ขอเรียนปรึกษาการภาวนาของพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ฟางว่าน, 3 เมษายน 2010.

  1. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2022
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าคิดว่ากิเลสนั้นสละง่าย ถ้าคิดว่าการบรรลุธรรมนั้นง่าย แสดงว่า ไม่รู้จักกิเลสและผลของกิเลสอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่เป็นฐานะพึงมีได้ในเรื่องความคิดความเห็นแห่งพระอริยะสัจจ์ ทั้ง๔ เอากิเลสตัวเดียวให้แตกฉานก่อน เอาให้รู้เหตุและผลก่อน อย่าพึ่งไปถึงเรื่องนั้น เพราะเมื่อยังไม่รู้สิ่งเหล่านี้ ก็หมดสิทธิ์ครับจะรู้เรื่องมรรค และอริยสัจจ์๔ ลงที่ไตรลักษณ์
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    พุทธภูมิจะไม่สามารถบรรลุได้...แม้แต่พระโสดาบันครับ.....อันนี้เป็นความจริง.....เรื่องธรรมนั้นมีความเข้าใจ....แต่จนถึงที่สุดไม.....อันนี้ไม่แน่ใจแต่รู้ทางนี่รู้.....อันนี้สำหรับผู้มีบารมีสูงแล้วนะ......ที่กำลังเริ่มสะสม....ไม่ต้องพูด.....เพราะพวกนั้นยังไม่แน่นอน...ข้างขึ้นเป็นพุทธภูมิ...ข้างแรมเป็นสาวก...อันนี้ไม่ต้องไปพูดกัน...

    พุทธภูมิ ถ้าบารมีแก่แล้ว...ไม่ต้องไปขอให้ลาหลอกครับ....ไม่มีวัน....ไม่ได้เกียจการหลุดพ้นนะ...จะไปเมื่อไรก็ได้แค่ลัดนิ้ว....แต่ไม่ไปดื่อๆนี่หละ.....

    ส่วนใหญ่การปฏิบัติของพุทธภูมิ จะปฏิบัติ ในกรรมฐาน ๔๐ แตกฉานครับ.....อันนี้จำเป็นต้องๆได้จริงๆ....เพราะจะต้องไปเป็นครูเขา...ฉนั้นต้องได้ทุกอย่าง...เรื่องหลุดพ้นเขามักจะไม่พูดกัน....เรื่องที่เขาพูดกันคือ เรื่องบำรุงรักษาพระศาสนา...รักษาพระสัจธรรม(ที่แท้)...สาธารณะประโยชน์กับการเจริญบารมี.....เป็นหลัก.....

    ความจริงสมัยนี้บุคคลตัวอย่างเยอะนะ.....เช่น ครูบาเจ้าศีลธรรม(ศรีวิชัย) นักบุญแห่งล้านนาไทย....ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสังวโล กับ ในหลวงองค์ปัจจุบัน.....ดูเอาเองแล้วกัน.....ศึกษาดูปฏิปทาของท่านเอาเองนะ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2010
  4. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ใช่ ครับ พุทธภูมิอย่างเราๆ ต้องภาวนา แบบ พิสดาร ครับ

    ตีลังกา ภาวนาครับ

    สะใจดี
     
  5. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ตอบแบบ จริง ๆ คือ ขึ้นอยู่กับจริต ครับ อย่างที่พอทราบๆ กัน พุทธภูมิ แบ่งออกเป็น วิริยะธิกะ ศรัทธาธิกะ ปัญญาธิกะ

    ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นวิริยธิกะ เลย เห็นว่า การทำกรรมฐาน 40 เป็นเรื่องที่ควรจะทำก่อน จริตจะชอบทางนี้ เลยเป็นเหตุผล ให้ การสร้างบารมีนานที่สุดครับ

    เพราะสุดท้าย ก็ต้องใช้สติปัฎฎาน 4 อยู่ดี แต่ กว่า ที่จะหันมาปฎิบัติได้ นานครับ อันนี้ไม่ผิด แต่แล้วแต่จริต ของแต่ละคน

    แต่ปัญญาธิกะ จะใช้ สติปัฏฏาน 4 อันเป็นทางสายตรง สู่มรรคผลนิพพานโดยตรงครับ เป็นเหตุให้ บรรลุนิพพานเร็วสุดครับ แต่ อภิญญาก็น้อย เพราะสั่งสมมาน้อยเช่นกัน

