วิญญาณ คุณหลวง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 12 สิงหาคม 2010.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <center></center>
    ณ แดนอัศจรรย์ ดวงจิตวิญญาณต่างๆ ที่กำลังรอไปเกิด ไปจุติตามวิบากแห่งตน กำลังรอผลแห่งกรรมของตนที่ประกอบไว้ในโลกมนุษย์ ได้มาชุมนุมกันอยู่ต่างก็มองดูวิญญาณที่มาใหม่ และมองดูวิญญาณที่กรรมของตนกำลังพาตัวไปรับวิบาก ซึ่งมีการจากและการมาใหม่ทุกนาที
    ดวงวิญญาณดวงหนึ่งได้เอ่ยขึ้นว่า “มาอีกดวงหนึ่งแล้ว มาในร่างเปรตที่มีนแต่ซี่โครง ผอมซีดโซ”
    ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ดูเหมือนจะเคยรู้จักในมนุษยโลก ก็เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนจะเป็นคุณหลวง”
    ทันใดนั้น ดวงวิญญาณของคุณหลวงก็หันมาพบกับดวงวิญญาณทั้งหลายที่ชุมนุมกันอยู่ พลางกล่าวทักกับดวงวิญญาณที่เอ่ยว่าดูเหมือนจะเป็นคุณหลวงว่า
    “ใช่แล้ว เมื่อก่อนมานี้ผมเป็นข้าราชการ มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวง”่
    อีกดวงหนึ่งก็ถามว่า “ทำไมคุณหลวงจึงลงมาในที่นี้ และมีลักษณะอย่างนี้ มีกรรมอะไรในชาติก่อนหรือ?”
    คุณหลวงก็ตอบว่า “ก็เห็นจะต้องมี ถึงได้มาในลักษณะอย่างนี้... เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้น ก็จะเล่าให้ฟัง”
    และแล้วก็เป็นคำสารภาพของวิญญาณดวงนี้ ซึ่งผมจะเล่าให้ๆ คุณผู้อ่านได้ฟังต่อไป แต่ต้องเท้าความกันเสียหน่อยก่อน
    ในประมาณ ปี พ.ศ. 2484-2485 ผมเรียนเตรียมแพทย์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมเรียนวิชาแพทย์ต่อไป ในคณะแพทยศาสตร์ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นอยู่คนหนื่ง เรียนห้องเดียวกันมาตลอดรูปร่างหน้าตาพ่อคนนี้หล่อเหลาเอาการ
    เพื่อนคนนี้ชื่อ สำเริง นามสกุล หอยสังข์ ซึ่งอาจารย์บางท่านเคยเปลี่ยนนามสกุลให้ใหม่ว่า “หอยโข่ง” ในกรณีที่ตอบคำตอบผิดๆ หรือทำอะไรเซ่อๆ ซ่าๆ แถมยังถูกเพื่อนๆ เรียกตามอาจารย์เสียอีกว่า “หอยโข่ง” ส่วนผมสนิทกับเขามาก เลยไม่เรียกอย่างนั้น แต่เรียกเขาว่า “ไอ้หอย” นั้นหมายถึงลิงเช่นลิงวอก ลิงกังแม้ผมจะเรียกเขาอย่างนั้นบ่อยๆ เขาไม่โกรธแถมยังเพิ่มความสนิทสนมากขึ้นอีก
    ปกติ สำเริงเป็นคนเรียบร้อยหน้าตาสะอาดหมดจด คมคาย จึงมักจะถูกเพื่อนกระเซ้าเย้าแหย่บ่อยๆ ว่า เป็น ชิ้นกับคนนี้ คนโน้น ซึ่งคำว่า “ชิ้น” ในสมัยก่อน หมายถึง “คนรัก...คู่รัก”
    เดี๋ยวนี้มักใช้คำว่า แฟน แทน พอพูดถึงแฟน ก็แฟนตามๆ กันไปกลายเป็นคำคำหนึ่งที่ใช้ในภาษาไทย ในความหมาย ของคนรัก หรือสามีภรรยาไป ซึ่งที่จริง แฟน ถ้าเป็นคำนินามก็คือ พัด พัดธรรมดานี่แหละครับแต่ความหมายจริงๆ ของคำนี้ น่าจะเป็นแฟนาติค หรือ แฟนนาติซิซึ่ม ซึ่งหมายความว่า คลั่งไคล้ไหลหลง เพ้อฝันถึง ไม่ใช่แฟนเฉยๆ ซึ่งบางทีฟังแล้วมันขัดหูพิกล เช่น “ฉันอยากให้แฟนมันฉันตายๆ ไปเสียก็จะดี มันเมาวันยังค่ำ” อย่างนี้มันจะเป็นแฟนตามความหมายของเขาได้ยังไงก็ไม่ทราบ
    ในที่สุด ผมและสำเริงก็ข้ามฟากไปเรียนแพทย์ปีที่ 1 ที่ศิริราช
    ตอนหนึ่งในระหว่างเปิดภาคเรียน สมัยนั้นไม่มีการเรียนที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า “เรียนซัมเมอร็” ปิดก็ปิดกันจริงๆ ให้นักเรียนได้พักผ่อนหย่อนใจไปเปิดหูเปิดตาพักสมอง ไม่ต้องมีการมาเสียค่าเรียนซัมเมอร์ให้กับครู แต่ถ้าคนไหนเรียนอ่อนจริงๆ ครูท่านก็จะเรียกไปกวดกันเอง โดยไม่มีการเสียค่าเรียน
    พอถึงตอนปิดภาค สำเริงก็ชวนผมไปค้างที่บ้าน ที่อยุธยาเพราะเขาเป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด บิดา ชื่อ หมื่นคล่องคำนวณการ เป็นข้าราชการบำนาญ บ้านท่านอยู่เลยหัวรอไป ใกล้ๆ กับวังจันทร์เกษมผมอยากไปอยู่แล้ว ก็เลยรีบรับปากทันทีเพราะทุกครั้งที่ไป ก็ไปแต่วัดวงษ์ฆ้องเท่านั้น อื่นๆ ไม่เคยเห็นเลย
    ผมขึ้นรถไฟไปกับสำเริงในเช้าวันหนึ่ง พอถึงอยุธยาก็เข้าบ้าน เขาเลยพาไปพบพ่อแม่พี่น้องของเขาก่อนผมก็กราบไหว้ท่านตามระเบียบ เราได้พักในห้องเดียวกัน คือ ห้องของสำเริง
    พอตื่นเช้าเราก็ไปเที่ยวที่โบราณสถานกัน เช่น พระราชวังโบราณ วังจันทร์เกษม พิพิธภัณฑ์ในพระราชวังโบราณ ซึ่งตอนนั้นมีแต่ต้นพุทราเต็มไปหมด ลูกพุทราหล่นลงมาเรี่ยราดเก็บกินกันได้สบาย
    ผมเพลิดเพลินอยู่กับความเจริญในอดีตทั้งวัน ดูเศษปรักหักพังของปราสาทราชมณเฑียรต่างๆ พร้องกันก็มีความรู้สึกเสียดาย เหมือนๆ กับคุณผู้อ่านที่อ่านถึงตอนนี้
