อยากกลับไปสู่ความสงบ ตอนนี้ทรมานเหลือเกิน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย coli, 7 กรกฎาคม 2010.

  1. coli

    coli สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมเหนื่อย ท้อ ทรมาน กับการใช้ชวีตมาก
    ทำไมสังคมไทย ถึงเป้นแบบนี้
    สิ่งต่างๆๆมันสร้างให้คนเรา ทำไม่ดีเห้นแก่ตัว
    ต้องคอยต่อสู้แย่งชิง อิจฉาริษยา
    ทุกๆๆวันผมต้องเจอสิ่งต่างๆๆมากมาย
    ทั้งหัวเราะ ร้องให้ ผมรู้สึกว่ามันไม่มีความสุขเลยครับ
    ผมอยากมีความสุข
    ผมต้องทำไงครับ
    ศาสนา มีไว้เพื่อไร ผมนั่งสมาธิก็ดีครับ สงบดีไม่คิดไรเลย
    แต่หลังจากนั่ง ออกไปเจอสังคมข้างนอก มันมีผลกระทบใจ
    ใจมันปรุงแต่งกับทุกเรื่องที่เจอ
    ไม่ว่าจะเป้นความยาก ต้องการนั่นนี้ไปหมด
    อยากหล่อสวย อยากรวย อยากไปหมดเลย ถ้าได้ในสิ่งต้องการก็มีความสุข
    ถ้าไม่ได้ก็มีความทุกข์ สลับกับไป หรือถ้าใครด่าว่าก้เจ็บปวดมาก
    ผมเบื่อแล้วครับ ผมต้องทำตัวยังไง
    ถึงจะได้มีความสุข ความรู้สึกอิ่มเอิมใจ
    ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมได้ทำบุญ ได้ช่วยเหลือเงินบริจาด ได้เลี้ยงข้าวเด้กพิการๆ
    ผมอยากมีความรู้สึก มีความสุขแบบนี้ครับ อยากมีตลอดเวลา
    ผมควรทำไงดีครับ ผมไม่อยากได้ความสุข แบบปลอม

    แต่ผมอยู่สังคมที่ต่อสู้แบบนี้ทำให้ผมต้องเป็นเหมือนคนอื่นๆๆไปเสียแล้ว

    ผมจำได้ว่า 10 ปีที่แล้ว ตอนอยู่ม. 4
    ผมเคยไปปฏิบัติธรรมแบบเคลื่อนไหว 14 ท่า ตอนนั้นผมทำไปเพราะอยากรู้ว่าทำไปได้อะไร
    ผมจำได้สนิทใจเลยว่า ผมเดิน นั่ง สมองคิดไปต่างๆๆนาๆๆ เดินตำหนามเดินไม่ได้เลย
    พระอาจารย์ถามว่าเจ็บหรอ ผมตอบว่าเจ็บ
    ท่านบอกว่าใครเจ็บเรานั่นหละคิดองว่าเจ็บ ผมเลยจินตนาการตอนคนไข้ผ่าตัด
    วางยาสลบ เขาไม่เจ้บเลยนี่ แสดงว่าถ้าเราไม่สนใจมันคงไม่เจ็บ
    ผมเลยเดินและไม่สนใจมัน ผมเป้นอะไรที่เชื่อไม่ได้เลย
    ผมไม่เจ้บเท้าที่เดินเลย ผมเลยรู้สึกว่าถ้าท่านบอกเราต้องทำตามอย่าคิดไรมาก
    จนในที่สุดผมก็มาจับที่การเคลื่นไหว เดิน หรื่อนั่งตลอดเวลา
    ผมไม่เชื่อตัวเองเลยครับว่า เวลาผ่านไป 1 วันผมรู้สึก
    สงบสบายโล่งเย็นๆๆมากครับ ไม่เคยรู้สึกสบายแบบนี้เลย
    ผมตั้งใจทำ ในวันต่อมา มาเริ่มเอาชนะตัวเอง ได้เช่น
    สามรถเดืนได้ทั้งวันไม่เมื่อย สามารถอาบน้ำเย็นๆๆจัดได้ สามารถกำหนดให้ตัวเองนอนหลับได้
    และบอกให้ตื่นได้ ผ่านไป 3 วัน
    ผมฝันไปว่า มีพระท่านหนึ่ง มายื่นดวงแก้วใสๆๆให้ผม แล้วผมก้รับ
    พอตอนเช้าผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างสถิตในท้องผม ผมรู้สึกได้และผมบอกกับตนเองว่าจะรักษามันไว้
    เมื่อผมออกจากวัด ไป ขณะนั่งบนรถเพื่อนต่างพากันร้องเพลงดีใจได้กลับบ้าน
    จิตใจผมตอนนี้มีแต่ความสงบเย็นสบาย รู้สึกเสียดายที่เพื่อนๆๆไม่ได้เหมือนอย่างเรา
    อยากให้ทุกคนเป้นแบบเรา ตอนนั้นเขาร้องเพลงนะ
    ผมก็ฟังแต่ก็แค่รับรู้ว่าเป็นเพลง ไม่ได้สนุกอะไรกับมันเลย รู้สึกตลกคนอื่น
    ที่ร้องเพลงแล้วสนุกมากเต้นแร้งเต้นกา เหมือนยังกับคนบ้า
    ผมได้เข้าไปในเมือง หมู่บ้าน ผมมีความรู้สึก เวททนา สงสาร คนทุกคน
    ในสังคม ว่าเขาทำตัวไร้ค่ามาก รู้สึกว่าทุกคนทำตามกิเลสตันหาของตน
    ผมอยากเดินเข้าไปสั่งสอนมาก แต่ทำไม่ได้ พอถึงบ้าน
    ผมเปลี่ยนไปเลย ผมกลับรู้สึกว่า สิ่งที่เลวๆๆไม่ดี ไม่ทำนะ
    ทำแต่สิ่งที่ดีๆๆถูกต้องเท่านั้น
    มันออกมาจากใจเลยครับ จากนั้นผมก้ไป รร
    อีก2 - 3 วัน
    ผมก็กลับมาเป้นคนปกติครับ เหมือนเดิมก่อนเข้าวัดครับ
    ตอนนี้ผ่าน 10 ปีเร็วจัง
    ผมอยากกลับไปเป้นแบบนั้นอีกครับ
    แต่ผมยังต้องอยู่ในสังคมเมืองครับ ไม่ต้องการไปอยู่ในวัดเพราะผมยังมีภาระ
    ในการหาเงินเลี้ยงครอบครัว ครับ
    ผมทำไงครับ

