รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    กำหนดการฝึกสมาธิ
    ประจำเดือน ที่เคยจัดที่สวนลุมพินี สามารถติดตามได้ที่ไหนครับ
    ขอบคุณครับ
     
  2. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    เข้าใจหลักการแล้วครับ ขอลองนำไปปฏิบัติดูอีกครั้ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่กรุณาให้ข้อแนะนำครับ ทราบหลักการ ต้นสายปลายเหตุดีแล้ว เดี๋ยวผมขอไปลองปฏิบัติดูอีกที ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้แนะนำหรือไม่

    จริงๆแล้วที่ฝึกมโนมยิทธินี่ใช้วิธีอ่านเอกสารเอา แล้วลงมือปฏิบัติเลย ไม่ได้ไปฝึกกับครูเพราะไม่ค่อยสะดวก เวลาปฏิบัติเกิดปัญหาครับ เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางอารมณ์อย่างไร เพิ่งทราบจากท่านเจ้าของกระทู้ว่าใช้อารมณ์สมาธิลึกไปก็ฝึกมโนมยิทธิไม่ได้เหมือนกัน (อาจจะเป็นเพราะจุดนี้ด้วย เนื่องจากเคยทราบมาว่าการฝึกมโนมยิทธิด้วยตัวเอง ต้องทำแบบเต็มกำลัง อาศัยกำลังใจระดับฌาณ 4 ต่างจากการฝึกกับครู แบบครึ่งกำลัง ใช้เพียงอุปจารสมาธิ ดังนั้นเวลาฝึกเอง ผมจึงใส่แบบเต็มที่ ขั้น 4 ตัวหาย บางทีเลยเถิดไปอรูป ตัวหาย จิตหายซึ่งมีแต่ความนิ่ง จึงไม่ได้ผลเสียที ) คงต้องไปปรับแก้วิธีการกันต่อไป

    ตอนนี้ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้วครับ ขอน้อมเอาคำแนะนำไปฝึกปฏิบัติครับ
    และคงต้องหาโอกาสไปบ้านสายลมสักครั้งอย่างที่ท่านเจ้าของกระทู้ได้แนะนำ
    ไว้

    วันนี้ (8 ก.พ.2553) ย้อนกลับมาอ่านที่เจ้าของกระทู้แนะนำไว้อีกครั้งหนึ่ง ที่เคยเรียนปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการนิมิตที่ไม่พึงประสงค์เวลาเจริญวิปัสสนาในระหว่างอุปจารสมาธิ ซึ่งท่านเจ้าของกระทู้ได้แนะนำไปแล้วนั้น ผมได้ลองปฏิบัติดู ก็ได้ผลดีขึ้น แต่บางครั้งอารมณ์พึงพอใจในนิมิตก็ยังมีอยู่

    ยกตัวอย่าง นิมิตเรื่องเสียงดนตรี ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหน แล้วใครเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ที่ผ่านๆมา ก็จะตัดทิ้งไปตลอด ไม่ได้สนใจ แต่บางครั้งก็มีความรู้สึกว่าอยากจะฟังเสียงดนตรีที่ว่านี้เหมือนกัน จึงไม่ได้ตัดทิ้ง ปล่อยใจฟังตามไปเรื่อยๆ ท่านเล่นให้ฟังก็ฟัง ท่านจะหยุดก็หยุดไป แล้วแต่ท่าน ขณะฟังก็เอามาพิจารณาเป็นอารมณ์วิปัสสนาไปด้วยว่า เสียงดนตรีนี้เกิดจากการดีด สี ตี เป่า เมื่อหยุดการดีด สี ตี เป่า เสียงดนตรีก็หายไปด้วย มีเหตุ จึงทำให้เกิดผล เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล เป็นอนิจจัง ได้เห็นธรรมะไปอีกหัวข้อหนึ่ง

    คำถามคือว่า ตามตำรับ ตำรา ท่านบอกให้ตัดทิ้งนิมิตอยู่เสมอ ผมก็ทำตามมาตลอด แต่บางคราว ผมไปทำนอกตำราเข้า คือไม่ตัดนิมิตทิ้งแล้ว ยังเอานิมิตมาเป็นอารมณ์วิปัสสนาอีก อย่างนี้จะเกิดผลเสียอย่างไรหรือไม่ครับ หรือว่าสามารถทำได้ ไม่ผิดกฏ กติกา มารยาท แต่อย่างใดครับ

