อยากทราบว่าในตัวคนมีเทพฯ คุ้มครองมีลักษณะแบบไหน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย nanthiya1, 11 สิงหาคม 2010.

  1. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ค่ะ ...รออ่านอยู่ค่ะ...มีเรื่องสงสัยมากมายเหมือนกันค่ะแต่พอจะพิมพ์ตั้งกระทู้ถามมันก็เรียบเรียงไม่ถูกทุกที เห่อะๆๆรออ่านของท่านทั้งหลายดีกว่า
     
  2. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ค่ะ ณ เวลานั้นเริ่มฝึกไหม่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมายตอนฝึกด้วยตัวเองใหม่ๆ จะเห็นภาพเยอะมากโดยเฉพาะพวกผี ชอบมาหลอกในจิตแต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่าตัวเองคิดไปเองแต่มาบ่อยมากจนลำคาญ เลยโทร ไปถามพี่ชายมันเกิดอะไรขึ้นพี่ชายเลยถามว่าหลังจากนั่งสามธิอุทิศส่วนกุศลหรือเปล่า ดิฉันตอบเปล่าพี่ชายบอกให้อุทิศส่วนกุศลนะพวกผีมาขอส่วนบุญเพราะช่วงนั้นจะไม่รู้อไร โง่นั้นเองพอเริ่นอุทิศส่วนกุศลภาพน่าเกียจก็หายไปหมดจะมีภาพพวกเขามาขอบคุณแต่ตัวกันสวยมากแต่ปจุบันนี้ดิฉันไม่ได้ไปแบบจิตหลุดแล้วเพราะจะตอ้งใช้สมาธิสูงและต้องมีสติควบคุมตัวเองให้มากถ้าขาดสติควบคุมภาพที่เห็นจะกายเป็นความฝันไปเลย ส่วนคุณ pk 010209 อ่านกะทู้ของคุณคล้ายดิฉันที่เริ่มฝึกใหม่ๆก็โดนเหวี่ยง แทบตายตีลังกาไม่รู้กี่ตลบ งงแทบตาย คือจิตเราหลุดออกไปนั่นเองยังคุมสติไม่ได้เท่าที่ควรต้องใช้สมาธิสูงตอ้งมีสติตลอดไม่งั้นเรื่องราวที่เห็นจะเป็นความฝันหมดดจริงบ้างไม่จริงบ้างเพราะมีนิวรณ์ ผสมเดียวนี้ปจุบันก็ไม่ได้ไปแบบนั้นอีกเวลาที่ดิฉันทำสมาธิจะมีภาพมาให้เห็นเป็นประจำแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรคิดเสียว่าเป็นภาพที่เลื่อนลอยแต่ถ้ามีพระพุทธเจ้ามาให้เห็นก็จะชอบเพราะหลวงพ่อบอกให้เอาจิตของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เสมอ เพราะความตายไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมายอาจจะตายทุกเวลาทุกขณะจิตก่อนจะตาย ดวงจิตสุดท้ายจะแรงมากถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าไว้เราก็จะไปสวรรค์แต่ถ้าพลาดไปคิดเรื่องอื่น สายไปเสียแล้วก็ไม่รู้จะไปเกิดเป็นอะไร ก็เลยต้องเดินตามครูบาอา
    จารย์ไว้กอ่น ภาพถ่ายพยานาคดิฉันก็มีทั้งดวงจิตเทวดถ่ายเมื่อปลายปีที่แล้วในงานบวชพรามหญิงพรามชายที่วัดท่าชุงอุทัยธานีดิฉันจะไปร่วมบวชชีพรามมา 3 ปีแล้วปีค่ะปีนี้ก็คิดว่าจะไปอีกปีที่แล้ว ลูกชายเพื่อนเขาอธิฐานจิตถ่ายให้ทีแรกก็ไม่ติดลูกชายเพื่อนก็เลยมาให้ดิฉันอธฐานจิตเพราะเป็นกล้องของดิฉัน หลังนั้นเอาไปถ่ายตอนตี 4 นะค่ะ ณ ลานธรรมที่ญาติโยมมานั่งสมาธิกัน ติดมาเพียบเลยญาติโยมทำสมาธิพวกท่านทั้งหลายก็ทำสมาธิกันลอยอยู่กลางอากาศบนศรีษะญาติโยม ดิฉันอยากส่งมาให้ดูแต่ส่งไม่เป็นไม่รู้จะส่งแบบใหนช่วยแนะนำด้วยถ้าลูกสาวกับมาจากอิตาลี่ จะให้ลูกสาวช่วยส่งไปให้ดู
     
  3. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขอบคุณค่ะเชิญค่ะมากะทู้ร่วมกัน เพื่อแลกประสพการณ์กัน อ่านไปก็ไม่ต้องคิดอะไรมากเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้นเอง
     
  4. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    เข้าใจละคะ จากที่อ่านความคิดเห็นของคุณนันทิยา ต้องยอมรับว่าศิลามณี มีความเป็นห่วง และ รู้สึกกังวนใจอยู่นิดๆ.... ประมาณว่าจะสุดโต่ง หรือ ออกนอกลู่นอกทางไปไหมนี้ แต่ ณ ขณะนี้เข้าใจละคะ
    <O:p</O:p
    มีบทความของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ศิลามณีเคารพนับถือ ท่านเคยเขียนไว้เกี่ยวกับ เรื่อง " มโนมัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ " ศิลามณี ก็เลยก๊อปมาให้เพื่อนๆอ่าน เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นนะคะ คุณนันทิยา อย่าลืมเล่าต่อนะคะ พระพุทธเจ้า ที่คุณเห็นท่านงามอย่างไร
    ................................................................................................................................................................................................
    <O:p</O:p

    เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่อ่านหัวข้อเรื่องในวันนี้คงรู้สึกงุนงงสงสัย... ‘มโนมยาภินิมมานะ’ คืออะไร...แปล ง่าย ๆ ครับ คือ ‘การเนรมิตรูปสำเร็จด้วยใจ’ หรือที่เรียกว่ มโนมัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ<O:p</O:p
    ที่ยกเรื่องนี้มาวิสัชชนาก็เพราะว่า ในพระคัมภีร์มักกล่าวถึง อำนาจฤทธิ์กฤษฎาภินิหารแห่งองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปวงเหล่าพระสาวกทั้งหลายอยู่เนือง ๆ ซึ่งเชื่อว่าหลายต่อหลายท่านคงนึกสงสัย..
    <O:p</O:p
    ...จริงหรือ...? เป็นเรื่องยกเมฆแต่งเติมกันมาหรือเปล่า?
    <O:p</O:p
    เราทั้งหลายมักได้ยินได้ฟังได้อ่าน เรื่องราวอันเป็นพุทธกิจแห่งพระบรมศาสดาอยู่เสมอว่า พระองค์ทรงเนรมิตกายอันมีอินทรีย์ครบบริบูรณ์เหมือนรูปร่างตัวจริงขึ้น แล้วส่งกาย หรือ รูปร่างนั้นไปปรากฏในที่ต่าง ๆ เพื่อทรงโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย การกระทำเช่นนั้นเหล่าโบรณาจารย์ท่านเรียกว่า... มโนมัยฤทธิ์!
    <O:p</O:p
    เป็นฤทธิ์ที่พระบรมศาสดา และ พระสาวกชอบใช้ มโนมัยฤทธิ์เป็นฤทธิ์เงียบ ๆ ที่จะเห็นก็เฉพาะผู้ที่มุ่งไปโปรด หรือ ผู้มีทิพยจักษุเท่านั้น บางรายอาจจะเห็นก็ลาง ๆ เลือน ๆ เพราะไปมาโดยวิสัยใจ ย่อมรวดเร็วมากชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ยากที่คนธรรมดาจะทันสังเกต
    <O:p</O:p
    และเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น ผู้เขียนขอยกเอาข้อเขียนของ พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ใน ‘ทิพยอำนาจ’ มากล่าวในที่นี้พอสังเขป...<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ เขาสวนกวางชื่อ ‘เภสกลาวัน’ ใกล้นครสุงสุมารคิระ ในภัคคชนบท สมัยนั้น พระอนุรุทธเถระพักอยู่ที่สวนปาจีนวังสะ ในเจดีย์ชนบท คนละประเทศกับพระบรมศาสดา ซึ่งครั้งนั้นพระอนุรุทธเถระกำลังดำริถึงมหาปุริสวิตก ๗ ข้อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบดำรินั้นแล้ว จึงเสด็จหายพระองค์ไปจากที่ประทับ เสด็จไปสู่ที่พักของท่านพระอนุรุทธเถระ เพียงชั่วเวลาคู้แขนเหยียดเท่านั้นก็ถึง ทรงปรากฏพระองค์เบื้องหน้าของพระอนุรุทธ แล้วประทับบนอาสนะที่ปูลาดถวาย ส่วนท่านอนุรุทธเถระได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งในที่อันสมควร ครั้นแล้วพระบรมศาสดาจึงทรงรับรองดำริ ๗ ข้อของท่านอนุรุทธเถระ

    ว่า...เป็นมหาปุริสวิตกคือ เป็นความคิดของมหาบุรุษ แล้วทรงแสดงเพิ่มให้อีกหนึ่งข้อเป็น ๘ เรียกว่า มหาปุริสวิตก ๘ ประการ และทรงแสดงอานิสงส์ต่อไปว่า เมื่อตรึกตรองมหาปุริสวิตก ๘ ประการนั้นแล้ว จะเข้าฌานทั้ง ๔ ได้โดยง่ายไม่ยากลำบาก เมื่อได้ฌานทั้ง ๔ แล้วเปรียบเทียบดูกับความสุขของคหบดี ผู้มีปัจจัยเลี้ยงชีพอย่างสมบูรณ์ที่สุดก็จะเห็นว่า ปัจจัย ๔ ของสมณะ คือ ปิณฑิยาโลปโภชนะ (อาหารบิณฑบาต) บังสุกุลจีวร (ผ้าเปื้อนฝุ่นที่เก็บมาทำผ้านุ่งห่ม) รุกขมูลเสนาสนะ (ที่อยู่ตามธรรมชาติใต้ร่มไม้) ปูติมุตตเภสัช (ยาดองด้วยน้ำปัสสาวะเน่า) เป็นสิ่งที่ดีกว่า สะดวกสบายกว่า ทั้งเป็นไปเพื่อพระนิพพานด้วยดังนี้ เมื่อรับสั่งจบ พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับเขาสวนกวาง ด้วยเวลาชั่วดีดนิ้วมือ ส่วนพระอนุรุทธเถระจำพรรษา ณ สวนปาจีนวังสะในเจดีย์ชนบทต่อไป ในพรรษารีบเร่งความเพียรไม่นานนัก ก็บรรลุถึงภูมิพระอรหันต์ และ ได้ภาษิตคาถาแปลความในเวลานั้นดังนี้
    <O:p</O:p
    “พระศาสดาผู้เยี่ยมยิ่งในโลก ทรงทราบความคิดของเรา จึงเสด็จมาหาเราด้วยพระฤทธิ์มโนมัยกาย ทรงแสดงธรรมตามที่เราคิดเห็น เพิ่มเติมให้ยิ่งขึ้นไป พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีธรรมไม่เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงธรรมไม่เนิ่นช้าแก่เรา เรารู้แจ้งธรรมของพระองค์แล้ว บรรลุวิชชา ๓ เสร็จกิจพระพุทธศาสนาแล้ว จึงยินดีอยู่ในพระศาสนาของพระศาสดาพระองค์นั้น"
    <O:p</O:p
    ต่อมาภายหลัง ท่านพระอนุรุทธเถระได้ทรงรับการยกย่อง จากพระบรมศาสดาว่า...เยี่ยมยอดกว่าภิกษุผู้มีทิพยจักษุทั้งหลาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ถึงตรงนี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึง หลวงพ่อฤษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง ท่านเป็นผู้มีวิชามโนมยิทธิ ที่เลื่องชื่อลือชาที่สุดในยุคนี้
    <O:p</O:p
    วิชามโนมยิทธิ เป็นการสร้างอำนาจจิตอย่างหนึ่ง แปลความตรง ๆ ก็คือทำใจให้มีฤทธิ์ หรือสร้างฤทธิ์ด้วยใจนั่นเอง
    <O:p</O:p
    วิชานี้นี่เอง และ กอปรกับปฏิปทาของหลวงพ่อ จึงทำให้ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ในขณะนี้<O:p</O:p
    การสร้างมโนมัยกายของวัดท่าซุงเป็นอย่างไร ผู้เขียนมิบังอาจเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน แต่ขอยกเอาวิธีการสร้าง ‘มโนมัยฤทธิ์’ จากทิพยอำนาจของท่านพระอริยคุณาธาร มาแสดงไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    “ วิธีถอดจิตนั้น คล้ายแบ่งภาคจิตออกไปทำการ ความรู้สึกแห่งจิตในกายเดิมก็ยังมีอยู่ แต่มีสายโยงถึงกันตลอดเวลา อีกอย่างหนึ่งถอดออกไปทั้งหมด โดยไม่มีความรู้สึกเหลืออยู่ในร่างเดิมเลย คล้ายไปหมดทั้งตัวก็ได้”<O:p</O:p

