แอตแลนติส

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 23 กันยายน 2006.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    แอตแลนติส
    กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรโบราณนามแอตแลนติส ได้สถิตอยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ทั้งนี้ เนื่องมาจากความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอาณาจักร แอตแลนติสเป็นดินแดนที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากร มีเทคโนโลยีทางวัตถุที่สูงส่ง ซึง่ท้ายที่สุดก็นำเอาความล่มจมมาสู่ผู้ถือครองเทคโนโลยี แอตแลนติส... เป็นอาณาจักรในฝันที่ถูกถ่ายทอดผ่านกาลเวลามาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง จากเรื่องเล่าขานกลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเทพนิยาย ไม่มีใครในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า แท้ที่จริง อาณาจักรนี้เคยดำรงคงอยู่หรือไม่ ถ้าเคยมีอยู่จริง แอตแลนติสนั้นตั้งอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้?

    สิ่งที่นักโบราณคดและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าจากวรรณกรรมโบราณ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อันน่าฉงนเพียงไม่กี่ชิ้น ซึ่งระบุไม่ได้ด้วยซ้ำว่า โบราณวัตถุเหล่านั้น คือผลพวงจากอารยธรรมแอตแลนติสหรือไม่ หรือว่าแอตแลนติสจะเป็นเช่นเดียวกับทรอยและไมซีนี่ ที่แรกเริ่มเดิมที ทุกคนเข้าใจว่า เป็นเพียงเมืองในตำนานที่กวีจินตนาการขึ้น หาได้มีอยู่ในโลกนี้จริงๆไม่

    เรื่องราวของอาณาจักรอันรุ่งเรือง ที่ล่มสลายไปเพราะภัยพิบัติ ดูจะเป็นสากลที่มีอยู่ในตำนานเล่าขานของทุกชนชาติ วีรบุรุษผู้นั่งเรือข้ามขอบฟ้าของอเมริกาใต้ ทายาทของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลาย อาณาจักรแห่งเทพของธิเบต ที่เป็นที่พำนักของเผ่าพงศ์ศักดิ์สิทธิ พระราชวังใต้ดินแห่งเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย มหาปิระมิดคูฟู เรื่องราวเหล่านี้ ดูจะสอดคล้องกันในแง่ของการตกทอดทางอารยธรรมที่ล่มสลายไปแล้ว ทว่า ห่วงโซ่ที่จะร้อยเอาเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อพิสูจน์ว่า มันมาจากต้นตอเดียวกันนั้น ยังไม่มีใครค้นพบ หรืออีกนัยหนึ่ง มนุษย์ในปัจจุบัน ยังหากุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวของอาณาจักรโบราณนี้ไม่เจอ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าก็เพียงแต่กระพี้เล็กๆที่ไม่ใช่แก่น ถึงกระนั้น นัยสำคัญของกระพี้เหล่านั้น ก็บ่งบอกเราอยู่เป็นราางๆว่า เรื่องราวของแอตแลนติส ไม่ได้เป็นเพียงตำนานที่ไร้ตัวตนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเจริญก้าวหน้าเท่าใด เราก็ยิ่งฉงนฉงายกับเรื่องราวที่เราเคยมองว่า "โบราณ" และ "ล้าสมัย" มากขึ้นเท่านั้น

    สิ่งที่ท่านจะได้สัมผัสต่อไปนี้ คือส่วนหนึ่งของหลักฐานชิ้นเล็กหลายๆชิ้น ซึ่งนักค้นคว้าบางกลุ่มนำมาปะติดปะต่อกัน เพื่อยืนยันการคงอยู่ รวมทั้งเป็นเข็มทิศคลำทางไปสู่ถนนสายหลักของนครแห่งความฝัน ที่มีนามว่า "แอตแลนติส"

    แอตแลนติสในแวดวงโบราณคดี
    ว่ากันว่าที่เกาะแอตแลนติสอันมั่งคั่ง เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา เรื่องราวขงแอตแลนติสเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่ทว่า... ดินแดนในฝันนี้มันมีอยู่จริงหรือไม่ อยู่แห่งหนใด และเมื่อในช่วงเวลาใด ที่อาณาจักรนี้ตั้งตระหง่านท้าทายอำนาจภูตเทพอยู่

    ตำนานเกี่ยวกับทวีปอันมั่งคั่งโอ่อ่าที่พลเมืองอาศัยอยู่อย่างสุขสันต์ทว่าถูกกวาดทำลายสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน ได้ติดตรึงอยู่ในใจของชาวตะวันตกมานานกว่า 2000 ปีแล้ว เพลโตปรัชญาเมธีชาวกรีกได้พรรณนาถึงการอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสไว้ คำพรรณนาของเขาดลบันดาลใจให้มีคนพากันเขียนเรื่องเกี่ยวกับดินแดนนี้ประมาณ 2000 เล่ม มีการค้นหาแอตแลนติสเป็นเวลานับไม่ถ้วนจำนวนปี บางคนทั้งนักวิชาการและวิชาเกินต่างพากันเสนอว่า ดินแดนนี้ควรจะอยู่ตรงนั้นตรงนี้บ้างต่างๆกันไป เบ็ดเสร็จจนถึงปัจจุบันแล้วก็ราวๆ 40 กว่าแห่ง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่ามันมีอยู่จริง

    ที่มาของแอตแลนติสที่พวกเรารู้จักกันดีนั้น มาจากงานเขียนของเพลโตที่ชื่อ ทิไมอุส และ ครีติอัส ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวของเกาะที่"ใหญ่กว่าลิเบียและเอเชียไมเนอร์รวมกัน" กับพลเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะอันอุดมสมบูรณ์ โดยท้าวความถึงเทพนิยายกรีกที่เมื่อแรกมีการแบ่งดินแดนกัน โปเซดอนเทพแห่งห้วงสมุทรและแผ่นดินไหวได้รับแอตแลนติสมาเป็นสมบัติ ชาวแอตแลนติสทุกคนจึงเป็นเชื้อสายของโปเซดอนกับเคลริโอ ชายาซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวโลก

    ตามที่เพลโตกล่าวเอาไว้นั้น แอตแลนติสเป็นชาติที่กุมอำนาจทางทะเลเอาไว้ มีที่ตั้งอยู่ ณ ที่ซึ่งเลยเสาหินของเฮอร์คิวลิส หรือช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบันออกไป อาณาจักรนี้ครอบคลุมน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจรดอียิปต์และตุรกี เป็นดินแดนอันอุดมด้วยทรัพยากรและอาหารนานาชนิด ทิวเขาสูงกำบังลมจากทางเหนือ สรรพสัตว์ทั้งช้างและม้าเล็มหญ้าอยู่ในท้องทุ่ง ดื่มกินน้ำจากทะเลสาบและลำธาร มีกษัตริย์สิบองค์ครองดินแดนสิบแคว้น พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข "พวกเจารังเกียจทุกอย่างนอกจากคุณธรรมอันดีงาม ไม่สนใจใยดีต่อสมบัติพัสสถาน ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือทรัพย์สมบัติอื่นๆ" ชาวแอตแลนติสเป็นทั้งพลเมืองตัวอย่างและนักขี่ม้าที่เก่งกาจ นอกจากนั้นพวกเขายังเชี่ยวชาญด้านการเดินเรืออีกด้วยต่อมาชาวแอตแลนติสไม่พอใจกับโชคลาภที่มีและพยายามจะแผ่ขยายอาณาเขต เพื่อทำการครอบครองโลก เกิดสงครามที่รุนแรงตามมาหลายต่อหลายครั้ง ชาติเล็กชาติน้อยย่อยยับกับการกรีฑาทัพของแอตแลนติสไปเป็นแถวๆ มีนครเอเธนส์ของเทพีอาเธน่าเพียงแห่งเดียวที่ยืนหยัดต่อต้านแอตแลนติสเอาไว้ได้ โปเซดอนพิโรธชาวแอตแลนติสมาก และประมาณ 9,500 ปีก่อน คริสตกาลก็เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นบนตัวทวีป ทำให้แอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลื่น ไม่เหลือร่องรอยใดๆเอาไว้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    กล่าวถึงเทือกเขาแอนดิส ทุกคนคงจะรู้จักดี โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขาที่เต็มไปด้วยอาณาบริเวณของชนเผ่า สิ่งก่อสร้าง ที่บ่งถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ข้อสังเกตว่า เทือกเขาดังกล่าวเมื่อก่อนมิได้สูงชะลูดชูดชันขนาดดังในปัจจุบัน หากแต่มันต้องเกิดการยกตัวขึ้นอย่างทันทีทันใดในเวลาไม่นานมานี้ ที่ว่าไม่นานคือ อยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์สามารถพัฒนาอารยธรรม จนกระทั่งมีเรือขนาดใหญ่ใช้กันน่านล่ะครับ

    หลักฐานอยู่ตรงไหน? เรามาดูบริเวณทะเลสาบติติคาคากันเสียหน่อย ทะเลสาบอันโด่งดังแห่งนี้ อยู่บริเวณเทือกเขาแอนดิสซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 12,500 ฟุต และห่างจากมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 200 ไมล์นั้น มันดันมีท่าเรือโบราณตั้งอยู่น่ะสิครับ แหวนสำหรับเคเบิลเรือที่นักสำรวจพบที่นั่น มันใหญ่ขนาดพอที่จะใช้กับเรือเดินสมุทรขึ้นไป อีกประการ ตำนานโบร่ำโบราณที่กล่าวถึงกษัตริย์พระอาทิตย์ผู้ปกครองดินแดนก็ดี ซากสัตว์ทะเลที่พบในบริเวณนั้นก็ดี ล้วนแต่บ่งบอกกับเราว่า เทือเขาแอนดิสน่าจะเป็นมหาสมุทร หรือชายฝั่งทางตะวันตกของอเมริกาใต้มาก่อน

    ที่พูดมาเสียยืดยาวนี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ อยากจะให้ตั้งข้อสังเกตกันเท่านั้นแหละว่า เป็นไปได้ไหมที่สาเหตุของการยกตัวอย่างฉับพลันบริเวณเทือกเขาแอนดิส มาจากการจมลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของอนุทวีปแอตแลนติส?

    จุดจบของแอตแลนติส อาจไม่ได้มาจากสงครามหรือการลงทัณฑ์ของทวยเทพ แต่เป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติโดยแท้จริง ภัยสะท้านโลกครั้งนี้ แม้จะทำลายอารยธรรมแอตแลนติสลงอย่างสิ้นเชิง กระนั้น มรดกทางอารยธรรมที่ยังเหลือมาสู่หูตาอนุชนรุ่นหลัง ก็ยังมีอยู่มากมายกระจัดกระจายกันไปทั่วโลก ดังที่ท่านจะได้พบได้เจอไปทีละอย่างสองอย่าง ในสารคดีมหายาวของนายโซนิคชุดนี้ครับ

    แอตแลนติสในแวดวงโบราณคดี 2
    แอตแลนติสเป็นอาณาจักรเจ้ากรรมที่มีข้อขัดแย้งกับนักประวัติศาสตร์ปัจจุบันอยู่มากครับ หลายๆท่านค้านว่าอาณาจักรนี้น่าจะเป็นเพียงอาณาจักรในนิทานมากกว่าที่จะมีอยู่จริงๆ เพราะอะไรน่ะหรือครับ เรามาดูมุมมองของนักประวัติศาสตร์กันดีกว่า

    อารยธรรมแห่งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาลหรือราวๆห้าพันปีก่อน ในดินแดนแถบตะวันออกกลางที่เป็นที่ตั้งของประเทศอิรัคในปัจจุบัน ครับ ดินแดนเมโสโปเตเมียนั่นเอง ถ้าจะอิงตามตำราประวัติศาสตร์มันก็ใช่อยู่หรอก เพราะไม่มีชุมชนถาวรของมนุษย์ตั้งอยู่เลยก่อนหน้าอารยธรรมสุเมเรียนจะบังเกิด และก่อนหน้า 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ไม่มีร่องรอยของชุมชนมนุษย์ที่เป็นเมืองใหญ่เลยด้วยซ้ำ และประการสำคัญนครเอเธนส์ก็ยังไม่มีขึ้นบนโลกนี้ แล้วเอเธนส์ที่ทำศึกกับแอตแลนติสนั้นมาจากไหนเล่าครับ?

    ในยุค 9,500 B.C. ที่เพลโตอ้างถึงนั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ม้ากันเลย เพิ่งมาเริ่มใช้กันตอนเริ่มยุคสำริดเมื่อประมาณ 300 BC. แต่ในเรื่องของเพลโตนั้นกลับกล่าวถึงม้าเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง และที่เพลโตย้ำว่าเกาะแอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสาหินของเฮอร์คิวลิสออกไปนั้น ยิ่งทำให้ระบุสถานที่ได้ลำบากเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าอะไรต่อมิอะไรมันอยู่ตรงนั้นบ้าง ที่ตั้งที่พอจะใกล้เคียงกันกับแอตแลนติสของเพลโตนั้นก็มีเกาะธีราหรือซานโตริโนของกรีก (แต่มันไม่ยักกะตรงกันเลยในความเป็นจริง) แล้วก็เมืองทรอย ซึ่งอาจถูกเล่าลือกันว่ามันคือแอตแลนติส ในปี 1992 ดร.เอเบอร์ฮาร์ท ซังเงอร์ นักธรณีโบราณคดีผู้โยงโบราณคดีเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ตีพิมพ์ผลงานการค้นคว้า ซึ่งว่าด้วยเรื่องการค้นหาตำแหน่งของแอตแลนติส ซึ่งกินเวลาศึกษานานนับสิบปีในหนังสือชื่อ The Flood from Heaven เขาเสนอว่าเมืองทรอยบนผืนแผ่นดินใหญ่ของตุรกีนั้นตรงกับคำบรรยายของเพลโตเกี่ยวกับแอตแลนติส เมืองทรอยตั้งอยู่ทางเหนือของที่ราบติดกับช่องแคบ มีลมจากทางเหนือพัดกระหน่ำเข้าใส่ รวมทั้งมีบ่อน้ำร้อนน้ำเย็นอยู่ใกล้ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อว่า "เสาหินของเฮอร์คิวลิส" เพิ่งจะเอามาเรียกช่องแคบยิบรอลต้าเมื่อราวๆ 500 ปีก่อนคริสตกาลนี่เอง ก่อนหน้านั้นคำนี้ใช้เรียกช่องแคบดาร์คาแนลซึ่งคั่นระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย ช่องแคบดังกล่าวเชื่อต่อไปถึงทะเลดำ ส่วนเรื่องการจมหายไปของทวีปแอตแลนติสนั้น(อย่าลืมนะครับว่า กรุงทรอยไม่ได้จมหายไปไหน) ดร.ซังเงอร์กล่าวว่า เมื่อประมาณ 1,200 BC. มีอุทกภัยฉับพลันทำให้น้ำท่วมในดินแดนทรอยส่วนที่เป็นที่ราบ และมันกลายไปเป็นตำนานน้ำท่วมแอตแลนติสไป เฮ้อ...

    ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟและหน้าผาสูงชัน เป็นข้อพิสูจน์ถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแก่เกาะธีราหรือซานโตริโน เมื่อประมาณ 1500 BC. นับแต่ปี ค.ศ. 1967 เป็นต้นมามีการขุดพบซากอารยธรรมอันรุ่งเรืองยุคสำริด ซึ่งมีภาพเขียนปูนเปียกและโบราณวัตถุคล้ายคลึงกับที่พบบนเกาะครีตของพวกไมโนอัน ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ 120 กม. มีข้าวของเครื่องใช้ของลัทธิบูชาวัว ซึ่งตรงกับคำบรรยายของเพลโตเกี่ยวกับควมเชื่อทางศาสนาของแอตแลนติส

    ตาภูเขาไฟอันโด่งดัง มันคือชอนิมปล่องภูเขาไฟซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร เป็นซากของภูเขาไฟที่เคยตระหง่านอยู่บนเกาะธีรา มีหลักฐานบ่งว่าแรงระเบิดแผ่ไปไกลถึงเกาะครีตและชายฝั่งตะวันตกของตุรกี และเป็นไปได้มากว่าเถ้าจากภูเขาไฟระเบิดครั้งนี้ บดบังแสงอาทิตย์ทั่วทั้งแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกไปหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาไฟระเบิดที่ธีรายังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการล่มสลายของอารยธรรมไมโนอัน ซึ่งกำลังเรืองอำนาจอยู่บนเกาะครีตอีกด้วย

    แอตแลนติสในวรรณกรรม
    อาจกล่าวได้ว่าโลกได้รับทราบรายละเอียดของแอตแลนติสจากงานชื่อ "ทิไมอุสและคริติอัส" ของเพลโต ซึ่งได้มาจากปรัชญาเมธีโซลอน ซึ่งไปเอาเรื่องเหล่านี้จากนักบวชแห่งอียิปต์อีกต่อหนึ่ง (หลายซึ่งจังวุ๊ย) ในครั้งที่โซลอนเดินทางไปยังอียิปต์เมื่อ 560 ปีก่อนคริสตกาลครับ

    โซลอนเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากนักบวชไอยคุปต์จากวิทยาลัยสงฆ์ที่นั่น โดยเอามาจากเอกสารโบราณอายุนับพันๆปี บันทึกดังกล่าวพูดถึงทวีปที่อยู่ไกลโพ้น ถัดจากบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (แถวช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน) ซึ่งจมลงเมื่อประมาณ 9560 ปี ก่อนคริตกาล ครับ... ทวีปนั้นก็คือแอตแลนติสนั่นเอง

    "ถัดจากเสาหินของเฮอร์คิวลิส? มันก็อเมริกาน่ะสิ ที่แท้แอตแลนติสก็หมายถึงทวีปอเมริกานี่เอง..." ยังครับ ยัง.. อย่าเพิ่งสรุปอะไรง่ายๆอย่างนั้น ดูจากแผนที่โลกโบราณมันก็ดูเหมือนจะใช่อยู่หรอก แล้วถ้าเทียบเคียงความเจริญของหลายๆชนเผ่า เช่น อินคา มายา แอสเท็ค มันก็ยิ่งเข้าเค้าว่า แอตแลนติสตามคำบรรยายของเพลโต ปัจจุบันคือทวีปอเมริกา แต่เปล่าหรอกครับ... มันไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างแรก เพลโตมิได้สับสนเรื่องทวีปอย่างแน่นอน เพราะในงานเขียนของเขากล่าวว่า ถัดจากแอตแลนติสออกไปทางตะวันตกยังมีทวีปใหญ่อยู่ด้วย (นั่นแหละ อเมริกา) และมหาสมุทรในความหมายของเพลโต คือมหาสมุทรที่เป็นมหาสมุทรจริงๆ มิใช่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นเพียงทะเลท้องถิ่นแถบบ้านเกิดของเพลโต

    รายละเอียดของแอตแลนติสในงานเขียนของเพลโต กล่าวไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ เพลโตกล่าวถึงแอตแลนติสว่า เป็นเกาะขนาดอนุทวีป มีที่ราบแห้งแล้งในใจกลางเกาะ แนวเขาสูงเป็นปราการธรรมชาติกั้นลมอยู่ทางเหนือ สภาพอากาศอยู่ในแบบกึ่งเขตร้อน พืชผลอุดมสมบูรณ์พลเมืองสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละสองครั้ง ประเทศของแอตแลนติสมั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีความรุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น แอตแลนติสยังมีอู่ต่อเรือ คลองสำหรับคมนาคม พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกด้วยเรือเดินสมุทรครับ.