    ปัญญาธิกะจะพบน้อยครับ จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า 25 องค์ที่ผ่าน มา มีปัญญาธิกะเพียงองค์ เดียว คือ พระพุทธเจ้าของเรา เท่านั้น เพราะ ทำยากครับ

    ส่วนศรัทธาธิกะ อยู่ระหว่างกลางๆ

    ผมว่า ก็ขึ้นอยู่กับจริตคุณนั่นแหละครับ

    ลองไปอ่านกระทู้ ที่ผมเคยตอบนะครับ

    ส่วนใหญ่คำตอบที่คุณสงสัย ผมเคยตอบไปหมดแล้ว ลองไปหาดู

    คงไม่ต้องถามว่า ผมเป็นพุทธภูมิหรือ ไม่ คำตอบมีอยู่แล้ว

    แต่ผมเป็นนิยตโพธิสัตว์หรือไม่ อันนี้น่าถามกว่านะ หุหุ

    ไว้ถ้าคุณเป็นปัญญาธิกะ แล้วผมจะลงรายละเอียดให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2010
  6. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    เมื่อรู้ว่าเป็นพุทธภูมิแล้ว ก็ให้สร้างความดีต่อไป ไม่ต้องไปผิดทางกับการอยากรู้โน่นนี่ จะเป็นการดีครับ เราอาจจะมีเวลาไม่มากในชาตินี้ ถ้ามัวแต่อ่านบาลี ซึ่งมีมากมาย ซึ่งกว่าจะอ่านแล้วจำหรือเข้าใจได้หมด บางทีอายุก้ปาไปค่อนชีวิตแล้ว ดังนั้น ผมจะไม่ไปทางอ่านพระไตรปิก แต่จะเน้นการทำจิต ให้ผ่องใส และมีศีลเป็นปกติ
     
  7. piak_piak

    piak_piak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +6,484
    พุทธภูมิต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งสามแดนโลกธาตุ ไปเกิดทั้งหมด ยกเว้นภูมิสุทธาวาส..สาธุ
     
  8. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    สาธุ ขออนุโมทนาในการแสวงหาความรู้ครับ

    ผมว่ามีผู้ที่ตอบหลายท่านแล้วที่น่าจะให้คำตอบนะครับ แต่ส่วนหนึ่งคือ ท่านที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องภาวนาตลอดอยู่แล้วครับ ต้องเรียนวิปัสสนาและกรรมฐาน แน่นอน แต่การที่ไปถึงการบรรลุตั้งแต่พระโสดาบันนั้น ไม่มี มีแต่เพียงอารมณ์ที่เทียบกัน ดังการเจริญภาวนาก็ยังคงใช้การการภาวนาปรกติ ไม่ว่าเป็นกรรมฐาน ๔๐ (ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ว่า ต้องเป็นเพียงกรรมฐานตรงๆ ๔๐ หากแต่ก็ต้องทำให้เกิด วสี คือความคล่องตัว และเจริญทั้ง ๔๐ ให้พร้อมๆกัน ได้เช่นกัน จึงเรียกว่า วสี) การเจริญวิปัสสนาญานเองก็ต้องมีครับ ไม่ว่า โพธิปักขิย ๓๗ ประการ ก็ต้องเจริญให้คล่องเช่นกันครับ เพราะเป็นทางไปนิพพาน พระพุทธเจ้าก็ต้องไปนิพพาน แล้วเป็นผู้นำผู้อื่นไป หากตัวเองยังทำทางที่ต้องไปไม่คล่อง แล้วจะไปสอนผู้อื่นได้อย่างไร ดังนั้นก็ต้องเจริญภาวนาเช่นกันกับของสาวกไปด้วย

    แล้วที่สุดคือ เมื่อได้องค์ภาวนาแล้วก็จะเกิดการเรียนรู้เองได้ในจิตครับ สามารถพัฒนาจิตไปเองโดยที่ไม่ต้องถามใครมาก ถามจิตตัวเองได้เลย

    ก็ขอให้เจริญในธรรมครับ หากมีคำถามหรือว่า ข้อสงสัยก็ถามกันอีกที
     
  9. คือคนบาป

    คือคนบาป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมว่าเราท่านที่ปารถนาพุทธภูมิ ภาวนาอย่างไรไม่มีวันบรรลุแน่ครับ ด้วยจิตเราท่านยังยึดติดกับพระโพธิญาณอย่างไรก็ไปไม่ถึงโสดาบัน เว้นแต่จะได้กล่าวลาพุทธภูมิแล้วเช่นที่หลวงปู่มั่นท่านได้ปฏิบัติมาและท่านได้บอกท่านพระอาจารย์เสาร์ให้บอกลาพุทธภูมิเช่นกัน ท่านพระอาจารย์ทั้งสองถึงได้นิพพานในชาตินี้ครับ ทางของเราท่านเป็นหนทางของการเรียนรู้ครับต้องเรียนต้องรู้ทุกอย่างเพื่อเป็นครูในวันหน้า ดีที่สุดที่เราท่านจะทำได้คงมีเพียงอภิญญาครับ
     
