ขึ้นเป็นตัวแทนคนชนิดต่างๆ ขอให้พระองค์ทรงโปรดสัตว์ครับ พระพุทธองค์จึงทรงตัดสินใจที่จะเผยแพร่คำสอนออกไปครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...