    ทุกวันนี้ผมดำเนินชีวิตไม่มีความสุขเลยรู้สึกชีวิตไร้ค่ามากเลย
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ดับความอยาก สิ การที่เราอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากให้สิ่งนั้นเป็นแบบนั้น แบบนี้

    เป็นเหตุแห่งทุกข์

    และที่เราอยากแบบนั้น อยากแบบนี้ ก็เพราะว่า เราเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปสัมผัสสัมพันธ์ กับ เรื่องราวต่างๆ แล้วไปวุ่นวายกับมันเอง

    ถ้าเราไม่เอาใจเราไปสนใจกับเรื่องภายนอก รู้จักพอใจ ในสถานะปัจจุบันของตัวเอง
    พอใจ ที่เรามี มันก็ไม่ทุกข์ และ พอฝึกบ่อยๆ ทุกข์ที่มีก็คลายลงไป

    วางมันไปซะทุกเรื่อง ให้มันบ่อยๆ ก็จะดับทุกข์ได้

    บางคน ไม่วางที่ใจ แต่ไปนั่งสมาธิ พอออกจากสมาธิ ตา หู ไปสัมผัสเรื่องอื่น ก็เกิด อยาก ไม่อยาก ขึ้นมาอีก

    ใจก็ไม่เคยได้รับความสงบ

    หัดวาง ให้บ่อยๆ เพราะทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง
     
  3. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ภาคปฎิบัติเอาแบบนี้ครับ
    1.นอนเยอะๆสัก8 ชม.
    2.กินอาหารดีๆหน่อย
    3.ดูหนังสนุกๆ เช่น อวตาร คนเหล็ก4 GI joe
    4.ไปเที่ยวทะเล พักผ่อนอ่ะ เอาที่ชอบครับ
    5.ทำเพื่อคนอื่น มีไรช่วยได้ช่วยครับ ไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีเงินก็ช่วยแรง เก็บขยะ ใบไม้
    6.สวดมนต์ อิติปิโส
    7.นั่งสมาธิ
    8.อยู่กับตัวเอง อยู่กับความสงบ ทบทวนเรื่องราว ยอมรับเรื่องราวตามความเป็นจริง
    แปลว่าไม่ต้องอยากให้อะไรๆเป็นยังไงแต่ปล่อยมันเป็นไปตามธรรมชาติ
    9.อาจจะเริ่มจากการยิ้ม ปราถนาดีต่อคนอื่น รวมถึงคนที่เราไม่ชอบ
     
  4. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    ส่วนตัวแล้ว ก็ไม่มีความรู้อะไรที่จะไปสอนคนได้ แต่เอาแค่ส่วนที่ผมปฏิบัติตอนนี้คือ จับ ลมหายใจอย่างเดียวเลย ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม กินข้าว อาบน้ำ พอทำแล้วรู้สึกว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านน้อยลงมาก แนะนำได้แค่นี้ แล้วที่พี่เจ้าของกระทู้พูดเรื่อง14จังหวะผมก็เคยทำ ตอนปฏิบัตินั้นสติดีมากอารมณ์ฟุ้งซ่านหายไปหมด พอกลับมาบ้านก็เละเป็นโจ๊กเหมือนเคยเพราะผมไม่ยอมทำแบบต่อเนื่อง สมาธิมันก็พังไปเอง
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    โห ประสบการณ์แจ่มๆ ทั้งนั้นเลย

    แต่เนาะ ทำไมมันถึงหายไป ตรงนี้แหละ ธรรม แท้ๆ ปรากฏอยู่ สอนให้เห็น
    อยู่ตำตาเลย แต่เราไม่รู้วิธีการศึกษา ก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า ยังไม่รู้ หรือเข้าใจ
    ผิดว่า ไม่ได้อะไรเลย

    สิ่งที่ ธรรมะ กำลังสอนคุณแบบถึงพริก ถึงขิง ก็คือ ...ทุกสิ่งใดๆล้วนอนิจจัง
    ไม่เที่ยง เจริญได้ก็เสื่อมได้ เป็นทุกข์ตั้งอยู่คงทนไม่ได้ บังคับบัญชาให้อยู่กับเรา
    ไม่ได้ เป็นอนัตตา