    เราไปกราบบูชาพระมงคลบพิตร ซึ่งถูกเผาลอกเอาทองคำไปเหลือแต่ปูนฉาบไว้ พระพาหาคือ แขนที่ถูกข้าศึกตัดทิ้งไปข้างหนึ่ง ได้รับการต่อเติมเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ ท่านเจ้าคุณโบราณราชธานินทร์เป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลกรุงเก่า แต่ก็ยังมีริ้วรอยแห่งการถูกทำลายอยู่ ส่วน มากก็แสดงถึงความปรักหักพัง เจดีย์ยอดด้วน ฐานเจดีย์กร่อนแหว่งจากการถูกขุด ถูกเจาะหาทรัพย์สมบัติที่อาจจะถูกบรรจุไว้แทบทุกองค์ โดยนักขุดค้นขโมยของโบราณ
    ผมได้เที่ยวดูสิ่งต่างๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจและเสียดายอย่างบอกไม่ถูก จนเย็นเราจึงกลับบ้านพัก
    ท่านหมื่น บิดาของสำเริง ท่านโอภาปราศรัยประหนึ่งผมเป็นบุตรท่าน ท่านถามว่า “อยากจะไปดูอะไรที่ไหนอีก ที่อยุธยามีอะไรๆ ให้ดูแยะ”
    ผมก็เลยเรียนท่านว่า “ผมอยากไปคุยกับหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้องคลองเมืองตอนค่ำๆ” ท่านหมื่นร้อง “อ๋อ” ทันที แต่ก็ประหลาดใจว่า “ทำไมผมจึงรู้จักท่าน”่
    ผมได้เรียนให้ท่านทราบถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับผม ตลอดจนเรื่องที่หลวงพ่อท่านเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอาทิ เรื่องเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ท่านบอกว่าท่านทราบเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็นานมาแล้ว ทั้งนี้เพราะท่านเป็นคนอยุธยาอยู่ที่อุธยามาตั้งแต่เกิด สำเริง บุตรชายท่านก็เหมือนกัน เกิดที่นี่ แล้วก็อยู่ที่นี่มาจนโตเป็นหนุ่ม
    ผมเรียนท่านหมืน บิดาของสำเริงว่า “ผมอยากไปกับท่านตอนกลางคืนหลวงพ่อท่านมีเวลาว่าง จะได้คุยกับท่าน ฟังเรื่องราวประหลาดๆ จากท่านอีก”
    ท่านว่า “ดี”
    ตกลงผมก็ชวนสำเริงไปกราบหลวงพ่อในคืนวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณสองทุ่ม โดยนั่งสามล้อไปเช่นเดิม
    พอไปถึงวัด ก็ต้องตะโกนเรียกเรือหน่อย เพราะค่ำๆ อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครไปวัด ตาคนที่แจวเรือจำได้ ก็ถามว่า “ทำไมวันนี้มาหาหลวงพ่อตอนค่ำๆ”
    ผมก็บอกแกว่า “จะมากราบท่านมาคุยกับท่านพร้อมกับเพื่อนบ้าน เขาอยู่หลังวังจันทร์เกษมนี่เอง ถึงได้มาค่ำๆ อย่างนี้”
    “อ้อ” คำเดียวคือคำตอบจากตาคนแจวเรือ
    สำเริงกับผมก้าวขึ้นบริเวณกุฏิของท่าน ลุนัขเห่าเลียงขรมไปหมด ศิษย์หลวงพ่อรีบออกมาดู พอเห็นผมเข้า เขาก็แสดงความประหลาดใจว่ามาได้อย่างไร ผมเลยรีบบอกเขาเสียก่อนว่า “มาค้างบ้านเพื่อนที่อยุธยานี่ ไม่ได้มาจากกรุงเทพฯ หรอก”
    ว่าแล้วเราก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อที่ห้องนาฟิกา ซึ่งท่านจะนั่งอยู่เป็นประจำ เราไม่กล้ารบกวนเพราะเห็นท่านนั่งหลับตาเฉยอยู่ เราก็เลยต้องนั่งสงบเฉยอยู่ด้วย
    ประมาณเกือบๆ ชั่วโมง ท่านจึงลืมตาขึ้น หันมาทักผมว่า “มานี่ตั้งแต่วานนี้หรือ?”
    เพียงแค่ท่านทักท่านถาม สำเริงถึงกับสะดุ้ง หันมามองหนัาผมซี่งกำลังก้มลงกราบ แล้วนมัสการท่านว่า “ครับผม มาเมื่อวานนี้ พักทีบ้านเพื่อนผมคนนี้ คุณสำเริง ลูกท่านหมื่นคล่องคำนวณการ”
    ท่านก็ร้อง “อ้อ รู้จักกันดี”
    เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สำเริงเรียนแพทยไม่จบ เขาไปมีครัวเรือนในระหว่างที่ศิริราชต้องหยุดการสอนการเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งตอนนั้นสถานีรถไฟบางกอกน้อย ซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราชที่เราเรียน ถูกระเบิดจากฝ่ายพันธมิตรแทบทุกวัน ตึกพยาธิวิทยายังโดนลูกหลงเข้า 1 ลูก พังทลายไป
    ผมก็หยุดเรียนเหมือนกัน แต่ไปช่วยประเทศชาติทางอื่น มหาวิทยาลัยแพทย็ศาลตร์ คณะแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชจึงปิดเรียนไป 2 ปีเต็ม
    ตอนนั้นสำเริงกับผมกำลังเรียนอยู่ที่ศิริราช ปีที่ 1 อีก 3 ปีก็จะจบเป็นแพทย์แล้ว เลยทำให้จบช้าไป 2 ปีเต็มๆ
    ตอนที่กลับมาเรียนนั้น อาคารที่ใช้สอนว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ คือ วิชาพยาธิวิทยานั้น เป็นอาคารชั่วคราว เรือนไม้ หลังคามุงจาก พอกันแดดกันฝนเท่านั้น (ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 7 สิงหาคม 2488)
    ผมได้จังหวะก็กราบนมัสการคุยกับท่านถึงเรื่องต่างๆ ที่เราไม่เคยได้ยินถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษต่างๆ วิญญาณต่างๆ อยากทราบถึงเรื่องเปรต อสุรกายและเทพต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่...เป็นอย่างไรซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังถึงเรื่องๆ หนึ่ง คือเรื่องดังที่ผมเปรยนำไว้ตั้งแต่ต้นนั้น
