ข้าราชบริพาร ทหารในพระปิยมหาราชรายงานตัวกันหน่อยครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Natthakorn, 12 มกราคม 2010.

  1. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ครั้นเมื่อท่านมีอายุได้ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ท่านมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า

    "..ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ ...คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก..."

    ครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอมสดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณคือ การเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ
    บทเพลง นางร้องไห้ มีอยู่ทั้งหมด ๕ บท ดังนี้

    ๑ พระร่มโพธิ์ทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย
    พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
    ๒ พระเสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นใด ละข้าพระบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย
    พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
    ๓ พระยอดฟ้า พระสุเมรุทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย
    พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
    ๔ พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไป พระพุทธเจ้าข้าเอย
    ๕ พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
    พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
     
  2. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    เพลงถวายพระเกียรติรัชกาลที่ 5

    เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า<WBR>อยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นั้น นายปอล ลิงส์เก (Paul Linkle) นายแตรกองทหารราบชาวเยอรมัน ได้แต่งเพลงถวายพระเกียรติ ณ เมืองคัสเซล เยอรมัน เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ โดยเป็นเวลาที่พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำ<WBR>เนินไปยังพระราชวังวิลเลียมเฮอร์และได้ทร<WBR>งร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำกับราชวงศ์ชั้นสูง<WBR>ฝ่ายเยอรมัน และนายแตร ปอล ลิงส์เก ก็เริ่มบรรเลงบทเพลงถวายพระเกียรติพระองค์<WBR>ท่านในชื่อเพลงSiamesische Wacht Parade หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Siamese Patrol และชื่อเพลงนี้เป็นชื่อพระราชทานนามโดยสมเ<WBR>ด็จพระเจ้าเอมเปอเรอของเยอรมันด้วย

    สำหรับการบันทึกเสียงเพลงนี้ มิสเตอร์โทมัส อัลวา เอดิสัน (Edison) นักประดิษฐ์เครื่องเล่นกระบอกเสียง ได้นำเพลงดังกล่าวบันทึกลงกระบอกเสียงชนิด<WBR>สีดำ รหัสกระบอก 9661

    ส่วนสมุดโน้ตเพลงหรือ Music Sheet นั้น หน้าปกได้ถูกวาดเป็นรูปกองดุริยางค์ทหารสย<WBR>ามขณะเดินสวนสนาม ส่วนฉากหลังเป็นพระบรมมหาราชวังและหอนาฬิก<WBR>าหลวง ส่วนข้อความด้านบนสุดของสมุดโน้ตนี้ได้ตีพิ<WBR>มพ์เป็นภาษาเยอรมันว่าไว้ว่า Senier Majestat Tschulalongkorn Konig bon Siam chrfurchtsuoll gweidmet และภาษาอังกฤษคือ Respectfully Decicated to the King of Siam


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jSqgtolaRPU]YouTube - เพลงถวายพระเกียรติ รัชกาลที่ 5[/ame]

    ความรู้เล็กๆ น้อยๆ เอามาฝากกันจ้า:cool:
     
  3. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ได้ความรู้ เพลงเพราะ ชอบจังครับ ขอบพระคุณทุกท่านนะครับ^^:cool:
     
  4. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: right"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>

    รัชกาลที่ 5 กับบิสมาร์กในเยอรมนี
    ภาพจากหนังสือพิมพ์ L'ILLUSTRATION
    ฉบับวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.1897

    (จากหนังสือ "สยามกู้อิสรภาพตนเองฯ"
    โดยสำนักพิมพ์ "มติชน")​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    วัง สวนสุนันทา

    วัง สวนสุนันทา

    สร้างในสมัย : รัชกาลที่ 5

    เขตพระราชฐานต่างๆ ที่อยู่ในเขตดุสิตนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มักจะทรงโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ ซึ่งก็มีอยู่หลายแห่ง อาทิ พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระราชอุทยานสวนสุนันทา เป็นต้น และนอกจากนั้นแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระราชบุตร พระราชธิดา รวมทั้งเจ้านายฝ่ายในอีกด้วย
    ที่พระราชอุทยานสวนสุนันทา ซึ่งเป็นพระราชอุทยานที่รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จมาประทับ ณ ที่นี่ เพื่อทรงพักผ่อนพระอิริยาบทอยู่บ่อยครั้งนั้น พระองค์โปรดฯ ให้สร้างขึ้นด้านหลังพระที่นั่งอัมพรสถาน ในปี พ.ศ.2451 โดยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายใน ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว อีกทั้งยังทรงโปรดฯ ให้เจ้าจอมที่มีพระราชธิดา รวมทั้งเจ้าจอมที่ไม่มีทายาทเข้ามาประทับอยู่ ณ ตำหนักต่างๆ ที่ทรงโปรดฯ ให้จัดสร้างขึ้นใกล้ๆ กันทั่วพระราชอุทยาน จากนั้นจึงทรงพระราชทานนามว่า สวนสุนันทา ตามพระนามของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ขึ้นเป็นที่ระลึกภายหลังจากที่พระบรมราชเทวีพระองค์นี้เสด็จสวรรคต เนื่องจากเรือล่มในระหว่างทางเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบางปะอิน ซึ่งและการสร้างพระราชอุทยานนี้ก็สร้างไม่เสร็จในแผ่นดินของพระองค์จริงๆ เพราะหลังจากนั้น 2 ปี พระองค์ก็เสด็จสู่สวรรคาลัย ราชอุทยานแห่งนี้ จึงมีแต่เพียงประตู ที่สร้างจากถนน บ๋วยในพระราชวังดุสิต ตัดเชื่อมมายังสวนสุนันทานี้เท่านั้น
    ครั้นเข้าสู่รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้ายู่หัว พระองค์ทรงพระราชทานนามประตูนี้ว่า ประตูสุนันทาทวาร จากนั้นจึงทรงสืบพระราชดำริต่อจากรัชกาลที่ 5 ด้วยการสร้างพระราชอุทยานนี้จนแล้วเสร็จ นอกจากนั้นแล้ว รัชกาลที่ 6 ยังโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งนงคราญสโมสร ขึ้นเป็นท้องพระโรงเพื่อใช้ในการบำเพ็ญกุศลขึ้นด้วย
    กาลล่วงเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงที่มีความผันผวนทางการเมืองสูง สวนสุนันทา นี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 พระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งข้าราชสำนักทั้งหลาย ก็เสด็จแยกย้ายออกมาประทับอยู่นอกสวนสุนันทา บ้างก็เสด็จออกนอกประเทศ ทำให้ราชอุทยานแห่งนี้ถูกทิ้งโทรมอยู่นานหลายปี มาจนกระทั่งรัชกาลปัจจุบันที่ประเทศเริ่มเข้าที่มากขึ้น พระราชอุทยาน สวนสุนันทาจึงได้ถูกปรับให้เป็นสถานที่ราชการ และสถาบันการศึกษา โดยสมบัติทุกอย่างยังคงเป็นของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่