  10. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    กรณีของพุทธภูมิบางองค์ ถ้าได้บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้ว แสดงว่าพ้นพระโสดาบันมาแล้ว ก็คือยังไม่บรรลุธรรมในขณะนั้น แต่ว่าถ้าลาพุทธภูมิเมื่อไหร่ เข้านิพพานได้แน่นอน เพราะกำลังใจที่สร้างมา นั้นมหาศาล
     
  11. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    ไปไม่ได้ครับ บรรลุไม่ได้เด็ดขาดถ้าไม่อธิฐานขอลาแล้วใจยังอาลัยในพุธภูมิอยู่ปฏิบัติให้ตายก็ยังบรรลุไม่ได้ครับ เหมือนพระท่านหนึ่ง(ผมจำไม่ได้ครับแต่เคยเขียนในเวบนี้แหละ)ท่านปฏิบัติอย่างไม่ถดถอยแต่ไม่สามารถบรรลุได้ แต่พออธิฐานลาพุธภูมิแล้วท่านก็บรรลุธรรมได้ในไม่ช้านานคับ ส่วนเอาจะอริยสัจมาพิจารณายังไงผมก็ไม่รู้ครับเพราะยังไม่สามารถ จขกท ก็ลองดูได้ครับอริยสัจถ้าเข้าใจถ่องแท้จะได้ช่วยให้คนอื่นเห็นทุกข์ตามได้บ้างนะครับ
     
  12. ฮุโต๋

    ฮุโต๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +44,568
    ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แต่ต้องเรียนวิชาพระอริยเจ้า เรียนเพื่อเป็นครูเอาไว้สอนผู้อื่น ต้องปฏิบัติครบ ด้วย ทาน ศีล สมาธิ วิปัสนาญาณ บารมีทั้ง 10 ให้ครบถ้วน ตัดสังโยชน์ 10 ออกจากจิตเพื่อป้องกันอบายภูทั้ง 4 กรรมฐาน 40 ครบ มหาสติปัฏฐาน 4 ครบ ทำได้ถึงญาณ 4 หมด วิปัสนาญาณควบคู่กับสมถภาวนาให้สมำเสมอ เพื่อเข้าถึง ปรมัตถบารมีอย่างสูงสุด
    โมทนา
     
  13. mangkornfa

    mangkornfa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +17
    ผู้ที่ปราถนาพุทธะภูมิ จะมี 2 แบบคือ
    1 ลาได้ บารมี หรือ กำลังใจยังไม่เต็ม
    2 ลาไม่ได้ คือ คนที่บารมีเข้าทางที่จะได้ตรัสรู้แล้ว ในอนคต ในรับพุทธพยากรแล้ว
    ( พระพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะพยากรณ์ดวงวิญญานณใหนว่าจะได้เป็นพระพุทะเจ้านั้น ท่านจะต้องตรวจสอบก่อนว่าบารมี นั้นเข้ากระแสแห่งพุทธหรือยัง ถ้ายัง และ ไม่แน่ใจ ท่านจะตรัสว่า ให้รอไปถามพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป ในระหว่างที่รอไปถามพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปนั้น ก้อมีโอกาสที่จะลาออกจากการเป็นพุทธภูมิครับ แต่ถ้าพยากรณ์แล้ว ลาไม่ได้แน่นอน เพราะจิตฝั่งแน่นว่าลาไม่ได้ เพราะกำลังใจเต็มแล้ว และเห็นเส้นทางแน่นอนว่าอนาคตสำเร็จแน่นอน ท่านจะคิดว่า งานนี้เป็นงานที่ทำไปเรื่อยๆ ทำทุกวัน ทุกชาติ สำเร็จแน่นอน ชาติไหนก้อชาตินั้น ท่านจะไม่ได้มานั่งคิดว่าตัวเองปราถนาพุทธภุมิหรือไม่ แต่ท่านจะสร้าง บารมี 30 ตลอดเวลา ตลอด ขึ้นชือว่าความดีทุกอย่างท่านทำทุกความดี)