    ตอนออกจากสมาธิ จากการเจริญกรรมฐาน คงจะพอมีอานิสงค์บ้าง เล็กๆน้อยๆ อยากจะอุทิศให้กับเจ้าของนิมิตด้วย ที่มีส่วนช่วยในการเจริญวิปัสสนา จึงคิดจะอุทิศให้ อยากถามว่า ตอนออกจากสมาธิแล้วอุทิศให้เลยได้หรือไม่ แล้วถ้าก่อนออกจากสมาธิ เข้าไปในฌาณอีกรอบก่อน ค่อยออกจากสมาธิ อานิสงค์ที่จะอุทิศให้กับเจ้าของนิมิต จะมีกระแสเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่าครับ ถ้ามีกระแสเพิ่มมากขึ้น จะได้เข้าไปในฌาณก่อน แต่ถ้ามีอานิสงค์พอๆกัน ก็จะได้ไม่ต้องเข้าไปในฌาณให้เปลืองเวลา ออกจากวิปัสสนาแล้ว จะได้อุทิศอานิสงค์ให้กับเจ้าของนิมิตเขาเลยครับ แล้วอีกอย่าง ยังห่วงว่าถ้ากระแสอานิสงค์ที่อุทิศออกไปหลังเจริญกรรมฐาน ถ้ามีกระแสแรงมากๆ นี่ บรรดาเปรต อสุรกาย เดรัจฉานในบริเวณใกล้เคียง เขาจะรับได้หรือไม่ครับ อยากจะให้พวกเขาด้วย จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยได้ครับ (ส่วนเจ้าของนิมิตและเทวดาประจำตัวนี่ผมไม่ห่วงเท่าไหร่ คิดว่าอย่างไรเสีย ท่านคงจะพอรับได้อยู่แล้ว)


    เห็นคุณตถาตา ถามว่าแต่ละท่านส่วนมากนั่งสมาธิตอนไหนกัน ผมอยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกันด้วยคนครับ

    ของผมไม่มีเวลาแน่นอนนะครับ ตอนไหนว่างจากอารมณ์อย่างอื่น ไม่มีกิจต้องเจรจาความกับใคร เวลากำลังเดินไปไหน วิ่งออกกำลังกาย ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ เข้าห้องน้ำ อุจจาระ ปัสสาวะ มีเวลาน้อยมากไม่เกี่ยง ปฏิบัติทันทีครับ แต่ผมไม่ได้ภาวนาอะไรนะ ใช้การนึกถึงภาพพระพุทธรูปอย่างเดียวเลย เห็นภาพพระแล้วใจสงบไปเองครับ ส่วนจะสงบระดับไหน จะฌาณ 1 2 3 4 หรือไปอรูปก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย (อรูปที่พลิกแพลงต่อเนื่องจากกสิณไม่เคยทำครับ แต่ใช้วิธีจับภาพพระแล้วต่อเอาด้วยอานาปนสติ)

    ทำแล้วก็เพลิดเพลินดีครับ จับภาพพระ ย่อ ขยาย เอาไปไว้ใกล้ ไกล ไว้ทางขวา ซ้าย หน้า หลัง บน ล่าง แบ่งออกเป็น 2 องค์ 3 องค์ 4 องค์ แล้วเอามารวมเป็น 1 องค์ตามเดิม ทำไปทำมา แล้วจิตมันก็นิ่งไปเอง

    อาจจะเป็นเพราะว่าผมอ่อนในเรื่องกสิณเอามากๆ เพราะเริ่มฝึกมาจากอานาปนสติมาก่อน สามัญสำนึกเลยเตือนว่าให้หมั่นจับภาพพระพุทธรูปอย่างเดียว ก็เลยทำซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างนี้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังอ่อนในเรื่องกสิณอยู่เหมือนเดิม ยังไปไม่ถึงไหน

    อีกอย่าง ผมสนใจเรื่องฤทธิ์ด้วย ไม่ทราบว่าในที่นี้ ท่านใดพอจะแนะนำเทคนิควิธีของเตโชกสิณให้กับผมได้ไหมว่า ถ้าผมอยากจะอธิษฐานขอเตโชธาตุจากเตโชกสิณมาจุดไฟที่ไส้เทียนไข จะต้องทำอย่างไรดี เข้าฌาณ 4 ในเตโชกสิณ แล้วถอยมาที่อุปจารสมาธิ อธิษฐานขอเตโชธาตุไปจุดที่ไส้เทียนไข แล้วเข้าฌาณ 4 เตโชกสิณอีกรอบ แต่ยังจุดไฟไม่สำเร็จ หรือว่ากำลังใจของเรายังไม่เพียงพอ ก็ไม่ทราบได้ ท่านใดพอทราบเรื่องเตโชกสิณขอคำแนะนำด้วยครับ

    ขอขอบคุณในคำแนะนำล่วงหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2010
  3. Dhamma T-PO

    Dhamma T-PO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +184

    อนุโมทนาด้วยครับ
     
  4. pocky888

    pocky888 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +31
    สวัสดีคะ รบกวนสอบถามเรื่องการทำสมาธิคะ เป็นคนสวดมนต์เช้าเย็นแผ่เมตตาทุกวันคะ แต่ ทำสมาธิก่อนหน้านี้ นานๆทีเรียกว่า ทิตนึงอาจจะทำวันนึงหรือสองวันหรืออาจไม่ได้ทำเลย มะก่อนเวลาทำสมาธิก้อจะพยายามแบบ ยุบหนอ พองหนอ สักพัก แต่ก้อไม่ได้ปรากฏอะไรนะคะ นอกจากความรู้สึกว่า รอบข้างเงียบปราศจากสิ่งใดๆ คือเหมือนหูตัดการได้ยิน ประมาณนี้คะ แล้ว บางทีก้อจะมาทำ พุทโธๆ แต่ก้อเหมือนรู้สึกไม่ใช่ยังไงไม่ทราบคะ

