รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    โอ... กระจ่างครับ อนุโมทนาสำหรับความรู้ครับ

    เข้าใจผิดมาตลอด ว่าต้องบวชถึงจะไปนิพพานได้

    ได้ฟังข้อธรรมของหลวงพ่อ ก็ว่าท่านบอกให้ไปนิพพาน จะไปง่ายที่ไหนล่ะ

    ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง . .อันนี้หมายถึงจิตก่อนตายใช่ไม๊คับ แต่ถ้าใช้ชีวิตปกติ

    ก็ต้องบวชเท่านั้น ในกรณีของพระอรหันต์


    ปล. เปลี่ยนรูปแทนตัวแล้วนะครับ อิอิ


    ------------------------------------------------------
    " ปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ วันหนึ่งทองก็จะล้นมาข้างหน้าเอง "
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ noolegza ครับ

    โอ... กระจ่างครับ อนุโมทนาสำหรับความรู้ครับ

    เข้าใจผิดมาตลอด ว่าต้องบวชถึงจะไปนิพพานได้

    ได้ฟังข้อธรรมของหลวงพ่อ ก็ว่าท่านบอกให้ไปนิพพาน จะไปง่ายที่ไหนล่ะ

    ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง . .อันนี้หมายถึงจิตก่อนตายใช่ไม๊คับ แต่ถ้าใช้ชีวิตปกติ

    ก็ต้องบวชเท่านั้น ในกรณีของพระอรหันต์


    ปล. เปลี่ยนรูปแทนตัวแล้วนะครับ อิอิ


    ใช่ครับ ถ้าจะเป็นพระอรหันต์และมีชีวิตอยู่ได้ ต้องบวชเท่านั้นครับ
    ถ้าไม่บวชจะตายภายในวันที่บรรลุ
    เหตุเพราะ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วไม่บวชได้

    สมมุติไปทำงานเจอเพื่อน เขาเกิดชวนไปผิดศีลขึ้นมา
    ชวนพระอรหันต์ไปผิดศีล บาปขนาดไหน
    จึงเป็นกฏของธรรมชาติ ที่จะไม่ให้พระอรหันต์ท่าน อยู่ในเพศของฆราวาสครับ
    เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเขาลงนรกโดยใช่เหตุ

    สำหรับเราคนปรกติก็ตั้งใจว่า
    อย่างน้อยอารมณ์พระโสดาบันเอาให้ได้ ทรงให้ได้เป็นปรกติ จะเป็นไม่เป็น ไม่สน
    ทำอารมณ์ ให้คล้ายก็พอ
    แล้วไปรอตัดเป็นพระอรหันต์เอาตอนตายครับ
    ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านไปกันด้วยวิธีนี้เยอะครับ
    เรื่องเผาแล้ว อัฐิเป็นพระธาตุจึงคาดว่ามีอยู่หลายท่านครับ
    ต้องลองไปอ่านที่หลวงพ่อท่านเทศน์ครับ จะพอมีอยู่บ้าง ที่ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์ตอนวันตาย
     
  3. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อยากถามเป็นข้อๆครับ

    1. ถ้าไม่กำหนดคำภาวนา กับแบบกำหนดคำภาวนาแบบไหนจะสงบเร็วกว่ากันครับ คือส่วนมากเค้าจะให้มีคำภาวนากันในตอนต้น แต่ผมเวลามีคำภาวนาจะรู้สึกว่าฟุ้งซ่านมากกว่าแบบที่เราไม่ท่อง คือผมรู้สึกว่าจับสองอย่างทั้งลมหายใจทั้งคำภาวนา มันยากมันพะวงเลยจับแต่ลมหายใจอย่างเดียวเลย
    แบบนี้ผิดปกติมั้ยครับ เพราะว่าเราทิ้งคำภาวนาไปซะเลย ทั้งที่ส่วนใหญ่จะบอกว่าการท่องคำภาวนาจะช่วยให้เราเป็นสมาธิเร็ว ผมก็กังวลว่าเราจะไปปีนเกลียวอาจารย์เข้าครับ อยากขอคำแนะนำครับ

    2. พอทำไปจุดหนึ่งแล้ว คือผมจะเอาสติไปจับที่ปลายจมูกดูลมหายใจตัวเอง แต่บางครั้งพอถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่า ความมืดในตามันเหมือนแกว่งๆ หมุนบ้าง บางทีเขย่าอย่างแรงแต่ก็พยายามจะเอาสติไปสนใจกับลมหายใจให้มากที่สุด ไม่ใส่ใจตรงนั้น แบบนี้มันเกิดจากอะไรครับ และถือว่าผิดปกติมั้ยครับ บางครั้งมันแกว่งมากจนผมไม่สามารถคุมสติไว้กับลมหายใจได้เลยครับ เลยต้องเหมือนเพ่งลมหายใจมากเป็นพิเศษ จนปวดหัวบ้าง ปวดตาบ้าง ก็เลยลืมตาขึ้นมาใหม่ และก็นั่งดูลมหายใจใหม่ เป็นแบบนี้บ่อยครับ ต้องทำอย่างไรดีครับ
     
  4. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ข้อ1นะครับ สำหรับผมเองซึ่งไม่ได้กำหนดภาวนา แต่ตอนต้นๆยังหัดฝึกสมาธิผมก็ภาวนา คำภาวนาส่วนใหญ่จะภาวนาตอนลมหายใจเข้าออก
    อย่างเช่น พุท-เข้า โท-ออก หรือยุบหนอพองหนอ นะมะภะธะ
    คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจในรายละเอียดนี้มากเกินไปจะทำให้คุณกังวลเสียเปล่า
    ข้อที่2 เท่าที่ผมอ่านแล้วคิดว่าเกิดจากอาการที่เพ่งสมาธิมากเกินไป ให้ลองผ่อนคลายดู

    ถ้าให้ดีผมว่าลองไปฟังไฟล์เสียงของพี่ชัดสิครับช่วยได้เยอะ


    สำหรับที่พี่ชัดบอกมาผมได้ทำไปแล้วนะครับ
    กรรมใดที่ใครได้ก่อกับผมไว้ผมอโหสิกรรมหมดแล้วครับ ขอให้ทุกท่านไม่ว่าผมจะเคยก่อกรรมไว้ด้วยก็ดี ไม่เคยก่อกรรมไว้ด้วยก็ดี ได้มีจิตใจมุ่งมั่นในการทำความดี และก้าวสู่นิพพานกันทุกคนนะครับ
     
