ลักษณะที่เกิดเวลาสวดมนต์และนั่งสมาธิ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย ton2648, 29 พฤษภาคม 2008.

  1. jakpong

    jakpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +208
    อนุโมทนา ขอบพระคุณ คุณหนึ่งจิตเป็นอย่างยิ่ง ผมจะพยายามต่อไป
     
  2. Surachai Mankong

    Surachai Mankong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +329
    ขออนุโมทนาสาธุการครับ

    ______________________________________________________

    ขอเชิญมาเป็น 1 ในเครือข่ายความดี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกคนทำดี
    hi5 - ?PEC?เครือข่ายความดี•?


    หรือเชิญพี่ๆเข้ามาอ่านบทความของท่านพระอาจารย์เอก ได้นะครับ
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญมาเป็นหนึ่งในเครือข่ายความดี.253322/

    สารธารบารมี ขอเชิญร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ อลงกต วัดพระบาทนำพุ
    1900222200 ครั้งละ 15 บาท เงินเพียงน้อยนิดอาจทำให้เด็ก อิ่มได้
    www.phrabatnampu.org
     
  3. pignoom

    pignoom สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอร่วมอนุโมทนากับกระทู้นี้ด้วยครับ ผมขอเอาความรู้ที่ได้จากกระทู้นี้นำไปฝึกปฎิบัติ และถ้าคุณสันโดษมีช่วงเวลาที่ว่างคราวใดโปรดเข้ามานำทางให้เด็กหัดเดินอย่างผม ได้เดินอย่างถูกทิศถูกทางด้วยครับ
     
  4. อภิิวิไล

    อภิิวิไล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +19
    คุณสันโดษค่ะอยากจะถามค่ะพอดีมีความรู้สึกอยากสวดมนต์ขึ้นมาก็เลยได้สวดวันนั้นตั้งใจมากสวดมาระยะนึงแล้วไม่นานค่ะมีอยู่วันนึงสวดหน้าหิ้งพระสวดตามหนังสือค่ะแต่ทราบมาว่าสวดยอดพระกันไตรปิฏกแล้วเป็นสุดยอดของคาถาก็เลยอยากจะสวด สวดครั้งแรกและสวดเป็นบทสุดท้ายหลังจากแผ่เมตตาแล้ว ก็มีอาการสวดได้ประมาณบทที่สามก็เริ่มมีอาการขนลุกซู่เลยค่ะในใจคิดว่าต้องเป็นอานุภาพของพระคาถาแน่ๆ ท่องต่อไปเรื่อยๆก็มีอาการหัวใจเต้นแรงเป็นระยะๆ แล้วก็เหนื่อยมากๆค่ะแรงก็ไม่ค่อยจะมีท่องเสียงเบาไปเรื่อยๆค่ะแต่ตั้งใจให้จบ ฝืนมากแต่พยายาม แล้วก็มีลมเลอออกมาเป็นระยะๆ พอใกล้จะจบมือข้างซ้ายจะสั่นมากแล้วข้างขวาก็สั่นตามถือหนังสือสวดมนต์มือสั่นๆพอสวดจบก็หนาวต้องรีบเอาเสื้อแขนยาวมาใส่จิตรใจจะรู้สึกนิ่งๆแต่หน้าขาจะร้อนวูบวาบเลยค่ะแต่เหนื่อยอ่อนต้องไปนอนพักหลับซักงีบพอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเป็นปรกติดีค่ะ สวดบทอื่นก็ไม่เป็นนะค่ะ ไม่ทราบเป็นเพราะสาเหตุใดค่ะ ตั้งแต่นั้นมาบทนี้ไม่เคยได้สวดอีกเลยค่ะเพราะกลัวๆอยู่ค่ะ ตอนนี้ถ้าว่างก็สวดเป็นประจำค่ะสวดพาหุง ชินบัญชร พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และชัยมงคล คาถาค่ะ แล้วก็แผ่เมตตา แต่ช่วงนี้ไม่ได้สวดเกือบ1อาทิตย์แล้วพอดีลูกไม่สบายทำให้เหนื่อยแต่จะตั้งใจสวดต่อไปถ้าทำได้ก็จะทำค่ะเพราะรู้สึกอยากสวดมนต์วันไหนไม่ได้สวดก็มีเสียงสวดขึ้นมาในใจเลยค่ะเป็นบางบทเพราะยังจำไม่หมดต้องใช้การอ่านในหนังสือสวดมนต์บางทีก็มีเสียงแปลกๆเหมือนอยากให้เราได้ยินแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นช่วยตอบด้วยให้หายข้องใจด้วยน่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ จะเป็นประโยชน์อย่างสูงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2010
  5. Siren

    Siren Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +46
    ผมเป็นทุกครั้งเลยที่สวดมนต์หรือนั่งสมาธิแล้วขนลุกเวลาหายใจเข้าออกจะมาเป็นช่วงๆ
    บางครั้งนั่งสมาธินานๆเป็นชั่วโมงมีอยู่ช่วงนึงที่หายใจเข้าออกแล้วขนลุกซู่ซ่าตั้งแต่แขนมาถึงหน้าเลยครับ
     