    มาอ่านในเว็ปนี้เจอบางท่านบอกให้ภาวนา บทมงกูฏพระพุทธเจ้า สี่วันก่อนดิฉันเลยลองทำดู พอเริ่มทำไปสักพักทุกสิ่งจะเงียบสงัดรอบการเหมือนตัดจากสิ่งต่างๆตัวเบา ลมหายใจก้อหายไป คำภาวนาหายไป <มะก่อนถ้าเริ่มเงียบหรือลมหายใจหายก้อจะตกใจคะ แต่พอมาอ่านหลายๆท่านนในนี้ว่าให้ รู้ไปว่าหายไป อยาไปวิตกใดๆ ก้อเริ่มทำได้> ก้อตามรู้ไปเรื่อยๆ แล้วก้อเห็นเป็นแสงสีขาวกระจ่างทั่วเหมือนออกมาจากตัวหรือจากด้านหลังอันนี้ไม่ทราบคะ แต่เป็นแสงสีขาวจ้าสว่างมาก แล้วก้อเห็นเป็นพระไม่ทราบจริงๆคะ หลายรูปเลย แต่ที่เห็นแล้วรู้จักมีรูปเดียวคือท่านพุทธทาส แบบเห็นเป็นภาพสลับขึ้นมาเรื่อยๆคะ จนตัวเองหลุดออกมาจากสมาธิเพราะมัวแต่สงสัย เอ่อน่า รูปนี้ใครหนอ ๆๆ หลุดดคะ ออกจากสมาธิเลย

    เลยไม่เข้าใจว่าไปถึงไหนแล้ว .

    ถ้าดิฉันจะอธิษฐานก่อนเริ่มการทำสมาธิขอให้ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานได้โปรดคุ้มครองดูแล ให้ปฏิบัติได้ถูกทาง นี่ ควรจะตั้งจิตอธิษฐานแบบไหนดีคะ คือว่านึกหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้อ่ะคะ รบกวนด้วยคะ
     
  5. LOCOMOTIVE

    LOCOMOTIVE สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +21
    ก่อนอื่นต้องเริ่มที่จะไม่ทำลายภาษาไทยให้วิบัติก่อนครับ "ก้อ" นี้วิบัติ ที่ถูกคือ "ก็" "มะก่อน" นี้วิบัติ ที่ถูกคือ "เมื่อก่อน" เมื่อคุณไม่ใช่ภาษาวิบัติแล้ว บุญกุศลบารมีจะบังเกิดแก่คุณแน่นอน...ขออนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2010
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เมื่อวันศุกร์ ผมนัดคนมาประมาณ3คน เพื่อลองสอนสมาธิที่สวนลุมดูครับ

    สามารถฝึกจนถึงสภาวะลมสบาย ลมหายใจดับไปได้ และเจริญเมตตาจนจิตมีความชุ่มเย็น
    จิตเกิดอามณ์ เบา สบาย ชุ่มเย็น ตั้งมั่น อิ่มเอิบใจกันได้ดีพอสมควร

    โดยผมจะเริ่มสอนครั้งแรก ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ
    เดี้ยวผมจะยืนยันอีกทีครับ

