999 ประสบการณ์วัตถุมงคล หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ 999

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ดู๋ดี๋, 27 มิถุนายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. BROSNAN

    BROSNAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ถ้าพูดถึงประสพการณ์เรื่องรถ ผมเองจะเจอประเภทเฉียดมากกว่า หรือจะเรียกว่าแคล้วคลาดก็ได้

    เมื่อประมาณปลายปี 2552 ผมเองกำลังจะเดินทางไปเที่ยวหัวหิน งานแจ๊ซเฟลติวัล ก่อนเดินทางหนึ่งวัน ผมเองรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี และมีความรู้สึกแปลก ว่าตนเองไม่อยากจะไปเลย แต่เปลี่ยนใจไม่ได้เพราะนัดทุกคนที่บ้านไว้หมดแล้ว และ จ่ายค่าที่พักไปหมดแล้ว
    ตกตอนกลางคืน นอนก็ไม่หลับ เลยออกจากห้องนอนเข้าสู่ห้องพระไปกราบรูปหล่อหลวงปู่หงษ์ โดยบอกว่า ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไร แต่ทำไมถึงไม่อยากไปก็ไม่รู้ รู้สึกไม่สบายใจ หลวงปู่เมตตาไปกับผม และ คุ้มครองผม และ ทุกคนในครอบครัวด้วยนะครับ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ แบบเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้หนักกลายเป็นเบานะครับ และ รุ่งขึ้นก่อนออกจากบ้าน ผมก็ให้ทุกคนไหว้หลวงปู่ก่อน พร้อมให้ทุกคนคล้องพระ หลวงปู่

    ปกติเดินทางออกต่างจังหวัด จะใช้ความเร็วที่ 120-140 กม แต่วันนั้นผมขับ 80-100 ก.ม. จนภรรยาทัก ว่าวันนี้มาแปลกขับช้าจัง แล้วเมื่อไหร่จะถึงละเนี่ย ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ก็ขับต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้สิ้นสุดถนนเส้น ธนบุรี-ปากท่อ ก็เห็นป้ายเชิญไหว้พระบรมสารีกริกธาตุ ด้านซ้ายมือ จำไม่ได้เหมือนกันว่าป็นวัดอะไร ก็เลยบอกทุกคนในรถว่า เดี๋ยวเราไหว้พระ ทำบุญ และไหว้พระบรมสารีกธาตุกันก่อนดีไหม

    ผมไม่ฟังคำตอบจากทุกคนตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในวัดทันที มองเข้าไปในวัดนั้น ไม่มีรถผู้คนเลย มีลานจอดกว้างๆ อยู่หนึ่งลาน พื้นที่น่าจะกว้าง ประมาณ 1 ไร่เห็นจะได้
    ทันทีที่ผมจอดรถ เพื่อนทราบไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น


    เสียงดังบึ้มมมมมมมมมมมมมมมม ยางล้อขวาด้านหน้าระเบิดทันที ที่จอดรถ ระเบิดขนาดยางฉีก และ ไม่สามารถใช้ได้ใหม่ ผมเองยกมือไหว้รูปหลวงปู่ที่อยู่แผงบังแดดท่วมหัว ขอบคุณมากครับหลวงปู่ ผมขอบคุณมากครับ หลังจากนั้นเลยนำยางอะไหล่มาเปลี่ยน แต่ลมยางอะไหล่ เหลือน่าจะประมาณ 15 ปอนด์เอง เพราะเส้นนั้นก็ซึมเหมือนกันก็ใช้เวลาเปลี่ยนอยู่ 20 นาที ก็ขับต่อไปเพื่อเติมลมยางอะไหล่ และ ปะยางอะไหล่ไปพร้อมกัน แต่................... ขับต่อไปปั๊มแรก เครื่องเสีย ขับต่อไปปั๊มที่สอง.............คนขายยางปิดร้าน (เป็นปั๊มเล็กๆ) ไม่มีเครื่องเติมลม ต้องอาศัยร้านปะยาง

    ใจเองก็คิดว่าจะต้องขับประคองไปอีกนานเท่าไหร่ครับ ก็อธิษฐานว่า ขอให้ปั๊มต่อไปมีลมให้เติมและร้านปะยาง ทีเถิด เพราะถ้านานกว่านี้ เห็นที่จะต้องจอดรถทิ้งเอาไว้ ก็มาสมหวังในร้านที่ 3 นี่เอง ระยะทางก็หลายกิโล ไม่ได้จำเพราะลุ้นอย่างเดียว รถแฉลบอย่างเดียวเลยเพราะลมยางอ่อนมาก


    วันนั้นหากเหตุการณ์ยางระเบิด ขณะที่ผมขับรถด้วยความเร็ว คงไม่ต้องบรรยายครับว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะ ยางหน้าระเบิดเสียด้วย อันตรายมาก นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมรอดพ้นจากอุบัติเหตุ ด้วยบารมีหลวงปู่หงษ์ โดยแท้

    คราวหน้าผมจะเล่าเหตุการณ์อีกหลายๆเหตุการณ์ ที่ประสพกับผมเยอะอยู่พอสมควร
     
  2. BROSNAN

    BROSNAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ลืมบอกไปครับ ยางรถยนต์ของผมเพิ่งเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด 4 เส้น ระยะทางเพิ่งใช้มา 2000 กว่ากิโลเมตร
     
  3. นายบางด้วน

    นายบางด้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +101
    อนุโมทนาด้วยครับคุณ BROSNAN กับประสพการณ์แคล้วคลาด

    หลวงปู่คุ้มครองคนดีเสมอครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S4300050.JPG
      S4300050.JPG
      ขนาดไฟล์:
      516 KB
      เปิดดู:
      338
  4. สมาธิ7689

    สมาธิ7689 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +1,251
    ขอต่อกับเรื่องรถอีก 2ครั้งนะครับ
    1.ผมได้ไปรับเอกสารลูกค้าแถวสมุทรสาคร ประมาณบ่าย 2ผมขับรถกลับ ก่อนจะขึ้นทางด่วนทางพระราม 2 ไปลงสมุทรปราการ(ที่ทำงาน) ประมาณสัก 1กม.ได้ มีรถเก๋งโตโยต้ามาตัดหน้า(ออกขวากระทันหัน)ผมขับรถมาด้วยความเร็ว 90-100ประมาณ ต้องแตะเบรคทันทีเลยทำให้รถสะบัดและไถลไป จะไปโดนรถคันที่ตัดหน้ารถ ผมต้องหักหลบ พอหักหลบได้แล้วสิ่งที่เห็นคือ กำแพงที่กันถนนอยู่ข้างหน้าและก็ได้ยินเสียงเบรคอย่างแรง จากรถคันข้างหลัง แต่ก็ไม่อยู่รถคันดังกล่าวมาชนรถผมที่ด้านหลังฝั่งขวา(เป็นเหตุทำให้รถผมหยุด)แล้วก็ยังไม่วาย สักพักหูผมก็ได้ยินเสียงรถเบรคดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทำให้ตัวผมกระเด้งหัวชนกับเพดานรถ สรุปรถที่ชน รถผมมี 2คันคือ(เบรคแรกเป็นมิตซูฯ ไทรทัน และเบรคที่สองเป็นรถสิบล้อเลยทำให้ผมรู้ว่าทำไมตัวผมถึงกระเด้ง) หลังจากนั้นคนขับรถไทรทันก็ลงมาดู
    ความเสียหาย พอดีเค้าก็เห็นว่ารถเก๋งต้นเหตุกำลังจะขยับตัวออกรถ เค้าเลยบอกผมๆจึงวิ่งไปหยุดเค้าไว้ (ถ้าไม่หยุดไว้ผมก็ยุ่งสิครับพี่น้อง) พอมาถึงประกันครับ ประกันของรถเก๋งก็พยายามบอกว่ารถเค้าไม่เห็นเสียหายเลย จะเป็นผู้ก่อเหตุได้ไง (ตกลงกันไม่ได้ก็ถึงมือตำรวจครับ) ต้องไปกันที่สถานีอย่างเดียว ก็เลยลำเหตุกัน (แต่บังเอิญอีกอย่างที่คนขับรถไทรทันบอกทางตำรวจว่า รถเก๋งคันดังกล่าวเป็นผู้ขับเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหัน) เลยทำให้เรื่องจบด้วยดีครับ
    ปล. ยังมีอีกเรื่องครับ ไว้ทำงานก่อนแล้วจะลำดับเหตุการณ์ให้
    *ถ้ามีการพิมพ์ผิด ผมจะเข้ามาแก้ไขคำพิมพ์ครับ (แต่เนื้อหาเดิม)เพราะต้องทำงานแล้ว
    ต่ออีกเหตุการณ์ครับ ก็เรื่องรถๆนี้แหละ
    เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ถนนอิสระภาพ (ฝั่งละ 2เลนไปและกลับ)คนแถวนั้นคงรู้จักนะครับ
    เหตุขึ้นตอน 5โมงเย็นหรือ 17นาฬิกากว่าๆประมาณ หลังจากกลับจากถ่ายรูปหลานที่รับปริญญา
    ของ ม.ธรรมศาสตร์ ผมข้ามเรือมาฝั่งศิริราชมารับรถคันนี้ครับ ก็ขับด้วยความเร็วที่ 70-80ได้
    พอผ่านตลาดพรานนกมา , โรงพยาบธนบุรี,ขึ้นสะพาน (ช่วงนี้แหละกำลังลงสะพาน ข้างหนาซ้ายมือ
    มีรถเก๋งอยู่ แล้วอยู่ๆมอเตอร์ไซค์ ก็มาทางซ้ายด้วยความเร็วแล้วก็ออกขวามาตัวหน้ารถผม ผมจึง
    ต้องแตะเบรคเพื่อไม่ให้ชนแต่ด้วยความเร็ว+แตะเบรคทันที รถผมก็หมุน 180องศา จนรถผมไปหันหน้า
    เข้าหารถคันที่วิ่งอยู่หน้าผม แล้วผมก็บังเอิญหันไปมองท้ายรถผมที่กำลังหมุนอยู่ ท้ายกำลังจะไปชนรถอีกคันที่อยู่อยู่ริมถนน จังหวะนั้นสมองผมก็หมุนพวงมาลัยคืน (ตาก็มองท้ายรถ , มือก็หมุนพวงมาลัย)
    พอรถหยุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รถผมไปหยุดอยู่ตรงหน้ารถดังกล่าว (คือ หันหน้าเข้าหากันโดยไม่มีการชนใดๆทั้งสิ้น) หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฎิบัติการอยู่ก็เดินมาดู พอเห็นว่าไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
    ก็ทำการอำนวยความสะดวกให้ผมโดยการโบกรถ(เปิดทางให้ผมกลับรถ)แล้วก็ขับต่อไป
    เป็นการโชคดี 1.ไม่เกิดอุบัติเหตุ "ถ้าเกิดผมจะเป็นต้นเหตุทันที - มอเตอร์ไซค์ไปไหนไม่รู้แล้ว"
    2.ผมไปทันเวลาที่นัดแฟนไว้ (ดุจะตายไป)
    แต่เรื่องของเรื่องขณะขับรถต้องมีสติครับ
    ปล. *ถ้ามีการพิมพ์ผิด ผมจะเข้ามาแก้ไขคำพิมพ์ครับ (แต่เนื้อหาเดิม)แต่อาจมีการเรียบเรียเรื่องลำดับใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  5. law2karn

    law2karn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +42
    ผมคนหนึ่งที่นับถือ และเคารพรักหลวงปู่หงษ์มาก ผมนึกถึงหลวงปู่ทุกวันทุกเวลา จนรู้สึกว่าหลวงปู่หงษ์อยู่ใกล้ๆ ไม่เคยทอดทิ้งลูกศิษย์คนนี้

    และก็เป็นเรื่องน่าแปลก วัตถุมงคลของท่านถ้าเราอยากได้แต่มีราคาสูง ไม่อาจเช่าบูชาเก็บไว้ได้ แต่แค่เพียงท่านอธิษฐานขอเพียงไม่นานก็มีคนนำมาให้บูชาในราคาที่ถูกแสนถูก

    ผมคิดว่าของที่หลวงปู่ทำให้จะอยู่กับเรา คุ้มครองเรา ถ้าเราเป็นคนดี ศรัทธาในพุทธศาสนา และเข้าใจในพระธรรรมที่ หลวงปู่สอน ประสบการณ์ทางไม่ดีท่านจะไม่มี จะมีแต่ประสบการณ์ทางความเจริญรุ่งเรืองกับตนเอง

    นะเมติ ที่หลวงปู่สอน หมายถึง น้ำนมของแม่ แค่นี้คงไม่ต้องอธิบาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  6. ดู๋ดี๋

