เชื่อฟังพ่อเเม่ดีจริงมั้ย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย 11540, 3 มิถุนายน 2010.

  1. 11540

    11540 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +30
    เราเชื่อฟังเเม่ทุกอย่างเเต่ ถึงเเม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ฝืนใจมาก

    เราอยากเรียนในสิ่งที่อยากเเต่ท่านเห็นว่าไม่รุ่ง เลยให้เรียนอีกอย่าง เกี่ยวกับการ รร เเต่เรายังมองไม่เห้นอนาคตเลย คนเราคิกต่างกันเราว่าทำในสิ่งที่ชอบจะดีที่สุด เเต่นี้ม่ายชอบ เราทามได้เเค่กลางๆ

    ถ้าสุดท้ายชีวิตมันไม่รุ่ง เเล้วเชื่อพ่อเเม่จะดีหรอ

    อยากรุ้ว่า มันเป้นกรรมอะไรที่ทุกข์ใจเเบบบนี้ ต้องมาโดนบังคับ

    เคยได้ยินว่าลูกเกิดมาแก้เเค้น เเล้ว มีพ่อเเม่เกิดมาเปนคุ่เวรกรรมกันมั้ย
     
  2. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อิอิเคยเป็นเหมือนเราเลยค่ะ
    พ่อเราก็บังคับให้เรียนในสิ่งที่ท่านอยากให้เรียน ท่านว่าเห็นอนาคตใกล= =
    แต่ตัวเราไม่ชอบ ชอบอีกแบบนึง
    แต่เราก็เลือกในสิ่งที่ท่านแนะนำนะคะเพราะ มันไม่ได้ยากเกินความสามารถ
    (อีกอย่างผิดพลาดอย่างไรก็.....>>>พ่อนั้นแหละเลือกให้หนู - -อันนี้ล้อเล่นค่ะ)
    คือเชื่อในสิ่งที่ท่านวางอนาคตไว้ให้ค่ะ
    เราก็แค่ตั้งใจก็พอ

    แต่ก็มีรุ่นพี่คนนึงค่ะ เค้าเลือกในสิ่งที่เค้าชอบ
    โดยที่พ่อแม่บังคับเลือกให้เค้าเรียนอีกทาง แต่เค้าแอบไปสมัครสอบ
    จนได้ลงทะเบียนไปแล้วจึงมาเฉลยกับพ่อแม่

    เพราะเป็นสิ่งที่เค้าชอบและจะอยู่กับมันในอนาคตได้อย่างมีความสุข (รุ่นพี่พูดแบบนี้ค่ะ)

    ยังไงก็เลือกเอาละกันค่ะ แล้วก็อธิบายให้ท่านเข้าใจ^^

    เป็นกำลังใจให้นะคะ
    [​IMG]
     
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ไม่มีใครรักเราได้เท่าพ่อเเม่ครับ อันนี้เรื่องจริงๆครับ ส่วนเรื่องของเรา บางเรื่องถ้้าเราไม่เห็นด้วยก็ลองนั่งคุยกับพวกท่านเเบบไม่ใช้อารมณ์นะครับ เอาเหตุผลคุยกัน ถ้าเราถูกจริง ยังไงท่านต้องฟังเราครับ เเต่ขอให้คุยเเบบใช้สติ ไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวข้องครับเเล้วทุกอย่างจะดีเอง โชคดีครับ
     
  4. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    จะขอเล่าประสบการณ์สุดรัดทดให้ฟัง

    พี่ต้องออกมาอยู่คนเดียวเมื่ออายุส 15 ปี ใช้ชีวิตตามลำพัง พ่อแม่ส่งเงินให้ก็ไม่พอกับรายจ่าย ต้องจัดสรรค์เอง เพราะเงินที่ให้จะถูกจำกัดไว้ เท่าเดิม ไม่ว่าค่าครองชีพจะเปลี่ยนไปเท่าไร