    [​IMG]

    ตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในวังสวนสุนันทา

    [​IMG]

    พระราชฐานสวนสุนันทา


    "...สมเป็นสวนสวรรค์สำหรับเหล่าสนมกำนัล มีสุมทุมพุ่มไม้ คลองเกาะแอ่งน้ำใหญ่น้อย มีต้นไม้นานาชนิด ไม้ดอกไม้ใบและไม้เถา อย่างหาที่อื่นไม่มี เพราะพระมเหสี เจ้าจอมหม่อมห้ามล้วนเสาะแสวงหามาประดับ ตอนเช้ามืดดอกไม้หอมรื่นไปทั่ว ทุกฤดูดอกไม้บานสลับกันไปตลอดปี กรรณิการ์หล่นเกลื่อนตามพื้นดิน ยามรุ่งอรุณกลิ่นสายหยุด มณฑาโชยมาตามลมปลุกคนให้ตื่นแต่เช้าด้วยความชื่นบาน วิ่งแข่งกันไปเก็บดอกไม้..."


    [​IMG]

    พระราชฐานสวนสุนันทา สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่มีพระราชประสงค์จะให้สร้างพระราชฐานที่ประทับสำหรับพระมเหสีเทวี พระราชธิดา และเจ้าจอมพระสนม ภายหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่การณ์ก็ยังมิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชโอรสจึงทรงรับพระราชภาระในการสร้างพระราชฐานแห่งนี้สืบต่อจากพระราชบิดา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างพระตำหนักต่างๆ รวม 32 ตำหนัก และพระยาประชากรวิจารณ์ (โอ อมาตยกุล) เป็นผู้ควบคุมงาน การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2462

    [​IMG]


    อาณาเขตสวนสุนันทา มีเนื้อที่ 122 ไร่ มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง พื้นที่ตกแต่งเป็นโขดเขาคูคลอง มีสวนพฤกษชาติและตำหนักเรียงรายทั่วไปรอบสระน้ำ แต่ละตำหนักจะมีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างก็สุดแล้วแต่ว่าเป็นตำหนักของเจ้านายพระองค์ใด หากเป็นตำหนักของพระมเหสีและสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดา ก็มักจะอยู่ทางด้านทิศใต้ใกล้กับสระน้ำ เป็นตำหนักที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีการปลูกสร้างอาคารสำหรับให้กับบรรดาผู้ที่ห้องล้อมพระเกียรติยศได้อยู่อาศัยด้วย แต่หากเป็นตำหนักที่ประทับของพระราชธิดาชั้นรองลงมา หรือเรือนของเหล่าเจ้าจอมพระสนม และข้าราชสำนักฝ่ายใน ตัวตำหนักก็จะมีขนาดย่อมลงมาพอให้ใช้เป็นที่ประทับได้อย่างสมพระเกียรติ โดยมากจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกตลอดไปจนถึงทางด้านทิศเหนือตามแนวกำแพงวัง

    [​IMG]

    พระตำหนักสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระพันวัสสา)

    สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ถือว่าทรงเป็นเจ้านายที่มีพระอิสริยยศสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาเจ้านายฝ่ายในทั้งหมดที่มีตำหนักที่ประทับในสวนสุนันทา เพราะทรงเคยดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 มาแล้ว และแม้ต่อมาภายหลังจะได้ทรงลดฐานะมาเป็นเพียงพระมเหสีรอง แต่ก็ทรงเป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ มาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีฐานะเป็นสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า เพราะทรงมีศักดิ์เป็นเชษฐภคนีร่วมพระมารดาเดียวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยิ่งต่อมาได้ทรงดำรงฐานะประธานของพระราชวงศ์ฝ่ายในเมื่อสมเด็จพระพันปีหลวงได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระอิสริยยศพระอิสริยศักดิ์ของพระองค์ก็ได้เพิ่มพูนเป็นลำดับ จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า