    เพลโตยืนยันว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องจริง และอ้างว่าเขาได้รับฟังเรื่องนี้มาจากรัฐบุรุษโซลอน ซึ่งรับฟังมาอีกทอดจากนับวชก่อนหน้านั้น เรื่องราวได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ พูดแล้วน่าเศร้าครับ ในแง่ของประวัติศาสตร์ปัจจุบัน แม้กระทั่งท่านอริสโตเติลลูกศิษย์ของเพลโตเองก็ไม่ยอมรับว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องจริง การอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสนั้นมีปัญหาอยู่สองประการ นั่นคือเรื่องของระยะเวลาและสถานที่ตั้ง ครับ... นั่นคือมุมมองและบทสรุปของวิชาประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ซึ่งนายโซนิคอ่านดูก็ออกจะขัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขาเพิกเฉยต่อหลักฐานหลายๆอย่างที่พอจะเอามาอ้างอิงได้ แต่ก็เอาเถอะครับ ลองมาดูกันดีกว่าว่า ประวัติศาสตร์และโบราณคดีในปัจจุบัน สรุปเรื่องของแอตแลนติสเอาไว้อย่างไรกันบ้าง

    เทพแท้หรือเทียม ตำนานหรือประวัติศาสตร์(ต่อ...)
    ส่วนในจีน ได้มีการบันทึกกล่าวถึงราชาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันได้แก่ เทียนหวง ตี้หวง และเหยินหวง อันหมายถึงราชาแห่งสวรรค์ ราชาแห่งผืนดิน และราชาแห่งมนุษย์ตามลำดับ ราชาเหล่านี้หอบเอาอารยธรรมสูงส่งอันมีที่มาที่ไปไม่แน่ชัดมาสู่ชาวจีน และหายไปกับคลื่นแห่งประวัติศาสตร์อย่างไร้ร่องรอย (โปรดดูเรื่องปิระมิดในจีนประกอบด้วยนะครับ)

    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและทายาทแห่งพระเจ้าที่มีอยู่ทั่วไปในขอบข่ายและช่วงเวลาอันยาวนานไร้ที่สุดของกาลเวลา เสียดายครับที่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวทั้งหลายได้ถูกเอาไปปะปนกับเทพนิยายและไสยศาสตร์ ความทรงจำอันรางเลือนจากบรรพชนเหล่านี้ มีทางที่จะฟื้นขึ้นมาให้ความกระจ่างแก่พวกเราหรือไม่หนอ...

    ตัวอย่างของเทพแห่งวัฒนธรรม
    ใครที่ดู The Mummy คงจำคัมภีร์ที่ชื่อ The Book Of The Dead ได้นะครับ ในคัมภีร์แห่งความตายเล่มนี้กล่าวถึงบันทึกของธ็อธ - - เทพแห่งวรรณคดีและความรู้ อันมีสถานที่กำเนิดอยู่ในดินแดนห่างไกลทางตะวันตก ที่นั่นมีนครริมทะเลและมีภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก วันหนึ่งมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในดินแดนของธ็อธ ที่จู่ๆพระอาทิตย์ก็ได้ดับมืดลง แม้แต่เทพอย่างธ็อธก็ยังอับจนปัญญากับสถานการณ์เช่นนี้ พระองค์ทรงนำประชากรข้ามน้ำไปยังดินแดนทางตะวันออก เนื้อหาของคัมภีร์โบราณของชาติที่เจริญผิดยุคอย่างอียิปต์นี้ อ่านแล้วพอจะคิดถึงแอตแลนติสกันบ้างไหมครับ?

    เอล. ฟิลิโบฟฟ์ นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวอัลเจียรส์ ได้พบข้อเท็จจริงอย่างใหม่ในข้อความในปิระมิดระหว่างราชวงศ์ที่ 5-6 เป็นเรื่องของเทพธ็อธผู้ทรงเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ราศีพิจิก พิลิโบฟฟ์จึงสรุปว่า ในยุคที่อารยธรรมของพระเจ้าปรากฏขึ้นในอียิปต์เป็นเวลาเมื่อเวอร์นัลอิควิน็อกซ์อยู่ในราศีพิจิก หรือเมื่อประมาณ 7,256 BC (ใกล้เคียงกับที่ Sitchin คาดการณ์เอาไว้ครับ แต่ขัดแย้งกันทางแนวคิด หนึ่งว่ามาจากแอตแลนติส หนึ่งว่ามาจากอวกาศ อ่านรายละเอียดได้ในเรื่องพระเจ้าจากอวกาศนะครับ) นอกจากอียิปต์แล้ว เฮอร์เมสแห่งกรีก(เมอร์คิวรี่นั่นแหละครับ ในภาษาโรมัน) ก็เป็นเทพผู้นำวัฒนธรรมมาสู่มวลมนุษย์ เฮอร์เมสได้สอนมนุษยชาติให้รู้จักกระบวนการทางตรรกะ การดูดาว เล่นพิณ วิชาแพทย์ และการหลอมโลหะ เฮอร์เมสมักจะมีปีก หมวกและถือคาดูซิอุสหรือคทาที่มี"งูสองตัวพันกันและมีปีก" อันเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารจากทูตแห่งเทพเจ้าบนสวรรค์ ตามตำนานแล้ว เฮอร์เมสเป็นบุตรของเซอุสและไมอา คำว่า Hermes ในภาษากรีกหมายถึงผู้ตีความ และเป็นที่น่าสังเกตนะครับที่เฮอร์เมสเป็นหลานของเทพแอตลาส(ซึ่งเป็นบรรพบุรุษแห่งแอตแลนติส?)

    ภาคที่หนึ่ง ตำนานหรือข้อเท็จจริง

    การจมหายของผืนแผ่นดินลงสู่ก้นมหาสมุทร ด้วยอานุภาพของแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ ดูจะเป็นที่เล่าขานสืบกันมานานในประวัติศาสตร์ แห่งชาติพันธุ์มนุษย์ เรื่องที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเรานั้นก็ได้แก่ การระเบิดและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร ของเกาะกรากาตั้วที่อยู่ระหว่างเกาะสุมาตราและชวา อันมีสาเหตุมาจากภูเขาไฟชื่อเดียวกัน ผลจากแรงระเบิดทำให้เกิดคลื่นสูงถึง 100 ฟุต กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างจมหายไปกับคลื่นยักษ์ เสียงกัมปนาทของภูเขาไฟได้ยินไปถึงทวีปออสเตรเลีย ชั้นบรรยากาศโลกปั่นปวนและมืดทพมึนไปด้วยฝุ่นและลาวาจากปากปล่องภูเขาไฟ...

    ภูเขาไฟ ภัยพิบัติที่น่ากลัวอีกประการหนึ่งของมนุษย์

    เป็นไงครับ พอจะนึกภาพออกไหมกับการระเบิดในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงที่สุด เท่าที่มนุษย์รุ่นใหม่ยุคจรวดอย่างพวกเราได้ทันพานพบ การระเบิดของกรากระตั้ว สะเทือนทั้งโลกสะเทือนทั้งขวัญผู้คนอย่างรุนแรง เพราะเกาะใหญ่ระดับอนุทวีปเกาะหนึ่ง จมหายมิดไม่เหลือแม้แต่นิดเดียวภายในเวลาไม่นาน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี้เอง ตอนนี้เล่าครับ? การระเบิดของภูเขาไฟกรากระตั้ว กลายเป็นแค่ตำนานยุคใหม่ กาลเวลาได้ลบเลือนมันออกไปจากความทรงจำของผู้คน น้อยคนนักที่จะระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดในช่วงอายุคนที่ผ่านมาของพวกเรานี้เอง

    สิ่งนี้พอจะทำให้เราหวนระลึกได้ไหมว่า บางที การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาครั้งสำคัญ อาจเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และถ้าเราจะนับเรื่องของแอตแลนติสปนเข้าไปในนั้นด้วย มันก็ไม่แปลกอะไรหากทวีปใหญ่ๆซักทวีป จะหายไปจากโลกในพริบตา อารยธรรมที่สั่งสมกันมาแสนนานสามารถล่มสลายกันได้ในชั่วข้ามคืน ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยานี่แหละ

    การศึกษาในปัจจุบันทำให้เราทราบว่า มีนครโบราณ ดินแดนที่รุ่งเรืองด้วยอารยธรรมมากมาย ที่ล่มสลายไปกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์ นครอีทรัสกัน, โอสกูเรีย แม้กระทั่งท่าเรือใหญ่แห่งทะเลเอเดรียติคของกรีก ปัจจุบันก็นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ก้นทะเล ทิ้งความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาลให้ลูกหลานรุ่นปัจจุบันได้ระลึกถึงเท่านั้น ทีนี้เราลองมาดูเรื่องราวที่ฟังดูคล้ายกับนิทานดูกันบ้างไหมครับ หลายๆเรื่องที่เล่ากันมา ผู้คนนึกว่าเป็นตำนาน หรือไม่ก้เรื่องเล่าปรำปราเท่านั้น แต่กลับมาเจอเอาว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปช่วงหนึ่ง นายโซนิคขอยกเคสของวิหารจูปิเตอร์ ที่อิตาลี สร้างเมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนคริสตกาล มีชื่อในความโออ่าสวยงามเป็นอย่างมาก อารามนี้ค่อยๆจมลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และโผล่ขึ้นเหนือน้ำอีกครั้งเมื่อปี 1742 และในปัจจุบัน มันก็กลับจมอยู่ก้นทะเลเช่นเดิม ส่วนป้อมปืนแห่งคาราวาน-ซาไรแห่งทะเลแคสเปียนนั้นเล่า มันค่อยๆจมหายลงไปในทะเลพร้อมทั้งเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับตัวมัน จนทำให้คนยุคหลังคิดว่าป้อมนี้เป็นแค่นิทานที่เล่าสืบต่อกันมา แต่แล้วเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน ป้อมนี้ก็โผล่ขึ้นมาเป็นเกาะเล็กๆเหนือน้ำ และสามารถเห็นได้เด่นชัดมากในปัจจุบัน

    ไม่เพียงแต่เกาะหรือแนวทะเลแถบชายฝั่งเท่านั้นหรอกนะครับ แผ่นดินหรือทวีปผืนใหญ่ๆก็เคยยกตัวหรือจมลงจากระดับปกติของมันมาแล้วทั้งนั้น อย่างประเทศไทยแถบภูกระดึง หรือภาคอิสาน เมื่อก่อนก็เป็นทะเล ขณะนี้ประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีกำลังยุบตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แถบหิมาลัยกำลังยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก บางทีก็ค่อยเป็นค่อยไปชนิดสองมิลลิเมตรต่อศตวรรษ แต่บางคราวก็ปุบปับอย่างน่าใจหาย ส่วนที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่า เป้นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบปุบปับและรุนแรงที่สุด ก็คือส่วนที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติคในปัจจุบัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่า บริเวณนั้น น่าจะเคยเป็นทวีปใหญ่และผืนแผ่นดินมาก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แอตแลนติส อาจจมอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติคก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ปัจจุบัน เรายังไม่มีหลักฐานที่เด่นชัดมายืนยัน

    หลักฐานสำคัญที่ควรสนใจอยู่ที่เทือกเขาแอนดิสครับ มาดูกันดีกว่าว่า ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจ แะลพอจะตอบคำถามที่พวกเราสงสัยกันได้ไหมว่า แท้ที่จริง แอตแลนติส ล่มสลายเพราะสงครามหรือภัยพิบัติตามธรรมชาติกันแน่?