    ชีวิตตอนนั้นลำบากมากปรึกษาใครก็ยากมาก กับสังคมทุนนิยม
    สมัยเรียนม.ปลาย ก็ไปอยู่ห้องที่แข่งขันกันเรียน ทุกคนในห้องเรียนพิเศษหมด ยกเว้นพี่คนเดียวครูที่สอนพิเศษก็คือครูที่สอนที่ห้องนั่นแหละ คิดเอาเองว่ามันยุติธรรมแค่ไหน

    รุ่นพี่นั้นเริ่มใช้ GPA เป็นรุ่นที่สอง ปกติร.ร.พี่จะกดเกรดอยู่แล้ว แต่นักเรียนจะไม่ค่อยสนใจเกรด จะเน้นความรู้มากกว่า แต่พอมี GPA ก็เกิดกระบวนการโกงเพื่อ UP เกรด ทั้งลอกการบ้านเพื่อให้ได้คะแนนซึ่งตอนม. 4 ในห้องไม่มีใครทำกัน แต่ขึ้นม. 5 ทำกันเกือบทั้งห้อง ก็เหลือพี่ 2 คนกับเพื่อน มีกระบวนการลอกข้อสอบ แอบจดโพย แอบไปดูข้อสอบก่อน จากห้องที่สอบก่อน สมัยแรกๆ พี่สอบ Midterm ได้ Top ชั้นตลอด ยกเว้นภาษาอังกฤษวิชาเดียว จากคนในชั้น 500 กว่าคน แต่ผลปรากฎว่าด้วยความขาดแคลนของพี่เอง พี่ไม่มีโอกาสจะได้เรียนพิเศษจึงเป็นคนตั้งใจเรียน พี่ไม่มีพ่อแม่ซื้อหนังสือให้ จึงต้องเจียดตั้งค่าอาหารมาซื้อหนังสือ พี่ไม่มีสิทธิจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ เพราะนั้นหมายความว่าพี่ต้องอดอาหารเป็นอาทิตย์ มันดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ มันไม่เหมือนคนสมัยก่อน ที่จนกันทั่วไป แต่สมัยนี้พี่ต้องทำเองหมด ตอนนั้นเป็นคนรับผิดชอบสูง มีความเชื่อว่าคนที่มีความกระตื้อรื้อล้นต้องประสบความสำเร็จ ไม่เคยเก็บหนังสือไว้ที่โต๊ะ ใส่กระเป๋าแบกกันหนักๆนั่นแหละ พี่ต้องใช้เวลาในการทำการบ้านเอง อ่านหนังสือทบทวนเอง ต้องนอนตี 3 ตื่น 6 โมงเช้า เพื่อรีบไปร.ร. เพราะไม่มีรถส่วนตัว แถมไปกินข้าวเอาที่ร.ร. ตอนเช้า เพราะมันถูกดี ดึกๆก็ออกไปเซเว่นไปซื้อมาม่า 5 บาทมากิน ตอนนั้นเหมือนคนขาดสารอาหาร จากที่หน้าตาอวบอิ่ม เริ่มผอม เห็นร่องตรงหว่างคิ้วเพราะความเครียด เดินก็แทบจะไม่มีแรง แต่เป็นคนเดินไว ทำอะไรเร็ว เสียดายตั้งแต่นั้นมาพี่เล่นบอลได้ไม่ดีเหมือนสมัยก่อนเพราะไม่มีแรง จนคิดจะเลิกเล่น เพราะจะสนใจแต่เรียน(ประเทศไทยเลยขาดนักฟุตบอลระดับโลกในอนาคตไปลย..คิดเองนะ) ตอนนั้นรู้สึกต่ำต้อยมากๆ