    วิธีแรก ทำได้โดยไม่ต้องเข้าฌานอย่างสูง ชนิดหมดความรู้สึกในกายเดิม...คือแค่ทำมโนภาพขึ้น เนรมิตรูปร่างของตนไปปรากฏ ณ ที่เฉพาะผู้ที่เราต้องการพบปะ แล้วทำกิจตามประสงค์

    วิธีหลัง คือ ต้องเข้าสมาธิ แล้ว ส่งจิตทั้งหมดออกไปจากร่าง แล้วเนรมิตกายขึ้น ตามรูปลักษณะเดิมแล้วไปทำกิจ หรือไปปรากฏกายในที่ใด ๆ โดยมีความรู้สึกเต็มตัวในมโนมัยกาย ส่วนกายเดิมที่อยู่เบื้องหลังนั้นไม่มีความรู้สึก ดำรงความเป็นปกติด้วยอำนาจฌาน รักษาเท่านั้น พวกเข้าฌานแบบไปดูนรกสวรรค์ล้วนใช้วิธีนี้ทั้งนั้น”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วิธีถอดจิตออกจากร่างกายวิธีหลังนี้...มีขั้นตอนในทิพยอำนาจอย่างนี้ครับ<O:p</O:p

    ๑. ทำอาโลกสิณจนได้แสงสว่าง ใสดีแล้ว
    <O:p</O:p
    ๒. ย่อดวงกสิณนั้นให้เล็กลงประมาณเท่าลูกมะขามป้อม
    <O:p</O:p
    ๓. รวมกำลังจิต ส่งดวงกสิณนั้นออกทางขม่อมไปสู่ ณ ที่ตนต้องการไป
    <O:p</O:p
    ๔. เมื่อรู้สึกกายเบาวูบ และไปปรากฏอยู่ในที่กำหนดชื่อว่าถอดจิตไปแล้ว
    <O:p</O:p
    ๕. พึงขยายดวงกสิณให้โตตามเดิม พร้อมเนรมิตกายให้ปรากฏชัดแล้วทำกิจตามปรารถนา
    <O:p</O:p
    ๖. เมื่อจะกลับ พึงย่นดวงกสิณให้เล็กลงเท่าลูกมะขามป้อมแล้วจึงกลับ
    <O:p</O:p
    ๗. ถ้ามีสิ่งใดมาขวางกั้นระหว่างทาง พึงขยายดวงกสิณให้ใหญ่กว้าง หรือแผ่จิตออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ มารหรือตัวใดขวางจะเปิดทางให้
    <O:p</O:p
    อนึ่ง...จุดเพ่งทำดวงกสิณนั้นคือเพดานปากกับจมูกต่อกัน เมื่อได้ดวงแล้ว จึงรวมกำลังส่งออกทางกระหม่อม ภูมิจิตในขณะนั้น ถ้าไปสวรรค์ต้องให้เป็น ‘ปิติสุขภูมิ’ ถ้าไปพรหมโลกต้องให้เป็น ‘อุเบกขาสุขภูมิ’ ถ้าจะไปมนุษย์โลก และ อบายโลกเข้าฌานเพียง ‘วิเวกขาภูมิ’เท่านั้นก็ไปได้<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2010
  5. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    เล่าต่อนะค่ะ ระยะหลังๆความพยายามน้อยลงไปและยุ่ง เพราะลูกๆยังเล็กอยู่ก็เลยไม่ค่อยได้สวดมมต์นั่งสมาธิ แต่ก็มีความเป็นห่วงว่าทำไมตัวเองไม่ทำก็คิดว่าเอาอย่างนี้นอนทำก็แล้วกันนึกถึงพระพุทธเจ้าเพียงคืนละ ห้านาทีก็คงได้บุญเหมือนกันทุกคืนจะท่องอิติปิโสทั้งหมด 3 ห้องก็ทำสมาธินึกภาพพระพุทธเจ้าที่ดิฉันชอบเอาจิตจดจ่ออยู่ตรงนั้นเพียง 5 นาที
    ทำแบบนี้ทุกคืน ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ท่านมาโปรดจริงๆ มาเช้าของวันหนึ่งหลังจากเข้าห้องน้ำกลับมานอนจับอารมณ์สมาธิเหมือนเดิมเพราะจิตมันชินค่ะ ดิฉันมีความรู้สึกว่าจิตจะหลุดก็ปล่อยให้หลุดเพราะไม่กลัวแล้วเกาะพระพุทธเจ้าเอาไว้ขอบารมีท่านช่วยจิตของดิฉันก็ลอยออกไปสูงมากแต่เร็วเพราะกำลังเยอะระมังไปหยุด ณ สถานที่แห่งหนึ่งดิไม่รู้ที่ไหนเพราะมืด ก็ตั้งสตินึกถึงองค์สมเด็จฯ ท่านขอแสงสว่างเท่านั้งแสงสว่างปรากฏเห็นประทับยืนอยู่ตรงหน้า ดิฉันยืนตลึง มองท่านทำอะไรไม่ถูกสวยมากท่านเสด็จมาด้วยกายเนื้อแบบมนุษย์แต่ผิวกายท่านออกขาวเนียนออกเป็นสีอมชมพูออกเป็นแสงประกายแพรวพราวสวยมากพระพักร์(ใบหน้า) ของท่านงามมาก ใบหน้ารูปใข่ริมฝีปากออกเป็นสีชมพูพระเนรตของท่านที่มองดิฉันท่านทรงมีพระเมตตามากดิฉันตลึงในความงามจนทำอะไรไม่ถูกจมมีเสียงมากระชิบข้างหูว่าหมอบลงพร้องกับเหมือนมีมือใคร่มากดดิฉันให้ลงนั่งหมอบกราบพระองค์ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วเอามือ(จะใช้ภาษาที่เหมาะสมก็สะกดไม่ถูก) ก็ใช้ตรงๆนี่แหละท่านทั้งหลายคงไม่ว่ากันนะค่ะ ต่อนะคะท่านเอามือมาแตะที่ศรีษะเหมือนให้พรความรู้สึกของดิ
    ฉันตอนนั้นอบอุ่นมากสุดจะบรรยายยิ่งกว่าอยู่กลับพ่อกับแม่อีกหลังจากนั้นดิฉันก็คิดว่าอยากจะพบพ่อแม่บนสวรรค์ อยากจะขอท่านแต่ไม่กล้าเพียงแค่คิดแต่ท่านรู้ความคิดของดิฉันท่านเลย ตรัสว่า ไปซิไปหาพ่อแม่ของเจ้าพ่อแม่ขอเจ้ารอเจ้าอยู่แล้ว เสียงของท่านกังวลไพเราะมาก แล้วท่านก็หายไปมีภาพพ่อแม่ของดิมาปรากฏแทนไม่มีแก่เลยสักคนสวยๆหล่อๆทั้งนั้นเลยเยอะมากแสดงว่าดิฉันเกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้วเนียเพราะพ่อแม่เยอะเหลือเกินทุกท่านยิ้มไม่มีใครหน้าบึ้งสักคน ดิฉันเลยคิดว่าโอโฮสวยๆ หล่อๆทั้งนั้นเหมือนดาราบ้านเราเลยดิฉันยังไม่ทันกราบท่านๆทั้งหลายจิตกลับร่างสว่างพอดีนี่ประสพการณ์ที่ดิฉันไปพบมาครั้งแรกในชีวิตที่ไม่เคยลืมถึงจะผ่านมาแล้ว 10 ก่วาปีครั้งเดียวในชีวีตจริงๆที่ไปเห็นแบบนี้เพราะจิตที่ออกมีสติทุกอย่างและภาพที่เห็นก็ชัดเจนแจ่มใสมาก ก็ดีอย่างน้อยก็รู้ว่าชีวิตหลังความตายมีจริงจึงตั้งใจทำความดีตลอดมาเผื่อว่าไม่ชาติใดชาติถ้าดดิฉันมีบุญพอจะได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าจะได้ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกเบื่อเหลือเกิน ก็มีอีกหลวงพ่อฤาษีท่านนิพานไปแล้วดิฉันไม่เคยได้พบท่านตอนท่านมีชีวิตอยู่เพราะดิฉันอยู่ต่างประเทศแต่ท่านจะสงเคราะห์มาสอนธรรมะให้บ่อยๆ ในสมาธิในเวลาช่วงาเช้ามืดเพราะจิตเราสะอาดช่วงนั้นไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งก็ไอ้นอนทำก็ได้แต่ว่าให้เรามีสติรู้อยู่ ถ้าจะเห็นหลวงพ่อที่ไรหลวงปู่ปานจะมาให้เห็นก่อนทุกครั้ง ดิฉันไม่เคยรู้จักหลวงปานด้วยช้ำไปว่ามีรูปร่างแบบไหนแต่จิตเราจะบอกเราเอง
    บางครั้งหลวงปู่จะเป็นสีทองทั้งองค์มาหาก็ยิ้มให้ หลังจากนั้นท่านก็หายไปกลายเป็นหลวงพ่อฤาษี ท่านจะสองเรื่องตัดร่างกายเพราะจิตดิฉันมันดื้อจะโดยหลวงพ่อว่าเป็นประจำในสมาธิ แต่มาระยะหลังๆนี้ ไม่ค่อยได้พบหลวงพ่อเท่าไรแล้วเพราะยุ่งทางโลก และมารตัวขี้เกียจมาขัดขวางใจ เพราะแบบนั้นไปไม่ได้แล้วก็แล้วไปฝึกมโนฯแบบครึ่งกำลังเอาฝึกมาเลื่อยๆ ผิดบ้างถูกบ้างก็ทำไป แบบครึ่งกำลังหลวงพ่อบอกให้ตัดความสังสัยออก ดิฉันมันคนขี้สงสัยก็เลยไปไม่ถึงไหน แค่คุยกับเทวดาได้ก็ดีแลว้เคยถามพวกน้องที่เขาเก่งมโนฯว่าใช่หรือเปล่าที่ไปคุยกับเทวดา นอ้งๆก็บอกว่าไช่อย่างสงสัยเลย ขนาดเทวดาท่านยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงแต่ดิฉันก็ยังไม่เชื่อ 100% ต้องหาแนวรวมยืนยัน ตอนก็เชื่อแล้วละว่าคุยกับท่านจริงๆ
    เพราะคำที่ท่านพูดมาสังเกตแล้วว่าถูกหมดเลย ช่วงต้นปีไปคุยกับท่านทุกเช้ามืดหลังจากเข้าหอ้งน้ำแต ณ เวลานี้ไม่ค่อยได้ไปแล้วก็เพราะไอ้ความสงสัยก็เลยไปไม่ค่อยได้ สมน้ำหน้าตัวเอง แต่ก็จะพยามต่อไป
     
