อาณาจักร ต่างมิติสุดลี้ลับ ชัมบาล่า อริยะนคร ของเหล่า นักรบแห่งแสงสว่าง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 1 กันยายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]


    โอม ! ท่านผู้ปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
    ผู้ครอบครองความรุ่งรุ่งโรจน์ของพยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ และ มังกร
    ผู้ครองครองความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นเกินถ้อยคำ
    ข้าขอกราบประณต ณ เบื้องบาทแห่งองค์จักรพรรดิริกเดน



    จากกระจกเงาอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
    ซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
    สังคมมนุษย์ก็อุบัติขึ้นมา
    ในครั้งนั้น การหลุดพ้นและความสับสนก็อุบัติขึ้นด้วย
    เมื่อมีความกลัวและความสับสนสงสัย
    เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
    ผู้คนอันขาดเขลาจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
    เมื่อความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
    ได้รับการยอมรับและดำเนินตาม
    นักรบจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
    ผู้คนอันขลาดเขลามากมายเหล่านั้น
    พากันซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเถื่อนพงไพร
    ฆ่าพี่น้องและกัดกินเนื้อกันเอง
    ต่างประพฤติเยี่ยงอย่างสัตว์
    ต่างกระตุ้นเร้าความป่าเถื่อนในกันและกัน
    ต่างมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้
    เขาหล่อเลี้ยงและสุมไฟแห่งความเกลียดชังไว้
    เขากวนสายน้ำแห่งราคะให้ขุ่นข้นตลอดเวลา
    เขาเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมแห่งความเกลียดคร้าน
    ยุคสมัยแห่งความอดอยากและโรคระบาดก็อุบัติขึ้น
    สำหรับผู้ที่อุทิศตนแด่ความเชื่อมั่นแห่งปฐมกาล
    เหล่านักรบมากมายเหล่านั้น
    บ้างก็ขึ้นสู่ที่สูงบนภูเขา
    และสร้างปราสาทแก้วผลึกอันงดงามขึ้นที่นั่น
    บ้างก็ไปสู่ดินแดนแห่งทะเลสาบและเกาะแก่งอันงดงาม
    และสถาปนาเวียงวังอันน่ารื่นรมย์ขึ้น
    บ้างก็ลงสู่ที่ราบลุ่ม
    การเกษตรเพาะปลูกข้าวเจ้า ข้าวบารืเลย์และข้าวสาลี
    ต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
    มีแต่ความรักใคร่และเอื้อเฟื้อแบ่งปัน
    โดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้นเตือน
    ผ่านความลี้ลับสุดหยั่งถึงซึ่งการดำรงอยู่ด้วยตนเอง
    เขาต่างอุทิศตนต่อจักรพรรดิริกเดน .

    - จาก ชัมมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ -
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]
    *ภาพ อาจารย์ เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช สมัยบวชอยู่ภูฐาน


    ศิษย์ : ท่านจะช่วยเล่าให้ฟังถึงตำนานของธิเบตเรื่องอาณาจักรชัมบาลาได้หรือไม่ ?

    เชอเกรียม ตรุงปะ :ชัมบาลา คือสังคมอริยะนครซึ่งปราศจากความรุนแรง มันตั้งอยู่ทางแถบเอเชียกลาง ใจกลางทวีปเอเชีย สังคมชัมบาลาสามารถที่จะแปรเปลี่ยนความก้าวร้าวให้กลายเป็นความรัก ผลก็คือ ทุกคนในชัมบาลาได้บรรลุธรรมทั้งสิ้น จึงไม่จำเป็นต้องดูแลฝูงสัตว์เลี้ยง และหามีผู้ใดก่อสงครามไม่ ในที่สุดผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งอาณาจักร รวมถึงสิ่งก่อสร้างทั้งมวลก็ได้ สาบสูญไปจากโลก มิได้ดำรงอยู่ในมิติภาวะนี้อีกต่อไป นี่คือเรื่องราวของชัมบาลา

    ศิษย์ : ท่านคิดหรือไม่ว่าอาณาจักรชัมบาลาจักรปรากฏขึ้นอีกครั้งในระดับโลก เป็นยุคทองหรืออารยยุค

    เชอเกรียม ตรุงปะ : แน่นอนที่สุด

    ศิษย์ : ท่านพอจะกำหนดช่วงเวลาได้หรือไม่ เช่นว่าภายในหนึ่งร้อยปีหรือสองร้อยปีนับแต่นี้

    เชอเกรียม ตรุงปะ : อาจเป็นไปได้นับตั้งแต่บัดนี้

    ศิษย์ : มีลามะหลายท่านกล่าวว่า มันอาจอุบัติขึ้นภายในเวลาหนึ่งหรือสองร้อยปี

    เชอเกรียม ตรุงปะ : นั่นเป็นแค่การคาดเดา มันอาจอุบัติขึ้น ณ บัดนี้

    พระพุทธองค์ตรัวว่า เมื่อพุทธธรรมถึงวาระเสื่อมสลายไปจากโลกนี้แล้ว จารีตแห่งชัมบาลาจะฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่

    - ทรังกุ ริมโปเช -

    ญาณทัสนะของเชอเกรียม ตรุงปะไม่ได้อยู่บนรากฐานพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว ทว่าตั้งอยู่บนแรงบันดาลใจที่จะก่อตั้งอาณาจักรชัมบาลา ขึ้นมาด้วย แต่กว่าท่านจะนำเรื่องนี้มาสอนแก่สาธารณชนทั่วไปในอเมริกาเหนือก็ล่วงเข้าปี ๑๙๗๖
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310


    ญาณทัสนะ แห่งอาณาจักรชัมบาลา

    บนเส้นทางสายไหม เต็มไปด้วยตำนาน ปรัมปราคติ เรื่องเล่าอิงประวัติศาสตร์มากมายเรื่องที่โยงใยไปถึงการมีอยู่ของอาณาจักรที่สงบสุข รุ่งเรือง นามว่า ชัมบาลา ดินแดนซึ่งประชาราษฏร์อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความภาคภูมิและกลมเกลียวด้วยจิตอันลึกซึ้งต่อกัน

    ดินแดนนี้เป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรม ศิลปกรรม รัฐศาสตร์ และแบบแผนของนักรบที่แผ่อิทธิพลไปเกือบทั่วทวีปเอเชีย " ชัมบาลาเป็น วัฒนธรรมของเอเชียกลางที่ไม่ใช่ทั้งอารยันหรือมองโกล มันคือจุดรวมของจารีตที่เราต่างลืมเลือนกันไปนานแสนนานแล้ว "

