ว.วชิรเมธี 'สติมาประชาธิปไตย' เทศนาดับร้อน 14 มี.ค.

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย aprin, 12 มีนาคม 2010.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    พระมหาวุฒิชัย

    "สังคมที่ใช้อารมณ์นำทาง เป็นสังคม "กลียุค"

    ในวันที่คล้ายกลิ่นดินปะสิว กลิ่นเลือดแห่งสงครามคละคลุ้งไปทั่วทุกย่อมหญ้า ในขณะที่ทุกโพล ทุกสำนักระบุตรงกันถึงภาวะความเครียดว่าคนไทยอยู่ในภาวะนอนไม่หลับกับการกรีฑาทัพของกลุ่ม นปช. "แดงทัพแผ่นดิน" ในครั้งนี้

    ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสคุยกับ พระมหาวุฒิชัย หรือ ว.วชิรเมธี สงฆ์ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ช่วยหาวิธีผ่าทางตัน ในวันที่ประชาชนรากหญ้า และคนเมือง กระทั่งพระสงฆ์ไทยร้อนรุ่มทั้งใจและกายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

    Q : ทำไมปัจจุบันคนกลัว มีความเครียด กับเรื่องการชุมนุมกันมาก ทุกโพลสำรวจก็ออกมาว่าคนเครียดมากมาย

    A : เหตุผลหลักก็เพราะว่ามันมีสัญญาณบางอย่างที่จะใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น เช่น มีการให้สัมภาษณ์ด้วยความเคียดแค้น ข่มขู่ คุกคาม เช่น จะทำสงคราม 10 ทัพ ที่ยิ่งใหญ่กว่าสงคราม 9 ทัพในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดูเหมือนกรุงเทพฯ จะถูกปิดล้อมจากทุกทิศทุกทาง และบีบให้ใช้ความรุนแรง อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีคนตายเพื่อสร้างเงื่อนไขในการต่อรอง หรือเปิดเงื่อนไขให้อำนาจพิเศษ เช่น รัฐประหาร อีกครั้งหนึ่ง ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึงกันไปหมด

    Q : ประชาชนธรรมดาๆ หรือที่เรียกว่าคนที่กลางๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดควรมีทีท่ากับวันที่ 14 มี.ค 53 ธรรมะจะแนะนำคนเหล่านี้ว่าอย่างไร...?

    A : ประการที่ 1 เราไม่ควรจะ “ตื่นตูม” แต่ควรจะ “ตื่นรู้” ลุกขึ้นมาศึกษาสถานการณ์อย่างรอบด้าน 2 ติดตามวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์หลายๆ ช่องทาง จะได้ไม่ตกเป็นแนวร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างงมงาย แล้วกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงเสียเอง 3 เราทุกคนในฐานะที่เป็นคนไทย ต้องแสดงเจตจำนงว่าเราไม่ยินดีต้อนรับความรุนแรง ไม่ว่าจะก่อโดยภาครัฐ หรือกลุ่ม นปช. ก็ตาม ถึงเวลาที่ทุกคนที่คนไทยทุกคนต้องแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ยินดีต้อนรับความรุนแรง นี่เป็นทางออกทั้ง 3 วิธี

    Q : มีวิธีคิดมุมดีๆ มุมไหนที่ทำไม่ให้คนกลัววันพรุ่งนี้ ไม่ให้กระวนกระวายไหม...?

    A : อาตมาคิดว่า ขอให้เชื่อมั่นไว้ว่าความรุนแรง โอกาสที่จะเกิดคงไม่มาก เพราะว่าใครใช้ความรุนแรงก่อนคนนั้นก็แพ้ ในทางลึกๆ แล้ว ภาครัฐก็ดี นปช.ก็ดีไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรง ขอให้เชื่อมั่นอย่างนี้ไว้เป็นเบื้องต้น ถ้ามีการใช้รุนแรงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เท่ากับว่าฝ่ายนั้นเท่ากับว่าสร้างเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นทันที

    นี่คือข้อเท็จจริงที่ควรตระหนักรู้เอาไว้ ว่าลึกๆแล้วไม่มีใครอยากใช้ความรุนแรง ดังนั้นอย่ากลัวและทุกข์เกินจริง

    [​IMG]

    Q : อย่าตื่นกลัวเกินจริงก็ถูก แต่คำถามก็คือทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์ขนาดที่ว่า ต้องกระหืดกระหอบกักตุนอาหาร กระทั่งถอนเงินสดออกจากธนาคารมาเก็บเอาไว้

    A : ก็เพราะว่าเรากำลังเขียนภาพความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การเจรจาต่อรอง เหล่านี้คือยุทธศาสตร์ของทั้ง 2 ฝ่ายเท่านั้นเอง ในส่วนของประชาชนไม่ต้องไปกลัวถึงขั้นนั้นหรอก ความรุนแรงใครใช้คนนั้นแพ้เลยนะ จบเลย ม้วนเสื่อเลย ถ้าประชาชนรู้เท่าทันว่าเป็นความรุนแรงที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อนำไปสู่การเจรจาต่อรองเท่านั้นลึกๆ แล้วไม่มีใครต้องการใช้ความรุนแรง

    ฉะนั้นแล้วประชาชนไม่ควรที่จะกลัวเกินจริง หรือถ้าเกิดมีการใช้ความรุนแรงขึ้นมาจริงๆ ตัวเองก็ควรจะอยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องออกไปเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงนั้นโดยเป็นอันขาด ไม่ว่าจะทั้งทางตรง-ทางอ้อม แล้วก็หากติดตามข่าวสารเหล่านี้แล้วรู้สึกว่าเครียด ก็ให้ลดการติดตามไปทำอย่างอื่นแทน เพราะยังไงโลกยังหมุนต่อไปตามเดิม อาตมาเองก็ใช้วิธีนี้ ตอนนี้อาตมาก็ขึ้นมาอยู่ต่างจังหวัด อาตมายังรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่างเลย เห็นไหมว่าโลกมันไม่ได้เดือดปุดๆ ไปทุกจุดหรอก มันมีบางจุดเท่านั้นที่เราเอาตัวเองไปเกี่ยวข้อง หากเห็นว่าเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องแล้วตัวเองร้อนรุ่ม กลุ้มใจ ถอนตัวออกมา แล้วไปทำกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิตดู อย่าหมกหมุ่นเกินไป

    Q : ตามหลักพุทธศาสนาการเมืองเป็นเรื่องของทุกๆ คนไหม...?