  5. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    [​IMG]


    พรหมวิหารบัวบาน
     
  6. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    ขอบคุณสำหรับคำตอบในเบื้องต้นครับ จะนำไปปฏิบัติ ถ้าติดขัดประการใดจะเข้ามาสอบถามใหม่ครับ
    (smile)(smile)
     
  7. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    สวัสดีครับ อาจารย์ชัด จริงๆ แล้วผมมีโครงการอบรมที่ผมจะต้องเข้า กทม.6 เดือน แต่ถูกเลื่อนไป ผมจึงยังไม่ได้ไปฝึกที่สวนลุมกับท่าน แต่ตอนนี้มีโครงการใหม่ที่ต้องไปอบรม 21-25 มิถุนายน 53 ผมไม่ทราบว่าอาจารย์จะสอนสมาธิวันที่ 27 มิถุนายน53 หรือเปล่าครับ ผมอนุโมทนาที่ท่านอาจารย์ชัดได้ตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติให้กับทุกท่านครับ ผมฝึกอานาปานสติกรรมฐานทุกวัน วันละ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง รู้สึกเหมือนเดิม ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป สงบนิ่ง ดิ่ง อย่างนั้น สามาธิถอย ก็พิจารณาพระไตรลักษณ์ รู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าอี่กเลย อ๋อเวลาวิทยากรมาบรรยายให้เราฟัง พอเราตั้งใจฟังมาก ๆ สมาธิจะรวมตัวจะทำให้เรารู้สึกว่าอารมณ์นั้น คล้าย ๆกับอารมณ์ตอนที่เราใกล้จะเข้าฌานเลนครับ ขอบพระคุณครับ
     
  8. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    การทดสอบของพุทธภูมิและสาวกภูมิ

    ขอบคุณครับที่ได้กรุณาแนะนำวิธีขจัดข้อสงสัยในเรื่องของอุปทานกับอารมณ์นิพพาน เดี๋ยวผมขอลองไปปฏิบัติทบทวนดูก่อน ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำหรือไม่

    เห็นเจ้าของกระทู้อธิบายถึงเรื่องของพุทธภูมิและสาวกภูมิในหัวข้อก่อนๆ

    ตอนนี้จึงมีข้อสงสัยอยากจะขอเรียนถามสั้นๆก่อนว่า เคยได้ยินมาว่าพวกพุทธภูมิและสาวกภูมินี้จะต้องมีการถูกทดสอบในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าพวกพุทธภูมินี่จะถูกทดสอบหนักหนาสาหัสกว่าพวกสาวกภูมิมาก จึงมีข้อสงสัยดังนี้

    1.ท่านที่มาทดสอบกับพวกพุทธภูมิและสาวกภูมินี่ ท่านไม่กลัวบาป กรรมกันบ้างหรือครับ ที่มารบกวนเวลาของผู้ปฏิบัติเพื่อความดี หรือว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องทำอย่างนี้ (ว่างๆ ผมก็กะว่าจะถามท่านที่มาทดสอบตรงๆ เหมือนกันล่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะถาม เพราะกำลังเปิดศึกกันอยู่)

    2.แล้วอย่างผมนี่ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ากับพวกไหน พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ที่ปฏิบัติอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดเสริมสร้างความดีให้กับตัวเอง (อีกเล็กน้อยของความคิดก็คือฝักใฝ่ในเชิงอภิญญาอยู่ด้วย เชิงโลกีย์ล้วนๆเลยครับ) แล้วเหตุไฉนถึงโดนรบกวน ทดสอบกันอยู่เรื่อยๆเลย ที่มาสั่งสอน แนะนำ ผมก็ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ที่มาทดสอบกันนี่ บางทีก็รำคาญน่าดู ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาความรำคาญได้บ้าง โดยเฉพาะพวกมารทั้งหลาย

    ขอขอบคุณในคำแนะนำล่วงหน้าครับ
     
  9. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    เท่าที่ผมทราบนะครับ คุณNICKAZ การทดสอบความเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมินั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเช่น อาจจะเป็นกรรมเก่า ที่ทำให้เขามาทดสอบเรา หรืออาจจะเป็น ขั้นตอนของเขาในการเข้าสู่ธรรมะ อ่ะครับ
     
  10. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    มารายงานการปฏิบัติซักเล็กน้อย หลังจากที่ได้คำแนะนำไปก็ดีขึ้นครับ

    เมื่อคืนรู้สึกว่าอยู่ๆมันก็ประมาณว่า พูดยังไงดี คือผมเพิ่งฝึกใหม่อะครับก็เลยเอาที่ปิดตามาปิด มีที่อุดหูด้วยนะ 555 ปกติมันจะรู้สึกว่ามีอะไรปิดตา มีอะไรอุดหูอยู่ แต่เมื่อวานนั่งไปถึงจุดหนึ่ง ลมหายใจยังอยู่ แต่ไม่รู้สึกถึงว่าผ้าปิดตามันอยู่ รวมทั้งที่อุดหูด้วย แต่ลมหายใจมันชัดเจนดี สมาธิมันรู้สึกดิ่งลงดีมาก มันไม่ได้ค่อยๆลงดิครับ อยู่ๆมันเหมือนเปิดสวิตท์ปุบปับไอเราก็ไม่เคยเจอมาก่อนตั้งตัวไม่ทันสิครับ ที่นี้ความคิดอารมณ์ทั้งหลายประดังมาเลย ความคิดคือชอบแบบนี้ให้นั่งซักชาติยังไหว อีกอารมณ์หนึ่งจะเรียกว่าตกใจปนดีใจนิดๆก็ได้ ใจเต้นรัวเลย เท่านั้นหละคับรู้ตัวเลยว่าแบบนี้เราคุมไม่อยู่แน่ ก็เลยปล่อยมันเลย ลงก็ลง จะอยู่ก็อยู่ ไม่ดึงมันไม่ต้องการมัน

