การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่านแล้วยังไม่เข้าสมองเลย
    อ่านไปรอบหนึ่ง จำได้แค่คำว่า ว่างเปล่าจากขันธ์5 (จำผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้...)
    อย่างอื่นไม่จำเลย เรื่องเข้าใจก็ไม่มีเข้าไปใหญ่ (ปัญญาไม่มี โง่จริงๆเลยเรา)
    สรุปว่า ภูมิรู้ไม่มี ภูมิธรรมก็ไม่ถึง ปัญญาที่จะไปสู่รู้ก็ไม่มีอีก
    อ่านแล้วไม่เก็ท ไม่ซาโตริ มีแต่มึนๆ งงๆ ไม่จำ ไม่เข้าใจ
    อ่านจบแล้วก็กลวงเหมือนเดิม
    ก็ช่วยชี้แนะได้เท่านี้แหละ ปัญญารู้มีได้แค่นี้

    พระสูตรนี้สูงเกินไป ภูมิปัญญาไม่ถึง เราก็บอกความจริงของเราได้ตามนี้
    พระสูตรที่เราอ่านแล้วเข้าใจ ก็ได้แก่ชาดก นิทานชาดก คืออ่านแล้วจำได้
    เข้าใจเรื่องได้ตามจริง และทำตามได้ในบางเรื่อง เช่น ศีล ทาน รู้ดีรู้ชั่ว...
    อื่นๆก็ รู้อาการกิเลสเป็นบางครั้ง รู้ใจตัวเองตามจริงเป็นบางหน
    มีสติรู้ตัวบ้าง มีสติรู้เผลอบ้าง
    มีสติรักษาศีลได้บ้าง ขาดสติละเมิดศีลไปบ้าง ภูมิรู้ภูมิธรรมของเราก็มีแค่นี้
    รู้ตัวเองได้แค่นี้ (ยังโง่กว่าท่าน 00000 เยอะ)
     
  2. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อย่ามาพูดงอนกับผมเลย ฟังแล้วยะแหยง เสียวบั้นท้ายครับ
    ท่านpopฯ นี้หลังเขาจริงๆนะครับ บอลโลกเขาดูฟรีทีวีกันครับ

    ได้ข่าวว่าหลวงพ่อปราโมชท่านไม่ชอบ ให้ตัวเองและศิษย์ของท่าน
    ไปถกเถียง ในเรื่องคำสอนของท่านกับชาวบ้าน เอางี้ได้มั้ยครับ
    เอาอาจารย์ผมอีกคนแทนได้มั้ยครับ แกชื่อหลวงตาไต๋ ด่าเป็นไฟเลย
    ตอนผมเป็นพระบวชใหม่ ตื่นสายหน่อยเดียว ด่าซะไปบิณฑบาถแทบไม่
    ทัน แต่ต้องตั้งใจฟังแกหน่อยเพราะแกพูดไทยไม่ชัดครับ

    หรือจะเอาเป็นหลวงพี่ พระมหาสมปองดี ท่านนี้ธรรมะเดลิเวอรี่ นิมนต์ปึบ
    มาปั๊บ รายนี้อย่างฮาเลยขอบอก

    แหม่! กำลังมันเลย ลูกน้องมาขัดจังหวะเสียได้
    เอาไว้เย็นๆตอนโพล่เพ้ๆ ค่อยเจอกันครับ
    เอาชนิดที่ว่าไม่เมาไม่เลิกลา
     
  3. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านว่า ผมกับท่านโปเป็นเดียวกันหรือครับ
    ท่านpopฯนี้หาเรื่องโดนท่านโปด่าเสียแล้ว
    ท่านรู้มั้ยครับว่า ท่านโปเป็นคนที่แอนตี้ สมาชิกที่ใช้
    log in หลายๆอันนะครับ ผมเคยเห็นท่านโป ด่าสมาชิก
    ตั้งมากมายเกี้ยวกับเรื่องนี้ ท่านโปว่า พวกนี้เป็นพวกหลอกลวง
    ไม่มีศีลครับ สรุปผมกับท่านโปคนละคนกันครับ
     