    ขอให้ทุกๆท่านมีส่วนร่วมในบุญกุศลนี้ด้วยเทอญ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณตถาตา. ครับ
    <O:p></O:p>
    อยากฝึกครับขอถามหน่อยนะครับทุกท่านส่วนมากนั่งสมาธิตอนไหนกันครับช่วงเช้าหรือช่วงเย็นหรือกลางคืนและคิดว่าช่วงไหนเหมาะที่สุดครับส่วนตัวอยากนั่งช่วงกลางคืนสักเที่ยงคืนขึ้นไปเพราะเห็นว่ามันเงียบดีแต่ใจมันบอกว่าไม่กลัวหรือผมนั่งคนเดียวที่บ้านครับไม่เคยไปนั่งเป็นหมู่คณะแต่ก็ไม่ไปถึงไหนเพราะไม่มีคนสอนอาศัยอ่านจากหนังสือแล้วฝึกเอาอยากฝึกนั่งกลางป่าช้าบ้างแต่คงไม่ไหวเพราะกลัวจิตเตลิดจริงอยู่ทุกอย่างอยู่ที่ใจใจเป็นใหญ่แต่มันก็ต้องเริ่มจาก0 ก่อนไม่อยางลองของสักเท่าไร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้ทำสมาธิทุกเวลาที่เรารู้สึกสบายใจและทำจนสามารถประคองเอาไว้ได้ตลอดเวลาเลยครับ<O:p></O:p>
    อย่าจำกัดเวลาตัวเองครับนึกได้เมื่อไหร่ก็จับลมหายใจก็ภาวนาพุทโธเอาไว้เสมอๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คุณตถาตามีความพยายามในการทำสมาธิและตั้งเป้าในการปฏิบัติเอาไว้ได้ดีแล้วครับ<O:p></O:p>
    ส่วนจุดที่ติดจริงๆก็คือการที่ยังจับอารมณ์ในการปฏิบัติไม่ถูกจุด<O:p></O:p>
    คือยังจดจำอารมณ์ของความชุ่มเย็นอิ่มใจเบาสบายใจจากสมาธิไม่ได้<O:p></O:p>
    และยังประคองอารมณ์จิตที่ความชุ่มเย็นเบาสบายผ่อนคลายนั้นไม่ได้ทุกครั้งทุกเวลาที่ต้องการ<O:p></O:p>
    จิตสามารถเข้าถึงความสงบสบายลอยเบาจากความรู้สึกทางกายได้แต่ทำให้เข้าถึงจุดเดิมไม่ได้ทุกวันไม่ได้ทุกครั้งที่ต้องการ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้น<O:p></O:p>
    1. ทุกครั้งที่เข้าสมาธิจนจิตเกิดความสงบชุ่มเย็นเบาสบายหยุดนิ่งรวมตัวเป็นหนึ่งได้แล้ว<O:p></O:p>
    ให้เราจดจำอารมณ์จดจำความสุขจากสมาธิที่เกิดขึ้นให้ได้<O:p></O:p>
    และตั้งจิตว่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะจิตที่มีความเบาสบายชุ่มเย็นตั้งมั่นรวมตัวระดับนี้ได้ทุกครั้งทุกเวลาทุกสถานที่ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้งก่อนจะออกจากสมาธิทุกครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    2.อารมณ์สมาธิคืออารมณ์ของความเบาสบายชุ่มเย็นทางใจ<O:p></O:p>
    เมื่อไหร่ที่จิตของเราประคองอยู่ในความสบายในความชุ่มเย็นในอารมณ์ที่จิตได้พักผ่อนจากความคิดได้ในอารมณ์ที่จิตเพลิดเพลินในความสบายผ่อนคลายของใจ<O:p></O:p>
    เมื่อนั้นจิตของเรากำลังเป็นสมาธิและเราจะต้องประคองรักษาจิตของเราให้อยู่ในความสบายในอารมณ์เย็นจากสมาธินี้ให้ได้ตลอดเวลาตลอดทั้งวัน<O:p></O:p>
    เมื่อใดที่จิตของเราคลายหรือเคลื่อนไปจากสมาธิแม้เพียงขณะจิตเดียวให้เราดึงจิกลับสู่อารมณ์สบายในทันทีครับ<O:p></O:p>
    อย่ารอจนถึงช่วงเวลาเฉพาะที่เราทำสมาธิประจำแต่ละวัน<O:p></O:p>
    ให้เราดึงจิตกลับสู่อารมณ์สมาธิในทันทีเลยครับ<O:p></O:p>
    และให้ทำโดยยังลืมตาโดยเดินไปเดินมาก็ยังประคองยังรักษายังดึงจิตกลับสู่สมาธิได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    3.การอ่านที่มากจนเกินไปจะทำให้เราปฏิบัติได้ช้า<O:p></O:p>
    เพราะจะเกิดความลังเลสงสัยวิจิกิจฉาขึ้นได้ง่าย<O:p></O:p>
    หรือบางครั้งเราอาจจะตีความธรรมะผิดซึ่งจะทำให้เป็นเครื่องขวางกั้นการเจริญจิตของตัวเราเอง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การจะตีความธรรมะนั้นเราจะต้องเข้าสมาธิและใช้กำลังของสมาธิในการพิจารณา<O:p></O:p>
    หากเรายังไม่ได้สมาธิโอกาสที่เราตีความธรรมะคลาดเคลื่อนจะมีสูงมาก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    4.การฝึกเป็นหมู่คณะย่อมดีกว่าการฝึกคนเดียวแต่ต้องเลือกคณะที่จะฝึกด้วยดีๆนะครับ<O:p></O:p>
    เหตุผลที่ดีกว่าก็เพราะอาจารย์หรือคนที่ได้สมาธิแล้วสามารถจะช่วยปรับช่วยจูนคลื่นจิตของเราให้เป็นสมาธิได้เร็ว<O:p></O:p>
    ซึ่งธรรมะเป็นเรื่องของการถ่ายทอดระหว่างจิตสู่จิต<O:p></O:p>
    นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครที่จะบรรลุธรรมด้วยตัวเองได้<O:p></O:p>
    ดังนั้นการฝึกด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์เลยนั้นเป็นเรื่องยากมากถึงยากที่สุดที่จะบรรลุธรรมได้<O:p></O:p>
    แม้แต่พระพุทธเจ้าพระพุทธองค์เองตอนครั้งยังคงแสวงหาหนทางหลุดพ้น<O:p></O:p>
    พระองค์ยังต้องไปเรียนไปศึกษากับอาฬดาบสและอุทกดาบสเพื่อทำฌาณ1 ถึงฌาณ8เลยครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นโอกาสที่เราจะอ่านจากหนังสือแล้วก้าวหน้าอย่างเต็มที่นั้นยากมากครับ<O:p></O:p>
    แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำเจาะจงว่าต้องไปฝึกกับท่านใดที่ไหนนะครับ<O:p></O:p>
    เพียงแต่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีพระอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งที่ท่านเป็นสัมมาทิษฐิคอยแนะนำครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    หากชอบใจปฏิปทาการปฏิบัติแบบใดก็ลองไปฝึกกับพระอาจารย์ทางสายนั้นดูครับ<O:p></O:p>