  6. พาณิภัค

    พาณิภัค สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมก็หมือนกันครับ สวดบทชินบัญชร ขุนลุกตามหลังและจะสวดดังมากครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    ผมสวดมนต์ทุกวันครับ
    ทำสมาธิก็ทุกวัน
    ฟังธรรมก็ทุกวัน
    ตอนนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลยครับ
    แต่ก็ไม่ท้อ จะทำต่อๆๆๆๆๆไปครับ
    เพราะผมโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาครับ

    ขออนุโมทนาบุญกุศลกับทุกท่านด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  8. Mupuii

    Mupuii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +38
    ขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ

    เป็นอยู่บ่อยเหมือนกัน เพราะเยี่ยงนี้เอง เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะ
     
  9. oriental_beauty

    oriental_beauty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +117
    ดิฉันสวด บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกมาได้เวลาประมาณ 10วันค่ะ
    ทุกๆครั้งที่สวด จะมีอาการ ขนลุกที่แขนข้างซ้าย
    แต่มักจะเกิดเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่นั้นเอง

    ไม่แน่ใจว่าเพราะนั่งชิดกับหน้าต่าง แล้วเพราะลมพัดมาหรือเปล่า

    แต่ถ้าหากนั้นคือ ความรู้สึกจาการ สัมผัสกับบุญที่ได้เจริญภาวนาไปแล้ว

    ก็คงจะดี
     
  10. penquinz

    penquinz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +64
    สวัสดีค่ะคุณสันโดษ
    หนูเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสวดมนต์ คือก่อนหน้านี้หนูไม่เคยอยากจะสวดมนต์เลยค่ะ เเต่ว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้หนูต้องสวดมนต์ ช่วงที่หนูไม่ป่วยหนักๆเเล้วเห็นอะไรบางอย่างในบ้านของหนู(ที่หนูไม่ค่อยอยากเห็นเท่าไร) ก็เรยมีคนนึงเค้าแนะนำให้หนูสวดมนต์ เเต่มันมีปัญหาคือว่าชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิต การพูดจา บางอย่างเวลาหนูปฏิบัติออกไป หนูรู้สึกผิดเวลาเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ มันรู้สึกขัดกันอ่าค่ะ หนูรู้สึกไม่ดีเลยเวลาทำอะไรที่ไม่ดีๆ เเล้วพอตกตอนเย็นสวดมนต์(หนูสวดมนต์ทุกวันตอนเย็น) หนูจะรู้สึกผิดมาก เเต่ก็เป็นเเค่ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจนะค่ะ เเล้วตอนสวดบางบทอย่างเช่นบท ชินบัญชร/ อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นโมพุทธายะ ปฐวีคงคาฯ/บทอุทิศกุศล จะขนลุกทุกครั้งที่ได้สวดค่ะ เเละตอนหนูก้มกราบพระพุทธรูป ตัวหนูจะโงนเงนไปข้างๆ หรือข้างหน้าตลอดเลยค่ะ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

    สุดท้ายนี้หนูอยากปรึกษาพี่ค่ะว่า ทำยังไงให้เด็กที่หนูเห็นได้ไปเกิดค่ะ หนูกังวลมากจิงๆค่ะ เพราะไม่เเน่ใจว่าเรื่องนั้นหรือเปล่าที่เราไปทำให้เค้าเเค้นเคืองเรา
     
  11. auntinoldschool

    auntinoldschool สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอเรียนถามนะคับว่าถ้าสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นคาถาไหน เเต่ไม่เกิดความรุ้สึกอะไรเลยรุ้สึกปกติ เเปลว่าไม่ได้บุญไม่ถึงขั้น หรืออะไรทํานองนี้หรือเปล่าคับ
     
  12. thanawin52

    thanawin52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +199
    เวลาสวดมนต์ ครบ นั่งสมาธิแล้ว เสร็จสรรพ

    แผ่เมตตา อุทิศบุญ พอเสร็จแล้ว จิตจะเหมือนได้ยินว่าสาธุ ตลอด

    ไม่ทราบว่าเป็นอุปาทาน หรือเปล่า

    แวะมาบอกเล่าครับ
     
  13. darkage

    darkage สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอสอบถามครับ ด่วนครับ

    หวัดดีครับผมสมาชิกใหม่ครับ อยากสอบถาม ครับ ผมเพิ่งเริ่มปฎิบัติธรรมครับ เนื่องจากคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งครับอยากให้เพื่อนช่วยแนะนำครับ ผมสวด มนต์ บทต่อไปนี้ เรียงลำดับถูกต้องหรือเปล่าครับ รบกวนชี้แนะด้วยครับ เพิ่งเริ่มได้ประมาณ 1 อาทิตย์ครับ
    1 บูชาพระรัตนตรัย
    2 กราบพระรัตนตรัย
    3 ขอขมาพระรัตนตรัย
    4 คำอาราธนาศีล 5
    5 ศีล 5
    6 ไตรสรณคม
    7 ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก
    8 คำกรวดน้ำของยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก
    9 แผ่เมตตา (และเวลาแผ่เมตตาทีไรขนลุกทุกทีเลยครับ)
    10 นั่งสมาธิ ประมาณ 20 นาที (มีอาการชาและหนักที่หน้าอกร้อนวูบวาบ ต่อมามีอาการชายิบๆลามไปที่หน้า และแขน ครับผิดปกติหรือไม่ครับ เกิดจากอะไรครับ)
    11 หลังจากนั่งสมาธิเสร็จ สวด บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง
    12 สวดบทแผ่กุศล (ขนลุกทั้งตัวเลยครับ โดยเฉพาะ วรรค ที่แผ่เมตตาถึงเปรต และ เจ้ากรรมนายเวร ทำไมครับ)
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การสวดมนต์ต้องใช้ใจเป็นประธาน

    เเละมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำสติด้วยเเรงศรัทธา

    บทสวดไหนไม่สำคัญ เพราะ จุดประสงค์ของการบริกรรม คือ การทำให้จิตสงบ

    เพราะฉะนั้น เมือเริ่มต้นให้ใช้ใจ กับ เเรงศรัทธา ที่ต้องการสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของพ่อของคุณ

    ก่อนจะช่วยใครได้คุณต้องมีสติ มีความเข้าใจในไตรลักษณ์ การเกิดขึ้นตั้งอยู่เเละดับไปของทุกสรรพสิ่ง

    โรคมะเร็งมีทางรักษาให้หายขาดได้ ด้วยความสุข ความสบายใจ เเละจิตใจที่สะอาด

    มะเร็งเกิดจากความกดดันทางจิต ความทุกข์ทางใจ ไม่เเสดงออกเเละกดทับตัวเอง

    ถ้าอยากช่วยพ่อของคุณต้องทำให้ท่านสบายใจ

    ชวนท่านให้สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิเเละระลึกถึงความตายอยู่เนืองๆ เรียกว่า มรณานุสติ

    ไม่ต้องกลัว เพราะยังไง ทุกคนในโลกนี้่้ต้องตายในวันใดวันนึงเมื่อถึงเวลาของเขา

    ขอให้คุณทำหน้าที่ของคุณให้ดี ตั้งใจสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

    วันไหนรู้สึกอยากสวดมนต์มากก็ให้สวดมากๆ วันไหนอยากสวดมนต์สั้นๆก็ภาวนาพุทโธทั้งวัน อานิสงค์ไม่ต่างกัน

    เเล้วเเต่ความทุกข์ของเเต่ละคน บทสวดมนต์สั้นหรือยาวเป็นอุบายในการเจริญสติให้จิตสงบ

    ไม่ต้องเกร็งเคร่งเครียด การสวดมนต์นั่งสมาธิเมื่อทำถูกต้องจะรู้สึกเย็นใจ เบากาย เพราะพลังงานลบถูกชะล้างไปด้วยพลังของพุทธคุณ

    ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอะไรให้ใช้ใจรู้สึก ถ้ารู้สึกอึดอัด ไม่ดี ทรมานเเสดงว่า คุณกำลังเผชิญกับการเเสดงพลังของพลังงานลบ

    เเต่ในทางตรงข้ามเมื่อรู้สึกเย็นเบาสบายนั้น คือ พลังจากสิ่งที่ดีเข้ามานั้นเอง

    มือใหม่ไม่รู้ให้ใช้ใจสัมผัส ส่วนมืออาชีพเมื่อรู้เเล้วก็สักเเต่ว่ารู้เเละปล่อยวาง

    ไม่ต้องยึดติดกับอะไร ทำตามใจ เเละ ความศรัทธาของตัวเราเอง

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง พระพุทธองค์เฝ้าดูเเละรับฟังเมื่อมีคนต้องการสื่อถึงท่าน

    การถอดจิต ก็ คือ การจินตนาการพูดคุยกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นล่ะ

    การขนลุกเมื่อเเผ่เมตตาเป็นการเเสดงออกของจิตวิญญาณเพื่อให้รับรู้ว่าเขาได้รับผลบุญเเล้วนั้นเอง

    ขอให้โชคดีกับการเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรมของคุณนะคะ
     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วิจัยพบ สวดมนต์ สมาธิ วิปัสสนา รักษาโรคได้<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"><!-- google_ad_section_start --><script type="text/javascript"><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type="text/javascript"> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110106/show_ads_impl.js"></script><script>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</script><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: inline-table; position: relative; visibility: visible;"><ins id="google_ads_frame2_anchor" style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: block; position: relative; visibility: visible;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame2" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame2" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=0x0&output=html&lmt=1295011333&flash=10.0.45&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff181%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2581-184750-5.html&dt=1295011334074&shv=r20101117&jsv=r20110106&saldr=1&prev_slotnames=7486718593&correlator=1295011333706&frm=0&adk=1592129042&ga_vid=1337797754.1285765073&ga_sid=1295009581&ga_hid=1438772388&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=2&u_java=1&u_h=900&u_w=1600&u_ah=870&u_aw=1600&u_cd=32&u_nplug=18&u_nmime=66&biw=1583&bih=708&eid=30143208&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff181%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2581-184750.html&fu=0&ifi=2&dtd=145&gcv=gcm_66a225a4a9849ebff5b9f77536ce7311.js#id=google_ads_frame2&parent=http%3A%2F%2Fpalungjit.org&rpctoken=adsense_rpc_key&_methods=expand%2Ccollapse%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" tabindex="-1" vspace="0" width="null" frameborder="0" height="null" scrolling="no"></iframe></ins></ins>
    [​IMG]