    แล้วสภาพธรรมอะไรบ้าง ที่ปรากฏไตรลักษณ์ให้เห็น

    1. คือ สภาวะจิตตั้งมั่น แช่มชื่น มั่นคง ที่คุณถวิลหา

    2. คือ สภาวะจมโลก หม่นหมอง ไหลไป ที่มาหาแม้ไม่ถวิล

    จะเห็นว่า สภาวะทั้งสอง มันแสดง ไตรลักษณ์ให้เห็น พอๆ กัน ไม่ต่างกัน

    เมื่อสภาวะจมโลก อิ่มตัว หมดกำลัง คุณก็ดำริหา หนทางนำออก(หนทางเจริญที่แท้)
    เมื่อสภาวะไม่เกาะเกี่ยวโลก อิ่มตัว หมดกำลัง คุณก็ดำริหา หนทางเจริญที่แท้ยิ่งกว่า

    ก็จะเห็นว่า โลกนั้น เต็มไปด้วย กองอกุศล หนึ่งกอง และ กองกุศลอีกหนึ่งกอง
    ทั้งสองกองน้ัน ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น มีสถานะเท่าเทียมกัน

    แต่...เธอ!!..รู้ว่ามันต้องมีหนทางอื่นยิ่งกว่า อันนี้ก็เพราะ เธอไม่ใช่ ปุถุชนธรรมดา แต่
    เป็น ปุถุชนผู้เคยสดับธรรมะ ไม่ธรรมดา อื้อหือ ไม่ธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2010
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ที่นี้ การก้าวต่อ เราต้องกำหนดแผนการปฏิบัติใหม่ จากเดิม เราอาศัยอยาก
    นำพาให้เราได้ก่อกุศล สัมผัสความร่มเย็นปราณีต ยิ่งกว่าการ จมอยู่ในโลก
    ต่อไปให้เพิ่มความอยากเข้าไปอีก อย่าพึ่งหยุด พอใจกับความสุขร่มเย็นที่แสดง
    ให้เห็นแล้วว่า มันมีความไม่เที่ยง

    ดังนั้น ต่อไปอย่า อาศัยอยากเพื่อปฏิบัติสิ่งใด เพื่ออาศัย เพื่ออยู่ เพื่อเป็น

    แต่ให้ อาศัยอยากนั้น นำพาเราให้เห็น สัจจธรรมของสภาวะธรรมทั้งสอง
    เหล่านั้นแสดง ไตรลักษณ์ ให้เราเห็นซ้ำๆ จนกว่า จะเข้าใจถ้วนถึงในธรรม
    โดยไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น ไม่เผลอไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไรๆ จนเกิดเป็น

    ภวะสวะ ภพของการอยู่ การเป็น เพราะ มีภพ(การอาศัยด้วยความพอใจ)
    มันก็จะต้องมี ชรา มรณะ หรือ เสื่อมลงอยู่ดี [ ตรงนี้ ต้องระวังนะ แม้
    ว่าจะเข้าใจกลไกแล้ว แต่โดยทางปฏิบัติ เราจะถือว่า ไม่เห็น ไม่แจ้ง หาก
    ประมาทก็จะเผลอเข้าใจว่า ตนรู้ปฏิจสมปุบาท การภาวนจะล้มไม่เป็นท่าเลย
    , ต้องท่องเอาไว้เลยนะ ปฏิจสมุปบาทนั้น เป็นภูมิของอรหันต์เท่านั้นที่จะปรารภ
    ว่าเห็นได้ แต่ในทางปฏิบัติท่านก็จะไม่ปรารภออกมาหลอกว่ารู้ทั่วถึง เพราะมันมี
    เยอะเป็นอจิณไตย เข้าใจได้แค่พอพ้นทุกข์ก็พอแล้ว ]

    ที่เรายังแลไปข้างหน้าไม่ได้ เพราะ เราวางเป้าการศึกษายังไม่ตรง ยังไม่เกิด
    "ทิฏฐิชุกรรม" เห็นตรงต่อการศึกษา คุณยังเผลอเจอสิ่งที่เห็นว่า พอแล้วสุขแล้ว
    แล้วด้วยความไม่รู้ว่า มันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ คุณเลยเผลอจับไว้ ถวิลหา การ
    ปฏิบัติแทนที่จะเป็นความเข้าใจถ้วนในสรรเพธรรมา กลายเป็น ปฏิบัติเพื่อถือเอา
    เพืออยู่ เพื่อเป็น มันก็เลยไม่ก้าวหน้าให้เห็น

    ไม่เชื่อ คุณลอง ทบทวนง่ายๆ สิ

    คุณ เข้าใจ ไตรลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็น แล้วมากน้อยแค่ไหน

    ก็นั้นแหละ การเล็งเห็น ไตรลักษณ์ปรากฏนั้นแหละ ความก้าวหน้า ซึ่ง
    เป็นความเข้าใจ เป็นตัว ปัญญา หละ และเห็นได้จากการปฏิบัติเท่านั้น
    ไม่ใช่ด้วยการตรึกนึกคิดเอา

    สรุปแล้ว ต้องทำอะไรต่อไป ....ก็ไปทำอย่างเดิม

    แต่ขออนุญาติ แนะนำให้ ระลึกรู้สภาวะที่ปรารภว่า "รู้สึกว่ามีอะไรในท้อง"
    ให้หมั่นรู้สึกที่ตัวนั้น เห็นก็รู้ ไม่เห็นก็รู้ว่าไม่เห็น เมื่อไหร่รู้ชัดก็รู้ว่ารู้ชัด
    เมื่อไหร่รู้ไม่ชัดก็รู้ว่ารู้ไม่ชัด ให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง
    อนัตตาของสภาวะนั้น อย่าไปประครองรักษา เน้นนะว่า ให้เปลี่ยนการ
    ศึกษาจาก การทำเพื่ออยู่เพื่อเป็น เป็น การอาศัยระลึกรุ้ เท่านั้นพอ

