นั่งภาวนามา 11 วัน ติดสงสัยว่า สมาธิ หรือ ฌาน ไปต่อไม่ได้ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรมมนุษย์, 30 มกราคม 2010.

  1. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    เพิ่งจะเริ่มฝึกเองครับ ตอนแรกก็กลัวเพราะไม่มีอาจารย์แนะนำ สุดท้ายลองเองที่ห้องพระเพราะอยากจะได้บุญจากการนั่งสมาธิ หนังสือผมก็ไม่อยากจะอ่านมากกลัวว่าจะเป็น คัมภีร์เปล่า เลยจับอาการตัวเองที่เกิดจากสมาธิและอยากจะขอถามท่านผู้มีธรรมในจิตใจเรื่องอาการต่างๆของผมจากการนั่งสมาธิ ว่าตอนนี้ผมเดินมาถูกทางหรือไม่ ตอนี้ผมฝึกสมาธิมา 11 วันแล้ว แต่ยังคงมีอาการเหมือนวันที่ 7 ยังไม่เดินหน้ายังไม่ถอยหลัง จะขออนุญาตเล่าประสบการณ์คราวๆครับ ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วันที่ 1 เริ่มต้นนั่งท่อง พุท-โธ บ้าง ยุบ-หนอ-พอง-หนอ บ้างลมหายใจเข้า พุท ลม หายใจออก โธ บ้าง ด้วยความกลัวขณะนั่งสมาธิจึงห้อยพระที่คอด้วย นั่งได้ประมาณ 5 นาที เกิดอาการขนลุกจนตัวสั่น กลัวมากเลยออกจากสมาธิ
    <O:p></O:p>
    วันที่ 2 ยังห้อยพระที่คอเหมือนเดิม นั่งสมาธิได้ประมาณ 1 นาที ก็เกิดอาการตัวสั่นขนลุกแต่ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจ อาการขนลุกก็เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ระหว่างนั่งสมาธิ นั่งได้ประมาณเกือบ 10 นาที อาการมันขนลุกสั่นเหมือนอะไรมันจะออกจากร่าง ด้วยความกลัวเลยต้องออกจากสมาธิ
    <O:p></O:p>
    วันที่3 ตัดสินใจถอดพระที่ห้อยคอออก อะไรจะเกิดก็ให้มั่นเกิดไปเถอะ เพราะคิดในใจว่าวัตถุมงคลอาจจะเป็นเครื่องปิดกั้นสมาธิของเรา ผมนั่งท่อง พุท-โธ บ้าง ยุบ-หนอ-พอง-หนอ บ้างลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ บ้าง หลับตาเห็นความมืดทึบตื้นๆ อาการขนลุกยังมีบ้างแต่น้อยกว่าสองวันแรก ท่อง พุท-โธ รู้ตัวอยู่บ้าง ขณะอยู่ในสมาธิจิตมันก็คิดไปโน่นไปนี้แต่รู้สึกว่าจิตมันไปไม่ไกลแค่อยู่รอบๆตัวเรา แป๊บ ๆ ก็ดึงมันกลับมาได้ นั่งได้ประมาณ 15 นาที เราสำเร็จพอใจแล้วก็ออกจากสมาธิ
    <O:p></O:p>
    วันที่ 4-7 ผมได้บทปริกรรมที่ถูกใจแล้ว คือ ท่อง ลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ จับลมหายใจเข้าออกไว้ที่จมูกและท้อง ลมหายใจสั้นบ้าง ลมหายใจยาวบ้าง ตามสถานการณ์ ผมรู้ตัวรู้ลมหายใจตลอดเวลารู้ท้องยุบท้องพอง หลับตาจากเมื่อก่อนเห็นมืดทึบตอนนี้เห็นมืดเหมือนเดิมแต่เป็นความมืดที่โปร่ง และหูเริ่มไม่สนใจและจิตไม่คิดตามเสียงรอบข้าง นอกจากเสียงจะดังจริงๆก็จะเกิดอาการสะดุ้ง อาการขนลุกยังมีเป็นระยะ บ้างครั้งก็รู้สึกตัวมันเอนไปข้างหลังเล็กน้อย จนต้องดึงตัวกลับมาให้นั่งตรง บ้างครั้งนิ้วมือหัวแม่โป้งมันกางออกเองโดยไม่รู้ตัว มีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งสมาธิมีมดหลายตัวมาไต่ที่ใบหน้าแสบๆคันคันมากแต่ผมไม่อยากจะออกจากสมาธิ เลยท่องบทแผ่เมตตราให้เจ้ากรรมนายเวรท่องผิดบ้างถูกบ้างแต่ขณะที่ท่องบทแผ่เมตรานั้นเกิดอาการขนลุกแรงมากทั่วทั้งตัวขนาดขนหัวยังลุกจนลืมพุธโธและลืมลมหายใจไปชั่วขณะ เห็นแสงแว็ปๆคล้ายแสงฟ้าผ่าแต่ไม่ชัดเจนไม่ตั้งใจจะดูเพราะไม่อยากเห็นครับ พออาการขนลุกหายไปสติกลับมาอีกครั้งก็รู้สึกจับว่าลมหายใจเราแผ่วเบามาก เป็นแค่พักเดียวครับไม่ถึง 15 วินาที พออาการขนลุกหายทุกอย่างก็กลับมาเสมือนเริ่มต้นใหม่
    <O:p></O:p>
    วันนี้ก็ล่วงมา 11 วันแล้ว ทุกวันจะนั่งประมาณ 15 25 นาที สมาธิยังคงเหมือนเดิมคล้ายวันที่ 3 7 ขึ้นๆลงๆ ไม่เดินหน้าไม่ถอยหลัง จับอาการไม่ถูกว่าเป็นสมาธิแบบไหนสงสัยมากครับ ยังยึดติดเดินสมาธิต่อไม่ได้ รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
    (ปัจจุปัน 30 พฤษภาคม 53 สมาธิเดินทางมาถึง ฌาน3 แล้วครับ)

    ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้ากระทำในวันพระใหญ่วิสาขบูชาทั้งหมด

    > รักษาศีลบริสุทธิ์
    > ไหว้พระ
    > ฟังธรรม
    > ถวายสังฆทาน
    > ถวายผ้าไตร
    > เวียนเทียน
    > สวดมนต์ภาวนา
    > เจริญกรรมฐาน

    ขอมอบเป็นเสบียงบุญโดยไม่มีประมาณแด่ทุกท่านที่เข้าตอบ
    แสดงความคิดเห็นจงสำเร็จแก่ทุกท่านเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2010
  2. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    โมทนาสาธุครับ นับว่าประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมเลยครับ ตามสเต็ปดีมากๆ

    เรื่องสมาธินี้เราต้องทำบ่อยๆ สิ่งที่เราติดอยู่นี้ อาจจะเป็นด้วยหลายๆอย่าง ที่เล็กๆน้อยๆ

    หากทำต่อเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจ มันจะวางของมันเองนะครับ บางอย่างไม่มีเหตุผลที่เป็นรูปธรรม เพราะมันเป็นนามธรรม การคิด จึงเป็นเครื่องกั้น บางทีเราทำๆไป ทำไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาของมัน มันจะตัดสินใจของมันเอง เราทำให้ถึงฐานจิตก็พอ จิตมันจะไปของมันเอง

    ่ข้อเสริมอีกนิดนึงนะครับ
    - ในขณะทำสมาธิ ควรอธิษฐานจิตว่า เราทำด้วยชีวิต ให้จิตพอระลึกได้เป็นพอ แต่ควรจะมีในอารมณ์เสมอนะครับ.. การทำด้วยชีวิตไม่ได้หมายความว่าต้องตายทุกครั้งนะครับ แต่อารมณ์เราคือ เราทำเต็มที่จะตายก็ตาย ไม่ไปบังคับ และวางใจว่างๆไว้ ไม่ได้ไปรบกับใครนะครับ
    - เราเป็นเพียงผู้รู้ ขอให้อิ่มเอม ทำประจำใน พรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร 4 จะทำให้ทรงจิตได้ดีในทุกอิริยาบท จะฝึกสมาธิต่อก็ง่าย แถมคล่องด้วยครับ
    - การทำความดี แค่นึกถึง ก็ได้ดีแล้วนะครับ ดังนั้นถ้าเรานึกถึงสมาธิ หรือ ฌาน เราก็ไปถึงจุดนั้นได้เหมือนกัน แต่อาจต้องใช้เวลาปรับสภาวะบ้าง แต่จิตเราจะเข้าใจจุดนั้นๆ ทำให้สบายๆครับ จะฌานหรือไม่ฌาน มันก็เป็นธรรมชาติแบบนั้น โต๊ะก็นิ่ง เก้าอี้ก็นิ่ง ก้อนหินก็นิ่ง เราก็นิ่งได้หละ นิ่งบ่อยๆ มันจะสบายขึ้นเองครับ
     
  3. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ทำสมาธิ พระท่านบอกว่า "ให้โยนตำราในหัวสมองทิ้งให้หมดครับ"
    หรือไม่ถ้าเดินวิชชาก็ทำตามความจำแหละครับ แต่ควรท่องบ่อยๆ
    จนกลายเป็นเหมือนสัญชาตญาณไปเลยอะครับ จะได้ไปเรื่อยๆไม่มีติดขัด
    ไม่ต้องมานั่งนึก นั่งวิเคราะห์ว่าอารมณ์ฌานไหนแล้ว