    ขณะนั้นเอง ก็มีมารมาผจญ..... มือถือดังครับ เพื่อนโทรมา ...ปิดเทอมจะร่วมสามเดือนไม่เคยโทรมา วันนี้โทรมาได้ เวลานี้อีก ...
    ไอเรากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ก็เลยคิดในใจเลิกก็เลิก...ไปรับโทรสับ...จบครับ

    เวลานี้ก็คงจะค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบ หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆก่อนครับ ติดขัดอีกก็จะมาอีกครับ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2010
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ nutt_nst ครับ

    อยากถามเป็นข้อๆครับ

    1. ถ้าไม่กำหนดคำภาวนา กับแบบกำหนดคำภาวนาแบบไหนจะสงบเร็วกว่ากันครับ คือส่วนมากเค้าจะให้มีคำภาวนากันในตอนต้น แต่ผมเวลามีคำภาวนาจะรู้สึกว่าฟุ้งซ่านมากกว่าแบบที่เราไม่ท่อง คือผมรู้สึกว่าจับสองอย่างทั้งลมหายใจทั้งคำภาวนา มันยากมันพะวงเลยจับแต่ลมหายใจอย่างเดียวเลย
    แบบนี้ผิดปกติมั้ยครับ เพราะว่าเราทิ้งคำภาวนาไปซะเลย ทั้งที่ส่วนใหญ่จะบอกว่าการท่องคำภาวนาจะช่วยให้เราเป็นสมาธิเร็ว ผมก็กังวลว่าเราจะไปปีนเกลียวอาจารย์เข้าครับ อยากขอคำแนะนำครับ

    2. พอทำไปจุดหนึ่งแล้ว คือผมจะเอาสติไปจับที่ปลายจมูกดูลมหายใจตัวเอง แต่บางครั้งพอถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่า ความมืดในตามันเหมือนแกว่งๆ หมุนบ้าง บางทีเขย่าอย่างแรงแต่ก็พยายามจะเอาสติไปสนใจกับลมหายใจให้มากที่สุด ไม่ใส่ใจตรงนั้น แบบนี้มันเกิดจากอะไรครับ และถือว่าผิดปกติมั้ยครับ บางครั้งมันแกว่งมากจนผมไม่สามารถคุมสติไว้กับลมหายใจได้เลยครับ เลยต้องเหมือนเพ่งลมหายใจมากเป็นพิเศษ จนปวดหัวบ้าง ปวดตาบ้าง ก็เลยลืมตาขึ้นมาใหม่ และก็นั่งดูลมหายใจใหม่ เป็นแบบนี้บ่อยครับ ต้องทำอย่างไรดีครับ<!-- google_ad_section_end -->
    __________________

    มารายงานการปฏิบัติซักเล็กน้อย หลังจากที่ได้คำแนะนำไปก็ดีขึ้นครับ

    เมื่อคืนรู้สึกว่าอยู่ๆมันก็ประมาณว่า พูดยังไงดี คือผมเพิ่งฝึกใหม่อะครับก็เลยเอาที่ปิดตามาปิด มีที่อุดหูด้วยนะ 555 ปกติมันจะรู้สึกว่ามีอะไรปิดตา มีอะไรอุดหูอยู่ แต่เมื่อวานนั่งไปถึงจุดหนึ่ง ลมหายใจยังอยู่ แต่ไม่รู้สึกถึงว่าผ้าปิดตามันอยู่ รวมทั้งที่อุดหูด้วย แต่ลมหายใจมันชัดเจนดี สมาธิมันรู้สึกดิ่งลงดีมาก มันไม่ได้ค่อยๆลงดิครับ อยู่ๆมันเหมือนเปิดสวิตท์ปุบปับไอเราก็ไม่เคยเจอมาก่อนตั้งตัวไม่ทันสิครับ ที่นี้ความคิดอารมณ์ทั้งหลายประดังมาเลย ความคิดคือชอบแบบนี้ให้นั่งซักชาติยังไหว อีกอารมณ์หนึ่งจะเรียกว่าตกใจปนดีใจนิดๆก็ได้ ใจเต้นรัวเลย เท่านั้นหละคับรู้ตัวเลยว่าแบบนี้เราคุมไม่อยู่แน่ ก็เลยปล่อยมันเลย ลงก็ลง จะอยู่ก็อยู่ ไม่ดึงมันไม่ต้องการมัน

    ขณะนั้นเอง ก็มีมารมาผจญ..... มือถือดังครับ เพื่อนโทรมา ...ปิดเทอมจะร่วมสามเดือนไม่เคยโทรมา วันนี้โทรมาได้ เวลานี้อีก ...
    ไอเรากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ก็เลยคิดในใจเลิกก็เลิก...ไปรับโทรสับ...จบครับ

    เวลานี้ก็คงจะค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบ หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆก่อนครับ ติดขัดอีกก็จะมาอีกครับ ^^

    ให้เน้นจับลมหายใจอย่างเดียวไปเลยครับ

    โดยอาจจะภาวนาซักสองสามครั้ง เพื่อเป็นการขอบารมีพระท่านก่อน

    เดี้ยวให้เราปรับอารมณ์เวลาฝึกสมาธินิดนึงนะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    เนื่องจากเป็นคนที่จิตค่อนข้างจะเร็ว

    เวลาทำสมาธินั้น อารมณ์ที่เราใช้ เป็นอารมณ์ที่ผ่อนคลาย เบาสบาย นุ่มนวล ชุ่มเย็น มีความอ่อนโยน
    อย่าให้เราตื่นเต้น ดีใจ มีอาการปีติมากไป เพราะจะทำให้จิตไม่สงบ

    อุปมาเหมือนลิงได้แก้ว แล้วก็วิ่งเล่น กระโดด โลดเต้น ด้วยความดีใจ

    ให้เราทำจิตว่า เมื่อเราได้แก้วแล้ว เราก็ค่อยๆมามองดู ในความสวยงาม เป็นเพชร ระยิบระยับของแก้ว

    อย่าให้จิตโลดโผน จนไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากอารมณ์ของสมาธิ

    ทั้งนี้สมาธิ อย่าได้ทำด้วยความเคร่งเครียดจนเกินไปเช่นกัน
    อย่าไปเร่ง ไปบีบคั้น จิต

