ลึกลับ:เกาะสามเหลี่ยมเบอร์บิวดา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย thailivesoft, 19 มีนาคม 2010.

  1. thailivesoft

    thailivesoft สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +11
    "เกาะสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา"ผมทราบดีว่าทุกท่านในเว็บพลังจิตคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเกาะสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามาบ้างแล้วและคุณรู้ไหมว่าเกาะสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีความลึกลับและซับซ้อนอย่างไร

    หากยังไม่รู้โปรดอ่านบทความต่อไปนี้...

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้าน ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน
    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle)
    (วิกีพีเดีย)


    จากข้อมูลข้างต้นคงจะทำให้ท่านผู้อ่านพอจะทราบเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาบ้างแล้วล่ะครับ ดังนั้นมาดูข้อมูลต่อไปเลยดีกว่า


    ทฤษฎีต่างๆของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้มีนักวิทยาศาสตร์หาคำตอบว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีความลึกลับอย่างไรและการที่เครื่องบินต่างๆโดนดูดลงไปต้ายท้องมหาสมุทรและไม่สามารถหาซากปรักหักพังได้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นผมจึงขออนุญาตินำทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นมาให้ท่านผู้อ่านได้วิเคราะห์เหตุการณ์กัน ว่าทฤษฏีไหนมีความเป็นไปได้มากที่สุด


    มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้

    1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่ สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
    2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย
    3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก
    4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน
    5. ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล
    6. ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด
    7. ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ
    (วิกีพีเดีย)


    แต่อย่างไรในปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดประเมินเหตุการณ์ไ้ด้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรบนโลกมนุษย์
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** เบอร์มิวด้า ****

    ใต้ทะเลมีแร่ธาตุหนึ่ง
    เรือที่จม เครื่องบินที่จมใต้ทะเล อยู่บนแร่ธาตุ
    เมื่อฟ้าผ่าลงทะเลสู่แร่ธาตุ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านโลหะ เรือเครื่องบินจะสลายตัวไป
    จะเห็นเหลือแต่น้ำทะเล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2010
  3. NJ042529

    NJ042529 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +247
    อยากให้เวปสโนว์ ช่วยไขความกระจ่างเรื่องนี้ในปรากฎแก่สมาชิกด้วย อยู่ในโลกนี้เอง ไม่ไกลสักหน่อย อยากรู้มันเป็นยังไงกันแน่ มีสัตว์น้ำอื่นหรือไม่ ตามข่าวเป็นความจริงไหม
    เพราะอะไร นะๆๆๆๆ โปรดเถอะ
     
  4. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    รอดูต่อไป.. สักวัน เราต้องรู้

    หุหุ
     
  5. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด

    ข้อนี้เป็นไปได้ที่สุดเท่าที่สังเกตุพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีของสามเหลี่ยม
    เบอร์มิวดา จะรวนและเสียหายอย่างหนัก เพราะคลื่นรบกวนอันเกิดจากสนามแม่เหล็กแม้แต่
    นาฬิกาแบบเข็มอาจต้องรวน ก็เหมือนเอาแม่เหล็กวางใกล้ๆหน้าจอโทรทัศน์นั้นแหละ
     
  6. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    ประตูมิติ ด้วยนะ
     
  7. sujjung

    sujjung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +424
    เมื่อล้านปีที่แล้ว....ก็พูดอย่างเนี้ย...เฮ้อ!
     