    ดู๋ดี๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +1,188

    -เป็นจริง ครับ
    และก็เป็นเรื่องน่าแปลก วัตถุมงคลของท่านถ้าเราอยากได้แต่มีราคาสูง ไม่อาจเช่าบูชาเก็บไว้ได้ แต่แค่เพียงท่านอธิษฐานขอเพียงไม่นานก็มีคนนำมาให้บูชาในราคาที่ถูกแสนถูก เพราะผมเองอยากได้กริช รอมาเกือบ 2 ปี เพิ่งจะได้มาครับและไม่แพง กริชทั้งแรงทั้งเร็วคับ หวงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  7. สมาธิ7689

    สมาธิ7689 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +1,251
    เป็นจริงอีกเสียงครับ (ไว้มีโอกาสจะเล่าอะไรอีกมากมายไปหมดให้ฟังเกี่ยวกับวัตถุมงคล ที่คุณดู๋ดี๋บอกว่า "มีนำมาให้เช่าบูชาราคาถูก" สำหรับประสบการณ์ผมขอเรียกว่าพุงชนผมเลยครับ อิอิ ชอบหาครับสนุกดี อย่างเช่น กริชพรหมคุณ , ปากกาหัวพระอุปคุต . กริชฯ (และยังมีอีกมากมายครับ) :cool: (เทคนิคของผมนะครับ ก็ ถือศีล 5 *แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แต่พยายามอยู่*) อีกข้อความขยันสวดมนต์ และนั่งสมาธิครับ (แต่ก็ยังอ่อนอยู่นะ) กำลังพยายามอยู่ครับ
    โชคดีครับทุกท่าน 2ชิ้นนี้เพื่อนใจดีให้มาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4142-11.jpg
      DSCF4142-11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.9 KB
      เปิดดู:
      216
    • DSCF4050.jpg
      DSCF4050.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      197
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  8. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,522
    ค่าพลัง:
    +4,863
    หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน

    [​IMG]โดย RICK เมื่อ 21 ก.ค. 2009, 15:10

    หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน
    เด็ก ชายสุวรรณหงษ์ จะมัวดี เป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ได้ช่วยกิจการงานทุกอย่าง ทำนา หว่านกล้า เก็บเกี่ยวข้าว ด้วยความวิริยะอดทน จนอายุได้ 18 ปี มารดาขอร้องให้บวชเณร ด้วยสาเหตุเกรงว่าจะไปมีเรื่องกับผู้อื่น เพราะเป็นช่วงเวลาของวัยรุ่นอารมณ์ร้อน ซึ่งโดยนิสัยแล้วเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่เกรงกลัวใคร สุดท้ายเห็นแก่มารดาจึงตัดสินใจบวชให้แค่เพียง 7 วัน

    ครั้นบรรพชา แล้วพระอุปัชฌาย์ได้ตั้งนามให้ใหม่ว่า"สามเณรพรหมศร" ลุมาได้ 3 วัน ขณะนั่งบนแคร่ไม้ใต้โคนต้นมะขามใหญ่ได้มีบุรุษหญิงชายแปลกหน้าทั้งมีอายุแก่ และหนุ่ม แต่งกายแบบชาวบ้านมาขอร้องให้เทศน์โปรดทีเถิด สามเณรพรหมศรกล่าวว่า “ฉันพึ่งบวชได้ไม่ถึงวันยังเทศน์ไม่เป็นหรอก ชายหญิงผู้แปลกหน้าทั้งหลายต่างให้ข้อแนะนำว่า” “ท่านเจ้าคะท่านเทศน์ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ท่านทดลอง ว่านะโม 3 จบ ประเดี๋ยวท่านก็จะเทศน์ได้เองนั่นแหละ” สามสามเณรพรหมศรนั่งนิ่งแลสงสัยว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้เป็นใคร? มาจากไหน? อยู่ๆก็มาขอร้องให้เราเทศน์ แต่เมื่อลองคิดแล้วเขาบอกให้ว่านะโม 3 จบ จากนั้นก็เป็นเรื่องที่ปากพูดไปได้เองเป็นเรื่องเป็นราว ชายหญิงทั้งหลายต่างนั่งพนมมือ อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ครั้นเทศน์จบก็กราบขอบคุณขอลากลับ หันไปอีกทาง ปรากฏว่าหายไปทางไหนก็ไม่รู้” ผู้เขียนกราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมสามเณรพรหมศรจึงเทศน์ได้ ท่านกล่าวว่า มันเป็นของเก่าหรือที่เรียกว่า “ธรรมบันดาล” ที่พาให้พูดกล่าวไปได้เอง ความตั้งใจที่จะบวชเพียง 7 วัน ก็อยู่เลยเรื่อยมาจนอายุครบ 20 ปี พระอุปัชฌาย์จึงอุปสมบทให้ ณ วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โดยตั้งนามฉายาให้ใหม่ว่า “พรหมปัญโญ” แปลว่า ผู้มีปัญญาดุจพรหม

    เมื่อ อุปสมบทแล้ว หลวงปู่ตั้งใจมั่นขยันหมั่นเพียรศึกษาพระปริยัติธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้า หลวงปู่เป็นผู้มีความวิริยะสูง จดท่องจำแม่นยำยิ่งนัก ทั้งฝักใฝ่หาความรู้ เพียรหาครูบาอาจารย์อย่างไม่ลดละแม้จะไกลไปยาก ก็อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไป เพื่อให้ได้ความรู้กลับคืนมาเป็นรางวัล ด้วยปณิธานมั่นที่จะโปรดลูกหลานญาติโยมภายหน้า สืบไป

    ครั้นอุปสมบท ได้แล้ว 3 พรรษา จึงกราบลาพระอุปัชฌาย์จาริกธุดงควัตรตามแบบฉบับแห่งพระบรมครู อาศัยอยู่ตามโคนไม้ นุ่งห่มใช้ผ้าเพียงสามผืน ทั้งถือที่สงบสัปปายะ เช่น ป่าช้าเป็นที่เจริญภาวนาเช้าค่ำ ขบฉันภัตตราหารเพียงมื้อเดียว ได้ท่องเที่ยวสู่เมืองขุขัน จ.ศรีสะเกษ เพราะเป็นเขตแห่งสรรพศาสตร์มนตรา จึงได้เข้าขอศึกษากับครูอาจารย์ที่เป็นทั้งฆราวาสก็ดี เป็นผู้ทรงศีลสมณะก็ตาม จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขออนุญาตลากลับเพื่อจาริกธุดงค์สู่พรมเปญ กัมพูชาสืบไป


    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL></DD></DL><HR class=divider> เมื่อ ธุดงค์ข้ามเขาเข้าเขตกัมพูชา อันเป็นที่ตระหนักดีอยู่แล้วว่าเป็นดินแดนแห่งอาณาจักรขอมถิ่นอาถรรพ์ เป็นที่รวมแห่งสรรพศาสตร์ ไสยเวทย์มนตรารุ่งเรืองนัก คงเป็นด้วยบุญบารมีเก่าหนุนนำ พาให้ได้พบกับครูบาอาจารย์เก่า เมื่อพบเห็นแล้วทุกครูอาจารย์ ต่างพึงพอใจในพระภิกษุหงษ์ พรหมปัญโญผู้สันโดษอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ได้บังเกิดความเมตตาประสิทธิประสาทสรรพวิชา ทั้งเวทย์มนแลคาถาเมตตา มหาเสน่ห์ กำบังภัยทั้งคุ้มครอง แคล้วคลาดกันอาวุธ ปืน หอก ดาบ ธนูหน้าไม้เขี้ยวงา ช้างเสือ หุงสีผึ้ง กันยาเบื่อ ทั้งคุณไสย ทำน้ำมนต์รดอาบต่างหายไป แม้นบ้าใบ้จิตหลอนก็อ่อนโยน จนลุเลยข้ามดงสู่จังหวัดสารพัดไต่เขาและภูผา อาศัยหุบเขาข้างห้วยเอนกายา ตกค่ำภาวนาตลอดไปยามสองจิตผ่องใส บังเกิดธรรมบันดาลพาพบไป กับพระอาจารย์ใหญ่องค์เทพเทวาได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาลงจารเสกปากกา อุปเท่มีคุณมากหนากว่าพันประการ ประทานเสร็จสอนจบครบตำรา พระพรหมปัญโญให้ปิติทั้งศรัทธา ตั้งจิตกราบครูบาแล้วเงยหน้าขอชมบารมี ทันทีที่ลืมตารูปท่านอาจารย์ใหญ่ก็จางหายทันที พระพรหมปัญโญสุดที่จะเสียดายเพราะมิได้กล่าวคำว่าขอบคุณ แก่ท่านผู้กรุณาประสาทวิชา ครั้นล่องไพรในพนากลางป่าใหญ่ อัศจรรย์ใจเป็นนักหนาเห็นเด็กร่างดำใหญ่ดุจศิลา พลางผลักทักทายมาแต่ใด กุมารดินล้มหงายหลัง แล้วตั้งตรงทดลองใหม่ ผลักล้มมาด้านหน้า ทดลองถึงสองครั้งให้ระอาจึงแสดงกายาสูงใหญ่ได้ห้าเมตร แสดงเสร็จให้เกิดศรัทธาแล้วสั่งสอนถึงวิธีการสร้างกุมารทองให้ถูกต้องตาม ตำรับฉบับครู ครั้นธุดงค์ผ่านเขาพนาไพร นานอยู่ได้เกือบขวบปี แวะผ่านที่หมู่บ้านชื่อ “บ้านกรู”
    พระกริ่งเพชรสุรินทร์ เสก 5 ปี


    <DL class=attachbox><DD><DL class=file><DT class=attach-image>[​IMG]<DD>

    </DD></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>ณ หมู่บ้านนี้เองที่ชาวบ้านต่างกล่าวขานคุณงามความดีในวีรกรรมหลายๆสิ่งที่ไม่ อาจลืมเลือนได้ จากหัวใจของทุกคน แม้หลวงปู่จะธุดงค์กลับประเทศไทยแล้วก็ตามจนขณะนี้หลวงปู่มีอายุย่าง 85 ปี จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชาวกัมพูชา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าหลวงปู่จะมาต่างดีใจ ครั้นหลวงปู่ไปถึงชาวบ้านเกือบพันคนต่างนอนคว่ำเรียงรายตั้งแต่ถนนจนถึงศาลา แล้วอาราธนาให้หลวงปู่เดินเหยียบบนหลังของเขาเหล่านั้น หลวงปู่จะไม่เดินชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่ายอมพร้อมพลีกายด้วยความเคารพบูชา หลวงปู่ขัดเขามิได้จึงยอมเดินบนหลังของเขาเหล่านั้น แม้แต่ผู้เฒ่าอายุราว 100 กว่าปี เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่มาก็อุตส่าห์ลากไม้เท้าหลังงองกเงิ่นเดินทางมากราบ บูชา ผู้ติดตามหลวงปู่ทุกคนต่างแปลกใจและถามว่าทำไมจึงศรัทธาองค์หลวงปู่ขนาดนี้ พวกเราทุกคนต่างก็ถึงบางอ้อ! เพราะพ่อเฒ่าต่างเล่าให้ฟังว่า “หลานเอ๋ย ถ้าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หมู่บ้านกรูทั้งหมู่บ้านก็แตกกระจายป่นปี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องแปลก ตาเองก็ไม่เคยเห็น ว่าลูกระเบิด และลูกปืนใหญ่ขนาดแตงโม มันตกมาบนหลังคาหญ้าแฝก แปลกที่มันไม่ทะลุหล่นลงมา กลับกลิ้งคลุกๆ ไปตามทางลาดชายคา พวกเราก็นึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าลูกระเบิดตกกระทบกับพื้นดิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ! ปรากฏว่าลูกปืนจมดินเกือบครึ่งลูก แต่มันอัศจรรย์มาก หลานเอ๋ย มันไม่ระเบิด! เท่านั้นแหละเม็ดกรวด เม็ดหิน แม้แต่ดินใต้แคร่ไม้ไผ่ เขายังขุดไปลึกเป็นเมตรเอาไปปั้นเป็นลูกอมตากแดด ครั้นหลวงพ่อกลับประเทศไทยไปแล้ว แคร่ตัวที่ท่านนั่งก็ยังไม่มีเหลือ ชาวบ้านเขาจุดธูปเอามาพลีแบ่งกันจบหมดไม่เหลือหรอ หลวงพ่อเน้อ! พร้อมกับยกมือไหว้ทางหลวงปู่ พวกตาและชาวบ้านรอดตายมาได้ทุกคน เสมือนตายแล้วเกิดใหม่ เท่ากับหลวงพ่อท่านมาชุบชีวิตให้ใหม่”