    อย่างไรก็ตามแม้จะทรงมีตำหนักในสวนสุนันทา แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้เสด็จมาประทับยังพระราชฐานแห่งนี้ เพราะในระหว่างที่การก่อสร้างสวนสุนันทายังไม่แล้วเสร็จ ในปี 2459 พระองค์ได้โปรดให้สร้างพระตำหนักของพระองค์ขึ้นในที่ดินของพระราชโอรสบริเวณตำบลปทุมวัง ติดกับคลองแสนแสบ (ปัจจุบันคือ "วังสระปทุม") และได้เสด็จ ไปประทับยังพระตำหนักแห่งใหม่นี้เป็นการถาวร ดังนั้นเมื่อพระตำหนักในสวนสุนันทาสร้างเสร็จจึงไม่ได้เสด็จเข้ามาประทับ จนกระทั่งในปี 2460 หลังจากเหตุการณน้ำท่วมพระนครครั้งใหญ่ปีมะเส็ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พระราชธิดาบุญธรรมทั้ง 3 พระองค์ ย้ายจากสวนดุสิตเข้ามาประทับที่พระตำหนักของพระองค์ในสวนสุนันทาแทน เพราะเนื่องจากตำหนักนี้เป็นตำหนักขนาดใหญ่จึงสามารถจัดเป็นสัดส่วนให้เจ้านายทั้ง 3 พระองค์ประทับอยู่อย่างสุขสบายกว่าพระตำหนักสวนหงส์ ในสวนดุสิต โดยพระตำนักนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีประตูเชื่อมถึงกัน แต่โดยมากจะปิดไว้


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  6. winten

    winten Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +47
    พระราชพิธีพิรุณศาสตร์อย่างน้อย ที่เมืองเพชรบุรี

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีพิรุณศาสตร์อย่างน้อย ในที่ประทับแรมที่บ้านปืนเมืองเพชรบุรี
    ตั้งแต่วันที่ 23-30 สิงหาคม ร.ศ. 129 รวม 8 วัน เนื่องจากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล

    เจ้าพนักงานจัดพลับพลาน้อยสำหรับประทับทอดพระเนตรงาน เป็นโรงพระราชพิธี ราชวัตร
    ผูกฉัตรกระดาษแลต้นกล้วย ต้นอ้อย 4 ด้าน วงสายสิญจน์สูตรโดยรอบ ตั้งเกยกลางแจ้ง
    ด้านตะวันออกต่อกับพลับพลา มีม้าทองประดิษฐาน พระคันธารราษฎร์เงินองค์เล็ก
    และพระบัวเข็มองค์ใหญ่ที่พระครูวัฒนเดชาคมถวาย ตั้งเครื่องนมัสการ กระบะถม และพระแท่นทรงกราบ
    ที่เคยมีธูปเทียนตามกำลังวัน แลดอกไม้สีประจำวัน มีเทียนใหญ่ 2 เล่ม เทียนพานมหาดเล็ก 2 เล่ม
    เริ่มตั้งพระราชพิธีตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ร.ศ. 129 เป็นต้นไป

    พระพุทธรูปคันธารราษฎร์ ชาวบ้านเรียกว่า พระปางขอฝน สร้างเป็นพระนั่งก็มี
    เป็นพระยืนก็มี พระหัตถ์ขวายกขึ้นลักษณะตั้งศอกเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายรอรับน้ำฝน

    พระคันธารราษฎร์เมืองเพชรบุรีองค์ที่งามอยู่ในเลขต้นๆ อยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม
    เป็นพระพุทธรูปนั่ง สมัยอยุธยา

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้นำไปรักษาไว้เพื่อเป็นต้นแบบสร้างองค์ต่อไป
    แต่ครั้งยังทรงผนวชอยู่ เมื่อทรงลาสิกขาขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงาน
    นำกลับมาคืนให้วัดใหญ่ตามเดิม

    พระบัวเข็ม หรือพระอุปคุต คตินิยมทางมหายานถือว่ามีอิทธิฤทธิ์ สถิตย์อยู่ใต้สมุทร
    นิยมสร้างให้ติดกับหอยก็มี พม่าเรียกว่า พระบัวเข็ม ไทยเรียกว่า พระอุปคุต

    พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันละ 5 รูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก
    ทรงจุดเทียน ทรงพระสุหร่ายแลทรงเจิมพระคันธารราษฎร์ แลพระบัวเข็มแล้ว
    พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ โหรบูชาเทวดาจบแล้ว มีหมากพูล ธูปเทียน
    ใบชา แลปัจจัย มูลบูชารูปละบาทหนึ่ง ถวายพระสงฆ์เหมือนกันทุกๆ วัน

    ในวันที่ 30 สิงหาคม พระครูสุวรรณมุนีนำ แลได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
    ให้งดเสียในวันต่อไปเสีย เนื่องจากฝนตกมากแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ได้ทรงเล่าเรื่องพิรุณศาสตร์อย่างน้อย ในวันที่ 28 สิงหาคม ร.ศ. 129
    ประทานเจ้าพระยายมราช ตอนหนึ่งว่า "...วันนี้ฝนตกที่นี่มาถึงสามทอดใหญ่
    จะว่าขลังก็ได้ ทุกๆ วันมาสวดคาถาได้ไม่เต็ม เพราะพึ่งเล่าเติมขึ้นวันละน้อยๆ
    วันนี้เป็นวันสวดได้ครบตลอดคาถา เวรพระครูวัดศาลาเขื่อนถึงสัตตาหะ ลงมา
    แลตั้งอกตั้งใจซีเรียสมาก ขึ้นภควาทีหนึ่งยกมือท่วมหัวทุกๆ จบ พอจุดเทียนแล้ว
    เที่ยวเดินดูงานจนกลับมาพลับพลา พอขึ้นถึงพลับพลา ฝนตกซ่า" และได้ทรงเล่าอีกว่า
    "...ในวันที่ 24 สิงหาคม ร.ศ. 129 ได้รับโทรเลขบอกข่าวฝน อยากเป็นความจริงๆ
    ฝนขอที่นี่ ตกให้ที่นี่แต่น้อยมาชิงเอาไปตกเสียที่บางกอก แต่เป็นที่ยินดีที่จะกล่าวว่า พิธีไม่เก้อ"

    จาก: หนังสือที่ระลึก งานถวายพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
    23 ตุลาคม 2545
     