  4. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมว่า สติครับที่บังคับไม่ได้ มีเหตุปัจจัยให้มันเกิด มันก็เกิด
    ผมจะไล่เรียงให้ดูก่อนนะครับว่า ขั้นตอนการเกิดสติ มันมาอย่างไร
    เริ่มตั้งแต่ ผัสสะ เกิดเป็นอารมณ์ สติ
    ในสามตัวนี้มีที่สามารถบังคับได้ก็คือตัวที่ทำให้เกิดผัสสะครับ
    นั้นก็คือ...อายตนะ แต่ต้องเป็นตัวอายตนภายใน อันได้แก่ ตา หู จมูก
    ลิ้น กายและใจ
    ท่านว่าสิ่งที่ผมเอยมาทั้งหมดนี้ บังคับได้ไหมครับ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณบุญพิชิตครับ

    ผมขอตอบเรื่อง "บังคับสติ" ในฐานะเจ้าของกระทู้นะครับ

    เพื่อว่าไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเรื่องการบังคับ เผื่อคนใหม่เข้ามาอ่านเจอเข้านะครับ

    เพราะคุณเองก็คงไม่คิดตอบคคห.ผมอยู่แล้ว สืบเนื่องจากคุณเองเคยบอกไว้ใช่มั้ยครับ???

    ถ้ามีคำถามเกิดขึ้นถือว่าผมถามคุณpoppykunหรือใครก็ได้ที่คิดว่าจะตอบให้เข้าใจได้นะครับ


    คำว่าบังคับในที่นี้ เราใช้บังคับตนเองได้เท่านั้น ไม่ใช่ใช้บังคับผู้อื่นใช่มั้ยครับ???

    ยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง"สติ"ด้วยแล้ว เราคงใช้กำลังหรืออำนาจให้คนอื่นมีสติขึ้นมาไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    คำว่า"สติ"หมายความว่า การระลึก หรือการระลึกรู้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของจิตใช่มั้ยครับ???

    ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของตนเอง ที่จะกระทำให้เกิดขึ้นที่ตนเอง เกิดเองไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    ถึงเราคิดจะบังคับบุคคลอื่นให้มีสตินั้น คงทำไม่ได้ใช่มั้ยนะครับ

    ถ้าบุคคลนั้นไม่เชื่อและไม่คิดที่จะกระทำตาม ก็เกิดขึ้นไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    ฉะนั้นกำลังและอำนาจที่ใช้ ที่ถูกที่ควรแล้ว ต้องใช้บังคับตนเองเท่านั้นใช่มั้ยครับ??? สติจึงจะเกิดขึ้นที่จิต

    ส่วนใครที่สติเกิดเองได้ ผมก็ต้องขออนุโมทนาครับ ว่าเก่งเกินกว่าพระบรมครูของเราซะอีก

    เพราะพระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า สตินั้นเเป็นมรรคเป็นทางเดินของจิต

    ซึ่งทรงสอนว่าเป็นภาเวตัพพะ คือต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิตนะครับ

    สรุปว่าจิตใครจิตเค้า ต้องบังคับตนเองเท่านั้นครับ

    ;aa24
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เล่าปัง*, หลงเข้ามา </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อนุโมทนาด้วยครับ ท่าน อ.ธรรมภูต

    ใช่ครับ เมื่อบังคับตัวเองบ่อย ๆ ครั้ง จะทำให้สติมีกำลังมากขึ้น
    การบังคับตัวเองนี่ล่ะครับ เป็นการเจริญสติ
    อย่างเช่นการบังคับตนเองไม่ให้ล่วงต่อศีล
    ก็จะทำให้สติดีขึ้นมีกำลังมากขึ้น
    และต่อไปหากจิตต้องการจะทำผิดศีล
    สติตัวนี้จะช่วยดึงเอาไว้ เหมือนเบรคห้ามล้อนั่นล่ะครับ

    การเจริญสติที่จะทำให้สติมีกำลังมาก
    คือการบังคับตัวเอง
    ให้อยู่กับคำบริกรรมเช่นพุทโธ หรือ อานาปานสติ เป็นต้น
    จะทำให้สติมีกำลังมากจนกระทั่งเป็นมหาสติได้ครับ