    อารมณ์ที่เราต้องการจากการทำสมาธินั้น คือ อารมณ์สบาย
    ใจที่มีความเบาสบาย ผ่อนคลาย ได้หยุดพัก หยุดจากความคิด
    ไม่ใช่การแสวงหาการผจญภัยอันโลดโผนทางจิตใจ

    ดังนั้นเราภาวนา เพื่ออารมณ์สบาย เพื่อให้เข้าถึงีท่สภาวะจิตที่สบาย
    ตั้งเป้าเอาไว้เท่านี้ก่อนในเบื้องต้น

    มันจะเกิดปีติ มันจะดิ่ง มันจะวูบวาบ จะเกิดปีติอะไรก็ตาม
    ไม่ต้องสนใจ
    เน้นให้ใจสบายเป็นสำคัญ ถ้าใจสบายได้ จิตก็จะเป็นสมาธิได้
    ใจสบายนานเท่าไหร่ จิตก็เป็นสมาธิ นานเท่านั้น

    ทีนี้เราจะเข้าถึงซึ่งสภาวะของความสบาย อันเกิดจากสมาธิได้

    ของเราให้ใช้การจับลมหายใจอย่างเดียวไปเลยครับ

    จับลมสบาย

    ใช้อารมณ์จิตที่มีความเบาสบาย ผ่อนคลาย พักจากความคิด
    มาจับลมหายใจที่มีความเบาสบาย ไหลลื่น ต่อเนื่อง
    พริ้วเข้า พริ้วออกจากร่างกาย ประดุจเส้นแพรวไหม
    ต้องสัมผัสให้ถึงกระแสของความอ่อนโยน นุ่มนวล ชุ่มเย็นของลมหายใจ

    ถ้ายังไม่รู้สึกถึงความนุ่มนวลของลมหายใจ แปลว่าจิตเรายังกระด้างเกินไป
    ต้องผ่อนคลายใจให้สบายกว่านี้ และจะสัมผัสความนุ่มนวลของลมหายใจได้

    เน้นให้จิต สัมผัสลมหายใจที่บริเวณหัวลมซึ่งไหลเข้าตั้งแต่จมูก ผ่านลำคอ ผ่านอก ลงมาจนถึงท้อง
    ใช้จิตจับตลอดการพัดผ่านของลมหายใจ ทั้งเข้าและออก

    พอทำไปเรื่อยๆ จะรู้สึกถึงความลื่นไหล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของลมหายใจกับจิตของเรา

    จิตก็รู้สึกเบา สบาย ชุ่มเย็น
    เราก็ประคองจิตในอารมณ์ ที่เบา ที่สบาย ที่ชุ่มเย็นนี้เอาไว้
    ยิ่งจับลม จิตก็ยิ่งสบาย ยิ่งผ่อนคลาย ยิ่งช้าลง ยิ่งหยุดลง

    พอใจสบายๆมากเข้าๆ ผ่อนคลายมากเข้าๆ

    ลมหายใจก็จะช้าลง เบาลง จนกระทั่งดับไป จนกระทั่งไม่มีลมหายใจ หรือแต่ความนิ่ง หยุดอยู่ของจิตโดยส่วนเดียว

    พอจิตหยุดแล้ว ความคิดหยุดแล้ว มีแต่ความนิ่งของจิตแล้ว

    เราก็มาจับที่อาการหยุด ความสบาย เบา ของจิตของเราเอาไว้

    ใจ ก็เบา สบาย มีความสุข หยุดนิ่ง ปราศจากความคิด

    อันนี้คืออารมณ์ที่เราต้องการจะเข้าถึงจากการทำสมาธิ

    อารมณ์ที่จิตหยุด ลมหายใจหยุด เหลือแต่ความสบายของจิต

    ก็ให้เราฝึกประคองในอารมณ์นี้เอาไว้ ให้อยู่กับดวงจิตของเราให้ได้

    ฝึกจนเข้าออก และทรงในอารมณ์นี้จนคล่อง

    จนเราจะทำอะไรอยู่ก็สามารถหยุดจิต หยุดความคิดให้นิ่งได้

    ทุกครั้งทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ในขั้นแรกนี่คือจุด ที่เราต้องทำให้ได้เสียก่อน

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะที่หยุดนิ่ง หยุดพัก เหลือแต่ความเบาสบายของจิตได้ โดยง่ายดาย โดยฉับพลันทันใด ด้วยพุทธบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ


    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  12. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ จะนำไปปฏิบัติครับ
    กุศลใดอันจะเกิดกับผมขอกุศลนั้นจงเกิดกับท่านด้วยครับ
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ภัยพิบัติที่ใกล้เข้ามานั้น เป็นเครื่องทดสอบกำลังใจในการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานของเรา

    ในยามที่เกิดสถานการณ์คับขันนั้น ขอให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า
    ให้ประจำจิต ประจำใจของเราเอาไว้ทุกขณะ

    และเราได้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ความตายอยู่ใกล้เราทุกขณะ

    ตอนนี้ก็ทุกขณะ อย่างเห็นได้ชัด

    ขอให้เราระลึกเอาไว้เสมอว่า

    หากเราพลาดพลั้งตาย ด้วยอำนาจของกฏแห่งกรรม ที่เข้ามาตัดรอน

    เราจะขอไม่คลาดจากพระนิพพาน ไม่คลาดจากพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงอยู่ที่ใดตายแล้วเราจะไปที่นั่น

    หากเราก็ดี หรือบุคคลใกล้ตัวก็ดี อยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็สอนให้ตั้งำลังใจแบบนี้ เกาะพระ เกาะพระนิพพานเอาไว้ทุกขณะจิต

    แล้วกำลังใจของทุกๆท่าน จะยกระดับสูงยิ่งขั้นกว่าเดิม

    ตายเมื่อไหร่ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    ขอให้ทุกๆท่าน ผู้ใฝ่ในความดี มีพระนิพพาน เป็นที่สุดได้ในชาติปัจจุบัน กันทุกๆท่านด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอให้ทุกๆท่านช่วยกันแผ่เมตตาจากสมาธิ