    พระท่านบอกว่าเทคนิคสำคัญ คือ เมื่อถึงจุดอิ่มตัวคุณต้อง"หยุด"
    เลิกตามลมหายใจได้แล้ว เอาใจไปหยุดอยู่ตรงจุดที่ชัดที่สุดของลมหายใจเข้า-ออก
    บริเวณเหนือสะดืออะครับ ระหว่างสะดือไปลิ้นปี่ ไม่ต้องไปคราดครั้นนะครับ
    รู้สึกว่าลมกระทบตรงไหนชัดสุดก็หยุดมันตรงนั้นเลย แล้วจะเป็นไปตามธรรมชาติของฌานครับ ไม่มีนอกเหนือจากวิสุทธิมรรคเลย ^^ พุทธเราสุดยอดครับ

    อีกอย่างนะครับ คุณควรทำอาโลกสัญญาให้ชัดครับ อย่าให้เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกมืด
    พยายามให้รู้สึกสว่างนะครับ จำแสงสว่างไว้ให้ขึ้นใจ หรือไม่ก็ไม่ต้องไปกะเกณฑ์อะไรมาก
    พอถึงจุดๆนึง โอภาสจะเกิดขึ้นเองครับ ^^ สาธุๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2010
  4. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....ที่สุดของสมาธิ คือ ความสงบของจิต.....มีส่วนสัมพันธ์กับร่างกาย ขึ้นๆ ลงๆ (ธรรมดาๆ)

    ....ความก้าวหน้าของจิต คือความฉลาดมีปัญญาตัดกิเลส ...หาใช่สมาธิ สมาธิใช้เป็นกำลัง ในการตัดกิเลส....

    ....การพัฒนาจิต ในแนวทาง วิปัสสนาญาณ9 , อริยะสัจ4 ใช้สังโยชน์10 วัด ความก้าวหน้า........
     
  5. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอบคุณมากครับทุกคำแนะนำทุกทุกท่าน
    ผมได้ลองนำไปปฎิบัติสดสดร้อนๆ นั่งไป 15 นาที เพิ่งออกจากสมาธิมาครับ

    ผมได้ปล่อยวางความสงสัยแล้ว และปล่อยให้จิตมันคิดเป็นไปตามที่มันอยากจะไป แต่ยังคงท่อง พุท-โธ และใช้สติไล่ตามมันตลอด ขนลุกยังเป็นเหมือนเดิม ตัวเอนหงายหลังเล็กน้อยก็ยังเป็น แถมมาด้วยน้ำตาเล็ดเล็กน้อย ขาเหน็บชารู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้าง ลมหายใจเบาลงมาก จากนั่งสมาธิแล้วเห็นอาการมืดโปร่งบัดนี้จู่จู่กลับเห็นแต่ความสว่างเหมือนมีคนมาเปิดไฟแสงนีออนขาวนวลเบิกทางให้เราจนขนลุก รู้สึกว่ามีแสงไฟขาวนวลดวงกลมเล็กเกิดที่หางตาข้างซ้ายและกลายเป็นดวงใหญ่เมื่อขึ้นไปถึงหัวนะครับแล้วตัวเองมีแสงขาวนวลรอบตัวทำความสว่างสไสวไปทั่วห้องนอนของผมขณะนั้น เป็นอยู่นานมากครับ (สติครบ 100% มั่นใจว่าไม่ใช่อุปทานแน่นอน)

    ผมรู้สึกพอใจแล้ว เลยอธิฐานจิตว่า ยังไม่อยากจะไปต่อ คงไม่ใช่ว่าจะติดในอารมณ์ แต่แค่พอใจแล้ว ก็เลยอธิฐานออกจากสมาธิ หลังจากนั้นก็คล้ายกับมีคนมาหรี่ไฟแสงนีออนขาวนวลให้เราจนรู้สึกว่าจะเริ่มมืดแล้วรับรู้ได้ถึงความปวดเหน็บขาแรงขึ้นเรื่อยๆ จนออกมาจากสมาธิได้ เหน็บกินเดินแทบไม่ได้เลยครับ
     
  6. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอต่ออีกหน่อยครับกับประสบการณ์อันน้อยนิดกับการฝึกสมาธิด้วยตนเองมา 11 วัน
    เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังเริ่มต้นเหมือนผม

    สิ่งที่ผมพบกับตัวเองกับการนั่งสมาธิ " เราอยากจะได้ธรรมชาติเค้าจะไม่ให้เรา เราเฉยๆ หรือเราไม่อยากได้ ธรรมชาติเค้าจะมอบให้เราเอง" จริงๆครับ
     