    ในหมู่ชาวธิเบตเองยังมีความเชื่ออยู่โดยทั่วไปว่า อาณาจักรนี้ยังคงดำรงอยู่ในหุบเขาอันลี้ลับไกลโพ้นของเทือกเขาหิมาลัย อาจจะอยู่ใน อัฟกานิสถานด้วยซ้ำ ดู ๆ ไปก็คงจะคล้ายกับความเชื่อเรื่องอาณาจักรแอตแลนติสนั่นเอง มีงานเขียนถึงเรื่องราวอันลี้ลับนี้อย่างเช่น เรื่อง มหาอรรถกถา แห่งกาลจักร เขียนโดย มิพัม ริมโปเช ซึ่งนักสำรวจอาจใช้ในการแกะรอยหาที่ตั้งของอาณาจักรในอดีตกาลแห่งนี้ ดุจเดียวกับที่ไฮร์ริช ชไลมานน์ใช้มหากาพย์ อีเลียด ในการสืบหาที่ตั้งของนครทรอยที่ล่มสลายไปแล้ว

    กล่าวกันว่าอาณาจักรชัมบาลาล้อมรอบด้วยภูเขาเหล็ก เมื่อมองจากภายนอก ตัวเมืองมีลักษณะเป็นวงกลมที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะ ผังเมืองภายในมีรูปร่างประดุจดอกบัวบานมีแปดกลีบ มีลำธารใหญ่แปดสายคั่นระหว่างกลีบบัวทั้งแปด มองดูไกล ๆ แล้ว เมืองนี้คล้ายกับ เมืองขนาดเล็ก แต่ถ้าเข้าไปในเมืองแล้ว จะดูกว้างใหญ่อย่างประมาณขอบเขตมิได้

    ประมาณกันว่าอาณาจักรชัมบาลาน่าจะอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียแถบเทือกเขาหิมาลัย เหนือแม่น้ำสีดา ซึ่งบริเวณดังกล่าวปัจจุบันคือ เตอร์กีสถานตะวันออก แต่ถ้ายึดถือตามคำบอกเล่าของเชอเกียม ตรุงปะ อาณาจักรนี้ก็ควรจะตั้งอยู่ " กลางทวีปเอเชีย ตรงกลางหรือ หัวใจของตะวันออก " มันคืออาณาจักรที่เป็นแกนกลางของโลกในแถบนี้ ทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณประชาชนที่นั่นอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์ รุ่มรวยด้วยทรัพย์สิน ความสุข และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทุกคนที่นั่นทุ่มเทเวลาให้กับการทำสมาธิภาวนา

    หนทางที่จะไปสู่ชัมบาลาอยู่นอกเหนือศาสนมรรคใด ๆ ทั้งสิ้น หากบุคคลสามัญได้ไปถึงที่นั่น สิ่งที่พวกเขาและเห็นจะเป็นเพียงหุบเขา รกร้างว่างเปล่า ไร้ผู้คน ห้อมล้อมด้วยภูผาน่าสะพรึงกลัว นอกเสียจากว่าพวกเขาต้องชำระล้างหัวใจให้บริสุทธิ์ และตั้งจิตอยู่ในภาวะอัน เป็นสัปปายะ ผู้จาริกจึงจะบรรลุถึงดินแดนแห่งนี้ได้ อาณาจักรแห่งนี้เป็นอิสระอยู่บนการตั้งเจตนาที่ถูกต้อง


    - คัดบางส่วนจาก ชีวิตและญาณทัสนะของ ตรุงปะ คุรุบ้าผู้ปรีชาญาณ -
    - บทที่ 10 แสดงธรรมกถาเรื่องชัมบาลา -
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]
    *ภาพ พุทธิศิลปทังก้า ธิเบต พระโพธิสัตว์ตาราขาวเจ็ดเนตร บนบัลลังก์ดอกบัว เปล่งรัศมี


    จากประสบการณ์ธรรม นิมิตของท่าน คัมตรุล รินโปเช จาก หนังสือเรื่อง ปัญญาญาณไร้กาลเวลา สาส์นจากผู้เฒ่าธิเบตถึงสังคมร่วมสมัย

    บท มัคคุเทศก์พาท่องชัมบาลา

    ระหว่างที่รับประทานข้าวกับโมโม่ ( แป้งยัดไส้นึ่งแบบธิเบต ) * เป็นอาหารกลางวันที่โรงแรมโฮเต็ล ข้าพเจ้าถามโชดอน ซึ่งอยู่นอกธิเบต มาครึ่งค่อนชีวิตว่า เคยเห็นเรื่องนี้กับตาตัวเองหรือไม่ เธอฉีกยิ้มกว้างว่า " เคยสิ อันที่จริงจะให้ฉันพาคุณไปพบรินโปเชที่เคยไปชัมบาลา ก็ได้ "
    เราไปบ้านของคัมตรุล รินโปเช ที่โชดอนอธิบายว่าเป็นนิรมาณกายองค์ที่ 4 ของโยคีและปราชญ์ท่านหนึ่งจากธิเบตตะวันออก ท่านเป็น ทั้งบัณฑิต วิปัสสนาจารย์ และผู้นำศาสนพิธีในสายการปฏิบัติที่เก่าแก่ที่สุดของธิเบต ทุกวันนี้คัมตรุล รินโปเชเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ที่นำคำสอนทั้งหมดของทะไลลามะองค์ที่ ๕ มาถ่ายทอดโดยตรงในอินเดีย ท่านอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกสาวที่บ้านพักไกล้ ๆ วัด ลูกสาว ของรินโปเชซึ่งจบการศึกษาจากอเมริกา และดูเหมือนจะซึมซับอิทธิพลตะวันตกมาอย่างเห็นได้ชัด เล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟังขณะที่พาเรา ไปยังห้องพักของพ่อเธอรินโปเชนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ แสงจากบานหน้าต่างด้านหลังเรื่อเรืองเป็นประกายรัศมีอยู่รอบศีรษะของท่าน ทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงภาพพุทธศิลป์

    * ลักษณะคล้ายเกี้ยวซ่า มีทั้งแบบนึ่งและทอด

    " ข้ามีชื่อเดิมจริง ๆ ว่า จัมยัง ดอนทรุป ส่วนฉายาของลามะคือคัมตรุล รินโปเช คัมหมายถึงวัดของข้า ซึ่งมีคำ ๆ นี้อยู่ในชื่อวัดด้วย ส่วนตรุลนั้นใช้สำหรับเรียกตุลกู หรือผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ เพราะเชื่อกันว่าข้าเป็นร่างใหม่ของลามะวัดนี้ "

    " ข้าเกิดที่เขตลีทัง ภาคตะวันออกของธิเบต เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๑๙๒๗ ในครอบครัวพ่อค้าชนชั้นกลาง ครอบครัวส่วนใหญ่ใน แถบนี้เลี้ยงชีพด้วยการค้าขายมากกว่าเพาะปลูก พออายุ ๔ ขวบ ข้าก็เข้าวัดลีทัง กอนเซ็น ซึ่งมีความหมายว่าวัดที่ยิ่งใหญ่แห่งลีทัง สร้างโดยองค์ทะไลลามะที่ ๓ วัดนี้เป็นของนิกายเกลุคปะ ข้าอยู่ที่นี่จนถึง ๘ ขวบ "