    ความ เจ็บป่วยเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ในโลกและเป็นทุกข์อย่างหนึ่งที่คน ทุกคนต้องพบทางกายและทางใจมากบ้างน้อยบ้าง การที่จะไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วยเลยนั้นเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นธรรมชาติของร่างกายที่อวัยวะต่างๆ จะเสื่อมลงและถูกคุกคามด้วยโรค โอกาสที่ร่างกายจะเจ็บป่วยนั้นมีอยู่เสมอในทุกช่วงของชีวิต โดยเฉพาะในวัยเด็กที่อวัยวะแต่ละส่วนยังทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ และในวัยชราที่อวัยวะเสื่อมลงทุกที พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์และพบสุข คำสอนและพิธีกรรมต่างๆ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ ถึงแม้ว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พุทธศาสนาก็ถือว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะจะทำให้เราสามารถปฏิบัติธรรมให้ได้รับประโยชน์เต็มที่ตามคำสอน

    ในศาสนา ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาจึงมุ่งสอนวิธีปฏิบัติที่จะทำให้มีสุขภาพดีทั้งกายและทางใจ วิธีสำคัญที่พุทธศาสนาใช้ป้องกันและรักษาโรคคือ การสวดมนต์ การ ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา วิธีเหล่านี้นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพแล้ว ยังนำไปสู่ความสุขสูงสุดทาง ศาสนาได้ด้วย

    การ สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนรู้จัก และปฏิบัติเป็นส่วนมาก มากน้อย ตามวาสนา วิปัสสนาหรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากรรมฐาน เป็นจุดเด่นที่สุดของพุทธศาสนาและเป็นสิ่งสำคัญที่ดึงดูดคนต่างศาสนาให้หัน เข้าหาพุทธศาสนา เพราะกรรมฐานให้ประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกประโยชน์ของกรรมฐานที่สนใจกันมากในบรรดาชาวต่างประเทศเป็นเรื่องของ สุขภาพมาก กว่าอย่างอื่น ส่วนประโยชน์ทางธรรมหรือทางศาสนาได้รับความสนใจน้อยกว่า ยิ่งมีผู้นำกรรมฐานไปประยุกต์ใช้บำบัดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคความ เครียดและความดันโลหิตสูงเป็นผลสำเร็จมากเท่าไร ยิ่งทำให้ประโยชน์ของกรรมฐานทางด้านสุขภาพเป็นที่ กล่าวถึงกันมากขึ้น

    หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านนี้ ของกรรมฐานมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ในสังคมตะวันตก ในเวลานี้ ชาวตะวันตกที่ไม่เคยได้ยินคำว่ากรรมฐานหรือเมดิเตชั่น (Meditation) ในภาษาอังกฤษแทบจะไม่มีเลย ส่วนในประเทศไทยนั้นผู้สนใจกรรมฐานมีจำนวนมากกว่าในตะวันตกโดยไม่ต้องสงสัย แต่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพและกรรมฐานยัง มีอยู่น้อย มีจำนวนไม่เพียงพอ ที่จะนำมาสนับสนุนความเชื่อว่ากรรมฐานรักษาโรคได้

    ใน หนังสือชุด กฎแก่งกรรม ที่พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี พิมพ์เผยแพร่ทุกปี ผู้ปฏิบัติกรรมฐานหลายคนได้เขียนเล่าเกี่ยวกับผลงานของกรรมฐานที่มีต่อ สุขภาพของตน ผู้เล่าคงเล่าด้วยความจริงใจตามการสังเกตของตน แต่เรื่องที่พูดที่เล่าให้ฟังนี้ยังไม่มีการทดสอบความจริง จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะใช้ยืนยันความเชื่อดังกล่าวได้ ด้วยเหตุนี้ในการกล่าวถึง ประโยชน์ในด้านสุขภาพ เราจึงจำเป็นต้องอ้างอิงเอกสารงานวิจัยของแพทย์ชาวตะวันตกเป็นสำคัญ

    ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตใจและโรคภัยไข้เจ็บ
    ก่อนที่จะวิเคราะห์ประโยชน์ของกรรมฐานที่งานวิจัยต่างๆชี้ให้เห็น เราควรจะทราบก่อนว่า การมีสุขภาพดีไม่ได้หมายถึงการมีร่างกายแข็งแรงไม่มีโรค ภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการมีจิตใจดีงามควบคู่ไปด้วย พุทธ ศาสนามองดูสุขภาพในลักษณะนี้ เพราะถือว่าร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากจนแทบจะแยกออกจากกัน ไม่ได้ การแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับทัศนะที่กล่าวมานี้และชี้ให้เห็นว่า จิตใจมีความสำคัญต่อการเกิดโรคและการหายของโรค โรคทางกายหลายโรค เช่น ปวดศีรษะจากความเครียด โรคกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด โรคหัวใจและโรคระบบทางเดินอาหาร เป็นผลมาจากสภาพของจิตใจที่ผิดปกติเป็นส่วนมาก