    เอาสภาวะธรรมตรงนี้ แทงตลอด(แทนการเห็นสภาวะธรรมอื่นๆ) มันจะ
    ค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็น กายคตาสติ เมื่อเธอระลึกอยู่ที่กาย อาการทาง
    กายตัวนี้เธอจะเห็นว่ามันไม่มีเรื่อง กุศล หรือ อกุศล ปรากฏ มัน
    เป็นเพียงความรู้สึกกลางๆ กลางจากความเป็นกุศล และอกุศล มัน
    จึงเป็นตัวแทนของสรรพเพธรรมาได้ ให้ฝึกระลึกไปเรื่อยๆ เป็นวิหาร
    ธรรม(อย่าลืมนะ ไม่ใช่เพื่ออยู่ เพื่อเป็น แต่เพื่ออาศัยระลึกเท่านั้น)
    แล้วเธอจะพบว่า หากวิหารธรรมหายไป หรือปรากฏอยู่ก็ดี ใจของ
    เธอนั้นจะกระทบโลกได้อย่างไม่หวั่นไหว ไม่ไหล เมื่อไหร่ไหลจะรู้

    เมื่อไหร่ที่ไหลไป จมโลกไป เมื่อนั้น จิตผู้รู้แสดงไตรลักษณ์

    เมื่อไหร่เธอระลึกกลับมาที่วิหารธรรมได้โดยตัวจิตเอง ไม่ได้เกิดจากเจตนา
    ของเรา เมื่อนั้น โลกธรรมแสดงไตรลักษณ์

    ดูไปอย่างนี้ ทั้งสองโลก ทั้งสองสภาวะ แล้วจะค่อยๆ เห็น สิ่งที่เรียกว่า

    ทางสายกลางเอง อยู่กับโลกได้อย่างไม่เป็นปฏิปักษ์ ไม่ไหลไปโดยไม่ก่อ
    ประโยชน์ต่อตนหรือผู้อื่นเพียงส่วนเดียว แต่จะไหลไปโดยก่อประโยชน์ได้
    ในทุกๆส่วนที่เกี่ยวข้องกับเธอ ไม่ว่า สิ่งที่เกี่ยวข้องจะเป็นอะไรก็ตาม

    * * * * *

    ตรงสภาวะธรรม ที่เอามาอาศัยระลึก ทำกายคตาสติก็ดี เวทนาอนุสติก็ดี
    จิตตาอนูสติก็ดี ธรรมานุสติก็ดี เธอต้องประยุกต์ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดสภาวะ
    ธรรมที่ปราณีต พ้นบัญญัต พ้นชื่อเรียก มาเรื่อยๆ ก็ให้ยกระดับการระลึก
    รู้ขึ้นไปเรื่อยๆ เอามาอาศัยระลึกเท่านั้น ไม่ได้เอามาอาศัยเป็นไม่เป็น เอา
    หรือไม่เอา เมื่อเจอธรรมอื่นยิ่งกว่าก็ให้ระลึกรู้ในธรรมอื่นยิ่งกว่า ทำไปเรื่อยๆ
    ไม่เลิกหลอก "เมื่อไหร่เจริญสติ เมื่อนั้นมีความเพียร [หลวงปู่มั่น]"

    [music]http://charyen.com/jukebox/asx_file/MusicUpdate-15048.wma[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2010
  7. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ที่จริงมันเป็นงี้ครับ คือ สภาวะที่คุณสงบ แปลกแยกกับสมมติโลกนั้น คือสภาวะสงบในฌาน มันติดออกมา ส่วนภายหลังมันเสื่อมได้อยู่เพราะยังไม่เกิดปัญญาครับ
    ให้นั่งสมาธิ แล้ววิปัสสนาครับ

    วิปัสสนาแบบนี้ครับ
    1.รูป=เดิน นาม=ความรู้สึกที่เกิดจากการเดิน ความรู้สึกในกล้ามเนื้อ
    เห็นความจริงของสมมติ เดิน เกิด ดับ ตามเหตุปัจจัย
    แบบนี้ไม่อิน อารมณ์เมื่อย ปวดเท้า แบบที่คุณเคยทำได้อ่ะ ทีนี้ถ้าจะไม่อิน จิตก็ต้องมีสติไม่ไหลไปตามอารมณ์นั้น เกิดจากการฝึกสมาธินั้นเอง
     
  8. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    อากาศร้อนหนีเที่ยวเมืองหนาวดีกว่า
    อากาศหนาวกลับมาเที่ยวเมืองร้อน
    ไปๆมาๆ จนไม่เป็นอันทำการทำงานเอาแต่หลีกเลี่ยง

    ลองมาพิจารณาว่าทำอย่างไรให้อยู่กับสภาพอากาศนั้นๆได้อย่างพอดีพอเหมาะกันนะครับ
    อุปมาไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน
     