    " ในคำพยากรณ์ระบุสถานที่เกิดของข้าว่าชื่อบา แต่เนื่องจากพ่อแม่ข้าย้ายจากบา " ไปลีทังในตอนที่ข้ายังเล็กมาก ทำให้พวกที่ตามหา ร่างใหม่ในบาไม่พบข้า คำพยากรณ์บอกว่าการค้นหาอาจกินเวลานาน พวกเขายังคงสืบเสาะต่อไป เจ้าอาวาสอีกวัดก็พยากรณ์เรื่องนี้ ไว้คล้าย ๆ กัน และบอกว่าให้ไปหาที่ลีทัง ไม่ใช่บา ดังนั้นคณะค้นหาก็เลยไปที่นั่นขอพบตัวเด็กทั้งหมดที่เกิดปีมะโรง พวกเขาได้รับ รายชื่อเด็ก ๕ คนที่เกิดในปีนั้น ตอนที่พวกเขามาหาข้าครั้งแรก ข้าดีใจมากเดินร้องเพลงไปทั่ว พวกเขาบอกว่าเราดีใจที่เห็นท่านมีความสุข มาก ๆ แต่ก่อนที่เราจะพาท่านไป ท่านต้องบอกว่าเราเป็นใคร และม้าของเราชื่ออะไร ข้าบอกชื่อไปจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเขาก็พาข้าไป "

    " ตอนเด็ก ๆ ไม่ว่าข้าอยู่ที่ไหน ก็จะพยายามไปที่อื่น ช่วงตะวันขึ้นและตก ข้ามักจะหวนนึกถึงวัดและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในอดีตชาติ ได้อย่างแจ่มชัด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำพวกที่มาตามหาได้ "

    " ต่อมาข้าถึงรู้ว่า ชาวธิเบตเชื่อว่าช่วงที่ระลึกชาติได้ชัดเจนที่สุด เกิดขึ้นระหว่างอายุ ๓-๔ ปี หลังจากนี้ภาพเก่า ๆ ก็จะเริ่มลบเลือนไป

    " ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบจนถึง ๒๕ ข้าศึกษาในนิกายญิงมาปะ เรียนรู้ศาสนพิธี โหราศาสตร์และปรัชญาต่าง ๆ แต่ตอนอายุ ๑๖ จิตใจของข้า วุ่นวายปั่นป่วนอยู่บ่อย ๆ ข้าไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มี ใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษากับอาจารย์กรรมฐานของข้า คือท่าน จัมยัง เคียนเซ โชคคี โลโดร ซึ่งได้ช่วยเสี่ยงทายให้ผลที่ออกมา แนะให้ข้าไปจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในมิญัก ทางภาคตะวันออกของธิเบต และสวดมนต์บูชาท่านปัทมะสัมภวะ ๔oo , ooo จบ

    " ข้าจึงออกจาริกแสวงบุญ แต่ด้วยความที่ยังหนุ่มและเกียจคร้านทำให้สวดมนต์ได้เพียงครึ่งเดียว แต่ตอนที่นั่งภาวนาอยู่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งหนึ่ง ข้าเกิดฝันประหลาด

    " ในฝันข้าเห็นเด็กสาวอายุประมาณ ๑๔ - ๑๕ งดงามกว่าทุกคนที่เคยเห็นมา นางสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับแตกต่างจากหญิงธิเบต มาก กิริยาชวนหลงใหล จนทำให้ตัวข้าเริ่มรู้สึกสั่นสะท้านไปหมด บางทีข้าอาจบอกเล่าทุกอย่างให้นางฟัง ถึงแม้จะจำไม่ได้ทุกถ้อยคำ ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน พอรู้สึกสงบลงหน่อย นางก็พูดกับข้าว่า ' พี่ท่าน เราน่าจะไปเที่ยวอาณาจักรชัมบาลากันนะ ' "

    ข้าพเจ้ายื่นหน้าออกไปฟังด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ได้ยินเรื่องราวโดยตรงเกี่ยวกับอาณาจักรทางตอนเหนือของธิเบตที่เรียกกันว่า ชัมบาลา ข้าพเจ้าพยายามนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านพบ หลังจากพระศากยมุนีทรงมอบคัมภีร์กาลจักรตันตระให้แก่พระราชาสุจันทราแล้วพระราชา ได้นำกลับไปยังอาณาจักรชัมบาลาตอนเหนือ และสร้างตำหนักอันวิจิตรให้แก่เทพกาลจักร พระราชามีผู้สืบทอดเป็นธรรมราชา ๗ พระองค์ และธรรมทายาทผู้สืบทอดอีก ๒๑ พระองค์ คอยพิทักษ์รักษาคำสอนดังกล่าว การปฏิบัติกาลจักรมีจุดประสงค์เช่นเดียวกับการฝึกตันตระ ทั้งหลายคือ เพื่อชำระกาย วาจา ใจและค่อย ๆ ขจัดอนุสัยเก่า ๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในกระแสจิตออกไป ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อเข้าสู่กลียุคใน ภายภาคหน้า นักรบจากชัมบาลาหรือผู้บำเพ็ญเพียรจะรวบรวมกำลังกันต่อกรกับอำนาจชั่วร้าย คัมตรุล รินโปเชบอก ท่านได้ตอบคำชวนของ หญิงสาวว่า


    " พอสาวงามในฝันบอกว่าเราจะไปที่นั่น ตอนแรกข้าคิดว่า ' วิเศษจริง ๆ ' จากนั้นก็สำนึกได้ว่านางเรียกข้าพี่ ซึ่งผิดไปจากความคาดหวัง ทำให้ข้าไม่อาจบอกความในแก่นางได้ ดังนั้นแทนที่ข้าจะเรียกนางกลับว่าน้อง จึงพูดไปว่า ' แม่นาง ข้าอยากไปชัมบาลากับเจ้ามาก แต่ข้า ต้องบอกเจ้าว่าไม่รู้จะไปที่นั่นได้อย่างไร '

    " นางเรียกเรียกข้าว่าพี่อีก พร้อมทั้งบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นางมาที่นี่เพื่อพาข้าไป ข้ารวบรวมความกล้าถามไปว่า นางรู้ได้อย่างไรว่า ข้าเป็นใคร นางหัวเราะ ' เจ้านี่โง่จริง ๆ จำข้าไม่ได้หรือ มองตาข้าสิ '