    พูดถึงเรื่องการสอบ พี่ไปสอบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิค สมัยนั้นไม่มีแบ่งภูมิภาค มีแต่ส่วนกลางอย่างเดียว คัดกันสามรอบ สู้เค้าไม่ได้ ไม่ไหวเรียนก็ต้องเรียน เวลาทำกิจธุระส่วนตัว หาอาหารมาทานเอง จัดสรรงบประมาณเอง เวลาไปเรียน ร.ร.อยู่ไกล บางที่ก็ไม่มีรถรับจ้างไป ต้องเดินไปครับ เดินไปแต่ละครั้งต้องผ่านโรงพยาบาล ผ่านคลีนิคจิตแพทย์ พี่จะมองเข้าไปยังรพ.ตลอดเวลาที่เดินผ่าน เมื่อก่อนเคยคิดจะเป็นหมอ แต่เพราะสิ่งที่เห็นถึงรู้ว่าเราเป็นหมอ เราก็ช่วยคนได้ไม่กี่คนแหละ ดูสิ คนที่ลำบากไม่ใช่มีแค่คนไข้ แต่ญาติคนไข้ที่ต้องคนเฝ้าต้องคอยหาเงินมารักษา ต้องนอนตากยุงเพราะเป็นคนต่างจังหวัด เห็นแล้วอนาจใจ ผ่านหน้าคลินิคจิตแพทย์ก็อยากเข้าไป เพราะอยากให้หมอเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างพ่อแม่ กับพี่ อยากมีคนปรึกษา เพราะครอบครัวพี่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย ตอนนั้น พี่เข้าใจคนที่ติดยา คนที่คบเพื่อนทำสิ่งไม่ดี หรือฆ่าตัวตาย เข้าใจความรู้สึกนั้น แท้จริงทุกอย่างอยู่ที่ครอบครัว ครอบครัวเป็นคนกดดันให้ลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ยอมเข้าใจอะไรหรือไม่ยอมช่วยเหลืออะไร

    แต่พี่ก็ไม่เคยได้เข้าคลีนิคเลยตอนนั้น เพราะไม่มีตังค์ ได้มาเข้าคลีนิค ตอนเรียนมหาลัยแล้ว แต่ไม่ได้เข้าไปฐานะคนไข้ แต่เป็นนักศึกษาช่วยงาน

    ตอนม.6 ลำบากสุดๆ เพราะGPA พี่ได้น้อยเป็นอับดับที่ 5 จากท้ายสุด เพราะเกิดความล้าจากการเรียน และความผิดหวังกับคนส่วนใหญ่ที่สนใจแต่ GPA ไม่สนใจความซื่อสัตย์ ครูก็ตัวดี จะยกย่องเด็กที่เกรด แต่ไม่ดูที่พฤติกรรมว่าได้มายังงั้ย ทั้งโกงทั้งลอก แล้วก็ภูมิใจ
    สมัยนั้นสอบเอนท์มีสองครั้ง ครั้งแรกเดือนตุลา พี่สอบได้คะแนนดิบเยอะที่สุดในห้อง แต่คำนวณรวม GPA แล้วพี่ได้อันดับกลางๆค่อนไปทางน้อย แต่คะแนนก็โอเค แต่ไม่ติดแพทย์ ในใจก็ไม่คิดอะไรหรอก เพราะไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

    แต่เวลาเลือกลงคณะนี่สิ สิ่งที่พี่โดนถามคือติดมั้ย(คณะแพทย์) เผอิญว่าพี่เป็นคนไม่ค่อยพูดและพูดไม่ค่อยเป็น พี่เลยตอบไปว่าไม่ติด ติดแต่หมอหมานะจะเอามั้ย (สัตว์แพทย์ ความจริงคะแนนมันอยู่ที่เภสัช แต่ไม่ชอบเคมี) โดนด่ายับเลยครับ ในใจก็คิดตอนพี่เรียนไม่เคยสนใจพี่ ไม่เคยให้อะไรพี่เลย ชีวิตให้พี่ทำเองหมด ตอนสุดท้ายมาบงการโน่นนี่ ดีนะที่พี่ไม่ติดยาเสียคนไป เพราะไงเค้าก็ไม่ช่วยอะไรพี่อยู่แล้ว สักพักเค้าก็คิด ถ้าไม่ได้ เข้าาวิศวะได้มั้ย พี่ก็เงียบไม่ตอบ ..........เพราะคะแนนนะมันถึงหมดแล้วแต่มันไม่ได้คณะแพทย์ ในใจก็คิดถ้าเราเรียนแพทย์แล้วเค้าจะส่งเราเรียนเหรอ เราก็ต้องส่งตัวเองอยู่ดี แล้วจะรอดเหรอ เพราะต้องทำงานเองอีก แล้วพี่ก็ลงเศรษฐศาสตร์ เพราะชอบและอีกอย่างจากประสบการณ์ที่พี่เห็นในรพ. จะบอกได้คำเดียวว่าเมื่อเศรษฐกิจดี เรื่องโอกาสการเข้าถึงการสาธารณสุขจะดีขึ้น(ตามระบบทุนนิยม ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ผิด)