    ===========================================
    ผู้ปราถนาพุทธภมิ ท่านจะไม่คิดมาก ทำความดีอย่างดี ทำเหตุให้ตรง คือ
    1 ศึกษาวิชาต่างๆ ให้รู้จริง โดยเฉพาะกรรมฐาน 40 เพื่อให้เข้าใจ ทุก โลก อย่างแจ้มแจง รู้เหตุ และ ผล ว่า ทำเหตุเช่น ไร ถึงผลเช่นนัน หรือ ผลนี้ เกิดจากเหตุอะไร เพื่อนำไปสั่งสอนคน เน้นฝึกสมถะ แล้วเรียนรู้โลก
    2 ศึกษาสติปัฐฐาน ทางสายเอก สายเดียว สู่การหลุดพ้น กาย เวทนา จิต ธรรม (วิปัสสานา)
    3 รู้จักธรรมมะ โพธิปักธรรม ธรรมแต่ละตัวจะส่งเสรืม ศึกกันและ กัน
    อิทธิบาท 4 เป็นธรรมแห่งความสำเร็จ เมื่อรักในสิ่งไหน เราจะมีความพยายามในสิ่งนี้น จิตใจจะครุ่นคริด ฝักใฝ่ในสิ่งนี้นตลอดเวลา จิตใจใคร่ครวญ และหาวิธีการทำให้สำเร็จ แล้วธรรมมะ อื่นๆ จะตามมาเอง เนื่องจากการใคร่ครวญ จากเหตุ และ ผล สู่วิธีการทดลอง ทำ จำ ทบทวน ผล เหตุ

    คำคม : 1 หนทางหมื่นลี้ เริ่มจากก้าวแรกเสมอ
    2 อนาคต(เป้าหมาย) เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง ปัจจุบันเป็นสิ่งที่อยู่และก้าวเดิน อดีตเป็นบทเรียนว่าอย่าทำสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไป หรืออย่าเดินทางผิด
    3 ก้าวหน้าอยู่เสมอ หนึ่งก้าวที่ก้าวไป นี้นคือเส้นชัยที่ใกล้เข้ามา

    ผิดพลาด ประการใดต้องขออภัยมานะที่นะครับ
    จาก มังกรฟ้า ฟ้าประทาน
     
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ ท่านอนันตชิน
    ผมเองเห็นด้วยกับที่ท่านพิมพ์มานะครับ
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่าน อนันตชิน ครับขออนุญาติตอบก่อนนะครับ คงไม่ว่าผมนะครับ อิอิอิ



    อานุภาพของศีล​


    ๑. หากศีลไม่บริสุทธิ์ ความหวังเรื่องสมาธิ หรือมรรคผล ย่อมไม่เกิด ถือเป็นกฎตายตัว พระองค์สอนหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไว้ ๓ ประการ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ซึ่งย่อมาจากอริยมรรค ๘ นั่นเอง

    ๒." พระอินทร์ท่านว่า กลิ่นของศีลของพระพุทธเจ้านั้นหอมทวนลม หอมมาก จนกลบกลิ่นพระบังคนหนัก (ขี้หรืออุจาระ) ของพระองค์หมด ท่านจึงไม่รังเกียจที่มาคอยเทพระบังคนหนัง (ขี้) และพระบังคนเบา (เยี่ยว) ให้พระพุทธเจ้า "

    ๓." บุคคลใดที่มีศีลบริสุทธิ์ จึงเป็นที่รักของสัตว์-คน-เทวดา และพรหม "

    ๔." ศีลเป็นด่านแรกของการป้องกันอบายภูมิ ๔ " คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน

    ๕. "ศีลจะบริสุทธิ์ได้ ต้องอาศัยมีสมาธิคุม
    สมาธิจะทรงตัวได้ ต้องอาศัยศีลบริสุทธิ์
    คนใดไร้ปัญญา คนนั้นหาศีลไม่ได้
    คนใดไร้ศีล คนนั้นมีสมาธิตั้งมั่นไม่ได้
    คนใดไร้สมาธิ คนนั้นไม่เกิดปัญญา "

    ดังนั้นศีล-สมาธิ-ปัญญา จึงสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แยกจากกันหรือขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้ มิจฉาทิฎฐิจะเกิดกับจิตผู้นั้นได้ตลอดเวลา

    ๖. " ผู้ใดจิตทรงศีลเป็นปกติจนเกิดสมาธิเอง ชื่อว่าเป็นสีลานุสสติ เป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมณ์อย่างแท้จริง "