    " หญิงสาวเผยดวงตาทั้ง ๗ แก่ข้า คู่หนึ่งเป็นดวงตาปกติดวงหนึ่งอยู่ตรงกลางหน้าผาก ส่วนอีกสองคู่อยู่ที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ ทำให้เห็น โฉมหน้าอันแท้จริงว่านางคือ พระแม่ตาราขาวหรือตาราเจ็ดเนตร พระองค์บอกว่าถ้าจ้องมองตาของพระองค์ จะทำให้อายุยืน เนื่องจากตอน นี้ข้าอายุ ๖๕ แล้ว และในชาติก่อน ๆ ก็ไม่เคยมีอายุเกิน ๕o - ๕๕ ฉะนั้น เรื่องนี้จึงต้องเป็นความจริง พระองค์ยังบอกอีกด้วยว่าข้าต้องสึก แต่จะได้ช่วยสรรพสัตว์มากมาย และแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อดอลมา หรือดอลกา ในอดีตชาติข้าไม่เคยแต่งงานแม้สักครั้งเดียว แต่ตอนที่ข้า ต้องออกจากธิเบตเพราะจีนเข้ามานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตุลกูมากมายต้องแต่งงานเพื่อสืบวงตระกูล ข้าสึกจากพระไปแต่งงาน แต่ยังคงเป็นลามะ เมียข้าชื่อดอลกา
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]


    " ข้านั่งอยู่บนผ้าขาวข้าง ๆ หญิงงามนี้ แล้วเราก็เหาะไป การได้อยู่ไกล้ชิดพระองค์เป็นความสุขอันแสนวิเศษเสียจนข้าไม่รู้สึกสงสัย ไม่มีคำถาม ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เป็นความรู้สึกล้ำลึกกว่าประสบการณ์ทั่วไป เราไปเร็วมาก ถ้าข้าไปได้เร็วอย่างนั้นในเครื่องบิน ก็คงต้อง เดินทางจากอินเดียไปนิวยอร์คได้วันละ ๓ เที่ยว

    " เราเหาะข้ามเขาที่ดูเหมือนจะมีสิงโตหิมะอยู่บนนั้น ' ดูโน่นสิ โรงพิมพ์เดอเกย์ ในสมัยของ เปมา ลุนดรุปอดีตชาติของเจ้านั้น ข้าคือ เซวัง ลาโมป้าของเจ้า ซึ่งได้แกะสลักแม่พิมพ์ไม้เอาไว้ มันยังอยู่ที่นั่น '

    " ขณะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในความฝัน เราเห็นยอดเขาไกรลาสแล้วก็เทือกเขาอันสง่างามที่ปกคลุมด้วยหิมะ บริเวณที่ดูคล้ายกับงูกำลังจะ จับกบ เรายังผ่านไปยังทะเลทรายที่เหมือนลาดปูด้วยหนังเสือ และอีกหลาย ๆ แห่งมากมายเกินกว่าจะสาธยาย รวมทั้งบริเวณที่เวิ้งว้าง ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

    " เราเหาะขึ้นเหนือต่อ จนมาถึงเขาวงกตใหญ่ที่ดูคล้ายกับดอกบัวยักษ์บานอยู่ มี ๓๒ กลีบ พระองค์บอกว่าแต่ละกลีบมี ๓๒ เมือง แต่ละเมืองมีขนาดเท่านิวยอร์ก นอกจากนี้ยังมีเมืองเล็ก ๆ รายรอบเมืองเหล่านี้อยู่อีก ๙oo เมือง รวมทั้งสิ้นมีเมืองเล็ก ๆ เกือบล้านเมือง และเมืองใหญ่กว่าพันเมือง บ้านเรือนเป็นพระราชวังที่มีหลังคาสีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีแวววาว ระฆังดังกรุ๊งกริ๊ง และสายรุ้งน่ารัก แค่ได้เห็นที่พักนั่น ข้าก็รู้สึกเกิดปีติแล้ว

    " แต่ละครอบครัวในชัมบาลาจะมีสวนขนาดใหญ่ พร้อมด้วยสระน้ำที่มีกลิ่นหอม ผู้คนมีฐานะมั่งคั่งจากโคและแก้วสารพัดนึก ไม่มีใคร ต้องทำงาน ถ้าปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นเอง เนื่องจากทุกคนร่ำรวยและแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีสงคราม ข้าจึงมี ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มาจากท้องแม่เหมือนเรา แต่อุบัติขึ้นเองอย่างมหัศจรรย์ ที่พิเศษเหนือสิ่งอื่นใดคือ ในอาณาจักรชัมบาลาไม่มี ความรู้สึกแบ่งแยกข้ากับเจ้า ไม่มีการชิงดีชิงเด่นหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่ความสุขสงบร่มเย็น

    " มีบ้านหลังหนึ่งที่สร้างด้วยแสง ทำให้ข้าได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันยิ่งใหญ่นี้จะเป็นมนุษย์กันหมด อาจมีเทวดา หรือนาคด้วย ส่วนตรงกลางคือใจกลางอาณาจักรชัมบาลาที่รายรอบไปด้วยมหานครนั้น เป็นที่ตั้งของตำหนัดเทพกาลจักร ซึ่งสร้างโดย กษัติริย์สุจันทรา ในคัมภีร์ตันตระบอกว่าผู้ที่อยู่ในชัมบาลาจะใช้คันธนูและศรพิชิตความชั่วร้ายในจักรวาล นั่นทำให้ข้ารู้สึกสงสัย เพราะ อาวุธทำลายล้างสมัยใหม่ทั้งหมดพัฒนาขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พอถามเรื่องนี้กับพระองค์ พระองค์บอกว่าข้าไม่ต้องวิตกกังวล เพราะไม่ว่าในโลกนี้จะคิดค้นวิธีทำลายล้างอะไรได้ก็ตาม สิ่งที่ใช้กำราบมันจะอุบัติขึ้นเองในอาณาจักรชัมบาลา พระองค์อธิบายว่าอาวุธ ในโลกเราสร้างขึ้นจากส่วนประกอบต่าง ๆ หลายอย่าง แต่ระบบต่อต้านจรวดนำวิถีของชัมบาลาอันเกิดจากปัญญาญาณสูงส่งนั้นทรง อาณุภาพยิ่งกว่า


    [​IMG]

    " ตอนที่เราเข้าเฝ้าพระราชา พระองค์กำลังเข้าฌาน มีรัศมีเจิดจ้าจนข้าไม่อาจจ้องมองได้ตรง ๆ ทรงมลายกลายเป็นแสงก่อน แล้วจึงปรากฏ เป็นพระลามะประสาทพรให้ข้า หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายวับไปเหมือนสายรุ้ง ยกเว้นหญิงสาวกับตัวข้า

    " ทว่าทันใดในฝัน ข้าก็พบว่าตัวเองกลับมาที่ถ้ำ ก่อนจะตื่นขึ้นในตอนฟ้าสาง ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ในฝันที่พระแม่ตาราขาว พาไปอาณาจักรชัมบาลานั้นแจ่มชัดมาก ๆ "
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]