  6. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    อืมร์ คะการปฏิบัตินี่ทำได้ทุกอิริยาบท ศิลามณีไม่ค่อยฝึกมโนมัยฤทธิ์ เพราะต้องใช้กำลังจิตที่เข้มแข็ง วันนี้ขอแวบไปก่อนนะคะ เดียวมาคุยใหม่
     
  7. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขอขอบคุณธรรมะดีๆ ของคุณศิลามณีที่ส่งมาให้ขอบคุณย้อนหลังคงไม่เป็นไรนะค่ะแต่เดียวนี้ก็ชอบนั่งสมาธิแบบเงียบๆ เอาจิตไว้กับตัวปกติหลวงพ่อท่านจะแนะนำให้ลูกๆยกจิตออกแบบมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังมีฤทธ์ทางใจ คือเนรมิตอีกตัวขึ้นมาแล้วไปกราบพระพุทธเจ้าบนนิพานคือท่านสอนให้จิตเราเกาะนิพานนั้นเองแรกๆดิฉันก็ไปบ่อยๆ แต่มาระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้ไปชอบนั่งสมาธินิ่งๆเอาจิตไว้กับตัว เรื่องของเรื่องก็ขี้เกียจนั่นเองบางครั้งจิตมันดื้อ บางครั้งมันก็ไม่อยากเอาอะไรเลยเหมือนกันถ้าขืนเป็นแบบนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะพ้นปากนรกหรือเปล่าถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะพยายามทำให้ดี่ที่สุด
     
  8. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    เกี่ยวการถอดจิตนี่... ศิลามณี ไม่ค่อยได้ฝึก..เพราะรู้สึกกลัวคะ :p กับอีกเคยได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ ท่านว่าถ้าเกิดไปจ๊ะเอ๋ กับ เจ้ากรรมนายเวรที่เค้ายังไม่ได้ไปเกิด หรือ หลงเข้าไปในสถานที่ ที่ไม่อันควร กลับเข้ากายหยาบไม่ได้...ก็เสร็จนะสิคะ