    A : การเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคนในสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่อยู่ในสังคมจะต้องกระโดดร่วมเข้าร่วมการเมืองอย่างไร้สติ เรามีส่วนร่วมทางการเมืองได้ แต่ต้องเป็นการเมืองที่มีสติ การเมืองที่ไม่มีสตินั้นเป็นเรื่องของพวกมากลากไป การเมืองที่มีสตินั้น เป็นเรื่องของเหตุผลเวลานี้สังคมไทยน่าเป็นห่วงมาก เพราะเรากำลังอยู่ในสังคมที่ก้าวข้ามการใช้เหตุผล มาใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ สังคมที่ใช้อารมณ์นำทางเป็นสังคมที่ล่อแหลมต่อการเกิด “กลียุค”

    ดังนั้นจำเป็นที่เราคนไทยทุกภาคส่วนจะต้องหยิบยกเอา “เหตุผล” ขึ้นมาชี้ทิศนำทาง ฉะนั้นต้องระมัดระวังตรงนี้ อาตมาเองอยากจะมองว่าเวลานี้ประชาธิปไตยของไทยนั้น เป็นประชาธิปไตยที่เรียกกันว่าเป็น “อหิงสาประชาธิปไตย” เป็นที่ “วิหิงสาประชาธิปไตย” คือประชาธิปไตยที่มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรง เราจึงต้องเปลี่ยนใหม่มาเป็นสติมาประชาธิปไตย

    สติมาแปลว่ามีสติ สติมาประชาธิปไตย คือประชาธิปไตยในการกำกับของสติ ทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยในการกำกับของความรุนแรง

    ลองดูสิ โฟนอินเข้ามาก็พูดแต่ความรุนแรง ตัวแทนออกมาให้สัมภาษณ์ก็พูดแต่ความรุนแรง แล้วหัวหน้ากลุ่มหัวหน้าก๊วนมีประวัติเป็นนักเลงทั้งนั้นเลย นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “วิหิงสาประชาธิปไตย” คือ ประชาธิปไตยที่มีแน้วโน้มจะใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่อันตรายมาก ฉะนั้นเราต้องกลับมาใช้ “สติมาประชาธิปไตย” คือประชาธิปไตยของคนที่ใช้สตินำทาง

    Q : การที่เราเห็นปรากฏการณ์พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในมากมายในยุคนี้ พระอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร…?

    A : พระสงฆ์สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ ในฐานะผู้ถ่ายทอดธรรมะให้แก่นักการเมือง ไม่ใช่ผู้ที่เข้าไปคลุกคลีตีโมงกับการเมือง ตรงนี้ต้องชัด นักการเมืองซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ให้รู้จักว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรคือประโยชน์ตน อะไรคือประโยชน์ท่าน หน้าที่ของพระสงฆ์ในทางการเมืองมีแค่นั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่พระสงฆ์ก้าวล่วงเข้าไปถึงขั้นคลุกคลีตีโมง หรือลงไปเล่นการเมืองเสียเอง ถือว่าเลยจุดที่พระธรรมะวินัยจะอนุญาตแล้ว ไม่ถูกต้อง

    Q : เล่นการเมืองไปถึงขั้นคลุกคลีตีโมงที่พระอาจารย์กล่าวหมายความต้องถึงขั้นไหน...?

    A : 1. เข้าไปเป็นกุนซือให้กับนักการเมือง 2. เข้าไปร่วมวางยุทธศาสตร์ให้กับนักการเมือง 3. เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียให้กับนักการเมือง ถ้าทำ 3 ขั้นนี้เมื่อไหร่ ถือว่าทำหน้าที่เลยสิ่งที่พระธรรมวินัยอนุญาต อันนี้อันตรายมาก พระสงฆ์เกี่ยวข้องกับการเมืองได้ในสถานะเดียวเท่านั้น คือผู้ถ่ายทอดหลักธรรมสำหรับนักการเมืองเท่านั้น ถ้าเลยไปถึงลงเล่นการเมืองเมื่อไหร่ ถือว่าทำผิดพระวินัยทันที ถามว่าตกนรก ตกนรกแน่นอน

    Q : ตามหน้าสื่อต่างๆ มีพระบางรูปบอกว่า อาตมาชื่นชอบนักการเมืองคนนี้ๆ เหลือเกิน เป็นโชคดีของประเทศที่ได้นักการเมืองคนนี้ๆ มาดูแลประเทศ กระทั่งเทศนาเชียร์ให้คนอื่นๆ ที่มาทำบุญคล้อยตาม กลับกันกลับเทศนาตำนิด่าทอคนที่ไม่เห็นด้วยกับตนเอง อย่างนี้ผิดไหมพระธรรมวินัยไหม

    A : ผิดแน่นอน สามารถแบ่งความผิดอย่างนี้มี 2 แบบ 1. ผิดวินัย หรือผิดตามกฏหมาย ซึ่งอาจจะไม่มาก แต่ผิดในแง่ของเจตนารมณ์ของการเป็นพระแล้วผิดรุนแรง เพราะการที่คุณเป็นพระบอกอยู่แล้วว่าเป็นการหันหลังให้กับการเมือง คุณยังเข้าไปคลุกคลีอยู่ถือว่าไม่ถูกต้อง เจตนารมณ์คือคุณกล้าออกมาจากวิถีชีวิตแบบชาวโลก แต่ถ้าคุณยังลงมาคลุกคลีตีโมงทางการเมืองกับชาวโลกอยู่ ไปมีส่วนได้ส่วนเสียส่วนปลุกเร้า หรือแสดงความชื่นชมนักการเมืองอย่างออกนอกหน้าเกินไป จนทำให้มีผลเสียหรือดีคนใดคนหนึ่งถือว่าไม่ถูกต้องหมดเลย ท่าทีอย่างนี้ถือว่าไม่ผิดวินัย แต่มันเป็น “โลกวัชชะ”

    “โลกวัชชะ” แปลว่าชาวโลกติเตียน ซึ่งอาจไม่ผิดวินัยร้ายแรง แต่อยู่ในวิสัยที่ชาวโลกรับไม่ได้ คือวินัยอาจบัญญัติไว้ไม่ถึง เพราะพระธรรมบัญญัติไว้ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าเปิดช่องเอาไว้ให้ แต่ถ้าชาวโลกไม่ยอมรับ ถือว่าไม่ถูกต้อง นี่เรียกว่าไม่ผิดโดยกฎหมาย แต่ผิดโดยเจตนารมณ์ ฉะนั้น แสดงความชื่นชม สนับสนุนนักการเมือง หรือช่วยเหลือ อย่างนี้ก็ไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

    [​IMG]

    Q : แล้วปรากฏการณ์ของพระสงฆ์บางรูปเช่นนี้ เอาหลักศาสนาอธิบายได้อย่างไร...!

    A : 1. ต้องยอมรับว่าพระสงฆ์บางรูปการศึกษาไม่ดี 2. มีอคติ เลือกข้างไปแล้ว 3. เป็นผู้ที่ได้รับส่วนได้เสียของนักการเมือง พูดอย่างตรงไปตรงมาคือ นักการเมืองจำนวนหนึ่งอาจจะจัดสรรงบประมานไปอุปถัมภ์บำรุงวัดของท่าน และนั่นเป็นเหตุให้เรียกร้องบุญคุณทางอ้อม เพราะพระสงฆ์เองก็ถือหางมวลชนไว้ไม่น้อยเหมือนกันสำหรับบางรูป ซึ่งนั่นเป็นจุดที่อันตรายมากสำหรับพระสงฆ์ พระเองก็ต้องระวังสถานภาพตัวเองไว้ว่า เกี่ยวข้องกับการเมืองได้เรื่องเดียวเท่านั้น คือในฐานะพระผู้เตือนสตินักการเมือง มากกว่านั้นถือว่าไม่เหมาะ

    Q : เป็นไปได้ไหมว่าส่วนหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์พระจีวรแดง พระจีวรเหลืองในสมัยนี้พระสงฆ์เสพข่าวสาร ทั้งทางทีวี วิทยุ และท่องอินเทอร์เน็ตมากเกินไป จริงแล้วตามหลักพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ สามารถดูทีวี ฟัง วิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์เล่นอินเทอร์เน็ตได้ไหม...?