    บทที่ 1 สร้างสังคมอริยะ



    " คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
    อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหา
    ของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้ เป็นสมบัติเฉพาะ
    ของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจาก
    ตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของ
    นักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
    ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ "




    ......เช่นเดียวกับประเทศทางเอเชียหลายประเทศ ในธิเบตก็เช่นกัน มีตำนานเล่าขาน เกี่ยวกับอาณาจักรในฝัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครองโดยผู้ปกครองผู้ทรงสติปัญญาและการุณย์ ดังนั้นอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนแล้วรอบรู้และเมตตาปราณี ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า"ชัมบาลา"


    ..... เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมชัมบาลา ตามตำนานกล่าวว่า ศากยมุนีพุทธได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ดาวะ สังโปปฐมกษัตริย์แห่งชัมบาลา บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็น "กาลจักรตันตระ" ซึ่งถือว่าเป็นปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุด ของพุทธศาสนาแบบธิเบต หลังจากที่องค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรมเทศนานี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์ แห่งชัมบาลาต่างพากันปฏิบัติสมาธิภาวนาและดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคา ด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจ ใส่ทุกข์สุขของสัตว์ทั้งหลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักร ล้วนแล้วเป็นอริยบุคคลผู้มีใจสูงทั้งสิ้น


    ...... ในหมู่ชาวธิเบต มีความเชื่อว่าอาณาจักรชัมบาลานี้ยังดำรงอยู่ ซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาอันลี้ลับในเทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งบรรยายถึงสถานที่ตั้งและทิศทางที่จะไปสู่ชัมบาลา ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเลอะเลือนมาก จนกระทั้งมีผู้สงสัยว่านี่จะเป็นจริงหรือ เป็นเพียงข้อเปรียบเปรยเท่านั้น ทั้งยังมีคัมภีร์หลายฉบับซึ่งบรรยายอย่างละเอียดลออ ถึงอาณาจักรแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นตามที่อ้างอิงอยู่ใน "มหาอรรถกถาแห่งกาลจักร" ซึ่งเขียนโดย มิฟัม คุรุ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ดินแดนชัมบาลานี้ตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำสิตะ ดินแดนแห่งนี้ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครองชัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางดินแดน มิฟัม บอกต่อไปว่า ขุนเขาลูกนี้ชื่อว่า ไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่า กัลปะ กว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่ชื่อว่า มาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวายแด่กาลจักรโดยดาวะ สังโป


    ...... ตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรชัมบาลานี้ได้สาบสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว มาถึงจุดหนึ่งเมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น ตามตำนานกล่าวว่ากษัตริย์ริกเดนแห่งชัมบาลายังคงเฝ้าดูกิจกรรมทั้งมวลของมนุษย์โลกอยู่ แล้วสักวันหนึ่ง จะลงมาช่วยมนุษยชาติให้รอดหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์เกซาร์แห่งหลิง ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และปรีชาญาณชัมบาลานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ที่ว่าอาณาจักรชัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น เพราะเชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปยังชัมบาลา ดังนั้นสายสัมพันธ์กับชัมบาลา จึงเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงทางภาวะธรรม ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครองแว่นเคว้นหลิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวิดคัมธิเบตตะวันออก จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้ง ในแง่ของการศึกและการปกครอง เล่าขานกันไปทั้งธิเบตกลายเป็นมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ ของวรรณกรรมธิเบต บางตำนานก็กล่าวว่าเกซาร์จะปรากฎขึ้นมาอีกครั้งจากชัมบาลา นำทัพมาบำราบมารและพลังอันมืดดำในโลก


    ...... เมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิชาการชาวตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรชัมบาลาอาจจะเป็นอาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ ดังเช่นอาณาจักรชางซุงในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับชัมบาลา เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ไม่เป็นจริง แต่ในขณะที่อาจสรุปกันง่ายๆว่าอาณาจักรแห่งนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพนั้น เราก็อาจเห็นได้ขัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่นอยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดี มีประเพณีซึ่งถือว่าอาณาจักรชัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอกหากเป็นรากฐานของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่า อาณาจักรชัมบาลาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากควรที่เราจะเห็นคุณค่าและดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่


    ..... ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อเขียนว่าด้วย "คำสอนของชัมบาลา" ซึ่งใช้ภาพของอาณาจักรชัมบาลาเพื่อแสดงถึงอุดมคติของการตรัสรู้ซึ่งปราศจากลัทธินิกาย นั่นก็คือ เสนอให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการยกระดับจิตวิญญาณของตนและของผู้อื่น โดยไม่ต้องอาศัยแนวทางหรือ ญานทัศนะของศาสนาใด เพราะแม้ว่าสายความคิดของชัมบาลาจะยืนพื้นอยู่บนหลักคิดและความนุ่มนวลของ วัฒนธรรมแบบพุทธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีรากฐานที่เป็นอิสระของตนเอง ซึ่งมุ่งตรงสู่การขัดเกลาให้เป็นมนุษย์ที่แท้ สังคมมนุษย์ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาอันหนักหน่วงนานับประการ จึงดูยิ่งจำเป็นจะต้องแสวงหาแนวทางอันเรียบง่าย และไร้ลัทธิเพื่อนำมาปฎิบัติและแบ่งปันประสบการณ์นั้นร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นเองคำสอนชัมบาลาหรือ "ญานทัศนะชัมบาลา" ซึ่งเรียกกันอย่างกว้าง ๆ ตามนัยนี้ จึงเป็นเสมือนความพยายามอันหนึ่ง ที่จะผลักดันเกื้อหนุนให้ไปสู่ภาวะการดำรงอยู่อันสมบูรณ์สำหรับตัวเราและผู้อื่นด้วย
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]



    ...... สภาวการณ์ของโลกปัจจุบันคือต้นตอแห่งความกังวลห่วงใยของเราทุกคน เป็นต้นว่า ความน่าหวาดเสียวของสงครามปรมาณู ความยากจนที่แผ่ลุกลามออกไป ความไม่มั่นคงทางภาวะเศรษฐกิจ ความปั่นป่วนวุ่นวายของสภาพสังคมและการเมือง และความวิกลวิการทางจิตใจแบบต่างๆ โลกนี้ล้วนตกอยู่ในความปั่นป่วนยุ่งเหยิง คำสอนของชัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นปัญหาทั้งหลายของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้เป็นสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจากตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของนักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่างๆ ตอลดช่วงกาลที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์