    คุณบุญพิชิต
    คุณไม่ต้องถามผมนะ ว่าผมกลับมาทำไม
    จะว่าผมไม่รักษาสัจจะ ก็เรื่องของคุณ ผมไม่สนใจ
    หรือคุณจะว่าผมหน้าด้านกลับมาทำไม ผมก็ไม่สนใจ

    แต่ตอนนี้ผมอยากจะกลับมา......
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เล่าปัง*, หลงเข้ามา, เตชพโล </TD></TR></TBODY></TABLE>

    xxxxxxxxxxxxx

    กรูววว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  9. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    การบังคับจิตให้บริกรรมพุทโธ
    ก็เหมือนการที่เรายกดัมเบลนั่นล่ะครับ
    ถ้าเราต้องการกล้ามเนื้อ หรือ กำลัง
    ในส่วนไหนของร่างกาย
    เราก็ใช้ท่าทางการยก ที่ใช้กล้ามเนื้อส่วนนั้น
    ออกกำลังในการยก ดัมเบล

    เช่นเดียวกัน การต้องการให้จิตมีพลัง มีกำลัง
    ก็ต้องเอาจิตมาออกกำลัง เหมือนยกดัมเบล
    การออกกำลังของจิต ก็คือ การให้จิตบริกรรมพุทโธ
    บังคับ หรือฝืนให้จิตบริกรรมพุทโธ
    เหมือนเราฝืนร่างกายของเรายกดัมเบล
    ทั้งที่รู้สึกว่าหนักมากและเหนื่อยแล้ว
    แต่ก็ต้องฝืน เพื่อให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อ และกำลัง ตามที่ต้องการ

    พลังของจิต ก็คือ กำลังสติที่จิตมีนั่นเอง
    จิตมีพลังจิตมาก ก็คือ จิต มีกำลังสติมาก นั่นเอง

    พลังจิต ก็คือ กำลังสติของจิตนั่นเอง

    การที่คิดว่าปล่อยจิต ปล่อยใจ แล้วจะมีสติเกิดเองนี่
    เป็นเพียงแค่สติธรรมดา ทั่ว ๆ ไป คนไม่เคยนั่งสมาธิ
    ก็สามารถมีสติอย่างนี้ได้

    อย่างนี้เป็นสติธรรมดา แบบโลก ๆ ครับ
    คนไม่เคยภาวนาก็มีได้....

    ส่วนสติธรรม ที่เป็นสติในอริยะมรรคนี่
    คุณบุญพิชิต ไม่เคยรู้จัก
    ก็เลยเถียงคอเป็นเอ็น

    เรื่องที่คุณบุญพิชิต รู้ และเข้าใจผมก็เข้าใจนะ
    แต่ความรู้จากการปฏิบัติที่มากกว่านั้น คุณบุญพิชิต ยังไม่รู้

    ความเป็นจริงคุณบุญพิชิต ก็รู้เท่าที่คุณบุญพิชิตพูดนั้นแหละ
    และก็ไม่ถึงขั้นสติในอริยะมรรคด้วย
    เป็นเพียงแค่สติของโลก แบบธรรมดามาก ๆ
    ไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่คุณบุญพิชิตเข้าใจหรอก....
     
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    จำมาเล่า....
    จะว่าไปแล้วตรงนี้คุณก็ลูกผู้ชายพออยู่นะ
    มีอะไรก็ว่ากันซึ่งหน้าเลย

    ไม่เคยมาแลบลิ้นหลอก เวลากรรมการเผลอ หรือ หันหลังให้....

    ตรงนี้คุณเป็นลูกผู้ชายอยู่นะ
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เออนี่หนอ ทำ-มา-พูด หลงจะสอน