    ไปรายงานตัวทำอะไรเองหมด เรียนในนั้นแทนที่จะไม่เจอการโกง ยังคงมีการโกงกันอยู่(เค้าบอกคนฉลาดนะมันโกงได้เนียนกว่าคนปกติ) พี่ต้องทำงานเอง ส่งตัวเองเรียน ดีที่เป็นม.ของรัฐ ซึ่งมันถูกหน่อย จบมาตกงานอยู่ช่วงนึง นั้นเป็นจุดให้พี่ได้เข้าวัดรู้จักธรรมะมากขึ้น พี่ไม่ชอบขอร้อง หรือให้ใครฝาก มันไม่มีศักดิ์ศรี ที่ผ่านมา ผ่านมาด้วยความสามารถตัวเองทุกอย่าง จะไปสมัครงานแล้วให้คนนั้นฝาก ใช้เส้นสายพี่ไม่ยอม 3 ปีที่ตกงาน สุดท้ายก็สอบเข้ามา ทำงานอยู่ในกระทรวงการคลัง

    แอบอิจฉาคนอื่นนิดๆ ที่มีพ่อแม่คอยส่งเรียน กลับบ้านมีกับข้าว กับปลากิน แต่พี่ต้องหาจัดการเอง เสื้อผ้าก็สีซีดกว่าเค้าหมด ดีนะที่เป็นคนเนียบ ถึงเสื้อผ้าจะเก่า แต่เป็นคนรักษาความสะอาดอยู่เสมอเพราะคิดในใจว่าถึงมันจะเก่าแต่ถ้าเรารักษาดี สะอาด มันก็ยังดูดี

    มาเรียนมหาลัยก็อิจฉาอีกนะแหละ พบจบมา ในขณะที่เพื่อนพี่สอบไม่ติด แต่กลับได้เรียนป.โทต่างประเทศ มีเงิน มีเกรดที่ดี แต่ความรู้ไม่มี มีอะไรดีกว่าพี่ทุกอย่าง ดีนะที่รู้จักธรรมะตอนหลัง รู้เรื่องบุญ เรื่องกรรม เรื่อง ภพ ภูมิ ก็เลยหมั่นทำดี
    พวกนั้นเค้ามีบุญเก่าแต่ถ้าหมดก็ไปเหมือนกัน เราก็ต้องสร้างบุญใหม่ เหมือนพวกเจ้าสัวรวยๆสมัยนี้ บุญที่ส่งผลให้ เป็นบุญปัจจุบันถึง 80 % บุญจากความอุสาหะ ขยัน อดทน และอดออม พี่ถึงเป็นคนที่ไม่ชอบเป็น เสือนอนกิน

    น้องมีบุญมากว่าพี่อีก จะเลือกอะไรก็ไปให้สุด อย่าตามพ่อแม่ เพราะพี่เห็นบางคนพ่อแม่ให้เป็นหมอ เพื่อนพี่ที่เป็นหมอ ดูไม่มีความสุขเลย แต่พ่อแม่ก็ไปอวดนั้นอวดนี่ ว่าลูกตนเองเป็นหมอ มีความภาคภูมิใจ แต่ตัวหมอนั้นกับอยู่ในนรกทั้งเป็น วันๆรักษาคนไข้ไปตามหน้าที่ เก็บตังค์ซื้อรถซื้อบ้าน หลอกพยาบาลไปวันๆ แล้วพยาบาลแต่ละคนจับได้ก็มาทะเลาะกัน ให้ปวดหัวอีก ต้องจ่ายเงินอีก เหมือนหาเงินมาเพื่อใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตัวเองได้ใช้นิดเดียวเพราะไม่มีเวลาใช้