    พระกริ่งชัยวรมัน


    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>ดัง นั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ท่าน เดินบนหลังของพวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกป่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้ โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณและโทษของการไม่มีป่าไม้ไม่มีน้ำ จะเกิดความเดือนร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข หลวงปู่เป็นพระธุดงค์ ถือสันโดษ โปรดสัตว์ จึงไม่ติดกับที่อยู่ หรืออมิสลาภ จึงได้ลาญาติโยม เพื่อจาริกแสวงบุญต่อเรื่อยมา

    พระขุนแผนชัยวรมัน

    <DL class=attachbox><DD><DL class=file><DT class=attach-image>[​IMG]<DD>

    </DD></DL></DD></DL><HR class=divider>เมตตาบารมีอิทธิปาฏิหารย์ ปราบนางพญาโจรี
    หลวงปู่หงษ์ ธุดงค์จาริกแสวงบุญเรื่อยมายังเมืองพระตะบอง ขณะนั้น ชาวเมืองเกิดความเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพง เกิดขโมย โจรชุกชุม แต่ยังมีกลุ่มโจรหนึ่งมีหัวหน้าเป็นสตรี มีลูกน้องกว่า 50 คน มีนามว่า “มะลิ” มะลิเป็นชื่อของสาวใหญ่ชาวเขมร ถือกำเนิด ณ เมืองพะตะบอง ในยุคนั้นแล้วต้องถือว่ามะลิเป็นสาวที่มีความงดงามที่สุด ความงามสมัยนั้นจะต้องมีผิวดำเป็นมัน ผมดำเงา มีความสง่าแฝงไปด้วยตะบะบารมีประดุจนางพญา เพราะนางนั้นมีสมุนพลพรรคบริวารประมาณกว่า 50 คน ทั้งนางและสมุนบริวารนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ทางราชการของกัมพูชาต้อง การตัวมากที่สุด เพราะมะลิและบริวาร มีอาชีพในการจี้ปล้น

    แต่ก็เป็นโจรที่มีคุณธรรม เพราะข้าวของที่ได้มาจากการปล้นนั้นนางได้แบ่งปันแล้วก็นำไปแจกจ่ายแบ่งต่อ คนยากจนด้วย ซึ่งการจี้ปล้นแต่ละครั้ง จะปล้นจากคนรวยมาแบ่งคนจน หรือการจี้ปล้นแต่ละครั้งนั้นจะกระทำก็ต่อเมื่อพรรคพวกอดอยากไม่มีจะกินแล้ว จึงทำการปล้น ในการลูกสมุนออกปล้นแต่ละครั้ง นางมะลิจะทำพิธีเบิกทางโจร ด้วยวิชาไสยศาสตร์โดยการตั้งขันทำน้ำมนต์เสร็จแล้วก็นำน้ำมนต์นี้แจกจ่ายแก่ พวกสมุนให้ดื่มกินกันจนครบ จึงได้ออกกระทำการปล้น จนเป็นที่หวาดหวั่นสะพรึงกลัวต่อผู้มีฐานะร่ำรวย เดือดร้อนไปตามๆกัน จึงได้นำความนี้ขึ้นร้องเรียนแจ้งต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่ก็มิได้รับผลสำเร็จแต่ประการใด เพราะยามใดที่ทางราชการออกกวาดล้างไล่จับ ก็ไม่สามารถจะจับได้ หรือติดตามได้ทัน ขนาดประชิดตัวเห็นอยู่หลัดๆจับได้ก็ดิ้นหลุด หายตัวมองไม่เห็นต่อหน้าต่อตา อย่างหาสาเหตุไม่พบ ขนาดตำรวจทราบลังหรือแหล่งที่อยู่ล้อมรอบไว้แล้วก็ยังมิอาจจะทำอะไรต่อสมุน นางได้

    เมื่อตำรวจล้อมบ้านยามใดสมุนทุกคนต่างกระโดดลงอ่างน้ำมนต์ หายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน โดยที่บ้านเมืองนั้นต้องพบกับความผิดหวังร่ำไป และเมื่อทุกคนต่างทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ว่าเป็นพระธุดงควัตร ประพฤติปฏิบัติดีมีสรรพวิชา เรืองด้วยวิทยาอาคมอันแก่กล้า ต่างก็นำความมากราบเล่าสู่หลวงปู่หงษ์ และขอความเมตตาช่วยเหลือปราบนางพญาโจรี และพรรคพวกด้วยเถิด หลวงปู่ก็ได้เมตตาสัตว์ที่ยากไร้ อันหาที่พึ่งมิได้ จึงได้ดำเนินเดินทางมาถึงบ้านของมะลิ และได้นั่งภาวนาแผ่เมตตาบารมีอยู่ ณ บนบ้านของนางพญาโจรี จนพลบค่ำนางพญาโจรีได้กลับมาถึงบ้าน หลวงปู่กล่าวว่านางมะลิมาแล้ว แต่ทุกคนก็มิอาจมองเห็นนางได้เลย แต่มะลินั้นมิอาจที่จะรอดพ้นสายตาของหลวงปู่หงษ์ผู้ทรงด้วยฌานแห่งทิพย์ จักษุและเจโตปริยญานไปได้ ว่านางนั้นต้องการอะไร และจะประพฤติปฏิบัติเหตุการณ์อะไรต่อไปเป็นลำดับ ด้วยญานของอนาคตตังสะญาณ

    พระขุนแผนบายน

    <DL class=attachbox><DD><DL class=file><DT class=attach-image>[​IMG]</DT></DL></DD></DL><HR class=divider>ทั้ง ที่นางมะลิพยายามก้าวขาขึ้นบันไดด้วยวิธีใดๆก็ตาม ก็มิอาจที่จะขึ้นบันไดบ้านของตนได้ จนหลวงปู่ได้กล่าวขึ้นว่า “อ้าว! ขึ้นมาบนเรือนซิ” นางจึงขึ้นมาบนเรือนได้ ทุกคนได้ยินเสียงเท้าคนเดินไปมา แต่ก็มิอาจที่จะมองเห็นนางมะลิได้อยู่ดีนั่นเอง จนหลวงปู่ได้กล่าวว่า “นั่งลงซี” พร้อมกันนั้นหลวงปู่ได้ทำการถอนเวทมนต์ทั้งปวง ทุกคนจึงได้เห็นว่านางมะลินั่งอยู่ หน้าหลวงปู่ ทันใดนางก็ชักปืนออกมาจากเอว หมายจะสังหารพระภิกษุรูปนี้เสีย แต่นางก็หาได้มีความไวเกินจากญานอันหยั่งรู้ของหลวงปู่ไปมิได้ ทันใดนั้นหลวงปู่ก็ตบที่หัวเข่าของท่านว่า “ติด” เป็นที่แปลก นางมะลินั้นมือก็ติดอยู่ที่ปืน และก็ไม่สามารถที่จะชักปืนนั้นออกมาจากเอวของนางได้ สักครู่ต่อมาหลวงปู่จึงได้ถามว่า “ยอมแล้วหรือยัง ถ้ายอมแพ้ให้กราบ” นางมะลิยอมแพ้และได้ก้มกราบแต่โดยดี และนำปืนไว้ข้างหน้า

    สักครู่นางจึงนึกว่าหลวงปู่ตายใจแล้วว่ายอมแพ้ พอหลวงปู่เผลอด้วยสัญชาติญาณของนางพญาโจรี นางก็ยื่นมือเตรียมหยิบปืน หมายจะสังหารหลวงปู่เสีย ให้สิ้นจงได้ แต่ก็มิสามารถที่จะหลุดเลยจากญานของหลวงปู่ไปได้ ทันใดนั้นหลวงปู่ก็ตบหัวเข่าของท่านอีกครั้ง และกล่าวว่า “ติด” ด้วยสัจจวาจาและตะบะบารมีจึงทำให้นางพญาโจรีจะเอื้อมหยิบปืนอย่างไรก็ไม่ สามารถหยิบได้เลยทั้งๆที่ปืนนั้นอยู่ด้านหน้าของนางเองไม่ถึงศอก

    จากนั้นหลวงปู่หงษ์ ก็กล่าวอบรมให้สติ ด้วยหลักแห่งศีลและเมตตาธรรม จนนางนั้นได้เกิดความละอาย เกรงกลังต่อบาป บังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถวายตัวเป็นอุบาสิกา และขอสมาทานศีลแปด ประพฤติดี ปฏิบัติชอบจนถึงทุกวันนี้ ณ ประเทศกัมพูชา ซึ่งหลวงปู่ก็นับถือน้ำใจของนางมะลิ ทั้งต่างให้ความนับถือกันเป็นพี่น้องบุญธรรมร่วมชาตินี้ด้วย

    ส่วนพรรคพวกสมุนบริวารต่างกลับตัวกลับใจ หันมาประกอบสัมมาอาชีพประพฤตัวถูกต้องตามกฎหมายเป็นพลเมืองดีของชาติบ้านเมืองสืบไป

    เหรียญกริ่งชาตรี

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>ห้าสิบห้าหาไม่เห็น
    หลวงปู่หงษ์ ได้ธุดงค์ ดั้นด้นมาถึงเขตดินแดงติดต่อระหว่างกัมพูชากับเวียตนาม(เวียตกง) ซึ่งขณะนั้นลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังเผยแพร่ มีอิทธิพลต่อทวีปเอเชียอาคเนย์เป็นอย่างมาก ได้มีหลายประเทศเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นลัทธิดังกล่าว ในจำนวนนี้ ประเทศเวียตนาม หรือเรียกกันว่า “พวกเวียตกง” ก็เปลี่ยนระบบการปกครองไปแล้ว ระบอบการปกครองลัทธินี้ สอนให้ไม่มีศาสนา มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเทวดา หรือว่าวิญญาณทั้งหลาย จึงได้กวาดล้างลัทธิของทุกศาสนาให้หมดไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องศึกไป บ้างก็ต้องหนีออกนอกประเทศ มิฉะนั้นจะถูกทำลายล้างเข่นฆ่าให้ตายหมด

    ขณะที่หลวงปู่หงษ์ ได้ธุดงค์มาถึง ณ เขตชายแดนประเทศกัมพูชา กับประเทศเวียตนาม ทันใดนั้นทหารเวียตกงก็ได้แห่กันมาประมาณห้าสิบกว่าคน ล้อมรอบกลดของหลวงปู่หงษ์ เพื่อจะจับนำตัวไปฆ่า แต่เมื่อเปิดผ้าคลุมมุ้งกลดดู ก็เห็นแต่กลดว่างเปล่า คงมีแต่กาน้ำใส่น้ำตั้งอยู่ กับบาตรและถุงยามเท่านั้น แต่องค์หลวงปู่นั้นได้หายไปแล้วจึงทำให้นึกย้อนเหตุการณ์สมัยหลวงปู่หงษ์ ผจญกับนางพญาโจรีที่พาลูกสมุนโดดลงขันน้ำกลางบ้านหายกันไปหมด แต่ได้กราบเรียนถามท่านแล้วว่าหลวงปู่ใช้วิชานี้หรือเปล่า หลวงปู่ท่านกล่าวตอบว่า “ทำมิได้หรอก” เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ ที่จะช่วยให้ศัตรูเห็นก็ได้ หรือมิเห็นก็ได้ เป็นเรื่องของท่านหลวงปู่ทำไม่เป็นหรอก

    ซึ่งในการนี้ทหารเวียตกงจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบองค์หลวงปู่หงษ์ได้ ผลสุดท้ายท่านเมตตา และสงสารพวกทหารเวียตกง จึงได้ปรากฏกายยอมให้ทหารเวียตกงจับตัวไป โดยคิดปลงเสียว่า ถ้าอดีตเคยเป็นศัตรูกันมาก็ดี เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร จะนำไปฆ แกงอย่างไรก็เชิญจับไป ให้ถือว่าใช้เวรใช้กรรมกันเป็นชาติสุดท้าย จักได้เป็นอันตัดขาดหมดเวรหมดกรรมกันไป แต่ถ้ามิได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อนแล้วละก็ ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยรักษา ครูบาอาจารย์รักษาคุ้มครอง อย่าได้เป็นอันตรายแต่ประการใดเลย

    ตะกรุดสาย 12 ดอก

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>ทัน ใดที่หลวงปู่ได้ปรากฏกายออกมาจากกลดนั้น ทหารเวียตกงต่างตกใจขวัญหนีดีฝ่อ จึงได้นำปืน อาก้า ประทับบ่าแล้วยิงถล่มสู่เป้าหมายถึงองค์หลวงปู่หงษ์ ทันที หลวงปู่นั้นก็ได้แต่ยืนเฉย หาได้สะทกสะท้าน หรือหวาดกลัวเสียงลูกปืนแต่ประการใดไม่ เพราะลูกปืนนั้นได้ตกลงกองอยู่ ณ ด้านปลายเท้าของหลวงปู่นั่นเอง ห่างจากปลายเท้าประมาณ 1 วา บางกระบอกปืนก็ยิงจนปากกระบอกแดง บางกระบอกลูกปืนไหลออกจากปากกระบอกเอง ซึ่งตามตำราของท่านเรียกว่า “ปืนแตกน้ำ” คือลูกกระสุนจะด้านหรือหมดสภาพประดุจลูกปืนหรือดินประสิวนั้น แช่อยู่ในน้ำ เวลายิงจึงด้าน และไหลออกมาประดุจว่าไหลมากับน้ำ จึงเรียกว่าปืนแตกน้ำ “ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของวิชาคงกระพันของท่าน”

    เมื่อทหารเวียตกงจะฆ่าอย่างไรๆ ก็มิอาจฆ่าได้ ทุกคนต่างก็จนใจ ผลสุดท้ายจึงเข้ารุมจับหลวงปู่ แล้วนำมาใส่กรงเหล็ก นำเดินทางมาถึงท่าเรือ จากนั้นก็ยกกรงเหล็กใส่เรือตังเกออกสู่กลางทะเล สักครู่ต่อมาเวียตกงจึงนำเชือกผูกกรงเหล็ก แล้วยกกรงเหล็กถ่วงทะเล ประมาณ 10 นาทีต่อมาจึงได้สาวเชือกดึงกรงเหล็กขึ้นมา ทุกคนต้องตกใจอย่างที่สุด เพราะพระภิกษุที่อยู่ในกรงเหล็กนั้นนั่งสมาธิเฉยหาได้สะทกสะท้านตกใจกลังต่อ ภัยใดๆไม่ แถมจีวรที่นุ่งห่มอยู่นั้นก็ไม่เปียกน้ำทะเลแต่ประการใด

    ซึ่งการนี้ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมจีวรของหลวงปู่จึงไม่เปียกน้ำ หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า “อ๋อศีลคุ้ม คนเราถ้ามีศีลมั่นถือมั่น ในปฏิทาแห่งคุณพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์แล้ว เชื่อว่าตกน้ำก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ ประกอบกับการที่เรามีเมตตาอธิษฐานแผ่ยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย”

    แต่ก็ยังไม่สะใจพวกทหารเวียตกงอยู่นั่นแหละ เพราะเขากลับมีคำสั่งให้เรือหาปลานั้นวิ่งแล่นต่อไปอีกไกลแสนไกล จนเห็นแค่ขอบฟ้าจรดผิวน้ำเท่านั้น จากนั้นก็นำกรงเหล็กหย่อนลงมหาสมุทร อยู่นานสักประมาณ 10 นาที จึงได้สาวเชือกขึ้นมา ทันใดทหารเวียตกงก็ต้องช๊อก เพราะว่าหลวงปู่นั้นยังคงนั่งสมาธิเฉยดุจเดิมอยู่ในกรงเหล็ก ทำให้พวกทหารเวียตกงนั้น หมดความสามารถที่จะประหารเข่นฆ่าพระภิษุรูปนี้ได้ จึงได้สั่งคนเรือหัวเรือกลับสู่ฝั่งของเมือง ได้กราบเรียนถามว่า”หลวงปู่หงษ์ ทราบได้อย่างไรว่าเป็นมหาสมุทรมิใช่ทะเล” หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า “ก็น้ำในมหาสมุทรนั้นจะเย็นมากกว่าน้ำในทะเล ผู้เขียนจึงถึงบางอ้อ และมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก”

    ในที่สุดเรือหาปลาก็แล่นเข้าหาฝั่งอีกครั้ง แต่ทหารเวียตกงนั้นก็มิได้ละความพยายามแต่ประการใด ต่างก็ช่วยกันยกกรงเหล็กลงและรุมกระชากองค์หลวงปู่หงษ์ ออกมาจากกรงเหล็ก อีกสี่คนช่วยกันจับแขนทั้งสอง และขาทั้งสองอยู่ในลักษณะนอนคว่ำ จากนั้นก็นำพุ่งเข้าปากจระเข้ใหญ่ ซึ่งกำลังนอนหลับอ้าปากอยู่ ซึ่งตามลักษณะสัญชาติญาณของจระเข้แล้ว เวลานอน

    สุดท้ายทหารเวียตกงก็ยอมแพ้ในอิทธิบุญบารมีของหลวงปู่ จึงได้นำองค์หลวงปู่หงษ์ ออกจากจระเข้ใหญ่ พร้อมทั้งกราบถวายตัวเป็นศิษย์สืบมา

    ตะกรุดกากหมาก พระอุปคุตปลอกลูกปืน .357

    <DL class=file><DT class=attach-image>

    <DD><DL class=file><DT class=attach-image>[​IMG]</DT></DL></DD></DL>

    <HR class=divider>สัจจวาจา...ปืนแตก
    หลวงปู่หงษ์ ได้เดินธุดงค์ จากเวียตนามสู่ประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง ขณะรุกขมูลอยู่กกลางป่าใหญ่นั้น จึงเต็มไปด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ช้าง ม้า เสือ กวาง กระต่าย งู นานาพันธุ์ที่น่าแปลกยามใดที่หลวงปู่ปักกลดพักแรมเวลาค่ำคืน ณ ที่ใดก็ดี มักจะมีช้าง กวาง กระต่าย งูมาเป็นเพื่อนล้อมอยู่โดยรอบ ซึ่งหลวงปู่หงษ์ จะมีความสุขมากยามที่เงียบสงบ และได้พบกับสัตว์ป่านานาชนิดมาร่วมอยู่ข้างตัว ท่านเรียกว่า"เพื่อนของเรา" จนเวลารุ่งอรุณหลวงปู่หงษ์ จะบอกแก่สัตว์ทั้งหลายว่า ให้กลับเข้าป่าไป เดี๋ยวพวกคนป่า หรือนายพรานมาพบเข้าจะทำร้ายเอาให้รีบกลับเข้าป่าไปอย่างเป็นระเบียบ แต่น่าสงสารยังมีกวางท้องแก่ตัวหนึ่ง ท้องแก่มากเดินไม่ค่อยไหว เพราะต้องอุ้มท้องเดินต้วมเตี้ยมๆ อุ้ยอ้ายอยู่หลังสุด สักครู่ก็มีพรานป่าออกมาจากริมป่า พร้อมด้วยอาวุธปืนประทับบ่าเตรียมพร้อม จ้องสู่เป้าหมายคือกวางแม่ลูกอ่อน แต่ในยามนั้น ได้ลุล่วงสู่ฌาณสมาบัติของหลวงปู่หงษ์ จึงได้แผ่บารมีธรรมคุ้มครองป้องกัน ทั้งได้กล่าวด้วยเมตตาธรรมแห่งสัจจะวาจาว่า "อย่ายิงกวางแม่ลูกอ่อนนะ ถ้ายิงเดี๋ยวปืนมันจะแตก" ด้วยความไร้เมตตาและขาดคุณธรรมของนายพราน แถมยังดื้อดันมิยอมเชื่อฟัง คำห้ามปรามของภิกษุสงฆ์ ซึ่งขออภัยทานในชีวิตของสัตว์อีก

    จึงได้ยกปืนยาวขึ้นประทับบ่า แล้วลั่นไกปืนขึ้นทันที ทันใดนั้นเองปากกระบอกปืนของนายพรานดื้อก็ลั่นเสียงดัง เปรี๊ยะ! แต่เป็นเพียงให้หลาบจำมิได้เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ประการใด ด้วย

    ความ กลัวและตกใจ พรานป่าผู้ใจบาปจึงยอมลดปืนลง เบื้องหน้า พร้อมกับก้มกราบขอขมาต่อหลวงปู่ว่าจะไม่ประพฤติทำเช่นนี้อีกหลวงปู่จึงได้ เมตตาให้โอวาทตักเตือน และให้พรจากนั้นพรานป่าจึงได้ลากลับสู่ครอบครัวของตน

    ตะกรุดหน้าผากเสือไฟ

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>พระธาตุปรากฏ
    คุณหมอชัชชัย ด่านสุนทร นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลบุรีรัมย์ได้หยิบพระพิฆเนศปางอ้อมจักรวาลเนื้อชาน หมากกับพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมันให้ชมพร้อมกล่าว "แปลกนักพระเนื้อชานหมากทั้ง 2 นี้ได้มีเม็ดพระธาตุผุดเรียงเต็มไปหมดบางองค์ก็มากบางองค์ก็น้อย แต่ส่วนใหญ่ที่พิจารณาแล้วพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมันจะมีเม็ดพระธาตุขึ้น มากกว่าจึงได้พิจารณากันว่าพระธาตุที่ผุดขึ้นมีสีขาวทราบภายหลังว่า ในการผสมผงสร้างพระชุดนี้ ได้นำผงพระธาตุสิวลี ซึ่งหล่นอยู่ก้นโหลแก้วครั้งที่ คุณพี่ประดิษฐ์ สุขประเสริฐ ทายาทศิษย์สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางบัวจ.ฉะเชิงเทรา นำมาถวายหลวงปู่จึงได้นำผงพระธาตุสิวลีผสมกับผงของพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมัน ชุดนี้ด้วยประการแรก ประการที่สองเล็บของหลวงปู่นั้นงอกยาวได้ใสบ้าง เป็นเม็ดใสก็มี ประการที่สามอันว่าธาตุขันธ์ในกายของหลวงปู่ เช่น เกศ เล็บ น้ำลายผสมอยู่กับชานหมากก็ตาม เหล่านี้กระมังที่มาประชุมธาตุจนทำให้พระพิมพ์ ขุนแผนชัยวรมัน กับพิมพ์พระพิฆเนศ เนื้อผงชานหมากเหล่านี้ ปรากฏเป็นธาตุขึ้นได้ หรือแม้แต่พระผงรุ่นแรกพิมพ์นิยม พิมพ์ไกเซอร์ก็ดี พระพิมพ์สมเด็จ พระประธานก็ดี รุ่นฉลองชัยที่กดพิมพ์มือล้วนกรรมวิธีการสร้างแบบโบราณ คือ กดด้วยมือตัดขอบด้วยผิวไผ่หรือมีด ผึ่งลมตามธรรมชาติ เมื่อนำมาสักการบูชา ก็ปรากฏว่างอกได้ฟูได้ มีเม็ดพระธาตุงอกขึ้นเต็มทั้งองค์เช่นกัน หลวงปู่หงษ์ กล่าวว่า"เราตั้งใจทำให้จริงๆแล้วก็ทำให้อย่างดีด้วย เพราะว่าคณะศิษย์ตั้งใจทำเพื่อฉลองอายุครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์มิมีสิ่งใดที่จะตอบแทนน้ำใจ ก็มีแต่ศีลปฏิบัติภาวนาและน้ำจิตที่เป็นบุญเป็นกุศลสะสมมาแต่กาลก่อน อธิษฐานขอช่วยลูกศิษย์ให้ได้ดีทุกคนแต่ปรารถนา ขออย่างเดียวอย่าดื่มเหล้าหรือผิดลูกเมียผู้อื่นเขา อะไรก็ทำมิได้เลย สำหรับเรื่องนี้ทำให้นึกถึงคุณหมอชัชชัย หมอดีฝีมือเยี่ยมแห่งโรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำได้ว่าวันที่ คุณหมอชัชชัย ได้ไปกราบหลวงปู่พร้อมกับผู้เขียนได้นำครอบน้ำมนต์ถวายหลวงปู่ได้ประสิทธิ พร้อมขอน้ำมนต์ของหลวงปู่เติมไว้เป็นปฐม หลวงปู่เมตตาตักให้พร้อมกล่าวว่า"ให้นำน้ำธรรมดามาเติมใช้ได้ดี 108 ประการ" ครั้นกลับมาบ้านคุณหมอก็นึกถึง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ว่าเวลาท่านสร้างพระมักนำพระแช่น้ำมนต์ 1-2 วัน นำขึ้นมาผึ่งก็บังเกิดมีพระธาตุผุดขึ้น เอ! ถ้าหลวงปู่ของเราก็น่าจะทำได้เช่นกัน เพราะบารมีธรรมจริยปฏิปทา จึงทำให้เกศาที่บูชาก็ยังเป็นแก้วเป็นธาตุได้ ครั้นเวลากลางคืนได้ฝันถึงหลวงปู่มาบอกว่า "ให้นำพระขุนแผนชัยวรมัน แช่น้ำมนต์ ซึ่งประเดียวก็เห็นเอง" คุณหมอชัชชัย สะดุ้งตื่น แต่มีความรู้สึกว่าหลวงปู่มากล่าวพูดเช่นนั้น จึงได้อาราธนาพระขุนแผนชัยวรมันองค์ละ 100 บาท แช่น้ำมนต์ประมาณ 1-2 วันแล้วนำมาผึ่งวางไว้ พอเวลาค่ำได้พบเห็นว่า พระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมัน เกิดมีธาตุใสได้ จึงปลื้มปิติยินดีอย่างที่สุด