    ๗. ประโยชน์ของศีลหรือผลของศีลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

    ก) สีเลนะ สุคติง ยันติ ปัจจุบันอยู่ก็เป็นสุข ตายไปก็เป็นสุข เกิดใหม่ก็เป็นสุข

    ข) สีเลนะ โภค สัมปทา ปัจจุบันจะไม่อดตาย, ตายไปก็มีอริยทรัพย์มาก, เกิดใหม่ก็มีทรัพย์

    ค). สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย

    พระองค์ทรงรับรองถึงขนาดนี้ ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้

    ๘. ทรงตรัสไว้ว่า " คนที่ควรยกย่อง คือ ภิกษุที่ไม่ถูกตำหนิเรื่องศีล "

    ๙. พระสารีบุตรเทศน์ว่า " คนที่มีศีลแล้วทำบุญ หากตั้งใจจะไปเกิดที่ไหนก็มีผลตามนั้น เหตุเพราะความบริสุทธิ์ของศีล "

    ๑๑" คุณสมบัติของพระโสดาบันในสังโยชน์ ๓ ข้อแรกนั้น ข้อที่เป็นหลักใหญ่ก็คือ การมีศีลบริสุทธิ์ตลอดเวลา "

    ๑๒." ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการในตน และรักษาไว้ได้ไม่เสื่อม ชื่อว่าประพฤติใกล้พระนิพพานแล้ว ธรรม ๔ ประการนั้นก็คือ ๔ ข้อในจรณะ ๑๕ " (ศีลสังวร, อินทรีย์สังวร, โภชเนมัตตัญญุตา และชาคริยานุโยค ๒ ข้อแรก สำรวมเรื่องกาม ข้อที่ ๓ สำรวมเรื่องการกิน ข้อที่ ๔ สำรวมเรื่องการนอน)

    ๑๓. " ศีลไม่บริสุทธิ์ สัมมาสมาธิก็ไม่บริบูรณ์ สัมมาญาณก็ไม่เกิด สัมมาวิมุตติก็ไม่มี ดังนั้น ศีลจึงเป็นรากฐานใหญ่ของการปฏิบัติในมรรค ๘ (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) มิจฉาทิฎฐิ หรือสัมมาทิฎฐิ จึงมีศีลเป็นเครื่องวัด "

    ๑๔. พระพุทธองค์ตรัสแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า สมัยที่ท่านเป็นพราหมณ์ได้ทำทานมามาก แต่ผู้รับทานไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล หมายถึงบุคคลที่ไม่มีศีล ไม่ใช่พระอริยเจ้า ทำให้อานิสงส์ของทานมีน้อย ถ้าผู้รับบริสุทธิ์มากเท่าใด ผลของทานจะคูณด้วย ๑๐๐ ตามลำดับ (ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดที่ทรงตรัสไว้โดยย่อๆ ดังนี้ ทำบุญหรือทำทานกับสัตว์เดียรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง สู้ทำบุญกับคนไม่มีศีลหนึ่งครั้งไม่ได้ ตามลำดับขึ้นไป มีผลคูณด้วย ๑๐๐ เท่าตามลำดับ คือ ทำบุญกับคนมีศีล-กับพระอริยเจ้า ๘ ระดับ คือ พระโสดาปัตติมรรค-พระโสดาปัตติผล จึงถึงพระอรหันตผล ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า-พระพุทธเจ้า-ถวายสังฆทาน-วิหารทาน-ธรรมทาน และสูงที่สุด คือ อภัยทาน ความจริงแล้วทรงตรัสไว้ละเอียดยิ่งกว่านี้อีก แต่ขอเขียนไว้แต่พอประมาณเพื่อให้จำง่าย ๆ เท่านั้น ผู้มีปัญญาจึงเลือกทำบุญ เพื่อให้ได้บุญมาก ๆ ไว้ก่อน ส่วนใหญ่จึงมักถวายสังฆทานกันเป็นส่วนใหญ่ สรุปว่า บุคคลในโลกนี้จะหาคนที่มีศีลบริสุทธิ์เท่ากับพระพุทธเจ้านั้นไม่มี)