    ... แต่ขนาดไม่คิดที่จะฝึกนะคะ ในขณะปฏิบัติก็ยังมีอาการรู้สึกว่า ร่างกายของเราเหมือนมีร่างอีกร่างซ่อนกันอยู่ และ รู้สึกลอยๆเหมือนกำลังจะหลุดออกไป ...ต้องวิ่งไปหาครูบาอาจารย์นะคะ ไปเรียนถามท่าน และได้คำชี้แนะมาว่า ก่อนจะปฏิบัติให้กำหนดจิต บอกกายทิพย์เสียก่อน ว่าค่อยๆเคลื่อนออกจากกายหยาบนะ ยังมือใหม่อยู่.. กับ ให้กำหนดจิตสั่งไว้ด้วยว่า ถ้าจะต้องออกไปจริงๆ ก็ขอให้ไปอย่างปลอดภัย และ กลับเข้ากายหยาบอย่างปลอดภัย อีกทั้ง ใครมาชวนออกไปก็ไม่ไป ถ้าจะไปจะไปเองคะ ก็เลยไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการไปเที่ยวทางจิต

    ...แล้วค่อยคุยใหม่นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  9. ying_pim

    ying_pim สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    งานสวดพานยักษ์ !!!อยู่ที่ไหนคะเริ่มวันไหน??ท่านใดทราบกรุณาบอกด้วย

    (ได้ประโยชน์มากเลยคะจากข้อความข้างบนที่ได้อ่าน ถึงบางอ้อแล้วค่ะ
    เสียงที่พิมพ์ได้ยินต้องการให้พิมพ์ทำอะไรเทพ หรือเทวดา ครูอาจารย์ท่านใด)
     
  10. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ก็นั่นแหละค่ะ คุณสิลามณี ที่แรกก็ออกอยู่ดีๆ แบบจิตหลุดแต่พอดิฉันมาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่าออกแบบนี้ไม่ดีเพราะถ้าไม่มีสติหรือโดยแกล้งตัดสายใยชีวีตเราก็จะกลับร่างไม่ได้ดิฉันก็เกิดความกลัวขึ้นมาก็เลยเลิกไปแบบนั้น แต๋ ณ เวลานั้นยังไม่เข้าใจแบบมโนฯ ครึ่งกำลังว่าเขาไปกันอย่างไร พูดคุยกันได้หมายความว่าครูถามผู้ฝึก แล้วผู้ฝึกก็ตอบดิฉัน งง เพราะถ้าไปแบบดิฉันถามตอบไม่ได้แน่ๆ เพราะจิตมันหลุดออกไปเลยห้ามถูกตัวถ้าถูกจิตจะกลับทันทีแล้วอย่างนี้พูดคุยไม่ได้แน่ แต่ก็เก็บความสงสัยใว้เพราะไม่เข้าใจว่ามีฤทธ์ทางใจเป็นอย่างไร จึงรอเวลาว่าถ้าตัวดิฉันกลับมาเมื่องไทยเมื่อไรจะลองไปฝึกดู ระหว่างที่รอก็ฝึกสมาธิอ่านหนังสือธรรมะจำพวกค้นหาในแนวฝึกสมาธิและในเรื่องกฏแห่งกรรมอะไรไปตามเรื่องความพยายามลดน้อยลงแล้วก็เพราะยังมีความกลัวอยู่จิตก็เสียระยะหลังก็เลิกไปแบบนั้นถาวร แต่พอมาได้มีโอกาส ได้ย้ายไปอยู่เมื่องไทย ก็เลยลองไปฝึกดูที่บ้านสายลมสะพานควายจึงเข้าใจว่ามโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังเป็นแบบนี้เองไม่อยาก เพราะเราเอาความรู้ออกไปแค่ครึ่งเดียวไม่ได้ยกไปทั้งตัว จึงไม่น่ากลัวอะไรเพราะความรู้ทางกายเนื้อยังมีอยู่แต่มันชวนสงสัยเท่านั้นเองเพราะภาพที่เราเห็นมันจะไม่ชัดเจนมืดๆมัวๆขึ้นอยู่ที่จิตถ้าจิตสะอาดก็เห็นได้ชัด ช่วงต้นปีที่ไปคุยกับท่านเทพฯ เพราะไม่อยากจะเชื่อท่านคงรู้ในความคิดของดิฉันเพราะดิฉันจะไม่เห็นตัวเอง(กายทิพย์) ก็เลยไม่แน่ใจว่าจริงหรือหลอก ท่านเลยพูดว่าเอามือมานี่ดิฉันว่าเอาไปทำไม จะพิสูจน์ให้เธอหายสงสัยดิฉันก็เอามือไปให้ท่านจับ ความรู้สึกนะค่ะ ท่านบอกว่าหลับตาทำจิตนิ่งๆ ให้เป็นสมาธิดิฉันก็ทำตามท่านเหมือนเข้าไปอยู่ในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนจะหลับแต่ไม่หลับมันอธิบายไม่ถูกท่านอาจจะใช้เทวนุภาพช่วยด้วยระมังพอความรู้ของดิฉันกลับมาดิฉันเห็นตัวดิฉันคือกายทิพย์ สวยมากแต่งชุดไทยสีมรตเครื่องประดับครบรัศมีกายแพรมพราวใบหน้าของดิฉันเหมืองเด็กอายุ ระหว่าง 15-16 เลยภาพที่เห็นชัดมาก ดิฉันเลยพูดกับท่านว่าเห็นตัวเองแล้วทำไมสวยจังท่านบอกว่าก็บุญที่เธอทำมาไงจิตเธอใสเท่าใดเธอก็จะสวยเท่านั้น ท่านก็บอกว่าเลิกสงสัยได้แล้วนะเพราะเธอเห็นตัวเธอแล้วนี่ ดิฉันก็ขอบคุณท่านแล้วถามท่านว่าทำไมตัวนั้นมันแก่จัง ท่านบอกนั้นมันกายเนื้อ
    ใช่ค่ะมันมีตัวซ้อนอยู่ในกายเนื้อจริงๆ ทุกครั้งที่ดิฉันไปแบบหลุดดิฉันจะไม่เคยเห็นตัวเองเลยพอมาฝึกมโนฯแบบครึ่งกำลังถึงได้เห็นตัวเอง อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้หาสงสัยถ้าใครได้มโนมยิทธิเก่งๆวันไหมไปทำบุญกลับมาขึ้นไปสำรวจข้างบนว่าเรามีสมบัติมากน้อยขนาดไหนจะได้เป็นกำลังใจสร้างความดีต่อไปเพราะเราเห็นผลบุญของเรา แต่ดิฉันยังไม่เก่งแค่เห็นแค่นี้ก็หายสงสัยได้แล้วการฝึกมโนฯไม่น่ากลัวเลยก็แล้วแต่ความชอบของผู้ฝึกค่ะ
     
  11. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ดิฉันก็ไม่ทราบหรอกค่ะว่างานสวดพานยักษ์อยู่ไหน เพราะไม่ค่อยสนใจแต่ถ้าคุณอยากพิสูจน์ก็ลองไปฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังดูเพราะฝึกแบบนี้ก็ได้ผลเหมือนกันถ้ามีสิ่งไม่ดีในตัวเราก็จะออกมาหมดเหมือนกันเพราะดิเห็นมาแล้วพวกที่ไปฝึกถ้ามีสิ่งไม่ดีในตัวก็จะแสดงออกมาเลยน่ากลัวมาก
     
  12. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    แค่อ่านที่คุณ นันทิยา เล่าให้ฟังแล้วจิตตนาการนึกตาม สวยจริงๆด้วยคะ...