    ปล. ตอนพี่เรียนปี 1ขึ้นปี 2 พี่แอบสอบเอนท์อีกครั้ง ครวนี้ติดแพทย์ ศิริราช แล้วก็เอาใบประกาศผลไปให้เค้าดู ให้เจ็บใจเล่น แต่ก็สละสิทธิเรียน เพราะความเป็นวัยรุ่น ทำให้พี่ทำผิดไปเยอะกรรมค่อนข้างหนัก เพราะไปเถียงพ่อด่าแม่ และก็พูดไม่ดีด้วย เวลาคุยกันไม่เคยมีคำพูดสุภาพๆเลย มาสำนึกผิดก็ตอนตกงาน เข้าวัดเนี่ยแหละ ก็เลยไปขอขมา แล้วปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น ถึงยังไม่ดีสมบูรณ์ก็ตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2010
  5. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    เลือกอะไร ก็ให้ใจชอบ แต่อย่าหยุดให้ไปให้สุด เมื่อไหร่ที่ประสบความสำเร็จพ่อแม่น้องจะยอมรับเอง

    อยากเป็นนักดนตรีก็ไป ไปให้ถึงระดับโลก
    อยากเป็นศิลปินก็ไปให้ถึงระดับโลก
    อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ไปให้ถึงระดับโลก
    อยากเป็นผู้กำกับหนังก็ไปให้ถึงระดับโลก

    มองดวงดาว ไปให้ถึงแม้พลาดพลั้งก็ยังถึงดวงจันทร์ (แอบกอปปี้เค้ามา)
     
  6. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
    การเชื่อฟังพ่อแม่เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน
    แต่
    ต้องเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น

    ส่วนในเรื่องของงาน คุณวิญญาณนิพพานกับคุณนายดอกบัว กล่าวถูกต้องแล้ว
    คือเราต้องเลือกในสิ่งที่เป็นตัวเรามากที่สุด แต่ถ้าเราทำตามที่ท่านอยากให้เป็นได้ก็ทำ ต้องดูว่าเราต้องไม่ทุกข์ใจในสิ่งที่เค้าอยากให้เป็น ถ้าทุกข์ก็จงเลือกในสิ่งที่เป็นตัวของเรา อธิบายให้เค้ารู้ว่าเราจะทำอะไร อธิบายเค้าด้วยเหตุผลตามความจริง อย่าไปแอบทำ เพราะจะเป็นการโกหก ไม่ดีทั้งสองฝ่าย

    ถ้าเราทุกข์ในสิ่งที่เค้าอยากให้เป็น เค้าจะมีความสุข แต่เราทุกข์ไปตลอด(ฝ่ายนึงทุกข์ ฝ่ายนึงสุข)

    ถ้าเราสุขในสิ่งที่เราอยากเป็น เราจะมีความสุข เค้าอาจจะทุกข์ในตอนแรก แต่ผลสุดท้ายความสำเร็จที่เราได้ทำในสิ่งที่เราเป็นจะทำให้เค้าเข้าใจและกลับมามีความสุข (สุขทั้งสองฝ่าย)

    ตัวเราเกิดมาไม่เหมือนใคร ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงเท่ากับตัวของเรา
     
  7. ohake999

    ohake999 ศีล สมาธิ ปัญญา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +255
    ผมนับถือ นายดอกบัวมากเลยคับ ทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง เป็นคนมานะ อุตสาหะ พยายามดีมากๆเลย ผมเองตอนเรียนมหาลัย ก็เคยทำงานเป็นพนักงานของ mcdonald เพราะว่าทางบ้านเองก้ไม่ค่อยจะพอใช้จ่ายคับ เราเองก็เข้าใจ อดทนทำงานหาเงินเรียนไปด้วย บางวันเรียนมาเหนือยทั้งวัน แต่ก้ต้องไปทำงานต่อคับเหนื่อยมากๆเลยคับ เพราะคิดว่าเราต้องรบกวนเงินทางบ้านให้น้อยที่สุด มาม่าเป็นอาหารที่ทานบ่อยคับผม ยังไงก็ขอให้คุณเองลองคิดดูนะคับ มีอะไรก็คุยกับท่านได้เลย อธิบายบอกท่านได้นะคับ
     
