ว่าด้วยสังสารวัฏ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย kittikorn, 2 พฤษภาคม 2010.

  1. kittikorn

    kittikorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    2,232
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,846

    อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาว่าด้วยสังสารวัฏ ความท่องเที่ยวไปในอาการที่เป็นวัฏฏะ การหมุนวนอยู่ในสังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัฏสงสาร หาจุดเริ่มต้น และหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ไม่มีจุดต้นและจุดปลาย หรือเพราะยาวไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด <O:p
    ทำให้นึกถึงรูปร่างของแถบโมเบียสซึ่งหมายถึง การเดินทางบนแถบโมเบียสได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้สมองเท่าหางอึ่งของผมจินตนาการถึงความน่าจะเป็นเรื่อยเปี่อยไปว่า
    <O:p
    · เป็นไปได้มั๊ย หากสังสารวัฏหรือวัฏสงสาร นั้นไม่ได้เป้นเส้นตรงยาวนาน หากเพียงแต่วนมา ณ. จุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ในวงรอบนั้น นับไม่ถ้วน อาจเคยเกิดเหตุการณ์ แบบนี้-แบบนั้น ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่านับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าการหมุนของวงรอบนั้นช่างยาวนานเหลือเกินชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ จนพลังงานจิตวิญญาณที่กำลังเดินทางของเรานั้นลืมเลือนไป<O:p

    · เป็นไปได้มั๊ย ที่ระนาบของโมเบียสหรือเส้นวัฏสงสาร ไม่ได้มีเพียง 1 ระนาบ อาจเป็นหลายทางแยกบนหลายระนาบที่ซ้อนกันอยู่จนเกือบแนบชิด<O:p

    · เป็นไปได้มั๊ย หากเปรียบทางเดินทางบนแถบโมเบียส ทุกจุดบนการเดินทางที่แท้จริง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ล้วนคือจุดเดียวกัน หรือแท้จริงมีแต่ปัจจุบัน ตลอดกาล..?<O:p

    · เป็นไปได้มั๊ย สำหรับผู้ที่หลุดจากแถบโมเบียส คือผู้ที่หลุดพ้นออกจากวัฏสงสารหรืออยู่นอกเหนือกาลเวลา เป็นอนันตกาลเมื่ออยู่ในจุดนั้นจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเวลา <O:p

    · เป็นไปได้มั๊ย ตามพระไตรปิฎก บันทึกว่าในสังสารวัฏอันหาที่สิ้นสุดมิได้นี้ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วมากมายประมาณไม่ได้ บางวงรอบมี พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น แต่บางวงรอบไม่มี บททดสอบ(การสะสมบารมี)ของแต่ละพระองค์ล้วนใกล้เคียง และเกือบซ้ำรูปแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่เปลี่ยนผู้แสดง(เพราะผู้แสดงเดิมหลุดจากวัฏฏะนั้นแล้วมาแทนที่กันไปเรื่อยๆ) หากยังม่ผ่านบททดสอบหรือหลุดจางวงกลมนั้นก็ยังคงแสดงบทบาทนั้นวนไปวนมาอยู่เช่นเดิมจนกว่าจะหาหนทางพบ<O:p

    · เป็นไปได้มั๊ย การเดินทางผ่านจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่าของสังสารวัฏนั้น สอดคล้องกับอาการที่นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสเรียกว่า”เดจาวู” :) Déjà vu เดชาวู แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว) เป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง<O:p

    · เป็นไปได้มั้ย บางทีอาจมีเพียงเส้นบางๆคั่นอยู่ระหว่าง วิทยาศาสตร์-พุทธศาสตร์ เส้นบางๆนั้นไม่อาจใช้การคิดแบบตรรกะ ความคิดพื้นฐานแบบโลกๆ เข้าใจได้<O:p

    · เป็นไปได้มั้ย ที่สมองผมโยงไปเองครับ <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2010
  2. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    อ่านแล้วได้คิดตามไปด้วยอย่างสังเกต
    ไม่ต้องพยายามคำนึงถึงความถูกผิดตามระบบแบบแผนที่กำหนดกัน
    แต่ปล่อยผ่านเป็นความเข้าใจและรับรู้ตามสภาวการณ์

    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  3. pkawatr9

    pkawatr9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +210
    เป็นกำลังใจ