  7. khungrai

    khungrai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +64
    เป็นหนึ่งในชมรมคนรักเสด็จพ่อปิยะมหาราช เพราะที่บ้านแม่บูชาพระองค์ท่านอยู่เช่นกัน แต่ก็ไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ท่านไม่ทรงโปรดน้ำจันท์ ขอบคุณนะคะที่ให้ความรู้เพิ่มเติม อนุโมทนาสาธุนะคะ
     
  8. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107


    พระราชชายา เจ้าดารารัศมี



    [​IMG]


    ในจำนวนเจ้าจอมมารดา ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มีอยู่มากด้วยกัน แต่ผู้ที่ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษและเป็นผู้ที่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ไมตรีอันดีระหว่างเจ้านายทางเหนือ และเจ้านายของราชวงศ์จักรีให้สนิทสนมด้วยกันแล้ว เจ้านายพระองค์นั้นได้แก่ เจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นผู้มีพระเกียรติสูงพระองค์หนึ่งของเจ้านายฝ่ายเหนือ และได้รับสถาปนาเป็นพระราชชายาในตอนปลายรัชกาลที่ ๕

    พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ ณ คุ้มหลวงเมืองนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยในปัจจุบันนี้ พระองค์เป็นพระธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ และเจ้าแม่ทิพเกสร เมื่อยังทรงพระเยาว์นั้นศึกษาอักษรไทยเหนือไทยใต้ ทรงเข้าพระทัยในขนบธรรมเนียมวัตรประเพณีอย่างดียิ่ง

    ครั้น ณ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้ตามพระบิดาลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่ ๕ ณ กรุงเทพฯ จึงได้อยู่รับราชการฉลองพระเดชพระคุณฝ่ายในเป็นเจ้าจอม สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชเป็นการรับรองในครั้งนี้ด้วย และเมื่อประสูติพระราชธิดา คือพระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี แล้ว โปรดเกล้าฯให้เป็นพระสนมเอก

    ตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อพระองค์เสด็จไปเยี่ยมนครเชียงใหม่เป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระราชชายา”

    เจ้าดารารัศมีทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอย่างดีตลอดมา นอกเหนือไปจากนั้นก็ยังทรงสนิทสนมกับพระบรมวงศ์เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์จักรีอีกหลายพระองค์ เป็นที่รักใคร่ในประดาเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมอื่นๆ ตลอดจนกระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยทั่วไปด้วยพระอัธยาศัยละมุนละม่อม เต็มไปด้วยไมตรีต่อบุคคลทั่วไปนั่นเอง ซึ่งช่วยให้ความสัมพันธ์อันดีงาม และเชื่อมโยงระหว่างทางกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ให้ใกล้ชิดต่อกันโดยปริยาย

    เจ้าดารารัศมีมีพระวรกายค่อนข้างสูง วงพักตร์อันงดงามนั้นแย้มสรวลอยู่เนืองนิตย์ เมื่อดำรงตำแหน่งพระสนมเอก และประทับอยู่ในวังดุสิตนั้น ทรงไว้พระเกศายาว ปรากฏว่าพระเกศาของพระองค์เมื่อปล่อยแล้วจะสยายยาวถึงข้อพระบาททีเดียว ทรงเกล้าตามแบบฉบับเมืองเหนือ และรักษาประเพณีการแต่งพระองค์ไว้อย่างเคร่งครัด จึงทรงฉลองพระองค์ตามแบบเจ้านายฝ่ายเหนือทุกประการ บรรดาพวกข้าหลวงที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองเหนือ คงแต่งกายตามแบบชาวเชียงใหม่ กล่าวคือนุ่งซิ่นและไว้ผมยาวเกล้ามวย

    [​IMG]

    การแบ่งลำดับชั้นของเจ้าจอมนั้น ได้จักไว้ดังนี้ เช่นเจ้าจอมซึ่งทรงเลือกไว้ใช้ใกล้ชิดประจำพระองค์ เมื่อได้รับพระราชทานหีบหมากทองคำจะมีศักดิ์เป็น “เจ้าจอม” ส่วนชั้นสูงขึ้นไปอีกคือชั้น “เจ้าจอมมารดา” ซึ่งทรงพระเมตตายกย่องถึงชั้น “พระสนม” ได้พระราชทานหีบทองคำลงยาราชาวดี ส่วนชั้นสูงที่ ๑ ซึ่งเรียกว่า “พระสนมเอก” ได้รับพระราชทานพานทองเพิ่มหีบหมากลงยาราชาวดี เป็นพานหมากมีเครื่องในทองคำ กับกระโถนทองคำ

    มีเรื่องเล่าลือกันว่าพระราชธิดาของพระองค์ คือพระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนสีพี ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้เพียง ๔ พรรษาเท่านั้น ได้ถูกพระพี่เลี้ยงลอบวางยาพิษ เพื่อขโมยเครื่องแต่พระองค์







    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1116372/[/MUSIC]



    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  9. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    หลายชีวิตนั้นจุติมาด้วยมีจุดหมายอันยิ่งใหญ่...สำหรับพระราชชายาเจ้าดารารัศมีนั้น ท่านจุติมาเพื่อการรักษาแผ่นดินทางเหนือ มิให้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ..

    เคยได้อ่านพบว่า พระบิดาของท่านนั้นจะไปฝักใฝ่กับอังกฤษหลายครั้งแล้ว แต่ด้วยเกรงพระทัยว่าพระธิดานั้นเป็นเจ้าจอมของเสด็จพ่อฯ จึงมิกล้าทำการใดๆ ที่จะเป็นการผิดพ้องหมองใจกับฝ่่ายไทย

    ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งนั้น เคยทรงส่งจดหมายลับมาถึงพระธิดา บอกให้รู้ว่า กำลังจะไปเข้ากับฝ่่ายอังกฤษแล้วนะ แต่พระราชชายาท่านกลับทรงนำจดหมายนั้นถวายเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 แล้วตอบกลับไปด้วยพระองค์เองประมาณว่า ถ้าพระบิดาทรงทำเช่นนั้น ก็เตรียมมารับศพของพระองค์ไปได้เลย พระบิดาท่านจึงทรงยุติเรื่องนี้...