  9. doopup5454

    doopup5454 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +58
    หาจุดที่ทำให้เกิดความทุกข์ และความสุขให้เจอซิครับ ทุกข์มันมีต้นเหตุ สุขก็มีต้นเหตุของความสุข ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็มีต้นเหตุ หากรู้เหตุแล้ว คิดว่าจะดับเหตุได้อย่างไรละครับ
    เวลาเกิดความอยากได้อยากมีอยากเป็น ลองใช้วิธีแกล้งกิเลสในตัวคุณดูซิครับ ลองคิดว่า
    สิ่งที่เป็นคุณที่แท้จริง คือดวงจิตเท่านั้น ในร่างกายคุณมีกิเลสนอนก้นทับถมกันไปหมด กิเลสทั้ง 3 ที่ชื่อว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันฝั่งแน่นตกตะกอนอยู่ในตัวเรา ลองแยกให้ออกว่า คุณมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่มันจะปะทุหรือแสดงอาการออกมา แล้วคราวนี้ เวลาคุณอยากได้ อยากมี อยากเป็น หลงใหล ให้ฝึกรู้ให้ได้ว่า ตอนนี้กิเลสกำลังกระปรี้ประเปร่า กำลังลองดีกับคุณแล้ว ลองให้ใจคุณ "รู้หนอ" กับตรงนี้ ว่ากิเลสมาแล้ว มาแล้วคุณก็แกล้งมัน มันอยากได้ คุณก็แกล้งไม่ให้มันได้ คุณอยากมีอยากเป็น ก็แกล้งมันไม่ให้มีไม่ให้เป็น อาการเหล่านี้ก็จะสงบลงเองครับ นอกนั้นก็เป็นการฝึกสมาธิโดยทั่วไป แม้ขณะนั่งสมาธิ กิเลสมารมันยังมายั่วยวนให้เรา ปวดเมื่อย ให้เราอยากออกจากสมาธิบ้าง อะไรบ้างตรงนี้ก็มี ก็แกล้งมันกลับไป นะครับ ขอให้ประสบความสำเร็จครับ
     
  10. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    ไม่มีใครเกิดมาสุขตลอดไป สุข ทุกข์ ของคู่กัน ไม่อยากทุกข์ก็ต้องปล่อยสุข
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    หลายๆท่าน แนะนำได้ดีแล้ว สู้ๆครับ
     
  12. สีฆะสีฆัง

    สีฆะสีฆัง บุญเป็นเรื่องด่วนต้องรีบทำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +428
    พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าหวั่นไหว จงทำใจให้ได้ จงทำใจเสียเถิดเมื่อมีทุกข์ จงทำใจเสียให้ได้ เพราะตัวเราเองยังห้ามความแก่ เจ็บป่วย ตายของตัวเราเองไม่ได้เลยครับ หนุ่มสาวทุกคนไม่อยากแก่ ก็ต้องแก่ ฟันก็ต้องหัก ผมก็ต้องหงอก ตอนนี้ผิวหนังเต่งตึง นานไปก็เหี่ยวย่นหย่อนยาน ขนาดตัวเราเองก็ยังบังคับมันไม่ได้เลยครับ เราจึงบังคับโลก หรือคนอื่นๆให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ คุณคิดไปก็เป็นทุกข์ จิตเศร้าหมองเปล่าๆครับ ทำใจดีกว่า วางอุเบกขา อย่าไปคิดเลยครับ ต้องปลงให้ตกว่าโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าทุกคนบนโลกเข้าถึงธรรมกันหมด ก็คงไปนิพพานกันหมด แต่เพราะไม่ใช่ไงครับ โลกจึงวุ่นวาย คุณโชคดีแล้วที่รู้จักความสุขแบบโลกุตรสุข ไม่ใช่โลกียสุข แบบโลกๆที่เมื่อก่อนเคยเข้าใจว่ามันคือความสุข ตอนนี้อาจยังติดสุขแบบโลกียะอยู่บ้างแต่ก็เริ่มคลายบ้างแล้วใช่ไหมครับ ผมว่าสู้เอาเวลาที่เหลือก่อนที่เราจะแก่และตายไปนี่ พัฒนาจิตของตัวเราเองดีกว่าครับ ให้กิเลสเบาบางมากกว่านี้ เจริญสติปัฏฐาน 4 ให้มีสติทุกอิริยาบถเรียกว่า ทำใจครับ ผมอาจอธิบายได้ไม่ดีพอแต่ปรารถนาดีจึงขอแนะนำให้ศึกษาเรื่อง "ปฏิจสมุปบาท" คือ กระบวนการของจิตในการเกิดขึ้นแห่งทุกข์และการดับไปแห่งทุกข์โดยละเอียดจนจบครบวงจรอย่างสมบูรณ์ โชคดีนะครับ
     
  13. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    เซ็งกับโลก ..........
     
  14. นาสังสิโม

    นาสังสิโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,703
    สมาธิเป็นเพียงข่ม กิเลสได้แค่ระยะหนึ่ง
    แต่วิปัสนาสามารถกำจัดกิเลสให้หมดไป ต้องฝึกวิปัสสนาให้มากแล้วใจจะเบาขึ้นเรื่อย
    วิปัสสนา เอาแบบย่อๆ คือ เห็นทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงอย่าเอาใจไปเกาะ แต่สำหรับฆราวาสยังต้องมีภาระหน้าที่การงานเลี้ยงครอบครัว ตรงนี้อย่าเพิ่งตัดต้องต้องทำให้ดีที่สุดก่อน พอถึงที่สุดแล้วค่อยตัดความผูกพันทั้งหมดออกไป
    วันนี้เอาเท่านี้ก่อนเวลาผมหมดแล้ว พรุ่งนี้จะมา ต่อให้ถึงเรื่องการ ตีกรอบและจบกิจ

    คืนนี้ใหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตาอุทิศบุญให้กับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ในขณะนี้ก่อน
    และขอ เข้าพระนิพพานชาตินี้เลยครับ ขอให้ได้ทุกคืนกระแสแห่งธรรมจะเข้ามาเอง
     
  15. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    " วางก็เบา เอาก็หนัก"
    พยายามเอาสติแลจิต.....อยู่กับปัจจุบันธรรม

    ดังคำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณที่ว่า.....
    " อดีตเป็นธรรมเมา...อนาคตก็เป็นธรรมเมา...ปัจจุบันเป็นธรรมโม "

    เรื่องบางอย่างเ็ป็นกฏของกรรมหรือกฏแห่งกรรม ทั้งจากในอดีตหรือปัจจุบันมาส่งผล....

