ผมถูกความคิดชั่วเข้าครอบงำครับ ท่านผู้รู้ช่วยที

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย potaetae, 26 พฤษภาคม 2010.

  1. potaetae

    potaetae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +41
    คือเค้าเคยบอกมาว่า คนเราต้อง คิดดี ทำดี พูดดี คบเพื่อนดีๆ จะเดินทางไปยังที่ๆ ดีๆ ใช่ไหมครับ

    คือกระผมก็ทำทุกอย่างนั้นได้ แต่กลับทำบางอย่างที่เคยทำอยู่ไม่ได้ ก็คือ การคิดดี เนี่ยแหละครับ แต่ว่าผมคิดผมก็ไม่เคยมีเจตนาอย่างที่คิดเลยนะครับ แบบว่าพอนั่งอยู่เฉยๆ ก็คิดถึงสิ่งที่มันไม่ดีๆ พยายามลบมันออก มันก็ยังมาอีก หรือไม่รู้ว่ามันเกิดจากความกลัวในจิตใจด้วยหรือเปล่าสิครับ เลยคิดไม่ดีเอาไว้ก่อน เผื่อเจออะไรที่มันไม่ดี ถึงจะรับได้ทัน

    หรือไม่บางทีก็คิดหยามคนอื่น แต่ความจริง ใจของผมมันไม่เคยอยากจะทำเลยนะครับ เหมือนมีตัวเดวิลตัวน้อยๆ คอยทำเลาะกับแองเจิลอยู่ มันทำให้จิตใจสับสน อยากคิดดี แตความคิดไม่ดีพุ่งขึ้นมาก่อนทุกที

    ทำยังไงดีครับ หรือจะเป็นเพราะกำลังเข้าวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เคยอ่านเจอว่าช่วงนี้ จิตใจ และอารมณ์จะแปรปรวนง่ายน่ะครับ

    กรุณาด้วยเถอะครับ ชี้ทางสว่างให้ผมที ทุกครั้งที่ผมคิดไม่ดี ผมจะรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ ขอบคุณมากๆ เลยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  2. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ต้องไปศึกษาเรื่องจิตตานุปัสสนา แล้วจะรู้ครับว่าจิต นั้นที่จริงแล้วไม่ใช่เรา
    เค้าจะคิดของเค้าไปทั้งวัน เราบังคับไม่ได้ พอรู้สึกตัว เด๋วจิตก็หนีไปคิดอีกแล้ว
    แล้วเค้าจะคิดดี หรือคิดชั่ว ก็ห้ามไม่ได้อีก ถ้าฝึกแนวดูจิต ก็แค่ตามรู้จิตไปอย่าง
    เดียว เดี๋ยวจิตก็คิดดี เดี๋ยวก็คิดร้าย เดี๋ยวหนีไปทางตา เดี๋ยวหนีไปทางหู เดี๋ยวหนี
    ไปในความคิด นี่แหละครับ....ฉนั้นแล้วอย่าวิตกจนเกินเหตุครับ บางทีจิตมันด่า
    ได้เองนี่ก็เป็นกันเย๊อะครับ ยิ่งบังคับจิตมันยิ่งด่าหนักขึ้นๆ ที่ทำได้คือรู้ว่าจิตคิด
    ไม่ดี แล้วก็ปล่อยวางไม่ไปยึดเอามาคิดต่อให้จิตเศร้าหมองน๊ะครับ...ลองไปหา
    ซีดีวิธีการดูจิต ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช มาศึกษาดูก็ได้น๊ะครับ
     
  3. potaetae

    potaetae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบคุณมากๆ เลยครับ

    เจริญๆ นะครับ
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ธรรมชาติของจิตจะแปรปรวนไปตามกระแสของธาตุธรรมทั้งกุศลหรืออกุศล ดังนั้นเราต้องจับจองจิตใจให้มั่นในกุศลธรรมให้มากที่สุด วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือหมั่นเจริญพุทธานุสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อเผลอไปคิดไม่ดี ก็ให้รีบท่องบทสวดมนต์ที่เราชอบ
     
  5. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านบอกว่า

    เห็ดที่เกิดขึ้นกลางป่าใหญ่ จะมีคนไปเก็บนำมาปรุงทำเป็นอาหาร หรือไม่!!

    สุดท้ายมันก็ดับอยู่ดี

    อารมณ์ใจเรา ฉันใด ก็ฉันนั้น ไช้ปัญญาพิจรณานะครับ

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2010
  6. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    อนุโมทนา สาธุ มันเป็นอนัตตา เมื่อเกิดขึ้นสักพักก็ดับ กำหนดลมหายใจเข้าออกจนชิน จิตที่หลุดไปก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจ ลมหายใจเป็นอัตตา ความคิดเป็นอนัตตา
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    คุณก็อย่าไปใจจดใจจ่อกับมันซิ ...... มีเรื่องอื่นให้คิด ให้ทำตั้งเยอะแยะ
     
  8. พธบ

    พธบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +2,348
    ง่ายๆ.......