    พระพิฆเนศ เนื้อกายสิทธิ์

    <DL class=attachbox><DD><DL class=file><DT class=attach-image>[​IMG]</DT></DL></DD></DL>

    <HR class=divider>ปฐมศรัทธา
    เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าพระที่ชอบอยู่กับงู พระที่ชอบปล่อยงู พระที่มีงูเป็นทหารในยุคนี้หมายถึงพระภิกษุรูปใด หนึ่งเดียวในสยามแห่งอีสานใต้ที่กระทำการดังกล่าวนี้เชื่องสุดๆ ประดุจปลาไหล เพราะหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มากด้วยเมตตาจิตต่อสัตว์ป่า แผ่บารมีธรรมสู่สัตว์โลก แม้แต่งูก็อยู่กับหนูได้ใต้โพรงหินไม่กัด ไม่กินกันหรืองูอยู่กับกบในสระน้ำไม่ทำร้ายกัน เป็นต้น สร้างความฉงนแก่ผู้พบเห็นนัก

    ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนได้พบเองสมัยครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเสียงของ หลวงปู่ใหม่ๆ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว โดยได้ยินบุคคลต่างๆทั่วไปกล่าวขานกันว่า หลวงปู่องค์นี้อยู่กับงู ชอบปล่อยสัตว์นานาชนิด จึงสนใจใคร่ติดตามไปจนถึงสำนักของหลวงปู่หงษ์ และต้องหายสงสัยหมดสิ้น ขณะนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า หลวงปู่นั่งออกรับญาติโยม สักครู่ต่อมาได้มีกระรอกขาวตัวหนึ่งไต่สายไฟจากป่ามายังที่หลวงปู่นั่งรับ แขกโดยมิเกรงกลัวบุคคลที่นั่งเต็มไปหมด โดยวิ่งด้วยเท้าทั้ง 4 แล้วมาหยุดอยู่ข้างหน้าหลวงปู่ทันใดนั้นกระรอกยกขาคู่หน้าชูขึ้นคล้ายกับทำ ความเคารพ พลางส่งเสียงร้อง “จิกๆ” แล้ววิ่งมาทางด้านข้างขวาของหลวงปู่หงษ์ ที่มีจานองุ่นตั้งอยู่ เจ้ากระรอกก็วิ่งรอบจานองุ่นวิ่งกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น

    โดยมิกล้าถือวิสาสะกินเองจนหลวงปู่ได้ยินเสียง “คลุกๆ” ไปมาจึงได้หันมาทางจานองุ่นด้วยอากัปกริยาอมยิ้มแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เอาซิๆ” เท่านั้นและเจ้ากระรอกก็ตรงเข้ากัดกินองุ่นในจาน จากนั้นหลวงปู่ก็หันหน้ากลับมาทางญาติโยมแล้วเอ่ยว่า “เขากินไม่มากหรอกลูกสองลูกประเดี๋ยวก็ไป” และก็เป็นไปตามคำพูดของหลวงปู่เพราะเจ้ากระรอกเขากินเพียงสองเม็ดจริงๆ แล้วคลานออกไป แต่ที่แปลกประทับใจทุกคนที่ได้พบเห็นก็คือ ก่อนที่เจ้ากระรอกจะไปได้คลาน 4 เท้า ข้ามาพอถึงด้านหน้าหลวงปู่ก็ยกเท้าคู่หน้าชูคล้ายกับพนมมือแล้วส่งเสียงร้อง “จิกๆ” แล้วจึงหันหลังวิ่งไต่สายไฟกลับสู่ป่าอันเป็นที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมสัตว์ป่าจึงต้องทำความเคารพทั้งมาและไป ทุกคนต่างนึกต่างคิด ต่างฉงนมึนงงไปตามๆกันแต่สุดท้ายที่ทุกคนสรุปก็คือ หลวงปู่องค์นี้มิใช้พระธรรมดาแน่แม้นแต่สัตว์ป่ายังกระทำความเคารพ แล้วทำไมเราเป็นคนมิลองศึกษาจริยาวัตรข้อธรรมและปฏิปทาของท่าน ครั้นเดินลงมายังข้างศาลาก็ต้องผงะหงายเพราะได้เจอกับอสรพิษนามว่าแสง อาทิตย์ นอนกลิ้งหงายไปมาประดุจว่ามีแต่เขาเพียงตัวเดียวอยู่บนโลกนี้ แต่ผู้เขียนเองเมื่อได้มอง เห็นแล้วว่าน่ารักดีดูแล้วเหมือนลูกสุนัขที่กลิ้งหงายไปมายามต้องแสงสุริยา เพลาเช้าอย่างนั้น จึงได้ถึงบางอ้อ! อ๋อ! หลวงปู่หงษ์ ท่านชอบปล่อยงู ตะขาบ แมงป่อง ก่อนจะปล่อยหลวงปู่จะเป่าเสกให้ก่อน แล้วจึงปล่อยสัตว์ทั้งหลายไปเพื่อให้เขาเชื่องไม่ทำร้ายคน เป่าเพื่อเป็นเกราะกำบังคุ้มครองสัตว์นั้นๆ เป่าเสกเพื่ออธิษฐานให้สัตว์เหล่านั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้วขอให้เกิดเป็นคน อย่าได้เป็นสัตว์ต้องทุกข์ทรมาน เหล่านี้คือน้ำจิตอันเยือกเย็นแผ่ไพศาลยังสรรพ

    หวายพรหมยอดเพชร

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>หลวงปู่สอนให้อดทนข่มใจ
    หลวงปู่หงษ์ ได้เมตตาให้กั้นลวดหนามเพื่อป้องกันสัตว์ลงไปเล่น เป็นที่น่ายินดีที่ทำงานเสร็จภายใน 1 วัน ด้วยการใช้กำลังแรงงานเพียง 80 คน ซึ่งรวมระยะเวลาล้อมประมาณ 7 ไร่กว่า หลวงปู่กล่าวว่าปลื้มใจที่ทุกคนตั้งใจร่วมใจกันทำงานอย่างขมีขมันมีความรับ ผิดชอบ ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำตามหน้าที่ของตนก็สัมฤทธิผลได้ในกิจการนั้นๆ งานใดสิ่งใดก็ตาม เรามีความตั้งมั่น มีความ มุมานะ มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักอดออมเก็บความรู้สึกไว้ให้ได้ ผู้นั้นก็ย่อมประสบผลสำเร็จในกิจการนั้นๆ อีกสิ่งที่สำคัญคือจิต มีความไวมากในการสัมผัสรับรู้ หากเราไม่รู้เท่าทันตัวจิตนี้แล้วเราก็ต้องตกเป็นเหยื่อของสิ่งภายนอกที่ เข้ามากระทบทุกๆเรื่องไป และถ้ายิ่งมีการปะทะโต้ตอบกันไปมาไม่รู้จักข่มใจตนเองสิ่งที่จะตามมาคือความ เสียหาย ดังนั้นขอให้ลูกหลานรู้จักอดออม ข่มใจตนเอง ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ขอให้นิ่งเฉยเสียเขาว่ามานั้นมิได้เจ็บปวดแต่ประการใด ถ้าจิตใจของเราไม่ไปปรุงแต่งในคำพูดของเขานั้นๆว่าเจ็บปวด ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้ทุกคนดูตัวเอง ดูใจตัวเองว่าตัวเราเอง ตำหนิใจตัวเอง จนหาคำว่าตัวเราเองไม่ได้แล้วว่าไม่ดีจึงค่อยว่าผู้อื่นเขา ขอให้ระลึกนึกถึงว่า คนเราทุกวันนี้มักมีอายุไม่ค่อยยืนยาว อยู่กันไปไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องจากกันไปทุกคน นี้คือความจริงแท้แน่นอน

    ทุกคนที่ได้สดับรับฟังต่าง ปิติยินดีที่หลวงปู่ได้เมตตาแนะนำกระแสธรรมให้มีจิตระลึกได้ เพราะคนเราทุกวันนี้ลืมนึกไปว่าเกิดแล้วไม่ตาย จึงต่างขวนขวายชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบกันสารพัด ขาดทมะ คือ ขาดความข่มใจ ไม่รู้จักการให้อภัย ขาดความเมตตาต่อกัน โลกเราทุกวันนี้จึงมีแต่ความร้อนระอุเร่าร้อนกัดกร่อนในการจัดสร้างความดี ก็คงต้องช่วยกันเรียกร้องให้พวกเราทุกคน รู้จักการให้อภัยมีเมตตาต่อกันและกัน สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงาม เชื่อว่าโลกนี้จักสวยงามน่าอยู่สืบไป

    นอกจากนี้หลวงปู่หงษ์ยังเป็นครูบาอาจารย์ที่คอยพูดให้เราเห็น แสดงอาการกระทำให้เรารู้เป็นตัวอย่างทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ด้วยจิตปรมัติตั้งมั่นให้ลูกหลานทุกคนสร้างความดี หนีความชั่ว ด้วยการตั้ง “กองทัพศีลห้า”

    ซึ่งตอนนี้หลวงปู่หงษ์กำลังเปิดรับสมัครกองพลทหารศีลห้า หลักกติกาไม่มีอะไรมาก ไม่จำกัดเพศและวัย ใบสมัครไม่ต้องใช้ สิ่งที่ต้องตระเตรียมก็คือ กาย วาจา และใจ ด้วยการกรองข้อมูลทางวาจาสู่ใจ “ว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีลห้าปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด” เท่านี้ก็เป็นการบันทึกข้อมูลแล้วและหลวงปู่ท่านก็รับเป็นลูกศิษย์ ผลที่จักได้รับ คือบุญกุศลความดีที่ติดตามไปยามมีเหตุคับขันให้ภาวนา “นะเมติ” หลวงปู่และครูบาอาจารย์ของท่านจักลงมาช่วยคุ้มครองเอง นึกคิดประสงค์สิ่งใดจักสมใจปรารถนาทุกประการ หลวงปู่มักกล่าวเสมอๆว่า “เทวดาครูบาอาจารย์เขาช่วยคนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

    หวายพรหมเวช

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>คุ้มศิษย์ต่างแดน
    “ประสบการณ์ต่างแดนหลวงปู่คุ้มครองลูกศิษย์ ณ ประเทศเยอรมันได้อย่างไร คงเป็นผลพวงจากการที่ คุณสุพิชา คงทอง นั้นได้สมัครเข้าเป็นกองกำลังพลกองทัพศีลห้า” ของหลวงปู่กระมัง เพราะโดยลำพังแล้วคุณสุพิชา คงทอง เป็นสตรีผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่นๆ และมีนิสัยเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งเป็นคนชอบพูดคุย ใจคิดอย่างไร ปากก็จักพูดตามไปเช่นกัน และเมื่อต้นปีได้เดินทางไปทำงาน ณ ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลทั่วไป เมื่อเป็นคนมาใหม่ก็ย่อมถูกลองของ หรือกลั่นแกล้งจับผิดจากเพื่อนร่วมงานพูดง่ายๆ เสมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ ตนจึงต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ด้วยความเป็นคนช่างพูดเห็นสิ่งใด ไม่ถูกต้องก็จะพูดกล่าวไป ครั้งเวลาพลบค่ำจะต้องสวดมนต์ไหว้พระระลึกนึกถึง หลวงปู่ทุกวัน จึงได้ฝันเห็นหลวงปู่ถึง 3 วันติดๆ ในคืนวันทื่ 4 ได้เกิดเหตุการณ์ แปลกกว่าทุกวัน เพราะหลวงปู่ได้นำกำหญ้าคามาปิดปากคุณสุพิชา รุ่งเช้าคุณสุพิชา ได้โทรเล่าเรื่องให้ผู้เขียนฟังพร้อมกับกล่าวว่า ทำไมหลวงปู่ท่าน จึงเอาไม้พรมน้ำมนต์มาปิดปากหนู ผู้เขียนกล่าวว่า “เขาเรียกกำหญ้าคา สำหรับพรมน้ำมนต์” นั้นแหละหนูพูดไม่ถูกแต่เอ! ท่านจะไม่ให้หนูพูดหรืออย่างไรค่ะ? ผู้เขียนตอบ “แน่นอนถูกต้องตามที่คุณเข้าใจ เราเป็นคนใหม่อยู่คนเดียวกับอีกฝ่ายเขารวมกันเป็นหมวดหมู่ อย่างไรก็ตามไม้ซีกจะไปงัดกับไม้ซุงย่อมไม่เป็นผล” จะเห็นได้ว่าหลวงปู่นั้นท่านไปได้ทุกเมื่อทุกประเทศ เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง เยอรมัน ฯลฯ ขอเพียงให้ลูกศิษย์เป็นคนดีมีศีลห้า แล้วสิ่งใดๆ ก็ทำมิได้ ครูบาอาจารย์ท่านคุ้ม ไปอยู่เมืองไหนประทศไหน หลวงปู่หงษ์ ก็ตามไปคุ้มครองได้

    อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องแปลกสดๆร้อนๆ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “อยากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่” เมื่อวันก่อนคุณเอนก ได้พาเพื่อนๆ มากราบรูปเหมือนหลวงปู่ที่กองทุนปลูกป่าหลวงปู่หงษ์ ซ.นวลจันทร์ คุณเสกสรรผู้เป็นเพื่อนได้นั่งพินิจพิเคราะห์พิจารณารูปหล่อเหมือนหลวงปู่ กับนึกคิดอยู่ในใจว่า เอ! ทำไมเดียวนี้คนจึงหันมากราบหลวงปู่กันเยอะจึงได้น้อมจิตระลึกนึกถึงหลวงปู่ ว่า กระผมขออธิษฐานขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ด้วยคนเถิด หากหลวงปู่รับทราบขอจงได้แสดงให้ลูกได้รู้ได้รู้ ด้วยเถิด จนเวลาพลบค่ำได้เวลานอนขณะนั้นเอนกายสู่หมอนยังมิทันได้หลับก็ปรากฏว่า หลวงปู่มายืนอยู่ข้างเตียงของผมพร้อมกับพูดว่า “เรียกมาทำไม” สักครู่ก็หายไป ผมดีใจปลื้มใจเป็นที่สุดที่หลวงปู่ได้เมตตารับผมเป็นลูกศิษย์แล้วหลวงปู่นี้ เป็นที่สุดจริงๆ ผมได้เห็นแล้ว จากคนที่ไม่เคยแขวนพระ หรือเครื่องรางใดๆ เลย ก็ต้องกลับหาพระของหลวงปู่ขึ้นอาราธนาคล้องคออย่างสบายใจทำให้เป็นที่กังขา แก่มิตรสหาย ว่าทำไมเพื่อนเราจึงหันมานิยมพระเครื่องทั้งที่เป็นคนสมัยใหม่

    พระขรรค์ ด้ามงา

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>เผาขน อบต.
    เหตุการณ์ครั้งหลังจากที่คุณสุเมธ ถูกรอบยิงแสกหน้าแบบเผาขนที่สุสานทุ่งมน แต่กระสุนมิได้ออกเลยกับแตกคาปากกระบอกปืน ส่วนที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นญาติของคุณนิดรู้จักกับผู้เขียนดี โดยผู้เขียนได้มอบเหรียญพ่อรักลูกให้คุณนิดๆ ได้นำเหรียญขุดสระนี้มอบให้กับน้าชายได้ไม่ถึงสัปดาห์ ขณะเดินทางไปตลาดถูกคู่อริที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน นำปืนลูกโม่จ่อยิงเผาขนจนหมดโม่ แต่ผลไม่ระคายผิวหนังเลยเช่นกัน จากนั้นผู้ร้ายก็วิ่งหนีไป ประชาชนชาวเพชรที่อยู่ละแวกนั้นต่างตรงรี่เข้ามาขอดูว่าคุณแขวนพระดีอะไร? น้าของคุณนิดกล่าวว่ามีเหรียญของหลวงปู่หงส์รุ่นขุดสระ หลานชายมาจากกรุงเทพฯ มอบไว้ให้ พลางสั่งกำชับไว้ว่าให้เก็บไว้ให้ดี เพราะเป็นเหรียญรุ่นแรกและเคยมีประสบการณ์มาแล้วเมื่อหลังจากวันเสร็จพิธีพุ ทธาภิเษก โดยนายตำรวจได้นำเหรียญขุดสระเนื้อสำริดไปลองยิงดูปรากฏว่าปืนไม่ลั่น แต่ยกขึ้นฟ้าไกปืนทำงานตามปกติจนถึงลูกที่สามก็ยิงไม่ออกเช่นกัน หลวงปู่ท่านทราบและสั่งห้ามว่าทำดีแล้วไม่ต้องลอง แล้วจักเห็นเองยามคับขัน การกระทำเช่นนั้นเป็นการประมาทต่อครูบาอาจารย์ทีหลังอย่าทำอีกเล่นเอาตำรวจ ผู้นั้นหน้าหง๋อยไป

    ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ ท่านเดนบนหลังของวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพเจ้าของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่หงษ์ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่หงษ์ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกผ่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณ และโทษของการไม่มีป่าได้ไม่มีน้ำจะ เกิดความเดือดร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข

    กริชพรหมคุณ เหล็กน้ำพี้

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL>

    </DD></DL><HR class=divider>ตะกรุดชัยวรมัน

    <DL class=attachbox><DD><DL class=thumbnail><DT>[​IMG]</DT></DL></DD></DL>
    นะเมติ นะเมติ นะเมติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  9. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,522
    ค่าพลัง:
    +4,863

    หลวงปู่นั่งรวย งากำจัด
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider">
    พระยอดธงหงษ์ไชยยะ
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider"> หนุมานไชโย
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider"> ฤาษีตาไฟ
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider">
    หลวงปู่หงษ์ซ้อนหลวงปู่ทวด

    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider">
    พระภควัมบดี ปิติ พรหมคุณ
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl> </dd></dl><hr class="divider">
    แหวน พระนารายณ์ทรงสุบรรณ
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl> <hr class="divider">
    พระปิดตาเนื้อผงกะลาตาเดียว
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl> <hr class="divider">
    พระพรหมเนื้อเงิน เสาร์ 5
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl><hr class="divider">
    ตะกรุดไฟ
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="thumbnail"><dt>[​IMG]</dt></dl>
    </dd></dl>
    <hr class="divider">
    ตะกรุดดิน
    <dl class="attachbox"><dd><dl class="file"><dt class="attach-image">[​IMG]</dt></dl></dd></dl><hr class="divider">
    <hr class="divider"> ปากกาอุปคุต

    [​IMG]



    นะเมติ นะเมติ นะเมติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  10. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,522
    ค่าพลัง:
    +4,863
    Re: หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน

    [​IMG]โดย RICK เมื่อ 11 ส.ค. 2009, 16:42

    ปากกา อิทธิวัตถุมหัศจรรย์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปญฺโญ
    ของพระครูปราสาทพรหมคุณ (หงษ์ พรหมปัญโญ)
    วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โดย...รณธรรม ธาราพันธ์
    หลวง ปู่หงษ์ เป็นพระเถระสายวิชาที่มีคุณวิเศษลี้ลับน่าทึ่งใจ แรกผมรู้จักก็ให้เลื่อมใสในจิตตานุภาพของท่านหลายประการ จนได้กล่าวกับเพื่อนว่า ถ้าหลวงปู่หงษ์มีชนมายุอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างปี พ.ศ. 2484-2489 ถึงวันนี้แล้วนั้น ท่านจะกลายเป็นตำนานขลังที่เล่าขานกันดุจเทพนิยายไม่รู้จบแน่นอน ไม่ผิดกับ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ หรือหลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก ทีเดียว
    หากเพราะท่านมีวัยอยู่ในยุคแห่งข่าวสารที่หนุนส่งเรื่องท่านมาก โข กระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใครก็รู้ ใครก็หาอ่านได้ง่ายดาย ไม่ต้องไปวัดไปสัมผัสท่านด้วยตนเอง ยังรู้สึกราวกับพบเจอด้วยตัวของตัวมามากครั้ง บางทีเรื่องท่านในหลายสื่อยังเป็นเหตุให้คนไม่ใคร่เลื่อมใส ด้วยเห็นเป็นเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ คล้ายสบู่ ยาสีฟัน อย่างนั้นก็มี
    ไม่ใช่พูดเอง แต่ผมรู้สึกดังว่ามาเล่าให้ฟัง
    ทาง เดียวที่จะรู้จักความเป็นหลวงปู่หงส์ได้คือ จงไปกราบท่านเสีย ได้พูดคุยถามข้อสงสัยซึ่งค้างอยู่ในใจ หลวงปู่จะเมตตาตอบให้อย่างคุยกับลูกหลาน ประทับใจแรกที่ทุกคนสัมผัสคือ เมตตา
    พื้นกระดานตรงหน้าหลวงปู่เป็นแผ่นเดียวกัน แม้ว่ามีหลายแผ่น กล่าวดังนี้ เพราะใครที่เข้าพบท่านไม่ว่ายิ่งใหญ่จากมุมใด หรือเล็กจิ๋วแค่ไหน หลวงปู่คงพูดคุยเสมอกันทุกคน นั่งราบพื้นทุกคน ไม่มีเก้าอี้สูงศักดิ์ให้นั่ง
    แม้องค์ท่านเอง


    <HR class=divider>หลวงปู่สนทนา และบำบัดทุกข์กายทุกข์ใจของศรัทธา โดยไม่ลำดับชนชั้น แลฐานะ หากลำดับการมาก่อนหลังเป็นสำคัญ
    ท่านเป็นพระบ้านป่าที่ทรงเมตตาพร้อมอภินิหารแบบที่คนบ้านนอกคอกนาเช่นผมชื่อชม
    เฉพาะ ความใจเด็ดที่ประกาศก้องว่า สิ่งใดทำได้ไม่เหลือวิสัย หรือสิ่งใดเกินกำลังจะช่วยเหลือ ท่านไม่เท็จ ตอบให้เห็นว่าข้าแน่ ทำได้ทุกประการที่สูต้องการให้ทำถ้าเงินถึง
    หลวงปู่รักษาเอกลักษณ์ของพระ ขลังแบบโบราณไว้ได้เต็มภูมิ รักษาได้โดยไม่ต้องเล่นละครอะไรต่อญาติโยมด้วยทุกสิ่งออกจากใจธรรมชาติของ ท่าน เป็นตัวตนแท้ของหลวงปู่หงษ์ในทุกกิริยาที่ใครๆ ก็จะได้เห็นเมื่อไปกราบ
    หลาย คนบ่นถึงขันครูและค่าครูที่ต้องมีเมื่อจะขอความช่วยเหลือ อยากบอกแทนหลวงปู่ว่า นั่นคือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ท่านที่สืบทอดมา พานครูคงมีเพียงดอกไม้ ธูปเทียน และผ้าสบง หากปัจจัยที่จะใส่ก็สุดแต่ศรัทธา หลวงปู่ไม่เคยกำหนดว่าต้องเท่านี้เท่านั้น อีกทั้งปัจจัยครูก็เข้าสู่การบำรุงสร้างสรรค์เสนาเสนะในวัด
    ไม่ผิดอะไรกับการทำบุญทั่วไป


    <HR class=divider>พระ หลายรูปคงประเพณีการเข้าพบแบบโบราณนิยมไว้ คือ ต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน แสดงคารวธรรม เช่น หลวงพ่อสาลีโข, ครูบาเทือง นาถสีโล หรือแม้ฆราวาส เช่น อาจารย์ชุม ไชยคีรี เมื่อจะขอความช่วยเหลือจากท่านๆ ก็ต้องตั้งพานครู
    กรุณา เข้าใจว่านี่คือคำสั่งครูที่สืบสานมา ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาจนไม่อาจทำได้แต่ประการใด หลายคนหมดเงินไปกับการท่องเที่ยว ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ หรือดูหนังฟังเพลง เปรียบกับการเข้าพบหลวงปู่แล้วเล็กน้อยเหลือเกิน ซ้ำยังได้รับการช่วยเหลือจากท่านด้วย
    ท่านไม่ตั้งหน้าสูบเงินโยมไปทำจานบินดอก
    คราว หนึ่งหลวงปู่เล่าให้ฟังถึงวัยเด็กเมื่อครั้งเป็นเด็กชายหงษ์ อายุประมาณ 14 ปี ท่านได้พบฤาษีนิรนามรูปหนึ่งโดยทางฝัน เมื่อท่านย้ำว่าฝัน ผมกลับนึกถึงคำพูดของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่เล่าถึงวัยเด็กเมื่อบรรพชาเป็นสามเณร อายุได้ 14 ปี จิตของท่านดิ่งลงรวมเป็นสมาธิ เข้าใจไปว่าหลับสนิททั้งที่มีความสว่างปรากฏในจิต
    กรณีหลวงปู่หงษ์ก็ดัง นั้น ผมคิดเอาว่าจิตท่านคงสงบเป็นสมาธิระดับหนึ่ง เมื่อใจว่าง ฤาษีก็เข้ามาหาด้วยบุพพกรรมที่ผูกพันกันมา ฤาษีรูปนั้นสอนวิธีการทำวัตถุมงคลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นของหาได้ง่ายในโลก แต่ไม่ปรากฏว่าใครที่ไหนในโลกทำกัน
    นั่นคือ ‘ปากกา’