    แบบนี้หากอยากรู้จริง ก็ลองลงมือพิสูจน์ด้วยตนเองเลยครับ... เป็นกำลังใจให้เต็มที่เลยครับ..:cool:
     
  4. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ความเห็นของข้าพเจ้า

    - โลกนี้อาจเหมือนกับที่คุณบอกก็ได้นะ เกิดซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพระท่านบอก เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป และจักรวาลนี้ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โอกาสที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้น ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในจักรวาลนี้ก็คงมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย และเมื่อสิ่งมีชีวิตพัฒนาตนเองจนเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาแล้ว บ้านเมือง เทคโนโลยีต่างๆก็ถูกพัฒนาเฉกเช่นยุคสมัยของพวกเรา
    - แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลก และการก่อสงครามของมนุษย์เอง ก็ทำให้สังคมโลกของเรา ล่มสลายและเกิดขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นในอดีต และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ สภาพสังคมและเทคโนโลยีของคนในอดีตอาจก้าวล้ำกว่ายุคสมัยที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้ แน่นอนที่สุดว่าในอนาคตสังคมโลกอาจเกิดการล่มสลายอีกครั้ง สาเหตุอาจเป็นเพราะเราเองที่ก่อสงครามฆ่าฟันกันเอง หรือเพราะเราเองที่เร่งการเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้โลกย้อนกลับมาทำลายเราเอง หรืออาจถึงเวลาของโลกแล้วที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของมันเอง แต่ในที่สุดแล้ว เราก็จะสามารถสร้างยุคสมัยที่เต็มไปด้วย(มนุษย์)เช่นเดิม เช่นในปัจจุบันนี้
    - แน่นอนถ้ามานั่งคิดตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว พวกเรานี้อาจเกิดซ้ำไปซ้ำมา แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ของโลกจะไม่เป็นเหมือนเดิมทุกครั้งไป แต่เชื่อว่าบทบาททางสังคมต่างๆก็อาจมีอยู่เช่นเดิม เพราะสั่งคมเติมโตขึ้นมาได้เพราะเราแบ่งบทบาทหน้าที่กันทำตามสมควรแก่การเอื้อประโยชน์แก่สังคมนั้นๆ และทางเลือกของหน้าที่และบทบาทที่เหมาะแก่สังคมก็มีแนวทางไม่มากนัก แต่ละยุคจึงดูเหมือนมีหน้าที่และบทบาทซ้ำๆกัน จนบางคนอาจคิดไปเองว่าอันเรานี้เกิดในโลกที่มีเหตุการณ์ซ้ำๆกัน ไม่ต่างไปจากยุคสมัยก่อนๆ เพียงแต่เรานี้เปลี่ยนแค่หน้าที่บทบาทเท่านั้น เหมือนบทละครที่เขียนมาแล้วและให้คนแต่ละคนลงไปแสดงเท่านั้น แค่เปลี่ยนคนเล่น เปลี่ยนบทบาทคนเล่นเท่านั้น ชาตินี้ของเราเกิดเป็นพระเอกของเรื่อง แต่ชาติก่อนเราเกิดเป็นนางเอกของเรื่อง แล้วชาติหน้าเล่าคงได้แสดงเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในบทละครบทนี้เป็นแน่แท้ โลกจริงๆแล้วไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เพียงแต่แนวทางการดำเนินไปของโลกมันมีไม่มากนัก จึงดูเหมือนเดิมเท่านั้นเอง
    - ว่าโดยสรุปแล้ว โลกก็เดินไปในแนวทางเดิมๆของมันเอง เพียงแต่เราเกิดในช่วงแวลาหนึ่งของโลกและทำหน้าที่ๆเราได้เลือก เท่านั้นเอง ....มีต่อเน้อ
     