    ธรรมภูติ พูดธรรม จำใครมา

    ปัญญานะ สุจิ และ ปุริ หัวใจปราชญ์

    จำไว้อย่าให้ขาด ตอบใครไม่อายเขา

    รู้ถูก รู้จริง รู้แจ้ง พาตัวเบา

    ตอบเขาไป สัมมาทิฎฐิ นั้นมาก่อน

    หากรู้ไม่จริง กินไม่เคย เดาไป อายเขาหนา


    ความคิดติด ใช้ปัญญา แรกเริ่มผิด

    วิเคราะห์นิด สัมมาสังกัปปะ ผิดตัวตาย

    กุศลดีร้าย แยกไม่ได้ ผลตามมา

    สนทนาว่าธรรม เขากล่าวตู่

    เหมือนหนูติดจั่น หาทางออกไม่

    ธรรมภูต ธรรมเพี้ยน สัมมาวาจาหาเกิดไม่

    สัมมากัมมันตะ แลสัมมาอาชีวะ

    ฟังไว้นะ เมื่อปัญญามาผิด คิดย่อมผิด

    พูดสิ่งใดย่อมออกมาผิด การกระทำย่อมถูกได้ยาก

    แล้วจะหวังวิถีชีวิต แล้วชีพชอบได้อย่างไร

    ยังอยากรวยลัด เล่นหวย กินแรงเพื่อน เบียดเบียนทรัพย์ผู้อื่น

    สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกที่ควร คงไม่ต้องพูด

    หกข้อแรก เป็นเหตุหนึ่งสู่เหตุหนึ่ง

    สัมมาสติ ขาดสะบั้น อย่างดีได้แค่สติ นายหลงเตือน

    แล้วจะกล่าว สัมมาสมาธิ เริ่มแรกไปใย ให้คนด่า


    หากย่อมา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แปลว่า ศีล

    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แปลว่า สมาธิ

    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ปัญญา

    สามข้อนี้ เกื้อหนุนกัน จนเป็นปกติจิต
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    เรากลับเข้าใจอย่างนี้

    สติเปรียบเหนือนนาฬิกาปลุก ทำให้คนตื่นจากอาการหลับ

    คนเมื่อตื่นแล้วก็ไม่เห็นมีใครสนใจนาฬิกาปลุกมากไปกว่าอาการตื่น

    ดังนั้น สติเป็น แค่เครื่องมือ ในการเข้าถึงรู้

    ทีนี้รู้ ตัองมีสัปชัญญะเข้ามา เป็นการระลึกได้ รู้ได้

    เมื่อสติมีกำลังมากๆ หมายถึงรู้ได้ รู้บ่อย รู้ตื่นตลอด จนจิตแนบที่ฐานรู้จนเป็นปกติ

    อนาคต หรืออดีต ย่อมไม่มากวนหัวใจ อาการจิตต่างๆ เป็นได้แค่รู้แต่ไม่ได้ไปเอากับมัน
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    นั่นเป็นความคิดของสำนักหนึ่งได้สอนเอาไว้
    ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    ถ้าว่าสติเป็นนาฬิกาปลุก
    แล้วอาการตื่นคืออะไร

    ความเป็นจริงอาการตื่นก็คือสตินั่นเอง
    การที่จะให้มีอาการตื่นอยู่ตลอดเวลา
    ก็ต้องมีที่ยึดให้มีอาการตื่นอยู่เช่นนั้นตลอด
    เช่น คำบริกรรม พุทโธ หรือ อานานาปานสติ

    การทำให้มีอาการตื่นได้สืบเนื่องนั่นแลคือ สติมีกำลัง

    ความจริงต้องคุยกันต่อหน้า นั่งคุยกันเลย
    แล้วผมจะชี้ให้ฟัง คุยกันให้เข้าใจกันไปเลย

    แต่น่าเสียดายผมไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองในที่สาธารณะ
    และกับบุคคลสาธารณะทั่วไป....
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เตชพโล, ไข่น้อย </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ไข่น้อย

    ไข่น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +348
    ชะอุ้ย!!!!
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านธรรมภูติครับ ไอ้เรื่องระหว่างเรา ผมเลิกคิดไปนานแล้วครับ ผมเห็นว่า
    มันไร้สาระ เอาเป็นว่า .....
    เป็นเรื่องของคนวัยทอง2คนสุมหัวนินทาชาวบ้าน(อันนี้ล้อเล่นนะครับ5555)