    การ วิจัยทางการแพทย์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สภาพของจิตใจมีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เป็นป้อมปราการ ธรรมชาติ สำหรับป้องกันการโจมตีของสิ่งแปลกปลอมจากนอกร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เซลล์มะเร็ง เพราะสภาพของจิตใจมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อร่างกายตามมา จิตใจไม่ปกติ เช่น มีความเครียด หรือความโกรธ จะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีทางปลายประสาทที่เชื่อมต่อ จากเซลล์ของภูมิคุ้มกันในไขกระดูก มีผลให้ภูมิคุ้มกันของเราลดลง ทำให้เราติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามจิตใจที่ปกติปราศจากอารมณ์ที่เป็นพิษ เป็นภัย เช่น ความรัก ความเมตตา จะทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น (Danial Goleman , Emotional Intelligence) การค้นพบความเกี่ยวข้องระหว่างสภาพจิตใจและการ เปลี่ยนแปลงในร่างกายที่มีผลต่อระบบคุ้มกัน ทำให้แพทย์หันมาสนใจค้นคว้าหาวิธีบำบัดรักษาโรคภัย ไข้เจ็บในรูปแบบใหม่ โดยไม่ต้องใช้ยาแต่โดยการสร้าง เสริมปัจจัยต่างๆ ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น ให้ร่างกายค่อยๆรักษาตัวเอง (Andrew Weil , Spontaneous Healing)

    วิธี การรักษาแบบนี้ เป็นทางเลือกใหม่ของการแพทย์ เรียกกันว่าวิธีการรักษาตามธรรมชาติ แพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่นิยมการรักษาด้วยวิธีนี้มีจำนวนเพิ่มมาก ขึ้น สำหรับในประเทศไทย นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล และคณะ รวมทั้งศาสตราจารย์ ดร. สาทิส อินทรคำแหง และชุมนุมชีวจิต เป็นผู้บุกเบิก แนะนำวิธีการบำบัดนี้มาเผยแพร่ โดยเน้นการรับประทานอาหารธรรมชาติที่มีกากใย (เช่น ข้าวกล้องหรือ ข้าวซ้อมมือ ผักผลไม้) การขจัดพิษออกจากร่างกาย(เช่นด้วยวิธีอดอาหารหรือสวนทวาร) การออกกำลังกาย (เช่น การรำกระบอง การเต้นแอโรบิค) การฝึกหายใจ และการปฏิบัติสมาธิ (หรือสมถวิปัสสนา) เป็นสำคัญ

    ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ การออกกำลังกาย การพักผ่อน อาหาร สภาพสิ่งแวดล้อมและสภาพจิตใจ ประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (เช่น รับประทานผักและผลไม้มาก เนื้อสัตว์น้อย และงดอาหารปรุงแต่งที่มีสารเคมีเจือปน) การออกกำลังกาย (เช่น การวิ่ง การเดิน การฝึกไทเก๊ก จี้กง โยคะ) การพักผ่อนให้เพียงพอและการ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากมลภาวะที่มีต่อสุขภาพทางกายและทางใจเป็นที่รู้ กันทั่วไป แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจที่มีผลนั้นยังมีผู้รู้น้อย การ ศึกษาในการแพทย์สมัยใหม่พบว่า ถ้าหากเรามีความคิดในทางที่ดี (เช่น ไม่คิดมุ่งร้ายผู้ใดหรือไม่คิดเรื่องที่ทำให้เป็นทุกข์) และมีอารมณ์ที่ดีงาม (หรือที่เรียกกันในวงวิชาการว่า อารมณ์ในทางบวก) เช่น มีความเมตตากรุณา และความเอื้ออาทร ภูมิต้านทานจะดีขึ้น)

    ดร. เดวิท แมคคลีแลนด์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ได้ทดลองด้วยการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับแม่ชีเทเรซาในศาสนา คริสต์ที่กำลังดูแลคนยากจนในเมืองกัลกัตตาในประเทศอินเดีย ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา อีก กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับความโหดร้ายของทหารนาซีเยอรมันในสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่สังหารชาวยิวไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

    ผล ปรากฏว่าอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งมีความเมตตาสงสารเห็นอกเห็นใจคนยากจนมากขึ้น และกลุ่มที่สอง มีความโกรธ เมื่อเจาะเลือดดูปรากฏว่าอาสาสมัครใน กลุ่มแรกมีเซลล์ภูมิต้านทานชนิดที่เรียกว่า ที-เซล (ซึ่งมีหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย) เพิ่มขึ้น ในช่วงสั้นๆ และเมื่อให้อาสาสมัครแผ่เมตตา (หรือที่เรียกว่าเมตตาภาวนา) ต่อไปอีก 1 ชั่วโมง พบว่าที-เซล เพิ่มอยู่นาน แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ที่ดีมีผลต่อสุขภาพโดยตรง ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแกร่งขึ้น (Danial Goleman , Healing Emotions)