  8. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    การเชื่อฟังพ่อแม่เป็นสิ่งที่ดีนะคะ ขอให้จำไว้อย่างนึง คือไม่มีใครที่จะรักและหวังดีกับเราเท่ากับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้เป็นของเรา เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือก ดังนั้นเราต้องคิดให้ดี ไตร่ตรองข้อดี ข้อเสียของ การเรียนและ การทำงานในอาชีพนั้นๆ ฟังผู้ใหญ่มากๆ เพราะท่านเห็นอะไรมากกว่าเรา และนำมาวิเคราะห์ พิจารณา ให้ดี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังนะคะ

    ถ้าน้องตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ต้องมุ่งมั่นตั้งใจในสิ่งที่เราเลือก และไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม ขอให้น้องยอมรับผลการตัดสินใจของเรานะคะ

    เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆๆๆนะจ๊ะ ^^
     
  9. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาสาธุอย่างสูงค่ะ
     
  10. magnagiled

    magnagiled เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    596
    ค่าพลัง:
    +1,444
    คุณ นายดอกบัว สุดยอดเลยครับ

    ฝ่าฟัน อุปสรรคมาเยอะมาก เข้มแข็งและอดทนจริงๆ

    อ่านไปนึกภาพไปออกเลย ผมเป็นเพื่อนคงสงสาร

    แต่เป็นตัวอย่างของความเข้มแข็งที่ดีมาก

    อนุโมทนาบุญครับ
     
  11. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    เขื่อฟังพ่อแม่ดีแน่นอนครับ เพราะว่าส่วนใหญ่ท่านจะหวังดีกับลูกๆ แต่ก็ต้องฟังด้วยปัญญาเช่นกันครับ เพราะว่าอาจจะมีหลายอย่างที่ท่านเองก็ใช้ประสบการณ์ของท่านในการตัดสินใจหรือว่าบอกเรา แต่เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยนก็อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการคิดบางอย่างก็ได้ ซึ่งต้องพยายามในการทำความเข้าใจ ตรงนี้ไม่ง่ายใช้เวลา เป็น 10 ปี(จากประสบการณ์) เพราะเคยทะเลาะกับพ่อมาก่อน ก็ลองดูพยายามดู อะไรก็ตามที่เป็นทางที่ดีที่ควรให้เขาดำเนิน ก็แนะนำบอกกัน หากุศโลบายที่จะให้เขาเดิน แต่อย่าไปหักความมั่นใจของเขา เขาจะไม่ยอมครับ
     