    ศิลามณี มักใช้การสร้างมโนภาพทางจิต ในการแผ่เมตตา และ อุทิศบุญกุศลทั้งหลายที่ได้กระทำมา ให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ครูบาอาจารย์ เทพดาทุกพระองค์ ตลอดจน เจ้ากรรมนายเวร และ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ...


    อืมร์....พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นมาได้คะ คือเมื่อหลายวันก่อน ศิลามณี รู้สึกปวดศรีษะ และ ง่วงนอน แต่พอนอนได้สัก 2-3 นาที ร่างกายมีอาการกระตุก สะดุ้ง เป็นได้สัก 2-3 วัน ยังไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาส เรียนถามถึงอาการนี้ กับ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง และ ท่านได้เมตตา กรุณาให้ข้อคิดไว้ว่า น่าจะมี 2 สาเหตุ เหตุแรก อาจเกิดจากร่างกายเข้าสู่วัยทอง :p ( คิกๆ ถ้าทองนั้นเป็นทองคำจริงๆก็ดีนะคะ ศิลามณีจะเอาไปขายให้เกี้ยง บำรุงพระพุทธศาสนาให้หมดเลย ) เหตุที่ 2 อาจเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร เค้ามาทวง ก็เลยถึงบางอ้อ ... ไม่ทันได้นึก .. ผงเข้าตา และ เส้นผมบังภูเขาจริงๆคะ ขอขอบคุณท่านผู้ทรงวุฒิท่านนั้นด้วยจิตคารวะ อีกครั้งนะคะ .....<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    เล่าต่อนะ การสร้างมโนภาพทางจิต ที่ศิลามณีใช้นี่ เป็นการกำหนดจิตให้เป็นแสง และ สีนะคะ ครูบาอาจารย์ท่านแนะว่า ให้เป็นสีใดก็ได้ที่ตัวเราชอบ ศิลามณีชอบสีขาว ก็เลยกำหนดให้เป็นแสงสีขาวสว่างใส ให้ออกมากลางคิ้วทั้งสอง ให้จดฟ้าดิน และ ขอบฟ้าทางซ้าย ทางขวา แล้วกล่าวคำแผ่เมตตาจิตออกไป ดังนี้นะคะ

    เมตตาจิต : สัพเพสัตตา อะเวราโหนตุ อะเวราโหนตุ สะญาตะโย
    <O:p</O:p
    กรุณาจิต : สัพเพสัตตา อะหิงสาโหนตุ อะหิงสาโหนตุ สะญาตะโย
    <O:p</O:p
    มุทิตาจิต : สัพเพสัตตา อะนีฆาโหนตุ อะนีฆาโหนตุ สะญาตะโย
    <O:p</O:p
    อุเบกขาจิต : สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ สุขิตาโหนตุ สะญาตะโย
    <O:p</O:p
    จากนั้นก็กำหนดแสง ให้พุ่งขึ้นจากศรีษะด้านขวา ด้านซ้าย และ ด้านท้ายทอย ....แล้วกล่าวคำแผ่เมตตา (ข้านบนอีกครั้ง) จนจบ ... สุดท้ายกำหนดจิตอีกครั้ง ให้เป็นแสงสว่าง ปรากฏครอบคลุมพื้นดินทั้งหมด รวมทั้งตัวเราเองด้วยนะคะ แล้วเจริญเมตตาจิต ทั้ง 4 บรรทัดข้างบนอีกครั้ง

    ทีนี้ก็กล่าวคำเจริญเมตตาจิต ให้กับตนเอง 3 จบ “ อะหังจะ , ปิยะชะนาจะ , สุขิตาโหนตุ , สะญาตะโย แปลว่า “ ขอให้ข้าพเจ้า เพื่อนรัก และ มิตรสหาย จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ พร้อมทั้งญาติพี่น้องโดยทั่วถึงเทอญ ....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วันนี้เราคุยกันเท่านี้ก่อนนะคะ บายๆบายคะ<O:p</O:p
     
  13. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    อ่านเรื่องขอคุณแล้วดีจังคุณ ศิลามณี ดิฉันว่าคุณจะมีบุญเก่าที่คุณสะสมมานะค่ะเนี่ยถ้าคุณไปฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังคุณจะได้ทันทีเลยละเพราะมโนฯแบบครึ่งกำลังเขาใช้ความรู้สึกแล้วเอาสมาธิควบคุมอีกทีแต่คุณกำหนดเห็นแสงเห็นสีอย่างนี้มโนฯแบบครึ่งกำลังก็เหมือนกันค่ะ สิ่งที่เพิ่มมาอีกอย่างก็คือตัดขันธ์ห้า คือร่างกายมองไห้เห็นว่าไม่สะอาดสกปรกตัดด้วยความรู้สึกจริงๆ ภาพที่เราเห็นอยู่ในจิตก็จะชัดเจนขึ้น แต่มันก็อยากค่ะเพราะจิตดิฉันมันดื้อ มันไม่ค่อยจะคิดตัดดิฉันจะต้องเอาหัวสมองไม่ยุ่งเกี่ยวกับธรรมะเยอะๆ
    ฟังธรรมะจากพระอาจารย์หลายๆองค์ขัดเกาให้จิตสะอาด ขนาดหาทางขนาดนี้มันก็ยังไม่ยอม ยิ่งถ้าไปยุ่งเรืองหนังเรื่องละครละก็ไม่ต้องพูดถึงลืมไปได้เลยเรื่องธรรมะดิฉันจึงต้องพยายามทุกวันนี้ถ้าดิฉันกลับเมื่องไทยดิฉันจะหาวัดเพื่อไปบวชพราม และจะไปทำบุญหลายๆวัดที่ตัวเองพอรู้จัก แต่ก่อนจิตดีมากแต่ตอนนี้ไม่ไหวจิตไม่ดีเท่าทีควรการรับสัมผัสก็จางลงไปแม้นแต่กำหนดแสงสีก็กำหนดไม่ค่อยจะออก เมื่อช่วงต้นปีที่จิตดีๆไปคุยกับเทวดาได้ท่านเคยสอนไว้ว่าอย่าไปดูละครเพราะดิฉันเป็นคนชอบดูละคร และท่านก็บอกว่าให้ทำสมาธิจับลูกแก้วหรือแสงสว่างอะไรก็ได้เพราะเธอได้กระสินแสงสว่างมาแรกๆก็ทำตามที่ท่านบอก แต่ตอนนี้เกิดความขี้เกียจ คิดขึ้นมาก็เบื่อไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไรดีโดยเฉพาะมารตัวหลับทำสมาธิไรทีชอบหลับทุกทีมาระยะหลังนี้ คงจะไม่มีใครช่วยตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง คำอุทิศส่วนกุศลของคุณดีค่ะ มีเยอะค่ะสามารถอุทิศได้หลายแบบหรือจะพูดสั้นว่าบุญกุศลที่ดิฉันทำมาตั้งอดีตชาติจนถึงปัจุบันชาติขออุทิศให้ เจ้ากรรมนยเวร และนายหรือนาง และใครก็ได้ว่าไปตามใจปราถนา และลงท้ายว่าขอให้มารับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้กะทำมาในวันนี้ด้วยเถิด ดิฉันอุทิศแบบนี้เร็วดีบางครั้งก็เอาหนังสือมากางอ่านจำไม่ได้ ก็ว่ากันไป