    จิต ใจที่แจ่มใสเบิกบานมีความสุขมีผลต่อการเพิ่ม ที-เซล เช่นเดียวกัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด พบว่า เมื่อให้อาสาสมัครดูภาพยนตร์ตลกสนุกสนานแล้วเจาะเลือดดูพบว่า เซลล์ภูมิต้านทานที-เซลเพิ่มขึ้น (Danial Goleman , Emotional Intelligence) ในทำนองเดียวกันการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมจำนวน 36 คน พบว่า 7 ปีผ่านไป ผู้ป่วยเสียชีวิตไปเพียง 24 ราย เมื่อตรวจสภาพจิตใจของพวกที่เหลืออยู่ ปรากฏว่าเป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใสมีความสุข (Danial Goleman , Healing Emotions) นอกจากนั้น การศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาดเหมือนกันชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม คนที่มีอารมณ์ในทางบวกที่กล่าวมาเป็นคนมีทัศนคติที่ดีต่อโลกและชีวิต ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพหรือเป็นโรคร้ายแรงเช่นมะเร็ง งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่าคนที่มีทัศนคติดังกล่าวส่วนมากแล้ว จะไม่มีอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดและฟื้นตัวได้ดีกว่า คนที่มองโลกในแง่ร้าย (Danial Goleman , Healing Emotions)

    สำหรับผลของการมีอารมณ์ในทางลบหรืออารมณ์ ที่เป็นพิษเป็นภัย เช่น อารมณ์โกรธหรือเกลียดนั้น ดร. จอห์น แบร์ฟูด แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทคาร์โลไรนา ได้ศึกษาผู้ป่วยที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคหัวใจรุนแรง โดยทดสอบสภาพจิตใจเพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นคนมีโทสะมากน้อยเพียงใด และเมื่อพิจารณาดูความตีบแคบของ เส้นเลือดหัวใจเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏว่า ผู้ป่วยที่มี อารมณ์โกรธมาก จะมีเส้นเลือดตีบมากกว่าคนที่ใจเย็น (Danial Goleman , Healing Emotions)

    ดร. เรดฟอร์ด วิลเลี่ยม อาจารย์แพทย์แห่งมหา-วิทยาลัยดุกซ์ในรัฐนอร์ทคาโลไรนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ติดตามนักศึกษาแพทย์ที่มีอารมณ์โกรธเรื้อรัง พบว่า กลุ่มที่มีอารมณ์โกรธน้อย และไม่ยาว นานเสียชีวิตไป 3 คน ในจำนวน 136 คน ส่วนกลุ่ม คนที่มีความโกรธเรื้อรัง ตายไป 16 คน ปัจจัยที่ทำให้คนเหล่านี้ตายก่อนอายุ 50 ปี คือการเป็นคนเจ้าโทสะ (Danial Goleman , Healing Emotions)

    ใน ทำนองเดียวกัน การศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาด พบว่าความโกรธเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ก่อนมาโรงพยาบาล 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น การศึกษาคนไข้โรคหัวใจของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงในประเทศสหรัฐอเมริกา คือมหาวิทยาลัยเยลและสแตนฟอร์ด พบว่า เมื่อ ติดตาม ผู้ป่วยที่มีอาการทางหัวใจครั้งแรกไป 10 ปี ปรากฏว่า ผู้ป่วยที่เป็นคนโกรธง่าย จะมีอัตราการตายสูงกว่ากลุ่ม ผู้ไม่โกรธง่ายถึง 3 เท่า (Danial Goleman , Healing Emotions) และผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยเหลือให้จิตใจมีอารมณ์ดีงามแทนอารมณ์ในทางลบจะมี อัตราการตายลดลง 2 เท่าของผู้ป่วยที่ได้รับช่วยเหลือให้ปรับเปลี่ยนอารมณ์

    นอกจากอารมณ์โกรธแล้ว อารมณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทางใจและทางกายอีกอย่างหนึ่ง คือ อารมณ์วิตกกังวล อีมิล กู เภสัชกร ชาวฝรั่งเศสพบในการวิจัยว่า คนที่มีโรคทางกาย เช่น วัณโรค ผู้ป่วยที่กำลังเสีย เลือด ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก จะมีอาการของโรคเลว ลง ถ้าหากผู้นั้นมีความวิตกังวลแต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บของตน ความวิตกกังวลมักทำให้เกิดความเครียดที่ เป็นอันตรายแก่สุขภาพและเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง

    น.พ.บรูช แมคอีแวน จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยเยล ได้ศึกษางานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพ พบว่า ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลงเป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่ หลายได้เร็วขึ้น และทำให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสได้ เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ที่หัวใจ เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้โรคเบาหวานกำเริบและอาการของโรคหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำไส้อักเสบ ความเครียดที่เกิดติดต่อกันนานๆ มีส่วนทำให้เซลล์สมองเสื่อมลง ซึ่งส่งผลให้ความจำเสื่อมลงไปด้วย (Bruce Mcevan , Eliot Stellor , Stress and the Individual of Internal Medicine , 1993)