    ก็ขอเล่าตามที่รู้ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ ที่แม้จะ "มือมิได้ไกวเปล ดาบมิได้แกว่ง" ก็ทรงมีส่วนในการรักษาแผ่นดินนี้ไว้ได้ โดยที่ต้องเสียสละพระองค์เองอย่างมาก เนื่องจากชีวิตในวัง ในฐานะเจ้าจอมและพระราชชายานั้น ทรงต้องใช้ขันติอย่างมหาศาล ในการอยู่ร่วมกับผู้คนที่คิดในเชิงลบกับพระองค์ท่าน..
     
  10. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210

    อนุโมทนา สาธุ ค่ะคุณพี่ใบไม้แดง
     
  11. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    นึกถึงเรื่องราวสมัยพระสุริโยทัย ตอนพระนางวิสุทธิกษัตริย์ ตรัส กับ บุเรงนอง ก่อนปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง

    โดยส่วนตัวในส่วนของพระมเหสีลง จนถึง พระสนม เจ้าจอม มีความผูกพัน กับ แม่สุนันทา กับ พระชายาเจ้าดารารัสมีและหม่อมสดับ ลดาวัลย์ 3 พระองค์นี้มากกว่าพระองค์อื่นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2010
  12. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    พระราชชายา เจ้าดารารัศมี

    พระองค์เป็นขัตติยะนารี ที่สง่างาม สมศักดิ์ศรี ของแม่ยิงคนเมือง

    ขันติบารมี ของพระองค์ ช่างงดงามและ
    ช่างยิ่งใหญ่ จริงๆค่ะ

    ขอกราบแทบพระบาท เทิดทูน ในพระบารมี
     
  13. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    ขอแก้นิดนึงจ้า...ที่กล่าวถึงนั้นคือ พระเทพกษัตรี นะ ไม่ใช่พระวิสุทธิกษัตรีย์..พระองค์หลังทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจ้า
     
  14. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    พอทราบอยู่ครับ เมื่อคืนก่อนนอนก็มาเอ้ย เราพิมชื่อบุคคลผิดไปแล้ว และก็คิดในใจเดี๋ยวก็คงมีคนแก้เป็นพระนางเทพกษัตรีให้เองหล่ะ วันนี้หลังทําธุระเสร็จ เอ๋ เจอคนแก้ไขข้อมูลให้จริงด้วย สาธุ ครับ
     
  15. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ไว้มีโอกาส เชิญชวนผู้ที่เคารพในเสด็จฯท่าน ไปไหว้พระทำบุญ และกราบเสด็จท่านฯดีไหมครับ
    และขอพรให้กับประเทศชาตและโลกของเรา หาโอกาสว่างๆไปสักครึ่งวัน หรือ หนึ่งวันดีไหมครับ^^
     
  16. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    ดีจ้า...เห็นด้วยอย่างยิ่ง
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    กฎมณเทียรบาลในสมัยโบราณ

    <!--check entry comment -->
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD> กฎมณเทียรบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 184 มาตรา เนื้อหามีความหลากหลาย และภาษที่ใช้เป็นคำโบราณ แต่ยกมาเป็นบ้างมาตราเท่านั้น

    หมวดป้องกันการก่อกบฏ

    มาตราที่ 75 อนึ่งแต่นา 10000 ลงมาถึงนา 1600 แลไปมาหากันถึงเรือนก็ดี ที่สงัดแห่งใด ๆ ก็ดี แลลอบเจรจากันก็ดี แลนั่งในศาลาลูกขุนเจรจากระซิบกัน สองต่อสองก็ดี โทษฟันคอริบเรือน
    มาตราที่ 77 หนึ่งหัวเมืองหนึ่งกัน เจ้าเมืองหนึ่งกัน ไปหาเมืองหนึ่งโทษถึงตาย
    มาตราที่ 78 อนึ่งลูกขุนนา 10000 ถึงนา 800 แลไปคบไปหาพระราชบุตรพระราชนัดดา โทษถึงตาย อนึ่งขุนหมื่นหัวพันผู้ใดท่านมิให้เผื่อใจแก่พระราชกุมารพระราชนัดดาพระราชบุตรีเลีอกช้างดีม้าดีให้นั้นมิได้ ถ้ามีรับสั่งให้แก่ลูกเธอหลานเธอไซ้ ให้พิดทูลร่ำเรียนจึ่งพ้นพระราชอาญา