    การยอมรับความจริงหรือกฏแห่งความเป็นจริง
    จิตใจก็จะ็สงบ.....ระงับ บรรเทาคลายลงได้บ้าง
     
  16. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    อนุโมทนาครับ

    ถ้าท่าน จขกท อยากเป็นแบบเดิม ก็ต้องไปฝึกอีกรอบซิครับ
    แต่ก่อนผมก็เป็น แบบท่าน ฝึก14ท่า กลับมาได้สัปดาห์เดียวก็พัง
    เพราะเราทำไม่ต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ได้มาคือรู้ว่าสติคืออะไร ทุกวันนี้
    ใช้หากินได้ตลอดครับ คำว่าสติ เพราะการปฏิบัติธรรมมันเริ่มที่ตรงนี้
     
  17. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เป็นเหมือนกันครับแม้วิธีตอนเดินมาจะไม่เหมือนกัน
    ในเรื่องที่เห็นคนร้องรำทำเพลงแล้วดูเหมือนคนบ้า ผมเห็นว่าต้องปรุงแต่งกันตั้งเยอะครับกว่่าจะแสดงอาการอย่างนั้นได้ คิดไปว่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ถูกกิเลสหลอก ลืมความจริงปัจจุบันเข้าไปอยู่ในเพลงในโลกของความคิดกัน แล้วแสดงอาการเช่นนั้น ทิ้งความสุขปัจจุบันตรงหน้าเฉยเลย
    เหนื่อยท้อกับชีวิตนั้น ผมคิดว่าเราก็ถูกกิเลสครอบอยู่ครับ เราไม่รู้ตัวอยู่แน่ๆ เรามีตัณหายอยากให้เป็นอย่างนั้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้อยู่ ใจตกอยู่ในความพอใจไม่พอใจ ไม่ได้รู้ตัวมีสติอยู่กับปัจจุบันที่เท่าทันกับอาการเบื่อหน่ายนี้
    สงสารผู้อื่นนั้น แน่ละครับใครมาถึงตรงนี้ผมเห็นอุทานแบบนี้ทุกราย ความรู้ความเห็น ความเบาบางของกิเลสในตอนนั้น แล้วเกิดปัญญาเกิดความสุขอย่างนั้น ใครไม่ได้สัมผัสน่าเสียดายน่าสงสารจริงๆ
    พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ตัณหาอุปทานเป็นตัวทุกข์ หากตอนนี้มีความทุกข์เห็นตัณหาทำงานไหม เห็นความอยากไหม มันอยากอะไรอยู่ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ใช่ไหม แล้วจะเอาไว้มั้ยเหตุแห่งความทุกข์นั้น ถ้าเอาไว้ผลมันก็ต้องทุกข์ ถ้าไม่เอาเหตุแห่งทุกข์นั้นไว้ ผลคือความทุกข์จากเหตุนั้นก็ย่อมจะไม่เกิด ความทุกข์ก็ย่อมจะหมดไป หมดทุกข์ก็สุขเอง
    ตอนที่เป็นอย่างนั้นจำได้ไหมครับ ใจมันเบาจากการปรุงแต่ง เบาจากกิเลสตัณหาความคิดต่างๆที่บงการใช่มั้ยครับ แต่ตอนที่เศร้าอยู่นี่ที่อยากเป็นอย่างนั้นไม่อยากเป็นอย่างนี้ตอนนั้นมันมีมั้ยครับไอ้อาการนี้นะ ของดีแท้อยู่ตรงไหนก็ได้ดีหมด
    พอเราดีขึ้นกิเลสตัณหามันก็เนียนขึ้นตาม เอามันให้อยู่ครับตอนนั้นเอามันลงเพราะรู้ว่ามันคิดไปเองมันทำงานให้ตัวเองทุกข์เอง มีแต่เราที่ทำให้ตัวเราทุกข์ได้เองไม่ใช่หรือครับ ตอบซะยาวเลยเพราะเอาใจช่วยอยากให้ท่านผ่านจุดนี้ไปได้ด้วยดีครับ

    ขอร่วมอนุโมทนาด้วยนะครับที่ท่านจะผ่านทุกข์จุดนี้ไปได้ในเร็ววัน ไม่ว่าด้วยอุบายธรรมเพื่อประหารกิเลสย่างไรก็ตาม
     