    ..... ความเป็นนักรบในที่นี้มิได้หมายถึงการไปรบรากับผู้อื่น ความก้าวร้าวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาทั้งหลายแหล่ มิใช่การแก้ไข คำว่านักรบนี้มาจากภาษาธิเบตว่า ปาโว ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้กล้า" ความเป็นนักรบตามนัยนี้ จึงเป็นวัฒนธรรมแห่งความกล้าหาญของมนุษย์ หรือเป็นวัฒนธรรมแห่งความไม่หวาดกลัว ชาวอเมริกันอินเดียนฝ่ายเหนือก็มีวัฒนธรรมดังกล่าว ทั้งในสังคมของอเมริกันอินเดียนฝ่ายใต้ก็มีอยู่เช่นกัน ซามูไรในอุดมคติของญี่ปุ่นก็แสดงออกถึงปรีชาญาณของนักรบด้วยเช่นกัน ทั้งในสังคมคริสเตียนของชาวตะวันตก ก็มีแนวความคิดเรื่องนักรบผู้เห็นธรรมอยู่ด้วย กษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นตำนานซึ่งเป็นแบบฉบับของนักรบที่แท้จริงในวัฒนธรรมตะวันตก และผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ดังเช่นกษัตริย์เดวิด ก็เป็นแบบฉบับของนักรบซึ่งรู้จักกันดีทั้งในวัฒนธรรมของยิว และคริสเตียน บนโลกของเรานี้มีตัวอย่างของความเป็นนักรบอันเลอเลิศอยู่มากมาย


    ...... กุญแจที่ไขสู่ความเป็นนักรบและหลักการเบื้องต้นของญาณทัศนะชัมบาลาก็คือ การไม่กลัวความจริงในตนเอง ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตามถึงที่สุดแล้ว คำจำกัดความของความกล้าคือ "ไม่กลัวตัวเอง" ญาณทัศนะชัมบาลาสอนดังนั้น เบื้องหน้าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของโลกซึ่งเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เราก็อาจหาญกล้าและเมตตาได้ในขณะเดียวกัน ญาณทัศนะชัมบาลาคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัว เมื่อเราเริ่มกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เราปรารถนาจะสร้างรังเล็กๆ ของต้นขึ้น สร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มตัวเอง เพื่อว่าเราจะได้อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัยในนั้น


    ...... ทว่าแท้จริงเราอาจกล้าได้มากกว่านั้น เราต้องพยายามคิดให้กว้างไกลออกไปกว่าบ้านของเรา คิดให้ไกลออกไปกว่าไฟที่ลุกอยู่ในเตา ไกลกว่าการส่งลูกหลานไปเข้าโรงเรียน หรือการตื่นขึ้นมาทำงานในตอนเช้า เราจะต้องพยายามขบคิดว่าเราจะสามารถช่วยโลกนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าเราไม่ช่วยแล้วก็จะไม่มีใครอื่นช่วยเลย เป็นภารกิจของเราที่จะต้องช่วย ในขณะเดียวกัน การช่วยผู้อื่นมิได้หมายถึงการสละชีวิตส่วนตัวไป คุณไม่จะเป็นต้องลนลานรีบไปเป็นนายกเทศมนตรีหรือเป็นประธานาธิบดี เพื่อที่จะช่วยผู้อื่น แต่คุณสามารถเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้นที่ต้นเองด้วยซ้ำ ข้อสำคัญก็คือต้องตระหนักอยู่เสมอว่าคุณจะต้องไม่ทอดทิ้งภารกิจของตนเอง คุณไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยอยู่ได้ เพราะเหตุว่าโลกนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง


    ...... ในขณะที่ทุก ๆ คนต่างมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องช่วยเหลือโลกแต่การณ์กลับจะเป็นว่า เราไปก่อกวนให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามจะไปยัดเยียดความคิดของเราหรือยัดเยียดความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น มีคนไม่น้อยที่รู้ทฤษฎีว่าโลกต้องการสิ่งใดบ้าง คนบางคนคิดว่าโลกต้องการคอมมิวนิสต์ บางคนคิดว่าโลกต้องการประชาธิปไตย บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะข่วยโลกให้รอด บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะทำลายล้างโลก คำสอนซัมบาลานั้นมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนโลกให้เข้าไปอยู่ในทฤษฎีใด ๆ รากแก้วของญาณทัศนะชัมบาลามีว่า ในการที่จะสถาปนาสังคมอริยะสำหรับมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องคนให้พบว่าเรามีของจริงสิ่งแท้อะไรอยู่ในตัวบ้าง ซึ่งอาจสามารถมอบไว้แก่โลก นั่นก็คือแรกสุด เราจะต้องพยายามพิจารณาดูประสบการณ์ของเราทั้งหมด เพื่อที่จะหยั่งเห็นให้ได้ว่าเรามีสิ่งมีค่าอะไรอยู่ในตัว ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับสภาวะความเป็นอยู่ทั้งหมดของตนเองและผู้อื่น


    ......ถ้าเราตั้งใจมองอย่างปราศจากอคติ เราจะพบว่านอกเหนือจากปัญหาและความสับสนทั้งมวลที่เรามีอยู่ นอกเหนือจากภาวะจิตและอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ แล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นความดีงามรากฐานของการเกิดมาเป็นมนุษย์ นอกเสียจากเราจะสามารถค้นพบถึงรากฐานแห่งความดีงามในชีวิตของเราอันนั้น หาไม่เราก็มิอาจหวังที่จะช่วยเกื้อหนุนขีวิตของผู้อื่นไปในทางสูงได้เลย ถ้าหากเราเป็นเพียงสัตว์โลกผู้โชคร้ายและน่าสงสาร เรายังจะสามารถฝันถึงสังคมอริยะได้อยู่อีกหรือ


    .... การค้นพบถึงความดีงามที่แท้จริง ย่อมเกิดจากการแลเห็นถึงคุณค่าความหมายของประสบการณ์แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความหมายของประสบการณ์แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความรู้สึกดีๆ ซึ่งเกิดจากการที่เราหาเงินได้เป็นล้าน หรือการเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือการซื่อบ้านใหม่ได้ แต่เรากำลังพูดถึงความดีงามรากฐานของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือการบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวัง เราได้สัมผัสถึงความดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์เราได้สัมผัสถึงความดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์แจ้งอย่างถ่องแท้ เมื่อเราแลเห็นสีสันอันสดใสนั้น แต่เราพลาดที่จะประจักษ์พยานถึงแก่นสารอันดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เมื่อเราได้ยินเสียงอันไพเราะก็เท่ากับเรากำลังสดับฟังแก่นแท้อันดีงามของเราเอง เมื่อเราก้าวออกไปสู่สายฝนเราย่อมรู้สึกสะอาดสดชื่น และเมื่อเราเดินออกจากห้องที่อึดอัดปิดล้อม เราย่อมดื่มด่ำในอากาศสดชื่นที่พรั่งพรูเข้ามา เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเศษเสี้ยววินาที แต่มันล้วนเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงของความดีงาม มันอุบัติขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่โดยปรกติแล้วเรากลับไม่ใส่ใจ ถึอว่าเป็นเพียงสิ่งดาษ ๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ทว่าตามหลัการชัมบาลาแลัว กลับถึอว่าจำเป็นยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงและหยิบฉวยชั่วขณะเหล่านั้นไว้ ด้วยว่ามันแสดงออกถึงรากฐานแห่งอหิงสาและความสดใสใหม่ในชีวิตของเรา ซึ่งก็คือรากฐานแห่งความดีงามนั่นเอง