    หากพอใจแบบพระป่าถือธุดงค์ก็ต้องลองไปดูครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    5.สุดท้ายครับเวลาเจริญสมาธิจิตยังสบายไม่พอ<O:p></O:p>
    ให้เราทำความรู้สึกทางร่างกายให้ผ่อนคลายให้เบาสบาย<O:p></O:p>
    อย่าเคร่งอย่าเกร็งอย่าฝืนร่างกายจิตใจมากเกินไป<O:p></O:p>
    เน้นทำอย่างไรก็ได้ให้ร่างกายเกิดความสบายเกิดความผ่อนคลาย<O:p></O:p>
    แล้วก็มาเน้นประคองที่ใจรักษาที่ใจของเราให้นิ่งให้เบาให้เย็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ต้องเอาจิตจับกับอารมณ์อะไรบางอย่างอย่านั่งเฉยๆแล้วปล่อยให้จิตนิ่งเองครับ <O:p></O:p>
    ให้จับลมหายใจก็ได้ให้กำหนดลมหายใจตลอดสายให้รู้สึกถึงการพัดผ่านลื่นไหลต่อเนื่องไม่ติดขัดของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ที่พริ้วผ่านเข้ามาและพริ้วผ่านออกไปอย่างไม่สิ้นสุดใจของเราจะรู้เบาสบาย<O:p></O:p>
    ผ่อนคลายจากความรู้สึกทางกายมากขึ้นๆเบาขึ้นๆสบายขึ้นๆ<O:p></O:p>
    จนประทั่งลมหายใจเบาจนหายไปความรู้สึกทางกายหายไปเหลือแต่ความเบาสบายชุ่มเย็นอิ่มเอิบใจสว่างรวมตัวเป็นหนึ่งลอยเด่นอยู่ของจิต<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วก็ให้เราหัดประคองความสบายของจิตของใจของร่างกายนี้เอาไว้ให้ได้ตลอดเวลาตลอดทั้งวัน<O:p></O:p>
    แล้วจิตของเราจะเจริญก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเจริญยิ่งๆขึ้นไปตลอดทุกขณะจิต<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์สบายอารมณ์เบาชุ่มเย็นอิ่มเอิบใจสงบตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวกันของดวงจิตได้ทุกครั้งทุกเวลาทุกสถานที่ที่ต้องการและประคองรักษาเอาไว้ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2010
  8. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    ขอพระคุณมากครับท่านอาจารย์ Xorce กรุณาแนะนำให้เกิดทางสว่าง
    อยากฝึกมาก ๆเลยครับ อาจารย์พร้อมรวมสมาชิกเมื่อไรช่วยโพสบอกด้วยน๊ะครับ
    ผมนั่งมาก็หลายปีแล้วไม่ก้าวหน้าไปไหนเพราะไม่ได้นั่งทุกวัน แต่เมื่อไรที่ว่างนึกขึ้นได้ก็จะจับลมหายใจเข้าออกบริกรรม พุทธ โธ ตลอดแม้แต่ตอนขับรถ แต่ถ้าตอนขับรถแล้วบริกรรมพุทธ โธจับลมหายใจ จะรู้สึกว่าเหนื่อยมันหายใจขัด ๆ ไม่เหมือนกับตอนนั่งสมาธิซึ่งจะไม่ขัดสบาย ๆครับ จิตนิ่งดีกว่าเยอะ เมื่อก่อนนั่งสมาธิ ภาวนาพุทธ โธตามลมหายใจในขณะเดียวกันก็จะพิจารณา สติปัฏฐาน4ไปพร้อม ๆกัน จนคำภวนาหายไป ลมหายใจหยุดนิ่ง
    แต่พอรู้สึกนิด ๆ อาการปีติเกิดสักพัก(ตัวโยกเหมือนเรือกระทบฝั่ง บางครั้งเหมือนหมุนเหมือนล้อรถคือหมุนหัวตีลังกา)ก็ปล่อยวาง อาการได้ยินรู้สึกว่าจะเบาลงมากจนไม่ค่อยได้ยินเสียงภายนอกซึ่งมีรถวิ่งอยู่ อาการชาตามขามีสักพักทนไปก็หายปวดสุดท้ายจะมานิ่งตรงรอบตัวรู้สึกว่ามืดแต่จิตรู้สึกเหมือนดวงแก้วกลม ๆขนาดเท่าแผ่นซีดีรอบลูกกลมนี้มีแสงพอมองเห็นแต่ไม่สว่างสักเท่าไรคือแสงมันจะสว่างรอบ ๆลูกกลมนี้เหมือนห่วงสะท้อนแสงทั้งลูกอยู่ตรงกลางท่ามกลางความมืด ขณะจิตทรงอยู่ลักษณะแบบนี้รู้สึกว่ามันเวิ้งว้าง คิดอะไรไม่ออกว่าจะพิจารณาอะไรต่อไปอีก สักพักหนึ่งได้ก็คิดย้อมคำภวานาพร้อมค่อย ๆจับลมหายใจกลับมา อาการนั้นเวิ้งว้างท่ามกลางความมืดก็หายไป ก็เลยภาวนาต่อไปพอจิตเริ่มรู้สึกว่า พอแล้วสำหรับวันนี้ก็อธิฐานแผ่เมตราให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้วค่อยๆคลาสยสมาธิช้า ๆ ที่น่าแปลกใจคือระยะเวลานั่งจะได้1ชั่วโมงเต็ม ๆไม่ขาดไม่เกิน คือว่าก่อนนั่งจะดูนาฬิกาไว้ว่านั่งตอนกี่โมง นั่ง09.00 ออก10.00 พอดี ผมมีอาการอย่างที่บอกล่ะครับมันไม่ไปถึงไหนอีกเลยเป็นมานานแล้วหลงทางอยู่อย่างนี้ตลอด ส่วนเรื่อง กสินไม่เคยลองฝึกเลยคิดว่านั่งสมาธิให้มันคล่องก่อนค่อยฝึกเป็นขั้น ๆไปครับ แต่ความคิดของผมเองน่าจะมาจากศีล5ที่ไม่บริสุทธ์คือว่าผมมีบ้านเล็กพูดกันตามจริง ปิดบ้านใหญ่ไว้ส่วนบ้านเล็กเขารู้ ฉนั้นก็ต้องมุสากันบ้างนิดหน่อย (ผิดไปแล้ว2ข้อ)ส่วนอีก3ข้อพยายามรักษาให้ดีที่สุดอย่างตั้งแต่คิดว่าจะหันมาทางนี้ก็เลยตัดสินใจว่าจะเลิกกินเหล้าอีกถึงตอนนี้ก็เลิกเหล้ามาแล้วประมาณปีเห็นจะได้พวกอาหารถ้าเป็นสัตว์เป็น ๆผมจะไม่สั่งไม่ซื้อมากิน เคยเห็นกุ้งย่างที่เป็น ๆแล้วรู้สึกสงสารมาก คือคิดว่าอย่างไหนที่สามารถละได้ก็ควรละ อย่างที่มีบ้านเล็กจะทำไงได้มันมีไปแล้วและมีลูกด้วยก็เลยต้องรับตามกรรม มีก่อนที่จะหันมานั่งสมาธิ แต่ตัวผมเองคิดว่าถึงแม้นว่าตัวเราผิดศีล5ไม่สามารถรักษาให้บริสุทธ์ได้ก็ตามแต่มีความตั้งใจปฏิบัติ เข้าหาทางธรรม ยังดีกว่าคนที่ไม่คิดที่จะปฏิบัติเลยทั้ง ๆที่เกิดมาพบพุทธศาสนาแท้ ๆ กับประกอบอาชีพไม่สุจริต คดโกงเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆนานา จริงมั้ยครับ