    หากสติมันเผลอคิดไปอย่างนั้น.....เมื่อคุณรู้ ทันมันก็ โยนิโสมนสิการ เข้ามาใส่ตนดิครับว่า มันไม่ดี ไม่ควรทำ

    เมื่อคิดอีก ก้อทำอย่างนี้อีก อีกหน่อย มันจะได้สติเร็วขึ้น เรียกว่า พอมันจะคิดเริ่มแค่เริ่มจะ มันจะไม่มีคำว่า เริ่มจะเลยครับ

    **มันต้องฝึกอย่างต่อเนื่องครับ บางคนจิตบังคับยาก ซึ่งมันก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิตอยู่แล้ว

    ***แต่สันดาน นี่สิครับ ไม่รู้ว่า มันเกี่ยวกับจิตหรือไม่ ฮิๆๆๆ

     
  9. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
  10. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    จิตที่คิดไม่ดีเป็นจิตที่ส่งออกไปนอกตัว..วิธีดึงจิตกลับเข้ามาในตัวอย่างเป็นรูปธรรม คือ เมื่อรู้ตัวว่าจิตคิดไม่ดี ให้หายใจเข้าแรงๆ โดยวางความรู้ัสึกไว้ที่ปลายจมูก

    ถ้าอัดอั้นตันใจเครียดมากๆ ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วนึกว่า เราจะปล่อยความเครียดทั้งหมดออกไปกับลมหายใจออก แล้วปล่อยลมหายใจออกไป...

    วิธีนี้หวังว่าจะช่วยได้บ้าง....
     
  11. ชวัลวิทย์พัทยา

    ชวัลวิทย์พัทยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +314
    ผมก้อเป็นอย่างคุณนะ บางทีปรามาสพระรัตนตรัยเลย เเรงมาก เเต่ผมไม่ได้สั่งมันนะ มันคิดของมันเอง เเรก ๆก้อกังวลกลัวบาป เเต่วันนึงไปอ่านเจอในหนังสือหลวงพ่อฤาษีฯ ก้อเลยเข้าใจ วันหลังจะเอาข้อความที่หลวงพ่อเขียนสอนไว้มาโพสบอกครับ เพื่อใครเจอปัญหานี้อาจจะช่วยได้ครับ
     