    ..... มนุษย์ทุกคนมีรากฐานแห่งธรรมชาติอันดีงามนี้อยู่ มันเป็นสิ่งที่เข้มข้นและชัดเจนยิ่ง ความดีงามนั้นบรรจุไว้ด้วยความอ่อนโยนและความละเอียดอย่างล้นเหลือ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราอาจร่วมเพศทั้งอาจสัมผัสใครอย่างอ่อนโยน เราอาจจุมพิตใครบางคนด้วยความรู้สึกเข้าอกเข้าใจอันละเอียดอ่อน เราอาจดื่มด่ำซาบซึ้งในความงาม อาจเห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้ เราอาจชื่นชมในความสดใสกระจ่างของสีสันต่างๆ ในความเหลืองใสของสีเหลือง ในความแดงจ้าของสีแดง ในความเขียวสดของสีเขียวและในความม่วงเข้มของสีม่วง ประสบการณ์ของเราล้วนจริงจังยิ่ง ในเมื่อสีเหลืองเป็นสีเหลือง เราจะสามารถบอกได้หรือว่ามันเป็นสีแดง เพียงเพราะว่าไม่ชอบความเหลืองของมัน ถ้าทำดังนั้นก็เท่ากับบิดเบือนความจริง เมื่อเรามีแดดสว่างสดใสเราจะปฎิเสธมันโดยการกล่าวว่าแดดนั้นเป็นสิ่งเลวได้ละหรือ คิดหรือว่าเราจะสามารถพูดดังนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีแดดส่องสว่างหรือมีหิมะตก เราทำได้ก็แต่เพียงตระหนักซึ้งถึงคุณค่าของมัน เมื่อเราตระหนักและยอมรับได้ถึงความจริง สิ่งนั้นย่อมส่งผลถึงตัวเราด้วย เราอาจต้องลุกขึ้นมาในยามเช้าหลังจากได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าหากเรามองออกไปนอกหน้าต่างและได้เห็นดวงอาทิตย์ฉายแสงสิ่งที่เห็นอาจช่วยให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้น เราอาจเยียวยาตนเองให้หายจากความรู้สึกกดดันต่างๆ ได้ ถ้าเราตระหนักว่าโลกของเรานี้ดีงาม



    ..... การที่ว่าโลกนี้ดีงาม มิใช่เป็นเพียงความคิดอย่างผิวเผิน ทว่ามันดีเพราะเหตุที่เราสามารถสัมผัสถึงความดีงามของมัน เราอาจสัมผัสได้ว่าโลกของเรานี้สมบูรณ์และเที่ยงตรง ตรงไปตรงมาและจริงยิ่ง ด้วยเหตุว่าธรรมชาติพื้นฐานของเราดำเนินร่วมไปกับความดีงามของสถานการณ์ศักยภาพของมนุษย์ในเชิงภูมิปัญญา และความสง่างาม ย่อมมุ่งสู่การสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่างของฟากฟ้าสีครามสดใส สู่ความสดฉ่ำของท้องทุ่งเขียวขจี และความงามของแมกไม้และป่าเขาอยู่กับความจริงซึ่งอาจปลุกเราให้ตื่นขึ้นและทำให้เรารู้สึกดี ๆ อย่างแท้จริงญาณทัศนะชัมบาลาจึงมุ่งผสานเข้ากับศักยภาพของเราเพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้น และตระหนักถึงสิ่งดีๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งที่จริงมันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำ


    .... กระนั้นก็ตาม ยังมีสิ่งน่ากังขาอยู่อีก คุณอาจจะสร้างสายใยเชื่อมโยงอย่างวิเศษกับโลกของคุณได้ คุณอาจแลเห็นแสงแดดส่องสว่าง เห็นสีสันอันสดใส ได้ยินดนตรีอันไพเราะ ได้กินอาหารรสดีหรืออะไรก็ตามแต่ทว่าการและเห็นชั่วแวบถึงความดีงามเหล่านั้น จะสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องอยู่อย่างไรเล่า โดยนัยหนึ่ง คุณอาจรู้สึกว่า "ฉันต้องการจะได้ความดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวฉันและในโลกแห่งปรากฎการณ์นั้นมา" ดังนั้น คุณจึงวิ่งพล่านเที่ยวเสาะหาหนทางทีจะครอบครองมันไว้ หรือหยาบยิ่งไปกว่านั้น คุณอาจจะพูดว่า "ถ้าอยากได้ จะขายเท่าไร ประสบการณ์นั้นงดงามมาก ฉันอยากจะได้มันไว้" ปัญหาของวิธีการชนิดนี้ก็คือ คุณจะไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะได้สิ่งที่ต้องการมา เพราะว่าคุณก็ยังคงมีความอยากอย่างรุนแรงอยู่นั่นเอง ถ้าคุณลองเดินไปตามถนนสายที่ห้า คุณจะเห็นเรื่องน่าเศร้าใจทำนองนี้ คุณอาจจะกล่าวว่าผู้คนที่เดินซื้อของอยู่ตามถนนสายที่ห้า ล้วนเป็นผู้มีรสนิยม ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสที่จะตระหนักได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ แต่อีกนัยหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าคนเหล่านั้นห่มคลุมอยู่ด้วยหนาม เขาต้องการจะหยิบฉวยมาครอบครองไว้ให้ได้มากขึ้นๆ

    ...... และแล้ว ก็ยังมีวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการยอมหมอบราบคาบแก้ว หรือการน้อมตนลงเพื่อเข้าถึงความดีงามชนิดนั้น มีใครบางคนบอกว่า เขาอาจทำให้คุณมีความสุขได้ ถ้าคุณจะเพียงแต่มอบชีวิตให้เขาจัดการ ถ้าหากคุณเชื่อเขาก็จะมอบความดีงามที่คุณต้องการให้ คุณอาจจะเต็มใจยอมโกนหัวหรือนุ่งห่มจีวรหรือกระทั่งยอมคลานบนพื้นหรือกินอาหารด้วยมือด้วยหวังจะเข้าถึงความดีงาม คุณพร้อมที่จะแลกด้วยศักดิ์ศรีของตนเองและยอมตนเป็นทาส


    ..... สภาพการณ์ทั้งสองอย่างล้วนเป็นความพยายามเพื่อจะเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามและจริงแท้ ถ้าคุณร่ำรวย คุณคงพร้อมที่จะเสียเงินมากมายเพื่อให้ได้มา หรือถ้าหากคุณจน คุณก็คงพร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อมันแต่ทว่าวิธีการทั้งสองนั้นล้วนผิดพลาด


