มาช่วยกันตอบคำถามของ "สติ"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย KomAon11, 16 กันยายน 2006.

  1. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    ขอตอบคะ *_*

    .... วันหนึ่งโบว์เดินใจลอย .... แตะแก้วน้ำกระจาย....
    แม่เอ็ดว่า...ไอ้โบว์ทำอะไรอยู่...

    มัวแต่เดินใจลอยไม่มีสติสตางค์กับเขาบ้างเลย ..... ซุ่มซ่ามจริง ๆ
    ......เช็ดด้วยน้ำหกหมดแล้ว .....

    โบว์เอาผ้ามาเช็ดน้ำ

    --------

    จากเหตุการณ์นี้ ย้อนมาคิดทวนคำถามที่เพื่อนอ้นถาม

    คำถามถามว่า ...

    1.สติคืออะไร
    2.สติมีไว้ทำไม
    3.สติ หาได้จากไหน
    4.สติ ฝึกอย่างไร
    5.ฝึกสติ แล้วได้ประโยชน์อย่างไร

    สติคืออะไร ... ?
    คำตอบ คือ การรู้ตัว (ตามคำเข้าใจของโบว์นะ)

    สติมีไว้ทำไม
    ตอบ ไว้ป้องกันการแตะแก้วน้ำอีกครั้ง และ เพื่อการป้องกันเหตุอื่น และอื่นๆ

    สติหาได้จากไหน
    ตอบ หาซื้อตามร้านขายยา รึห้างสรรพสินค้าทั่วไปไม่ได้แน่ๆ

    คำถามอื่นๆ ขี้เกียจตอบแล้วเพราะ office กำลังจะปิด

    แต่ที่สำคัญ สติที่พ่อสอน .... ตามโบว์เข้าใจ

    สติน่าจะต้องคู่กับปัญญา .... เป็นเพื่อนซี้กัน .... เมื่อเจอสติเมื่อไร ...
    เจ้าปัญญามักจะอยู่ด้วยไกลๆ ... ตาไม่บอดก็น่าจะหาเจอ ... แต่บ้างครั้ง รึหลายๆ ครั้ง ผู้ตอบคำถาม (น้องโบว์) ตาบอด ไม่เจอทั้ง สติ และ ปัญญา

    ปัญญา
    ปัญญา ที่เป็น สัมมาทิฐิ ...

    แล้วมีสติ มีปัญญา ก็จะมีเรื่องราวดีๆตามมาอีกมากมาย... มากมาย ...มากมาย...และก็มากมาย

    และนั้นโบว์ติ๊ต่างว่าเป็นประโยชน์ของสติ

    แต่แค่นั้นยังไม่พอ ..... หนทางไปหาพ่อ มันไกลมากๆ .... ๆ ...ๆ ...ๆ

    ขอตัวช่วย อีก

    1 วิริยะ
    2 สมาธิ
    3 ศรัทธา

    จบแล้วคะ
    ขอบคุณค่ะ สำหรับคำถาม

    ปล. เป็นคำตอบตามคำเห็น อาจถูกรึผิดขอให้ลุงป้าน้าอาช่วยพิจารณา

    ขอบคุณคะ ^_^
     
  2. Raindrops

    Raindrops เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +1,147
    บางทีตาบอดอาจจะเจอก็ได้น่ะคะ ตาบอดสิ จะได้ไม่ต้องไปเห็น พิจารณาคนอื่นเค้า จะได้เห็นตัวเองก่อน พิจารณาตัวเองก่อน
    สติเราจะได้อยู่กับตัว รู้กับตัว จะได้เจอปัญญา ก่อนที่จะไปเห็นคนอื่น ศึกษาจากตัวเราเอง ศึกษาไปยังงัยก็ไม่มีวันหมด
    หากมัวแต่เอาสติเราไปสำรวจ คนอื่น เราก็ไม่เห็นตัวเอง
    สำรวจเค้า มาเจอว่ามีบางส่วนของเราอยู่ในตัวเค้าก็มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2006
  3. ธง