    หมวดความปลอดภัยในพระราชทรัพย์พระมหากษัตริย์
    มาตราที่ 58 อนึ่งเมื่อเฝ้าพระบาทอยู่นั้น ผู้ใดเจรจากระซิบกันโทษถึงตาย อนึ่งมีผู้แต่งของถวาย ผู้ใดบังอาจช่วยชิงเอาก็ดี ตีด่ากันทำให้แตกหักก็ดี มีผู้ห้ามมิฟังให้ลงโทษ 3 ประการ ๆ หนึ่งให้ตัดนิ้วมือเสียกึ่งหนึ่ง ประการสองให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที ประการสามให้ไหมทวีคูน
    มาตราที่ 59 อนึ่งผู้อยู่ประจำเวนในพระราชวัง ทรัพยสิ่งของแห่งพระเจ้าหัวหาย แลแตกหักเสียประการใดให้ชาวเวนช่วยกันใช้ของท่านตามข้ามากแลน้อย นายเวนเสียสามส่วน บลัดถัดรองเสีย 2 ส่วน ลูกเวนเสียส่วนหนึ่ง
    มาตราที่ 69 อนึ่งผู้ใดทำลูกกุญแจแลเรียนมนต์คุณวุธิวิทยาคมเสดาะประตูวัง และเปิดโขลนทวารเข้าไปในพระราชมณเฑียรสถาน ลักภาสาวใช้กำนัลแลลักพระราชทรัพยให้ลงโทษโดยมหันตโทษแล้วให้ฆ่าเสีย ถ้าทรงพระกรรุณาบให้ฆ่าเสียไซ้ ให้ลงโทษ 5 สถาน โดยพระราชอาญาท่านกล่าวไว้
    มาตราที่ 70 อนึ่งผู้ใดลักเงินทองผ้าผ่อนท่อนแพรผู้คนแลพระราชทรัพยออกไปจากประตูไซ้ ให้ฆ่าผู้ลักแลนายประตูเสียด้วยกัน
    มาตราที่ 137 อนึ่งผู้ร้ายบังอาจ์ลักพระราชทรัพยในวัง ไปซื้อขายกันแต่ในพระราชวัง ให้ตัดตีนตัดมือเสียคงข้อ ถ้าลักออกไปจากพระราชวังให้ฆ่าโจรแลนายประตูเสีย ถ้าธรงพระกรรุณาบให้ฆ่าตีเสียไซ้ ให้ไหมโจรจัตุรคูน ถ้าลักเครื่องสรรพเหตุในพระราวังไป ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนประการใด ท่านให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที ให้ตัดมือเสียแล้วให้เอาของนั้นตั้งไหมทวีคูน แล้วให้ทวนผู้สมคบซื้อขายด้วยลวดหนัง 50 ที แล้วให้ไหมกึ่งโจร

    หมวดว่าด้วยเรื่องวัง
    มาตราที่ 66 ถ้าถีบประตูวัง ให้ตัดตีนเสีย เอามือผลักประตูวังเข้าไปเอง ให้ตีด้วยหวาย 20 ที ถ้าปีนกำแพงวังชั้นนอกให้ตัดตีนเสีย ถ้าปีนกำแพงชั้นในให้ฆ่าเสีย ถ้าถือเครื่องสาตราอาวุธเข้าไปในพระราชวังให้นายประตูถามดู ดี ร้าย ถ้าใช่งานที่จะเอาเข้ามา ให้ตัดมือผู้เอาเข้ามานั้นเสีย ถ้านายประตูมิได้ว่าละให้เอาเข้าไป ให้มีโทษแก่นายประตูดุจนั้น
    อนึ่งไอยการการกระบถปลอมมาต่างเมืองก็ดีแลราชศัตรู และสุนักขม้าโคกระบือแล่นเข้าในพระราชวังถึงหน้าพระที่นั่งก็ดีบนพระโรงก็ดีโทษชาววังถึงตาย ส่วนนายประตูไซ้ให้ควักตาเสีย
    มาตราที่ 67 อนึ่งถ้าคบกันกินเล่าในพระราชวัง ให้ต้มเล่าร้อนตรอกปากแล้วให้จำไว้ อนึ่งผู้ใดเล่นว่าวข้ามพระราชวังก็ดี ซักไม้ค้อนก้อนดินอิดผาข้ามพระราชวังโทษตัดมือ คว่างพระธินั่งโทษถึงตาย อนึ่งใช่บันดาศักดิ์นอนในพระราชวังแลเข้ามานอนไซ้ ให้ตีผู้นอนแลผู้ขอนอนคล 10 ที
    มาตราที่ 139 อนึ่งวิวาทตบตีฟันแทงกัน ให้โลหิตตกในพระราชวังก็ดี แลหญิงสาวใช้ทาษไทผู้ใด คลอด,แท้ง ลูกในพระราชวังก็ดี ท่านให้มันพลีวังท่าน ให้ตั้งโรงพิทธี 4 ประตูใบศรี 4 สำรับ บัด 5 ชั้น 4 อัน ไก่ประตูละคู่ ให้วง ด้าย,คา รอบพระราชวังนิมนพระสงฆสวดพระพุทธมนต์ 3 วัน ให้หาชีพ่อพราหมณซึ่งรู้พลีกรรมมากระทำบวงสรวงตามทำเนียบให้มีระบำรำเต้นพินพาทฆ้องกลองดุริยดลตรีประโคมทัง 4 ประตู ครั้นเสรจ์การพินธีแล้วจึ่งให้เอาไก่นั้นไปปล่อยเสียนอกเมืองให้มันภาสะเดียดจัญไรไภยอุปัทว ไปให้พ้นพนะนครท่าน