    จิตแพทย์ เซลดอน โคเฮน แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ทำงานร่วมกับหน่วยวิจัยเกี่ยวกับไข้หวัดของเมืองเซฟฟิลด์ประเทศอังกฤษ พบว่า ผู้ป่วย ที่ได้รับเชื้อหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดทุกคน ถ้าหากมีภูมิต้านทานดี คนที่มีความเครียดน้อยจะติดหวัดได้ 27 % เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที ในขณะที่ผู้มีความ เครียดมาก จะติดหวัดเป็น 47 % นอกจากนั้น นายแพทย์ ผู้นี้ได้ทดลองด้วยการให้คู่สมรสจำนวนหนึ่งจดบันทึกไว้ติดต่อกัน 3 เดือน ปรากฏว่าคู่สมรสที่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ ราว 3-4 วัน เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที เพราะภูมิต้านทานต่ำมาก เนื่องจากมีความเครียดสูง

    นอก จากนั้น จิตแพทย์ผู้นี้ยังพบว่าในกรณีผู้ป่วยที่มักเป็นเริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะ เพศ เริมมักจะเกิด ขึ้นอีกในเวลามีความเครียด โดยวัดระดับแอนตี้บอดี (หรือสารภูมิต้านทาน ที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสหรือสารเคมีที่เข้าสู่ ร่างกาย) ในเลือด ซึ่งแสดงให้เห็นภูมิต้านทานโรคต่อเชื้อไวรัสเริมและนายแพทย์โคเฮน ยังพบว่า นักศึกษาแพทย์หญิงที่เพิ่ง หย่าใหม่ๆ หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (อัลไซ-เมอร์) มักจะมีเริมขึ้นบ่อยๆ เพราะมีความเครียดสูง (Sheldon Cohen, et al , ‘Psychological stress and susceptibility to common cold ,’ The new England Journal of Medicine , 1991)

    การทดลองต่างๆ ชี้ให้เห็นความจริงของคำสอนใน พุทธศาสนาที่ว่า สาเหตุสำคัญของโรคคือกิเลสในใจเรา ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง งาน วิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป็นผลมาจากการเป็นคนมีความโลภ และความโกรธ เช่น ความโลภทำให้รับประทานอาหารไขมันมากเพราะติดใจในรสอร่อย ทำให้เกิดความอยากที่ยับยั้งไม่ได้ ในทำนอง เดียวกัน ความโกรธหรือความเกลียด มีผลร้ายต่อสุขภาพเช่นเดียวกับความเครียด ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเหตุที่สภาพจิตใจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้นความผ่อนคลายทั้งทางกายและใจ จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน โรคจิตประสาท หอบหืด รวมทั้งโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง วิธีการ ผ่อนคลายที่แพทย์แผนปัจจุบันให้ความ สนใจมากเป็นพิเศษ คือ นำการปฏิบัติในพุทธศาสนา มาใช้ในการบำบัดโรค มีการสวดมนต์ การแผ่เมตตา และการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นสำคัญ
     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ในพระไตรปิฎกบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า

    คาถาไว้ฟังไม่ใช่สวด ถ้าสวดคือสวดเพื่อรักษาผู้อื่น"

    ทั้งหมดนี้อาจารย์ศุภชัยไม่ได้คิดขึ้นเองค่ะ แต่มีอยู่ในพระไตรปิฎกจารึกไว้ว่า

    ครั้งหนึ่งพระมหากัสสัปปะอาพาธ พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยม
    แต่พระมหากัสสัปปะไม่สามารถลุกขึ้นมาจากเตียงได้
    พระพุทธเจ้าก็ทรงสวดมนต์บทหนึ่งให้ฟัง
    พระมหากัสสัปปะก็สามารถลุกขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าได้ทันที หายจากความเจ็บป่วยเป็นปลิดทิ้ง

    ในพระไตรปิฎกจารึกไว้อีกครั้งหนึ่งว่า
    พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย อาพาธอยู่ในถ้ำ พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยม
    พระโมคคัลลานะไม่สามารถลุกขึ้นมาจากเตียงได้เช่นกัน
    พระพุทธเจ้าก็ทรงสวดมนต์บทหนึ่งให้ฟัง
    หลังจากสวดเสร็จ พระโมคคัลลานะก็หายเป็นปลิดทิ้ง ลุกขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าได้

    พระไตรปิฎกจารึกไว้เป็นครั้งที่สามว่า
    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประชวรที่กรุงเวฬุวันวิหาร
    ก็ให้พระอานนท์ไปตามพระจุนทะมาสวดมนต์คาถาบทเดียวกันนี้
    พระองค์ก็สามารถหายจากการประชวรได้ สวดนั้นคือโพชฌงค์

    ซึ่งเป็นบทสวดอันเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้เลยทีเดียว

    "หลักที่แท้จริงคือ คาถานั้นต้องฟัง ไม่ใช่สวด

    ฟังเพื่อพิจารณาความจริงของสังขารในตัวเรา ว่ามีเกิด ก็มีดับเป็นธรรมดา เมื่อปล่อยวางได้ ไม่ยึดไว้ ร่างกายเราก็จัดเรียงโมเลกุลในร่างกายเราเอง"