    ธง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +40
    สติ ในทางพุทธศาสนา หมายถึง สัมมาสติ คือ สติที่มีสัมมาทิฏฐิประกอบ จึงเป็นการระลึกถึงความถูกต้องได้ เมื่อระลึกได้ถูกต้อง ก็เอาความรู้ความเห็นที่ถูกต้องมาใช้แก้ปัญหาได้ นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า มีสติเอาไว้ทำอะไร คือ มีสติเอาไว้ใช้ทำการงานได้อย่างถูกต้อง สติ หาได้จาก ปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ หาได้จากการคิดในสิ่งที่ถูกต้องมีเหตุมีผล หาได้จากสัมมาสมาธิหรือความตั้งใจในทางที่ถูกต้อง หาได้จากความเพียรที่ถูกต้อง หาได้จากการทำการงานที่ถูกต้อง หาได้จากการพูดในสิ่งที่ถูกต้อง หาได้จากการประกอบอาชีพหรือเลี้ยงชีพที่สุจริตถูกต้อง สรุปแล้วก็คือ สติหาได้จาก มรรค สติหาได้จากที่ไหน เราก็ฝึกหาที่นั่น ได้แก่ การฝึกเจริญมรรค ได้แก่ สติปัฏฐานสี่ นั่นเองผู้ที่มีสติตั้งมั่นแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเป็นผู้อยู่เป็นสุขทุกเมื่อ และเป็นผู้ที่มีพระนิพพานเป็นที่หมาย
     
  4. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    โอยยยย....ขำอิก


    โอยยยยย......ขำ...ขำอะ

    ป้ามาขำอีกแระ

    "ภูตัง" เค้าว่า "สติ มีไว้ ตั้ง"

    เอาสิเอ้า !!!!

    กั้ก...กั้ก...กั้ก....

    (b-oneeye)(b-oneeye)(b-oneeye)
     
  5. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    จำขี้ปากเค้ามาตอบนิดนึงอะ
    (อ่านมาจากหนังสือนิยายหลาย ๆ เล่ม
    ของคุณป้าอี๊ด "ทมยันตี")

    คุณป้าอี๊ดบอกไว้ว่า

    "สติ" เป็นบาทต้นของ "สมาธิ"

    [b-wai][b-wai][b-wai]
     
