อ.สุมิตร กำลังสร้างยานยวกาศในไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๙๙๙๙๙๙๙๙๙, 7 มิถุนายน 2010.

  1. worrior

    worrior เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +316
    ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก จขกท.ครับ เดี๋ยววันนั้นมาถึงเราก็จะได้รู้กัน เกิด-ไม่เกิด ผมยังเชื่อว่าความบังเอิญไม่มีจริง เพราะฉะนั้น "กรรม" ของแต่ละคนต่างหากที่จะตัดสินทุกสิ่ง คนเราตายได้ด้วยหลายสาเหตุครับไม่จำเป็นต้องเพราะภัยพิบัติ(f) และคนที่ยังมีหน้าที่ ยังไงซะมันก็ไม่ตายหรอกครับ
     
  2. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    - -
    มีน้ำบนดิน แต่ไม่มีผืนดิน โผล่พ้นน้ำ.. แค่นั้นแหละครับ
    ปล.รู้ตัวว่าโดนดัก แต่ก็อยากตอบอ่ะครับ - -
     
  3. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ..ถ้ามีผีชีวะ.. สนุกละทีนี้ ยิงแหลก(สุดท้ายก็ตายกลายเป็นผี) - -

    และก็.. ถ้าสร้างยานนะ ผม จะไม่พลาดเลย ทีจะไปดู (จะพยายามไม่พลาด) - -
    แต่ก็อื่น สร้าง ญาณ นี้ ของตัวเรานี้ ..ดีกว่าเน๊อะ~
     
  4. odanhi

    odanhi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +398
    ทำดีที่สุดจนถึงวาระสุดท้ายคะ ถึงคราวจะตายก็ต้องตาย คนเราหนีความตายไม่พ้น เพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น เวลาที่เหลือก็ทำประโยชน์ให้มากที่สุด มีสติไว้เป็นดี ^-^ คะ
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** จารึกไทย บอกยุคน้ำท่วมโลก ****



    บอกวิธีแก้ปัญหา "น้ำท่วมโลก"


    ครั้นเมื่อขวบกาลอายุลดลงมาเหลือเพียง ๗ หมื่นปี
    ขุนสรวง และ ขุนแก้ว ได้มาบอกว่าอีก ๑๐ ปีจะมีฝนหนัก
    ทั้งน้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำล้นท่วมโลกหล้า ชาวชนและปวงสัตว์จะตายหมด
    พวกเจ้าขุนแถนหัวหน้า พร้อมกับหมู่คนชาวเมือง
    จงร่วมช่วยกันสร้างเรือใหญ่หลายลํา
    จงใช้แผ่นเหล็กปลอดตอกประสักขันเกลียว ตรึงให้แน่นแข็งแรงทุกลํา
    ทําทุ่นให้มากขนาบตลอด มัดให้ติดกันเป็นกลุ่มเรือพวง

    เอาเสาเท่าๆกัน วางขนาบบนกลาบและใต้ท้องเรือ
    เจาะรูใหญ่ให้ตลอดคานที่วางขนาบ ทั้งบนและล่างทุกตัว
    แล้วเอาท่อนประสักใส่ตรึงบนกับล่าง ใช้หัวเกลียวขันหรือผ่า
    แล้วตอกลิ่มประสักตรึงให้แน่นแข็งแรงก็ได้ ใช้กระดานแผ่นหนาปูบนเป็นพื้น
    เอายางรักประสมชันและปูนยาให้ทั่ว ทํากลาบนอกให้สูง
    พอเจาะรูพอให้น้ำไหลออกได้

    ทําห้องติดกลาบเรือนั้น มีหลังคาแค่กลาบนั้น ให้ตลอดทุกลํา จะได้พออยู่
    ตรงส่วนกลาง ทําเป็นพื้นดินปลูกไม้เล็กและผักหญ้า
    ทําคอก งัว, ควาย, ช้าง, ม้า, เก้ง, กวาง, ฬา, ฬ่อ อย่างละคู่ มากนักคงไม่พอ
    ทําให้เสร็จใน ๙ ปี อีก ๑ ปีให้จับสัตว์ต่างๆ มาขังฝึกหัด และปลูกต้นไม้ผักหญ้า
    เรือทุ่นที่ทําเสร็จแล้วให้คงที่ไว้บนคานนั้น ถึงคราวน้ำท่วมท้นขึ้นมาพอ ก็จะเคลื่อนลอยไปได้เอง