  5. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ความเห็นของข้าพเจ้า2

    - เรื่องการเห็นเหตุกรณ์ล่วงหน้านั้น ที่พวกฝรั่งมังค่าเรียกหากันว่าแดจังกึม....เออไม่ใช่ซิต้องแดจังวูถึงจะถูก ถ้าคิดในแง่ของจิตวิญญาณแล้วไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นไปได้สูงว่าจิตภายในรู้ว่าพรุงนี้เราจะไปไหน และได้ไปสำรวจก่อนที่ร่างเนื้อและสมองเนื้อนี้จะไปถึงในวันถัดไป และมีโอกาสสำหรับบางคน และสำหรับบางโอกาสเท่านั้นที่จะได้รับรู้จากจิตภายในว่า จิตได้มาสำรวจให้แล้วแล้วนะ สถานที่นั้นเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ หรือรับรู้ได้เพียงแวบนึงว่าเหมือนเคยมา คุ้นๆ เหมือนเหตุการณ์นี้จุดนี้ที่เรายืนอยู่นี้มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว และมันเกิดขึ้นอีก ณ เวลาปัจจุบันนี้ ดังนั้นทบทวนดูแล้ว โลกนี้ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆแบบเดิมกับเราขึ้นได้ ไม่งั้น บาบ บุญ คุณ โทษ คงไม่มี คนเป็นขี้คุกคงเป็นขี้คุกอย่างนี้ทุกชาติไป คนเป็นราชาก็คงเป็นราชาอย่างนี้ทุกชาติไป ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมและคุณคงไม่มีทางเจอหนทางหลุดพ้นเป็นแน่แท้ คงต้องก้มหน้าก้มตามีชีวิตแบบเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้แหละ....มีต่อเน้อ
     
  6. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ความเห็นของข้าพเจ้า3

    - บางทีการที่เราทุกคนจะไปยังแดนนิพพานอาจจะไม่ได้ยากเย็นและสลับซับซ้อนอย่างที่คนมากมายคิดก็เป็นได้ ในแนวความคิดของข้าพเจ้านั้น จะดึงแนวความคิดของคำพูดที่ว่า พรหมมีรูป พรหมไม่มีรูป และนิพพานพรหม มาประกอบการทบทวน แต่จะไม่พูดถึงในที่นี้ ให้ไปศึกษากันเองเน้อ
    - การที่คนเราตายไปแล้วนั่นจะไปเกิดในรูปแบบใหนนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะจิตดวงสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ ข้าพเจ้าเชื่อตามคำโบราณว่า จิตเรานี้มีความสืบเนื่องกัน ไม่ได้เปลี่ยนจากดำเป็นขาวจากขาวเป็นดำในทันที ยกตัวอย่างว่าเป็นตัวข้าพเจ้าเองนี้ เมื่อข้าพเจ้าจะตายข้าพเจ้าได้มีจิตสุดท้ายผ่องใสแต่จิตดวงนั้นก็ยังมีอาลัยอาวรณ์ในโลก คิดติดในกามทั้ง 5 นั้นเอง เมื่อตายไปปุ๊บจิตของข้าพเจ้าก็ยังคงผ่องใส ไม่ได้เศร้าหมองไป จึงได้ไปเกิดในสถานที่ที่สามารถรองรับสภาวะจิตอย่างนั้นได้ คือสวรรค์ชั้นต่างๆ อันมีตาวติงสาเป็นต้น

    แต่หากข้าพเจ้าจิตสุดท้ายเศร้าหมองและตายไป จิตข้าพเจ้าคงไม่ได้ผ่องใสทันทีและไปเกิดในแดนสวรรค์ภพ แต่หากคงตกลงสู่นรกอเวจี ที่รองรับสภาวะจิตที่เศ้าหมองไปเกิดในแดนนั้น

    - แน่นอนว่าจิตดวงสุดท้านนี้สำคัญนัก หากท่านต้องการไปสุขคติภพหลังความตายท่านก็คงต้องมีจิตอันเหมาะแก่สุขคติภพก่อนตายนั้นเอง

    - เมื่อท่านอยากจะไม่เกิดอีกแล้วในภพหน้า ท่านต้องทำจิตให้เป็นผู้ที่ไม่ปราถนาที่จะเกิดอีกแล้วนั้นเอง ทำอย่างไรเล่า ก็ต้องทำจิตของท่านออกจากกามทั้งหลาย มีความไม่พอใจในกามทั้งหลาย เพราะภพภูมิทั้งหลายมีกามเป็นสิ่งบำเรอจิต นั้นเอง

    - แดนนิพพานมีจริงหรือไม่ บางทีข้าพเจ้าได้แต่เพียงอนุมาณเท่านั้นว่าอาจมี และอาจเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เท่านั้นเอง