    ...... สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อเราเริ่มประจักษ์แจ้งถึงศักยภาพแห่งความดีงามในตนเอง เรามักจะถือเอาการค้นพบนี้เป็นจริงเป็นจังเกินไป เราอาจจะฆ่ากันเพื่อความดีงาม แม้กระทั่งยอมตายเพื่อความดีงาม เราปรารถนามันอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สิ่งที่เราขาดก็คือ อารมณ์ขันในที่นี้มิได้หมายถึงการเล่าเรื่องขำขัน หรือเป็นคนตลก หรือเที่ยววิพากษ์วิจารณ์คนอื่นและหัวเราะเยาะ อารมณ์ขันที่แท้จริงนั้นคือ การสัมผัสอย่างแผ่วเบา มิใช่การปฎิเสธความจริงโดยสิ้นเชิง หากแต่หมายถึงการชื่นชมในความจริง ด้วยอาการอันนุ่มนวลแผ่วเบา รากฐานของญาณทัศนะชัมบาลาก็คือการค้นให้พบถึงอารมณ์ขันอันสมบูรณ์และจริงแท้ ค้นให้พบถึงสัมผัสแผ่วเบาของความชื่นชมนั้น

    ..... ถ้าคุณลองมองดูตัวเอง ลองมองดูจิตใจมองดูกิจกรรมของตนเองคุณอาจจะได้อารมณ์ขัน ซึ่งสูญหายไปในอดีตกลับคืนมา จุดเริ่มต้นก็คือ คุณจะต้องเฝ้าดูความจริงอันธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นส้อมจาน โทรศัพท์ เครื่องล้างจานหรือผ้าเข็ดตัว เฝ้าดูเจ้าสิ่งสามัญเหล่านี้แหละ มันไม่มีอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนหรือ แปลกประหลาดหรอก แต่ถ้าหากไม่มีจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวคุณกับเหตุการณ์ธรรมดาสามัญในชีวิตเหล่านั้น ถ้าคุณไม่ได้เฝ้าดูวิถีชีวิตอันต่ำต้อยสามัญนี้แล้ว คุณจะไม่มีวันได้ค้นพบอารมณ์ขัน หรือศักดิ์ศรี หรือแม้แต่ความจริงใด ๆ เลย

    ..... ไม่ว่าจะเป็นการหวีผม การแต่งตัว การล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งสติสัมปชัญญะ มันล้วนเป็นหนทางที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความจริง แน่นอน ส้อมก็คือส้อม คือเครื่องมือพื้น ๆ สำหรับใช้ในการกิน แต่ในขณะเดียวกัน ในการขยายปริมณฑลของสติสัมปชัญญะให้กว้างไกลออกไป อาจจะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ส้อมอย่างไรด้วย พูดง่ายๆ ก็คือญาณทัศนะชัมบาลานั้นก็คือความพยายามที่จะกระตุ้นคุณให้ประจักษ์ว่าคุณมีชีวิตอยู่อย่างไร มีความสัมพันธ์กับชีวิตสามัญอย่างไร

    ..... ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสถาวะที่ตื่นอยู่เป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ด้วย เรามิใช่ทาสของชีวิต หากเป็นอิสระ การเป็นอิสระในที่นี้มีความหมายง่าย ๆ ว่าเรามีร่างกายและจิตใจ ดังนั้นเราจึงสามารถยกระดับตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถกระทำการร่วมกับความจริงอย่างสง่างามและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่มันก็มิได้เยาะเย้ยเรา เราจะพบว่าในที่สุดเราจะสามารถจัดการกับโลกของเรา จัดการกับจักรวาลของเราอย่างเหมาะสม และเต็มเปี่ยมด้วยอาการอันแยบยล

    ...... การค้นพบถึงความดีงามรากฐานนี้มิใช่ประสบการณ์ทางศาสนาโดยเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็นการประจักษ์ว่าเราสามารถสัมผัสและกระทำการร่วมกับความจริงได้โดยตรง คือโลกที่เป็นจริงซึ่งเรามีชีวิตอยู่นั้นเอง การสัมผัสได้ถึงความดีงามรากฐานในชีวิตของเรา ย่อมทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้มีสติปัญญาและใช้การได้ ทั้งโลกนี้ก็มิใช่ศัตรูของเรา เมื่อเรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานั้นดีงามและถูกทำนองคลองธรรม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเอง หรือลวงคนอื่นอีกต่อไป เราอาจและดูชีวิตอันแสนสั้นนี้โดยไม่รู้สึกผิดหรือไร้ค่า และขณะเดียวกันก็อาจแลเห็นถึงศักยภาพที่จะแผ่ขยายความดีงามออกไปยังผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็มั่นคงยิ่ง

    ..... แก่นแท้ของความเป็นนักรบหรือแก่นแท้แห่งความกล้าหาญของมนุษย์นั้น ย่อมไม่ยอมสยบพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เราไม่มีวันพูดว่าเรากำลังจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เราไม่อาจพูดว่าคนอื่นก็จะต้องเป็นเช่นนั้น และโลกด้วยเช่นกัน ชั่วชีวิตของเราอาจจะมีปัญหาอันหนักหน่วงมากมายในโลก แต่ขอให้เรามั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีความหายนะใด ๆ อุบัติขึ้น เราอาจป้องกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา อย่างน้อยที่สุดเราอาจช่วยโลกให้รอดจากหายนะ ญาณทัศนะชัมบาลามีอยู่เพื่อสิ่งนี้ มันเป็นอุดมคติเก่าแก่ที่มีมานานนับศตวรรษ นั่นคือ โดยการรับใช้โลกนี้ เราก็อาจช่วยมันให้รอด แต่การช่วยให้รอดก็ยังไม่เพียงพอ เรายังจะต้องกระทำการเพื่อสร้างสังคมมนุษย์ที่เป็นอริยะขึ้นมาด้วย

    ..... ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังจะพูดถึงรากฐานแห่งสังคมอริยะและหนทางที่นำไปสู่ แทนที่จะมามัวพูดถึงสังคมอุดมคติว่าควรจะเป็นเช่นไร ถ้าเราปรารถนาจะช่วยโลกให้รอด เราจะต้องก้าวเดินไปด้วยตัวเอง แทนที่จะมาขบคิดถึงแต่ทฤษฎีหรือคาดเดาถึง จุดหมายปลายทาง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนว่าจะสร้าง ค้นหาความหมายของสังคมอริยะได้อย่างไรและจะบรรลุถึงได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพียงมุ่งหวังว่าการนำเสนอซึ่งวิถีแห่งนักรับของชัมบาลานี้ อาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนให้เกิดการค้นพบได้อีกโสดหนึ่ง

    [​IMG]

    โดยคุณมดเอ๊ก http://www.sookjai.com/index.php?topic=3225.0
     

แชร์หน้านี้

Loading...