    สำเริงนั่งฟังอย่างตื่นเต้น เพราะเขาไม่ความสนใจในทางมาก่อน ผมเองก็นั่งฟังนิ่งอย่างสนใจที่สุดเท่าเช่นกัน..ลองฟังท่านคุยกับผมต่อไปซิ ครับ
    คุณหลวง ในเรื่องนี้นั้น เป็นข้าราชการมีบรรดาศักดิ์จริงๆ และเป็นเรื่องจริงๆ ด้วย แต่ผมขอสมมุติชื่อผู้นี้ว่า วรณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนามของท่าน
    เด็กชายวรณ์ เกิดในตระกูลผู้ดี ตระกูลข้าราชการชั้นสูง เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดีมีชื่อ เก่งฉลาด เรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์อย่างรวดเร็ว แต่ท่านบิดาบุญน้อย ไม่ทันเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบุตร ก็หมดอายุไปเสียก่อน ทีนี้ก็เหลือแต่มารดาผู้เดียวที่ต้องกระเหม็ดกระแหม่ส่งเสียให้เล่าเรียนจน จบ
    ต่อมา นายวรณ์ ได้เข้ารับราชการในกรม กรมหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาด รับราชการเพียง 2 ปี ก็สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนต่อยังประเทศ-อังกฤษได้
    ก็ในลมัยรัชกาลที่ 5 ปลายๆ ถึงสมัยรัชกาลทึ่ 7 ถ้าผู้ใดได้ไปเรียนจบมาจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกา นับว่าโก้เก๋ที่สุด เรียกว่า นักเรียนนอก พอเสร็จการศึกษาได้ปริญญา ไม่ว่าปริญญาใด กลับมับราชการ ก็มักจะได้รับพระราชทานบรรดาศักด์เป็นหลวงทันที ไม่ต้องเป็นขุนก่อน ท่านเหล่านี้ได้แก่ข้าราชการ ในกรมรถไฟหลวง กรมไปรษณีย์โทรเลขและโทรศัพท์ซึ่งเป็นของใหม่ๆ ของชาติไทยทั้งนั้นส่วนมากก็เป็นข้าราชการในกรมต่างๆ ของพระเจ้าลูกยาเธอกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (ในรัชกาลที่5) นอกนั้นก็เป็นผู้จบวิชากฎหมายจากอังกฤษและฝรั่งเศส
    ท่านที่จบหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ก็มาเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (เรียกตามชื่อสมัยนั้น)
    ท่านที่จบวิชานิติศาลตร์ ก็มาเป็นผู้พิพากษา หรือทำงานในกระทรวงต่างประเทศ
    ท่านที่จบวิชาทหารจากฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐฯ ก็เข้ารับราชการในกองทัพต่างๆ เป็นต้น
    ท่านเหล่านี้ได้นำความรู้ความเจริญมาให้ประเทศชาติมากที่สุด
    นายวรณ์ ตอนนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงแล้ว ได้ขยับขยายฐานะบ้านช่องให้สุขสบายกว่าเดิม สมฐานะนักเรียนนอก ที่บ้านไม่ใคร มีแต่มารดาซึ่งก็ชราภาพแล้วอาศัยอยู่ด้วยโดยอาศัยในเรือนพักคนใช้ (คุณหลวงให้อยู่บนเรือนใหญ่แต่มารดาท่านอ้างว่าไม่อยากอยู่ผู้คนพลุกพล่าน เพื่อนฝูงของลูกมาหาทำให้ไม่สงบ ท่านว่าอย่างนั้น) นอกนั้นก็มีคนขับรถยนต์ 1 คน คนสวน 1 คน เด็กรับใช้ 1 คน และต่อมาก็มีแม่ครัว1 คน
    คุณหลวงยังหนุ่มมาก อาจยังไม่ถึง 30 ปีดี เสร็จงานก็เที่ยวเตร่สังสรรค์ ในระหว่างเพื่อนข้าราชการ และเพื่อนนักเรียนนอกด้วยกัน กลับบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นทุกวัน ได้ให้เงินคุณแม่ไว้ใช้เดือนละ 3 บาท เฉสี่ยแล้วก็ 10 สตางค์ต่อวัน ที่ได้รับจากลูกชาย คุณแม่ก็กระเหม็ดกระแหม่มาซึ้ออาหารมาทำรับประทาน
    สมัยก่อนนั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์ 10 สตางค์ก็สามารถจะซื้อก๋วยเตี๋ยวชามโตๆ ได้ถึง 3 ชามแต่อย่างไรก็ตาม 3 สตางค์ ต่อมื้อสำหรับคุณแม่ก็ขัดสนเต็มที ถ้าแบ่งไปซื้อหมากซื้อพลูบ้าง ซื้ออาหารมาประกอบเองบัาง 3 บาทที่ได้ไม่กี่วันหมด เมื่อหมดท่านก็ทนอดๆ อยากๆ ไป ก็จะทำอย่างไรได้
    ต่อมาคุณหลวงแต่งงานมีภรรยามีบุตร ก็พอดีเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ตำแหน่งราชการของคุณหลวงก็โตขึ้น แม้จะคืนราชทินนามไป ผู้คนก็ยังเรียกว่า “คุณหลวง” อยู่ดี
    ด้วยการเคยชินต่อสังคมนักเรียนนอก การไปสโมสร ไปเล่นกีฬา เล่นบิลเลียด ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้นก็ย่อมทำให้คุณหลวงกลับบ้านดึกๆ เช่นเดิม ดึกเท่าดึก ไม่ว่าฝนจะตกฟัาจะร้องอย่างไร ผู้ที่ถ่างตาคอยคุณหลวง คอยเปิดประตูรับคุณหลวงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่ผู้ชราของคุณหลวง นั่นเอง
    คำทักทายของคุณหลวงต่อคุณก็คือ “แม่ทานข้าวหรือยัง” และแล้วก็เดินขึ้นบ้านไป พอขึ้นบ้านก็รับประทานอาหารที่เขาเตรียมไว้นิดๆ หน่อยๆ เพราะรับประทานจากข้างนอกบัางแล้ว
    ตอนหลัง ภรรยาคุณหลวงได้กลับไปอยู่กับมารดา โดยไม่ได้หย่าร้างกัน เพราะขาดความอบอุ่นในครอบครัว แต่บุตรชายของคุณหลวงคงอยู่ที่บ้านคุณหลวง โดยมีคุณย่าเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูฟูมฟัก ด้วยความทะนุถนอมรักใคร่