    <DL class=postprofile id=profile22338><DT>

    </DT></DL><HR class=divider>ปากกา ธรรมดานี้แหละเอามาลงพระคาถาสำคัญ และเสกด้วยพระเวทเฉพาะบท ซึ่งฤาษีรูปนั้นสอนหลวงปู่โดยทางนิมิตไว้อย่างครบถ้วน อธิบายถ่ายทอดให้ฟังละเอียด แม้ครั้งนั้นครั้งเดียวหลวงปู่ในวัยเด็กกลับจำได้หมดสิ้นน่าอัศจรรย์
    ก่อนพระ ฤาษีจากไปย้ำเด็กชายหงษ์ถึงวิชาลี้ลับนี้ว่า ห้ามถ่ายทอดใคร ห้ามสอนใครทั้งสิ้น ปล่อยวิชานี้ตายไปกับตัวดุจดัง ‘ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป’ ของพ่อท่านนอง ธัมมภูโต ที่ชาววิญญาณพบเห็นท่านแล้วเกิดเมตตาเอ็นดูจึงสอนให้เป็นและด้วยความหวงใน วิชา จึงห้ามขาดมิให้สอนใคร
    นี่คือเรื่องน่ารู้ซึ่งเราไม่อาจรู้ยิ่งไปกว่าที่รู้
    เมื่อ ผมกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า พระฤาษีรูปนั้นชื่ออะไร ท่านตอบว่า “ไม่รู้ ท่านไม่ได้บอกไว้” แล้วหลวงปู่เรียกท่านว่าอะไร ท่านยิ้ม “อาจารย์ฤาษี” ท่านยังบอกอีกว่าจากวันนั้นจนวันนี้ท่านไม่เคยพบอาจารย์ฤาษีรูปนั้นอีกเลย

    ปากกา ซึ่งหลวงปู่จะทำให้นั้น ต้องเป็นปากกาที่ด้ามเป็นโลหะ เพราะหลวงปู่จะจารอักขระสำคัญเป็นตัวขอม เป็นพระคาถาเฉพาะที่มีจำนวนมากถึง 108 บท บนด้ามเดียว การจารอักขระนั้นท่านมีท่าทางการจารที่ดูน่ารัก น่าเลื่อมใสมาก วัย 83 ปี ไม่เป็นอุปสรรคที่ต้องใส่แว่นตา หรือมือไม้สั่นจนลงไม่ได้ มือซ้ายถือปากกามั่น มือขวาถือเหล็กจารจรดลงแล้วลากอักขระอย่างต่อเนื่องกันไป แทบไม่ยกเหล็กจารขึ้นเลย สุดด้ามก็หมุนปากกาไปนิดหนึ่ง แล้วลงต่อไปเรื่อยๆ จนครบ 108 บท โดยเส้นสายลายอักขระไม่ทับซ้ำกันเลย
    ครั้งหนึ่ง ผมนั่งดูท่านทำปากกาจำนวนหลายสิบด้ามอยู่เงียบๆ ขณะที่จารอยู่นั้น ผมเห็นท่านชะงักนิดหนึ่งเพ่งมองที่อักขระแล้วเอานิ้วโป้งขวาถูๆ วนๆบนตัวขอมแถบนั้นมันจะลบให้ออกทั้งที่มันเป็นโลหะ คล้ายเด็กน้อยเขียนหนังสือผิด แล้วเอายางลบพยายามลบ ชั่วครู่ท่านก็เงยหน้ามองผม แล้วหัวเราะเบาๆ พึมพำว่า
    “เขียนผิด”
    น่ารักเป็นที่สุด


    <DL class=postprofile id=profile22339><DT>

    </DT></DL><HR class=divider>เมื่อ อยู่ในภาวะที่ไม่วุ่นวาย มีบุคคลน้อยจำนวนยิ่งเห็นหลวงปู่หงส์ชัดขึ้นกว่าที่เคยเห็น รู้จักท่านมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น รักอัธยาศัยแลซึ้งกับทะเลเมตตาในท่านที่มีให้อย่างไม่ปรากฏฝั่ง ท่านเหมือนปู่เหมือนทวดที่เอ็นดูลูกหลานโดยไม่จำกัดจำนวน
    กระนั้นแม้เรา ปรารถนาปากกาศักดิ์สิทธิ์ด้ามหนึ่ง ต้องจัดพานครูขึ้นก่อน ซึ่งผู้จัดควรรู้สิ่งของที่ต้องใช้จัด ซึ่งก็ไม่พ้นศิษย์ของท่าน ครั้นได้พานครูแล้วจึงใส่ปัจจัยบูชาครูลงไป จะเท่าใดก็ได้ หลวงปู่ไม่กำหนด แต่ควรคำนึงว่าผู้เฒ่าวัย 80 เศษ นั่งหลังขดหลังแข็งเขียนหนังสือตัวเล็กบนปากกากลมๆ นับสิบด้ามต่อวัน เป็นเราเราจะให้รางวัลตัวเองเท่าใด
    เมื่อหลวงปู่จารครบทุกด้ามที่มีใน เวลานั้น ท่านจะวางคืนลงบนพานครูที่มาพร้อมแต่ละด้าม ท่านจะขยับพาน (ที่จริงเป็นถาดเล็ก) ทุกใบให้ติดกัน สองมือจับสองพานแรกที่ชิดกับท่าน แล้วเริ่มสวดบทปลุกเสกเป็นการเฉพาะอย่างยาวนาน ซึ่งท่านว่าใช้คาถา 108 บทเสก ในบางทีที่ธาตุขันธ์สมบูรณ์พร้อม ท่านเสกถึง 300 บทก็เคย
    เมื่อ สร้างขลังที่ไม่เหมือนใครแล้ว พิธีเสกใยต้องเหมือนใครอีก คณาจารย์รูปอื่นเมื่ออธิษฐานเสกย่อมเห็นท่านหลับตาภาวนา จะประนมมือหรือชักประคำก็แล้วแต่ หากหลวงปู่หงษ์กลับมองถาดครูบ้าง มองไปข้างหน้าบ้าง ทางข้างบ้าง ทั้งที่ท่านสาธยายพระเวทไม่ขาดปาก บางคราวยังมองหน้าผู้นั่งเฝ้าใกล้ๆ คนโน้นที คนนี้ที
    เล่นเอางง!


    <HR class=divider>
    เพื่อน ผมสงสัยจนได้เอ่ยถามว่ามันจะขลังไหมเนี่ย? ในเมื่อท่านไม่อยู่ในภาวะของการทำสมาธิเลย แต่ผมเชื่อว่าถ้าจิต “เป็น” แม้ไม่ได้อยู่ในท่านั่งสมาธิ จิตก็ยัง “เป็น” เพราะสมาธิเป็นเรื่องของใจไม่ใช่กิริยา หากถามหลวงปู่ภายหลังการเสก หาความรู้ใส่ตน
    ท่านอธิบายว่า การสวดพระคาถาแต่ละบท ท่านสวดด้วยความเคารพและตั้งใจ ที่สำคัญคือของตรงหน้าท่านทั้งหมด ครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นพรหมบ้าง เป็นเทพบ้างมากันครบถ้วน และลงมือเสกของไปพร้อมกับท่าน จนทั้งหมดล้วน
    ศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพสมบูรณ์เต็มก่อนที่ท่านจะสวดจบด้วยซ้ำ
    ผมได้แต่ร้อง “โอ้โฮ...”
    จาก นั้นท่านก็เอื้อมมือไปจับถุงพลาสติกหูหิ้ว อย่างที่เรียกกันว่า ถุงก๊อบ แก๊บใบเขื่อง ซึ่งใส่กล่องกระดาษบรรจุพระเครื่องในพิธีถุงหนึ่ง ขยับนิ้วไปมาพลางว่า
    “นี่! เห็นไหมถุงนี่ อย่าทิ้งนะ เอาไปตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แจกให้เด็กๆ แขวนคอ หมากัดไม่เข้านะ ป้องกันอันตรายได้หมด ถุงกับกล่องในพิธีนี้เอาไปแขวนแทนพระได้ ครูบาอาจารย์เสกให้หมดแล้ว หลวงปู่ก็เสกด้วย ไม่ได้เสกให้เฉพาะของในกล่องนะ”

    คราวนี้ไม่มีเสียงร้อง แต่อ้าปากหมด
    เพราะ ผมไม่เชื่อว่าหลวงปู่จะมุสา จึงประทับใจและอัศจรรย์ในวิชาอาคม ที่ท่านร่ำเรียนมาบวกกับเคยเห็นอภินิหารท่านมาก่อน เลยเชื่อท่านจริงจัง



    <HR class=divider>จาก นั้นท่านเมตตาสอนวิธีการใช้ปากกาด้ามครู คือปากกาที่ท่านจารไว้ให้นั่นแหละ ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังเผื่อท่านที่มีวาสนาได้ครอบครอง แต่ไม่รู้วิธีใช้ ทว่าก่อนรู้การใช้ โปรดรู้ข้อห้ามก่อนว่าหลวงปู่ห้ามดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ถ้าเคยดื่มก่อนมาเป็นศิษย์ ก่อนมาถือของๆ ท่าน กรุณาเลิกให้เด็ดขาด
    หากท่านถือของหลวงปู่อยู่แล้วไป ดื่มสุรา โปรดทราบว่าเสื่อมสนิท ทำอย่างไรก็ไม่ขลัง บางท่านใช้วิธีถอดไว้บ้านแล้วไปดื่ม หลวงปู่บอกว่า “เสื่อมอยู่ที่บ้านนั่นแหละ” เรียกว่าห้ามเด็ดขาด ทีนี้ถ้าเสื่อมแล้ว หลวงปู่บอกว่า หมดทางจะต่อกันติด ขอขมาอย่างไรก็ไม่ได้จงเลิกแขวนเสีย เพราะถ้าไปเกิดอันตราย ของท่านไม่อาจคุ้มกันได้เลย อีกเรื่องหนึ่งคือ ท่านห้ามผิดลูกเมียใคร เด็ดขาดละเอียดไปถึงไม่ให้เที่ยวสถานบริการทีเดียว ท่านถามผมว่า “เรารู้เหรอว่าเขาไม่มีผัวน่ะ”
    โปรดจำให้มั่น
    ในกรณีที่ เสื่อมจากเราแล้ว นำไปมอบให้คนไม่ดื่มสุราได้ คงขลังดุจเดิม ท่านว่าเสื่อมกับเฉพาะคนไม่ถือคำห้ามเท่านั้น ใครถือคำได้ของก็ขลังกับคนที่ถือ