  8. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    1.มันคือแร่อะไร
    2.ถ้าฟ้าไม่ฝ่าละ
    1.แล้วถ้าเราพายเรือไปละ
     
  9. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    บริเวณนั้นเป็นมหาสมุทร ที่มีคลื่นลมมรสุมจัด คงมีน้อยคนที่จะกล้าพายไป
    อีกทั้งบริเวณดังกล่าวมี่ปรากฎการณ์น้ำวน คงสนุกแน่ถ้าจะพายเรือเล่นแถวๆนั้น อิอิ
     
  10. พงศ์ปณต

    พงศ์ปณต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +80
    เมื่อก่อนนั้นเคยมีรายการสำรวจโลกแล้วก็รายการไรอีกรึป่าวไม่แน่ใจนะครับ

    ที่ว่า เหตุที่เครื่องบิน หายจมไปอาจเกิดได้จากมรสุม และทัศนวิสัยในการบินไม่ดีครับ

    ประกอบด้วยเหตุที่ว่าบริเวณดังกล่าวมีความเข้มของสนามไฟฟ้าที่มากกว่าบริเวณอื่น

    อาจทำให้เครื่องมืออิเล็กทรอนิก บางชนิดเกิดความเสียหายหรือแสดงข้อมูลที่ผิดพลาด

    ส่วนอีกกรณี คือตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าได้มีการทำการฝึกบินหรือว่าปฎิบัติภาระกิจ

    ในช่วงกลางคืน และในคืนนั้นเกิดมีลมมรสุมพอดี นักบินได้แจ้งให้ทางศูนย์การบินได้

    ทราบถึงทัศนวิสัยขณะนั้น แล้วต่อมาได้เกิดเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้เกจวัดเชื้อเพลิง

    เกิดให้ข้อมูลผิดพลาดทำให้ไม่ทราบว่าเชื้อเพลิงที่เหลือจริงๆมีปริมาณเท่าได้ พอทราบอีกที

    เชื้อเพลิงก็ได้หมดลงไปแล้วจึงทำให้เกิดเหตุดังกล่าว ส่วนเรือที่จมหายไป ก็น่าจะเกิด

    จากลมมรสุมและน้ำวนเนื่องจากบริเวณนั้นมีกระแสน้ำที่แรงกว่า แล้วตอนท้ายๆรายการยังมี

    ตอนที่เค้านำเรือดำน้ำลงไปสำรวจก็ปรากฏว่าพบชิ้นส่วนของเครื่องบินนะครับ

    ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. พงศ์ปณต

    พงศ์ปณต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +80
    อันนี้ผมเข้ากูเกิ้ลไปเจอเลยนำมาให้อ่านกันเล่นๆครับ

    ------------------------------------------------------------------

    [​IMG]กล่าวขวัญถึงกันมากเหลือเกิน สำหรับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เชื่อว่าเราๆท่านๆคงคุ้นเคยชื่อนี้กันทุกคนนะ


    [​IMG]
    อาณาบริเวณของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นการลากเส้นสมมุติ เพื่อกำหนดอาณาบริเวณในน่านน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติค โดยการลากเส้นจากฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา สู่เกาะเบอร์มิวด้า สู่เปอร์โตริโก แล้วก็วกกลับมาที่ฟลอริด้าอีกทีนึงเป็นรูปสามเหลี่ยมพอดี และไอ้เจ้าบริเวณที่ว่านี้แหละครับ ที่ถือเป็นปริศนาแห่งศตวรรษที่ 20 โดยแท้

    อาณาบริเวณนี้กินกว้างจากฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวด้า มันกินพื้นที่ตั้งห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเอบอร์มิวด้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงกระนั้น ทั้งองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างก็ควานหากันอย่างสุดเหวี่ยง เผื่อจะเจอเงื่อนงำอะไรที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนมรณะนี้ได้



    ที่มาของชื่อ

    ศัพท์คำว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" หรือ "Bermuda Triangle" นี้ มีที่มาจากบทความของ ชื่อ Vincent H. Gaddis แห่งนิตยสารอาร์กอสซี่ครับ เขานำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำอธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี 1964 ทว่า แกดดิสมิได้เป็นคนแรกหรอกครับที่สังเกตเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อน (1952) ก็มีคนเสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณน่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปที่จะใช้คำว่าอุบัติเหตุมาอธิบาย คนเขียนบทความเค้าชื่อ George X. Sands

    ถัดมาในปี 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้นก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลับดำมืดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็ขายดิบขายดีแทบทุกเล่มครับ ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี 1974 ครับ เป็นที่น่าสังเกตคือ แทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น ส่วนจะมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างคนก็หาหลักฐานงัดทฤษฎีมาโต้กันสุดฤทธิ์ สนุกกันใหญ่ทั้งคนอ่านคนเขียน

    แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายใดที่น่าพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย..