    พอคุณหลวงลงมารับประทานของว่างเสร็จแล้ว จะเข้าไปดูลูกชายคนเดียวที่กำลังหลับ พลางก็เอามือลูบศีรษะบุตรด้วยความรัก
    แต่ข้างล่างนั่นซิคุณหลวงไม่ทราบไม่เคยเห็นพอคนใช้ยกของว่างจากบนบ้านลงมาใน ครัว คุณแม่ซึ่งหิวโหยจะเอาจานใบย่อมๆ มาเขี่ยๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกรับประทานแล้ว มาใส่ปากใส่ท้อง พอบรรเทาอาการแสบท้องไปมื้อหนึ่งๆ ซึ่งแม่ครัวก็สงสารท่าน คอยตักอาหารที่เหลือกินจากคุณหลวงแล้วส่งมาให้ ในวันที่ท่านไปหาเองไม่ได้ เช่น ในเวลาป่วย เป็นต้น
    การณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    แม้ในตอนเชัา คุณแม่จะเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ มาทำอาหารใส่บาตรเป็นประจำ พร้อมกันก็คอยดูคุณหลวงลูกชาย ที่จะออกจากบ้านไปทำงานวยความปลื้มปิติที่มีลูกชายทำงานมีตำแหน่งใหญ่โต
    คุณหลวงออกจากบ้านไปทำงานแล้ว คุณแม่ก็จะเข้าไปในครัวตามเดิมพลางก็ดูๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกชาย สิ่งใดพอที่จะรับประทานก็จะนำไปรับประทานโดยซดกับน้ำข้าวที่เขาเช็ดไว้
    ส่วนมื้อกลางวัน ถ้าไม่มีอะไรก็จะไหว้วานเด็กไปซื้ออาหารและหมากพลูมารับประทาน แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะลืมไปดูแลหลานคนเดียว ว่าหลานตื่นแล้ว มีอะไรกินหรือยัง ป่วยไข้เป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งหลานก็ติดคุณย่าอย่างแยกไม่ได้ อะไรๆ ก็ต้องคุณย่า...คุณย่า...คุณย่า... ทุกอย่าง
    วันหนื่ง หลายชายป่วยเป็นไข้ตั้งแต่เชัา คุณหลวงเข้าไปดูลูกด้วยความห่วงใย นึกในใจว่าลูกอายุขวบเศษจะทนเป็นไข้สูงๆ อย่างนี้ได้หรือ? ถ้าเป็นได้...อยากจะรับมาเป็นไขัเสียเอง
    ด้วยความเป็นห่วง คุณหลวงบอกคนที่บ้านว่า วันนี้เที่ยงจะกลับมากินข้าวที่บ้าน มาดูลูกด้วย จะมาพร้อมกับหมอ
    คุณหลวงมาถึงบ้านเอาบ่ายโมงเศษ ก็พบคุณแม่ประคับประคองหลานชายอยู่ ด้วยอารมณ์ใม่ค่อยจะดี จึงดุคุณแม่ไปหลายคำว่า “เอายาโบราณๆ มาให้หลานกิน ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เลยตายเลย”
    ความเจตนาดี ประกอบกับความสงสารเด็กที่ตัวร้อน เพ้อ กระวนกระวาย จนทนไม่ได้ ยาที่เคยมีเคยใช้อยู่ยังพอมี ก็ละลายให้หลานกิน เด็กเมื่อถูกยาขมๆ ก็อาเจียน ร้องไห้ ก็พอดีคุณหลวงมาถึง ก็เลยทำคุณบูชาโทษไป
    คุณหลวงเฝ้าดูลูกอยู่จนเย็น ไม่ไปไหน เพราะความเป็นห่วงลูก
    ด้วยความสงสารหลาน ด้วยความเสียใจ คุณแม่หลบไปนั่งซับน้ำตาอยู่คนเดียวในห้อง อยากจะบอกลูกสักคำว่า “ย่าน่ะรักหลานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลูกรักลูกของลูกหรอกนะ”
    และแล้วผัาแถบผืนเก่าที่คาดอยู่ ก็เปียกชุ่มด้วยน้ำตาที่ซึมไหลอย่างไม่หยุดยั้งของคุณย่า...
    หมอกลับไปพร้อมกับคุณหลวงโดยจัดยาให้ไว้ ก็คุณย่าอีกน่ะแหละ ที่คอยรับคำสั่งจากคุณหลวงว่าให้เอายาอย่างนี้ๆ ละลายให้หลานรับประทานตามเวลาที่หมอสั่ง
    ด้วยความปลื้มใจที่จะได้อยู่ดูแลหลาน ด้วยความดีใจว่าหมอมาตรวจรักษาแล้ว หลานคงจะหายวันหายคืนทำให้ลืมความหิว
    คุณหลวงนั่งรับประทานอาหาร มื้อกลางวัน อยู่คนเดียว รับประทานหนึ่งก็หันมาถามแม่ว่า “คุณแม่หิวข้าวไหม......ทานข้าวหรือยัง”
    ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลยเที่ยง เลยบ่ายไปแล้ว อาหารหรือข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้อง แต่ด้วยความรักลูกเกรงใจลูก กลัวว่าจะรับประทานอาหารไม่อิ่มคุณแม่ก็ตอบไปว่า “ทานไปเถอะลูก แม่ไม่หิวเลย ทานไปเถอะ”
    คุณแม่ตอบอย่างปลื้มปิติ ที่ลูกชายคนเดียวถามถึง ซึ่งไม่เคยได้ยินคำถามนี้มาหลายปีแล้ว แต่พอแม่ครัว ยกอาหารที่เหลือทานแล้วลงมาข้างล่างคุณแม่ก็ค่อยๆ เดินไปที่ครัว เจียดๆ อาหาร ที่เหลือจากรับประทานของลูกมาใส่ปากใส่ท้องด้วยความหิวโหยแต่ก็ลืมบอกแม่ ครัวว่า “เย็นนี้พอเช็ดน้ำข้าวแล้ว ขอให้เก็บไว้ให้ฉันหน่อยด้วยอย่างเคย”
    พอตกเย็น อาการของลูกก็ค่อยยังชั่วตัวเย็นลง ไม่ร้องไห้หลับสบาย โดยมีคุณย่านั่งปัดยุงอยู่ข้างๆ คุณหลวงก็ออกมาสั่งคนใช้ ว่า “จะไปข้างนอก แล้วกลับมารับประทานข้าวที่บ้านอย่างเคยแต่ว่าดึกหน่อย”
    คุณย่าได้รับน้ำข้าวจากแม่ครัวแล้วเก็บไว้ พลางก็ขึ้นไปเฝ้าหลาน ปัอนอาหารให้หลาน พอหิวมากแสบท้อง ก็ลงมาซดน้ำาข้าวที่เก็บไว้พอรองๆ ท้องไว้ก่อน แล้วก็กลับขึ้นไปเฝ้าหลานต่อ
    สองยามแล้วคุณหลวงถึงได้กลับบ้าน แม่ครัวก็จัดอาหารวางไว้บนโต๊ะหัองอาหาร ซึ่งคุณหลวงรีบเดินเข้าไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง ลูกหลับ เห็นคุณย่านั่งอยู่ข้างๆ ก็สบายใจ ถามแม่ว่า “หลานรับประทานอาหารไหม ?”