    A : พระสงฆ์สามารถติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองได้ แต่เราต้องช่วยให้ท่านติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองอย่ารอบคอบและรัดกุม ต้องไม่ลืมว่าพระสงฆ์ก็คือลูกชาวบ้าน ดังนั้นถ้าท่านถูกกรอกข้อมูลอย่างผิดเรื่อยๆ ท่านก็จะมีวิธีคิด วิธีเชื่อ ที่ผิดๆ ไม่ต่างจากชาวบ้านเหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุให้พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งนั้นรับข้อมูลที่ผิด การที่พระสงฆ์รับข้อมูลที่ผิด ก็ทำให้ปฏิกิริยาปฏิบัติก็ผิดทางการเมืองด้วย

    อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นพระสงฆ์ ผู้รู้หลักพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ต่อให้มีข้อมูลข่าวสารมามากแค่ไหน ท่านก็จะครองวาจา ครองกายให้อยู่ได้ ไม่มีปัญหา คือ ต้องยอมรับว่าพระสงฆ์ไม่น้อยที่เป็นลูกชาวบ้าน ที่ยังไม่เข้าใจ 1. ธรรมะ ที่ไม่รู้การวางสถานะตัวเองต่อการเมือง 2. ไม่เข้าใจการเมืองไทย 3. ไม่เข้าใจสังคมไทย 4. รู้ไม่เท่าทันพวกนักการเมือง บางครั้งนักการเมืองก็เข้ามาหลอกพระ ภายใต้การอุปถัมภ์ ยิ่งถวายอุปถัมภ์มากๆ ก็สะกดพระได้มากๆ เพราะฉะนั้นต้องระวังว่าเขาเคารพ เราหรือกดเรา ถ้ารู้ไม่เท่าทัน พระก็จะถูกหลอกเป็นเครื่องมือได้เหมือนกัน จุดยืนของพระต่อการเมืองไทยคือ พระนั้นอยู่เหนือการเมือง ถ้าทำมากกว่านี้จะผิดเจตนารมณ์ของพระ

    Q : หลายคนสงสัยว่า เวลาที่คนส่วนน้อยทำให้คนส่วนมากเดือดร้อน เราจะมีวิธีคิดยังไงให้คนที่ส่วนมาก ไม่โกรธ ไม่เคียดแค้นจากการถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว...?

    A : อาตมาคิดว่า คนเมืองที่อยู่ในพื้นที่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เราไม่มีสิทที่จะไปโกรธคนที่เขาไม่รู้
    เรามีหน้าที่ทำความเข้าใจว่า ทำไมคนไทยของเราถึงถูกปลุกปั่น ด้วยความเข้าใจเท่านั้นที่เราจะทำการเมืองได้อย่างสันติ คนจำนวนหนึ่งถูกปลูกปลูกปั่นให้โกรธเกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์ของเขา มีแนวโน้มที่จะทำลายคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นเราอย่าไปใช้ “อารมณ์” กับเขา เราต้องใช้ “ปัญญา” แล้วยึดหลักว่าด้วยปัญญาและความเข้าใจจะนำพาการเมืองไทยก้าวข้ามความรุนแรงไปได้ ถ้าเขาใช้อารมณ์ และเราก็ใช้อารมณ์ แน่นอนที่สุดก็จะกลายเป็นความรุนแรง

    Q : เมื่อเจอความรุนแรงมา แต่กลับตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง ดังนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เริ่มก่อความรุนแรง

    A : พระพุทธองค์กล่าวว่าถ้าคนที่ทำให้เราโกรธและโกรธตอบ ทั้ง 2 คนนี้เลวพอกัน ดังนั้นถ้ามีประชาชนกลุ่มหนึ่งถูกปลุกปั่น เพื่อให้อารมณ์ในเมืองหลวง แล้วคนในเมืองหลวงก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงพอกัน ต่างฝ่ายก็จะทำให้ใครไม่ได้ดีไปกว่ากัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้อารมณ์ อีกฝ่ายก็ควรที่จะต้องใช้เหตุผล ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งคุกคาม อีกฝ่ายก็ควรจะใช้สันติวิธี ฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธ อีกฝ่ายต้องวางอาวุธ ฝ่ายหนึ่งเป็นไฟ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นน้ำ อีกฝ่ายใช้แบบกองโจร อีกฝ่ายต้องใช้มาตรการแบบอารยะ

    พระพุทธองค์บอกว่า ต่อสู้ความชั่วด้วยความดี ต่อสู้ความโกรธด้วยความไม่โกรธ ต่อสู้ความตระหนี่ด้วยการให้ ต่อสู้ความเท็จด้วยความจริง นี่คือวิธีแบบพระพุทธศาสนา คือ จงเอาชนะความชั่วด้วยความดี

    Q : กล่าวได้เต็มปากไหมว่าเหตุการณ์วันที่ 14 มี.ค.นี้ ถือมารทดสอบจิตใจคนไทยชั้นดี

    A : ให้มองอย่างหนึ่งว่านี่คือวิกฤติและนี่คือการพิสูจน์ธรรมะของคนไทยที่ผ่านเข้ามา ที่จะพิสูจน์ว่า เรามีธรรมะกันจริงหรือเปล่า ถ้ามองแบบนี้แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ดีมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่จะพิสูจน์บารมีธรรมของคนไทยทั้งชาติ

    Q : ศาสนาอธิบายได้ไหมว่า อีกสักกี่ปีที่จะประเทศไทยจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

    A : อาตมาคิดว่าภายใน 10 ปีนี้ความขัดแย้งจะสงบ แล้วหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่โหมดประชาธิปไตยที่เป็นอารยะได้ เท่าที่ดูเห็นว่าฐานอำนาจต่างๆ มันกำลังจัดผลประโยชน์ให้ลงตัว โดยเมืองไทยเองก็กำลังจะนำหลักนิติรัฐเข้ามานำประเทศชาติบ้านเมือง ทีนี้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ดีมีสุขเพราะกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ พอวันหนึ่งกฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมามันก็ต้องดิ้นหนีให้พ้น ทำให้คนมองว่าในเมืองไทยกฎหมายไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ พอมันมีผลขึ้นมาก็รับไม่ได้อันนี้เรื่องที่ 1 คือ ใช้หลักนิติธรรมให้มานำนิติรัฐ 2. เราพยายามที่จะเกลี่ยผลประโยชน์ให้ทุกกลุ่มที่จะรับได้ 3. ความพยายามที่จะลบช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท 4. มีความพยายามแปรรูปนโยบายของรัฐที่อยู่บนกระดาษให้เป็นความเป็นจริง 5. ไทยเองพยายามปรับตัวให้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์

    อย่างไรก็ดี ถ้าเรื่องนี้สามารถบริหารจัดการได้ดีใน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะดีเลย นี่เป็นแนวโน้มของการเมืองไทย นี่เป็นช่วงวิกฤติที่ทุกกลุ่มมาเจอกัน แต่ตอนนี้มันกำลังจะจัดระบบของมันอยู่อีก 10 ปีเห็นผล

    Q : ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่าวันนี้ยังก้ำๆ กึ่งๆ ชั่งใจว่าจะออกมาชุมนุมกันดีไหม ในทางพุทธศาสนาจะมีวิธีคิดแบบก้ำๆ กึ่งๆ อย่างไร