    ภาคที่สอง: การอพยพและอาณานิคม

    ว่าด้วยเรืออาร์ค และอากาศยานอื่นๆ
    นิทานปรำปราว่าด้วยน้ำท่วมโลก มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกวัฒนธรรม มีมากเสียเกินกว่าจะเกิดจากความบังเอิญ หรือเกิดจากการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม เพราะชนชาติที่อยู่กันคนละซีกโลกอย่างชาวบุชเมนในแอฟริกา หรือชาวเอสกิโมในแถบขั้วโลก ยังมามีตำนานที่ต้องตรงกันได้ เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นความทรงจำในอดีตที่ถุกถ่ายทอดกันมามากกว่าอย่างอื่น และที่สำคัญ ความทรงจำในช่วงนั้นคงน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ความทรงจำของคลื่นลูกเท่าภูเขา พายุและภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นพร้อมกันทั่วโลก... รวมทั้งอารยธรรมที่มาถึงจุดหยุดนิ่ง และมนุษยชาติที่เหลืออยู่ก็ได้กลับสู่ความป่าเถื่อนอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าสูงสุดกับคืนสู่สามัญแบบในหนังจีนนั่นเองครับ

    ว่าจะไม่เอาเรื่องเก่าๆมาพูดซ้ำ แต่ก็ต้องเล่ากันอีกจนได้ เพราะไม่มีตัวอย่างใดที่ดีกว่านี้มาสนับสนุนแล้ว เรื่องที่ว่าก็คือตำนานของ"น้ำท่วมโลก" ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องจริงกันล่ะครับ เพราะ"ทั่วโลก"มีตำนานเรื่องนี้ตรงกันหมด เช่นตำนานของชาวสุเมเรียน - มหากาพย์กิลกาเมช กล่าวถึงอุตนาปิชทิมบรรพบุรุษคนแรกของมนุษยชาติ เขาและครอบครัวเป็นผู้รอดตายจากน้ำท่วมครั้งนั้น โดยได้ช่วยชีวิตของคน สัตว์ และนก ขึ้นเรืออาร์คหนีภัยจากน้ำท่วมโลก

    "อาร์ค เรืออาร์คของโนอาห์น่ะเรอะ?"
    แม่นแล้วครับ เรืออาร์คลำเดียวกันนั่นแหละ เพราะเรื่องของโนอาห์ในไบเบิ้ลเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงเขียนขึ้นมาภายหลังจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน เอาหลักฐานอีกสักเรื่องไหม? คัมภีร์ "เซ็นต์อเวสตา" ของอิหร่าน กล่าวถึงผู้อาวุโสแห่งเปอร์เซียที่ได้รับคำสั่งจากเทพอาหุรมาซดา (เทพโบราณแห่งลัทธิบูชาไฟโซโรอัสเตอร์) ให้เตรียมพร้อมการอพยพภัยจากน้ำท่วมโลก ดังนั้นจึงมีการสร้างอุโมงค์ใหญ่ บรรจุสัตว์และพืชที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และปิดเอาไว้ในช่วงมีภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ อารยธรรมจึงยังคงหลงเหลืออยู่ได้ภายหลังน้ำท่วมใหญ่ได้จบลง

    ในมหาภารตะของอินเดีย ได้เล่าถึงพระพรหมแปลงกายเป็นปลา เตือนพระมนูเรื่องน้ำท่วมโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยคำแนะนำที่พระมนูได้รับนั้นคือการ "พาฤาษีทั้งเจ็ด และเมล็ดพันธุ์นาๆชนิดลงเรือ เก็บรักษาไว้ให้จงดี" พระมนูทำตามคำสั่งของพระพรหมและลงเรือใหญ่ผ่านมหันตภัยนับเป็นปีๆ จนกระทั่งจอดบนเทือกเขาหิมาลัย โดยจุดที่พระมนูขึ้นฝั่งนั้นเรียกว่าอารยวรรต (คิดถึง Ararat ยอดเขาที่โนอาห์ขึ้นฝั่งกันบ้างไหม?)เป็นไงครับ ความคล้ายคลึงกันของเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงแค่ เรื่องของความบังเอิญเสียแล้ว แต่น่าจะเป็นเรื่องจรงิที่ชัดเจนที่ถูกถ่ายทอดต่อๆกันมา ถึงมหันตภัยครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก

    ว่าแต่ว่า มนุษย์นั้นหนีจากน้ำท่วมโลกครั้งนั้นได้อย่างไรกัน? สองสิ่งที่จะหนีพ้นกระแสน้ำได้ก็คือทางเครื่องบินและเรือเดินทะเล ครับ... ฟังดูแล้วอาจจะเพ้อฝันไปหน่อย แต่หลักฐานทั้งหลายที่คนรุ่นหลังได้ค้นพบมันชี้นำไปว่า มีความเป้นไปได้ที่สมัยโบราณนั้น มนุษย์มีอากาศยานใช้กันแล้ว และใช้เป็นวิธีการหลักในการหนีน้ำท่วมโลกเสียด้วยสิครับ เช่นตำนานของชาวเอสกิโม กล่าวถึงนกเหล็กขนาดยักษ์ที่พาพวกเขาหนีน้ำไปทางเหนือ สู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง นี่มิได้หมายถึงการบอกเล่าเรื่องราวของอากาศยานก่อนยุคประวัติศาสตร์ดอกหรือครับ?

    ชาวพื้นเมืองของดินแดนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย มีเรื่องของน้ำท่วมโลกและคนกึ่งนก คะวันผู้เป็นหัวหน้าได้ให้ปีกแก่วาร์คและไวร์ เมื่อ"น้ำเต็มลำธารและทะเลเอ่อสูง น้ำท่วมหมดทั้งแดนดิน ภูเขา ต้นไม้และทุกสิ่ง" จากนนั้นคะวันก็บินจากไป

    มหากาพย์กิลกาเมชกล่าวถึงเทพผู้กลัวน้ำท่วม และอพยพหนีภัยขึ้นไปบนสวรรค์ ว่ากันว่าตำนานนี้ตีความออกมาได้ลึกล้ำน่าพิศวงมาก หากสวรรค์เบื้องบนน่าจะหมายถึงอวกาศและเทพทั้งหลายก็ไม่ใช่เทพจริงๆ พวกเขาน่าจะเป็นชนชั้นปกครองของแอตแลนติสที่หนีภัยน้ำท่วมมากกว่า ...ภายใต้คำเตือนและความช่วยเหลือของ Anunnaki หึ หึ หึ...

    ว่าด้วยเรืออาร์คและอากาศยาน(ต่อ)
    ในการหนีจากน้ำท่วมนั้นคงไมใช่ทุกคนหรอกนะครับ ที่จะมีสิทธิขึ้นนาวาฉุกเฉินนี้เพื่อลี้ภัยไปได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับปัจจุบัน ที่เครื่องบินหรือเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ผู้มีปัญญาพอที่จะเป็นเจ้าของได้ก็คือรัฐหรือบริษัทองค์กรใหญ่ๆเท่านั้น คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆหมดสิทธิขอรับ

    ชาวบาบิโลเนียนโบราณยังคงเก็บรักษาความทรงจำในเรื่องของการบินดังที่ผมเขียนถึงไปแล้วหลายตอนในชุด "นักบินอวกาศยุคโบราณ" พวกเขากล่าวถึงเอทานา นักบินที่ทรงพาหนะเป็นทรงกระบอกปิดผนึก แสดงภาพเอทานาเหินหาวอยู่บนหลังนกอินทรี และอยู่ตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และพี่พาเลงกอ ประเทศแม็กซิโก มีแบบลายที่น่าสนใจบนโลงหินที่นักโบรารคดี รุซ-ลิลเลียร์ได้ค้นพบ มันเป็นลายแบบมายาแสดงภาพคนกำลังนั่งอยู่ในเครื่องยนต์คล้ายจรวด เป็นกรวยจรวดที่ประกอบไปด้วยกลไกอันน่ามหัศจรรย์และชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล ผลสรุปจากนักโบราณคดีคือ ภาพนั้นแสดงแนวคิดตามแบบมายา อันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับนักบินอวกาศครับ

    ระเบิดปรมาณู ยานรบ และสงครามก่อนน้ำท่วมโลก

    แอตแลนติสเป็นอย่างไรก่อนสมัยน้ำท่วมโลก เราคงซึมซาบกันดีอยู่แล้วจากงานเขียนของเพลโต ลัทธิจักรวรรดินิยมของแอตแลนติส การล่าเมืองขึ้น สงคราม ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความหายนะของอารยธรรมนี้ ยังคงเหลือร่องรอยหลักฐานมาถึงพวกเราคนรุ่นหลังในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย

    ในคัมภีร์ "สัมสัปตะกะพธะ" ของอินเดียกล่าวถึงยานอวกาศที่ได้รับแรงขับจากพลังสวรรค์ กล่าวถึงขีปนาวุธที่มีฤทธาและระเบิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าราวกับอาทิตย์นับพันดวง ส่วนใน "เมาโสละปุราวะ" ในภาษาสันสกฤต ยังอ้างถึงอาวุธที่พวกเราไม่รู้จัก สายฟ้าเหล็กทูตมรณะยักษ์ซึ่งทำลายล้างเผ่าพันธุ์ทั้งปวงของ วฤศนิส และ อังหกะ ศพของผู้ตายถูกเผาเป็นตอตะโก ผมและเล็บกลายเป็นสีเทา ตึกรามบ้านช่องแตกสลาย ฝูงนกการ่วงหล่นจากท้องฟ้าด้วยขี้เถ้าสีขาว และภายในเวลาไม่ช้านานแหล่งน้ำคลังเสบียงก็ปนเปื้อนด้วยพิษจนไม่สามารถใช้การได้สิ้น