  18. tah-trial

    tah-trial เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +107
    เป็นธรรมดานะ ที่คนเราต่างมีความชีวิตของตัวเองและต่างคนก็ต่างมุมมอง
    เราห้ามใครไม่ได้หล่อก แต่เราห้ามตัวเองได้นี่ อะใรที่คิดว่าไม่ดีก็อย่าทํา อย่าเป็นแบบนั้น
    ความสุขแท้ของคุณเป็นไง คุณน่าจะรู้ดี ขอจงทบทวนตัวเองและมีสติให้มากเข้าไว้.
    คุณไม่ได้ท้อกับชีวิตคนเดียวนี่ แต่ต่างคนต่างพยายาม ทํา กันเนอะ:eek:
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยากหล่อสวย อยากรวย อยากไปหมดเลย ถ้าได้ในสิ่งต้องการก็มีความสุข
    ถ้าไม่ได้ก็มีความทุกข์ สลับกับไป หรือถ้าใครด่าว่าก้เจ็บปวดมาก
    ผมเบื่อแล้วครับ ผมต้องทำตัวยังไง
    ถึงจะได้มีความสุข ความรู้สึกอิ่มเอิมใจ
    ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมได้ทำบุญ ได้ช่วยเหลือเงินบริจาค ได้เลี้ยงข้าวเด็กพิการๆ
    ผมอยากมีความรู้สึก มีความสุขแบบนี้ครับ อยากมีตลอดเวลา
    ผมควรทำไงดีครับ ผมไม่อยากได้ความสุข แบบปลอม

    แต่ผมอยู่สังคมที่ต่อสู้แบบนี้ทำให้ผมต้องเป็นเหมือนคนอื่นๆๆไปเสียแล้ว

    ตอนนี้ผ่าน 10 ปีเร็วจัง
    ผมอยากกลับไปเป้นแบบนั้นอีกครับ
    แต่ผมยังต้องอยู่ในสังคมเมืองครับ ไม่ต้องการไปอยู่ในวัดเพราะผมยังมีภาระ
    ในการหาเงินเลี้ยงครอบครัว ครับ
    ผมทำไงครับ

    ทุกวันนี้ผมดำเนินชีวิตไม่มีความสุขเลยรู้สึกชีวิตไร้ค่ามากเลย<!-- google_ad_section_end -->

    ตอบ อ่านแล้วเห็นใจ ท่าน จขกท. มากเลยนะ
    เพราะเราก็เคยสับสนกับชีวิตขนาดหนัก จนทำตัวไม่ถูกเลย แหละ
    เป็นทุกข์ ขัดใจ ไม่ได้อย่างใจ อยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะเรามีกรรม
    เราสร้างกรรมนั้นขึ้นมาเอง เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำขึ้นมา เช่นเรามีครอบครัว
    เรามีภาระที่ต้องรับผิดชอบคนที่เราสร้างขึ้นมา และต้องเลี้ยงดูคนที่มีพระคุณแก่เรา
    จะตัดช่องน้อยหนีไปทำทางแห่งความสุขคนเดียว เราก็รู้ตัวว่าทำไม่ได้ เพราะทำไปแล้ว
    ก็มีห่วง ตัดไม่ได้ขายก็ไม่ขาด ถ้าเราหนีไปอยู่สันโดษคนเดียวอาการก็จะหนักกว่าเดิมอีก
    ไม่ได้สงบสุขแน่นอน เพราะใจมันมีห่วงแห่งความรับผิดชอบ และมีคนที่เขายังต้องพึ่งพา
    เรา ความรู้สึกรับผิดชอบจะทวงหนี้ทางใจกับเราตลอดเวลา วิธีที่เราใช้ช่วยเหลือตัวเราเอง
    คือเลือกทางสายกลาง เหยียบไว้ก่อนทั้ง 2 ทาง หาสมดุลย์ในเรื่องทางโลกและทางธรรม
    ให้มันเดินไปพร้อมๆกันได้ แบบไม่หกคะเมนตีลังขาแข้งขาหัก คือเดินช้าหน่อย
    เหนื่อยหน่อย มีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง แต่ไม่ลืมปณิธาณของตนเอง มีเป้าหมายคือขยันหมั่น
    เพียร ทำทางเพื่อความพ้นทุกข์ อย่าลืมตัว อย่าลืมเป้าหมาย อย่าหลงโลก อย่าหลงทำแต่
    ทางโลกจนลืมทางธรรม ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วจะพบทางแห่งความสุขของเราเอง
    ถึงแม้จะไม่สุขมากเหมือนตอนที่เราเป็นอิสระเสรี อยากทำอะไรก็ทำได้ดังใจ
    ไม่มีห่วงมาพันแข้งพันขา เดินเร็วฉับๆๆ ว่องไว แต่เราก็มีความสุขน้อยๆได้ตามอัตภาพ
    เพียงแต่เราต้องมองลอดช่องของชีวิตของเราออกมาให้ได้ ยอมรับความเป็นจริงของ
    ปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ประคองชีวิตไปเพื่อวันหนึ่งเมื่อเราปลอดภาระแล้ว
    เราจะได้แล่นฉิวไปตามที่ต้องการได้อีกครั้ง แบบอิสระเสรี ที่ผ่านประสบการณ์ทุกข์แห่ง
    ชีวิตเป็นบทเรียนที่ล้ำค่ากับเรา เราจะแข็งแกร่ง และฉลาดขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น
    ชีวิตปัจจุบันนี้ก็คือบททดสอบจิตใจและความแข็งแกร่งของเราเอง ต่อไปเราจะเลือกทำได้
    ถูกต้องมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้นเอง