    <HR class=divider>ต่อไปนี่คือคุณวิเศษ 8 ประการ ในปากกาด้ามครูทุกด้าม ดังนี้
    1. ก่อนอาราธนาวัตถุมงคล ใด ๆ กรุณาจำคาถาศักดิ์สิทธิ์ 3 คำนี้ ให้ขึ้นใจ ‘นะเมติ’
    2.เมื่อ ทำกิจใดแล้วมีอุปสรรคขัดข้องให้เอาปากกาออกมาถือแกว่งไปมา พร้อมท่องคาถา นะเมติ’ และนึกอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการอุปสรรคทั้งปวงจะหายไป หลวงปู่รับรองความศักดิ์สิทธิ์ ขนาดว่าคนถือปืนจะยิงเรานี่ มือตก ยิงเราไม่ได้ เราสามารถเดินไปเก็บปืนจากมือได้เลย
    3. ถ้าถูกศัตรูล้อมแม้จะหนีออกมา ให้เอาปากกาวางบนศีรษะ ท่อง ‘นะเมติ’ ระลึกถึงหลวงปู่ให้แน่วแน่ จะเป็นมหากำบังคนมองไม่เห็นตัว แหวกวงล้อมออกมาได้
    4. หากต้องการน้ำมนต์ ให้จุดธูป 3 ดอก และเทียน 1 คู่ ผมถามว่าถ้าไม่มี ใช้เทียนเล่มเดียวได้ไหม ท่านว่า “ไม่ได้” ย้ำว่า 1 คู่ “เพราะตาคนมี 2 ตาถ้าตาเดียวก็มองไม่ถนัดใช่ไหม” จากนั้นตั้ง นะโม 3 จบ เอาปากกาวางบนปากขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำมนต์ ถ้าภาชนะใหญ่ จะวางข้างๆก็ได้ และท่อง ‘นะเมติ’ 9 จบ ถ้ามีเวลาท่องให้ได้ 108 จบยิ่งดี รอจนธูปหมดดอก หรือสักพักหนึ่งจึงขอน้ำมนต์มาใช้ได้ ท่านบอกว่า “ครูบาอาจารย์จะมาทำให้ศักดิ์สิทธิ์ม้าก มาก”
    ท่านยังบอกอีกว่า หากภาชนะใส่น้ำมนต์มีจำนวนมากก็ไม่เป็นไร เอามาตั้งไว้ใกล้ๆ กับเทียน 1 คู่นั้น ไม่ว่าจะมีกี่ขันกี่ตุ่มในบริเวณนั้น เมื่อแสงเทียนส่องรัศมี คลอบคลุมไปสิ้นสุดตรงไหน น้ำที่อยู่ในรัศมีความสว่างนั้นจะเป็นน้ำมนต์ทรงอานุภาพทั้งหมด
    5. ถ้าจะทำของขลังแจกเพื่อน หรือลูกหลาน เช่นเราจะแจกวัตถุมงคลแก่ทหาร หลวงปู่บอกว่าให้หาปากกามาเป็นพลาสติกหรือโลหะได้ทั้งนั้น จากนั้นเอาปากกาด้ามครูมัดติดกับปากกาที่จะทำ เช่น ทหารมีจำนวน 1 ล้านคน ก็เอาปากกา 1 ล้านด้าม มัดให้ติดกัน เอาปากกาด้ามครูวางทับข้างบนสวด ‘นะเมติ’ ให้ได้ 108 จบ ห้ามขาดเมื่อท่องจบปากกา 1 ล้านด้ามนั้น จะมีอานุภาพเป็นมหาอุดแคล้วคลาด ล่องหน คงกระพัน โชคลาภ ฯลฯ แล้วแต่จะปรารถนา ดุจเดียวกับด้ามครูทุกประการ แต่จะเอาปากกาด้าม ‘ต่อ’ มานั้นไป ‘ต่อ’ ด้ามอื่นๆ อีกไม่ได้ คงขลังอยู่เฉพาะตัวเอง เท่านั้น
    6. หลวงปู่บอกว่า ปากกาทั้งด้ามครูและด้ามต่อนั้น ท่านอธิษฐานให้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ 500 ปี จึงเสื่อมหรือถ้าละลายเป็นน้ำ (ด้วยตัวมันเอง) เมื่อไรจึงเสื่อม
    7. ถ้ามีเรื่องทุกข์ใจหนัก ต้องการถามเทวดาที่รักษาปากกา ให้ตั้งขันธ์ 5 มีดอกไม้ขาว 5 ดอก ธูป 5 ดอก เทียน 5 เล่ม ผ้าสบง 1 ผืน เอาปากกาวางบนพาน ปูผ้าขาวท่องนะเมติไปเรื่อย จนกว่าปากกาในพานจะลุกขึ้นตั้งได้เอง จากนั้นเราจะถามสิ่งใด ปากกาจะตอบเราหมดสิ้น เป็นไปด้วยอำนาจครูบาอาจารย์ที่มาสงเคราะห์เรา หลวงปู่ย้ำว่า “เป็นไปได้จริงๆ ไม่โกหก มีคนทำได้ผลมาแล้ว แต่อย่าทดลองทำเล่นนะ”
    8. ปากกาด้ามครูหมึกหมด ก็เปลี่ยนไส้ปากกาได้ อานุภาพยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    <HR class=divider>นี่ คือคุณสมบัติ 8 ประการของปากกาด้ามครู วัตถุมหัศจรรย์ของหลวงปู่หงษ์ ซึ่งท่านสอนผมด้วยองค์ท่านเอง และในบางข้อผมได้ทำด้วยตนเองเพราะความจำเป็นมาแล้ว ปรากฏผลเห็นจริง มีคำรับรองของท่าน ผมจึงเสื่อมใสและผูกพันกับหลวงปู่หงษ์มากด้วย เห็นว่าท่านพูดจริงเป็นที่พึ่งได้จริง
    สำคัญที่ถือข้อห้ามให้มั่น และอย่าเอามาทดลอง อย่าเอามาทำเป็นเล่นเชิงปรามาส ของจะไม่แสดงอานุภาพ ท่านว่าคับขันเมื่อไรค่อยใช้จะได้เห็นเอง
    ผมเคยถามหลวงปู่ว่าวัตถุมงคล ที่เป็นสุดยอดวิชาของหลวงปู่คืออะไร ด้วยเห็นท่านเรียนมาถึง 160 อาจารย์ ซ้ำยังเป็นวิชาแปลกประหลาดน่าทึ่งทั้งนั้น แรกถามคาดว่าคงเป็นตะกรุดชุด 12 ดอกอันลือลั่น แต่ท่านตอบชัดเจน
    “ปากกา”

    นี่ แหละครับ ของธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ของที่หาได้ทั่วไปแต่ไม่อาจหาได้ทั่วไป เช่นเดียวกับเพชรลูกที่ยังไม่ได้เจียระไน แม้เกลื่อนธรณีอยู่ก็หารู้ค่าไม่ ทว่าผ่านกระบวนการแล้วเสร็จเมื่อใด กลับเป็นของสูงค่า หาได้ยากทันที
    ท่าน ใดที่มีปากกาหรือวัตถุมงคลของหลวงปู่หงส์อยู่ โปรดรักษาให้เท่าชีวิตดังคำหลวงปู่กล่าวเถิด เมื่อถึงคราวจำเป็นจะช่วยท่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจนักเทียว
    ขอหลวงปู่แผ่บารมีคุ้มครองทุกท่าน ด้วยเทอญ...

    นะเมติ นะเมติ นะเมติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 102_2154.jpg
      102_2154.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.5 KB
      เปิดดู:
      208
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  11. ลูกคุณย่า

    ลูกคุณย่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +1,094
    ยืนยันค่ะ ว่าพระหลวงปู่ใช้แล้วจะเห็นเอง เมตตา สงบ ร่มเย็น คนรัก
     
  12. คชบุตร

    คชบุตร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,637
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อนุโมทนาครับ :cool: :cool: :cool:
     
  13. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,522
    ค่าพลัง:
    +4,863

    น้องเอก วันไหว้ครูไปหรือเปล่าครับ

    นะเมติ นะเมติ นะเมติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  14. ejob

    ejob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +366
    โอ๊ว...ของดีหายากทั้งนั้นเลยครับบบ:cool:
     
  15. สมาธิ7689

    สมาธิ7689 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +1,251
    ขออนุญาตเล่าอีกเหตุการณ์ครับ
    เป็นช่วงลอยกระทง ครับ ผมได้พาแฟนไปลอยกระทงตรงวัดปริวาส เป็นเวลาประมาณ 3ทุ่มครึ่งถึง 4ทุ่ม ก็ได้เวลากลับบ้าน ผมก็ออกจากลาดจอดรถมาตรงถนนใหญ่(พระราม 3)จะไปขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ไปลงพระประแดง มาได้ประมาณ 100-200เมตร (ด้วยความเร็วประมาณ 40-50)เพราะรถเพิ่งออกตัว และกำลังจะขึ้นสะพานข้างแยก ก็มีรถกระบะนิสสันฟรอนเทียร์ มาด้วยความเร็วประมาณ 90-100 มาชนตรงฝั่งคนขับ โดยตั้งแต่ประตู + กระจกมองข้าง(หายไปเลย) แล้วเค้าก็ไม่หยุด ยังคงรักษาความเร็วเดิม 90-100 พอผมตั้งสติได้ก็ต้องไล่ตามละครับ เพราะถ้าตามไม่ทันก็จะต้องซ่อมเอง(ออกเงินเอง) แต่ด้วยความเร็วที่เพิ่งออกตัว พอรถขึ้นสะพานที่เป็นเนินสูงสุดผมก็มองหาคนคันดังกล่าวไม่เจอแล้วครับ หายไปไหนไม่รู้ ผมจึงต้องลองสักตั้ง "ใจผมนิดถึง (คิดถึง)ครูบาอาจารย์ "ทันที ในส่วนลึก คิดคำว่า "นะเมติๆๆๆไปเรื่อย"แล้วบอกว่า "หลวงปู่ครับ ถ้าผมตามไม่ทันผมต้องเสียอีก 2000.- ถึง 4000.-แน่เลยครับ หลวงปู่ช่วยด้วยครับ" ผมข้ามสะพานข้างแยกมาเรื่อยๆ จำไม่ได้ว่ากี่แยก เพราะใจและตา มองหารถคันนั้นอยู่ จนถึงแยกแถว ถ.นางลิ้นจี่ ผมจอดตรงไฟแดงพอดี ผมก็ชักจะมืดแปดด้านแล้วครับ ทำไงดี แต่ใจยังไม่ท้อครับ มองรอบๆ สักพักผมก็มองไปทาง ซ้ายที่ไปทางถนนจันทร์ผมเห็นรถคันหนึ่ง จอดอยู่ตรงไฟแดงใต้ทางด่าน
    ด้วยความหมดหวังแน่ๆ แต่ใจมันบอกว่าคันนี้แน่ๆ (เพราะอะไรไม่รู้ดูแล้วโดดเด่นมาก) ผมเลี้ยวซ้ายอย่างไม่รอช้า เพื่อไปดักหน้ารถคันดังกล่าว แทบไม่น่าเชื่อครับ ใช่จริงๆด้วย แต่เค้าจอดทำไมไม่รู้ ผมรู้อย่างเดียวคือต้องทำให้เค้ารู้ เลยขับตัดหน้าเค้า (แล้วผมก็ลงรถไป
    พยายามทำเสียงดังไว้)เพื่อให้ขับอื่นเห็น แล้วทำให้เค้าไม่กล้าขับหนีอีก (เป็นจริงอย่างที่คิด มีค้นอื่นมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็แกล้งโวยวายครับ) คนขับที่ก่อเหตุจึงยอมความ
    แต่เค้าต้องเรียกเจ้านายเค้ามาก่อนครับ พอเจ้านายเค้ามาถึงเจ้านายเค้าก็ยอมรับผิดครับ
    แต่เค้าบอกว่าจะบอกกับประกันภัยว่าเค้าเป็นคนขับนะ เพราะลูกน้องเค้าไม่มีใบขับขี่
    กว่าจะตกลงกันได้ก็ประมาณ 5ทุ่ม (คือก่อนหน้านี้ที่เจอรถคันนี้ผมก็บอกแฟนว่าให้นั่งรถแท๊กซี่กลับก่อนเปล่าดึกแล้วแต่แฟนไม่ยอมผมก็ตามใจ) จนประกันมาทำเอกสารเสร็จจึงแยกย้ายครับ นี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์ครับ ถ้าผมตามไม่ทันก็คงต้องเสียเงินทำสีใหม่ ซื้อกระจกใหม่อีก โชคดีที่สติไม่แตกไปตอนโดนชน
     
  16. FALCON1

    FALCON1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,522
    ค่าพลัง:
    +4,863
    "คัดลอกมาให้อ่านกันครับ ขออนุญาติเจ้าของบทความด้วยครับ"
    หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยรู้จักหลวงปู่ในแง่ของพระขลัง และขมังพระเวท นั่นเป็นเรื่องจริงครับ

    แต่หลวงปู่ท่านเคยพูดในอีกแง่มุมนึงให้ผมฟังว่า

    หลวงปู่เสกพระไม่ให้เขาผิดศีลไม่ให้เขาทำบาป(เสกให้เขาฆ่ากันไม่ตาย เสกให้กำบังให้เขามองไม่เห็น เขาจะทำร้ายกัน ขโมยของกัน ก็มองไม่เห็น ก็ทำผิดศีลไม่ได้)


    เราได้ฟังก็มาคิดดูก็จริงของท่านแฮะ ท่านมีความคิดข้ามหัวเราไปไม่รู้เท่าไหร่ ท่านมองทะลุถึงแก่นแท้จริง ๆ


    นะเมติ นะเมติ นะเมติ

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0811.JPG
      IMG_0811.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      270
    • IMG_0812.JPG
      IMG_0812.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      221
    • IMG_0813.JPG
      IMG_0813.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      199
    • IMG_0814.JPG
      IMG_0814.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      212
  17. ejob

    ejob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +366
    แต่งแล้วสวยจังครับ:cool:
     
  18. BROSNAN

    BROSNAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +2,440
    พระกริ่งปอกผิวของคุณ falcon สวยมากๆครับ
     
  19. BROSNAN

    BROSNAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +2,440
    ตื่นเต้นครับใกล้ถึงพิธี้ข้าพรรษาแล้วครับ ภาพนี้เป็นภาพพระอาทิตย์ทรงกลดในงานเข้าพรรษาปีที่แล้ว และ เป็นวันไหว้ครูเป็นประจำทุกปี ภาพปาฏิหาริย์ของหลวงปู่เห็นได้อยู่บ่อยๆครับ

    ปีที่แล้วพระอาทิตย์ทรงกลดเหนือปราสาทเพชรพิพิธภัณฑ์ เป็นเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ตลอดพิธีไหว้ครู นับว่าเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ห้ามพลาดนะครับงานนี้ ชาวงเช้าของวันที่ 26 กรกฏาคม มีสวดปาฏิโมกข์ที่วัดเพชรบุรีนะครับ ช่วง 12.00-13.00 เริ่มพิธีไหว้ครูที่สุสานทุ่งมน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN4322.jpg
      DSCN4322.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.9 KB
      เปิดดู:
      144
  20. คชบุตร

    คชบุตร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,637
    ค่าพลัง:
    +4,388
    กำลังเร่งเคลียร์ งานอยู่ครับพี่ อยากไปมาก ๆ ครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...