  12. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๙๕
    "ทำยังไงดี - คิดไม่ดีอยู่เรื่อย"
    ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทรมานใจอยู่กับความคิดสกปรก ความทรงจำแย่ๆ หรือความลับน่าอับอายเกินกว่าจะให้ใครรู้ว่าเราก็คิดอย่างนี้ได้ ขอให้ทราบเถิดว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีคนอีกทั้งโลกเป็นเพื่อน ที่สำคัญว่าคิดบ้าๆอยู่คนเดียวก็เพราะไม่ได้เปิดอกนั่งจับเข่าคุยกันเท่านั้นแหละ ใครเล่าจะอยากขุดเอาความคิดเพี้ยนๆเลอะเทอะในหัวของตัวเองออกมาแฉให้คนอื่นร่วมรับทราบไปด้วย
    คลื่นความคิดที่กระทบใจแล้วรบกวนเราได้แรงๆนั้น ไม่จำเป็นต้องชั่วช้าสามานย์อะไรมาก แค่คำด่าบางคำที่ใครบางคนมาปล่อยเรี่ยราดตามเว็บบอร์ด โดยชี้นำให้คิดโยงคำด่านั้นไปหาคนที่คุณนับถือ ก็เพียงพอแล้วที่มันจะกลายเป็นอาถรรพณ์ ตามมาวนเวียนหลอกหลอนคุณ ยั่วยุให้คุณนึกถึงคำวิปริตนั้นวันละเป็นสิบเป็นร้อยรอบ คล้ายมีวิญญาณร้ายแฝงอยู่ในสมองของคุณก็ไม่ปาน
    ลองมาหาคำตอบกันดูครับ ความเข้าใจถึงที่มาที่ไป ตลอดจนอุบายต่อไปนี้ อาจช่วยคุณให้พ้นทุกข์จากความคิดชนิดบาดใจได้ในเวลาไม่นานนัก
    ความคิดไม่ดีมาอยู่ในหัวเราได้อย่างไร? และที่ร้ายกว่านั้น ทำไมมันถึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เราเกลียดความคิดแบบนั้นแทบดิ้นตาย?
    คำตอบคือใจเราเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เข้าไปติด เข้าไปข้อง หรือเข้าไปยึดมั่นสิ่งที่รักแรงหรือเกลียดแรงได้อย่างเหนียวแน่น และความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นนั้นเอง เป็นตัวการผลิตความคิดถึงสิ่งที่ยึดได้เรื่อยๆ
    ขอให้นึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง คุณเห็นเขาหรือเธอปรากฏตัวก็อยากถลาเข้าไปกอดรัดให้เต็มอ้อมทันที อาการอยากกอดรัดทางกายนั้นแหละ สะท้อนให้เห็นอาการยึดติดทางใจประมาณเดียวกัน
    ส่วนบุคคลอันเป็นที่ชิงชังยิ่งสำหรับคุณ เมื่อใดปรากฏตัว คุณจะอยากเบือนหน้าเดินหนี แต่เหมือนเขายังเป็นเงาติดตามคุณมาทุกฝีก้าวไม่ห่าง นั่นเพราะใจคุณไม่เคย "ทิ้ง" เขาเลย หรือถ้าคุณเกลียดจัด แทนที่จะอยากเดินหนี คุณอาจอยากถลาเข้าไปเขย่าคอ ชกหน้า ตบตี หรือทำร้ายร่างกายเขาเลยด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเครื่องแสดงอาการยึดของจิตอีกแบบ เกลียดกันแล้วก็ยึดว่าต้องทำลายล้าง ต้องทำให้เจ็บปวดในทางใดทางหนึ่ง ปล่อยให้ลอยนวลสบายๆไม่ได้
    เมื่อรักแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆย่อมเป็นสุขสดชื่น แต่หากเกลียดแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆ ย่อมเป็นทุกข์ อึดอัด ไม่สบายใจ กระวนกระวาย หรือกระทั่งพาลพาโลเกลียดตนเองไปด้วย ค่าที่รู้สึกว่าความคิดคือเรา เราคือความคิด เมื่อความคิด "น่าเกลียด" ตัวเราก็ย่อมน่ารังเกียจไปด้วย
    อาการที่สะท้อนความทรมานใจกับความคิดในหัวแต่ละครั้งอาจแตกต่างกันไป ถ้าอาการน้อยหน่อยก็อาจแค่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่กับตัวเอง แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็อาจทำท่าฟึดฟัดงุ่นง่าน จนคนอยู่ใกล้ต้องหันมาถามว่า "เป็นอะไร?" อย่างอดสงสัยไม่ได้
    ยิ่งหากคุณรู้สึกว่าความคิดที่เสียดแทงหัวหูอยู่นั้น เป็นเรื่องน่าอับอายเกินกว่าจะปรึกษาใคร เรียกว่าไม่กล้าเปิดเผยกันตลอดชีวิต ก็ยิ่งย้ำติดและคิดหนัก เช่น คำหยาบที่โยงเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือความคิดทางเพศกับญาติเชื้อ แม้คุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากอยู่ข้างเดียวกับความคิดพรรค์นั้น มันก็ยังคงวนเวียนเยี่ยมหน้ามาไม่เลิก ราวกับมีศัตรูตามราวีตนอยู่ในตัวเอง
    หลายคนต้องทรมานใจเป็นสิบๆปี เพียงเพราะไม่รู้ว่าจะเอาความคิดบัดสีบัดเถลิงหรือความคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากหัวของตัวเองได้อย่างไร บ้างก็หาทางออกด้วยการเข้าหมู่เข้าพวกกับคนถ่อยไปเลย จะได้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอด อันนี้นับเป็นทางออกที่มืดมนที่สุด และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าความคิดในหัวไม่ใช่แค่ลมแล้งเล็กน้อย ถ้าแกะไม่ออก ถอดไม่หมด ชีวิตก็อาจพลิกจากด้านสว่างเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
    ผมขอให้คุณๆมองอย่างนี้ครับว่า ยิ่งหาทางแก้ความคิดไม่ดี ก็ยิ่งตอกย้ำให้กลุ้มว่าเราคือเจ้าของความคิดไม่ดี อย่าไปทำอย่างนั้นเลย หาทางเป็นคนละข้างกับมันดีกว่า
    วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยาก และสามารถทำได้จริง คือ ในแต่ละครั้งที่ความคิดเลวร้ายมันผุดขึ้นในหัว ให้ดูว่ามันมาเอง เราไม่ได้เชิญ!
    ก็ถ้าเราไม่ได้พามันมา เราไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญมัน แล้วทำไมมันจะต้องเป็นความรับผิดชอบของเราด้วย?
    สิ่งใดเกิดขึ้นในหัวของเรา ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นตัวเราหรือของเราเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณไปเก็บตกคำด่าที่สาดกระจายเรี่ยราดตามเว็บบอร์ด แล้วเอามานั่งกลุ้ม เพราะคำนั้นดันติดแน่นฝังหัว ผุดขึ้นในหัวของคุณบ่อย ทั้งๆที่คุณไม่อยากให้มีคำนั้นขึ้นมาในโลก อย่างนี้ให้ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วคิดย้อนศรง่ายๆว่าคำหยาบเป็นวจีทุจริตของคนอื่น เป็นการจงใจสื่อสารที่ชั่วร้ายของคนอื่น มันไม่ใช่คำของคุณมาแต่แรก คุณไม่ได้ชั่วร้ายอย่างเขา แต่คุณ "เคราะห์ร้าย" ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปเกิดความเกลียดคำๆนั้นเข้า จิตเลยเกิดอาการยึดคำนั้นไว้เต็มเหนี่ยวด้วยพลังมืดของความเกลียด ดังกล่าวไว้แล้วแต่ต้น
    เมื่อยึดมากก็หวนกลับมาคิดมาก และยิ่งรู้สึกคล้ายเป็นเจ้าของความคิดเสียเองมากขึ้นทุกที การทึกทักหลงยึดว่าความคิดนั้นๆเป็นของคุณ เป็นตัวคุณนั่นแหละ ก่อความรู้สึกผิดขึ้นมา จนกระวนกระวายเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
    พอพิจารณาอย่างละเอียดเท่านี้ คุณจะเริ่มโล่งใจ สบายใจขึ้น อย่างน้อยก็มีแก่ใจจะรับมือกับความคิดเลวร้ายอย่างถูกต้อง นั่นคือ ไม่ไปให้ "อาหาร" หล่อเลี้ยงมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซ้ำซ้อน ทั้งในทางคล้อยตามมันไป และในทางต่อต้านปฏิเสธจะไม่ยอมให้มันมา
    ทำไมจึงไม่ควรต่อต้าน? อย่างที่ผมกล่าวแล้วว่ายิ่งเกลียดแปลว่ายิ่งยึด ส่วนการต่อต้านก็คือยิ่งตอกย้ำความเกลียดเข้าไปใหญ่ แล้วเมื่อไรใจจะเลิกยึดได้เล่า?
    ท่าทีที่ถูกต้องคืออย่างไร? ประการแรกคุณต้องยอมรับตามจริงโดยดุษณีว่าความคิดเลวร้ายมันเกิดขึ้นในหัวของคุณ และนอกจากจะเห็นมันมาเองโดยคุณไม่ได้เชิญแล้ว ยังต้องเห็นว่ามันไปเองได้โดยไม่ต้องขับไล่อีกด้วย ขอแค่ใจเย็น เฝ้าดู และไม่แคร์ว่าจะต้องดูกี่ร้อยกี่พันรอบก็ตาม
    พอคุณเฉยๆในอาการยอมรับว่ามันมาเองและไปเอง ขณะนั้นจิตของคุณจะประกอบด้วยสติ รับตามจริง รู้ตามจริง ไม่หลอกตัวเอง บ่อยครั้งเข้าในที่สุดจะได้ข้อสรุปเป็นความสบายใจอย่างมีสติรู้ ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่เห็นจะต้องไปให้ความร่วมมือหรือต่อต้านมันเลยแม้แต่นิดเดียว
    ผลพลอยได้ที่ตามมาคือคุณจะไม่ใช่พวกรักแรงเกินไป เกลียดแรงเกินไป คือรักได้และเกลียดได้นะครับ แต่ไม่เกินขีด ไม่แปรความรักและความเกลียดมาเป็นความยึดแน่นให้เป็นทุกข์เปล่า
    ดังตฤณ
    จากบทความ "ทำยังไงดี"
    นิตยสาร Miracle of Life ฉบับ เดือนพฤษภาคม ๕๓
     