    A : เราควรจะมุ่งไปที่หลักการของประชาธิปไตย ไม่ควรมุ่งไปที่บุคคล ถ้าเรามุ่งไปที่บุคคล ถ้าได้บุคคล หลักการเสีย ก็เสียทั้งหมด แต่ถ้าเรายอมเสียบุคคล แต่รักษาหลักการไว้ได้ แค่เสียคนแค่คนเดียว แต่หลักการยังอยู่กับคนทั้งหมด ฉะนั้นให้ทำเพื่อหลักการ ไม่ใช่ทำเพื่อบุคคล เพราะถ้าคนนั้นวันหนึ่งก็จะแตกดับไป แต่คนนั้นหลักการนั้นจะอยู่เป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันให้กับคนอื่นๆ ในประเทศนี้ทั้งประเทศอีก เพราะฉะนั้นทำอะไรก็มุ่งไปที่หลักการ อย่ามุ่งไปที่คน คนจะประสบความสำเร็จ แต่ประเทศชาติอาจจะล้มเหลว แต่จงมุ่งไปที่หลักการจะมีคนเจ็บไม่กี่คน แต่ประเทศชาติจะได้ไปต่อ ฉะนั้นให้คำนึงถึงหลักการ

    Q : ทุกวันนี้คนตักบาตร ทำบุญให้กับพระสงฆ์น้อยลงบ้างไหม...?

    A : คิดว่ายิ่งวิกฤติคนก็ยิ่งใส่บาตร ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ขออย่างเดียวเท่านั้นแหละ อย่าให้พระสงฆ์ลงไปร่วมเดินขบวนกับเขา เพราะเมื่อไหร่เป็นแบบนั้น เมื่อนั้นดุลยภาพของสังคมจะเสียทันที เพราะสถาบันสงฆ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นการถ่วงดุลสำหรับสังคม และคนไทยโชคดีมากที่มีสถาบันสงฆ์ ยิ่งเวลานี้กำลังขาดสติก็จะมีพระออกมาเตือนนี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก เราจะต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากสถาบันสงฆ์ในฐานะเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่เตือนสติของสังคม อย่าหลอกใช้สถาบันสงฆ์ลงไปคลุกคลีตีโมงกับชาวบ้าน เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อสถาบันสงฆ์เอง

    อาตมามีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ตอนที่พระนเรศวรไปทำยุทธหัตถีกับพระราชา ในครั้งนั้นชนะกลับมา แต่ว่าแม่ทัพนายกองตามไปไม่ทัน จึงมีรับสั่งว่าจะตัดหัวแม่ทัพนายกองทิ้ง วันนั้น “สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว” ขอบิณฑบาตชีวิตแม่ทัพนายกองทั้งหมด สมเด็จพระนเรศวรบอกว่ามาขอบิณฑบาตชีวิตแม่ทัพนายกองก็จะให้ แต่จะไม่ให้เฉยๆ แต่จะให้ไปตีเมืองอื่นเอามาเป็นการไถ่โทษ สมเด็จฯ ท่านตอบไปว่าเรื่องการทำศึกสงครามเป็นเรื่องของมหาบพิตร อาตมาไม่ขอคิดเห็น นี่เป็นท่าทีของพระสงฆ์ต่อการเมือง

    นี่คือบทบาทของพระสงฆ์ที่เคยเกิดขึ้นสมัยก่อน ถ้าฟังเรื่องนี้ให้ดี จะทราบว่าท่าทีของพระสงฆ์ต่อการเมืองนั้นคืออะไร

    Q : ย้ำอีกทีในฐานะประชาชนเราจะผ่านวันที่ 14 มี.ค.นี้ไปได้อย่างไร

    A : มองโลกในแง่ดี ว่าคนไทยถึงยังไงก็ไม่อยากฆ่ากันหรอก ที่ชุมนุมกันแค่การวางยุทธศาสตร์นำไปสู่การต่อรองเท่านั้นเอง ให้สบายใจได้ อาตมาเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านวันพรุ่งนี้ไปด้วยความสวัสดี วันที่ 14 มี.ค.นั้น จะเป็นวันธรรมดาที่ผ่านไปด้วยความสงบ แล้วเมืองไทยจะอยู่ด้วยกันแล้ว เมืองไทยก็จะร่มเย็นและเป็นสุขต่อไป

    แล้วเราทุกๆ คนจะก้าวข้ามผ่านวันที่ 14 มี.ค.53 นี้ไปด้วยกัน เจริญพร...!!!!

    ว.วชิรเมธี 'สติมาประชาธิปไตย' เทศนาดับร้อน 14 มี.ค. - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2010
  2. CLUB CHAY

    CLUB CHAY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    507
    ค่าพลัง:
    +1,412
    ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับ
    ขอให้ทุกรูปทุกนามเจริญในธรรมยิงๆขึ้นไปครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. Nothing Eternal

    Nothing Eternal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +654
    ปรกติไม่ค่อยได้ติดตามอ่านงานของท่านเท่าไหร่ แต่เท่าที่อ่านมานี้ยอมรับว่า

    ท่านเป็นพระสุปะฏิปันโนองค์หนึ่งเลยทีเดียวนะครับ น่าชื่นใจจริงๆ

    พระหนุ่มที่มีความคมคายในธรรมะเช่นนี้ หายาก ดีใจกับวงการพระศาสนาครับ
     
  4. ทรงกลด

    ทรงกลด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +109
    อนุโมทนาครับ ถ้าท่านเทศน์อย่างจริงใจ เพราะท่านเก่งเทศน์ได้คมคายจริงๆ

    แต่ผมว่าท่านน่าจะเทศน์ตั้งแต่2ปีก่อน ที่เสื้อเหลืองปิดสนามบิน และมีพระที่ยังไม่แก่แต่เรียกตัวเองว่าหลวงปู่ขึ้นเวทีพันธมิตร ตลอดจนพวกสันติอโศกนอกศาสนา เข้าร่วมอย่างโจ่งแจ้ง เขาจะได้ไม่ว่าท่านสองมาตรฐาน

    อีกอย่างผมมีข้อแย้งนิดหนึ่งว่าการที่พระเป็นลูกชาวบ้านมันคงไม่ผิดหรอกครับ เพราะการที่จะประสบความสำเร็จทางธรรมการเป็นลูกชาวบ้านคงไม่ใช่ข้อจำกัด หรือการที่คิดว่าท่านเป็นลูกชาวบ้านการศึกษาน้อยถูกชักจูงได้ง่าย เลือกข้างแล้วพระการศึกษาสูงไม่เลือกข้างหรือ ตราบใดไม่ใช่พระอริยะผมไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีการเลือกข้าง แต่ควรสงวนท่าที ครองกาย วาจาไว้ ผมเห็นด้วย เพราะพระกรุง การศึกษาสูงเสพข้อมูลข่าวสารมาก ก็ปรุงแต่งมาก เลยเลือกข้างโดยไม่ต้องมีอามิส แต่ด้วยอัตตาตัวเอง ยิ่งรู้มากอัตตายิ่งโตมาก

    สิ่งที่เขียนนี้หากใครรู้จักท่านฝากเรียนท่านด้วย นอกนั้นก็เห็นด้วยครับ

    ด้วยความเคารพ
     
  5. เอก999

    เอก999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +143
    เยี่ยมครับ :cool:
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    พระว.วชิรเมธีเตือนสติแดงอย่าชุมนุมเพื่อ“คน”
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผอ.สถาบันวิมุตยาลัย พระนักเทศน์ชื่อดัง กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในขณะนี้ อยากขอให้รัฐบาลอย่ามองผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย

    และถือโอกาสในการใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุม แต่อยากให้รัฐบาลมองผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมทุกคนว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ในส่วนของผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม ต้องยึดเป้าหมายในการชุมนุมเรียกร้องตามที่ระบุว่าจะชุมนุมเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม จึงอยากให้นึกถึง “ความยุติธรรม” เป็นหลัก เน้นว่า “ความ” ไม่ใช่ “คน” ไม่ใช่มาเรียกร้องเพื่อ “คน” และไม่ควรที่จะใช้ความรุนแรงเข้าประหัตประหารกัน

    พระมหาวุฒิชัย กล่าวด้วยว่า เหตุของการก่อสงครามอยู่ที่คน ศักยภาพที่จะหยุดสงครามก็อยู่ที่คน แต่บางครั้งที่คนเข้าสู่สงครามเพราะขาดสติ พอขาดสติ ก็เห็นว่าผลประโยชน์มีค่ามากกว่าคนในสมัยพุทธกาล มีพระพุทธเจ้าคอยเป็นสติของสังคม แต่ในปัจจุบันนี้แม้ไม่มีพระพุทธเจ้าแต่หากเรามีสติ นั่นแหละคือพระพุทธเจ้า เราจะต้องร่วมกันเป็นสติของสังคม แล้วส่งสัญญาณว่า “ไม่ต้องการความรุนแรง”

     
  7. hi5

    hi5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +701
    ขอให้สังคมเลือกข้าง ที่จะเคารพศาล และเคารพศีล ก็จะถึงข้อยุติในธรรมได้
     
  8. Pratya_Philosophy

    Pratya_Philosophy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +125
    ปฏิบัติธรรมให้มากคะ แล้วเราจะเข้าใจ เอง
     
  9. ทรงกลด

    ทรงกลด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +109




    พระพุทธเจ้าให้พระธรรมเป็นสรณะ แทนพระองค์ ไม่เลือกพระรูปใดเป็นศาสดาแทน เป็นการให้ไม่ยึดติดกับ "คน"
    นั้นเป็นความเป็นอัจฉริยะอย่างยิ่งยวดของพระองค์ที่ไม่มีใครเทียมได้อยู่แล้ว

    ในความรู้สึกของแดง คน ที่ใช้เป็นอ้างอิงในการต่อสู้ของแดงนั้นอาจไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้เลวสมบูรณ์แบบอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามประณาม เป็นคนที่ถูกกระทำแบบสองมาตรฐาน เช่นกรณีเขาหนึ่ง คนอยู่ยอดเขาเป็นผู้ใหญ่อ้างว่าไม่รู้จึงไม่ผิด แต่ชาวบ้านข้างล่างกลับโดนลงโทษ
    หรือกรณีล่าสุด ตำรวจเส้นนายอยู่พื้นที่ปลอดภัย ตำรวจลูกชาวบ้านไม่มีเส้นต้องอยู่แต่พื้นที่เสี่ยงจนตาย

    2มาตรฐานนี่แหละต้นตอของปัญหาทั้งหมด ท่านควรที่จะเทศน์เพื่อกำจัดเหตุเสีย

    ท่าน ว. เป็นพระที่มีสามารถมีสติปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ มีความรอบรู้ เรียนมามาก เสพข่าวสารมาก แต่ข่าวสารที่ท่านได้มาครบทั้งสองด้านของเหรียญหรือไม่

    เพราะทางผู้กุมอำนาจรัฐเองทำเพื่ออะไร ตอนเป็นฝ่ายค้านเคยพูดอะไรไว้ เคยทำอะไรไว้ เคยขึ้นเวทีให้กำลังใจโจรยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ห้ามรัฐบาลในขญะนั้นปราบปรามอ้างเป็นสิทธิของประชาชน พอเป็นรัฐบาลกลับลืมเลือนไปขู่ฟอดว่าจะลงโทษอย่างเด็ดขาดในสิ่งที่พวกตัวเองทำ และเคยลั่นวาจาหากถ้าท่านเป็นนายก พร้อมยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน

    ถ้า ท่าน ว สามารถ เทศน์จนสังคมไม่เป็นสองมาตรฐานได้ จะดับเหตุทั้งหมด ความสันติสุขจะคืนมา จะเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ พระที่สังคมฟังอย่างท่านทำได้



    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2010
  10. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    อนุโมทนาสาธุค่ะ

    เราไม่รู้ตื้นลุกหนาบางดี เพราะไม่ใช่คนวงใน เราคงต้องเสพข่าวสารอย่างมีสติและปัญญา

    มอง ศึกษาข้อมูลจากสองด้าน ไม่เจาะจง

    ชอบการแสดงธรรมของท่านว.วชิรเมธีมากๆค่ะ ท่านสามารถหยิบยกธรรมของพระพุทธองค์

    มาเปรียบเทียบอยู่ตลอด ในทุกเรื่อง สาธุค่ะ
     
  11. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    ขอให้สิ่งที่ ท่าน ว พูดเป็นจริง ถึงแม้ว่า10ปีมันจะช้าเกินไป ถึงตอนนั้นขอให้ประเทศเรามีแต่นักการเมืองและข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมแล้วกันครับ
     
  12. deedeeman

    deedeeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +258
    [​IMG]

    เฮ้อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4805_full.jpg
      4805_full.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.8 KB
      เปิดดู:
      650
  13. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860

    ยอดเยี่ยมครับ.....ต้องเจอคำตอบแบบนี้:cool:

    น่าจะพูดเช่นนี้เมื่อ 2 ปี ก่อน วันนี้มาพูดทำไม เสียรังวัดตนเองเปล่า
    การเป็นเปรียญ 9 ประโยค ไม่ใช่ผู้รู้เป็นสัพพัญญูไปซะทั้งหมด หรอกครับ
     
  14. ผู้เบิกบาน

    ผู้เบิกบาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +463
    กราบอนุโมทนาสาธุคะ เคารพและศรัทธาพระว.วชิรเมธีมากคะติดตามผลงานเขียนท่านมาโดยตลอด ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยได้อยู่อาศัยในเมืองพุทธศาสนาเป็นเครื่องกำกับขัดเกลาจิตใจให้ดีอยู่เสมอ. ขอให้โลกนี้สงบสุข พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกคุ้มครองทุกๆคนคะ. (ความคิดแตกต่างกันได้ แต่อย่าให้มีความรุนแรงเกิดขึ้นเลย)
     
  15. มัคคทายก

    มัคคทายก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +71
    ขออนุโมทนากับความคิดเห็นของเจ้าของกระทู้นี้ครับแต่ ความจริงการที่พระไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่งนั้น คงไม่ต้องถึงกับขนาดต้องเป็นพระอริยะ หรอกครับ แค่เป็นผู้ปราศจากอคติ4 ก้อน่าจะเพียงพอแล้วและก้อคงจะทำได้โดยไม่ยากหรอกครับ ถ้าทำยากคงต้องรอแย่เลยครับ แลคำว่าพระที่มีการศึกษาของท่านว.นั้นกระผมคิดว่าท่านหมายถึงองค์ความรู้ทางสภาวะธรรมครับไม่ใช่องค์ความรู้ที่เกิดจากการเล่าเรียนภาคปริยัติแต่ฝ่ายเดียว (พูดง่ายๆก้อคือท่านว.ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อม นั่นเองท่านจึงเรียกตนเองและเพื่อนสพรหมจารีว่าลูกชาวบ้านนะครับ) ท่านผู้อ่านว่าจริงไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2010
  16. ทรงกลด