    ก็หวังว่าคงจะได้อาจารย์เป็นที่พึ่งแนะนำทางให้อ่ะครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2010
  9. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ vantana ครับ

    อยากได้คำแนะนำคะ คือดิฉันเพิ่งฝึกนั่งสมาธิ แต่ดิฉันเป็นคนขี้กลัวคะ กลัวสารพัดคะกลัวเห็นนิมิต กลัวผี ดิฉันก็เลยตัดความกลัวโดยลืมตานั่งสมาธิ
    แรกๆก็ใช้เวลานานกว่าจิตจะสงบ มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันนั่งดูลมหายใจเข้าออก และภาวนาพุทโธ ประมาณครึ่งชม. ตาเริ่มพร่ามัวและพื้นขยายใหญ่ขึ้น พอกลับมาดูลมหายใจ ปรากฎว่าลมหายใจหายไป และไม่มีความรู้สึกถึงกาย แต่ความที่นั่งลืมตาก็มองดูตัวเอง ก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่รู้สึกว่ามีกาย ดิฉันตกใจกลัว เลยออกจากสมาธิ
    และอีกหลายครั้งต่อมาดิฉันก็ได้จิตสงบอีกเรื่อย ๆทิ้งคำภาวนาและมีอาการต่างๆ เช่น ขนลุกทั้งตัว ตัวลอยขึ้นลง บางครั้งใจวูบเหมือนตกจากที่สูง
    มาระยะหลังๆไม่มีอาการเหล่านี้ เพียงแต่ทิ้งคำภาวนา และจิตก็รวมวูบ กายใจโล่งสบาย และนิ่งอยู่ในสมาธิ ลมหายใจเบามาก และปัจจุบันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ คือเวลาจิตสงบนิ่ง แล้วดิฉันไม่รู้จะทำอะไรต่อดี เลยอยากจะถามว่าลืมตาทำสมาธิจะก้าวหน้าไหมคะ
    แล้วตั้งแต่นั่งมาก็ไม่เคยมีนิมิต (จริงๆก็ไม่อยากให้มี) ดิฉันอยากจะได้คำแนะนำ ถ้าจิตสงบอย่างนี้แล้วควรจะทำต่ออย่างไรคะ