  6. ganesha

    ganesha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +201
    1.สติคืออะไร คือรู้ รู้ ณ ปัจจุบัน
    2.สติมีไว้ทำไม เพื่อละทุกข์
    3.สติ หาได้จากไหน มีอยู่พร้อมแล้วในทุกคน
    4.สติ ฝึกอย่างไร :- ใช้จิตรู้คอยพิจารณาจิตคิด แต่อย่าหลงว่าจิดคิดคือจิตรู้ เมื่อจิตรู้มีกำลังในการพิจารณาจิตคิดจะยุติไป โดยปริยาย ยุติโดยที่ไม่ต้องบังคับไม่ต้องใช้ขันติ ไม่ใช่ดับจากภายนอก แต่ดับหรือวางจากภายใน มันจะเบาสบาย ไม่อึดอัดฝืนใจ เมื่อเกิดทุกข์สติจะทำให้มันดับโดยปริยาย โดยมิได้ทำให้เราอึดอัด ทุกข์ไม่ได้หายแต่เราจัดการมันได้แล้วมันจะสิ้นฤทะเอง
    5.ฝึกสติ แล้วได้ประโยชน์อย่างไร มันคือข้อใหญ่ที่รวบรวมหลักของอริยสัจ สี่ เหมือนเรื่องเล็กแต่ฝึกแล้วมันละทุกข์โดยแท้
    ทุกข์ คือผลจากการส่งจิตออกสู่ภายนอก หรือบอกได้ว่าคือเกิดจิตคิดโดยที่ปราศจากจิตรู้(สติ)คอยพิจารณา
    สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือการส่งจิตออกสู่ภายนอก นั่นแสดงว่าเกิดจิตคิด ซึ่งก็คือขาดจิตรู้(สติ)นั่นเอง
    นิโรธ ภาวะที่จิตรู้อยู่พร้อมสติเต็มกำลังจิตคิดไม่สามารแทรกเข้ามาได้ เมื่อจิดคิด ไม่สามารถแทรก ตัวทุกข์จะดับเองโดยปริยายโดยไม่ต้องบังคับควบคุม เหมือนคำกล่าวของเซ็น ที่เพื่อนสมาชิกมันอ้างมา คือจิตว่าง ที่ว่าไม่มีโพธิ์ และกระจก แล้วฝุ่นก็ไม่สามารถจับอะไรได้เพราะมันว่างนั่นเอง และนี่คือภาวะการเจริญสติหรือจิตรู้ ที่นำไปสู่ภาวะนิโรธหรือความว่าง(สุญญตา)นั่นเอง
    มรรค วิธีดับทุกข์ คือ มีสติ หรือจิตรู้ เจริญสติอยู่เนืองๆหรือเป็นลูกโซ่
    สรุปแล้ว สติเสมือนเรื่องเล็กแต่มันคือแก่นและหลักของการระงับดับทุกข์แห่งจิตของมวลมนุษย์นั่นเอง กรรมฐานต่างๆล้วนมุ่งสู่ปลายทางนี้แล้วแต่จะเลือกตามจริต แต่ท้ายสุดเพื่อการถึงพร้อมด้วยสติและจิตรู้ นั่นเอง มีไว้เพื่อจัดการ เพื่อละ ให้รู้แล้ววาง มันจะยุติเองโดยปริยาย เบาสบายไม่อึดอัดขัดขืน ไม่ข่มแต่มันดับเอง ซึ่งถือเป็นธรรมข้อใหญ่ที่เป็นแก่นสรุปความแก่อริยสัจสี่แห่งพุทธองค์โดยแท้ แต่มนุษย์กลับมองข้ามและคิดว่าเข้าใจสติหมดแล้วจนไม่ค่อยได้สนใจ มองว่าเป็นเพียงงเรื่องเล็กในหลักธรรมแต่แท้จริงมันกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นทางออกสู่ความเป็นอิสระแห่งจิตของมนุษย์นั่นเอง
     
  7. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    นั้นสิ คำง่ายๆจริงๆ คำว่าสติ แต่แฟงด้วยความหมายที่ยิ่งใหญ่
    สติคืออะไร สติก็คือตัวรับรู้ ตัวสั่งการ
    สติมีไว้ทำไม นั้นสิ มีไว้ทำไม มีไว้ให้เราคิด ก่อนจะลงมือกระทำสิ่งต่างๆ ก่อนจะลงมือทำอะไร ควรจะใช้สติ คิดไตร่ตรองให้รอบครองก่อน หากคนเราขาดสติ ก็เปรียบเหมือนคนบ้า ตามท้องถนน จริงไหมครับ
    สติหาได้จากไหน นั้นสิครับ มีขายไหมครับ จะซื้อเก็บไว้เยอะๆเลย(อิอิ)ถ้ามีขายป่านนี้ เขาซื้อกันไปหมดแย้ว สติก็เหมือนความดีไม่มีขาย อยากได้มาก ได้น้อย ก็ทำกันเองแล้วกันนะครับ ทำอย่างไง หรอ นั้นสิมันทำอย่างไร ทำง่ายๆมั้ง คอยควบคุมอารมณ์ให้ดีอย่ากลายพันธ์เป็นหมาป่าก็พอแล้ว ใครว่าไรเราก็ปล่อยว่างมองเป็นเรื่องขำๆก็พอแล้ว นั้นแหละคือสติ เรามีแล้ว มีแล้วจะไม่บ้าแบบคนอื่น
    สติฝึกอย่างไร นั้นสิ มันฝึกไงหรอ งืม งืม ฝึกไงอ่า ฝึกแบบหนังจีนกำลังภายในหรอครับ (ล้อเล่น) เครียดมากไม่ดี ยิ้มไว้ก่อน สติฝึกจาก สมาธิ การที่เรามีสมาธิดี ย่อมมีสติ สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ไม่ให้ โลภ ไม่ให้ หลง ไม่ให้โกรธ อื่นๆอีกมากมาย น่าสนใจเหมือนกัน
    ฝึกสติแล้วได้ประโยชน์อะไร ได้สิ การรู้เท่าทัน ตัวกิเลส ของเรา ไม่ให้ตกเป็นทาสของมันอีก ในเมื่อเราไม่เป็นทาสของมัน มันก็ต้องเป็นทาสของเราดิ มันต้องฟังเราบ้าง (อิอิ)เราไม่ฟังมันแล้ว
     