  7. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สาธุๆๆครับ โิอภาสเกิดขึ้นแล้ว ขอให้คุณหยุด และอยู่ในอารมณ์ฌานนั้น
    เมื่อคุณหยุดแล้ว อารมณ์ฌานย่อมพัฒนาต่อ น้อมเอาศูนย์กลางของความสว่างนั้น
    มาไว้ตรงจุดที่ลมหายใจเข้า-ออกกระทบชัดที่สุด แล้วดิ่งใจลงไปตรงจุดนั้น
    กล่าวคือ ละเอียดลงไปเรื่อยๆ เป็นการเข้ากลาง น้อมใจเข้าสู่อารมณ์เอกัคตา ^^
    นี้แหละ ถึงเรียกได้ว่า หยุด แล้วฌานพัฒนา ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่
    แต่เป็น หยุดในกลาง เข้าไปในกลาง เป็นการหยุดที่แสนจะละเอียดละออ

    สาธุๆๆ อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2010
  8. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    สู้ต่อไป จอนนี่
     
  9. รูป

    รูป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +6
    เห็นข้อความในเว็บน่าสนใจดี น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณธรรมมุนษย์ไม่มาก
    ก็น้อยครับ เพื่อเพิ่มกำลังการปฎิบัติและไม่ให้กำลังลด

    นิวรณ์ ๕

    อกุศลธรรมที่คอยทำลายล้างความดีที่เป็นกุศล คือ ฌาน ท่านเรียกว่า นิวรณ์ มี ๕ อย่าง คือ
    ๑. กามฉันทะ ความพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์
    ๒. พยาบาท ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
    ๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณธรรม
    ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน และความรำคาญหงุดหงิดใจ
    ๕.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด

    อารมณ์ทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นเพื่อนสนิทกับจิตใจมานับจำนวนปีไม่ถ้วน ควรจะพูดว่าจิตใจของเราคบกับนิวรณ์มานานหลายร้อยหลายพันชาติ เมื่อจิตใจเราสนิทสนมกับอารมณ์ของนิวรณ์มานานอย่างนี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่จิตใจจะต้องอดคบหาสมาคมกับนิวรณ์ไม่ได้


    เมื่อเรามาแนะนำให้คบหาสมาคมกับฌาน ซึ่งเป็นเพื่อนหน้าใหม่ มีนิสัยตรงข้ามกับเพื่อนเก่าก็เป็นการฝืนอารมณ์อยู่ไม่น้อย ฉะนั้น ในฐานะที่นิวรณ์กับจิตเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ก็อดที่จะแอบไปคบหาสมาคมกันไม่ได้ อารมณ์ที่จะคอยหักล้างนิวรณ์ คืออกุศลห้าประการนี้ได้ ก็อารมณ์ ๕ ประการของปฐมฌานนั่นเอง


    เมื่อจิตกับนิวรณ์เป็นมิตรสนิทกันมานาน ฉะนั้น การดำรงจิตอยู่ในอารมณ์ฌานจึงทรงอยู่ได้ไม่นาน ทรงอยู่ได้ชั่วครู่ชั่วขณะ จิตก็เลื่อนเคลื่อนออกจากอารมณ์ฌานคลานเข้าไปหานิวรณ์ อาการอย่างนี้เป็นกฎธรรมดาของท่านที่เข้าถึงฌานในระยะต้น หรือที่มีความช่ำชองชำนาญในฌานยังน้อยอยู่ต่อเมื่อไรได้ฝึกการดำรงฌาน กำหนดเวลาตามความต้องการได้แล้ว


    เมื่อนั้นแหละความเข้มข้นเข้มแข็งของกำลังจิตที่จะทรงฌานอยู่ได้นานตามความต้องการจึงจะปรากฏมีขึ้น ขอนักปฏิบัติจงเข้าใจไว้ด้วยว่าจิตที่เข้าสู่ระดับฌาน คือ ปฐมฌาน หรือฌานอื่นใดก็ตาม ถ้ายังไม่ฝึกฝนจนชำนาญ เข้าฌานออกฌานตามกำหนดเวลาได้แล้ว จิตก็จะยังทรงสมาธิไว้ได้ไม่นาน


    จิตจะค่อยถอยหลังเข้าหานิวรณ์ ๕ประการอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่ออารมณ์ฌานย่อหย่อน เมื่อมีอาการอย่างนั้นบังเกิดขึ้นก็จงอย่าท้อใจหมั่นฝึกฝนเข้าฌานโดยการกำหนดเวลาว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะดำรงอยู่ในฌาน ตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลาเท่านั้น แล้วเริ่มทำสมาธิเข้าสู่ระดับฌานทรงฌานไว้ตามเวลา