    และให้อธิษฐานควบด้วยว่า ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์

    ให้อำนาจแห่งเมตตานี้แผ่ไปยังสถานที่แห่งใด ก็ขอให้สถานที่นั้นมีฝนตกลงมา

    เพื่อดับ ไฟทั้งทางกายภาพ และทางจิตใจ ให้กับวัตถุ และบุคคลทั้งหมด ในพื้นที่ที่กำลังเกิดเหตุ

    ให้สายฝนชำระล้าง บรรเทาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ลดความรุนแรง ลดความเร่าร้อนในจิตใจทุกๆดวง

    ให้เหตุการณ์นี้จบลงโดยเร็วด้วยเทอญ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ นักพรต99 ครับ

    สวัสดีครับ อาจารย์ชัด จริงๆ แล้วผมมีโครงการอบรมที่ผมจะต้องเข้า กทม.6 เดือน แต่ถูกเลื่อนไป ผมจึงยังไม่ได้ไปฝึกที่สวนลุมกับท่าน แต่ตอนนี้มีโครงการใหม่ที่ต้องไปอบรม 21-25 มิถุนายน 53 ผมไม่ทราบว่าอาจารย์จะสอนสมาธิวันที่ 27 มิถุนายน53 หรือเปล่าครับ ผมอนุโมทนาที่ท่านอาจารย์ชัดได้ตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติให้กับทุกท่านครับ

    ตอนนี้สวนลุมไม่เหลือแล้วครับ

    ผมจึงจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ โดยสอนผ่าน microphone

    ทาง skype หรือ msn

    หรือไปสอนแบบส่วนตัว โดยอาจจะนัดที่สวนสาธารณะที่ไหนซักแห่งแล้วแต่ความสะดวกครับ

    ผมฝึกอานาปานสติกรรมฐานทุกวัน วันละ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง รู้สึกเหมือนเดิม ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป สงบนิ่ง ดิ่ง อย่างนั้น สามาธิถอย ก็พิจารณาพระไตรลักษณ์ รู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าอี่กเลย

    พิจารณาไตรลักษณ์ไม่ครบวงจร

    เราพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ถึงความทุกข์ แล้ว

    แต่เราลืมพิจารณาที่จะออกจากทุกข์

    การพิจารณาเพื่อออกจากทุกข์คือ

    การที่เราตั้งใจว่า ในเมื่อการเกิด มันทุกข์ มันไม่เที่ยง

    เราจะไม่ปรารถนาในการเกิดอีกต่อไป

    เราจะขอพอใจอยู่ในพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    ถ้าเราตายจากชาตินี้ ขึ้นชื่อว่า สังสารวัฏ อันมีความไม่เที่ยง อย่างไม่สิ้นสุดนี้
    เราไม่ปรารถนาอีกต่อไป

    เราจะขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงอยู่ที่ใด ตายแล้วเราจะไปที่นั่น

    เกาะพระรัตนตรัย เกาะพระพุทธเจ้าเป็นสรณ สูงสุด

    เราพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่ออะไร คนส่วนมากลืมคำตอบไป

    เราพิจารณาไตรลักษณ์ เพื่อให้เกาะพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกาะพระนิพพาน

    เพื่อให้ไม่ปรารถนาในการเกิด

    เพื่อให้จิตเกิดอารมณ์ที่คลาย วาง เบา จากการยึดติดในร่างกาย และวัตถุทั้งหมด

    พอเราพิจารณาไตรลักษณ์แล้ว

    เราถามจิต เราเช็คจิตของเราดู

    ว่าเราเคารพพระพุทธเจ้า เรานอบน้อม เราเคารพพระองค์สุดหัวใจไหม

    จิตเราปล่อยวางได้มากขึ้นไหม เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา

    เราวางความทุกข์ จากใจของเราได้ไหม

    เรากำลังกำทุกข์อยู่ กำแน่นอยู่ เราพิจารณาแล้วเราวาง เราคลาย ทุกข์จากใจได้มากขึ้นไหม

    อารมณ์จิตของเราเกิดความเบาสบาย มากขึ้นไหม

    เรารักพระนิพพาน เราปรารถนาพระนิพพานมากขึ้นไหม

    ถ้าเรามีไตรสรณคม ความเคารพ นอบน้อม ศรัทธา ในพระรัตนตรัยสูงขึ้น

    ถือว่าเราก้าวหน้า

    ถ้าเรามีความปรารถนาในพระนิพพาน รักพระนิพพานมากขึ้น

    นั่นแหละเราก้าวหน้าแล้ว

    พอคิดแบบนี้ เราจะเห็นเป้ามากขึ้นว่าเราพิจารณาไตรลักษณ์เพื่ออะไร

    ไม่อย่างนั้น เราก็พิจารณา สักแต่ว่าพิจารณา

    เหมือนกับคนที่เดินทางโดยไม่เห็นเป้าหมาย มันก็ถึงช้า

    ตอนนี้เราเห็นเป้าหมายชัดเจนแล้ว

    คือไตรสรณคม คือรักพระนิพพาน

    เราก็จะเดินไปได้อย่างมั่นคง และรวดเร็ว

    อ๋อเวลาวิทยากรมาบรรยายให้เราฟัง พอเราตั้งใจฟังมาก ๆ สมาธิจะรวมตัวจะทำให้เรารู้สึกว่าอารมณ์นั้น คล้าย ๆกับอารมณ์ตอนที่เราใกล้จะเข้าฌานเลนครับ

    ถูกแล้วครับ พยายามทรงฌาณไป ทำกิจกรรมทุกอย่างไป

    ฝึกให้เราเข้าฌาณ ประคองจิตเป็นฌาณ อยู่ในทุกอิริยาบถ อยู่ในทุกกิจกรรมเป็นปรกติครับ

    เป็นการฝึกที่ไม่ต้องตั้งท่า ทำได้ตลอดเวลา

    เน้นรักษาที่จิตของเรา ให้เบิกบาน ให้สว่าง ให้แย้มยิ้ม ให้มีพระพุทธเจ้า และพระนิพพาน อยู่ในใจเสมอ