    ๑๕. ศีลสร้างคนให้เป็นพระได้ หรือสร้างสมมติสงฆ์ (นักบวช) ให้เป็นพระอริยเจ้าได้

    ๑๖. " ผู้มีศีลบริสุทธิ์ตลอดเวลา จึงเท่ากับพกพระไว้กับตัวตลอดเวลา "(หมายความว่าบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือผู้ชาย หรือเด็กตั้งแต่อายุ ๗ ขวบขึ้นไป หากรักษาศีลจนกระทั่งศีลรักษาจิตเขาไม่ให้กระทำผิดศีลอีก บุคคลนั้นไม่มีทางจะตกนรกอีก (อบายภูมิ ๔) ตลอดกาล เพราะจิตดวงนั้นได้เป็นพระเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา คือ พระโสดาบัน จึงเท่ากับพกพระภายในไว้กับจิต เป็นวัตถุมงคลภายใน ในมงคล ๓๘ ซึ่งพระองค์ทรงตรัสสอนไว้อยู่อันดับที่ ๒๙ (การเห็นสมณะหรือพระภายใน จัดเป็นอุดมมงคล หรือเอาจิต เอาปัญญาของเราเห็นพระ ไม่ใช่เอาลูกตาเห็นพระ) ซึ่งไม่มีการเสื่อม หรือสลายตัว หรือถอยหลัง หรืออนัตตาตลอดไป ต่างกับการสร้างพระภายนอก ซึ่งพวกเราซึ่งมีศรัทธาเข้ามาในพุทธศาสนา ต่างก็สร้างพระภายนอกกันมาเป็นอสงไขยชาติ สร้างแล้วสร้างอีก พระภายนอกในที่สุดก็เสื่อม-แตก-พัง-สลายตัว หรืออนัตตาทุกครั้งไป จึงสู้สร้างพระภายในไม่ได้ ผู้มีปัญญาท่านเชื่อพระพุทธเจ้าจริงด้วยการปฏิบัติ โดยการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกให้ได้ ซึ่งความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓ คือ รักษาศีลจนศีลรักษาเรา (จิต) ให้เป็นสีลานุสสติเท่านั้นเอง พระภายในก็เกิดขึ้นมั่นคงถาวรตลอดกาล รายละเอียดมีมาก ขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้)

    ๑๗." เมตตาเป็นอาหารของศีล หรือพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหารของศีล-สมาธิและปัญญา "

    ๑๘." ศีลนำไปสู่ความมีหิริ-โอตตัปปะ " (หมายความว่าศีลเปลี่ยนคนซึ่งแปลว่ายุ่ง ชอบสร้างแต่ปัญหา ขยันหาทุกข์ใส่ตัวให้มาเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าประเสริฐ แต่มนุษย์ยังมีคุณธรรมต่ำกว่าเทวดา ซึ่งมีหิริและโอตตัปปะเป็นคุณธรรม จะเข้าใจดีให้ศึกษาเรื่องอนุปุพกถา ๕ ซึ่งพระองค์ทรงตรัสสอนบุคคลกลุ่มใหญ่บ่อย ๆ ให้มีดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย) (อนุปุพกถา ๕ มีทานกถา, ศีลกถา, สักกะกถา, โทษของกาม หรือ กามกถา, และ เนกขัมมกถา หรือ คุณของการออกจากกาม)

    ๑๙. ทรงตรัสกล่าวถึง โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีลไว้ ๕ อย่าง คือ

    ก) ย่อมเสื่อมโภคทรัพย์เพราะความประมาท

    ข) ย่อมเสียชื่อเสียงไปในทางไม่ดี

    ค) ย่อมเข้ากับใครไม่ได้สนิท

    ง) ย่อมหลงตาย

    จ) ตายแล้วย่อมไปสู่ทุคติ

    ส่วนคุณของศีลก็มี ๕ ข้อ มีผลตรงข้ามกับโทษของศีล

    ๒๐. ทรงตรัสไว้มีใจความว่า " การให้ทาน ๕ อย่าง หรือการให้ศีล ๕ นี้จัดเป็นมหาทาน อันบัณฑิตรู้ว่าเป็นเลิศของทาน ซึ่งมีมานานแล้ว จัดเป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ "

    ๒๑. เป็นข้อสรุป" อานุภาพของศีล "

    ศีลเป็นกำลังอย่างไม่มีที่เปรียบ, ศีลเป็นอาวุธอันสูงสุด, ศีลเป็นเครื่องประดับอันประเสริฐ, ศีลเป็นเกราะอันอัศจรรย์, ศีลเป็นคุณ รวมกำลังเป็นเลิศ, ศีลเป็นเสบียงเดินทางอย่างสูงสุด, ศีลเป็นผู้นำทางอย่างประเสริฐ, ศีลเป็นเครื่องขจรไปทั่วทุกทิศ, ศีลเท่านั้นที่เป็นเลิศในโลก, ส่วนผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้มีศีล, ศีลเป็นผู้ชนะในหมู่มนุษย์และเทวดา เพราะศีลและปัญญาเป็นธรรมคู่กัน, ศีลเป็นรากฐานของการบำเพ็ญเพียรภาวนา