    อเล็กซานเดอร์ กอร์โบฟสกี้ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับโครงกระดูกที่พบบริเวณเมืองโบราณ โมเฮนโจดาโร และ ฮารัปปา ว่า ล้วนแล้วแต่มีกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่มากจนน่าตกใจ ครับ... มันมีค่ามากถึงห้าสิบเท่าจากที่ควรจะมีตามธรรมชาติ ราวกับชาวเมืองทั้งหลายตายด้วยระเบิดปรมาณูเสียอย่างนั้น เขาสรุปว่าเรื่องราวใน "เมาโสละปุราณะ" คงเป็นเรื่องจริงมากกว่าจินตนาการของผู้รจนา ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วในเรื่องของวิมานะอากาศยานของชาวภารตะโบราณครับ (และคงไม่ว่าอะไรหากจะเอามาขยายรายละเอียดอีกใน Ancient Astronaut Revivited ที่กำลังจะนำมาลง) โดยเล่าถึงเรื่องสงครามในสมัยมหาภารตะที่มีฟากฟ้าเป็นสมรภูมิ รวมทั้งผู้รุกรานที่คัมภีร์เล่มนี้เรียกกันว่าเผ่า Asvin - อัศวิน - แอนแลนติส? สนใจก็หารื้ออ่านกันเองนะครับ ฉายซ้ำบ่อยนักคงไม่ดี

    มหาภัยจากฟากฟ้า
    ว่ากันว่าร่องรอยของความเจริญของมนุษย์ในทวีปต่างๆ โดยเฉพาะทวีปอเมริกา ได้หายหรือชะงักไปอย่างไม่มีใครคาดคิดเมื่อ 10,400 ปีก่อน อะไรกันแน่ครับที่เป็นสาเหตุของการหยุดชะงักทางอารยธรรมแบบนี้ คำตอบทั้งหมดดูเหมือนจะชี้ไปยังจุดเดียวกัน นั่นคือ "น้ำท่วมโลก" ในตำนาน

    ปริศนาของชาวบาสค์
    บาสค์คือชนเผ่าที่เคยอาศัยอยู่ในทวีปยุโรป พวกเขามีตำนานเรื่องน้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้และภัยพิบัติจากสงคราม บรรพบุรุษของพวกเขาได้ซ่อนตัวหลบภันอยู่ในถ้า จนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ เรื่องราวที่น่าสนใจของชนเผ่านี้คือห่วงครับ ห่วงที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆที่ชี้ทำให้นักโบราณคดีเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมชนเผ่าเล็กๆในทวีปยุโรป จึงไปมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมโบราณในอเมริกาได้อย่างน่าทึ่งขนาดนี้ ตัวอย่างเช่น ภาษาของชาวบาสค์มีความใกล้เคียงกับภาษาถิ่นอินเดียนอเมริกันอย่างยากจะอธิบายได้ มิชชันนารีชาวบาสค์ได้เทศนาชาวอเมริกันอินเดียนในกัวเตมาลาด้วยภาษาของตน และผู้คนเหล่านั้นก็ดันเข้าใจเสียด้วยสิ

    แม้จะอยู่กันคนละด้านของมหาสมุทร พวกเขากลับมรความเชื่อทางศาสนาที่ใกล้เคียงกัน ชาวบาสค์นับถือพญางูเจ็ดเศียรที่ชื่อ เอเรน ซูเก คล้ายกับชาวแอซเท็คโบราณที่นับถือพญางูบิน การนับของชาวบาสค์โบราณก็เป็นจำนวนนับแบบยี่สิบไม่ใช่สิบ ซึ่งก็ตรงกับการนับของชาวอเมริกากลางโบราณอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะชาวมายา ในทำนองเดียวกันชาวบาสค์ได้มีการละเล่นลูกบอลที่ชื่อ "ไจ อะไล" โดยการผูกตะกร้าติดกับแขนคล้ายคลึงกันกาบเล่นของชาวมายาที่เรียกกันว่า "โพลอะโทก"

    ชาวบาสค์ยังนับเป็นชาวยุโรปตะวันตกพวกเดียวที่ไม่ล่าสัตว์ และรักษาวัฒนธรรมการเต้นรำดั้งเดิมของบรรพชนเอาไว้ พวกเขายังเชื่อในความอมตะของร่างที่ไม่ได้ฝัง อันเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกันกับชีวิตหลังความตายของชาวอินคาและชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงวัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆเช่นการโพกศีรษะ ที่มีอยู่เหมือนกันทั้งในชาวบาสค์และคนโบราณในทวีปอเมริกากลางน่าคิดไหมครับว่า พวกเขาอาจมีจุดกำเนิดหรือบรรพบุรุษร่วมกัน

    วันพิพากษาและวันโลกาวินาศ
    จากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณทำให้เราทราบว่า "นู" เทพเจ้าแห่งน้ำทรงแนะนำให้โอรสของพระองค์คือ "รา" ให้ทำลายล้างมวลมนุษย์เมื่อชาติต่างๆหันมารวมหัวกันทรยศเทพเจ้า (รายละเอียดอยู่ในเรื่องของหอคอยบาป - - บาเบล และสงครามปิระมิด ที่ผมกำลังหาเวลาเรียบเรียงอยู่ครับ) เราอาจสรุปเรื่องราวจากเทพตำนานเหล่านั้นออกมาได้ว่า การทำลายล้างมนุษย์สามารถสำเร็จลงง่ายๆด้วยน้ำท่วมโลกจาก "นู" เทพแห่งมหาสมุทรนี่เอง

    ปาปิรัสโบราณสมัยราชวงศ์ที่ 12 ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่เลนินกราด ได้ระบุถึงเกาะแห่งหนึ่งนามว่าเกาะงูใหญ่ ความว่า "เมื่อเจ้าจากที่แห่งนี้ไปแล้ว เราจะไม่พบเกาะนี้อีก เพราะที่แห่งนี้จะมลายหายไปกับคลื่นในมหาสมุทร" ปาปิรัวนี้ยังบรรยายถึงอุกกาบาตที่ตกลงมาและน้ำท่วมใหญ่ ความว่า "เมื่อดาวร่วงจากสวรรค์และเปลวไฟลามเลียทุกสิ่งอัน สิ่งทั้งมวลก็ไหม้ไฟ แต่กระนั้น... ข้าฯรอดพ้นมาได้แต่ผู้เดียว เมื่อข้ามองเห็นศพกองเป็นภูเขา ข้าก็แทบจะสิ้นใจด้วยความโศกาอาลัย..."

    แม้ว่าเราๆท่านๆ จะยังนึกภาพของมหาภัยพิบัติซึ่งทำลายอารยธรรมแอตแลนติสลงอย่างฉับพลันไม่ออก แต่นิทานพื้นบ้านและจารึกของคนโบราณหลายชาติก็พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้อย่างถูกต้องตรงกัน จนยากที่เราจะมองเพียงแค่ว่านี่คือผลพวงของคำๆหนึ่งซึ่งสะกดว่าบังเอิญ หรือถูกเล่าขานสืบต่อกันมาจากชาติสูชาติภายใต้กระบวนการของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เอาแค่ตัวอย่างง่ายๆที่เรารู้จักกันดีสักสองสามตัวอย่างก็ได้ครับ

    มหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน มีรายละเอียดของน้ำท่วมโลกและความวินาสของอารยธรรมโบราณ สิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงอย่างน่าสนใจและน่าจะถูกต้องตามความเป็นจริงก็คือ "ความอดอยากทำลายโลกมากกว่าน้ำท่วมใหญ่" ส่วนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเล่า มีเรื่องของโนอาห์และเรืออาร์คที่ถูกกล่าวถึงอย่างถูกต้องตรงกัน และที่น่าสังเกตมากก็คือเรื่องราวของ เอโนช ผู้มาเตือนโนอาห์ถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาและภายหลังได้ขึ้นสวรรค์ไปทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ (Book Of Enoch เป็นหนังสือโบรารอีกเล่มหนึ่งที่ฮือฮากันมากครับ เพราะว่ากันว่าเนื้อหาของหนังสือโบราณเล่มนี้นั้น กล่าวถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวและการเดินทางสู่ห้วงอวกาศอย่างชัดเจน) โดยเอโนชได้ให้ข้อคิดกับโนอาห์ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็น "ไฟทางตะวันตก" และ "ทะเลอันกว้างใหญ่ทางตะวันตก"

    เมื่อประมาณพันแปดร้อยปีก่อน ลูเซียนได้บันทึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงว่า เรื่องน้ำท่วมใหญ่นั้นมีอยู่อย่างแน่นอนในโลกยุคโบราณ กล่าวคือนักบวชแห่งบาลเบ็ค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเลบานอน มีพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นการรินน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่รอยแตกใกล้วิหาร เพื่อตรึงความทรงจำเรื่องการช่วยชีวิตของเทพดูคาเลียนไว้ตลอดไป พิธีกรรมนี้อาจเป้นวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือความทรงจำพื้นบ้านเกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่ก็เป็นได้

    นิทานของพวกบุชเมนได้กล่าวถึงเกาะขนาดมหึมาอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา แต่ต่อมาก็จมอยู่ใต้น้ำ นี่เป็นหนึ่งในตำนานจำนวนมากหลายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของแอตแลนติส ตำนานของน้ำท่วมโลกมีอยู่ในทุกทวีป โดยเฉพาะทั้งสองฝั่งของมหาสมทุร ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติถ้าหากเราถือเอาว่า ครั้งหนึ่งแอตแลนติสนั้น เคยเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่าง ยุโรป แอฟริกา และอเมริกา

    ชนชาติที่เจริญก้าวหน้าอย่าน่าพิศวงของโลกโบราณเช่นชาวมายาหรืออียิปต์ ล้วนแล้วแต่มีตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกนี้ และจากการศึกษานิทานพื้นบ้านของชาวอเมริกันอินเดียนโลยละเอียดแล้ว ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า มีชนเผ่าอเมริกันอินเดียนกว่า 130 เผ่าเลยทีเดียวที่มีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกที่คล้ายคลึงกัน ถูกเล่าสืบต่อกันมาจากยุคบรรพบุรุษ

    แล้วตำนานเหล่านี้มันเชื่อถือได้แค่ไหน? เป็นแค่นิทานหรือเปล่า? คำถามทำนองนี้มีขึ้นอยู่บ่อยๆ และคงเป็นคำถามที่ได้รับคำตอบมาแล้วหลายๆครั้งว่า นิทานนั้นมันไม่ใช่แค่นิทาน นับตั้งแต่การค้นพบเมืองโบราณโมเฮนโจ ดาโร และ ฮารัปป้า บริเวณลุ่มน้ำสินธุ หรือการค้นพบเกาะครีต พบนครทรอย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยย้ำเตือนใจพวกเราเลยหรอกหรือว่า ในบางครั้งนิทานกลับเป็นประวิติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ในกรณีของแอตแลนติสนั้นจะจัดเข้าแนวเดียวกับเคสดังๆในอดีตเหล่านี้ได้หรือไม่ การค้นคว้าและเวลาอาจจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเราได้ในไม่ช้านี้(มั้ง...)
     