    จนกว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจิตจะเคลื่อนจากฌาน มีความรู้สึกตามปกติเอง เมื่อทำได้แล้วหัดทำบ่อย ๆ จากเวลาน้อย ไปหาเวลามาก คือ๑ ชั่วโมง ไปหา ๒-๓-๔-๕-๖ จนถึง ๑ วัน ๒-๓-๔-๕-๖-๗ พอครบกำหนด จิตก็จะคลายตัวออกเอง


    โดยไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรือคนเรียก เมื่อชำนาญอย่างนี้ ชื่อว่าท่านเอาชนะนิวรณ์ได้ แต่ก็อย่าประมาทเพราะฌานโลกีย์ ถึงอย่างไรก็ดี ยังไม่พ้นอำนาจนิวรณ์อยู่นั่นเอง นิวรณ์ที่ไม่มารบกวนนั้นไม่ใช่นิวรณ์สูญไปหรือสลายตัวเพียงแต่เพลียไปเท่านั้นเอง


    ต่อเมื่อไรท่านได้โลกุตตรฌาน คือ บรรลุพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนั่นแหละท่านพอจะไว้ใจตัวได้ว่า ท่านไม่มีวันที่จะต้องตกมาอยู่
    ใต้อำนาจนิวรณ์ คืออกุศลธรรมต่อไปอีก เพราะโลกุตตรฌานคือได้ฌานโลกีย์แล้วเจริญวิปัสสนาญาณจนบรรลุอริยมรรคอริยผล เป็นพระอริยบุคคลแล้ว อกุศลคือนิวรณ์ ๕ ประการเข้าครองจิตไม่ได้สนิทนักสำหรับพระอริยะต้น


    พอจะกวนบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จักจูงใจให้ทำตามนิวรณ์สั่งไม่ได้ นิวรณ์บางอย่างเช่น กามฉันทะ ความพอใจในความสวยงามของ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ความโกรธ ความขัดเคือง พระโสดาบัน พระสกิทาคามียังมี แต่ก็มีเพียงคิดนึกไม่ถึงกับลงมือทำ เรียกว่าอกุศลกวนใจนิดหน่อย พอทำได้


    แต่จะบังคับให้ทำไม่ได้ สำหรับพระอนาคามี ยังตกอยู่ใต้อำนาจของอุทธัจจะ คือความคิดฟุ้งซ่าน แต่ก็คิดไปในส่วนที่เป็นกุศลใหญ่มากกว่า ความคิดฟุ้งเลอะเลือนเล็กๆ น้อย ๆ พอมีบ้าง
    แต่ไม่มีอะไรเป็นภัย เพราะพระอนาคามีหมดความโกรธ ความพยาบาทเสียแล้ว


    อำนาจของนิวรณ์มีอย่างนี้ บอกให้รู้ไว้ จะได้คอยยับยั้งชั่งใจคอยระมัดระวังไว้ไม่ปล่อยให้ใจระเริงหลงไปกับนิวรณ์ ที่ชวนให้จิตมีความรู้สึกนึกคิดไปในส่วนที่เป็นอกุศลยับยั้งตนไว้ในอารมณ์ของฌานเป็นปกติ ท่านที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงอารมณ์ฌานและเข้าฌานไว้เป็นปกติ ท่านผู้นั้นมีหน้าตาแช่มชื่นเอิบอิ่มอยู่เสมอ มีอารมณ์เบิกบานไม่หดหู่ เห็นน่ารักอยู่ตลอดเวลา ฌานแม้แต่เพียงปฐมฌานจัดว่าเป็นฌานเบื้องต้น


    ก็มีผลไม่น้อยถ้าทรงไว้ได้ไม่ปล่อยให้เสื่อม ตายไปในขณะที่ทรงฌาน ก็สามารถไปเกิดในพรหมโลกได้สามชั้น คือ ปฐมฌานหยาบ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ปฐมฌานกลาง เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ปฐมฌานละเอียด เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๓ ถ้าท่านเอาสมาธิในปฐมฌานมาเป็นกำลังของ
    วิปัสสนาญาณแล้วอำนาจสมาธิของปฐมฌานก็สามารถเป็นกำลังให้วิปัสสนาญาณกำจัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน คือตัดกิเลสได้เด็ดขาด จนบรรลุอรหัตตผลได้สมความปรารถนา อำนาจฌานแม้แต่ฌานที่ ๑ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ขอท่านนักปฏิบัติจงอย่าท้อใจ ระมัดระวังใจ อย่าหลงใหลในนิวรณ์จนเสียผลฌาน
     