    คุณย่าก็ตอบว่า “ได้ดี อาการดีมาก”
    แล้วคุณหลวงก็ลงไปห้องอาหารนั่งรับประทานอาหารที่จัดไว้ แล้วก็ขึ้นนอน คุณย่าก็ค่อยๆ ย่องลงมา เดินลงไปในครัวตามเดิม รีบยกน้ำาข้าวมากลั้วคอพร้อมกับเขี่ยๆ เศษอาหารที่เหลืออยู่บ้างเล็กๆ น้อย มาใส่ปากพอปะทังความหิวอย่างเคย...!
    หลายวันต่อมาคุณแม่ของคุณหลวงก็ป่วยลง เป็นลมบ่อยๆ หน้ามืด ไม่มีแรง นอนซมอยู่ในห้องหลายวัน จนพระวัดสระเกษมารับบาตรประจำออกปากถามคนบ้านข้างเคียง ก็ทราบว่าคุณโยมปวยไปเสีแล้ว ท่านสงสาร ก็เดินเข้าไปในบ้าน แล้วก็ไปเยี่ยมคุณโยม เห็นสภาพของคุณโยมแล้วท่านก็ปลงเวทนา เป็นถึงมารดาคุณหลวงแต่อยู่ในห้องคนใช้ มีชามน้ำข้าวอยู่ 1 ใบ จานเล็กๆ ใส่เศษอาหารที่ยังไม่ได้รับประทานอยู่ 2 จาน แล้วท่านก็เดินออกรับบาตรโปรดสัตว์ต่อไป
    บ้านคุณหลวงอยู่ในละแวกบ้านหมู่ญาติ ญาติคุณหลวงหลายคน ที่อยู่ถัดๆ ก็ออกมาใส่บาตรทุกเช้าเหมือนกัน พระท่านจึงเล่าให้คุณโยมที่มาใส่บาตรฟังว่า “คุณโยมมารดาคุณหลวงป่วยไปหลายวันแล้ว อาตมาเข้าไปเยี่ยมเห็นทรุดโทรมเต็มที”
    ด้วยคำพูดเพียงแค่นี้เอง ทำให้ญาติของคุณโยมเป็นห่วง
    คนแรกที่มาเยี่ยมมีศักดิ์เป็นน้องห่างๆของคุณหลวงชื่อ เบ็ญจรงค์ พอทราบเรื่อง คุณเบ็ญจรงค์ก็รีบเข้าไปหาคุณปัา ก็แลเห็นสภาพอันน่าหดหู่ใจก็รีบกลับไปเอาอาหารจากที่บ้านให้รับประทาน แล้วก็เล่าให้คุณหลวงฟังว่า “คุณป้าไม่สบายมาก น่าจะพาหมอมาตรวจ หรือพาไปโรงพยาบาล”
    คุณหลวงก็ตอบว่า “คุณแม่เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็โรคคนแก่นั่นแหละ”
    สุดท้าย ญาติพี่น้องก็จัดการหาหมอมาตรวจให้ที่บ้านผลการตรวจปรากฎว่า ป่วยด้วยโรคขาดอาหาร
    พอคุณหลวงทราบเรื่องเขาก็โวยวายว่า “คุณแม่ตระหนี่ถี่เหนียวเองไม่ยอมซื้ออาหารกิน ซื้อแต่หมากพลูแล้วก็ใส่บาตร เงินทองก็ให้ไว้” ตกลงความผิตก็ตกอยู่กับคุณแม่อีก ที่ไม่ยอมซื้ออาหารมารับประทาน แต่คุณหลวงหาได้ทราบไม่ว่า เงินเดือน เดือนละ 3 บาท ที่ให้แม่นั้น มันอยู่ได้ไม่ถึง 10 วัน นอกนั้นก็เป็นวันอด แต่ถึงอย่างนั้น ยังหาอาหารมาใส่บาตรถวายพระทุกวัน ไม่ได้เว้น
    ต่อมาหลานสาวเวลามาเยี่ยมก็นำอาหารติดไม้ติดมือมาให้คุณป้ารับประทานทุกครั้งไป อาการก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้น ตามประสาคนสูงอายุ
    วันดีคืนดี ๆ คุณหลวงก็จะมาโผล่หน้าถามว่า “คุณแม่เป็นยังไงบ้าง ทานข้าวแล้วหรือยัง?”