  8. mayom

    mayom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +167
    ขอให้สติ อยู่ที่จิตใจตัวผมแล้วกัน5555
     
  9. A~MING

    A~MING เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,734
    ค่าพลัง:
    +1,730
    ได้ความรู้ที่ใกล้ตัวที่ละเลย มากๆ เลย
    ขอบใจมากนะ ^_^
     
  10. suchat

    suchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1,239
    โมทนาสาธุ..... สติ ให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดีรู้ ชั่วรู้ สติหาได้จากตัวเรา จากสิ่งรอบข้าง......ทำอะไรก็ต้องมีสติ เมื่อสติ ปัญญาก็เกิด
     
  11. Raindrops

    Raindrops เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +1,147
    (b-cap)ขอบคุณพี่อ้นค่ะ ที่มาตั้งกระทู้มีประโยชน์ มีประโยชน์ บ่อยๆ์ (b-glass)
     
  12. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    โมทนาทุกคนครับ เดามั่งครับ สติคือ เหตุ ผลคือ สมาธิครับ ถ้ามีสติรู้ตลอด สมาธิเกิดละเอียดมากขึ้น นำมาพิจารณาโดยใช้สติจะเกิดปัญญาครับ โลก ทางธรรมครับ เช่น เกิดมาทุกข์ไหม หนอมีสติคิดตามตลอดจนเห็น เออจริง โลกมันห่วยเเตกมากๆ
     
  13. suchat

    suchat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1,239
    ธรรมโอวาท จากหลวงปู่ดู่ พฺรหฺปัญโญ จากเวบคนเมืองบัวครับ กระทู้ที่16706

    เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า " หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส 3 ตัว คือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ " หลวงพ่อตอบเสียงดังฟังชัด จนพวกเราในที่นั้นได้ยินกันทุกคนว่า "สติ"

    ผมเห็นว่าคำสอนของท่านเข้ากับกระทู้นี้ครับ....โมทนากับทุกคำตอบ และผู้ที่ตั้งกระทู้ครับ
     
  14. kai_toung47

    kai_toung47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +48
    ((สติ.........การตั้งตนในหนึ่งเดียว))

    การมีสติ คือการมีสมาธิหรือเปล่าน้อ (ถามกวนนะนี่ โทษทีนะครับ)
    ทานทั้งปวง คือสิ่งประเสริฐ ช่วยกันนะครับ หายนะโลกตอนนี้ คนเราพึ่งพิงกันนี่แหละประเสริฐสุด ช่วยเหลือกันนะครับ เหนือนํายิ่งท่วม กลางก็เริ่มเอ่อ นี่แหละครับฝีมือมนุษย์(f) ?
     