  2. seberton

    seberton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2006
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +655
    โห เยอะมากๆ อ่านตั้งนาน ก็ขอขอบคุณพ่อมดนะครับที่หาเรื่องนี้มาให้อ่าน
    แต่ผมอยากรู้มากกว่านั้นอะครับ เหอะๆ ๆ ๆ คือรู้ในอีกมิติหนึ่งเลย ที่นักวิทยาศาสตร์เขาไม่รู้กัน รู้ว่าชาวแอตแลนติกก็เป็นพวกมีพลังจิตหรือไม่ แล้วแท่งคริสตัน ชาวแอตแลนติกจะมีทุกคนไหม

    เหอะๆ ๆ ๆ เรื่องของเทพเจ้า แต่ละทวีป อารยธรรม ก็นับถือไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเทพเจ้าจริง ๆ ไหม
    ผมก็คิดว่าเรื่องตำนาน นิยายที่มีเทพเจ้ามาเกี่ยวข้องมันทำให้สนุกน่าสนใจดีนะครับ เพราะได้จินตนาการด้วย
     
  3. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    แอสแลนตีสน่าจะมีอยู่จริง axzon47 เคบฝันเห็นนครกลางทะเลแล้วก้มีคลื่นยักษ์ถล่มหลายครั้งแหละน่ากัวมากๆๆเลยอ่ะ
     
  4. landends

    landends เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +477
    ขอบคุณครับ ... ชอบมาก ๆ เลยครับ ..เหมือนอ่านต่วยตูนพิเศษเลยครับ ได้ความรู้ใหม่ ๆ ดี
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม ผมมีข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของผมโพส 1 ปีก็ยังไม่หมดครับ จะทยอยโพสนะครับ
     
  6. natthanicha

    natthanicha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +73
    มีจริงเคยอ่านในหนังสือเเล้ว
     
  7. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    แอตแลนติส กับ การค้นหาความจริงของเหล่าเมธี