  13. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
    เรื่องแบบนี้คงจะเคยเป็นกันทุกคน อยู่เฉย ๆ ก็แว่บคิดเรื่องที่มันไม่ดี ๆ มาซะอย่างนั้น ทั้งที่ใจหรือความคิดเราไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น

    วิธีแก้คงต้องใช้การกำหนดจิตบ่อย ๆ หรือสังเกตุเอาว่าพอคิดแล้วถ้ารู้ตัวก็ให้กลับมาสนใจที่ตนเองอย่าปล่อยไปตามจิตที่คิดไม่ดี

    ใช้การรู้ลมหายใจก็ได้ครับ รู้หายใจเข้า รู้หายใจออก จิตจะคงสมาธิได้ดีขึ้น ทำตอนนี้เลยก็ได้ครับ ไม่ต้องรอให้จิตคิดไม่ดีก่อนแล้วจึงทำ ทำไปเรื่อย ๆ แรก ๆ อาจจะยังไม่ชิน พอบ่อยเข้าเดี๋ยวจะง่ายขึ้น พอจิตได้ระดับดีแล้วความคิดแบบไม่ดี ๆ จะค่อย ๆ น้อยลงและเบาบางลงไปเอง

    สู้ ๆ
     
  14. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ทำยังไงดี - คิดไม่ดีอยู่เรื่อย"
    ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทรมานใจอยู่กับความคิดสกปรก ความทรงจำแย่ๆ หรือความลับน่าอับอายเกินกว่าจะให้ใครรู้ว่าเราก็คิดอย่างนี้ได้ ขอให้ทราบเถิดว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีคนอีกทั้งโลกเป็นเพื่อน ที่สำคัญว่าคิดบ้าๆอยู่คนเดียวก็เพราะไม่ได้เปิดอกนั่งจับเข่าคุยกันเท่านั้นแหละ ใครเล่าจะอยากขุดเอาความคิดเพี้ยนๆเลอะเทอะในหัวของตัวเองออกมาแฉให้คนอื่นร่วมรับทราบไปด้วย
    คลื่นความคิดที่กระทบใจแล้วรบกวนเราได้แรงๆนั้น ไม่จำเป็นต้องชั่วช้าสามานย์อะไรมาก แค่คำด่าบางคำที่ใครบางคนมาปล่อยเรี่ยราดตามเว็บบอร์ด โดยชี้นำให้คิดโยงคำด่านั้นไปหาคนที่คุณนับถือ ก็เพียงพอแล้วที่มันจะกลายเป็นอาถรรพณ์ ตามมาวนเวียนหลอกหลอนคุณ ยั่วยุให้คุณนึกถึงคำวิปริตนั้นวันละเป็นสิบเป็นร้อยรอบ คล้ายมีวิญญาณร้ายแฝงอยู่ในสมองของคุณก็ไม่ปาน
    ลองมาหาคำตอบกันดูครับ ความเข้าใจถึงที่มาที่ไป ตลอดจนอุบายต่อไปนี้ อาจช่วยคุณให้พ้นทุกข์จากความคิดชนิดบาดใจได้ในเวลาไม่นานนัก
    ความคิดไม่ดีมาอยู่ในหัวเราได้อย่างไร? และที่ร้ายกว่านั้น ทำไมมันถึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เราเกลียดความคิดแบบนั้นแทบดิ้นตาย?
    คำตอบคือใจเราเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เข้าไปติด เข้าไปข้อง หรือเข้าไปยึดมั่นสิ่งที่รักแรงหรือเกลียดแรงได้อย่างเหนียวแน่น และความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นนั้นเอง เป็นตัวการผลิตความคิดถึงสิ่งที่ยึดได้เรื่อยๆ
    ขอให้นึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง คุณเห็นเขาหรือเธอปรากฏตัวก็อยากถลาเข้าไปกอดรัดให้เต็มอ้อมทันที อาการอยากกอดรัดทางกายนั้นแหละ สะท้อนให้เห็นอาการยึดติดทางใจประมาณเดียวกัน
    ส่วนบุคคลอันเป็นที่ชิงชังยิ่งสำหรับคุณ เมื่อใดปรากฏตัว คุณจะอยากเบือนหน้าเดินหนี แต่เหมือนเขายังเป็นเงาติดตามคุณมาทุกฝีก้าวไม่ห่าง นั่นเพราะใจคุณไม่เคย "ทิ้ง" เขาเลย หรือถ้าคุณเกลียดจัด แทนที่จะอยากเดินหนี คุณอาจอยากถลาเข้าไปเขย่าคอ ชกหน้า ตบตี หรือทำร้ายร่างกายเขาเลยด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเครื่องแสดงอาการยึดของจิตอีกแบบ เกลียดกันแล้วก็ยึดว่าต้องทำลายล้าง ต้องทำให้เจ็บปวดในทางใดทางหนึ่ง ปล่อยให้ลอยนวลสบายๆไม่ได้
    เมื่อรักแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆย่อมเป็นสุขสดชื่น แต่หากเกลียดแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆ ย่อมเป็นทุกข์ อึดอัด ไม่สบายใจ กระวนกระวาย หรือกระทั่งพาลพาโลเกลียดตนเองไปด้วย ค่าที่รู้สึกว่าความคิดคือเรา เราคือความคิด เมื่อความคิด "น่าเกลียด" ตัวเราก็ย่อมน่ารังเกียจไปด้วย
    อาการที่สะท้อนความทรมานใจกับความคิดในหัวแต่ละครั้งอาจแตกต่างกันไป ถ้าอาการน้อยหน่อยก็อาจแค่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่กับตัวเอง แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็อาจทำท่าฟึดฟัดงุ่นง่าน จนคนอยู่ใกล้ต้องหันมาถามว่า "เป็นอะไร?" อย่างอดสงสัยไม่ได้