    ทรงกลด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +109
    อนุโมทนาครับ ผู้ที่ปราศจากอคติ4 ย่อมเป็นผู้ที่ทรงธรรม สาธุครับ

    ต่อไปนี้ขอแย้งครับ

    คุณมัคทายก ลองอ่านใหม่ดูอีกที ท่าน ว ใช้คว่าพระบางรูปที่การศึกษาไม่ดี การศึกษาในความหมายนี้หมายถึงปริยัติแน่นอนครับ เพราะทางธรรม จะสำเร็จได้ถึงขั้นใดนั้นคงต้องเป็นพระอริยะหรือ ผู้ปฏิบัติรู้ได้เฉพาะตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ อัตตา ตัวตน ลดละไปแค่ไหน หรือท่าน ว จะรู้ของคนอื่นได้

    กรณีลูกชาวบ้าน ผมขอตั้งคำถามกลับว่าลูกชาวบ้านสำเร็จธรรมไม่ได้เหรอครับ ครูบาอาจารย์ที่เป็ฯที่นับถือของชาวพุทธทั้งหลาย มีมากมายที่มาจากท้องไร่ท้องนาไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะสายวัดป่า พระกรุง เอาแต่เรียน ปฏิบัติย่อหย่อน ได้แต่ความรู้จากการอ่าน ท่อง เขียน ไม่ปฏิบัติ ไปไม่รอด ต้องไปกราบพระลูกชาวบ้าน ที่ปฏิบัติภาวนาใช้ชี้แนะก็เยอะแยะไป หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีวัยวุฒิคุณวุฒิทางโลก ผมก็เห็นท่านไปกราบท่านผู้ปฏิบัติดีตามป่าเขา

    ผมก็ไม่ได้สนับสนุนนะครับเรื่องพระเข้าร่วมม็อบไม่ว่าเหลืองหรือแดง เห็นด้วยว่าพระสงฆ์ทุกรูปควรสำรวม กาย วาจา ให้งดงาม เป็นบ่อน้ำใสเย็นที่คอยดับร้อนให้สัตว์โลกไม่ว่าฝ่ายใด

    ผมก็ยืนยันครับว่า ท่านควรจะเทศน์แบบนี้ตั้งแต่2ปีก่อน เป็นไปไม่ได้ที่2ปีก่อนที่ท่านจะไม่รู้อะไรเลย เพราะท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานหลายปีแล้ว ตอนนั้นทำไมไม่ออกมาเลยครับ หรือพวกที่ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน เล่นกอล์ฟ เบสบอล กลางถนนราชดำเนิน ใช้คำมุสา หยาบ ส่อเสียด สหธรรมมิกแถววัดมกุฏฯที่ต้องทนฟังเป็นเดือน ไม่มาเล่าให้ฟังบ้างหรือ แถมมีพระและสมณะที่สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาขับออกจากคณะสงฆ์ไทย มาอยู่ร่วมทุกวัน ท่านไม่รู้เลยเหรอ แต่พอแดงออกมาท่านออกเทศน์เป็นชุด
    ตอนนี้คุณจำลองปลุกให้คนกรุงเทพต้าน ใช้แผนบางระจัน ท่านทำไมไม่เทศน์โปรดคุณจำลอง หรือเหลืองหน่อยละครับ ว่าอย่าเลยแดงเขาก็มีสิทธิ้เรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย เผื่อคุณจำลองจะตาสว่างออกจากสันติอโศกได้

    แล้วที่ท่านอ้างเรื่องพระพุทธเจ้า ห้ามพระญาติ ที่ท่น ว ยกมานั้น ตามข้อสังเกตพระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นผลเสีย และเทศน์ให้ทั้งสองฝ่ายฟัง ในเวลาเดียวกัน ท่าน ว ได้เทศน์ให้ลดละทั้งสองฝ่ายหรือไม่ หยุดทั้งสองฝ่าย


    ผมคิดว่าท่านว ไม่ควรออกมาแบบนี้เลยครับ มันเหมือนว่าท่าน2มาตรฐานไปด้วย เพราะท่านออกทีวีกับพวกเอียงเหลืองบ่อยๆ