    สังสัยจะดิฉันและคุณ ศิลามณีระมังที่คุยกัน
     
  14. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    คุณนันทิยา เบื่อที่จะคุยหรือยังละคะ ถ้าเบื่อเลิกก็ได้นะ หรือ ว่ามีธุระอะไรที่ต้องไปทำหรือเปล่า กรุณาอย่าเกรงใจคะ ส่วนที่มีแต่เราคุยกันก็คงไม่แปลก ศิลามณีว่าเพื่อนๆคงขอเวลาสักพักหนึ่ง ขออ่านก่อนกระมังคะ .... ถ้ายังไม่เบื่อ และ ยังไม่ยุ่งจะได้คุยต่อคะ................

    ศิลามณี อยากถามถาม คุณนันทิยาคะ คือหลังจากที่คุณนันทิยารับ และ สัมผัสพลังงานได้ คนรอบข้างของคุณนันทิยา มีปฏิกิริยาอย่างไรคะ และ คุณนันทิยาจัดการยังไง แล้ว มารที่มาหาคุณนันทิยา นี่เป็นยังไงคะ มาในรูปแบบไหน หากยังไม่เบื่อที่จะคุยลองเล่าให้ฟังได้ไหมคะ
    <O:p</O:p
     
  15. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    คุณศิลามณียิงคำถามเป็นชุดเลยอะ 555 ที่ไม่ค่อยมีคนโพสต์อาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่แล้วสมาชิกที่เข้ามาอาจจะเป็นคนเดิมๆซะส่วนใหญ่ค่ะ เค้าอาจจะผ่านกระทู้ประมาณนี้มาเยอะก็เป็นได้ หรือไม่ก็ขี้เกียจพิมพ์ อิอิ
     
  16. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ไม่เบื่อค่ะคุยได้เลื่อยๆ อ่านไปก็ไม่ต้องคิดอะไรมากนะค่ะอ่านเพื่อสนุกๆ มารก็หมายถึงความขี้เกียจ ปฎิบัติธรรม เวลาทำสมาธิชอบหลับถ้อแท้จิตไม่ค่อยจะตั้งหมั่นเหมื่อนก่อนเดี๋ยวดิฉันจะเล่าให้ฟังนะค่ะก่อนที่ดิฉันรับสัมผัสท่านเทพไม่ได้ดิฉันจะขี้โรคมากเลยค่ะบางครั้งเหมือนตัวเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดปกติ จะปวดหัวเหมือนเป็นไมเกรน
    ถ้าปวดขึ้นมากินยาอะไรก็ไม่หาย ต้องมานอนทำสมาธิถึงจะเบาลงแต่ก็ไม่หายแต่เบาลง
    เวลากลับไปเมืองไทยขับรถไปทำธุระที่ไหน เวลาขับต้องเอายาดมเสียบจมูกตลอดเพราะมันเหนือย แม่ดิฉันจะสงสารดิฉันมากเมื่อกลับมาถึงบ้านต้องรีบเข้าห้องนอนทันทีหมดแรงค่ะ คุณศิลามณี เป็นอย่างนี้มาตลอดยิ่งอากาศร้อนๆไม่ต้องพูดถึงเลย เดี๋ยวก็ปวดหัวๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรคงจะเป็นเพราะดิฉันเริ่มแก่นั้นเอง ตั้งแต่ต้นปีนี้ที่รับสัมผัสท่านเทพฯได้ อาการต่างๆที่เป็นมันหายไปเลย โดยเฉพาะหัวใจที่ดิฉันคิดว่าเป็นโรคหัวใจเพราะมันจะเหนือยง่าย และหัวใจเต้นผิดปกติ พอเมื่อต้นปีที่ดิดต่อกับท่านได้แบบมโนฯเพราะช่วงนั้นท่านจะมาหาบ่อย ดิฉันก็เลยถามท่านว่าดิฉันจะไปหาหมอ ท่านถามไปหาทำไมดิฉันบอกจะไปตรวจว่าดิฉันเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าเพราะมันมีอาการแปลกๆ ท่านบอกว่าไม่ต้องไปหรอกเธอไม่ได้เป็นอะไร ที่เธอเป็นแบบนั้นเธอมีความผูกพันธ์กับเราแล้วเรามีความผู้พันธ์กับเธอถ้าเราเจ็บเธอก็ต้องเจ็บด้วย ดิฉันเลยถามว่าเทวดาเจ็บเป็นด้วยหรือท่านบอกว่าเจ็บเป็นซิ เทวดาก็มาจากมนุษย์ท่านหมายความว่าตายจากมนุษย์แล้วมาเกิดเป็นเทวดา
    แล้วท่านก็พูดเทวดายังมีจิตเป็นมนุษย์อยู่ครึ่งหนึ่ง จะมีความคิดคล้ายมนุษย์แต่เทวดาจะมี
    หิ ริ โอ ตะ ปะ มีศิลห้าบริสุทธิ์ ก็เท่านั้นเอง ดิฉันก็เลยเข้าใจ เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่เจ็บที่หัวใจแล้วท่านคงรู้แล้วว่าดิฉันรับสัมผัสท่านได้ ทุกวันนี้ถึงดิฉันไม่ได้ไปคุยกับท่านแต่ดิฉันก็รับสัมผัสท่านได้เวลาที่ดิฉันทำงานในครัว ที่ต่างประเทศอากาศมันหนาวดิฉันก็จะรับสัมผัสเหมือนมีพลังอุ่นๆ อยู่ข้างกายเราและจะมีกลิ่นหอมออ่นๆ มาปะทะจมูก มันก็แปลกดีแต่ก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้มี คนในครอบครัวก็ดีขึ้น ปกติลูกสาวดิฉันจะเกเรชอบเที่ยวแต่งตัวเหมือนเด็กพั้งอะไรแบบนี้ดิฉันและสามีก็กลุ้มใจกลัวจะเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ท่านเทพฯคงรู้ในความคิดและความกังวลของดิฉัน ท่านก็เลยพูดขึ้นว่าโดยที่ดิฉันไม่ได้ถาม เธอไม่ต้องห่วงลูกสาวเธอนะเขาเป็นคนที่รับผิดชอบ ชีวิตเขารู้ว่าเขาจะดำเนินชีวิตเขาอย่างไร ดิฉันก็เลยถามว่าแล้วลูกชายคนเล็กละ เพราะเขาดื้อ ท่านก็พูดว่าลูกชายคนเล็กของเธอเขายังเด็กอยู่เอาไว้ให้เขาโตกว่านี้เขาจะรู้จักประสาเอง แต่ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวเราจะช่วยดูแลอีกแรงหนึง และท่านก็พูดถึงน้องชาย พิการที่ตายไปว่า น้องเธอ เธอไม่ต้องเป็นหว่งนะเขาสบายแล้ว ดิฉันถามเขาอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่าเขาอยู่ที่ ชั้นจตุ(หมายถึงชั้นจตุมหาราชิกานั้นเอง) เรื่องทั้งหมดดิฉันไม่ได้ถาม แต่ท่านพูดขึ้นมาเองทั้งหมด หลังจากที่ท่านพูดทุกอย่างเป็นจริงลูกสาวเปลี่ยนไปในทางที่ดีตั้งอกตั้งใจเรียนลดการเทียวลงแต่ก่อนหน้านั้นมีแฟนดิฉันก็กลัวว่าจะเสียการเรียนแต่เดี๋ยวนี้เลิกหมดตั้งใจเรียนจะเอา เอ ให้ได้ 3 ตัว ดิฉันก็เลยสบายใจขึ้น แต่ลูกชายคนเล็กยังดื้ออยู่เพราะยังเด็กจริงๆก็ต้องรอดูเมื่อเขาโต นี่แหละค่ะคุณศิลามณี ไว้จะเล่าให้ฟังอีกสำหรับญาติที่ตายไปแล้วว่าเขาไปอยู่ไหนกัน ท่านก็มาบอกดิฉันแต่ก็ไม่ทุกคนหรอกคะแต่ท่านจะรอให้ดิฉันไปสัมผัสเองแล้วท่านก็คอยตามดูถ้าผิดปกติท่านก็จะคอยดึงจิตดิฉันกลับทุกครั้ง มันแปลกแต่ก็เป็นประสพการณ์ค่ะ
     