  15. kai_toung47

    kai_toung47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +48
    ((สติ.........การตั้งตนในหนึ่งเดียว))

    คืออะไรครับ การตั้งตนหนึ่งเดียวหรือเปล่าครับ การให้ทานทุกๆ สิ่งเป็นสิ่งประเสริฐครับ เหนือนําบ่า กลางนําเอ่อ ช่วยกันนะครับคนไทยเหมือนกัน(verygood)
     
  16. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    สติ แปลว่า ระลึก หรือ นึก เช่น นึกถึงลมหายใจ นึกถึงพระ นึกถึงร่างกาย นึกถึงกระดูก และอีกมากในองค์กรรมฐาน

    สัมปชัญญะ แปลว่า รู้ตัว หรือรู้สึกตัว เช่น รู้ว่าลมหายใจมันกระทบผ่านรูจมูก ลมหายใจมันหยาบ , ละเอียด รู่ว่าร่างกายเคลื่อนไหวไปตามอาการลักษณะของอริยาบทต่าง ๆ หรือเมื่นึกถึงอสุภะ ก็รู้ว่าสภาพของอสุภะมีลักษณะอย่างไร และอีกมากในองค์กรรมฐาน

    การฝึกสติก็คือการฝึกให้ระลึกถึงแต่สิ่งที่มีอยู่ในองค์พระกรรมฐาน เพราะการระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้จิตมีความสงบมีความเบามีความเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับเรื่องที่เป็นไปในเชิงลบเช่นคิดละเมิดศีลเรื่องเหล่านี้ทำให้ใจเศร้าหมอง ลมหายใจหยาบและติดขัด เป็นอุปสรรค์ในการเจริญธรรม

    สติตัวแรกจึงเป็นตัวต้นเมื่อสติดีแล้ว สัมปชัญญะ ก็จะตามมา เช่นเมื่อเรานึกถึงลมหายใจ เราก็จะรู้ว่ามันผ่านเข้า ออก และกระทบกับรูจมูก เมื่อเราสงบมากขึ้นก็จะรู้ว่ามัน เข้า - ออก สั้น หรือ ยาว สงบขึ้นไปอีกก็จะรู้ว่ามันหยาบ หรือ ละเอียด เป็นดังนี้ เมื่อทรงสมาธินี้ได้ดีแล้วก็จะรู้ไปถึง อริยาบทของกายในการเคลื่อนไหว เมื่อละเอียดมากขึ้นก็จะรู้ไปถึงเวทนาที่เกิดขึนทางกาย ทางจิตเป็นลำดับไป เมื่อละเอียดได้ดีแล้วทรงสมาธิได้ดีแล้วก็ระลึกในธรรมที่เป็นไปในทาง สมถะ และ วิปัสณาญาณเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อจิตหยั่งลงถึง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทรงไว้ซึ่งสติ สัมปชัญญะตัวนี้ นี่ก็คือ สติปัฏฐาน 4 ถ้าใครมีนิมิตก็ใช้นิมิตดูภาพประกอบในตัวของกรรมฐานให้เข้าถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็ตัวเดียวกัน เราก็ปฏิบัติ อยู่ใน มรรค มี องค์ 8 ศีล สมาธิ ปัญญา

    ก็ขอให้เพื่อนพ้องชาว พลังจิต เดินให้ถึงที่สุดแห่ง สมถะ และ วิปัสณาญาณ ได้ในฉับพลัน ใน๙ติปัจจุบัน นีเทอญ
     
  17. magic power

    magic power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +200
    ผมชอบมากครับ.........เหวยๆๆ ท่านหนุมาน(verygood)
     
  18. magic power

    magic power เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +200
    (f)คุณขิก อธิบายไว้ ได้ใจจริงๆๆครับ
     
  19. v.mut

    v.mut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +274
    สติ คือ เป็นภาวะที่มีการเข้าไประลึกถึง สนใจ คำนึง ใส่ใจ ต่อการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆที่ปรากฏขึ้นตามทวารทั้งหก หรือ เป็นขบวนการของการรับรู้ของจิตดวงแรกที่ มีการหันเข้าไปสู่สิ่งนั้น ซึ่งก็ไปเชื่อมโยงต่อคำถามที่ว่า สติมีไว้เพื่ออะไร