  10. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอรบกวนสอบถามเพิ่มเติมครับ
    1. ถ้าอย่างนั้นในแต่ละขั้นเราก็ไม่ควรจะเร่งมากเกินไปใช่ไหมครับ อย่างเช่น ผมเข้าขณิกสมาธิได้แล้ว อุปจารสมาธิเข้าได้แต่ยังไม่ชำนาญหรืออาจจะเผลอเข้าปฐมฌานได้ชั่วขณะเสียววินาที แต่สุดท้ายก็ถอยหลังกลับมาอยู่ที่อุปจารสมาธิและขณิกะสมาธิ เป็นลักษณะสมาธิเราขึ้นๆลงๆ แสดงว่ากำลังสมาธิเรายังต่ำจึงไม่สามารถรักษาฌานให้คงอยู่ได้นาน ถูกต้องหรือเปล่าครับ ดังนั้นเราควรฝึกสมาธิในระดับขณิกะ,อุปจารสมาธิให้คล่องชำนาญก่อน พอเข้าปฐมฌานจึงจะคงอยู่ในฌานได้นาน ถึงต้องหรือเปล่าครับ

    2.ผมได้ไปพบแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งปฎิบัติดีปฎิบัติชอบพอสมควร ผมเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของผมให้ท่านฟังว่าผมไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อน วันแรกก็นั่งสมาธิได้ไม่ถึง 5 นาที ผมก็ได้ขณิกะสมาธิมาพอนั่งสมาธิประมาณ 10 กว่าวัน ก็พบอุปจารสมาธิ ทำสมาธิเข้าวันที่ 12 ก็รู้สึกวูบสงบพบเห็นแสงสว่างขาวนวล ขนาดออกจากสมาธิแล้วยังมีอาการขนลุกขนพองต่อเนื่องหลายครั้งตลอดเกือบทั้งวัน ทั้งที่ทุกวันผมนั่งแค่ 15-20 นาที เท่านั้นเอง (ได้ยินมาว่าพระบางรูปบวชมาเป็นปียังไม่พบขณิกะสมาธิเลยหรือบางรูปใช้เวลาถึง 5 ปี จึงจะได้อุปจารสมาธิ) แม่ชีท่านว่าผมบุญเก่ามากเชิญให้ผมออกบวชหรือไม่แน่ใจก็ลองบวชขาวดูก่อนสัก 1 เดือน ฟังแม่ชีท่านพูดแล้วรู้สึกสับสนเลยครับ (เราจะทำได้เหรอ ?? เพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้ทำตัวดีสักเท่าไร ) เมื่อวานผมเกิดนิวรณ์มา 1 ตัว คือ ความลังเลสงสัยว่าตนเองไม่น่าจะใช่คนมีบุญอะไร จึงไม่ได้นั่งสมาธิมาตั้งแต่เมื่อคืน เพราะรู้สึกว่าใจเราไม่เป็นสุขนั่งไปก็คงไม่พบอะไร ยาวไปหน่อยครับขออนุญาตถามคำถามครับ หากเรามีบุญวาสนาเก่าจริงแล้วเราไม่ได้นั่งสมาธิทุกวัน ไม่ได้ปฏิบัติจริงจัง หรือนานๆนั่งสมาธิสักครั้งแต่เราไปเน้นทำทานรักษาศีลแทนรอเวลาที่เราพร้อมจึงจะเริ่มปฎิบัติอย่างจริงจัง ฌาน เราจะเสื่อมและถอยหลังหรือเปล่าครับ / สับสนครับ หน้าที่การงานปัจจุบันก็รัดตัวแทบไม่มีเวลากลัวสิ่งที่ได้มาจะหายไปครับ

     
  11. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ทำอย่างสบายๆครับ อย่าเกร็ง ที่ควรเร่งคือเร่ง"หยุด"ใจให้ไม่เผลอสงสัยในอารมณ์ฌาน
    พอเข้าถึงอารมณ์ฌานใดๆได้สักพักหนึ่งแล้ว จิตจะรู้เองครับ ^^
    ไม่ต้องไปเน้นอะไรครับ เข้าไปเลย ถึงไหนถึงกันครับ
    ไม่ต้องฝึกเป็นระดับๆครับ เพราะมันเป็นอะไรที่ต่อเนื่องกัน มันไม่ได้แยกออกจากกันเลยครับ
    ไหลไปเรื่อยครับนายท่าน ^^ อิอิ อย่าให้ขาดสาย ทำให้เหมือนสายน้ำที่ไหลเป็นเส้นเดียวอย่างนุ่มนวล ละเมียดละไม
     
  12. รูป

    รูป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +6
    ไม่อยากจะให้เป็นการชี้แนะ ขอเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ละกันนะครับ