  17. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ช่วงที่ไปคุยกับท่านเทพฯ จะเป็นช่วงเช้ามืดหลังจากดิฉันกลับจากเข้าห้องน้ำแล้วกลับเข้ามานอนจะนอนไม่หลับ แล้วจะนอนทำสมาธิและนึกถึงท่าน ท่านก็จะมาคุยด้วยดิฉันก็ใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติ แต่จะรับสัมผัสท่านได้เท่านั้นเองไปไหนท่านก็ตามไปด้วยแต่จะคุยก็ต้องเข้าสมาธิถ้าไม่เข้าสมาธิก็คุยไม่ได้ เพราะดิฉันยังไม่เก่งพอที่จะคุยได้ทุกเวลาและเวลานี้ยิ่งแย่ใหญ่จิตดิฉันไม่คอยสะอาดการพูดคุยหรือรับสัมผัสก็แย่ลงไปด้วย
     
  18. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellPadding=0 width="100%" background=http://palungjit.org/images/b_top.jpg border=0><TBODY><TR><TD width=125>[​IMG]</TD><TD vAlign=top width=87>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระลักษมีที่แผ่ออกไปข้างละวา
    นั้นแหละย่อมมีเทพที่ปกปักรักษา
    พุทธองค์สัญฐานมีอณูเท่าเม็ดข้าว
    สาร สีทอง สีขาวใสแวววาว
    ดูแล้วใจจะหยุดนิ่ง
     
  19. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    อยากจะคิดแบบคุณ และคุณนันทิยาเหมือนกัน เห็นบ่อยมากไม่ต้องหางตาหรอกมากันตรงนี่ละ แต่เราก็คิดไปทางหลักวิทยาศาสตร์ด้วยว่า อาจจะเกิดจากสายตาเราเอง ไปหาคำตอบในเน็ท เค้าว่าเป็นเพราะประสาทตาเสื่อม จะเป็นๆหายๆ ได้รับการรักษาก็หายได้ แต่ในบางรายก็อันตรายเหมือนกันถ้าปล่อยให้เป็นนานเกินไป จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคลค่ะ
     
  20. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    คะ ผู้ที่มีเทวดาคุ้มครองรักษา มีอาการดังที่คุณนันทิยาเล่า ครูบาอาจารย์ท่านว่านี่เป็นเรื่องปกติ ..... สิ่งที่ท่านควรทำเมื่อสัมผัสได้คือ การสำรวมกายวาจา และ ใจให้สงบ นั่งนิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นคะ ทำใจให้ว่าง และ มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอาการเฉยๆ เป็นกลาง คือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น..

    บางคนไม่เจ็บหัวใจ แต่ มีอาการเหมือนมีเข็มแทงสวนขึ้นมาในร่างกาย และ รู้สึกหนักที่บ่า ไหล่ทั้งสองข้าง ในขณะนั่งสวดมนต์ หรือ นั่งปฏิบัติ มีอาการเจ็บตามเนื้อตัว หรือ บางทีมีอาการรู้สึกเย็นที่กลางอก และ จะรู้สึกเย็นวาบมากขึ้นมีลักษณะเป็นวงกลมเป็นจุดเล็กถ้าเอามือไปแตะกลางหน้าอก อีกทีก็ เย็นที่ท้ายทอย ยิ่งเวลาไปร่วมงานบุญงานกุศล ในที่ต่างๆจะสัมผัสได้มากขึ้นคะ ....เทวดามาอนุโมทนาบุญ อีกอย่างนะคะ....ไม่มีเรื่องบังเอิญในโลกนี้คะ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...