    - แล้วแดนนิพพานเป็นอย่างไรเล่า ก็คงอนุมาณได้จากสภาวะจิตของพระอรหันที่บอกเล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น ว่า จิตของท่านไม่มีความยึดติด ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และตัวนึกตัวคิด ดังนั้นเป็นไปได้ว่า แดนนิพพาน ไม่มีรูป ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง ไม่มีตัวนึกตัวคิด มีแต่เพียงสภาวะที่เรียกว่าความสุขแบบนิพพานเท่านั้น สุขล้วนๆ อันเกิดจากความสงบ ไม่ปรุงแต่ง จาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และตัวนึกตัวคิดเลย
    สรุปได้ว่าแดนนิพพาน เป็นแดนสงบ เป็นแดนแห่งความสุขบริสุทธ์ บริบูรณ์ สินเชิง โดยปราศจากกามทั้งหลาย (แนวความคิดของข้าพเจ้า)
     
  7. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    อนุโมทนาค่ะ
    ________________________________________
    "สุขใดเหมือนแม้นการไม่เกิดไม่มี" "จะไม่ละความเพียรถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน"
    "สุขใดในโลกล้วนไม่ยั่งยืน ผู้ใดปล่อยวางพิจารณาในความทุกข์เห็นโทษของความสุขผู้นั้นชื่อได้ว่าพบความสุขอันยิ่งใหญ่"<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    อนุโมทนาค่ะ

    ที่จริงวัฏสงสารลองนึกถึงภาพมือกำลังกำก้อนหินนะ
    - นิ้วโป้ง รูป
    - นิ้วชี้ เวทนา
    - นิ้วกลาง สัญญา
    - นิ้วนาง สังขาร
    - นิ้วก้อย วิญญาณ

    [​IMG]

    มันก็เหมือนกับการกำก้วนหินไว้ ก้อนหินเปรียบเสมือนความยึดติดยิ่งเกิดมากเท่าไหร่ ความยึดติดเพิ่มขึ้น แล้วถ้ายิ่งหลง มันก็ยิ่งจะหนักคล้ายๆกับก้อนหินมีขนาดใหญ่และหนัก ในเมื่อเรากำไว้เราก็ทั้งเจ็บทั้งเป็นทุกข์ แต่เค้าอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาหลายภพชาติ จึงไม่รู้วิธีปล่อยทั้งๆที่จริงการปล่อยนี้ง่ายแสนง่ายเหมือนการแบมือ แต่เรากำมันไว้นานจนลืมว่าการปล่อยนั้นทำอย่างไร หรือเปลี่ยนกับการเดินทางหรือที่เขาเรียกว่า เขาวงกตคือ หาทางออกได้ยาก บางทีเรากับมาที่เดิมไม่รู้กี่ครั้ง คือการเกิดมนุษย์มั้ง สัตว์มั้ง เทวดาพรหมมั้ง
    ก็ถูกที่คุณพูดว่าถ้าเรายึดสิ่งใดก็จะได้เกิดสิ่งนั้นเช่นปล่อยวางละขันธ์ 5 ก็ไปอยู่ที่ๆไม่มี ขันธ์ห้า อยากมีความสุขเสวยสุขในเทวโลกก็เลยทำความดี ก็เลยไปที่ๆไปนั้น หรือไม่รุ้ถึงการเวียนว่ายตายเกิดทำแต่กรรมชั่ว และนึกถึงความชั่วที่ทำ แต่จะบอกว่าภาพความดีหรือความขั่วที่ขึ้นมาก่อนตายนั้น เราไม่ทันได้คิดแต่มันขึ้นมาเอง หรือคิดก็มีแต่คนทำกรรมชั่วมากๆจะคิดถึงกรรมดีไม่ออก


    http://palungjit.org/threads/นิมิตหรืออารมณ์ก่อนตาย.237570/
    __________________________________

    "สุขใดเหมือนแม้นการไม่เกิดไม่มี" "จะไม่ละความเพียรถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน"
    "สุขใดในโลกล้วนไม่ยั่งยืน ผู้ใดปล่อยวางพิจารณาในความทุกข์เห็นโทษของความสุขผู้นั้นชื่อได้ว่าพบความสุขอันยิ่งใหญ่"<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  9. ผู้เบิกบาน

    ผู้เบิกบาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +463
    อนุโมทนาคะ. หากยังไม่ถึงซึ่งนิพพานก็ยังเวียนว่ายตายเกิดเป็นไ่ปตามวัฏสงสาร
     

แชร์หน้านี้

Loading...