    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2010
  17. มัคคทายก

    มัคคทายก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +71





    <O:p
    ผมยอมรับเรื่องที่คุณตอบและเขียนแต่ไม่อยากให้คุณ มองพระในแง่ที่ไม่ดีถ้าจะถามว่าแล้วเมื่อสองปีที่แล้วเคยถามความเห็นท่านในเรื่องของการเมืองบ้างหรือเปล่าละ แล้วที่ท่านพูดตอนนี้ท่านก้อพูดในลักษณะหลักธรรมอันเป็นกลางไม่ได้ลำเอียงไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนะครับ
    และกรณีที่คุณให้กระผมอ่านใหม่นั้นผมเข้าใจและขอตอบและแย้งคำถามของคุณที่ว่าลูกชาวบ้านสำเร็จธรรมไม่ได้เหรอครับ ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่นับถือของชาวพุทธทั้งหลาย มีมากมายที่มาจากท้องไร่ท้องนาไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะสายวัดป่า พระกรุง เอาแต่เรียน ปฏิบัติย่อหย่อน ได้แต่ความรู้จากการอ่าน ท่อง เขียน ไม่ปฏิบัติ ไปไม่รอด ต้องไปกราบพระลูกชาวบ้าน ที่ปฏิบัติภาวนาใช้ชี้แนะก็เยอะแยะไป หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีวัยวุฒิคุณวุฒิทางโลก ผมก็เห็นท่านไปกราบท่านผู้ปฏิบัติดีตามป่าเขา กระผมก้อขอตอบว่าการบรรลุธรรมนั้นชนชั้นไหนก้อบรรลุได้ครับ แต่ก็อยากให้คุณเห็นความสำคัญของการศึกษาภาคปริยัติบ้างนะครับ เพราะการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องและถูกแนวทางนั้นจำเป็นที่จะต้องอาศัยการศึกษาภาคปริยัติเป็นพื้นฐานก้อคือเข้าใจในเรื่องภาษาบาลีหลักไวยากรณ์ด้วย เมื่อไวยากรณ์ มีความสำคัญต่อภาษาบาลี ภาษาบาลีมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธพจน์(พระธรรมวินัย)ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพระบรมศาสดาตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น พระพุทธพจน์ก็คือพระไตรปิฎก และพระไตรปิฎกได้รับการบันทึกด้วยภาษามคธ เช่นนี้ ดังนั้น ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต พระพุทธองค์ จึงได้ตรัสถึงความสำคัญของไวยากรณ์หรือกฎของภาษาไว้ดังนี้ว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขู ทุคฺคหิตํ สุตฺตนฺตํ ปริยาปุณนฺติ ทุนฺนิกฺขิตฺเตหิ ปทพฺยญผฺชเนหิ,ทุนฺนิกฺขิตสฺส ภิกฺขเว ปทพฺยญฺชนสฺส อตฺโถปิ ทุนฺนโยโหติ.อยํ ภิกฺขเว ปฐโม ธมฺโม สทฺธมฺมสฺส สมฺโมสาย สํวตฺตติ.
    แปลความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อาจศึกษาเล่าเรียน พระไตรปิฎกผิดพลาดได้ หากว่าถ้อยคำมีความพิรุธบกพร่อง. ภิกษุทั้งหลาย ถ้อยคำภาษาที่มีความพิรุธบกพร่องย่อมนำมาซึ่งการตีความผิดพลาดได้.ภิกษุทั้งหลายนี้คือ สาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญไปได้แล”คือพระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระปริยัติธรรม(พระธรรมวินัย)มีไวยากรณ์เป็นรากฐาน ฉะนั้น บุคคลผู้ไม่เข้าใจไวยากรณ์ จะไม่มีความเข้าใจชัดเจนในพระธรรมวินัยได้เลย และไม่อาจจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เพราะไม่มีความเข้าใจชัดเจนในพระธรรมวินัยนั้นนั่นเอง จึงได้ปฏิบัติผิดพลาดไม่สามารถพ้นทุกข์ในสังสารวัฏอันเป็นจุดมุ่งหมายของกุลบุตรผู้บวชเข้ามาในบวรพุทธศาสนา และก็จะไม่สามารถเป็นที่พึ่งของกุลบุตรที่บวชเข้ามาด้วยศรัทธาได้เช่นกัน แต่ผู้ที่มีความเข้าใจในไวยากรณ์ดีรู้ทั่วถึงพยัญชนะตามอรรถและอรรถตามพยัญชนะตามความเป็นจริง จะสามารถอบรมสั่งสอนกุลบุตรให้มีความเข้าใจในพระธรรมวินัยได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังสามารถทำตนเองให้พ้นทุกข์ในสังสารวัฏด้วยการปฏิบัติได้อีกด้วย ดังที่ในคัมภีร์สัททนีติ ปทมาลา ที่รจนาโดยพระอัคควังสเถระ ชาวเมืองอริมัททนะหรือพุกามในปัจจุบันเมื่อราวปีพุทธศักราช ๑๗๗๗-๑๗๙๓ ได้กล่าวไว้ว่า
    อาสวกฺขยลเภน โหติ สาสนสมฺปทา
    อาสวกฺขยลาโภ จ สจฺจาธิคมเหตุโก
    สจฺจาธิคมนํ ตญฺจ ปฏิปตฺติสฺสิตํ มตํ
    ปฏิปตฺติ จ สา กามํ ปริยตฺติปรายณา.
    อนึ่ง การเข้าถึงปฏิเวธ จะต้องอาศัยการได้อาสวักขยญาณ,การได้อาสวักขยญาณ
    จะต้องอาศัยการตรัสรู้ อริยสัจสี่,การตรัสรู้อริยสัจสี่ จะต้องอาศัยการปฏิบัติ
    และการจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้องนั้น จะต้องอาศัยการศึกษาปริยัติเป็นพื้นฐาน
    ปริยตฺตาภิยุตฺตานํ วิหิตฺวา สทฺทลกฺขณํ
    ยสฺมา น โหติ สมฺโมโห อกฺขเรสุ ปเทสุ จ
    อนึ่ง ผู้มีความเพียรเรียนปริยัติ รู้ชัดในกฎไวยากรณ์ ย่อมไม่เกิดความสับสน
    ในอักษรและบททั้งหลาย
    ยสฺมา จาโมหภาเวน อกฺขเรสุ ปเทสุ จ
    ปาฬิยตฺถํ วิชานนฺติ วิญฺญู สุคตสาสเน
    เมื่อไม่เกิดความสับสนในอักษรและบททั้งหลาย
    ย่อมเป็นนักปราชญ์ในคำสอนของพระสุคตเข้าใจอรรถแห่งพระบาลี(ได้อย่างลึกซึ้ง)
    ปาฬิยตฺถาวโพเธน โยนิโส สตฺถสาสเน
    สปฺปญฺญา ปฏิปชฺชนฺติ ปฏิปตฺติมตนฺทิกา
    เมื่อเข้าใจอรรถแห่งพระบาลี(ได้อย่างลึกซึ้ง)ถ้าผู้นั้นมีปัญญาไม่เกียจคร้าน
    ย่อมจะประพฤติปฏิบัติในคำสอน ของพระสุคตได้อย่างถูกต้อง
    โยนิโส ปฏิปชฺชิตฺวา ธมฺมํ โลกุตฺตรํ วรํ
    ปาปุณนฺติ วิสุทฺธาย สีลาทิปฏิปตฺติยา
    เมื่อได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้นอันหมดจด
    ย่อมบรรลุโลกุตตรธรรมอันประเสริฐ
    ส่วนผู้ที่ไม่มีความรู้ในไวยากรณ์ดีอาจปฏิบัติผิดพลาดจนกระทั่งทำให้พระสัทธรรมทั้งสามประการมีพระปริยัติธรรมอันได้แก่พระธรรมวินัยเป็นต้น อันตรธานไปได้ นั่นก็เพราะบุคคลเช่นนั้น จะทำลายพระปริยัติธรรมที่มีไวยากรณ์เป็นรากฐานเสียก่อนและเมื่อพระปริยัติธรรมถูกทำลายแล้วพระปฏิบัติธรรมที่มีพระปริยัติธรรมเป็นรากฐานและพระปฏิเวธธรรมที่มีพระปฏิบัติธรรม เป็นรากฐานก็จะถูกทำลายลงไปด้วย. พระปริยัติธรรมเป็นรากฐานของพระศาสนา
    ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลผู้เล่าเรียนพระพุทธพจน์ รู้ชัดถึงอรรถตามที่ทรงภาษิตไว้ย่อมไม่สามารถทำให้พระปฏิบัติธรรมและพระปฏิเวธธรรมทั้งสองประการบริบูรณ์ได้ด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรต่อโลกุตตรธรรมคล้อยตามพระชินพจน์ เปรียบเหมือนขอบสระน้ำขนาดใหญ่ยังมั่นคงอยู่ น้ำในสระก็ย่อมดำรงอยู่ได้เป็นปกติ และเมื่อมีน้ำดอกปทุมเป็นต้น ก็ย่อมผลิตดอกบานสะพรั่งตราบเท่าที่น้ำยังมีอยู่
    เช่นเดียวกัน เมื่อพระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก อันเปรียบเสมือนขอบสระที่มั่นคง ยังดำรงอยู่ ผู้ปฏิบัติอันเหมือนน้ำก็ย่อมมีอยู่ได้อย่างแน่นอนและเมื่อผู้ปฏิบัติยังมีอยู่ การบรรลุธรรมอันเปรียบเสมือนดอกปทุม เป็นต้น ก็ย่อมมีอยู่ได้แน่นอนดังมีข้อความปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาสังยุตตนิกาย(สารัตถปกาสินี)ดังนี้ว่า
    ยถา หิ มหโต ตฬากสฺส ปาลิยา ถิราย อุทกํ น ฐสฺสตีติ น วตฺตพฺพํ, อุทเก สติ ปทุมาทีนิ ปุปฺผานิ น ปุปฺผิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพํ,เอวเมว มหาตฬากสฺส ถิรปาลิสทิเส เตปิฏเก พุทฺธวจเน สติ มหาตฬาเก อุทกสทิสา ปฏิปตฺติปูรกา กุลปุตฺตา นตฺถีติ น วตฺตพฺพา,เตสุ สติ มหาตฬาเก ปทุมาทีนิ ปุปฺผานิ วิย โสตาปนฺนาทโย อริยปุคฺคลา นตฺถีติ น วตฺตพฺพนฺติ เอวํ เอกนตฺโต ปริยตฺติเยว ปมาณํ.
    เมื่อทำนบของสระใหญ่ ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ ใครๆ ก็ไม่สามารถจะพูดได้ว่า “ไม่มี น้ำขังอยู่” เมื่อยังมีน้ำขังอยู่ ใครๆก็ไม่สามารถจะพูดได้ว่า “ดอกไม้ทั้งหลาย มีดอกปทุมเป็นต้น จักไม่บานสะพรั่งฉํนใด เมื่อพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกอันเป็นเช่นกับด้วยทำนบของสระใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรงยังมีอยู่ กุลบุตรทั้งหลายผู้เป็นนักปฏิบัติอันเป็นเช่นกับด้วยน้ำ ใครๆก็ไม่สามารถจะพูดได้ว่า “ไม่มี” เมื่อกุลบุตรผู้ปฏิบัติเหล่านั้นมีอยู่ใครๆก็ไม่สามารถพูดได้ว่า พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ซึ่งเหมือนกับดอกปทุมเป็นต้นที่ขอบสระใหญ่ไม่มี.ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า พระปริยัติธรรมเท่านั้น จัดว่าเป็นรากฐานของพระศาสนาโดยแท้ <O:p</O:p
    ดังนั้นหากอยากเห็นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่องควรให้ความสำคัญกับบุคคลากรทั้งสองฝ่ายจะดีกว่านะครับทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติศาสนาของเราจะได้เจริญจริงไหมครับ สาธุๆๆๆ<O:p