    - การภาวนาถ้าไม่มีฐาน คือ ไม่มีศีลรองรับ ก็ยากที่จะสำเร็จได้ หรือไม่มีทางสำเร็จ

    - ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย

    - ศีลเป็นประมุขของธรรมทั่วไป จึงควรพากันชำระศีลให้บริสุทธิ์

    - ศีลเปรียบเสมือนรากแก้วของต้นไม้

    - ศีลเป็นคุณสมบัติของพระและฆราวาส คนจะเป็นพระได้อยู่ที่ศีล ฆราวาส ก็เช่น พระโยคาวจรและพระโสดาบัน เป็นต้น

    - ศีลรักษาง่าย ถ้าผู้นั้นเห็นโทษของการทำบาปจริง ๆ (คือเห็นและเข้าใจเรื่องกฎของกรรม)

    - ศีลเป็นเครื่องวัดความดีของหมู่สัตว์

    - ศีลเป็นทรัพย์อันประเสริฐ-ไม่อด-ไม่จน-มีอริยทรัพย์

    - ศีลส่งเสริมความดีให้กับผู้รักษาตั้งแต่ต้นจนอวสาน สร้างคนให้เป็นพระ

    - ศีลสร้างพระธรรมดา ให้เป็นพระอริยเจ้า และพาส่งให้เข้าถึงพระนิพพาน

    - ใครมีศีล เท่ากับพกพระไว้กับตัว ไปไหนก็มีพระไปด้วย มีวัตร (วัด) ไปกับตัว เป็นมงคล เป็นของประเสริฐ

    - เมตตาเป็นอาหารของศีล ผู้ใดเจริญเมตตา ศีลไม่มีขาด

    - ศีลนำไปสู่ความมีหิริ โอตตัปปะ

    ดังนั้นผู้ใดอ่านข้อที่ ๒๒ เพียงข้อเดียว และจำได้ แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผล ก็เท่ากับรู้เรื่องศีลตั้งแต่ข้อที่ ๑-๒๑ ได้ทั้งหมด

    พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า " ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับด้วยประการดังนี้แล "

    สรุปส่งท้าย ๙ ข้อ

    ๑. การให้ทาน ๕ อย่าง หรือศีล ๕ จัดเป็นมหาทาน

    ๒. ศีลเป็นคุณสมบัติของพระและฆราวาส

    ๓. ศีลเป็นแม่ของพระธรรม

    ๔. ศีลเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา

    ๖. การให้ธรรม (ศีล) เป็นทานชนะทานทั้งปวง

    ๗. การสร้างพระภายในให้เกิดขึ้น ความสำคัญอยู่ที่ศีล

    ๘. แม้ตถาคตเอง เมื่อยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็เคารพในศีล (พระธรรม)

    ๙. พระธรรม (ศีล) จึงมีคุณค่าสูงสุดในโลกนี้
     
  16. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ตอบคุณ อนันตชิน

    ไม่อยากอธิบาย แต่ กระทู้ เรื่องนี้ เคยมีการ พูดถึงกันแล้ว

    ไม่อยากนำมาพูดอีก พูดไปก็เป็นเรื่องเกินใบไม้ในกำมือ

    แต่พระพุทธเจ้า
    องค์พระทศพลทุกๆๆพระองค์ ทุกๆๆประเภทเป็น พระสัพพัญญู เหมือนทุกๆๆพระองค์ มีความสามารถเท่าๆๆๆ กันทุกๆๆพระองค์ ไม่มีพระองค์ไหน พระองค์ประเภทไหน จะยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

    คำว่า สัพพัญญู เหมือนกัน ไม่เถียง แต่ความสามารถไม่เท่ากัน

    ลองไปดูประวัติ พระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆไปครับ

    พระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ มีไม่เท่ากัน จริงๆ ลอกมาจากพระไตรปิฏก

    ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระ พระมงคลพุทธเจ้า มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า
    พระองค์อื่นๆ รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์อื่นๆ ซึ่งมีรัศมีพระสรีระ
    ประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้างโดย
    รอบ ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น แผ่ไปตลอด
    หมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์