  12. sZerETleK

    sZerETleK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +126
    เชื่อฟังพ่อแม่ดีอยู่แล้วครับ แต่เราคงเกิดมาโชคดี ที่แม่เราไม่เคยบังคับอะไรเราเลย นอกจากบางเรื่องที่เค้าคิดว่ามันไม่ดีจริงๆ เราก็จะฟังเค้า เรื่องการเรียนนี่ แม่เราก็ไม่เคยบังคับ อยากเรียนอะไรให้เรียน เค้ายังมีแรงส่ง อยากทำอะไรก็ทำ ตอนแรกเราก็อยากเรียนวาดรูป แต่จริงๆก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็ไปเรียนติวตั้งสองปี ก็เข้าคณะศิลปกรรม มศว ได้ ก็ทนๆเรียนไปอ่ะ ตอนแรกมีแต่คนจะให้เราเรียนบริหาร เพราะที่บ้านเรามีธุรกิจส่วนตัว จะได้กลับมาดูแล เราก็ไม่เรียน เพราะเรียนอะไรก็กลับไปทำได้อยู่แล้ว พอเรียนไปจนจบปีหนึ่ง เราก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ พอกลับมาก็นิ่งๆๆขึ้นนะ รู้สึกมีความคิดขึ้น สมาธิดีขึ้น เราก็คิดว่า เรียนศิลปะไปเอาไปทำอะไีที่บ้านได้บ้าง พอใกล้จะเปิดเทอม เราก็ไปลาออก แล้วก็ไปสมัครเรียนบริหารที่เอกชนเลย ตอนนี้ก็เรียนมาขึ้นปีสองแล้ว เราก็ไม่ได้ชอบหรอกบริหารน่ะ มีแต่ตัวเลข แต่การที่เราตั้งใจที่จะทำ มันก็ช่วยเราได้นะ ตอนเราอยู่ มศว เพื่อนพูดกันว่า อยากได้เกียรตินิยมว่ะ เราก็บอก เราไม่เอาด้วยคน แค่เกรดซี บี เราก็พอแล้ว เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ แต่พอวันที่เราตัดสินใจจะไปสมัครบริหาร เพราะอะไรไม่รู้เรามุ่งมั่นตั้งใจมาก ไม่กลัวเลย เราบอกกับน้าเราว่า ไม่รู้จะทำได้รึเปล่านะ แต่ว่าเราอยากได้เกียรตินิยมอ่ะ ทั้งๆๆที่เราเป็นคนเรียนไม่เก่้งนะ อาจจะเพราะไม่สนใจ เกรดก็สองกว่าๆอ่ะ แต่พอเรามาเรียนบริหาร พยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ทำให้เต็มที่ที่สุด ไม่ได้คิดหรอกว่าผลจะออกมาเป็นยังไง รู้แค่ว่าทำเพื่อแม่แค่นั้น ท้อเหมือนกันนะ เวลาอ่านหนังสือไม่ทันอ่ะ กดดัน ก็นั่งร้องไห้บ้าง แต่พอคิดว่าเราต้องสู้เพื่อแม่ ต้องทำให้ได้ มันก็มีกำลังใจขึ้นมาอ่ะ พอผลออกมา สามจุดแปดสองเทอมเลย ทั้งๆๆที่เกือบทุกวิชา เรามาเริ่มต้นใหม่ที่นี่ พยายามสนใจ เพราะม.ปลายไม่เคยสนใจเลย ก็คิดว่าค่อยซ่อมเอา ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เลยต้องเิ่ริ่มต้นใหม่หมด แต่แม่เราไม่เคยชมเลยนะ คนอื่นชมเยอะแยะ ชมไปก็เท่านั้น สู้แม่ชมคนเดียวยังไม่ได้เลย เราก็รู้ว่าแม่เราดีใจ แต่บางครั้งเราก็ต้องการกำลังใจบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เราทำเพื่อเค้าได้ เพราะเราทำไม่ดี ทำให้แม่เสียใจมาเยอะแล้ว อยากทำให้แม่เราภูมิใจเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง

    ทุกอย่างถึงแม้ว่าเราจะไม่ชอบอ่ะ แต่ถ้าเราคิดซะว่ายังไงเราก็หนีมันไม่พ้นอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องทำต้องเรียน เราก็พยายามทำให้มันดีที่สุดสิ ถ้าเราใส่ใจลงไป เราตั้งใจ อะไรๆมันก็จะออกมาดีเอง อย่างเราไม่ต้องมีใครบังคับหรอก ไม่มีใครบังคับได้ด้วย ถ้าจะทำอ่ะ ก็ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ลองเอง รู้เอง มันก็จะเปลี่ยนด้วยตัวเอง ยังก็ให้กำลังใจนะ ว่างๆลองไปปฏิบัติธรรมดูก็ได้ ทำให้สมาธิดีขึ้น ดีขึ้นหลายๆอย่างเลย ที่สำคัญรักแม่มากขึ้นด้วย ที่มีคนบอกว่า ปฏิบัติธรรมมาแล้วเรียนเก่งขึ้นน่ะ เรื่องจริงนะ เรายืนยันได้ แต่ถ้าไม่อยากเรียนจริงๆๆ ก็ลองคุยกับเค้าดูสิ มีเยอะแยะที่ออกมาไปเีรียนที่ตัวเองชอบแล้วไปได้ไกลมาก ยังไงก็ลองใช้เหตุผลคุยกับเค้าดู คุยด้วยความรักความเข้าใจ เปิดอกคุยกันเลย เอาใจช่วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...