    และคำตอบของคุณ ก็อยู่ในคำถามของคุณเองแล้ว
    คุณต้องการความสุข ความปิติ ความอิ่มเอมใจ จากการทำบุญ ทำทาน
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คุณไม่ต้องไปหาที่อื่น ให้ทำกับคนในครอบครัวของคุณเอง
    ให้ลูกเมีย พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง หรือคนใต้ปกครอง บริวารทั้งหลาย เพื่อนๆ
    การให้กับคนใกล้ตัว ให้เงิน ให้ความสุข ให้ความเมตตากรุณา อภัยทาน ให้ความรัก
    ให้ความปรารถนาดี ให้ความรู้ ทุกอย่างที่คุณให้ได้จากใจคุณเอง จะสร้างความสุข และปิติ
    ความอิ่มเอมใจ ได้เช่นกัน และคุณทำได้ทุกวัน คุณทำอยู่แล้ว เพียงแต่คุณควรปรับ
    ทัศนะคติบ้าง ว่าคุณไม่ได้ให้เพราะมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่คุณทำให้จากใจ
    ที่บริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ กลับมา ความสุขทางใจนี้จะหล่อเลี้ยงให้ใจคุณมีความสุข
    กำลังใจที่จะทำความดีเพื่อคนอื่นก็จะเพิ่มตาม แล้วหมั่นรักษาศีล5ให้ได้ จิตใจที่ผ่องแผ้ว
    จากศีลจะย้อนกลับมารักษาจิตเราให้ปกติ มีศีล มีสติ ก็มีความสุขได้ มีความสุขสมาธิก็จะ
    ตั้งมั่นขึ้นมาได้ สะสมมากๆเข้า ก็จะเป็นบ่อเกิดของปัญญา เจริญสติปัฏฐาน4
    ได้ต่อไป เมื่อ มีศีล สมาธิ ปัญญา ขั้นหยาบจากการฝึกรักษาศีล5 ในชีวิตประจำได้แล้ว
    การฝึกกรรมฐานขั้นสูงในชีวิตประจำวัน เพื่อเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมก็เดินควบคู่
    ไปได้ เอง ไม่จำเป็นต้องหนีโลกเข้าสู่วัดเพื่อครองสันโดษทางเดียว นี้เป็นทางเลือกของ
    คนที่ยังมีภาระความรับผิดชอบ อะนะ แต่ถ้าใครไม่มีห่วงแล้วตัดทางโลกเข้าทางธรรม
    ได้เลยก็ดีอยู่ แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้ ก็ต้องทำใจ แล้วเลือกทำสิ่งที่เหมาะสมกับฐานะของเรา

    หวังว่าคุณจะเข้าใจตัวเอง และมีวิธีทำให้ตัวเองมีความสุขได้กับสภาพของปัจจุบันนะ
    ค้นพบทางแห่งความสุขแท้จริงในใจของตัวเอง ให้ได้ ก็จะรอดพ้นอุปสรรคคราวนี้ไปได้นะ
     
  20. นาสังสิโม

    นาสังสิโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +1,703
    เป็นฆราวาส ต้องทำหน้าที่ดูแลครอบครัวและการงานให้ดีที่สุดก่อน การอยู่ทางโลกย่อมมีสุขและทุกข์แคละเคล้ากันไปเป็นเรื่องธรรมดา
    สำหรับด้านของธรรม ก็ปฏิบัติให้เหมาะสมกับฆราวาส สูตรของผมนี้ใช้วิธี ตีกรอบจบกิจ คือ
    1. ตีกรอบ ให้พิจารณาว่า กิจใดที่เราจำเป็นต้องทำ ก็ให้คิดให้ทำอยู่ในเรื่องนั้น ของผมคือเรื่องงานและครอบครัวต้องทำให้ดีที่สุดก่อน ถ้า2 เรื่องนี้ดี เหมือนฐานแน่น การปฏิบัติธรรมก็จะง่ายขึ้นเพราะความกังวนลดลง ส่วนกิจที่นอกเหนือนี้ให้จบกิจอย่าให้มากวนใจเรา
    2. จบกิจ คือ ตัดความผูกพันในเรื่องนั้นออกไป พระที่ท่านบรรลุได้เพราะท่านตัดความผูกพันทุกอย่างออกจากใจได้แม้แต่กายตัวเองท่านจึงหมดกังวลทุกอย่าง แต่สำหรับฆราวาสอย่างเรา ต้องปูทางความเป็นอริยะไว้ก่อน ฝึกวิปัสนากรรมฐานให้มากๆโดยการโยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาธรรมต่างๆที่กระทบใจเรา ทำให้ใจเราทุกหรือสุข ก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วใจจะค่อยๆคลายเรื่องต่างๆ ลง ใจเราจะเบาขึ้นเรื่อยๆ ฝึกให้บ่อยที่สุด เวลามีอะไรมากระทบใจจะวางได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ใจจะเป็นเอกัตตามากขึ้นเรื่อย คือมีความคิดแทรกน้อยลง
    ที่สำคัญ ให้สวดมนต์ใหว้พระทุกคืน และขอพระนิพพานชาตินี้
    หาคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำและพระอรหันต์สายต่างๆมาอ่านให้เยอะๆครับ โดยเฉพาะอารมณ์ของพระอริยะเจ้าในระดับต่างๆท่านทรงอารมณ์อย่างไร แล้วนำมาฝึกปฏิบัติเพื่อปูทางไว้ก่อน ถึงเวลาที่ร่างกายมันอยู่ไม่ได้แล้วก็ใช้กำลังใจจบกิจทุกอย่าง
    ข้อความที่ผมเสนอมานี้ขอให้ท่านนำไปพิจารณาถ้าเห็นเป็นประโยชน์ก็นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันท่านต่อไป
    เอามาฝากครับ ทางสายสู่พระนิพพาน www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=10
    คำสอนหลวงพ่อทูลครับ ไปดาว์โหลดมาอ่านดู โดยเฉพาะ เรื่องปัญญาอบรมใจ
    http://www.fungdham.com/book/thoon.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...