    อาจารย์ศุภชัยอธิบายว่า

    มนตราคือคำย่อ คือหัวใจของคาถาทุกชนิด เช่น
    หัวใจของอริยสัจสี่ คือ ทุ สะ นิ มะ
    ก็ย่อมาจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    วิธีสวดก็จะสวดไล่คำ หรือสวดไล่เสียงไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดสมาธิ
    เป็นกุศโลบายให้เกิดสมาธิ

    เมื่อสวดมากๆ จะทำให้คลื่นสมองจะลดต่ำลงจากเบตาเป็นอัลฟา
    สวดมนต์เสร็จก็ภาวนาต่อ การภาวนาคือการสั่งจิตใต้สำนึกนั่นเอง เช่น

    สวดมนต์เสร็จขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้น้ำตาลในเลือดลดลง ก็สามารถทำได้
    ขอให้ความดันเลือดลดลง ก็ทำได้

    การภาวนาของคนสมัยก่อนก็คือ การสั่งจิตใต้สำนึกให้ไปกำหนดร่างกาย
    มนตราจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และนั่นคือความลับของบทสวดมนต์ที่รักษาโรคได้


    ป.ล. 1 การสวดมนต์ เจริญพุทธมนต์นั้น
    มีวัตถุประสงค์เพื่อ รำลึกถึงและสรรเสริญ คุณของพระรัตนตรัย เป็นหลัก
    มีอานิสงส์ให้ ใจสงบและชำระใจให้ใสได้ดีมากๆ

    ป.ล. 2 ส่วน เรื่อง ตีลัญจกรมือ และการรักษาโรคภัย
    ก็เป็นเพียง ทัศนะของอาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์

    ป.ล. 3 อย่างไรก็ตามการสวดมนต์ มีผลที่ดีต่อสุขภาพที่ดี แน่นอน
    เพราะว่าใจที่เลื่อมใสและศรัทธาที่มีต่อพระรัตนตรัย เกิดบุญกุศลนัก

    เมื่อใจมีบุญกุศลนัก
    ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ภายในก็ถูกบุญชำระให้สะอาดขึ้น
    ดวงธรรมภายในก็ถูกบุญชำระให้สะอาดขึ้น

    โรคภัยก็ทุเลาได้ เพราะ
    1 ) ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ภายในสะอาดขึ้น
    และดวงธรรมภายในสะอาดขึ้น

    2 ) ใจจะมีกำลังใจ มากขึ้น ความมั่นใจ แข็งแรงขึ้น

    โบราณจึงสอนว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

    แม้ปัจจุบัน แพทย์ก็ยอมรับว่า
    การรักษาโรคภัย ส่วนมาก
    ยา รักษาได้ น้อยกว่า 50 %
    กำลังใจและทัศนะคติที่ดี ของผู้ป่วย ช่วยได้ มากกว่า 50 %
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2011
  17. ninja007

    ninja007 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอบคุณมากครับ

    สวัสดีครับคุณสันโดษ
    ผมได้ติดตามอ่านกระทู้นี้มานานพอสมควร ขอบคุณมากนะครับ สำหรับขอคิดดีๆและการปฏิบัติตัว ผมยอมรับว่าตั้งแต่เรื่มสวดมนต์นั่งสมาธิมา
    เหมือนไม่มีหลักการจนกระทั้งมาเจอกระทู้ของคุณสันโดษนี้แหละครับ
    เรื่มเข้าใจอะไรมากขึ้น..ปล่อยวางมากขึ้น
    ขอบคุณมากๆครับ ทุกวันนี้ผมกัอยังสวดมนต์นั่งสมาธิบ้างตามเวลาที่อำนวย เนื่องจากผมเองสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงในภายหน้า ยังไงจะขอติดตามอ่านกระทู้นี้เพื่อพัฒนาการปฏิบัติไปเรื่อยๆครับและขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี่ด้วยครับ
     
  18. darkage

    darkage สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ผมจะปฎิบัติตามที่คุณสันโดษแนะนำอย่างเคร่งครัดครับ
     
  19. Sudjai99

    Sudjai99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +399
    สวัสดีคะทุกๆท่านก็เพิ่งได้อ่าน กระทู้วันนี้เองคะ ขอบท่านเจ้าของกระทู้ เจ้าของคำถามทุกท่านและ คุณผู้ตอบ ( คุณสันโดษ) ดีใจคะ ได้ความรู้มาก และก็ไขความให้เยอะ กับการกราบบูชาไหว้พระ สวดมนต์ฉันเองก็ เขลาอยู่ มาก ปัญญาไม่เกิด และลูกสาวดื้อรั้น (ไม่เข้ากันเลย) ขอคุณสันโดษแนะนำหน่อยคะ ว่าดิฉันควรทำอย่างไร บ้างคะ ขอบคุณคะ
     
  20. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <iframe title="YouTube video player" class="youtube-player" type="text/html" width="640" height="390" src="http://www.youtube.com/embed/zIuolwEHvX8" frameborder="0" allowFullScreen></iframe>
     

แชร์หน้านี้

Loading...