    คำตอบก็คือ “สบายดีลูก อย่าเป็นห่วงแม่เลย แม่ไม่หิวหรอก”
    แต่แล้ว คืนนั้นก็ต้องคอยอาหารเหลือจากลูกมาแกล้มกับน้ำข้าวอย่างที่เคยประพฤติ ก็ด้วยความห่วงลูก กลัวลูกจะไม่สบายใจ กลัวลูกจะรับประทานอาหารไม่อิ่ม กลัวสิ้นปลืองเพราะลูกจะต้องใช้จ่ายมากขึ้น
    พอสบายได้ไม่กี่วัน โรคขาดสารอาหารก็มาเยือนอีก ทีนี้เป็นลม อาเจียนเพราะท้องว่าง อาหารที่ได้ก็คือ น้ำข้าวกับเกลือ และเศษ ๆ อาหารที่เหลือจากลูกตามเคย ซึ่งไม่เพียงพอกับร่างกายแต่ถึงกระนั้นคุณแม่ก็ทนทน... และทนเพื่อดูความเจริญรุ่งเรืองของบุตรชายคนเดียวของท่านต่อไปด้วยความอิ่ม ใจ
    วันหนึ่ง ฝนตกตั้งแต่เช้า พรำๆ อยู่จนเย็นกม็ไหหยุดน้ำก็นองไปทั่วบริเวณบ้าน คุณหลวงได้ยินอะไรแปลกๆ ที่ซอกประตูบ้าน เสียงเหมือนประตูบ้านถูกขีดข่วน คุณหลวงจึงออกมาจากห้อง มาเปิดไฟดู ก็พบแม่แมวสีสวาทที่เลี้ยงไว้กำลังคาบลูกมัน ตัวเล็กๆ 4 ตัว หนีน้ำขึ้นมา วางไว้ที่ซอกประตูทีละตัวๆ คุณหลวงจึงจ้องมองดูด้วยความสนใจแม่แมวค่อยๆ เลียน้ำที่เปียกตัวลูก เปียกขนลูกอยู่ ทีละตัวๆ แล้วเอาอกแม่ให้ลูกแมวได้อาศัยไออุ่น พลางก็ขดตัวให้ลูกดูดนม
    “โอ้สัตว์เดียรัจฉานยังรักลูกห่วงลูกถึงเพียงนี้” คุณหลวงรีบเดินขึ้นบนบ้าน ไปดูลูกชายที่หลับอยู่ด้วยความรักและเมตตา
    คืนนั้น คุณหลวงไม่ได้ไปไหนเพราะฝนยังตกพรำๆ อยู่ จึงรับประทานเย็นแต่หัวค่ำ แล้วขึ้นนอนโดยนอนห้องเดียวกับลูกชาย ในใจก็คิดว่า “ลูกแมว 4 ตัวนี่ ถ้าไม่ได้แม่แมวช่วย น้ำคงท่วมตาย หรือเปียกฝนจนหนาวตายหมด แม่แมวซึ่งเป็นสัตว์ยังรักลูกถึงเพียงนี้”
    เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็นึกเป็นห่วงลูก ลุกขึ้นเอาผ้าห่มให้ลูกเอามือลูบหัวลูกด้วยความรัก และเมตตาสงสารพลางตาก็มองดูลูกที่ขาดแม่
    คุณหลวงจ้องอยู่นาน...นานทีเดียวขณะนั้นเองคุณหลวงก็คิดในใจว่า
    “เมื่อตัวเรายังเล็กๆ คุณแม่คงห่วงเรา ทะนุถนอมเรา รักใคร่เมตตาเรามากเหมือนกับที่เรารักและเวทนาลูกเรา หรืออาจจะมากกว่าก็ได้เพราะแม่มีลูกคนเดียวคือเรา คอยป้อนข้าวให้เราเมื่อเราหิว กรอกยาให้กินเมื่อเราเจ็บไข้ เช็ดน้ำตาเราเมื่อเราร้องไห้ เอายาทาแผลให้เรา เมื่อเราหกล้มแขนขาถลอก เมื่อพ่อตายแล้ว ยังอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ มีอะไรๆ ก็เอาออกขาย เอาเงินส่งให้เราได้เรียนหนังสือจนจบ ทำการงาน ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้ ขณะนี้แม่อยู่กับเรา เราไม่ได้ดูแลท่านเลย ป่านนี้การป่วยของคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง? โรคขาดอาหารที่หมอว่าน่ะ คุณแม่จะเป็นลมอีกหรือเปล่า รับประทานอาหารแล้วหรือยัง มีอะไรรับประทานบ้าง ?”
    คุณหลวงนอนคิดอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน และแล้วก็รีบลุกขึ้นมาดูมารดาที่ห้องนอน...ภาพที่คุณหลวงพบก็คือ คุณแม่เหมือนคนแก่หง่อม ดูเหมือนไม่ใช่อายุ 70 เศษ ผอมมากนั่งพิงฝาห้อง มือที่สั่นเทิ้มอยู่นั้นกำลังยกถ้วยน้ำข้าวซด เบื้องหน้ามีจานใส่อาหารจานเล็กๆ อยู่ 2 จาน
    คุณหลวงเดินเข้าหามารดาในห้อง พลางถามว่า “คุณแม่ทานอะไร?”
    คุณแม่ตกใจ ไม่นึกว่าลูกชายสุดที่รักจะเดินมาหา ก็ไม่ทันได้ตอบในขณะเดียวกัน คุณหลวงก็ยกจานอาหารขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นอาหารเหลือจากตนรับประทานไว้ และในมือก็มีถ้วยเล็กๆ คือถ้วยน้ำข้าวที่คุณแม่ซดอยู่ คุณหลวงจึงถามว่า
    “ทำไมคุณแม่ไม่ทานอาหารดีๆ นี่มันของเหลือข้างบนบ้าน”
    คุณแม่ก็ตอบว่า “อย่าห่วงเลยลูกแม่ไม่หิวหรอก นิดๆ หน่อยๆ ก็พออิ่มแล้ว”
    คุณหลวงมองไปรอบๆ ห้องมองที่หลับที่นอน เครื่องใช้ไม้สอยของคุณแม่ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับคนอนาถาไร้ที่พึ่งต้องขอทานเขาอยู่ ขอทานเขากิน
    คุณหลวรู้สึกเสึยใจมาก เศร้าใจอย่างที่สุด จึงบอกกับมารดาว่า “คุณแม่อย่าเพิ่งทานอะไรนะ เดี๋ยวจะไปหาอาหารมาให้”
    คุณแม่ก็ร้องบอกว่า “อย่าเลยลูกแม่ไม่หิวหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”
    พอพูดเสร็จ ด้วยความเพลีย ก็หมดแรงล้มตัวลงนอน น้ำข้าวที่ถือไว้ก็หก คุณหลวงรีบเรียกคนใช้ให้มาเช็ดถูทำความสะอาดให้ทันที แล้วรีบผลุนผลันลุกออกไปจากหัองคุณแม่ เดินไปยังเรือนใหญ่อย่างรวดเร็วเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย สวมเสื้อใหม่ นุ่งกางแพร “สมัยนั้นนุ่งกางเกงแพรกันเป็นปกติในการแต่งกายลำลอง เช่น สวมเสื้อกุยเฮง นุ่งกางเกงแพร ขึ้นรถรางไปไหนๆ ก็สุภาพแล้ว) พอแต่งตัวเสร็จก็กางร่มไปยังตลาดใกล้ๆ บ้าน คือ แถวๆ นางเลิ้ง พร้อมกันก็ถือหม้อย่อมๆ ไปด้วย 1 ใบ พร้อมกันก็ได้ยินเสียงคุณแม่ส่งเสียงอันแหบแห้งตามมาด้วยว่า “อย่าไป...อย่าลำบากเลยลูก แม่ไม่หิวหรอก แล้วฝนฟ้าก็ตกอย่างนี้”