    เรื่องจะมาฝึกนั้นเดี้ยวดูสถานการณ์บ้านเมืองแล้วค่อยนัดกันอีกทีครับ

    ขอให้ทุกๆท่านอย่าประมาทครับ

    มันยังไม่จบนะครับ ขนาดบ้านเพื่อนผมยังมีเสียงปืนอยู่เลยครับ

    คาดว่าอาจจะมีระลอกหลังตามมาอีกครับ โดยอาจจะมาเป็นภัยธรรมชาติแทนในช่วงนี้

    ภาวนาเอาไว้ "ตายเมื่อไหร่ ขอเกาะพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน"

    ขอให้ทุกๆคนเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีธรรมฉันทะ และนิพพานฉันทะ
    ประจำจิตอยู่เสมอ แล้วทุกๆท่านจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ได้ในชาติปัจจุบันครับ


    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    ขอบคุณครับที่ได้กรุณาแนะนำวิธีขจัดข้อสงสัยในเรื่องของอุปทานกับอารมณ์นิพพาน เดี๋ยวผมขอลองไปปฏิบัติทบทวนดูก่อน ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำหรือไม่

    เห็นเจ้าของกระทู้อธิบายถึงเรื่องของพุทธภูมิและสาวกภูมิในหัวข้อก่อนๆ

    ตอนนี้จึงมีข้อสงสัยอยากจะขอเรียนถามสั้นๆก่อนว่า เคยได้ยินมาว่าพวกพุทธภูมิและสาวกภูมินี้จะต้องมีการถูกทดสอบในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าพวกพุทธภูมินี่จะถูกทดสอบหนักหนาสาหัสกว่าพวกสาวกภูมิมาก จึงมีข้อสงสัยดังนี้

    1.ท่านที่มาทดสอบกับพวกพุทธภูมิและสาวกภูมินี่ ท่านไม่กลัวบาป กรรมกันบ้างหรือครับ ที่มารบกวนเวลาของผู้ปฏิบัติเพื่อความดี หรือว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องทำอย่างนี้ (ว่างๆ ผมก็กะว่าจะถามท่านที่มาทดสอบตรงๆ เหมือนกันล่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะถาม เพราะกำลังเปิดศึกกันอยู่)

    การทดสอบมาจากได้ ทั้งครูบาอาจารย์ และฝ่ายไม่ดี

    เราต้องดู องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน
    พระองค์ถูกทดสอบโดยพระเทวทัตมาหลายต่อหลายชาติ นับไม่ถ้วน

    เราแต่ละคน ก็มีท่านที่คล้ายกับพระเทวทัตของเราเช่นกัน

    สิ่งที่เราทำ คือ มองเขาด้วยเมตตาว่า มันเป็นหน้าที่ของเขา

    ซึ่งเราก็เคยทำ ตอนที่เรายังเป็นคนชั่วอยู่

    ถ้าเราไม่เคยไปทดสอบชาวบ้านเขา ก็ไม่มีใครเขามาทดสอบเราหรอก

    มันก็เป็นกรรมกฏของกรรม เราทดสอบเขามาก เขาก็มาทดสอบเรามาก

    แล้วพุทธภูมินี่ก็ชอบไปลองดีชาวบ้านเขา พอตัวเองจะเอาดีบ้าง เขาก็เลยมาเยอะ เป็นเรื่องธรรมดาครับ

    แล้วถ้าไม่ถูกทดสอบ ไม่ถูกเร่งรัด บารมีมันก็ไม่เกิด

    บางท่านก็จงใจมาทดสอบ เพื่อช่วยให้เราบารมีขึ้นเร็วกว่าเดิม ขอให้คิดแบบนี้

    พอเขาหมดหน้าที่ของเขา เราก็แผ่เมตตา อุทิศบุญให้เขา

    ขอให้เขา เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็ว

    เขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเราไป

    พอจบงาน หมดหน้าท่ เราก็เป็นเพื่อนกัน มีเมตตาต่อกัน ไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวมาปนกับภารกิจ วาระ หน้าที่


    2.แล้วอย่างผมนี่ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ากับพวกไหน พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ที่ปฏิบัติอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดเสริมสร้างความดีให้กับตัวเอง (อีกเล็กน้อยของความคิดก็คือฝักใฝ่ในเชิงอภิญญาอยู่ด้วย เชิงโลกีย์ล้วนๆเลยครับ) แล้วเหตุไฉนถึงโดนรบกวน ทดสอบกันอยู่เรื่อยๆเลย ที่มาสั่งสอน แนะนำ ผมก็ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ที่มาทดสอบกันนี่ บางทีก็รำคาญน่าดู ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาความรำคาญได้บ้าง โดยเฉพาะพวกมารทั้งหลาย

    คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ ไม่งั้นเขาไม่มาทดสอบเยอะแบบนี้หรอกครับ

    ตอนนี้อยู่ที่จะลุยต่อ หรือจะลาเท่านั้น

    ถ้าจะลุยต่อ เราก็ต้องตั้งใจ ฝึกแบบพุทธภูมิ กรรมฐาน40กองให้ครบ ซึ่งก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว

    สาวกภูมิเขาไม่ค่อยจับกรรมฐาน40กอง กันหรอก

    เน้นช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าถึงซึ่งความดี ให้ได้เข้าถึงซึ่งไตรสรณคม เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน สอนให้เขาได้สัมมาอภิญญา

    เพื่อเสมือนทดแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ได้เข้าถึงซึ่งธรรมะ ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ส่วนถ้าจะลานั้น

    เราก็ต้องพาคนไปพระนิพพานกับเราให้ได้เยอะๆ

    ให้ลองไปอ่าน "ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ

    เป็นการเล่าเกี่ยวกับการลาพุทธภูมิโดยตรง

    ถ้าอยากจะลาก็ต้องไปศึกษาดูครับ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ค่อยๆปฏิบัติไป อย่าเร่งรัด ทุกๆอย่างมีวาระ มีลำดับขั้น

    มันเร่งกันไม่ได้ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

    เร่งมากไปก็ วิบากเข้า ไปแบบทางสายกลาง ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ดีที่สุดครับ

    ถ้าจะลา เราผ่านสิ่งใดในการปฏิบัติมาบ้าง ลองทบทวนดู

    เราผ่าน ปีติ5 ฌาณ4 อรูป กสิณ อสุภะ จนถึงอารมณ์พระนิพพาน

    ก็จะครบหมดแล้ว

    ในอนาคต ถ้ามีวาระจะ คงจะได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไปครับ

    การถ่ายทอดนั้นเราทำเพื่อให้คนเข้าถึงซึ่งความดี ไม่ใช่เพื่อให้ใครมายกย่องสรรเสริญบูชาเรา

    ถ่ายทอดเพื่อให้เขา เคารพ นอบน้อม ศรัทธา ในพระพุทธเจ้า

    ไม่ใช่ศรัทธาเรานะ ต้องศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในความดีของพระองค์

    ตอนนี้ก็เก็บตัวฝึกวิชชา เพาะบ่ม ความดี บ่มความเคารพในไตรสรณคมไปก่อนครับ

    ใครเขามาทำอะไรก็แผ่เมตตาให้เขาไป คิดซะว่า จะได้ซ้อมแผ่เมตตาให้คล่องๆ

    ดาบจะคมกริบได้ ก็ด้วยการถูกตีจากทั้งค้อนและไฟ

    ถ้าเราอยากจะได้อภิญญา ก็คือ ดาบวิเศษ

    มันก็ต้องถูกตี ถูกทดสอบมากๆหน่อย ถ้าเราผ่านไปได้ ถึงจะคู่ควรกับสัมมาอภิญญา

    เพราะ สัมมาอภิญญา มีเอาไว้ให้ผู้ที่เคารพพระรัตนตรัยเท่านั้น

    แล้วเราก็ฝึกขอบารมีพระ ถ้าเรามีไตรสรณคมสูง ขอบารมีพระพุทธเจ้า ไม่ใช้กำลังใจของตัวเอง

    เขาก็มารบกวนเราได้ยาก

    ถ้าเราใช้กำลังใจตัวเอง เขาก็ไม่หยุดหย่อน

    ดังนั้นถือเป็นการฝึกให้เราแนบพระ แนบบารมีพระไปในตัวด้วย

    จะได้เลิกใช้กำลังใจตัวเอง ขอบารมีพระโดยส่วนเดียว

    แล้วเราจะเข้าใจว่า ทำไมถึงต้องขอบารมีพระพุทธเจ้า ทำไมถึงไม่ควรใช้กำลังใจตัวเอง

    ฝากเอาไว้ให้ยึดไตรสรณคม ให้มากๆครับ

    เราต้องศรัทธาว่า พอเรานึกถึงพระปุ้ป ใครจะมารบกวน มาขัดขวาง ในการทำความดีของเราไม่ได้

    เห็นภาพพระ วิสุทธิเทพ ประทับอยู่เหนือร่างของเรา

    กายเราอยู่ในองค์พระ ไม่มีผู้ใดเข้ามาได้ พอเราขอบารมีพระมากเข้าๆ

    ก็ถือว่าเราสอบผ่าน เขาก็จะเลิกมากวนเองครับ

    ขอให้ตั้งใจทำความดี เพื่อส่วนรวม เพื่อพระศาสนา

    ยิ่งเรามีเมตตามาก ยิ่งเราช่วยเหลือผู้อื่นมากเท่าไหร่ อภิญญาก็จะยิ่งมาเร็วเท่านั้น

    กลับกันถ้าเราไม่คิดจะสงเคราะห์ ไม่คิดจะช่วยเหลือผู้ใด อภิญญาก็จะไม่มา

    เพราะอภิญญามีเอาไว้ช่วยคน สงเคราะห์คนให้เข้าถึงซึ่งความดี

    ถ้าเราไม่คิดจะช่วยใคร ก็ไม่มีใครอยากให้อภิญญากับเราทั้งนั้น
     
  17. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ผมอ่านที่พี่ชัดพิมแล้วก็สงสัยเลยครับ
    ที่ผมเคยสัมผัสถึงนิพพานผมไม่เคยเห็นนิพพานแม้ว่าจะในตา หรือให้จิต หากแต่คงอารมณ์ในสภาวะของนิพพาน ในอารมณ์หรือในสัมผัสเสียมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องพุทธภูมิ หรือสาวกภูมินี่ไหมครับ
     
  18. ธนกร ว

    ธนกร ว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    ทำสมาธิแล้วเวียนหัว ตาลาย แก้อย่างไรครับ

    ผมทำสมาธิแล้ว อีกวัน จะเวียนหัว ตาลาย รู้สึกเบลอๆ ก็เลยไม่ค่อยกล้าทำสมาธิเท่าไหร่ อาการนี้คืออะไร และควรจะทำอย่างไรต่อครับ ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยตอบด้วย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ???
     
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    พอดีปูได้อ่านหนังสือนิทานบ้านตลิ่งชัน-สบายใจ เล่ม๓ ของท่านจิตโต มาอ่านเจอเนื้อความให้ข้อคิดเรื่องความมั่นคง เลยขอนำมาฝากทุกท่านพิจารณาค่ะ

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงตรัสกับเทวดาว่า
    " บุรุษผู้เจริญ ความตั้งใจที่มั่นคงแล้ว ย่อมจะนำไปสู่ความสำเร็จ หากเมื่อใดที่ใจของเจ้าหมดความมั่นคงแล้ว นั่นแหละ ความสำเร็จของเจ้าก็จะสูญไป "


    " ขอให้เจ้าจงจำไว้ว่า ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ความมั่นคงของใจเจ้าอย่างเดียว "


    ท่านจิตโตอธิบายคำว่ามั่นคง มั่นคงนี่ มันมีความหมายที่เธอจะต้องทำให้มันแตกฉาน เธอมั่นคงอะไร ทำไมใจของเธอจึงว่ามั่นคงปั๊บ เราก็สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ เธอมั่นคงอะไร ถ้าเราต้องการความสำเร็จคือมรรคผล เธอต้องมั่นคงกับอะไร? มั่นคงกับความเข้าใจที่เธอรู้ว่า เธอกำลังอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยทุกข์ เธออยากพ้นทุกข์ เธออยากหนีทุกข์ เธออยากไปจากความทุกข์ นั่นถือว่าเธอเริ่มมั่นคงในใจของเธอแล้ว ถ้าเธอไม่เห็นดินแดนมนุษย์เป็นความทุกข์ เธอจะออกจากที่นี่ไปทำไม ไม่ไปหรอก ถ้าเขาชักชวนว่าสวรรค์สวยงามกว่า นิพพานสวยที่สุด มีความสุขที่สุด แม้เธอจะยินดีกับนิพพานไปกับเขา แต่ใจของเธอไม่มั่นคง ก็ยังไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความมั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาพูด หรือเขายุยงส่งเสริม ให้เธอยินดีไปด้วย ต่อให้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เธอให้ความเคารพ เลื่อมใสและเชื่อในสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่ท่านพูดมา ก็ไม่ทำให้เธอเกิดความมั่นคงได้เลยแม้แต่นิดเดียว