    ยิ่งหากคุณรู้สึกว่าความคิดที่เสียดแทงหัวหูอยู่นั้น เป็นเรื่องน่าอับอายเกินกว่าจะปรึกษาใคร เรียกว่าไม่กล้าเปิดเผยกันตลอดชีวิต ก็ยิ่งย้ำติดและคิดหนัก เช่น คำหยาบที่โยงเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือความคิดทางเพศกับญาติเชื้อ แม้คุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากอยู่ข้างเดียวกับความคิดพรรค์นั้น มันก็ยังคงวนเวียนเยี่ยมหน้ามาไม่เลิก ราวกับมีศัตรูตามราวีตนอยู่ในตัวเอง
    หลายคนต้องทรมานใจเป็นสิบๆปี เพียงเพราะไม่รู้ว่าจะเอาความคิดบัดสีบัดเถลิงหรือความคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกไปจากหัวของตัวเองได้อย่างไร บ้างก็หาทางออกด้วยการเข้าหมู่เข้าพวกกับคนถ่อยไปเลย จะได้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอด อันนี้นับเป็นทางออกที่มืดมนที่สุด และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าความคิดในหัวไม่ใช่แค่ลมแล้งเล็กน้อย ถ้าแกะไม่ออก ถอดไม่หมด ชีวิตก็อาจพลิกจากด้านสว่างเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
    ผมขอให้คุณๆมองอย่างนี้ครับว่า ยิ่งหาทางแก้ความคิดไม่ดี ก็ยิ่งตอกย้ำให้กลุ้มว่าเราคือเจ้าของความคิดไม่ดี อย่าไปทำอย่างนั้นเลย หาทางเป็นคนละข้างกับมันดีกว่า
    วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยาก และสามารถทำได้จริง คือ ในแต่ละครั้งที่ความคิดเลวร้ายมันผุดขึ้นในหัว ให้ดูว่ามันมาเอง เราไม่ได้เชิญ!
    ก็ถ้าเราไม่ได้พามันมา เราไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญมัน แล้วทำไมมันจะต้องเป็นความรับผิดชอบของเราด้วย?
    สิ่งใดเกิดขึ้นในหัวของเรา ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นตัวเราหรือของเราเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณไปเก็บตกคำด่าที่สาดกระจายเรี่ยราดตามเว็บบอร์ด แล้วเอามานั่งกลุ้ม เพราะคำนั้นดันติดแน่นฝังหัว ผุดขึ้นในหัวของคุณบ่อย ทั้งๆที่คุณไม่อยากให้มีคำนั้นขึ้นมาในโลก อย่างนี้ให้ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วคิดย้อนศรง่ายๆว่าคำหยาบเป็นวจีทุจริตของคนอื่น เป็นการจงใจสื่อสารที่ชั่วร้ายของคนอื่น มันไม่ใช่คำของคุณมาแต่แรก คุณไม่ได้ชั่วร้ายอย่างเขา แต่คุณ "เคราะห์ร้าย" ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปเกิดความเกลียดคำๆนั้นเข้า จิตเลยเกิดอาการยึดคำนั้นไว้เต็มเหนี่ยวด้วยพลังมืดของความเกลียด ดังกล่าวไว้แล้วแต่ต้น
    เมื่อยึดมากก็หวนกลับมาคิดมาก และยิ่งรู้สึกคล้ายเป็นเจ้าของความคิดเสียเองมากขึ้นทุกที การทึกทักหลงยึดว่าความคิดนั้นๆเป็นของคุณ เป็นตัวคุณนั่นแหละ ก่อความรู้สึกผิดขึ้นมา จนกระวนกระวายเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
    พอพิจารณาอย่างละเอียดเท่านี้ คุณจะเริ่มโล่งใจ สบายใจขึ้น อย่างน้อยก็มีแก่ใจจะรับมือกับความคิดเลวร้ายอย่างถูกต้อง นั่นคือ ไม่ไปให้ "อาหาร" หล่อเลี้ยงมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซ้ำซ้อน ทั้งในทางคล้อยตามมันไป และในทางต่อต้านปฏิเสธจะไม่ยอมให้มันมา
    ทำไมจึงไม่ควรต่อต้าน? อย่างที่ผมกล่าวแล้วว่ายิ่งเกลียดแปลว่ายิ่งยึด ส่วนการต่อต้านก็คือยิ่งตอกย้ำความเกลียดเข้าไปใหญ่ แล้วเมื่อไรใจจะเลิกยึดได้เล่า?
    ท่าทีที่ถูกต้องคืออย่างไร? ประการแรกคุณต้องยอมรับตามจริงโดยดุษณีว่าความคิดเลวร้ายมันเกิดขึ้นในหัวของคุณ และนอกจากจะเห็นมันมาเองโดยคุณไม่ได้เชิญแล้ว ยังต้องเห็นว่ามันไปเองได้โดยไม่ต้องขับไล่อีกด้วย ขอแค่ใจเย็น เฝ้าดู และไม่แคร์ว่าจะต้องดูกี่ร้อยกี่พันรอบก็ตาม
    พอคุณเฉยๆในอาการยอมรับว่ามันมาเองและไปเอง ขณะนั้นจิตของคุณจะประกอบด้วยสติ รับตามจริง รู้ตามจริง ไม่หลอกตัวเอง บ่อยครั้งเข้าในที่สุดจะได้ข้อสรุปเป็นความสบายใจอย่างมีสติรู้ ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่เห็นจะต้องไปให้ความร่วมมือหรือต่อต้านมันเลยแม้แต่นิดเดียว
    ผลพลอยได้ที่ตามมาคือคุณจะไม่ใช่พวกรักแรงเกินไป เกลียดแรงเกินไป คือรักได้และเกลียดได้นะครับ แต่ไม่เกินขีด ไม่แปรความรักและความเกลียดมาเป็นความยึดแน่นให้เป็นทุกข์เปล่า
    ดังตฤณ
    จากบทความ "ทำยังไงดี"
    นิตยสาร Miracle of Life ฉบับ เดือนพฤษภาคม ๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2010
  15. potaetae