    หากกล่าวถึงสัมมาสติ คือ ภาวะที่มีการระลึกรู้ ได้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ต่อสภาพธรรม หรือ สภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นนั้นๆ เมื่อเราขาดสติแล้ว ก็จะมิอาจระลึกรู้ความจริง เพราะถูกกระแสของสิ่งต่างๆ บดบังความจริงจนมิสามารถเห็นความจริงของสภาวะธรรม หรือ ก็จะหลงไปกับสิ่งที่ปรากฏขึ้น ตามแต่กระแสจะพาไป ก่อเกิดภพชาติ การกระทำ กรรมต่าง ๆขึ้น

    การจะระลึกรู้สภาวะธรรม ตามความเป็นจริงหรือสัจจะธรรมความจริง ว่า สรรพสิ่งนั้น เป็นเพียงรูปนาม ขันธ์ 5 เกิดดับ มิมีแก่นสารได้ ก็ต้องอาศัยสัมมาสติ และ ปัญญา เมื่อมีการสั่งสม สัมมาสติอันสมควรแก่เห็น ผลคือ ปัญญา หยั่งรู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเกิดขึ้น ก่อเกิดเป็น ญาณทัศนะ รู้เห็นตามความเป็นจริง จึงเกิดมีการจางคายต่อ อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่น ต่อสรรพสิ่ง ว่า มิใช่ เรา ของเรา เค้า คนสัตร์ สิ่งของ หรือ แม้แต่โทสะ ก็มิใช่ ตัวตน ขบวนการของการที่จะเกิดปัญญาญาณรู้เท่าทันต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้น ก็โดยวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านทรงวางแนวทางไว้ให้เดิน คือ สติปัฎฐาน ทั้ง 4 และ กรรมฐานทั้ง 40 กอง สติจึงเปรียบเสมือน เครื่องเตื่อนมิให้เกิด อาการหลงเข้าไปยึดต่อ มายา ต่างๆ ผู้ที่เจริญกรรมฐานในกองอื่น ก็เพิ่งต้องมีสติควบคู่ไปกับการปฏิบัติ เพื่อมิให้หลงออกนอกทาง

    สติมิใช่สิ่งที่จะหา หรือ ทำเอาให้เกิดขึ้นตามความต้องการของใครได้ สิ่งที่พอจะทำให้สติเกิดได้ คือ การสร้างเหตุปัจจัยให้สติเกิดขึ้น

    สติก็เป็นเพียงนามธรรม ชนิดหนึ่ง ที่ เกิดขึ้น เพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับ มิสามารถบังคับบัญชาเอาตามใจชอบได้ว่า เมื่อไรจะเกิดขึ้น หรือ การจะยือเอาให้สติเกิดต่อเนื่องนานๆเท่าที่ใจปรารถนาก็มิสามารถเป็นไปได้