    ระยะหลังมาผมไม่ค่อยได้เขาไปสนทนาในความเห็นท่าน เพราะดูมันซ้ำซาก
    มันก็เรื่องเดิมๆที่เคยคุยกันมาแล้วครับ ไม่ใช่แค้นเคืองตัวท่าน
    ผมขอแจงที่ไปที่มาของคำว่า"บังคับ" ที่เป็นประเด็นขึ้นมา เพราะผมไปติง
    ท่านpopฯ ว่า ใช้ภาษาให้ถูกหลัก คนอื่นจะได้ไม่สับสนครับ
    ....เตือนแกธรรมดาเท่านั้น แกก็ย้อนกลับมา ผมเลยเอาคำที่แกย้อยกลับนั้น
    มาชี้ให้ดูว่า มันผิดอย่างไร
    .....แกเล่นเอาความหมายของคำหนึ่ง มาใส่ความหมายของคำอื่น
    แล้วนี้แกไม่รู้หายไปไหนแล้ว ดีครับคุยกับแกไม่ค่อยได้ความเท่าไร

    ส่วนในความเห็นใหม่ของท่าน ผมยินดีร่วมสนทนาด้วยครับ
     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418


    คำว่าบังคับในที่นี้ เราใช้บังคับตนเองได้เท่านั้น ไม่ใช่ใช้บังคับผู้อื่นใช่มั้ยครับ???

    ......ใช่ครับบังคับตนเอง แต่คำว่าตนเองในที่นี้คือ อายตนะภายใน
    ท่านคงเข้าใจว่าอาตนภายใน มันคือหู ตา ลิ้น จมูก กายและใจ(สมอง)
    มันก็เข้ากับคำที่ท่านเคยกล่าวว่า ใจหรือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    ......ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่จิต ก็คือจิตนั้นแหล่ะ มันเป็นไปตามมูลเหตุ
    ปัจจัย

    .....มันมีเยียงอย่างที่ไหนครับ จิตบังคับจิตหรืออาการของจิต ไอ้สองคำนี้
    ที่พวกท่านคิด ก็เพราะ จิตท่านยังไม่แยกออกจากกาย ยังไปยึดติดกับ
    กายว่าเป็นอันเดียวกัน ในขณะที่จิตบังคับกายอยู่ ท่านก็เข้าใจว่า จิต
    บังคับจิต หรือแม้กระทั้งอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นท่านก็โมเมว่า ....
    เป็นอาการของจิต


    ยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง"สติ"ด้วยแล้ว เราคงใช้กำลังหรืออำนาจให้คนอื่นมีสติขึ้นมาไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    ......อันนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น มันหมายถึง รูปกับนามของเรา เราต้องแยก
    กายใจของเราออกจากกันให้ได้เสียก่อน เพราะจิตยังไปยึดกายอยู่
    เลยเข้าใจไปว่า จิตบังคับจิต จิตบังคับสติ
    และที่สำคัญที่สุด ท่านต้องไม่ลืมคำว่าเหตุและผล หรือคำว่าเหตุ
    ปัจจัยครับ


    คำว่า"สติ"หมายความว่า การระลึก หรือการระลึกรู้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของจิตใช่มั้ยครับ???
    ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของตนเอง ที่จะกระทำให้เกิดขึ้นที่ตนเอง เกิดเองไม่ได้ใช่มั้ยครับ???

    .....ท่านกรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ คำว่าสติเกิดขึ้นเองในความเชื่อ
    ของผม คือมันเกิดด้วยเหตุปัจจัย ไม่ใช่อยู่ดีเราไปบังคับมัน ถ้าไม่เข้าใจ
    ไปย้อนอ่านความเห็นบน เรื่องกายกับจิต อายตนะ


    ถึงเราคิดจะบังคับบุคคลอื่นให้มีสตินั้น คงทำไม่ได้ใช่มั้ยนะครับ

    ถ้าบุคคลนั้นไม่เชื่อและไม่คิดที่จะกระทำตาม ก็เกิดขึ้นไม่ได้ใช่มั้ยครับ???