    ตอบข้อ1
    ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวและคำสอนจากผู้รู้หลายๆท่าน การปฎิบัติ
    ให้เกิดความชำนาญในแต่ละขั้นจะเป็นผลดีในการต่อยอดสู่ขั้นที่สูงต่อไป
    แต่การกำหนดว่าระยะเวลาต้องนานเพียงไร ใช้ความรู้สึกแบบไหนถึงจะไปต่อได้
    คงอยู่ที่ตัวคุณธรรมมนุษย์นะครับน่าจะรู้ได้ดีที่สุด

    ตอบข้อ2
    ต้องบอกว่าผมแค่รู้การปฎิบัติไม่มีญาณอภิญญาพอจะบอกได้ว่าคุณธรรมมนุษย์
    จะหมดจากบุญหรือเสื่อมจากอะไรได้แค่ไหน ผมแค่เชื่อว่าไม่ว่าตัวเองจะมีบุญ
    เก่ามากหรือน้อยเท่าไร" กรรม "ของการปฎิบัติในปัจจุบันของตัวเราจะเป็นตัวบอก
    ทุกๆสิ่งที่เป็น" ผล "ขอเพียงมีเวลาคิดคำนึงถึงเหตุในการกระทำของปัจจุบันมากพอ
    คุณก็จะเข้าใจและยอมรับในผลได้

    ส่วนการทำบุญนั้น ถ้าทำให้จิตใจเบิกบานไม่ยึดติดแต่ว่าอยากได้บุญ น่าจะเป็นผล
    ที่ส่งในด้านบวกไม่น่าจะเป็นไปในทางลบนะครับ


    ขอเอาคำพูดของคุณธรรมมนุษย์มาให้ลองทบทวนดูอีกทีครับ

    สิ่งที่ผมพบกับตัวเองกับการนั่งสมาธิ " เราอยากจะได้ธรรมชาติเค้าจะไม่ให้เรา เราเฉยๆ หรือเราไม่อยากได้ ธรรมชาติเค้าจะมอบให้เราเอง" จริงๆครับ
     
  13. THEFOOL23

    THEFOOL23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +136
    ไม่ใช่ ฌาน คับ

    แค่ ทำสมาธิ แล้ว จิต สงบ คับ

    ยังไม่ได้ เข้าสมาธิ ไดๆ ยังไม่ได้เห็นจิต ใน สมาธิ แค่จิตสงบเฉยๆ

    ทำมาถูกทางแล้วคับ พยายามต่อไป นั่งให้นานกว่าเดิม คับ

    ทำสมาธิ แล้ว บริกรรม ต่อไปคับ ถ้า จิต เพลอ ไปที่อื่น พอรู้ตัวก็รีบกลับมา บริกรรม ต่อเหมือนเดิมคับ ก่อน ทำ สมาธิ ก็ แผ่ อุทิศ บุญ กุศลตัวเอง ให้เจ้ากรรมนาย เวร ญาติ พี่น้อง คับ

    แล้วต่อไป ถ้า เข้าสมาธิ ได้แล้วจะรู้เองคับ


    จขกท ว่า ขณิกสมาธิได้แล้ว อุปจารสมาธิเข้าได้แต่ยังไม่ชำนาญหรืออาจจะเผลอเข้าปฐมฌาน
    ลอง อธิบายมาให้ฟังหน่อยคับ ว่า

    ขณิกสมาธิ เป็นยังไง เข้ายังไง มีอาการยังไง รู้สึกยังไง อื่นๆ

    อุปจารสมาธิ เป็นยังไง เข้ายังไง มีอาการยังไง รู้สึกยังไง อื่นๆ

    ปฐมฌาน เป็นยังไง เข้ายังไง มีอาการยังไง รู้สึกยังไง อื่นๆ

    ตามที่ท่านประสบมานะคับ




    ลองฟันเทศน์ ของพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต นี้ดูคับ

    ควรทำอย่างไร เทศน์เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2553

    เสียเวลา ฟรี ๆ ไป 19 ปี เพราะโดนหลอก ทำสมาธิ ผิดทาง

    ฟังแล้ว ไม่ต้องเชื่อ แต่ฟังเอาไว้เป็น แล้วลองตัดสินด้วย ปัญญา ตัวเองดูคับ ว่าจริง หรือปลอม


    ผม ดีแต่ปาก พูดไปไม่ต้องเชื่อคับ อ่านเอา ขำๆ ก็พอคับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010
  14. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    ที่จริงแล้วเวลานั่งสมาธิเราจะรู้เองแหล่ะครับว่าถึงขั้นไหนแล้วแต่อย่าไปสนใจให้มาก
    เดี๋ยวมันจะไ่ม่ก้าวหน้า ระลึกเสมอว่าเรามานั่งเพื่อพ้นจากทุกข์ เพื่อนิพพานกันคืือจุดมุ่งหมายเดียว
     
  15. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    แล้วอยากรู้ไปเพื่ออะไรว่าถึงฌานที่เท่าไร รู้แล้วได้อะไรหรือ
     
  16. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ขอบคุณที่ลิ้งค์ให้ครับฟังแล้วมันจริง ๆ
     
  17. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    ขอคั่นรายการนิดนึงนะคะ.....