    ต้นกำเนิด "แม่ย่านางเรือ"

    และสั่งว่า พอน้ำท่วมท้นแล้ว
    "ขุนสรวง" และ "ขุนแก้ว" จะมาเป็น เจ้าพ่อทะเล
    "แม่สาง" และ "แม่แก้วขวัญฟ้า" จะเป็น แม่ย่านาง หรือเป็น จ้าวแม่ทะเล
    ช่วยกันประคับประคองเรือให้โต้คลื่นลมพายุได้
    ซึ่งจะประคับประคอง พร้อมกับจะคอยคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย
    ให้กระทั่งปลอดภัยพิบัติเพราะน้ำท่วมโลกนั้น

    ถ้ายังเหลืออยู่อีก ก็บอกให้มารวมกันที่ใกล้เรือ
    ทั้งช้างม้าวัวควายเก้งกวางหมาแมว ก็นํามาอย่างละคู่
    เรือทุ่นกลุ่มนั้นใหญ่และสูง จึงทําสะพานบันไดทอดขึ้นลง
    พอฝนตกหนักเข้าก็ลงไม่ได้ ต่างก็หลบฝนอยู่ในห้องประทุนเรือนั้น
    และช่วยกันต้อนสัตว์ต่างๆ ขึ้นเรือทุ่นนั้น
    พวกช่างต่างตรวจดูเรือและเตรียมเครื่องมือวัตถุซ่อมแซมไว้พร้อมในภายในใต้ท้องเรือทุ่นนั้น
    ทุกอย่างจึงครบบริบูรณ์

    น้ำเริ่มสูงขึ้นได้ท้นท่วมที่ลุ่มราบหมด และเอ่อสูงขึ้นท่วมคาน แล้วหนุนเรือกลุ่มให้ลอยอยู่บนพื้นน้ำ
    คนสัตว์ที่เหลือต่างก็ปีนขึ้นต้นไม้ ขึ้นหลังคา ขึ้นดอน และปีนขึ้นภูเขา
    ครั้นท่วมท้นกระทั่งยอดมอและยอดไม้จมอยู่ใต้น้ำ
    แม้ยอดภูเขาเทือกย่อมก็จมน้ำ แม้ ยอดเขาอีโก้ ก็ปริ่มน้ำแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นได้ ลมก็แรง

    [​IMG]

    บางคราวก็เป็นพายุ ฝนก็ตกกระหน่ำหนัก คลื่นก็ลูกใหญ่ซัดกระแทกตลอด
    ในกลางวันทั่วท้องฟ้าก็มืดมัวไม่มีแสงแดด กลางคืนก็ยิ่งมืดคลึ้มทึบตลอด
    ทั้งคนสัตว์ที่เหลืออยู่กับพื้น ก็ได้ว่ายน้ำหาที่พักอาศัย พอหมดแรงต่างก็จมน้ำตายหมด
    แม้คนทั้งหลายในเรือทุ่น ก็ไม่มีหวังรอดพ้นภัยนั้น

    คราวแรกเรือทุ่นกลุ่มนั้น
    ซึ่งได้ใช้พวนผูกตรึงโยงไว้กับต้นตอไม้ใหญ่ๆ นึกว่าพอจะอยู่ได้
    กระนั้นเมื่อลมคลื่นซัดพัดกระพือกระแทกบ่อยๆ ตลอดวันคืนไม่หยุดหย่อนผ่อนเบา
    แม้ ขุนสรวง ขุนแก้ว กับ แม่สาง แม่แก้วย่านาง จะมาควบคุมคุ้มครองอยู่ ณ หัวเรือและเสากระโดง
    พวนที่มัดล่ามโยงผูกตรึงไว้นั้นก็ขาดหมด
    เรือทุ่นกลุ่มนั้นก็เลื่อนลอยไปตามกระแสคลื่นลม

    หมู่คนสัตว์ที่เหลืออยู่ในเรือนี้ พอมีหวังว่าจะอยู่รอดได้
    กระนั้นเฉพาะหมู่คนก็อยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น
    ที่มีโอกาสรู้และทําสร้างเรือนั้นมีอยู่หลายหมู่ แต่ก็ทําเรือได้ไม่ใหญ่โตและไม่มั่นคงแข็งแรงพอ
    ก็ถูกลมคลื่นซัด กระแทกแตกเสียหายจมน้ำตายไปเป็นส่วนมาก