    ทฤษฎีที่นำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็มีแตกต่างกันไป บางคนก็โทษว่าเป็นฝีมือของวิญญาณ หรือ สัตว์ลึกลับไปโน่นเลย เนื่องจากไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ การที่เครื่องบินและเรือเดินสมุทรเกิดหายไปอย่างฉับพลันในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยปราศจากร่องรอยอยู่เสมอนั้น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนาตรงนี้ นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆกันไป บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ หรือ UFOs บางคนว่าเกิดจากแหล่งพลังงานลึกลับใต้มหาสมุทร รวมไปถึงทฤษฎีการแตกหักของโครงสร้างทางธรณีวิทยาใต้มหาสมุทร เป็นเวลาเนิ่นนานนับสิบๆปีแล้วครับ ที่ผู้คนวิพากษ์ถกเถียงกันเรื่องสามเหลี่ยมเจ้ากรรมนี้ คำร่ำลือเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของมันขจรขจายไปทั่วโลก ในฐานะของดินแดนมรณะที่จะดูดกลืนชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่สัญจรผ่านบริเวณนั้น


    แต่ทฤษฏีที่ร้ายที่สุดคือมันเป็นเรื่องโกหก



    จับผิด
    [​IMG]
    เรื่องของเรื่องคือหนังสือชื่อว่า The Bermuda Triangle ของชาร์ลส เบอร์ลิซ ซึ่งตีพิมพ์ในช่วงปี 1950 เป็นตัวจุดชนวนนำชื่อของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาโด่งดังไปทั่วโลก มีการนำเรื่องในหนังสือแนะนำผ่านสื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์และนิตยสาร ทั้งยังมีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย ....แต่ในภายหลัง เมื่อนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่เขียนอยู่ในหนังสือก็พบว่าหนังสือเล่มดังกล่าวเขียนขึ้นโดยประกอบด้วยความเท็จ การบิดเบือนและการประโคมเรื่องเป็นจำนวนมากจนยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง

    และนี่เป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับคดีและข้อค้านเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา



    คดีเรือแมรี่เซเลสเต้

    [​IMG]
    คดีของแมรี่เซเลสเต้เป็นคดีที่เรืออยู่แต่คนไม่อยู่นี้แหละครับ มีร่องรอยข้าวของเครื่องใช้อยู่พร้อมเพียง แต่มีการจับผิดว่าเกิดเหตุดันอยู่ที่อ่าวโปรตุเกสซึ่งอยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามากกว่า 3000 กิโลเมตรเลยทีเดียว



    คดีเรือเฟรย่า

    [​IMG]

    ตุลาคมปี 1902 เรือเฟรย่าออกเดินทางจากแมนซานีโจ้ ประเทศคิวบา เพื่อไปยังพุนดาอานาเลส ประเทศชิลี ภายหลังถูกพบอับปางที่มาซาโทรัน โดยที่ลูกเรือทั้งหมดหายตัวไป แต่ในความจริงแล้ว เรือเฟรย่าออกจากท่าแมนซานีโจ้ ประเทศเม็กซิโกต่างหากล่ะ และแล่นเรืออยู่ในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งระหว่างเดินเรือได้พบกับแผ่นดินไหวใต้ทะเลในเขตน่านน้ำของเม็กซิโก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจเจอคลื่นยักษ์มาซัดเอาลูกเรือไปก็เป็นได้มากกว่า



    คดีเครื่องบินอังกฤษหายสาปสูญ
    [​IMG]