    potaetae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอขอบคุณทุกท่านเลยนะครับ

    ขอส่วนบุญในครั้งนี้ จงถึงแก่เทวดารักษาตัวของทุกท่านที่ร่วมหาทาง และ ชี้ทางสว่างให้ตัวกระผม

    ถ้าเทวดารักษาตัวของท่านได้ส่วนบุญส่วนกุศลแล้วจงคุ้มครองรักษาทุกท่านให้มีความคิดดี ทำดี ดำเนินไปสู่ทางที่ดีๆ นะครับ ไม่มีอารมณ์เครียด มีความสุข มีสุขภาพ กาย ใจ และทุกๆด้าน ที่ดีทุกคนนะครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  16. sinyorrae

    sinyorrae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +424
    จิตไม่แน่นอนอยู่แล้ว
     
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    วันนี้เป็นวันดี ก็ขอขยายความเพิ่มเติมแล้วกัน

    มีผู้รู้สอนผมว่า ถ้าตอนที่เราประสบกับปัญหาเรื่องทุกข์ใจ แล้วใจของเราไปจดจ่อกับความทุกข์นั้น ก็เหมือนกับเรากำลังฆ่าตัวเราเอง มันจะทำให้เราสับสน หมดพลังลงไปเรื่อยๆ อุปมาเหมือนกับใจของเราเป็นบ้าน การที่เราไปจมอยู่กับความทุกข์ ก็เท่ากับเราปิดประตูบ้านนั้น ใครก็เข้าไปช่วยเราได้ยาก แต่ถ้าเราทำใจให้สงบ เราก็จะเกิดปัญญา หรือหากจะมีสิ่งใดมาช่วยเหลือเรา ก็จะช่วยได้ง่าย เพราะฉะนั้น จงอย่าไปจดจ่อกับมัน อย่าไปเพ่งมองมันมาก ลืมๆมันไปเสีย