    <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2010
  18. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ความจริงเรื่องนี้พิจารณาได้ง่ายครับ...ไม่ต้องยกพระสูตรขึ้นมาเทียบ

    โดยพิจารณาจาก "เหตุ" และ "ปัจจัย" อันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งในโลก
    หากเราสามารถสาวลงไปลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่มีอคติใดๆเข้ามายึดโยง
    เราจะเห็นที่มาที่ไปของกลการเมืองในเรื่องนี้ อย่างแจ้งชัด

    หากท่านผู้เจริญตัดสีและเหล่าพวกหรือสถาบันออกไปได้ แล้วใช้โยนิโสมนสิการตรึกตรองดู
    จะรู้ถึงเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทั้งนี้จะไม่ขอยกบุรพกรรมเก่าที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยกระทำต่อกันมา เพราะเป็นปัจจัตตังอันอาจจะขยายความขัดแย้งสำหรับผู้ไม่รู้ได้

    เมื่อเอาจิตที่ใสดุจดวงแก้วไปพิจารณาเหตุ (วิบาก) แล้ว จะเห็นผลที่กำลังส่งในขณะนี้ (กรรม) แล้วนั่นแหละคือ คำตอบ

    แต่ขอเตือนสติทุกท่านไว้อย่างหนึ่งว่า ขึ้นชื่อว่ามารนั้นเป็นยอดแห่งฤทธิ์สามารถปิดบังความจริงได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ด้วยแสงสว่างแห่งสัจจธรรมตัวตนที่แท้จริงของมารจะต้องปรากฏเองในที่สุด ฉะนั้นขอจงพิจารณาในทุกสิ่งทุกเรื่องด้วย

    "สติ"

    ขอเจริญพร
     
  19. ทรงกลด

    ทรงกลด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +109
    เรียนคุณมัคทายก

    ผมขอชี้แจงเล็กน้อย ผมเห็นด้วยครับว่าพระต้องเรียนปริยัติ ผมๆไม่ปฏิเสธการเรียนปริยัติ ผมเคยถวายปัจจัยเพื่อการศึกษาพระเณร ทุกระดับ ตั้แต่ระดับต้นถึงปริญญาทั้งในและต่างประเทศ พระเณรที่การมีการศึกษาทำให้ทันโลก สามารถเทศน์โปรดญาติโยมโดนนำเหตุการณ์ปัจจุบันมาเทียบเคียงทำให้ญาติโยมเข้าใจง่ายขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ปฏิเสธการเรียนบาลี มีแต่สนับสนุนเพราะเป็นภาษาที่ดำรงพระสัทธรรมมาเป็นเวลานาน แต่ถ้าจะเอาเรื่องนี้มาวัดระดับ มันไม่ได้หรอก พระเปรียญ9 ไม่ได้เหนือกว่าที่มีเปรียญต่ำกว่าหรอกครับในการปฏิบัติ
    ผมขอถามว่าท่าน ว ทำไมไม่เอาเรื่องทศพิธราชธรรมที่เทศน์ให้รัฐบาลชุดก่อนมาเทศน์ให้ท่านอภิสิทธิ์ฟังบ้าง รัฐบาลนี้น่าจะต้องการธรรมะบทนี้มาก จากเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ไล่ตั้งแต่ปลากระป๋องเน่า ถึงเรื่องล่าสุดการโยกย้ายตำแหน่งที่ไม่เป็นธรรม

    หลักธรรมที่ท่าน ว ยกมาถูกต้อง พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเที่ยงแท้ อยู่ที่จะเลือกไปใช้ แต่ผมจะเน้นว่าท่าน ว ออกมาใช้บทนี้ผิดเวลา การเทศน์ชุดนี้ควรจะออกมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนปิดถนนราชดำเนิน และท่านก็มีการพาดพิงพระสงฆ์รูปอื่นว่ามีที่ได้ข้อมูลผิด พระลูกชาวบ้าน




    ส่วนที่คุณว่า2ปีก่อนไม่มีคนสัมภาษณ์ท่านเหรอครับ ท่านดังออกปานนั้น มีเหตุการณ์อะไรใหญ่ๆ สื่อก็วิ่งไปถามความเห็นท่านทั้งนั้น

    ตามที่ท่าน ว เทศน์ครับ ประชาธิปไตย ต้องมีความเห็นแย้งกันได้

    ผมอนุโมทนาด้วยครับกับพุทธพจน์ที่นำมาอ่าน ให้ผมได้ขยายความ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน

    ด้วยความเคารพ สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2010
  20. ทรงกลด

    ทรงกลด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +109
    เรื่องของเรื่อง คือ ท่าน ว มีมุมมองอย่างไร หากเริ่มต้นด้วยว่าคนต่างจังหวัด ด้อยการศึกษาโง่ ถูกชักจูงง่าย ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเท่าคนกรุง ผู้มีการศึกษา เหมือนกับ ผู้ปริหารโทรศัพท์มือถือสีฟ้า ที่เคยให้ความเห็นต่อสาธารณะคนที่จะเลือกตั้งได้ควรจบปริญญาตรี รู้มาก อัตตามาก คิว่าคนอื่นโง่กว่าตน แบ่งชั้นวรรณะของคน ถ้าตั้งต้นแบบนี้ก็หลงทางตั้งแต่ต้นแล้ว

    ถ้าตั้งต้นว่าทุกคนทุกฝ่ายเสมอกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย หลงมายา กันอยู๋ในวัฏสงสาร ไม่มีคนกรุง คนบ้านนอก ไม่มีสีใด ตายไปก็เหลือแต่กองดินเสมอกัน ชาติภพต่อไปก็แล้วแต่กรรมกำหนด ก็จบแล้ว

    สรณะอื่นข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะของช้าพเจ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...