    คุณหลวงไม่ฟังต่อไปอีก รีบเดินอย่างเร็ว แบบครึ่งเดินครึ่งวิ่งไปยังตลาดนางเลิ้งทันที ทั้งๆ ที่ฝนก็ตกพรำๆ อย่างนั้น
    คุณหลวง รีบซื้อโจ๊กไก่ใส่ไข่มา 1 ชาม ใส่หม้อถือ แล้วรีบเดินจ้ำกลับบ้านทันที
    “ป่านนี้ คุณแม่คงรอคอยอาหารที่กำลังไปซื้อมาให้ คุณแม่คงหายหิว หายเป็นลม ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะทะนุบำรุงแม่เราไม่ให้ลำบากไม่ให้อดอยากอย่างนี้อีก ตัวเราเองมันไม่ดี ไม่นึกถึงแม่ที่มีกันอยู่ 2 คนแม่ลูกเท่านั้น”
    คุณหลวงรำพึงลำพันในใจนึกปลื้มใจที่จะได้ฉลองพระคุณแม่ในครั้งนี้และตั้งแต่ นี้ต่อไปคุณแม่จะไม่ลำบาก ไม่ป่วยไข้อีกแล้ว ถึงอย่างไรๆ เราก็จะไม่ทอดทิ้งแม่อีกจนกว่าจะตายจากกันไป
    ตอนนี้คุณหลวงลืมลูกชายที่หลับอยู่ที่บ้านสนิท จิตพะวงคิดแต่จะเอาอาหารมาให้คุณแม่ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้กระทำอย่างนี้
    แต่...แต่...คุณหลวงไม่มีโอกาสได้กระทำกตเวทีต่อคุณแม่เสียแล้ว เพราะเมื่อเดินจ้ำๆ มาถึงสี่แยกนางเลิ้งคุณหลวงก็จ้ำข้ามถนนทันทีเพื่อที่จะไปบ้าน โดยไม่สังเกตเห็นรถบรรทุกของคันหนึ่งที่กำลังวิ่งมา
    ในสมัยโน้นรถยนต์ไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ต่างกันสักร้อยเท่านานๆ จะมีโผล่มาสักคัน คนส่วนมากก็ไม่ค่อยจะหลบหลีกรถ ระวังรถ คุณหลวงก็อยู่ในประเภทนี้ โดยคุณหลวงรีบวิ่งผ่าสายฝนข้ามฟากไปยังอีกฟากหนึ่ง รถบรรทุกคันนั้นสุดจะห้ามล้อหรือหยุดทัน ก็ชนร่างของคุณหลวงกลิ้งไป แถมยังลูกล้อทับศรีษะเสียแบนอีกด้วย คุณหลวงสิ้นใจตรงนั้น แต่หม้อโจ๊กยังกำแน่น ส่วนโจ๊กนั้นหกกระจายหมดแล้ว
    เป็นอันว่า คุณหลวงหมดบุญที่จะกระทำการกตัญญูกตเวทีแก่มารดาผู้บังเกิดเกล้า หมดโอกาสเสียแล้วแม้จะเป็นครั้งและครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม
    “คุณหลวงบุญไม่ถึง” สำเริงฟังหลวงพ่อเล่า นัยน์ตามีน้ำตาซึมไปกับเรื่องที่หลวงพ่อท่านคุย หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “คนที่จะรักเรายิ่งกว่าพ่อยิ่งกว่าแม่ไม่มีอีกแล้วในโลก พ่อแม่เป็นผู้ที่จะคอย ให้อภัยคอยช่วยเหลือคอยสนับสนุนคอยชุบเลี้ยงชีวิต คนมีบุญเท่านั้น ที่มีโอกาสกระทำกุศล คือ การฉลองคุณพ่อแม่ส่วนที่จะทำบุญทำกุศลไปให้พ่อแม่นั้น แม้จะทำเท่าไหร่ ก็ยังไม่เห็นผลเท่ากับที่ทำให้ท่านเมื่อยังมีชีวิตอยู่การทำบุญให้ท่านเมื่อ ท่านตายแล้ว คนจะปลื้มใจก็คือ ผู้รับทาน และผู้ทำทานเท่านั้น คือ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่”
    ข้าวมรณกรรมของคุณหลวงแพร่กระจายไปในหมู่ญาติอย่างรวดเร็วแต่ข้าวพาดหัว
    หนังสือ พิมพ์เกรียวกราวนั้นดูเหมือนจะมีเพียงฉบับเดียวเพราะเมื่อร่วมๆ 60 ปีที่แล้วมานั้น ไม่มีหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับเหมือนปัจจุบันนี้
    ขอย้อนกลับมาทางคุณแม่ ซึ่งก็นอนคอยรอการกลับมาของคุณหลวงเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่กลับ ก็เลยม่อยหลับผ็อยไปเพราะความเพลีย
    รุ่งเช้า พอตื่นขึ้นมาคุณแม่ก็คอยดูลูกชายว่าจะออกจากบ้านหรือ
    จิตวิญญาณดวงที่เคลื่อนมาได้หันมามองแล้วพูดว่า “โถ วรณ์ เจ้าอยู่นี่หรือลูก...ทำไมรูปร่างเจ้าเป็นอย่างนี้”
    วิญญาณของคุณหลวงจำได้ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาจิตวิญญาณของคุณแม่วิ่งเข้าไปๆ แต่วิ่งเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างออกไปเท่านั้นยิ่งวิ่งหนักขึ้นก็เหมือนวิ่งซอยเท้าอยู่กับที่หรือ วิ่งถอยหลังห่างออกไป...ห่างออกไป จิตวิญญาณของคุณแม่ยื่นอาหาร โยนอาหารมาให้...ก็รับไม่ได้ รับไม่ถึงกลิ่นอาหารอันหอมหวลนั้น ยิ่งชวนให้วิ่งเข้าหาอีกอาหารที่ตกลงมาก็กลายเป็นเศษอาหารอันบูดเน่า
    จิตวิญญาณของคุณหลวงตะโกนด้วยเสียงดังว่า “คุณแม่ ผมหิวอาหารที่คุณแม่ถืออยู่ แบ่งให้ผมอีก”
    เมื่อคุณแม่ยื่นอาหารมาให้ ก็หยิบไม่ถึง ครั้นพอหยิบถึง ก็กลายเป็นของที่กินไม่ได้ จิตวิญญาณของคุณแม่ จึงบอกกับร่างเปรตในจิตวิญญาณของคุณหลวงว่า “อย่าวิ่งมาเลยลูกไม่มีวันที่จะถึงแม่ได้ แม่ทำบุญทำกุศลไว้ตั้งแต่เล็กจนตาย...แม่จึงได้อุดมสมบูรณ์ในภพนี้ และภพที่จะไปต่อในชั่วขณะ ที่มานี่เพราะเป็นห่วงลูก คิดถึงลูก ลูกไม่ได้ทำบุญให้กับพระอรหันต์ของลูกเลย วิบากอันนี้จึงได้ติดตามมา เจ้าทำบุญอื่นไว้ก็มาก เมื่ออยู่มนุษยโลกเจ้าจะได้รับผลบุญนั้นต่อไปภายหลัง
    พระอรหันต์ที่ว่านี้ ก็คือ พ่อแม่ของเรา ซึ่งพร้อมที่จะให้อภัยเสมอแต่กรรม และวิบากนั้นไม่เคยยกโทษให้ใครเลย ไม่มีใครจะมาขอโทษ หรือยกโทษให้ และไม่ใครที่จะมาแบ่งบุญหรือความดีที่ทำไว้นั้นไปได้เลยใครทำสิ่งใดไว้ ก็จะต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน
    ลูกจะอยู่ในภพนี้ชั่วขณะ ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ไปจนหมดเวรกรรมที่ลูกขาดกตัญญูกตเวทีวิบากนี้สิ้นสุด เมื่อไร เมื่อนั้นมักจะไปอยู่อีกภพหนึ่งจะได้เสวยสุขในผลบุญที่เคยกระทำ ในพระศาสนาเมื่อรับราชการอยู่ในโลกมนุษย์ เคยทำบุญช่วยเหลือสัตว์ที่ทุกข์ทรมาน ปล่อยนกปล่อยปลาไว้ก็หลายหน กุศุลวิบากนี้จะตามสนองลูกต่อไปเมื่อสิ้นภพวิบากกรรมนี้แล้ว
    แม่จะต้องไปตามกรรมของแม่แล้วแม่ทำบุญทุกวันใส่บาตรทุกวัน อดมื้อกินมื้อแต่ไม่ยอมเว้นที่จะใส่บาตร ไม่ยอมเว้นที่จะทำบุญทำกุศลที่มาหาลูกนี่เพราะก่อนที่แม่จะละสังขารในโลก มนุษย์ แม่มีจิตผูกพันเป็นห่วงลูกอยู่กุศลกรรมจึงนำพามาให้พบลูกตามความปรารถนา และเมื่อพบแล้วแม่ก็จะต้องจากไป ไปรับกุศลกรรมที่ทำไว้ ขอให้ลูกพ้นเวรพ้นวิบากไปเร็วๆ และไปรับกุศลกรรมที่กระทำไว้ในภพอันดีงามต่อไป
    จิตวิญญาณ ของคุณหลวงนั่งพนมมือฟังคำพูดของคุณแม่ จนเสียงค่อยๆ จางหายไป...หายไป ในที่สุดเมื่อแหงนหน้าดูอีกทีก็เห็นจิตวิญญาณของคุณแม่ ซึ่งมีร่างกายอันสง่างดงามดวงหน้าอิ่มเอิบ ค่อยๆ เคลื่อนจากไปในที่ลุด
    “วิญญาณของคุณแม่ไปไหนขอรับกระผม” สำเริงถาม
    “ก็ไปสู่สุคติภพ คือภพที่มีแต่ความสุข ไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย”
    “อยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ แล้วจากนั้นจะไปไหนขอรับกระผม”
    “ถ้านับเวลาในมนุษยโลกก็นาน..มาก แต่ถ้านับเวลาในสุคติภพแล้ว มันก็ไม่นาน จะนานเท่าไหร่ช้าหรือเร็ง ก็สุดแต่กรรมที่ได้กระทำไว้ ทำดีไว้มาก ก็รับผลมาก...นาน ทำไว้พอประมาณ ถ้าทำกุศลด้วยความจำใจด้วยความไม่เต็มใจ กุศลธรรมนั้นก็ไม่เป็นผล
    ส่วนจากสุคติภพแล้วนั้นจะไปไหนก็สุดแต่กรรมอีก อาจจะจุติเกิดลงมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระศาสนาอีกได้ทำกุศลในแนวทางถูกต้องอีกภพต่อไปก็จะดีขึ้นๆ แต่บางทีหมดบุญหมดกุศลวิบากแล้ว ก็อาจจะต้องมารับอกุศลวิบากในพิภพอื่น อาจไม่ใช่โลกนี้ก็ได้ หรืออาจจะมาจุติเป็นมนุษย์ใหม่ หรืออาจจะไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เมื่อหมดบุญหมดกุศลกรรมที่ทำไว้ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นชาติ สิ้นภพไม่มีการเกิดอีก นั่นคือ พระนิพพาน คือหมดกิเลสแล้ว เท่านั้น
    ตอนนั้น ก็เป็นเวลาที่ดึกแล้วร่วม 4 ทุ่ม เรา 2 คนก็กราบลาท่านกลับที่พักที่บ้านสำเริง เราลาท่านกราบท่านด้วยความรู้สึกเหมือนท่านชี้ทางที่จะไปสู่สุคติให้เรา ทางบุญทางกุศลให้เรา กราบท่านด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
    สำเริงถึงกับเอ่ยปากว่า “กระผมจะมานมัสการหลวงพ่ออีกขอรับกระผม”
    แล้วท่านก็ให้ศีลให้พรเรา 2 คน ตั้งใจว่า วันหลังจะมากราบท่านอีก โดยไม่ลืมหาของมาถวายท่าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านไม่ปรารถนาอะไรจากใครทั้งสิ้นแต่เราก็จะหา 1 ในปัจจัย 4 มาถวายท่านให้จงได้ ในคราวหน้า
    ระหว่างเดินมาที่ท่าน้ำ สำเริงกล่าวออกมาคำหนึ่งว่า “แปลก...เป็นเรื่องที่น่าคิดมาก”
    ผมก็ตอบเขาว่า “จริง และเรื่องแปลกกว่านี้ก็มีอีก ท่านคงเล่าให้เราฟังวันหลัง”
    ผมขอยุติเรื่อง คำสารภาพของวิญญาณ ตอนคุณหลวง ไว้แค่นี้ก่อนพบกันใหม่ในคราวหน้า
     
  2. applecider

    applecider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +118
    ขอขอบคุณ คุณ Piyaa ที่ได้นำเรื่องนี้มาให้ได้อ่าน เป็นเรื่องยาวแต่อ่านแล้วเพลิน ที่เกิดประโยชน์กับตัวมาก ๆ ได้ข้อคิดที่เตือนสติให้ระลึกถึงผู้มีพระคุณ และ ทำให้เกิดความตั้งใจใหม่ ๆขึ้นมา ขอบคุณมากนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 สิงหาคม 2010
  3. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    แบบนี้คงมีภาคต่อไปแน่นอนค่ะ
     
  4. poctober_por

    poctober_por Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +39
    หัวหน้าจะมาเห็นก็กระทู้นี่แหล่ะ ยาวววววดีจัง....แต่ก็ขอบคุณครับที่ลงให้อ่าน
     
  5. weerayutsing

    weerayutsing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2005
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +293
    อยากอ่านอีกครับ.....อ่านแล้วช่วยเตือนตัวเองได้ดีมากเลยครับ อนุโมทนาสาธุ......
     
  6. chanitnant

    chanitnant Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +85
    ขออนุญาติ COPY แจกเป็นธรรมทานนะค่ะ

    ขอบุญกุศลในครั้งนี้จงสำเร็จแก่วิญญาณคุณหลวง วิญญาณคุณแม่ เจ้าของกระทู้ และผู้ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวทุกๆ ท่านค่ะ

    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...