    ลองสังเกตตอนที่เรานอนหลับ ถ้าคืนไหนเรามีเรื่องคิด ยิ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังทุกข์ใจ เราก็จะนอนไม่หลับ กว่าจะหลับก็ดึกดื่น เพราะใจมันไม่นิ่ง ใจมันสับสน ใจมันหมุนติ้วๆๆ ทั้งที่เราเอนกายลงบนเตียงนอนแล้ว กายหลับแต่ใจไม่หลับ แต่ครั้นตอนที่เราจะหลับ มันเหมือนกับการตัดสวิทซ์ไปเลย เราจำไม่ได้ว่ามันหลับตอนไหน แต่น่าจะเป็นตอนที่เราไม่คิดอะไรเลย เป็นตอนที่ใจของเราว่าง เป็นตอนที่ใจของเราผ่อนคลายมากที่สุด กายก็เลยหลับ ประสาทสัมผัสก็เลยคลายตัวลง นั่นแหละนึกถึงสภาพที่เรากำลังใกล้หลับ ทำใจให้สบายๆ เหมือนกับตอนจะหลับ

    ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นหลักของเรื่อง "การปล่อยวาง" แต่เป็นการปล่อยวางอารมณ์ เป็นการปล่อยวางในขั้นต้น ถ้าเป็นการปล่อยวางขั้นสูงสุด ก็จะเป็นการตัดภพตัดชาติ เป็นการปล่อยวางจากการยึดมั่นในตัวตน ยึดมั่นในภพในชาติ เมื่อทำได้ถึงขนาดนั้น พระนิพพานก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

    การปฏิบัติธรรมต่างๆ จุดสูงสุดก็คือ สอนให้ผู้ปฏิบัติยอมรับในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทำให้จิตคลายตัว เกิดการปล่อยวาง เช่น การพิจารณาอสุภกรรมฐาน ก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการพิจารณาว่าเนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้มอยู่นั้น ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จิตก็เกิดการคลายตัวจากกำหนัด จิตเกิดการปล่อยวาง นั่นแหละเป็นตัวอย่างที่ขอยกมาอธิบาย

    เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า ต้องพยายามปล่อยวาง การปล่อยวางเบื้องต้น ก้ต้องปล่อยวางอารมณ์ของตัวเราเองก่อน ทำไปเรื่อยๆ สักวันเราก็สามารถปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในภพชาติได้

    คุณจะประยุกต์วิธีการติดตามลมหายใจ ติดตามความคิด ติดตามการเคลื่อนไหวของร่างกายมาใช้ก็ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อไม่ให้จิตของคุณไปเฝ้ามองความคิดหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เป็นสาระ ด้วยการที่หาอุบายมาดึงดูดความสนใจของคุณให้หันมาสนใจในลมหายใจ การเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือติดตามความคิดให้ทัน คือรู้แล้วก็หยุด

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้คุณปล่อยวางจากอารมณ์ของคุณนั่นเอง เพราะฉะนั้นการเข้าใจตรงนี้และสามารถปฏิบัติได้ อย่าว่าแต่การปล่อยวางอารมณ์เลย แม้กระทั่งเมื่อคุณเจอกับปัญหาของชีวิต คุณก็สามารถปล่อยวางได้ แต่เป็นการปล่อยวางอย่างมีสติ ปล่อยวางและก็พยายามแก้ไขปัญหานั้นด้วย

    อย่าลืมนะครับ อย่าไปจดจ่อกับมัน มีอะไรทำก็ทำไป จงทำใจให้ราบเรียบ ให้สงบ ให้เย็น ก็จะเกิดพลังขึ้นในใจของคุณเอง

    สุดท้ายอยากจะบอกว่า การปล่อยวาง จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ..... ใครทำ คนนั้นได้

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  18. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    มาอ่านกระทู้นี้เเล้วนําไปปฏิบัติได้เลยครับ จขกท อ่านให้หมดในกระทู้นะครับ อย่าลืมนะครับ เจริญในธรรมครับ

    กระทู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรามาส ผมรวบรวมมาให้หมดเเล้วในกระทู้นี้

    http://palungjit.org/threads/กระทู้...ามาส-ผมรวบรวมมาให้หมดเเล้วในกระทู้นี้.225534/

    เเละมาฟังอันนี้ด้วยจ้า

    อุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติ คือการปรามาส

    อุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติ คือการปรามาส - Buddhism Audio

    ปล ถ้าในกรณีปรามาสพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยจิตมารคิดให้เอง อันนี้เราต้องนึกภาพเรากราบพระพุทธรูปครับเเล้วขอขมา ขอโทษท่านครับ เเต่อย่าไปรู้สึกผิดกับเขาครับ มารเขาคิดให้เราครับ เเต่ยังไงก็หมั่นขอขมาทุกครั้งที่คิดครับ ก่อนนอนท่องบทขอขมาพระรัตนตรัยด้วยจะดีมากครับ ลองหาบทขอขมาพระรัตนตรัยดูนะครับ search ใน google มีเเน่นอนครับ อนุโมทนาครับ