    เอ่ยชื่อแอตแลนติส คงมีน้อยคนที่บอกว่าไม่เคยได้ยิน เรื่องนี้เขาคุยกันมาเป็นพันปีแล้ว ตั้งแต่ระดับปราชญ์ กรีก จนถึงสมาชิกสภากาแฟธรรมดาอย่างเราๆ ถ้าจะถามต่อไปว่า ก็แล้วแอตแลนติส มีจริงๆหรือว่ายกเมฆมา โดยตัวอาตมันของแต่ละคนแล้ว คงจะตอบให้จะๆลงไปไม่ได้ ทุกวันนี้ปากกัดตีนถีบสะบักสะบอมจะแย่แล้ว จะ เอาเวลาที่ไหนไปค้นคว้ากันล่ะ ก็เลยไปคว้าที่คนอื่นเขาค้นมาลองวิเคราะห์กันดู
    [​IMG]
    เพลโต้กับอริสโตเติ้ล
    [​IMG]
    โซลอน
    ปัญหาใหญ่ๆเกี่ยวกับแอตแลนติส 1.มันจริงหรือเปล่า 2.ถ้ามี มันควรจะอยู่ที่ไหน 3.อาณาจักรแห่งนี้มีโอกาส โผล่ขึ้นมา ให้เราเห็นกันได้หรือไม่?
    จากเพลโต้
    ลักฐานเจิ่มแรกเกี่ยวกับแอตแลนติส มีอยู่ในหนังสือของเพลโต ที่เขียนราว 400 ปีก่อนคริสตกาล เขียนเป็น เชิง สนทนาระหว่างเพลโต้กับปราชญ์ชาวกรีกชื่อ "ไครทีอัส กับ มีเมอุส" ในหนังสือนั้นบอกว่าเรื่องราว ของ แอตแลนติส รับฟังมาจาก โซลอน หนึ่งในเจ็ดเปรื่องปราดชาวกรีก ซึ่งโซลอนรับฟังเรื่องนี้จาก ซอนคิส พระชาว อียิปต์อีกต่อหนึ่ง โซลอนไปได้เรื่องนี้มาระหว่างเดินางท่องเที่ยวหลังจากออกจากราชการไปยังเมืองซาอีส์ ซึ่งอยู่ แถวปากแม่น้ำ ไนล์ใน อียิปต์ อันเป็นศูนย์กลางอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก เรื่องนี้เกิดเมื่อราว 600 ปีก่อน คริสตกาล ซอนคิสเอาบันทึก หลักฐานเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ (ซึ่งปัจจุบันนี้ศูนย์หายไปแล้ว) มาให้โซลอนดู แล้วเรื่องราวของแอตแลนติส เมื่อ หลายพันปีก่อนก็พรั่งพลูออกมา หนังสือของเพลโต้เลย เหลือเป็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวที่พูดถึงแอตแลนติส ความที่มันเป็นบทสนทนานี่เองเลยทำให้แยกแยะลำบากว่าตรงไหนจริง ตรงไหนฝอยเพิ่ม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีคน ที่เชื่อว่าแอตแลนติส เป็นเรื่องกุขึ้น คนๆนั้นก็คือ อริสโตเติ้ลลูกศิษย์ เอกของเพลโต้นั่นเอง ความเคลือบแคลงนี้ก็ยืดเยื้อออ..มานับศตวรรษแล้ว
    [​IMG]
    โลกของเพลโต้ มีทวีปใหญ่มาก ล้อมรอบมหาสมุทรแอตแลนติสอยู่
    ในระยะเวลากว่า 9000 ปีก่อนคริสตกาล ลิเบีย (ทวีปแอฟริกาทั้งหมด ยกเว้นอียิปต์) ยุโรปจากสเปนถึงอิตาลีตก อยู่ภายใต้การปกครองของแอตแลนติส ทวีปเกาะที่อยู่ทางตะวันตกของเสาหินแห่งเฮอราคลิส (ชื่อเดิมของช่อง แคบยิบรอลตาร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ชาวแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ โพไซดอน (เทพเจ้าแห่งทะเล) และตั้งชื่อเกาะตามชื่อของยักษ์แอตลาส ลูกชายคนหนึ่งของโพไซดอน ชาวประชาอยู่อย่างสุขสงบหลายพันปี ต่อมาทำสงครามกับยุโรปและเอเซีย โดยเฉพาะกรีก หลังจากนั้นไม่นาน ดินแดนเกริกไกรแห่งนี้ก็กลับ ล่ม สลายไปภายในชั่ววันกลับคืนเดียวเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด "บริเวณใจกลางเกาะเป็น ที่ราบซึ่งกล่าวกันว่าสวยงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาที่ราบทั้งปวง ในที่ราบนี้มีเนินเขาลูกหนึ่งขนาด ไม่ใหญ่นัก ประมาณ 50 สเตด(Stade) หรือ 6 ไมล์หรือ 10 กิโลเมตร นอกจากเกาะที่อยู่ใจกลางแล้ว ถัดออกมา ยังมีผืน น้ำเป็นรูปวงแหวนคั่นระหว่างแผ่นดินด้วย ว่ากันว่าเทพโพไซดอน เป็นผู้ขุดคลองรูปวงแหวนเหล่านี้ ทำให้มีลักษณะคล้ายคูเมือง แรกๆดินแดนที่ถูกคั่นนี้ไปมาหาสู่กันไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักเรือและการแล่นเรือ ต่อมาเกิดผืนดินเล็กๆเชื่อม และชนรุ้นหลังก็รู้จักทำอุโมงค์และแล่นเรือ บริเวณใจกลางเกาะเป็นสถาน ที่ สีกการะ เทพโพไซดอนกับไคลโต(มเหสีชาวมนุษย์โลก) มีกำแพงทองล้อมรอบเป็นเขตหวงห้าม นอกจากนี้ยัง มีวิหารของโพไซดอนอีกแห่งหนึ่งต่างหาก ตัววิหารฉาบด้วยเงิน ตัวเทวรูปเป็นทอง รอบๆวิหารเป็นรูปปั้น ของ กษัตริย์องค์ต่อมาอีก 10 องค์พร้อมมเหสี มีน้ำพุใต้ดินสองแห่ง แห่งหนึ่งร้อน อีกแห่งหนึ่งเย็น ใช้เพราะปลูกกับ อาบ และกิน ที่อยู่อาศัยแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับราชวงค์ ชาวบ้านธรรมดา ผู้หญิง ม้าและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ น้ำจาก น้ำพุถูก ลำเลียงส่งไปยังบริเวณเพราะปลูกที่เรียกว่า Grove of Poseidon และส่งต่อไปยังพืนดินรอบๆนอก บนผืนดินที่เป็นวงแหวนล้อมรอบยังมีวิหารมากมายสำหรับบูชาเทพเจ้าต่างๆ สวนหย่อนใจ โรงยิม และสนามม้า สำหรับให้ออกกำลังกาย และยังมีท่าจอดเรือชั้นในด้วย รอบนอกสุดของดินแดนนี้ล้อมรอบด้วยกำแพง ห่างจาก วงแหวนในสุดประมาณ 50 สเตด เป็นกำแพงที่หนาแน่นมาก มีส่วนหนึ่งจดหน้าผาริมทะเล ตรงนี้เป็นเขต ชุมชนหนาแน่นรอบนอก ท่าเรือมีเรือสินค้าจากแดนไกลมาจอดเทียบ ทำให้คึกคักมากตลอดทั้งวันทั้งคืน
    [​IMG]
    แผนที่แสดงที่ตั้งของแอตแลนติส ซึ่งเป็นจุดสนใจทำให้คนเริ่มค้นหากัน
    แม้หลายๆคนในสมัยเพลโต้จะมีข้อกังขาเกี่ยวกับแอตแลนติส แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แผนที่สมัย ก่อนๆจึงมักมีเกาะในตำนานที่ว่านี้ในชื่อคล้ายๆกันใส่ลงไปด้วย
    [​IMG]
    [​IMG]
    ขอร้องว่าอย่าเพิ่งถามว่า เพลโต้โกหกหรือเปล่า เพราะเราต่างก็คนละรุ่นกับเพลโต้ คำถามนี้จะเอาคำตอบ แน่นอนลงไปคงยังไม่ได้ เพลโต้เป็นถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิต เป็นนักศึกษาที่เอาจริงเอาจังท่านหนึ่ง อยู่ๆ จะแต่งเรื่องโกหกออกมาแหกตาชาวโลกได้นานเป็นพันๆ ปีออกจะทารุณไปหน่อย บางคนก็ว่าเราอาจจะ ตีความหมาย จากถ้อยคำของเพลโต้ผิดไป ทำให้ไขว้เขวกันไปใหญ่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ตอบคำถาม ข้อที่สอง ให้ได้ก่อน คือต้องค้นหามัน แอตแลนติส อาจจะคล้ายคลึงกับดินแดนในตำนาน โบราณคดีอีกมากมาย ที่คิด ว่าไม่มีจริง แต่ก็มีคนขุดจนพบได้ อย่างเช่น กรุงทรอย เป็นต้น
    [​IMG]
    นครแห่งแอตแลนติสตามคำบอกเล่าของเพลโต้
    กลางมหาสมุทรแอตแลนติส
    การโต้เถียงเริ่มมาเผ็ดมันดุเดือดเอาสมัยศตวรรษที่ 19 ราวปี 1882 มีนักกฎหมาย นักการเมืองและนักค้นคว้า ชาว อเมริกันชื่อ อิกนาเทียส ดอนเนลลี่ ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Atlantis : The Antediluvian World เปรี้ยงออกมา บอกว่าแอตแลนติส ก็คือ เกาะอซอเรส ในกลางมหาสมุทรแอตแลนติส ใกล้ๆช่องแคบยิบรอลตาร์นี่แหละ (ตำแหน่งตามคำบอกเล่าของเพลโต้) ทฤษฎีของดอนเนลลี่ทำเอาวงการนักแอตแลนติสวิทยาปั่นป่วน เพราะถูก ข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่นำมาปะติดปะต่อกันระดมยิงอุตลุด ทฤษฎีนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลกับความเชื่อของคนมาก ดอนเดลลี่ยังพยายามพิสูจน์ว่า แอตแลนติส ก็คือดินแดนที่ถูกนำไปกล่าวอ้างอิงใน เทพนิยายและตำนาน ของขนชาติต่างๆ เป็นสวนสวรรค์แห่งอีเดน เป็นยุคทองของมนุษย์ชาติที่มีความเจริญทางอารยธรรมสูงมาก เป็นต้นตอของภาษาตัวอักษร เข็มทิศ การเดินเรือ ดินปืน กระดาษ ผ้าไหม ดาราศาสตร์ การเกษตร และเป็น บรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆหลายเผ่าทั่วโลก ก่อนยุคน้ำท่วม แต่ถูกภัยพิบัติธรรมชาติทำลายให้จมลง มีคนเพียง ไม่กี่กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ กระจัดกระจายไปสู่ดินแดนต่างๆ ทำให้มีตำนานเรื่องน้ำท่วมเล่าสืบต่อกันมา
    [​IMG]
    มหาสมุทรแอตแลนติค
    ทฤษฎีของดอนเนลลี่บอกว่า
    แอตแลนติสในอดีตอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ตรงปากทางเข้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน........แอตแลนติสเป็นดินแดนที่เริ่มมีมนุษย์เผ่าแรกเกิดขึ้น และพัฒนาจากความเป็นคนเถื่อนสู่อารยธรรมขั้นสูง.........อาณานิคมเก่าแก่ของชาวแอตแลนติส บางทีอาจ จะเป็นอียิปต์ก็ได้.........แอตแลนติสเป็นแหล่งกำเนิดของอักษรฟีนิเชียนและอักษรของทางยุโรป.... แอตแลนติสคือแหล่งกำเนิดต้นตระกูลของมนุษย์เผ่าอารยัน อินโดยูโรเปียนและเซมิติค....... .ดินแดน แอตแลนติสสูญสลายไป เนื่องจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้เกาะทั้งเกาะที่มีพื้นที่กว่า 400000 ตารางไมล์จมลง
    [​IMG]
    ร่องใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติค
    จากหนังสือของดอนเนลลี่เองมีส่วนผลักดันให้เกิดการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น สมุทรศาสตร์ ชีววิทยา ธรณีวิทยา โบราณคดี ดาราศาสตร์ ฯลฯ เพื่อหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือโต้แย้งหรืออธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส จากข้อความบางส่วนของดอนเดลลี่กล่าวว่า จากการตรวจสอบดูพืชและสัตว์ที่มีอยู่ตามผืนแผ่นดิน 2 ด้านระหว่าง มหาสมุทรแอตแลนติสแล้ว พบว่าเป็นแบบเดียวกัน ตามหลักนิเวศน์วิทยา แสดงว่าแต่ก่อนนี้ต้องมีดินแดน ที่เชื่อมระหว่างผืนแผ่นดิน 2 ส่วนนี้มาก่อน ก็มีคนโต้แย้งว่าไม่จำเป็นเลย เพราะอาจจะมีการอพยพ เมล็ด พันธุ์พืชก็อาจปลิวไปตามลม หรือถูกกระแสน้ำพัดพาไปหรือลอยติดไปกับซากสิ่งของในทะเล ไปยังที่ต่างๆ
    [​IMG]
    อิกนาเทียส ดอนเนลลี่
    สำหรับพฤติกรรมแปลกประหลาดในการอพยพของปลาไหลยุโรปนั้น ดอนเนลลี่บอกว่า ปลาไหลยุโรปเหล่า นี้มีแหล่งกำเนิดในทะเลซาร์กัสโซ ซึ่งเป็นทะเลสาหร่ายมหึมาและอุดมสมบูรณ์มาก อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้ กับเขตสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (อยู่ห่างจากเกาะอซอเรสไปทาง ตะวันตกเฉียงใต้ เล็กน้อย) บริเวณนี้เป็นเขตน้ำอุ่นกว้างใหญ่ใกล้ฝั่งอเมริกา ในช่วงที่เป็นตัวอ่อน ฝูงปลาไหลจะแหวกว่าย จาก ทะเลซาร์กัสโซนี้ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังเขตน้ำจืดตามแม่น้ำชายฝั่งยุโรป หลังจากนั้น 2 ปีจึงว่าย กลับไปวางไข่ ผสมพันธุ์ยังทะเลซาร์กัสโซอีก ทั้งที่ฝั่งอเมริกาก็อยู่ใกล้แค่นั้น แต่ทำไมฝูงปลาไหลจึงต้องท่อ สังขารฝ่าอันตรายไปถึงยุโรป นี่คงเป็นเพราะสัญชาตญาณที่มีมาแต่กำเนิด ถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ ปลา ไหล ตอนที่ยังมีเกาะแอตแลนติสอยู่นั้น กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม จากฝั่งอเมริกาเคลื่อนไปทางยุโรป โดยมีส่วน หนึ่งวนกลับมาที่เดิม สู่ทะเลซาร์กัสโซ เพราะไปปะทะกับชายฝั่งเกาะแอตแลนติส เมื่อเกาะนี้จมหายไป ฝูงปลา ไหลเลยปรับตัวไปตามกระแสน้ำอุ่นสู่ยุโรป ขากลับก็อพยพกลับมาตามกระแสน้ำเย็นที่อยู่ลึกลงมาข้างล่าง นี่ก็เท่ากับให้กระแสน้ำช่วยพัดพาทั้งขึ้นทั้งล่อง และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆแล้ว การอพยพของ ปลาไหลยุโรปก็ไม่ได้จัดว่าแปลกมหัศจรรย์ ไปกว่าการอพยพของนก กวางเรนเดียร์ เต่า ผีเสื้อ ตั๊กแตน ปลาวาฬ หรือสัตว์อื่นๆเลย
    [​IMG]
    สถานที่ต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นส่วนของแอตแลนติสมาก่อน ในกรอบคือบริเวณเกาะเทรา ชื่อที่อยู่ใต้สถานที่แต่ละ แห่งคือช่อคนที่เสนอทฤษฎีนั้นๆ มีตั้งแต่ เกาะอซอเรส เกาะเทรา เกาะครีต อเมริกา กรีนแลนด์ แอนตาร์ติค ใต้ทะเลสาบสะฮารา บราซิล เม็กซิโก หมู่เกาะอินเดียตะวันตก มองโกเลีย ศรีลังกา อิรัค อิหร่าน รัซเซีย แอฟริกาใต้ เกาะคานารี
    ส่วนในหัวข้อที่ว่า อารยธรรมของชนชาติ 2 ฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติกอย่างเช่น ปิรามิด หรือมัมมี่ของอียิปต์ หรืออินคา ทำไมจึงไปคล้ายคลึงกันได้ แสดงว่าน่าจะมีต้นตออารยธรรมมาจากที่เดียวกัน นั่นคืออาจจะ เป็นเพาะ คนสมัยก่อนมีการติดต่อถึงกันได้ดีกว่าที่เราคิดกันเอาไว้
    [​IMG]
    เส้นทางอพยพของปลาไหลยุโรปตามกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม A คือตำแหน่งเกาะแอตแลนติส S คือทะเลสาหร่ายซาร์กัสโซ
    ที่ว่าร่องใต้พื้นน้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นระยะทางยาวรวมทั้งยอดภูเขาใต้น้ำนั้น อาจเป็นยอดเขาส่วน หนึ่งของแอตแลนติสมาก่อน ร่องรอยเหล่านี้พบได้ที่เกาะอซอเรส แสดงว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของทวีปที่จมไป เรื่องนี้ทางด้านธรณีฟิสิกส์แล้วเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบริเวณที่เป็นร่องนั้น ถ้าเคยมีทวีปจมลงไปจริง ร่องช่วง นั้นจะหายไป และเท่าที่ปรากฎทุกวันนี้ ร่องนี้ก็มีแต่ขยายใหญ่ขึ้นทุกที เนื่องจากการเลื่อนตัวของทวีป
    เราลองไป้ด้อมๆหาแอตแลนติสที่อื่นๆกันบ้าง
    ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    เมื่อราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล เกิดการระเบิดของภูเขาไฟบน เกาะเทรา ทางตอนใต้ของทะเลอีเจียน ในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเชื่อกันว่ามีความรุนแรงเป็น 4 เท่าของภูเขาไฟระเบิดที่ครากาตั้ว ในมหาสมุทร แปซิฟิค เมื่อปี 1883 (ผลที่ครากาตั้ว ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นถึง 15 เมตร กวาดล้างเกาะเล็กเกาะน้อย ในบริเวณนั้น เสียสิ้น พ่นเมฆควันละอองเถ่าถ่านลาวา คลุมทั่วเกาะ ฆ่าคนไป 37000 คน เสียงของมันได้ยินไปไกลถึง 6300 กิโลเมตร คือ ไปไกลถึงออสเตรเลีย) ภูเขาไฟระเบิดที่เทรา ไปไกลกว่า 100 กิโลเมตร ถึงเกาะครีต ซึ่งขณะนั้น เป็นศูนย์กลาง อารยธรรมมินโนอัน (Minoan) ที่แผ่อิทธิพลครอบคลุมตั้งแต่ทางตอน เหนือของแอฟริกาจนถึง ยุโรปตอนใต้ อันอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ของแอตแลนติส ตามที่เพลโต้กล่าวไว้ ถ้าตัดเลข 0 ออกจาก ปีที่เพลโต้บอกว่า เป็นจุดจบของแอตแลนติส บวกกับปีที่พระอียิปต์เล่าเรื่องแอตแลนติสให้โซลอนฟัง (600 ปีก่อนคริสตกาล) จะได้เป็น 1500 ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาที่เกิดระเบิดที่เกาะเทรา การตัดตัวเลขออกไปเสียเฉยๆ ดูจะเป็นการทึกทักมากไปหน่อย (แต่ก็มีบางคนบอกว่าตัวเลข 100, 1000 , 10000 ในตัวเขียนของชาวเกาะ ครีตนั้นคล้ายคลึงกันมาก) และจาก การศึกษาซากการระเบิดของภูเขาไฟโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ปรากฎว่าภูเขาไฟบนเทราระเบิดก่อน 50 ปี แล้วอารยธรรมมินโนอันถึงถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหว
    หมู่เกาะอินเดียตะวันตก
    ใกล้กับช่องแคบยิบรอนตาร์ ไปทางฝั่งอเมริกาอีกหน่อย แถวๆตะวันออกของรัฐฟลอริด้า คือ ที่ตั้งของหมู่เกาะ อินเดีย ตะวันตก ตรงตามหลักฐานที่ มาร์เซลลัส นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกเขียนไว้เมื่อคริสตศักราชที่ 1 ตามคำบอก เล่าของเพลโต้ แอตแลนติสก็น่าจะเป็นบริเวณนี้ ซึ่งยังมีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ นับแต่สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง มีบริเวณน้ำตื้น ชายฝั่ว กว้างมาก เกาะใหญ่ทั้ง 3 เกาะคือ คิวบา ไฮติ และปอร์โตริโก ไฮติอยู่ตรงกลาง มีขนาด กว้างประมาณ 100 ไมล์หรือ 1000 สเตด และเมื่อไม่นานมานี้มีผู้พบว่าแถวๆหมู่เกาะบาฮามาส์ มีซากปรักหัก พังของป้อมและวิหาร โผล่ขึ้นมา ให้เห็นใกล้ๆผิวน้ำ ที่เกาะไบมินิ ตามชายฝั่งมีก้อนหินทอดต่อๆกัน ดูแล้วเหมือน กับเป็นถนน เลยใช้ชื่อว่า "ถนนไบมินิ" มองจากเครื่องบินจะเห็นชัดมาก
    [​IMG]
    [​IMG]
    ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นถนนไปมินิรูปตัว J
    อเมริกา
    ถัดจากหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเข้าไปก็คือ ทวีปอเมริกา ที่นี่ล่ะเป็นทวีปใหญ่สมใจแน่ เพราะ..."จากที่นี่คุณ สามารถ ข้ามไปยังทวีปอื่นที่อยู่รอบๆมหาสมุทรได้" ชนกลุ่มเหล่านี้ต้องเป็นพวกอารยธรรมยุคหินก่อนสมัยอียิปต์ มีความ ก้าวหน้ามากทั้งทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เกษตรกรรม และการเริ่มเอาทองแดงมา ใช้ให้เป็น ประโยชน์ ซึ่งคงต้องหันไปดูจากพวกอินคาหรือมายันในอเมริกากลางแถวเม็กซิโก
    แอนตาร์ติค
    นอกเหนือจากแนวความคิดของนักแอตแลนติสวิทยาแล้ว ที่ไกลกว่านี้ก็ยังมีคือ มีคนชื่อ อัล บาวเออร์ ไม่เชื่อว่า ดินแดนที่มีขนาดใหญ่มากอย่างแอตแลนติส (ขนาดเท่าลิเบียสมัยนั้น กับเอเซียน้อยรวมกัน) จะสามารถถูก กลืนหายไปในมหาสมุทรได้ การที่มันหายไปคงต้องเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงที่ผิวโลกครั้งใหญ่ เนื่องมา จากการวิ้งชนของดาวเคราะห์ที่อยู่ระหว่างโลกกับดาวอังคาร พร้อมกับเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรง ความแรงจาก การชนทำให้บริเวณขั้วโลกเหนือขณะนั้นมาอยู่ทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ในปัจจุบัน ขั้วโลกใต้กระดอน มาอยู่แถบบอร์เนียว ส่วนแอตแลนติสกระเด็นไปอยู่ขั้วโลกใต้ เป็นทวัปแอนตาร์ติคในปัจจุบัน โดนหิมะ ปกคลุมแช่อยู่ใต้ก้อนน้ำแข็งอยู่จนทุกวันนี้ (ความคิดแบบนี้ค่อนข้างจะอยู่ในแนวของ เวลีคอฟกี้) แต่จะพิสูจน์ ให้เห็นได้มีเพียงวิธีเดียวก็คือ ขุดซากเมืองขึ้นมาจากน้ำแข็งลึกลงไป 4500 ฟุต เห็นที บาวเออร์ ต้อง จัดตั้ง กองทุนสำหรับค้นหานี้โดยเฉพาะเสียแล้ว
    [​IMG]
    ตามแนวคิดของบาวเออร์ ก่อนกลียุค แอตแลนติสอยู่เขตศูนย์สูตร
    อีกสิ่งหนึ่งที่ บาวเออร์สนใจก็คือ แปลนเมืองของแอตแลนติสที่บอกว่า เมืองนี้ร้อมรอบด้วยโลหะ กำแพงชั้นนอก เป็นบรอนซ์ (ทองแดงผสมดีบุก) กำแพงชั้นในฉาบดีบุก และที่กำแพงและพื้นวิหารใจกลางเกาะก็เป็นทอง (ทองนี้เข้า ใจว่าเป็นสาร Orichalcum ซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี แต่มีลักษณะคล้ายทอง) และดินแดนเหล่า นี้มี คลองเชื่อมน้ำทะเลเข้าถึงได้หมด ถ้าเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ระดับน้ำจะเท่ากันด้วย ดังนั้นเมื่อ น้ำขึ้นถึงระดับหนึ่ง ก็อาจมี ปรากฎการณ์อิเลคโทรไลติก เกิดขึ้นทันที เท่ากับเทพโพไซดอน สร้างแบตเตอร์รี่เซล เดียวขนาดมหึมาเข้าให้แล้ว
    นอกจากตำแหน่งสำคัญๆซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของแอตแลนติสดังกล่าวมาแล้ว ยังมีอีกมากมายหลาย แห่งที่อ้างกันว่า น่าจะเป็น จาระไนกันไม่หวาดไหว ถ้าอยากรู้ให้ละเอียดขึ้น ลองไปหาอ่านจากพอคเก็ตบุ้คที่ชื่อ "ความเร้นลับของ แอตแลนติส" ถ้าอยากให้เฟื่องกว่านั้นก็ต้องถามหาไทม์-แมชชีน ของโดราเอมอน เจ้าแมวจอมยุ่งกันล่ะ