    เหตุใกล้ที่จะให้สติเกิดขึ้นได้ คือ การจดจำสภาวะธรรมต่างๆ ได้ คือ มีสัญญาหรือ ข้อมูลของสภาพธรรมนั้นได้ แม่นย่ำอยู่ภายใน เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะขบวนการการทำงานของ การที่จิตดวงแรกหันเข้าไปรู้สิ่งที่ปรากฏขึ้น มีสองสิ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆกันในขณะแรกเริ่มของการเกิดขบวนการการระลึกรู้ คือ หนึ่ง คือ การ หันเข้าไปสู่ หรือ การใส่ใจ สนใจต่อ สิ่งที่ปรากฏขึ้น ทางทวารทั้ง 6 ขบวนการที่ สอง ที่ตามมา คือ การ เปรียบเทียบข้อมูลต่อสิ่งนั้น หากเรามิมีข้อมูล หรือ จดจำสภาวธรรมนั้น สิ่งที่จิตดวงแรกของเราหันเข้าไประลึก เราก็มิอาจจะรู้ว่า ไอ้อ้นนั้น มันคือ อะไร ความไม่รู้ก็คือ โมหะที่คลอบง่ำ
    ฉะนั้น เหตุใกล้ที่จะให้สติ เกิด หรือ เกิดการ ระลึก พร้อมทั้งรู้ ในสิ่งที่ถูก คือ การ จดจำสภาวะธรรมที่ค่อย มาปรากฏขึ้น ทั้งทางกาย และ ใจ เราไว้ตลอดเวลา โดย การเปรียบเทียบ สภาวะธรรมต่างของแต่ละอย่างบ่อยๆเข้า จิตก็จะมีข้อมูล ของสภาวะต่าง ในระลึกรู้ได้ทันเมื่อมี สภาวะธรรมนั้นเกิดขึ้นต่อกายและใจของเรา อันที่จริงวันทั้งวัน มีสภาวะธรรมเกิดขึ้นกับกายใจเรานี้ ตลอดเวลา แต่ มิมีสติสัปชัญญาะ เกิดการระลึกรู้ได้ถูกต้องตามความจริงในปัจจุบันขณะ
    ตัวอย่าง หยาบๆที่ พอจะมีให้เห็น คือ ขณะที่ มีคนมาด่า หรือ ทำให้เราไม่พอใจ โดยปรกติ เราจะไม่รู้ถึง ความโกธรที่เกิดขึ้น เผาเราอยู่ เราหลงเข้าไปในความโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ เราไม่เห็นทุกข์ของโทสะที่มันเผาเราอยู่ หากขณะที่โกธร ก็รู้ว่า โกธร ดูรู้สภาวะโกธรที่เกิดขึ้น ดูรู้สภาวะโกธรที่ดับ ก็นับได้ว่า เกิดสติรู้เท่าทัน ขณะที่ ไม่โกธร กับขณะที่ โกธรเป็นอย่างไร เปรียบเทียบ อาการ ลักษณะของ กาย ใจ เนื่องๆ

    หรือเมื่อใดที่หลงออกนอก กาย ใจ ก็คืออาการของการขาดสติ อาการหลง และ อาการมีสติเป็นสิ่งที่ ขัดกัน เสมอ วิธีฝึกฝน ก็คือหมั่นเรียนรู้ อาการ หลงเผลอ หรือ คิด ส่งใจออกนอกกาย และ ใจ การคิดที่มีสติอยู่ กับ อาการคิดของเราที่มิได้มีสติ มันต่างกันอย่างไร มั่นเปรียบเทียบ สั่งสม จนจิตเกิดอาการรู้ได้ด้วยตัวเองว่า นี้ คือ หลง เผลอ ไป คนส่วนใหญ่ มักจะหลงเข้าไปในความคิด โดยไม่ค่อรู้ตัว
    หรือ หลงเข้าไปดู หลงเข้าไปฟัง โดยลืมตัวเราเอง ก็คือ อาการขาดสติ เช่น เห็น สาว ๆ หุ่นเซ็กซี่ใส่สั้น เดินมา เราก็หลงเข้าไปดู จนลืม อาการทาง กาย ใจ มิรู้ด้วยซ่ำว่า เรากำลังหลงเอาจิตไปแนบติดกับรูป หุ่นเซ็กซี่ของสาวเจ้านั้นเข้าให้แล้ว สิ่งที่ตามมาก็เกิดจิตนาการ ไปสารพัดแล้วแต่จริตของแต่ละคน หรือ กับบางคน เวลาเห็นปัปเกิดขุ่นใจ หลงไปวิภาควิจารณ์คิดอยู่ในใจ ว่า "แต่งตัวแบบนี้ ไปได้อย่างไรทุเรศ" ขณะนั้นก็มิได้รู้ว่า เกิดสภาวะ ขุ่นเคื่องใจ อ่อนๆ แต่อาจจะยังมิได้เป็นโทสะรุ่นแรง เสียแล้ว ตัวอย่างต่างๆ ที่ยกมา คงพอที่จะเป็นแนวทางให้รู้และเข้าใจของอาการมีสติ และ อาการเผลอสติได้บางสำหรับผู้ที่สนใจในการฝึกฝนสติใหม่ ๆ