    ขออภัยหากเป็นการรบกวน

    ขอเชิญร่วมลงนะ รับศักราชใหม่มหามงคล รับโชคลาภ สำเร็จสมปรารถนา กับหลวงปู่คำเป็ง
    กระทู้ลงนะ...
    http://palungjit.org/forums/%E0%...ml#post2808212
     
  18. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    ขอบคุณมากครับ
    เพิกเฉยแล้ว แต่มีปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามายังแก้ไม่ตกเลย

    คือเมื่อ 4 วันก่อน ช่วงตอนกลางคืนลูกน้องที่เข้ากะดึกเห็นเงาคล้ายคนเดินไปเดินมาในห้องทำงานของผมหลายครั้ง (ปกติห้องทำงานผมเวลาไม่อยู่ผมจะล็อกตลอดและไม่มีใครมีกุญแจสำรอง) หลังจากนั้นมา 3 วันผมก็ยังไม่เจอเหตุการณ์อะไรเพราะปกติผมจะสวดมนต์พระคาถาชินบัญชรก่อนนอนทุกครั้ง แต่เมื่อวันก่อนผมไม่ได้สวดมนต์ฯ เวลาประมาณตี4 รู้สึกว่าว่ามีใครสักคนมาเกาหน้าต่างบานเกล็ดที่ห้องนอน เสียงดัง แคร็กๆๆ พอเราลืมตาเดินไปดูถี่ถ้วนแล้วก็ไม่เห็นมีอะไเสียงก็หายไป แต่พอจะล้มตัวลงนอน ก็ได้ยินเสียงเกาหน้าต่างบานเกล็ดอีกเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนรู้สึกเริ่มกลัว เลยอาราธนาพระเครื่องหลวงปู่ฝั้น นำไปแขวนไว้ตรงบานเกล็ด ปรากฎว่าหลังล้มตัวลงนอนเสียงนั้นหายสนิท ผมจึงมั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วหล่ะ

    หลังจากนั้นก็สืบหาข้อมูลดูจากลูกน้องคนเก่าแก่ที่ทำงาน ได้ความมาว่าที่ห้องทำงานของผมใกล้ๆจะเป็นสระน้ำเคยมีคนมาจมน้ำตายเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งแรกๆก็เจอกันมาเกือบทุกคนที่เข้ากะดึกทำงาน อีกกรณีหนึ่งก่อนหน้านั้นประมาณ 5-6 ปี มีพนักงานประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่หน้าโรงงาน และรูปพนักงานคนที่เสียชีวิตก็อยู่ในห้องทำงานของผมด้วยซึ่งเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายรวมกับคนอื่นๆ

    ผมเลยคิดว่าน่าจะมีวิญญาณสัพพเวสีมาขอส่วนบุญ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอแต่ส่วนใหญ่จะมาเข้าฝันขอส่วนบุญสะมากกว่า

    เล่าประสบการณ์ให้ฟังครับ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ครับ
    กำลังจะออกไปวัดทำบุญสังฆทานครับ เค้าจะได้เลิกตามสะที
    ขอบคุณมากครับที่รับฟัง
     
  19. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    แค่นี้ก็ทำให้คนเรากลัวได้แล้ว ทั้ง ๆที่ยังไม่พบเห็นกันซึ่ง ๆหน้า แต่อยากรู้ว่าเสียงแค่นี้มันมีอำนาจเหนือจิตเราหรือ เคยเจอเหมือนกันทำนองนี้ตอนนั้นยังไม่เคยนั่งกรรมฐานก็กลัว ๆอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ลองย้อนกลับไปคิดกลับขำตัวเองว่ากลัวอะไรก็แค่เสียงอาจเป็นอย่างอื่นก็ได้ คนเรานี่ก็แปลกน๊ะ ตอนยังไม่ตายไม่กลัวพอตายไปกลับไปกลัวถึงแม้ว่าคน ๆนั้นจะเป็นคนที่เรารู้จักหรือคนที่เรารักก็ตาม กลัวไว้ก่อน มันเป็นจิตใต้สำนึกที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆที่ผู้ใหญ่ชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังแต่ถ้าเราทำความคุ้นเคยกับมันแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะอีกหน่อยก็ถึงตัวเราเองที่เป็นแบบนั้น หนีไม่พ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...