    <!-- google_ad_section_end -->อนุโมทนาด้วยครับ ฝึกได้ดีแล้วครับ
    การลืมตาฝึกสมาธิได้อานิสงค์เท่ากับหลับตาฝึกสมาธิครับ
    แต่ถ้าจะเอาให้ดี ควรที่จะทำได้ทั้งหมดครับ หลับตาได้ ลืมตาได้ เดินไปเดินมา ทำกิจวัตรประจำวันก็ทำได้
    คราวนี้ จุดที่ติดก็คือ ความกลัวในการเห็น ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ต้องแก้ครับ
    การไม่อยากให้มีนิมิตนั้น จะทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่ไม่ปรารถนาก็จริงอยู่ แต่ก็จะทำให้เรามองไม่เห็น เทวดา พรหม รวมถึงพระด้วยเช่นกัน
    ซึ่งจะเป้นเครื่องขวางกั้นไม่ให้เราเจริญจิตในระดับสูงครับ
    วิธีแก้นะครับ ให้เราตั้งจิตต่อพระพุทธเจ้า ถอนคำอธิฐานเดิมว่า
    คำอธิษฐานใดก็ตามอันจะเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม เป็นคำอธิฐานอันเป็นมิจฉาทิษฐิก็ดี คำอธิษฐานที่เกิดจากความรัก โลภ โกรธหลงก็ดี ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานเหล่านี้ให้สิ้นไป สลายหายไปให้หมด ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
    ขอให้ข้าพเจ้าพบเห็นแต่ศุภนิมิต นิมิตอันดีงาม อันจรรโลงจิตใจให้เกิดความแช่มชื่น อิ่มเอิบในธรรมปีติ เห็นแต่นิมิตที่เกิดขึ้นด้วยพระบารมีของพระพุทธเจ้า
    นิมิตใดที่เป็นเครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง ขอให้ไม่อาจจะจร ไม่อาจจะบังเกิด ไม่อาจจะพบเจอได้ ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    อธิษฐานเสร็จแล้ว คราวนี้ ตราบใดที่เราเคารพพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เราจะไม่เจอนิมิตไม่ดีครับ
    แล้วให้เราลองฝึกทรงภาพพระพุทธรูป ภาพพระพุทธเจ้า ให้เห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส เห็นภาพพระองค์แย้มยิ้ม จนใจของเราเบิกบานตามความเอิบอิ่มของพระพุทธรูป ให้ภาพพระมีความใสสว่าง เป็นเนื้อแก้วเนื้อเพชร ให้ใจของเราใสสว่างเป็นเพชรตามภาพพระ
    ตราบใดที่ภาพพระพุทธรูปยังอยู่กับจิตของเราจิตของเรา จะไม่มีนิมิตอ่นใดจรเข้ามาได้ครับ

    ส่วนในการฝึกสมถะนั้นทำได้ดีแล้วครับ จิตรวมเป็นฌาณ4 นิ่ง หยุด เบา สบาย ว่างจากร่างกาย ได้อย่างคล่องแคล่วพอสมควร
    อย่าลืมอธิษฐานปักหมุดย้ำๆ เอาไว้ด้วยนะครับ จะได้คล่องยิ่งๆขึ้นไป

    คราวนี้ให้เราฝึกทรงภาพพระให้ได้เสียก่อน
    เพราะภาพพระจะช่วยขจัดความกลัวในจิตใจของเรา

    เมื่อเราสามารถทรงภาพพระได้ดีแล้ว ให้เราหันมาพิจารณาวิปัสนาญาณเพิ่มครับ

    จับอารมณ์ที่เรารู้สึกว่า ไม่มีร่างกายนั่นแหละครับ
    แล้วเราก็พิจารณาว่า เราอาจจะตายได้ตลอดเวลา เมื่อเราตายแล้ว ร่างกายของเราก็จะต้องพังทลาย แตกสลาย หายไป คล้ายกับที่เรารู้สึกอยู่นี้
    ให้เราพิจารณากำกับจิตของเราเอาไว้ตลอดเวลาว่า ทุกครั้งที่เราเข้าสมาธิจนไม่รู้สึกถึงร่างกาย เรากำลังซ้อมตายอยู่
    แล้วถ้าเราตายเมื่อไหร่ ชาติหน้าเรายังอยากจะเกิดมามีร่างกายอีกไหม
    รอบพิจารณาว่า เมื่อเรามีร่างกายรู้สึกถึงร่างกาย เราก็จะต้องคอยทำงานบ้าน คอยทำกับข้าว คอยดูแลภาระนู่นนี่นั่น มันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขหรือความทุกข์
    แล้วตอนที่เราเข้าฌาณ เราปราศจากร่างกาย เรามีความสุข ความเบาสบาย ได้พักผ่อนขนาดไหน
    ตราบใดที่เรามีร่างกายเราจะไม่มีวันได้หยุดพัก นอนหลับตื่นมาก็ต้องมาทำงานกันใหม่ แล้วก็ทำอย่างเดิมซ้ำไปซ้ำมา
    นี่ถ้าเราไม่มีร่างกายซะอย่างเดียว มันจะเบาสบาย ปราศจากภาระหน้าที่ขนาดไหน
    แล้วร่างกายของเรามันก็เสื่อมลงไปทุกขณะ มีแต่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา
    ร่างกายนี้เราไม่พึงปรารถนามันอีก มันทำให้เราเกิดความไม่สบายใจ ทุกข์ใจ เหน็ดเหนื่อย กับมันขนาดนี้
    แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องดูแลมันไปตามระเบียบ แต่ว่าเราต้องคิดว่าชาตินี้เราดูแลร่างกายได้ ชาติหน้าไม่เอาแล้วพอแล้ว ขี้เกียจมาดูแลร่างกายแบบนี้อีกแล้ว
    ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไหร่ การกลับมามีร่างกายแบบนี้ จะไม่เกิดขึ้น ไม่มีแก่เราอีกเป็นอันขาด
    ความเป็นเทวดา เป็นพรหม เดี้ยวก็ต้องกลับมามีร่างกายอีก เป็นการหยุดพักชั่วคราว
    หากเราตายเมื่อไหร่ เราจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น
    พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใด นิมิตที่เราเห็นพระพุทธเจ้าอยู่นี้ พระองค์ทรงอยู่พระนิพพาน
    ทุกครั้งที่เราเห็นภาพพระ เรานึกถึงภาพพระ เรากำลังนึกถึงพระองค์อยู่บนพระนิพพาน
    ดังนั้นถ้าเราตายเมื่อไหร่ พระพุทธองค์อยู่บนพระนิพพาน ตายแล้วเราก็จะไปพระนิพพาน
    ร่างกายนี้ เราไม่กลับมามีมันอีกต่อไป ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น