    ฉะนั้น ความมั่นคงจะไม่ได้อาศัย จากการที่เราได้ยินได้ฟังจากใคร หรือใครเขาจะพรรณนาสิ่งนั้นว่าดี แล้วเราเกิดความเชื่อว่า สิ่งนั้นดีและมั่นคงและจะทำตาม เพราะมันเป็นการทำตามได้ประเดี๋ยวประด๋าว เดี่ยวมันก็กลับไปสู่สิ่งที่เราคุ้นเคยเหมือนเดิมอีก แต่ถ้าเธอมีความมั่นคงอย่างที่เราบอกว่า มันเป็นความมั่นคงที่เกิดจากภายในใจ มั่นคงเรื่องอะไร มั่นคงในการเห็นว่า โลกมนุษย์นี่ไม่มีดินแดนตรงไหน มุมใดมุมหนึ่งของโลกที่มั่นเป็นสุข นั่นเราจะเริ่มมั่นคงแล้วว่า ดินแดนมนุษย์นี้เราจะไม่กลับมาอีกต่อไป


    อันดับแรก สำคัญนะ เธอจะหลุดพ้นโลกใบนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เธอต้องแสวงหาความจริงภายในใจของเธอก็คือว่า ดินแดนมนุษย์นี้มีมุมใดมุมหนึ่งไหมที่เธอยังรู้สึกว่าเป็นของดี มีไหม? ไม่มี
    แล้วจะมีบทพิสูจน์ว่าดีหรือไม่ดีตรงที่ว่า เวลาเธอได้อะไรมาดีมาก เขาให้ความสุขแก่เธอมาก เธอลืมในสิ่งที่เธอตั้งใจจะไปไหม ในชั่วขณะหนึ่งที่สิ่งนี้หยิบยื่นให้ ในเวลาเดียวกันนั้น จิตใจของเธอที่มีความมั่นคง มันก็ผุดขึ้นมาต้าน มันจะไม่ห่างกันแม้แต่ลัดนิ้วมือเดียวเลย ยังช้ากว่าความรู้สึกที่มันขึ้นมาต้านในเวลาเดียวกัน เหมือนมันมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า เราไม่ได้พอใจในสิ่งนี้ ต่อให้สิ่งนั้นเขาจะหยิบยื่นอะไรให้เธอก็ตามที ในโลกนี้เราฝืนไม่ได้หรอกว่า เขาจะให้อะไรกับเรา เขาอาจจะหยิบยื่นความสุขทั้งหลายที่เราเคยพึงพอใจ ให้แก่เราช่วงไหนก็ได้ และเมื่อช่วงเวลานั้นเกิดขึ้น ไอ้ความที่เรามั่นคงกับความคิด ว่าโลกใบนี้ไม่ว่ามุมใดมุมหนึ่งเราก็ไม่เห็นว่าเป็นสุขเลย มันจะขึ้นมายันใจเราไว้ว่า ไม่มีแล้วที่นี่ไม่ใช่ดินแดนที่เป็นสุข ไม่มีอะไรเป็นของจริง มีแต่ของที่ทำให้เรานั้นหลงเข้าไปหาความผิด ความโง่เขลาต่างหาก เดือดร้อนเมื่อเราหลงผิดอยู่กับมัน


    แล้วเธอจำไว้นะว่า เมื่อจิตของเธอมีความมั่นคงในสิ่งนี้ เกิดขึ้นในคราวใด เธอจะพยากรณ์ตัวของเธอได้เลยว่า เธอกำลังก้าวเท้าเดินข้ามวัฏฏะอันน่าสงสาร เท้าของเธอข้างหนึ่งก้าวไปแล้วฝั่งโน้น เหลืออีกข้างหนึ่งที่เธอจะก้าวตามก็ต่อเมื่อใจของเธอเริ่มมีความมั่นคงต่อผู้ที่มีความสุขแล้ว คือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย


    เมื่อใดที่ใจของเราไม่มีวิจิกิจฉา คือสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ นั่นแหละ เท้าของเธอก็จะหลุดจากข้างนี้ไปอีกข้างหนึ่ง ไปอยู่ข้างเดียวกัน คำว่าไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้าหมายความว่าอะไร? ก็คือไม่สงสัยในคำสอน ไม่สงสัยความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศ ไม่สงสัยในความตายว่าต้องเป็นธรรมดา ไม่สงสัยว่าการเกิดมาจะต้องมีกรรมเป็นของๆตน เราเป็นผู้ทำกรรมของเรามาเอง สิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นกับเราเป็นของแน่ ไม่สงสัย ไม่ตำหนิ ไม่โทษผู้ใด ไม่เบียดเบียนในความจริงที่เกิดขึ้น เพราะเหตุแห่งกรรม


    เขาเรียกว่ามั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เมื่อเรามั่นคงปั๊บ ความหนักแน่นของใจเรานี่ ขึ้นชื่อว่าจะก้าวหลุดมาการแสวงหาการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าจะทำความชั่วอีกนั้นเป็นอันว่าจบสิ้น เธอก้าวพ้นแล้ว โลกใบนี้ไม่เป็นดินแดนที่เธอต้องกลับมาอีกได้แน่นอน แล้วก็ไม่เคยเห็นมีใคร กลับมาอีกเลย เมื่อเขาเป็นผู้ที่มีความมั่นคงเช่นนี้ ต่อให้กำลังใจของท่านผู้นั้น ยังแค่พระโสดาบันก็ไม่กลับ



     
  20. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มาเป็นกำลังใจ
    ให้จ๊ะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...