    ยังมีที่เหลืออยู่ที่เรือไม่แตก หรือที่แตกแต่ไม่กระจาย
    และที่ทะลุก็ยังเป็นที่พยุงตัวอยู่ได้ ก็ถูกคลื่นลมซัดกระพือไปไม่จํากัดทิศทาง
    ไปถึงบริเวณน้ำแข็ง ณ ทะเลเหนือ ใกล้ขั้วโลกเหนือก็มี
    ไปถึงแผ่นดินอื่นคือ อมริกะ ก็มี
    ทั้งไปใต้ถึง โปลา และ ไนไตลนีก็มี

    เฉพาะ "แถนไทย"
    ด้วยอานุภาพ พ่อขุนสรวง และ พ่อขุนแก้ว กับ แม่นางสาง และ แม่แก้วขวัญฟ้า
    ซึ่งได้เป็น "จ้าวพ่อทะเล" และ "จ้าวแม่ทะเล" หรือ "แม่ย่านาง"
    ในกาลนั้น ได้รักษาคุ้มครองเรือทุ่นนั้น
    ให้เลื่อนลอยวนเวียนเป็นวงกว้างอยู่ ณ บริเวณนั้นเป็นแรมเดือน

    เมื่อน้ำลดลงเหลือครึ่งขุนเขานั้น
    เรือนั้นได้ถูกลมคลื่นพัดซัดกระหน่ำ ให้วิ่งไปในห้วงน้ำ เป็นวงกว้างนั้น
    แล้วก็ได้วนเข้ามา ณ บริเวณเดิมนั้น
    ก็ได้ถูกคลื่นลมพัดซัดกระแทกเรือทุ่นกลุ่มนั้น
    ให้หัวเรือพุ่งเข้าชนคอภูเขาลูกหนึ่ง กระทั่งคอเขานั้นทะลุ
    ภูเขานั้นจึงมีชื่อว่า "เขาทะลุ" ได้เรียกกันมาทุกวันนี้

    เรือนั้นได้กระดอนเซออกมา กระแทกกับคอภูเขาอีกลูกหนึ่ง
    กระทั่ง คอยอดบิ่นกระเด็นบินออกไป
    ภูเขานั้นจึงมีชื่อว่า "เขาบิ่น" และ "เขาบิน" เวลานี้เรียกกันว่า "เขาบิน" เป็นประจํา
    เรือนั้นจึงเฉียด ไม่กระแทกจนแตกแล้ว
    ได้ลมแรงกระพือพัดหนุนท้ายให้แล่นไปทางตะวันตกถึงห้วงบึงใหญ่
    ส่วนนั้นเป็นแถบถิ่นดินสูงและน้ำลดลงมากแล้ว
    ท้องฟ้าก็แจ้งแดดออกให้ความอบอุ่นบ้างแล้ว

    เรือได้เกยตอม่อหินใต้น้ำก็แตกกระจายออก
    ส่วนหัวได้พุ่งไปเกยตื้นเชิงเขาลูกหนึ่ง ทั้งคนและสัตว์ได้ขึ้นบกอยู่อาศัย ณ ภูเขานั้น
    ต่อมาจึงสร้างเมืองขึ้นรอบภูเขานั้น
    ภูเขานั้นจึงมีชื่อว่า "เขากลางเมือง" ใช้เป็นชื่อเรียกกันมาตลอดกาลนาน
    กระทั่ง พ.ศ.๒๔๓๘ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ได้เสด็จประพาส
    ได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า "เขาถ้ำจอมพล" จึงเปลี่ยนเป็น "เขาถ้ำจอมพล" กระทั่งกาลบัดนี้