    ในพระไตรปิฏก ก็กล่าวถึง พระมงคลพุทธเจ้าที่ 3 ที่พระองค์มีรัศมีกาย มากกว่า พระพุทธเจ้าองค์อื่น ส่องไปถึงหมื่นจักรวาล

    หรือ พระศรีอาริย์ ที่จะมาตรัสรู้ พระองค์ก็อธิฐาน ขอให้ เป็นพระพุทธเจ้า ที่มีฤทธิ์มากกว่า พระพุทธเจ้าองค์อื่น

    พระพุทธเจ้าบางองค์ ขอให้เป็นผู้มีบริวารมากที่สุด

    เคยมีคนรวบรวม ไว้หมดแล้ว พระพุทธเจ้า ที่อธิษฐาน ให้ พิเศษ มีเป็นสิบ เป็นร้อย ที่ต่างกับพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ

    อยู่ในเว็บนี้ แหละครับ ถ้ามีปัญญา หาเจอ นะครับ

    อย่างนี้จะเรียกว่า เท่ากันได้อย่างไร ในเมื่อมีคำว่ามากที่สุด ย่อมแสดงให้เห็นว่า ต้องมีผู้ที่น้อยกว่าเพียงแต่ น้อยกว่า ในระดับพระพุทธเจ้าด้วยกันเท่านั้น แต่ก็ยังมากมายมหาศาล เมื่อเทียบกับปุถุชน ธรรมดา


    ไปอ่านดูก่อนจะมาตอบซะดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2010
  17. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ท่านครับ
    เป็นนิตยะโพธิสัตว์ หรือเป็นอนิตยะโพธิสัตว์ แล้วทำไมเหรอครับ น่าถามตรงไหนครับช่วยตอบทีครับ ????


    ที่คุณถาม อันนี้ เป็นการโต้ตอบ กับ ผม กับ เจ้าของกระทู้

    เจ้าของกระทู้ เคยถามผม เกี่ยวกับเรื่องพุทธภูมิ เลย มาตอบ เจ้าของกระทู้ เขา

    ไม่ได้ตอบคุณ อนันตชิน กรุณา อย่า ยุ่ง เรื่องของคนอื่น
     
  18. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ประเทศชาติกำลังมีภัย รักกันไว้นะครับพูทธภูมิ มในกรรมคือ ความคิด เมื่อคิดแล้ว เปล่งออกมาเป็นวาจา หรือตัวหนังสือ คือ วจีกรรม แต่เมื่อคิดกระทำคือ กายกรรม พูดน้อยเสียน้อย พูดมากเสียมาก ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์ ผมชอบภาษิตของหลวงปู่ทวดบทนี้จัง ตอนนี้ผมก็เสียมากแล้วด้วยเพราะผมเข้ามาพูด รักทุกๆท่านครับ
     
  19. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่าน วรกันต์ ครับ
    ท่านไม่สมควรที่จะ เขียนเรื่อง ความสามารถของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เลยครับ เพราะ เป็นเรื่องของพุทธวิสัย
    เราๆๆทั้งหลายในบอร์ดเป็นแค่ปุถุชน ไม่ควรที่จะ วิจารณ์เรื่องแบบนี้
    แม้แต่ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลายในอดีตยังไม่กล้าที่จะวิจารณ์เรื่องนี้เลย

    จะเป็นบาปกรรมแบบอนันตกรรมของท่านเองนะ ผมเป็นห่วงท่านมากเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 เมษายน 2010
  20. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่านครับ
    แล้วทำไม องค์พระทศพลกกุสันโท( พระวรกายสูง ๔๐ ศอก ) องค์พระทศพลโกนาคม(พระวรกายสูง ๓๐ ศอก ) องค์พระทศพลกัสสปะ(พระวรกายสูง ๒๐ ศอก )เป็นพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะทั้ง ๓ พระองค์ บำเพ็ญบารมี ๔๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ ทำไมพระวรกายไม่เท่ากัน ???

    แล้ว องค์พระทศพลพระศรีอาริย์( พระวรกายสูง ๘๘ ศอก ) และองค์พระทศพลพระสุมนะ (พระวรกายสูง ๙๐ ศอก ) เป็นพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ทรงบำเพ็ญบารมี ๘๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ เท่าไมพระวรกายไม่เท่ากัน ???


    ทั้งๆๆที่บำเพ็ญมาเท่ากัน
    ท่านตอบได้ไหม ครับ ???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...