    [.10/B]
     
  19. mukamon

    mukamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +596
    การทำดีถึงที่สุดนั้นต้องทำให้บริสุทธิ์ทั้งทางกาย วาจาและใจ มิใช่ทำเพื่อสนองความอยากหรือกิเลสของเรา หรือทำเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเสียทีเดียว ถ้าทำได้อย่างบริสุทธิ์จึงจะมีความคิดที่ดี พูดก็ดี และก็จะทำความดีได้จริง อกุศลจิตหรืออกุศลวิบากนั้น มันเกิดจากกรรมทางใจเป็นเหตุหลัก และกรรมทางใจนี่แหละมันร้ายนัก มันตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตของเราข้ามภพข้ามชาติเลยละ มันเหมือนเราไม่เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อมีเหตุและปัจจัย (กรรมเก่าที่เป็นทุนเดิม ทั้งบุญและบาป ) มากระทบ อกุศลวิบากตัวนี้จะออกฤทธิ์ทันที ถ้าระงับยัยยั้งไม่ได้ ไม่มีสติ ไม่ใช้ปัญญาเข้าดับพิจารณาก็ย่อมเกิดกรรมใหม่ทับซ้อนขึ้นอีก เรามาตามกรรมทุกคน วิธีแก้หรือละวางจุดพร่องนี้พี่ขอแนะนำด้วยการใช้ภาษาง่ายๆให้เข้าใจนะคะ
    1. ฝึกดูกายดูจิตของเราให้มากๆด้วยการฝึกนั่งสมาธินะคะ ศึกษาวิธีการนั่งสมาธิแล้วลองปฏิบัติ สมาธิช่วยให้เรารู้จักตัวเรามากขึ้น รู้จักจิต ภาวะของจิต ทางธรรมเรียกว่า จิตตานุปัสสนา เมื่อรู้เห็นสภาวะจิตให้ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ภาวะจิตนี้เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นโทษเป็นภัยต่อตัวเราและผู้อื่นไหม ถ้าเรารู้เท่าทันจิตเรา เราก็ไม่อยากไปมองผู้อื่น จับผิด คิดมิดีต่อผู้อื่น
    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเราว่า จงมองดูตัวเองก่อนมองผู้อื่น
    2. ร่วมทำกิจกรรมทั้งทางโลกทางธรรมกับผู้อื่นบ้างเท่าที่จะทำได้ โดยใช้หลักพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา การทำงานเป็นหมู่คณะเป็นทีมอย่างตั้งใจ เต็มใจ จะทำให้เราเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุย์ เพื่อนสัตว์ด้วยกันเห็นความแตกต่าง หลากหลายที่ทุกคนสะสมกันมาแต่อดีตชาติ ทั้งความสามารถที่เรียกกันว่า พรสวรรค์และพรแสวง อีกทั้งความเป็นอัจฉริยะ พร้อมกับได้เห็นความพร่องที่ไม่เป็นเสน่ห์ในหมู่คณะ จะทำให้เราเกิดปัญญาว่านี่เป็นสัจธรรมแท้ๆ จึงควรมองในส่วนดีที่เขามีอยู่เพื่อความสงบสุขแห่งเราและมวลมนุษยชาติ
    3. การอนุโมทนาบุญและปรารถนาดีต่อการทำความดีของผู้อื่นนั้นมีอานิสงส์มาก ผู้มีอตีตังคญาณย่อมรู้ถึง จริตนิสสัยที่เป็นสัญญาเก่าของตนเอง ว่า การไม่เห็นดีเห็นงาม การไม่มีอนุโมทนา การกีดกันหมั่นไส้ อิจษาต่อเพื่อนสัตว์ การไม่อำนวยสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำดีได้ง่ายๆ เป็นอกุศลวิบากที่ยากยิ่งและติดเป็นกมลสันดาลข้ามภพเทียวละ
    4. ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิด
    ที่เราเคยคิดมิดี หมิ่นแคลน ลบหลู่ จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม มันมีผลเป็นวิบากทั้งสิ้น หนักเบาตามกำลัง และขึ้นอยู่กับบุคคลที่เรากระทำต่อด้วย ถ้าเป็นอริยสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า พ่อแม่ ถือว่าเป็นกรรมที่หนักมาก ทำได้กรรมลดลง ทำไม่ได้กรรมติดไปในภพต่อไปอยู่เรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด
    5. แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชา เพื่อนสัตว์ทั้งหลาย ผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งในโลกภูมิ และนรกภูมิ...อยู่เสมอจนเป็นนิสสัยของผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะเป็น เมตตาบารมี แก่ตัวเรา

    แก้อะไรก็แก้ได้ด้วยใจของเรา หลวงตามหาบัวสอนเราว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่
     
  20. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....ธรรมดา...

    ...ตั้งใจไว้...พลาดไป รู้ได้...ก็เอาใหม่...
     

แชร์หน้านี้

Loading...