    การเข้าวัง
    มาตราที่ 20 อนึ่งในท่อน้ำในสระแก้ว ผู้ใดขี่เรือคฤเรือปทุนกูบแลเรือมีสาตราวุธ แลใส่หมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนั่งมาด้วยกันอนึ่งชเลาะตีด่ากัน ร้องเพลงเรือเป่า ปี่,ขลุ่ย สีซอดีดจเข้กระจับปี่ตีโทษทับโห่ร้องนี่นัน อนึ่งพิริยะหมู่แขกของลาวพม่าเมงมอญสุมแสงจีนจามชวานานาประเทษทังปวง แลเข้ามาเดิรในท้ายสนมก็ดี ทังนี้ไอยการขุนสนมห้าม ถ้ามิได้ห้ามปราบเกาะกุมเอามาถึงศาลาให้แก่เจ้าน้ำ แลให้นานาประเทษไปมาในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย
    มาตราที่ 62 อนึ่งผู้ใดเถียงกันในวังเลมิดพระราชอาชาให้ตีด้วยไม้หวาย 50 ที ถ้าด่ากันให้ตีด้วยไม้หวาย 100 ที แล้วจึ่งถามความเชลาะนั้นแลให้ไหมตามกระบิลเมืองท่าน
    มาตราที่ 63 อนึ่งลูกถ้านา 10000 ถึงนา 800 วิวาทชกตีกันในพระราชวังศาลาลูกขุนโทษ 4 สถาน ๆ หนึ่งให้ไหมตรีคูน สถานหนึ่งให้ไหมทวีคูน สถานหนึ่งให้ไหมลาหนึ่ง สถานหนึ่งให้ภาคธรรม์ อนึ่งแต่หัวพันขึ้รไปถึงหัวหมื่นทนายผู้มีบรรดาศักดิ์นา 600 ลงมาถึง 200 ถ้าชกตีกันทำอุบาทขาดเหลือในพระราชวัง ในศาลาลูกขุนไซ้ ลงโทษ 8 สถาน ๆ หนึ่งให้ทวนด้สนลวดหนัง 20 ที สถานหนึ่งให้จำไว้เดือนหนึ่ง สถานหนึ่งให้ถอดเสียจากราชการ สถานหนึ่งให้ไหมจัตรุคูน สถานหนึ่งไหมตรีคูน สถานหนึ่งไหมทวีคูน สถานหนึ่งไหมลา 1 สถานนึ่งให้ภาคธรรม์
    มาตราที่ 64 อนึ่งวิวาทเถียงกันในพระราชวัง ให้จำใส่ขื่อไว้ 3 วันถ้าด่ากันในพระราชวัง ให้ตีด้วยไม้หวาย 50 ที ถ้าชกตีกันปอกเลบมือข้างผู้ตีนั้นเสีย 5 นิ้ว ถ้าจับมีดพร้าอาวุธฟันแทงกันมีบาดเจบไซ้ แลให้ไหมโดยความเมืองท่าน

    การแต่งกายในวัง
    มาตราที่ 74 อนึ่งผู้ใดทัดดอกไม้ แลนุ่งผ้าแดงผ้าชมภูไพรำการะกำหาเชิงมิได้ ห่มผ้านอกเสื้อผ้าเหนบหน้าหิ้วชายลอยชายแลในสนวนประตูสนวนตะพานสนวนในรั้วไก่ในกะลาบาดแลหน้าพระธินั่งประตูทับเรือก็ดีตำหนักก็ดี ฝ่ายเสื้อผ้าไซ้ให้ฉีกเสีย ดอกไม้ไซ้ให้คลุกฝุ่นโพกหัว ตามโทษหนักโทษเบา
    มาตราที่ 83 อนึ่งถ้านุ่งผ้า ปัก ลาย มีเชิงชาย ให้นายประตูนายพระโรงฉีกเสีย
    ว่าด้วยเรื่องนางใน โทษของนางใน และการละเมิดนางในแบบต่างๆ
    มาตราที่ 121 อนึ่งผู้ใดเจรจาด้วยสาวใช้ฝ่ายในในยุดมือถือบ่า ผู้หญิงร้องแรกประกาษหยิกข่วน ให้ศักผู้ชายลงหญ้าช้าง ถ้าผู้หญิงลงด้วยกันให้ทวนด้วยลวดหนัง 20 ที แล้วให้ผจานอย่าให้เข้าวังเลย
    [SIZE=4]มาตราที่ 124 อนึ่งชาวกำนัลแลศรีกำนัลเปนชู้กัน ส่วนชายไซ้ให้ทวน 50 ที ให้ริบราชบาดเอาตัวลงหญ้าช้าง ส่วนหญิงนั้นให้มวนด้วยลวดหนัง 50 ทีแล้วให้สับประจาน ทีหนึ่งให้เอาเปนชาวสดึง ทีหนึ่งให้แก่ ลูกเธอ,หลานเธอ อนึ่งสนมกำนัลคบผู้หญิงหนึ่งทำดูจเปนชู้เมืยกันให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ทีศักคอประจานรอบพระราชวังทีหนึ่งให้ดอาเปนชาวสดึง ทีหนึ่งให้แกพระเจ้าลูกเธอหลานเธอ
    [SIZE=4]มาตราที่ 132 อนึ่งเฝ้าทังปวงใช้หนังสือกาพยโคลงเข้าวัง สื่อชักคบค้านางกำนัลสาวใช้ฝ่ายในโทษถึงตาย
    อนึ่งข้าฝ่ายในคบผู้ชายหมู่นอกใช้หนังสือ กาพยโคลงไปมาโทษถึงตาย

    [SIZE=4][SIZE=5][U]การละเมิดพระสนม[/U][/SIZE]
    มาตราที่ 120 อนึ่งผู้ใดทำชู้ด้วยชแม่สนมให้ฆ่าผู้นั้นเสีย 3 วันจึ่งให้ตาย ส่วนหญิงนั้นให้ฆ่าเสียด้วย
    [SIZE=4]มาตราที่ 123 อนึ่งผู้ใดรับเอาพระสนมออกจากวัง ให้ตักคอริบเรือน ส่วนบุตรภรรยาเอาตัวลงหญ้าช้าง ถ้าแลพระสนมหนีออกจากวังไปทางบกทางเรือก็ดี มีผู้บอกทางให้ไป จับได้ตัวผู้บอกทางมาพิจารณาเปนสัจไซ้ ให้ตักคอริบเรือนผู้บอกทางนั้น ส่วนนางสนมนั้นก็ให้ฆ่าเสีย