    ส่วนฝึกสติแล้วได้ประโยชน์อย่างไร ก็ได้แสดงความคิดเห็นไปบ้างแล้ว ว่า เมื่อเกิดเป็น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ปัญญา หยั่งรู้ เห็นสัจจะธรรมความจริง ต่อ สรรพสิ่ง ก็ย่อม ค่อย คลี่ออกเผยให้เห็น ว่า อันที่จริง แล้ว สรรพสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ควรแก่การยึดมั่นถือมั่นในอุปธานขันธ์ ทั้ง 5 อยุ่อีกหรือไม่ ควรจะยังมีความยินดี ยินร้าย อีก หรือ ไม่ อะไรคือ ทุกข์ สิ่งในคือ เหตุแห่งทุกข์
    มนุษย์ทุกวันนี้ ยังไม่ค่อย รู้จัก ทุกข์ และ เหตุ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เรามักรู้ผิดๆ เห็นทุกข์ เป็นสุข เห็นสุข เป็นทุกข์ ยังเห็นไม่ตรงความจริง ยังถูกกระแสกิเลส บดบัง ความจริง ( รวมทั้งผู้แสดงความคิดเห็นนี้ ด้วย จึงยังคงต้องเรียนรู้ ถึงความจริงแห่งสรรพสิ่ง ) มนุษย์ทุกคน หากพิจารณาแล้ว เราร่วนน่าสงสารกันทุกคน เราต่าง เกลียดทุกข์ รักสุข แต่ ความไม่รู้คือ อวิชาที่ ครอบมนุษย์อย่างเราอยู่ เราต่างเวียนว่าย กระเสือกกระสนหาหนทาง อยู่ในความมืด ร้องคร่ำครวญถึงผลแห่งทุกข์ แต่ก็มิรู้ถึงหนทางว่าจะไปให้หลุดพ้นวังวนนี้ กันอย่างไร ผู้เข้าถึงกระแสแห่งธรรม ก็นับได้ว่า ตาเริ่มเห็นแสงแห่งทางรอด ออกจากวังวนนี้แล้ว อยู่แต่ ว่า จะต้องออกแรงว่ายทวนออกไป ตามกำลังที่มีอยู่ บางก็ไปถึง บางก็หมดแรงจบสิ้นลงในชาตินั้น แล้ว ก็ต้องกับมาเกิดในวังวน หาทางออกกันใหม่

    หมายเหตุ ความเห็นทั้งหมด เกิดจาก องค์ ความรู้ ครูบาอาจารย์ ที่ได้เมตตาสอนสั่ง พร้อมกับการฝึกฝนปฏิบัติตามจนเป็นประสบการณ์ภาวนาของผู้แสดงความเห็น อย่างไรก็ตามก็ยังมิบรรลุธรรม ฉะนั้นอาจมีสิ่งผิดพลาด ขอเพิ่งโยนิโสมนสิการ และ ระลึก ถึง กาลมะสูตรไว้ในใจต่อสิ่งที่กล่าวไว้เพื่อมิให้เกิดโทษภัย การทดลอง ปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่งพระศาสดาด้วยตนเองให้เกิดการรู้เห็นเอง จึงเป็นหนทางที่เพิ่งควรกระทำ
    หากแม้พอมีกุศลอันใดเกิด ขออุทิศให้สรรพจิตทุกดวง จงมี ความสุขกาย สุขใจ และ เย็นกาย เย็นใจเถอะ

     
  20. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">ขออนุโมทนา
    มีสติ จะได้ ไม่ก่อกรรม ไม่สร้างกรรมใหม่
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...