    ......ถูกครับ และที่ถูกมากกว่านั้นคือ คำว่าบังคับ ต้องใช้กับสิ่งอื่นหรือ
    ผู้อื่น ก็เหมือนการทำสมาธิ ใจหรือจิตไปบังคับอายตจะภายในหรือรูป
    ซึ่งก็ต้องหมายถึง จิตไปบังคับกาย นามไปบังคับรูปครับ

    ฉะนั้นกำลังและอำนาจที่ใช้ ที่ถูกที่ควรแล้ว ต้องใช้บังคับตนเองเท่านั้นใช่มั้ยครับ??? สติจึงจะเกิดขึ้นที่จิต

    ......ท่านเข้าใจผิดแต่ต้นแล้ว ปลายก็เลยผิดไปด้วย
    อำนาจต้องใช้กับสิ่งอื่น ไม่ใช่ใช้กับกับตัวเอง
    หรือจะแยกย่อยลงไปว่า.....อำนาจจิตต้องใช้กับกาย
    ไม่ใช่ใช้กับจิต


    สรุปว่าจิตใครจิตเค้า ต้องบังคับตนเองเท่านั้นครับ

    ......ผมช่วยสรุปให้อีกทีครับ จิตใครจิตเขาและกายใคร ก็ต้องกายเขาด้วย
    จิตก็คือจิต กายก็คือกายครับ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สัมมาสติ ฝึกได้

    ถ้าบอกว่า สติเกิดจากเหตุปัจจัย ก็ตอบว่า อะไรๆ มันก็เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งนั้นแหละ

    จะเอาเหตุปัจจัยสมัยไหนหละ

    ทีนี้ แทนที่จะไปอ้างเหตุปัจจัยให้มันดู มีราคาค่างวด ก็รวบรัดตัดความไปเลยสิว่า

    สติฝึกได้ สมาธิฝึกได้ มันก็ง่ายๆ ไม่ต้องย้อนกลับไปนั่นมานี่ ให้มันดูดีมีราคาประดับประดาให้มันยุ่งย่าง ซับซ้อนขึ้นไป

    ฝึกสติ คำเดียวจบ
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เราไปสุดโต่ง กันเอง

    เช่นว่า สตินี่ฝึกไม่ได้ ต้องทำ ถีรสัญญาให้เกิด แล้วสติจะเกิดเอง

    นี่เขาเรียกว่า สุดโต่งในความเชื่อ สร้างหลักเกณฑ์เฉพาะตนขึ้นมาใหม่

    มันไปตัดรอน ความเรียบง่าย แล้วแสวงหา หนทางใหม่คือ ถีรสัญญา


    จะบอกให้ว่า สติ คือ การระลึกได้แม่นยำ มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า จะต้อง จดจำได้ ระลึกได้

    ทีนี้ มันไม่ใช่ว่า จดจำได้ แล้วมันจะมีสติ มันจะต้อง มีสติ เป็นฐาน แล้ว จึงจะระลึกได้ แล้วก็จะเอาระลึกได้นั้น พัฒนาสติ

    โพชฌงค์ นี่เขาเอา สติ ขึ้นหน้า
    พละ เอาสติไว้ตรงกลาง

    ไม่มี องค์ธรรม ด้าน ถีิรสัญญา ในพุทธศาสนา
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    "การระลึกได้แม่นยำ" ก็ไอ้ภาษาไทยแบบนี้หนะ บาลีเขาพูดสั้นๆ ว่า "ถิรสัญญา"

    คนอื่นเขาจะใช้ บาลี เพื่อให้คงความเป็นภาษาดั้งเดิมของพระพุทธองค์ มันจะอะไรกันนักกันหนา

    นี่ทำทีเป็นท่ามาก สวยหรู ทำเป็นเก่ง ทำเป็น พูดไทยคล่อง ก็ไปกร่อนคำบาลีมาเป็น
    คำยืดเยื้อว่า "การระลึกได้แม่นยำ" แล้วยังอธิบายเสียใหญ่โต ก็มึงนั้นแหละ ที่ สร้างคำใหม่
    มากลบพุทธพจน์

    มาสร้างค่านิยมในการผูกคำขึ้นใช้เอง ใครไม่ใช้ตามกู กลายเป็นพวก กร่อนสัทธรรม

    ก็มึงไม่รู้จักเคารพภาษาบาลี มึงจะขุดพระไตรปิฏกดั้งเดิมทิ้งไง เลยเห็นว่าไม่มี

    ไม่มี หรือ มึงไม่อ่านมากันแน่หละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...