    และในถ้ำภูเขานี้ซึ่งเป็นถ้ำภูเขาหินปูน จึงมีหินงอกและหินย้อยทั้งถ้ำ
    ณ พื้นถ้ำซึ่งเป็นหินปูน โคลนเมื่อยังเป็นดินโคลนอยู่นั้น อย่างน้อยสุดก็มีอายุถึง ๒ แสนปี
    ซึ่งยืนยันว่ามีคนอยู่มาแล้ว จึงมีรอยเท้าหรือรอยตีนใหญ่ที่ชัดเจน
    ปรากฏอยู่ถึง ๕ รอย เป็นรอยใหญ่โตมาก ซึ่งยาวถึง ๓๖ นิ้วฟุต กว้าง ๑๘ นิ้วฟุต
    ที่ไม่ชัดเจนเช่นมีเพียงหนึ่ง กับรอยเล็กๆอีกเป็นจํานวนมาก
    ทั้งก้าวก็ปรากฏยาวกว่าคนสมัยนี้ เมื่อลองดูยังต้องกระโดดจึงถึง
    คงเป็นหลักฐาน ยุคสมัยขุนแถนไทย อันตรงกับกาล พระโคนาคมน์ ได้

    และก็ ส่วนกลางของเรือทุ่นกลุ่ม นั้น
    ซึ่งขาดออกกระดอนออกมา จมลงตรงกลางห้วงบึงน้ำใหญ่
    เสากระโดงยังคงตั้งอยู่ ฉะนี้ห้วงบึงใหญ่นี้ จึงมีชื่อว่า "บึงจมเรือ" หรือ "บึงเรือจม"
    ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "จอมบึง" ให้เหมือนชื่อพระราชทานว่า "ถ้ำจอมพล"
    ทุกวันนี้จึงเรียกกันเป็นประจําว่า "จอมบึง"
    ในกาลประมาณก่อน พ.ศ.๒๔๗๐ ยังมีผู้เห็นตอเสานี้โผล่อยู่กลางบึงนั้น
    ยังเล่ากันเสมอว่าไม่รู้ว่าใครปักไว้

    ส่วนท้ายเรือ
    ได้ลอยไปเกยอยู่กับพื้นตื้นเชิงเขาลูกหนึ่ง ผู้คนได้ขึ้นไปอยู่อาศัย ณ ภูเขานั้น
    เมื่อเจริญขึ้นทําผลได้แล้ว จึงนํามาเป็นสินค้าซื้อขายกัน
    ต่างได้ตั้งชื่อภูเขานี้ว่า "เขากลางตลาด"

    ก็กาลที่น้ำท่วมโลกนั้น ได้ท่วมท้นอยู่นาน
    พอลดลงมากแล้ว ณ ที่สูงๆ ซึ่งเปียกชื้นอยู่แล้ว ทั้งมีฝนตกมาบ้าง
    พืชพรรณผักหญ้ากับต้นและย่านพุ่มป่า ก็งอกงามเจริญขึ้นทั่วไป
    สัตว์ที่เหลืออยู่ครั้นเรือแตกแล้ว ต่างก็ขึ้นบก
    จึงได้อาศัยพืชพรรณผักหญ้าใบไม้นั้นๆ เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต

    คนที่ขึ้นจากเรือนั้น ก็ขึ้นอยู่อาศัยตามเพิงผาถ้ำภูเขา
    ที่ขึ้นอยู่ตามเนินโคก ก็เอาต้นไม้เป็นตอตายเพราะถูกน้ำท่วม เอามาทําเสาตั้งขึ้น
    แล้วเอาไม้ไผ่ ทําขื่อ แป อกไก่ ตง รอด
    ใช้ใบไม้และคา มุงโดยเกลี่ย
    ใช้ไม้ขนาบ ใช้เถาวัลย์ผูกมัด
    ใช้ไม้ไผ่ผ่าสับเป็นฟาก ปูเป็นพื้นอยู่อาศัยกัน

    พอน้ำแห้งตลอดพื้นที่ราบ ที่เป็นโคลนตม ก็แข็งแน่นแล้ว
    ต่างก็ออกมาจากถ้ำ ได้ช่วยกันปลูกสร้างเรือนบ้าน
    แบ่งที่ที่ใกล้หนอง, บึง, ห้วย, คลอง, แม่น้ำ, ทํานา สวน ไร่ ทุ่ง
    ทํานา ปลูกข้าว ทําสวนต้นไม้ จึงเป็นบ้านเมือง ตลาด สนาม ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ฉะนี้