    กุมภาพันธ์ปี 1953 เครื่องบินโดยสารของอังกฤษซึ่งบรรทุกพลทหารจำนวน 39 คนหายสาปสูญไม่พบร่องรอย แต่จากการตรวจสอบ จุดที่เครื่องบินดังกล่าวหายไปอยู่ห่างไปทางเหนือจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1400 กิโลเมตร มีสภาพอากาศขณะที่หายไปก็มีฝนหนักและลมแรงไม่แปลกที่เครื่องบินจะตก



    คดีเรือดำน้ำสกอร์เปี้ยน
    [​IMG]
    พฤษภาคมปี 1968 เรือดำน้ำพลังงานปรมาณูสกอร์เปี้ยนพร้อมลูกเรือ 99 คนอัปปางลงในน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลส มีการสำรวจแล้วแต่ไม่สามารถค้นพบซากเรือ แต่.......ในความจริงนั้น 5 เดือนให้หลังจากการอัปปาง เรือสำรวจก้นสมุทรไมเซอร์พบซากเรือสกอร์เปี้ยนที่ก้นทะเลซึ่งอยู่ห่างจากหมู่เกาะอาโซเลสไปทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 640 กิโลเมตรในสภาพถูกทำลายยับเยิน การตรวจสอบพบว่าถูกยิงด้วยมิสไซล์ และน่านน้ำตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะอาโซเลสก็อยู่ห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาถึง 1000 กิโลเมตร



    คดีเรือเอเลนออสติน
    [​IMG]
    ปี 1881 ระหว่างที่เรือเอเลนออสตินสัญชาติอังกฤษกำลังแล่นเรืออยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้พบกับเรือสคูเนอร์ (เรือที่มี 2 เสากระโดง) ลอยลำอยู่โดยไม่มีลูกเรือ กัปตันจึงแบ่งลูกเรือ 2-3 คนขึ้นเรือลำดังกล่าวเพื่อนำเรือเข้าเทียบท่าเซนต์จอห์นด้วยกัน หากระหว่างนั้นก็พบกับพายุฝนและหมอกจนพลัดหลงจากกัน เมื่อพายุสงบและพบเรือสคูเนอร์อีกครั้ง ลูกเรือที่อยู่บนเรือก็หายสาปสูญไปอีกเสียแล้วกัปตันเรือเอเลนออสตินจึงแบ่งลูกเรือขึ้นเรือลำดังกล่าวอีกครั้ง หากระหว่างทางก้พบกับพายุฝนอีก และคราวนี้ พวกเขาก็ไม่ได้พบเรือลำนั้นอีกเลย

    แต่มีการตรวจสอบย้อนหลังถึงที่มาของคดีนี้ หากนอกจากที่บันทึกอยู่ในหนังสือ"เรื่องเล่าของนักฝัน"ของลูเพิร์ต กูลด์ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1944 แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องนี้บันทึกอยู่ในเอกสารหรือหนังสือพิมพ์ใดๆเลย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่านี่เป็นเรื่องทผมด์แต่งขึ้นเอง และในหนังสือของกูลด์ เรืผมปเพียงครั้งเดียว แต่เมื่อมีการแปลและตีพิมพ์หลายครั้งก็ถูกเพิ่มกลายมาเป็น 2 ครั้ง