    [SIZE=4][SIZE=5][U]การเสด็จของเจ้านายฝ่ายใน[/U][/SIZE]
    มาตราที่ 24 อนึ่งหัว หมื่น,พัน ภูดาษจ่าชาววังบันดาลลงเรือนั้นยังมิถึงที่ประทับแลหยุดเรือประเทียบโทษถึงตาย ถ้าประเทียบเข้าประทับแลเรือประเทียบเข้าติดแล้ว ให้ลงว่ายน้ำขึ้นบก ถ้าอยู่กับเรือโทษฟันคอ อนึ่งถ้าเรือประเทียบล่ม ให้ชาวบ้านว่ายน้ำหนี ถ้าอยู่กับเรือโทษถึงตาย
    [SIZE=4]มาตราที่ 25 ถ้าเรือประเทียบล่มก็ดี ประเทียบตกน้ำก็ดี แลว่ายน้ำอยู่บันดาลตาย ให้ภูดาษแลชาวเรือยื่นเสร้าแลซัดหมากพร้าวให้เกาะตามแตจะเกาะได้ ถ้ามิได้อย่างยึด ถ้ายึดขึ้นให้รอดโทษถึงตาย ถ้าซักหมากพร้าวให้รอดรางวันสิบตำลึงขันทองหนึ่ง ถ้าเรือประเทียบล่มมีผู้อื่นเหน แลซักหมากพร้าวเอาขึ้นให้รอดโทษทวีคูนตายทังโคต
    อนึ่งเรือประเทียบล่มแลหมากพร้าวเข้าไปริมฝั่ง โทษฟันคอริบเรือน
    [/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE][/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ใครฝันถึงเสด็จฯท่าน ก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ^^
     
  19. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    นั่นนะสินะ..มาเล่าให้ฟังกันบ้าง เคยเห็นคนโพสกระทู้เรื่องฝันถึงเสด็จพ่อในนี้อยู่บ้าง ใครฝันหรือสื่อถึงพระองค์ท่านได้ อย่าลืมมาเล่าให้ฟังนะคะ
     
  20. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    เอาธรรมะที่โพสในอีกกระทู้ขาประจำมาฝาก
    :cool:

    “ทุกข์นั้นมาแต่ไหน ทุกข์ก็มาจากเหตุที่เราเข้าไปเกาะเกี่ยวในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง หนทางที่จะดับทุกข์ได้ก็คือการดับที่อารมณ์ โดยการไม่เข้าไปยึดมั่น ถือมั่นในอารมณ์ เรียกว่า การวางอารมณ์”

    :cool:
    <O:p</O:p
    <O:pแสวงหาจนรองเท้าสึก...กลับไม่พบพาน<O:p</O:p
    ยามพบพาน...กลับประสบโดยไม่คาดหมาย…<O:p</O:p
    ตราบใดที่เรายังหา “ใจ” ยังไม่พบ <O:p</O:p
    เมื่อนั้นเราก็ยังคงต้องแสวงหาอยู่ร่ำไป <O:p</O:p
    ตราบใดที่เรายังต้องแสวงหา........<O:p</O:p
    เมื่อนั้น...การเวียนว่ายในวัฏสงสาร<O:p</O:p
    ยังคงปรากฏแก่เราตลอดไป

    สรุปได้ว่า การเดินทางสู่การสิ้นทุกข์หรือพระนิพพานนั้น เราต้องเดินทางกลับสู่ "ใจ" หรือ "จิต" เดิมแท้ของเรา..เป็นการแสวงหาที่ภายใน มิใช่ภายนอกตามสถานที่หรือบุคคลต่างๆ...

    "ใจ" หรือ "จิต" เดิมแท้ของเรา มีสภาพขาวใส บริสุทธิ์ ปราศจากการครอบครองของอารมณ์ใดๆ...เบื้องต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า อารมณ์ทั้งหลาย สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจทั้งหลาย มันไม่ใช่ของเรา..แต่เราทุกคนมักเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นของเรา ตัวเรา เพราะมันอยู่กับใจเรามานานมาก จนเราแยกมันไม่ออกจากใจ

    แต่ขณะเดียวกัน อารมณ์เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องเกิดน่ะแหละ โกรธบ้าง หัวเราะบ้าง แต่ในที่สุด มันก็จะต้องจบสิ้นไปตามหลักไตรลักษณ์หรือตามธรรมชาติ...เมื่อห้ามไม่ได้ ก็ไม่ต้องบังคับใจมัน ขอเพียงแต่ทำความเข้าใจว่า มันก็เป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ..แล้วก็ไม่ต้องไป "ปรุงแต่ง" หรือต่อยอดมันด้วย เช่นว่า "ทำไมเค้าต้องมาทำอย่างนี้กับชั้นด้วย" แล้วก็ บลา บลา บลา...ถ้าอย่างนี้ล่ะ ยาวเลย..แต่หากเราหยุดแค่รู้ ว่าเออ ชั้นโกรธนะ...ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวมันก็หายไปเอง..เค้าเรียกว่า "การวางอารมณ์"

    เมื่อเราหมั่นวางอารมณ์ไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง อารมณ์มันจะแยกจากจิตได้ สติจะตามทันอารมณ์ที่เกิด..ภูมิจิตของเราก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ จนถึงวันหนึ่งที่เราสามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้ของเราโดยบริบูรณ์

    การวางอารมณ์นั้น ท่านไม่ให้ยึดทุกอารมณ์ ไม่ว่าสุข ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ในทางโลก ที่ท่านไม่ให้ยึดสุขนั้น เพราะว่า สุขก็อยู่ในกฎไตรลักษณ์... เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป..วันใดที่สุขดับไปน่ะแหละ เราจะทุกข์ เพราะโหยหาหรือเสียดายสุขที่เคยมี..

    การปฏิบัติธรรมสู่ทางสิ้นทุกข์ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้ ก็สรุปรวมความได้ดั่งนี้แล...

    catt1
     

แชร์หน้านี้

Loading...