    ถิ่นแดนแถบนั้น
    จึงมีธรรมชาติ ซึ่งมีชื่อประจําเนิ่นนานมาแล้วจนชิน
    และรู้ตลอดไปแล้วว่า เขาทะลุ เขาบิ่น เขากลางเมือง เขากลางตลาด
    บึงจม,บึงจมเรือ หรือ บึงเรือจม (จอมบึง) ทุ่งหลวง ทุ่งหญ้า สนามหญ้า ฯลฯ ประจําอยู่แล้ว
    ชาวชนต่างได้ฟัง และรู้เรื่องกันมา
    จึงต่างได้กระทํากราบไหว้ บวงสรวง บําบวง ต้นผีสาง ไทยกันมา และกระทําเป็นประจํามา

    ครั้นกาลล่วงนานมา
    กระทั่งถึง ขุนแถน เทียนฟ้า
    กลุ่มหมู่เลาว๊ะ หรือ เราว๊ะ คือ เลาลวั๊ะ เราลวะ ลว้า ฉะนี้
    จึงมีชื่อ แถนเทียนฟ้า ลว้าไทยโท้ หรือ พ่อขุนไทยโท้ นั้น
    ก็ได้ฟังเรื่องน้ำท่วมโลก ซึ่ง พ่อขุนสรวง-นางสาง พ่อขุนแก้ว-แม่แก้วขวัญฟ้า ซึ่งได้มาบอกแจ้ง
    แล้วให้สร้างเรือทุ่นกลุ่มได้อาศัยอยู่ จึงรอดพ้นภัยน้ำท่วมนั้น
    และท่านต้นทั้ง ๔ นั้นจึงขึ้นเป็น "จ้าวพ่อทะเล" และ "จ้าวแม่ทะเล" หรือ "จ้าวแม่ย่านาง"

    http://palungjit.org/threads/สมเด็จ...-กับ-ช่วงกึ่งพุทธกาลของพระโคดม.178195/page-62
    �����¾�оط��ҷ - powered by XMB<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** ระดับน้ำท่วมโลก กับ เขาอีโก้ ****

    [​IMG]

    http://www.nongchumphol.com/show_travel1.asp

    น้ำเริ่มสูงขึ้นได้ท้นท่วมที่ลุ่มราบหมด และเอ่อสูงขึ้นท่วมคาน แล้วหนุนเรือกลุ่มให้ลอยอยู่บนพื้นน้ำ
    คนสัตว์ที่เหลือต่างก็ปีนขึ้นต้นไม้ ขึ้นหลังคา ขึ้นดอน และปีนขึ้นภูเขา
    ครั้นท่วมท้นกระทั่งยอดมอและยอดไม้จมอยู่ใต้น้ำ
    แม้ยอดภูเขาเทือกย่อมก็จมน้ำ แม้ ยอดเขาอีโก้ ก็ปริ่มน้ำแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ให้เห็นได้ ลมก็แรง<!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/สมเด็จพระพุทธองค์-ศรีอาริยเมตไตรย์-กับ-ช่วงกึ่งพุทธกาลของพระโคดม.178195/page-63
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
  8. moderntof

    moderntof Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +81
    บอกตามตรง... ธรรมชาติคือสิ่งที่สวยสด งดงามที่สุด สร้างสรรค์มาอย่างวิจิตรบรรจง ธรรมชาติไม่ชอบคนที่กลัวตาย ยังนึกไม่ออกเลยว่าภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกครั้งนี้ จะสวยสดงดงามแค่ไหน? เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการสร้างสรรค์ครั้งใหม่นี้ อวยพรให้การสร้างยานประสบกับความสำเร็จ อยากนั่งๆ หุหุ... :'(
     
  9. บูชาพุทธ

    บูชาพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +858
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ศิลปินชนบท [​IMG]
    บ๊ะ..มันจะไปยากอะไรล่ะพี่น้อง เราก็สร้างยานตามประสาคนจนทรัพย์ สร้างได้ด้วยตัวเอง
    ไม่ต้องใช้ตัง ไม่ต้องใช้แรงงาน ใช้แรงใจอย่างเดียว สร้าง "ญาณ" ญาณนี้หนาดีกว่ายาน
    ของนาซ่ามากมายนัก ไม่พัง ไม่ผุ ไม่บุสลายในยามเคลื่อนตัวเสียดสีกะชั้นบรรยากาศของโลก...ว่ามะ:z2
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เห็นด้วยที่สุดค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...