    คดีกองเครื่องบินรบที่ 19 หายสาปสูญ

    [​IMG]
    เป็นคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    วันที่ 5 ธันวาคม 1945 เครื่องบินจู่โจมแอดเวนเชอร์จำนวน 5 ลำบินออกจากฐานทัพกองทัพอากาศในฟลอริด้าเพื่อลาดตระเวณพื้นที่ฝั่งทะเลทางตะวันออกของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เครื่องบินทั้ง 5 ลำถูกตรวจเช็คก่อนออกตัวอย่างละเอียดว่าไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนักบินต่างก็มีประสบการณ์ในระดับผู้เชี่ยวชาญ สภาพอากาศในวันนั้นแจ่มใส และมีกำหนดการว่าการลาดตระเวณจะเสร็จสิ้นใน 2 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นในเวลา 15.45น. นักบินแจ้งมาว่ากองเครื่องบินหลงจากคอสที่กำหนดไว้ และพวกเขามองไม่เห็นแผ่นดิน ศูนย์บังคับการออกคำสั่งให้นักบินหันหัวเครื่องไปทางทิศตะวันตก หากนักบินก็ตอบว่าพวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าทิศไหนคือทิศตะวันตก ผู้บังคับการสันนิษฐานว่าอุปกรณ์นำทางอาจจะเสียหาย นักบินจึงหาเส้นทางบินไม่เจอ แต่หากในเวลานี้ ถ้าบินหันหัวไปตามดวงอาทิตย์ก็จะพบฝั่งในเวลาไม่ช้า แต่จากคำพูดของนักบินแล้ว ฟังราวกับว่าพวกเขามองไม่เห็นกระทั่งดวงอาทิตย์ในไม่ช้า การติดต่อจากนักบินก็ขาดตอนไป ศูนย์จึงส่งเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์ไปเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ แต่เครื่องบินช่วยเหลือก็หายสาปสูญไปเช่นกัน

    แต่เรื่องข้างบนกล่าวว่า นักบินทั้ง 5 คนเป็นผู้มีประสบการณ์ก็จริง แต่ในความเป็นจริงนั้น นอกจากชารล์ส แครอล เทย์เลอร์ซึ่งเป็นหัวหน้ากองบินและผู้ช่วยอีกคนแล้ว นักบินอีก 3 คนยังเป็นเพียงนักเรียนฝึกหัดการบินอยู่ หนำซ้ำตัวเทย์เลอร์เองก็เพิ่งจะย้ายมายังฟลอริด้าเพียง 2 อาทิตย์ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจึงยังไม่มีความชำนาญด้านเส้นทางบินนักในด้านสภาพอากาศนั้น จริงอยู่ที่ขณะที่ออกเครื่องไป ท้องฟ้ายังแจ่มใสและมองเห็นพระอาทิตย์ได้อย่างชัดเจน แต่หลังจากนั้นสภาพอากาศก็แย่ลงอย่างกะทันหันและในตอนค่ำก็มีลมแรงถึง 16 เมตร

    เป็นความจริงที่อุปกรณ์การนำทางเสียหาย หากโดยการตรวจสอบภายหลัง เทย์เล่อร์บินอยู่ในเส้นทางการบินที่ถูกต้องแล้วอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสับสนกับเข็มทิศที่พัง พวกเขาจึงเข้าใจผิดว่าตนเองหลุดออกมานอกเส้นทาง และมีการหันหัวเปลี่ยนทิศทางหลายครั้งจนเกิดอาการสับสนทิศขึ้นมาจริงๆพวกเขาบินเปะปะไปมาอย่างไม่รู้เหนือใต้เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงก่อนที่น้ำมันจะหมดและต้องลงจอดบนทะเลด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ต้องสงสัยว่าตัวเลขนี้มีความหมายเดียวกับคำว่าตายนั่นเอง

    ส่วนเครื่องบินมาร์ตินมารีเนอร์นั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าไม่ได้มาตราฐานและมีน้ำมันรั่วบ่อยๆ ซึ่งถ้านักบินเผลอจุดบุหรี่สูบเมื่อไหร่ก็จะเกิดการระเบิดได้ง่ายๆ ซึ่งในความจริงนั้น กล่าวว่ามีผู้เห็นการระเบิดกลางอากาศใรทิศทางที่มาร์ตินมารีเนอร์บินไปหลังจากออกจากฐานไปได้ไม่นานนัก

    สรุปง่าย -*-
    เป็นปริศนาต่อไป

    http://members.thai.net/myth/bermuda/tri_idx.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...