    ที่มา :http://archaeology.thai-archaeology.info/
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,424
    เรื่องเกาะแอตแลนติส นักพลังจิตหลายคนกล่าวว่า มีจริงและอยู่ในช่วงเวลาไม่เกิน 30,000 -50,000 ปีที่ผ่านมาครับ..แต่นักพลังจิตส่วนใหญ่จะย้อนกลับไปดูเรื่องในอดีตได้ไม่น่าเกิน 3,000-5,000 ปี นอกจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจริงๆที่จะเข้าไปค้นหาคำตอบได้ หรือเป็นเรื่องเล่าจากมนุษย์ต่างดาวบางตนนำมาบอก..

    หลังจากการเปลื่ยนแปลงอำนาจแม่เหล็กโลก เพื่อช่วยเพิ่มพลังอำนาจทางสติปัญญาให้แก่มนุษย์ในยุคนั้น ให้มีความแตกต่างจากสัญชาติญาณของสัตว์ป่า หลังจากที่ต้องจบชิวิตลงในยุคน้ำแข็งเกือบทั้งหมด และได้ปลูกถ่ายเส้นใยเกลียวแม่เหล็กในนิวคลิโอไทด์ เพื่อสร้างต้นพันธุ์มนุษย์ชาติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มีความเหมาะสมในการสร้างเผ่าพันธุ์โลก และมีความพร้อมต่อการสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลได้...

    ดินแดนอันเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคนั้น อยู่บนเกาะขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยพื้นราบที่อุดมสมบูรณ์ มีมหาสมุทรอันไพศาลล้อมรอบแผ่นดินพวกเขาไว้ พวกเขาเรียกแผ่นดินของตนว่า "มู" อาชีพหลักดั้งเดิมคือการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เมื่อสติปัญญาเริ่มพัฒนาสูงขึ้น ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เทคโนโลยี่ก็เกิดควบคู่ไปด้วย โดนมีศูนย์รวมทางอารยธรรมเก่าแก่อยู่ที่" เมืองกวุย "และศูนย์กลางความเจริญของสังคมใหม่อยู่ที่ " เมืองปัน"

    และทำประมงเพื่อเลี้ยงชีพ ผู้คนของอาณาจักรมู เรียกตนเองว่า "มายา" ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆ รวมกันอยู่ถึง 10 เผ่า และกระจัดกระจายเป็นชุมชนใหญ่ 7 แห่ง แต่ละแห่งจะมีท่าเรือสำหรับการติดต่อโทรคมนาคมทางทะเลกับแผ่นดินใหญ่...(เรื่องยาวครับ..)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2006
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ขอบคุณทุกๆท่านที่นำข้อมูลมาช่วยกันโพส ช่วยกันรวบรวมมาอีกนะครับ : - )
     

แชร์หน้านี้

Loading...