    หลับตาทุกครั้ง เห็นแต่ภาพพระ นิมิตอื่นใด อันทำให้ใจเศร้าหมอง ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไม่เกิดขึ้นกับเรา
    มีเต่ภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเท่านั้น ทุกๆครั้งที่เราหลับตา


    ขอให้มีจิตใจที่มีความแช่มชื่น สว่างไสว เบิกบานใจ ปราศจากซึ่งความมืด ความหวาดกลัว ความระแวงใจทุกอย่างทุกประการ ด้วยพระพุทธนิมิต ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  10. vantana

    vantana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบพระคุณมากคะ อาจารย์ Xorce ดิฉันจะนำคำแนะนำไปปฏิบัติ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ก้าวหน้า เพราะนั่งลืมตาแล้วไม่เห็นอะไรเลย จะลองฝึกนั่งหลับตา คงยากพอสมควรสำหรับคนขี้กลัว อย่างไรก็จะเอาชนะความกลัวให้ได้ ดิฉันทำแต่งานไม่มีเวลาไปเรียนปฏิบัตที่ไหนเลย อาศัยอ่านหนังสือ ฟังซีดีและก็หาคำแนะนำจากท่านผู้รู้ในเวปนี่แหละคะ

    อนุโมทนา สาธุ คะ
     
  11. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    สวัสดีครับท่านชัด ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มารบกวนบ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพราะได้รับคำแนะนำไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวผมเองว่าจะปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน การปฏิบัติของผมในตอนนี้ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ขึ้นบ้างลงบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้างครับ อิอิ

    วันสองวันที่ผ่านมาท่านพระอาจารย์ที่ผมนับถือท่านได้โทรศัพท์มาพูดคุย และได้สอบถามถึงการปฏิบัติของผม ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่า ช่วงนี้รู้สึกว่าการปฏิบัติของผม มีแต่ทรงกับทรุด การเข้าสมาธิรู้สึกว่ายากกว่าแต่ก่อน ทำให้กำลังใจตกไปมากทีเดียว ท่านก็เมตตาให้กำลังใจบอกว่า เมื่อเราตั้งใจทำความดี มีความพยายามที่จะฆ่ากิเลส กิเลสมันก็ต้องสู้เป็นธรรมดา รวมทั้งมารต่างๆที่จะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางเรา ท่านบอกให้ผมมีความเพียรทำให้บ่อยๆ แล้วจะได้ดีเอง และท่านยังบอกให้สวดมนต์บ่อยๆอีกด้วย แล้วปัญหาต่างๆจะคลี่คลาย รวมทั้งความเครียดที่เกิดขึ้น พอช่วงบ่ายของวันนั้น ก็มีเรื่องให้ปวดหัวทันทีเลยเป็นปัญหาที่ผมสร้างมานาน แต่พอเจอกับปัญหาผมก็พยายามทำใจให้สบาย พยายามเจรจาต่อรอง จนปัญหาที่ผมก่อไว้ ก็สามารถหาทางออกได้แบบราบรื่น จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะออกมาในแบบนี้

    มีเรื่องที่ผมอยากขอคำแนะนำหลายเรื่องครับ เพราะผมเป็นคนขี้สงสัย และคิดมาก ทำให้คำถามในบางเรื่องกลายเป็นเรื่องจุกจิกไร้สาระไปก็มี

    1. มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งสมาธิ พอจัดท่านั่งวางมือและหลับตาเรียบร้อย ในช่วงที่ลากลมยาว3รอบภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วหายใจไปได้ไม่กี่ครั้งรู้สึกว่าจิตรวมอย่างรวดเร็ว ลมหายใจหายไปแทบจะทันที จนผมตกใจคิดว่าเฮ้ยไรเนี่ย ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย หลังจากหายตกใจ ก็หันกลับมารู้ลมหายใจ ทำให้เสียดายอยู่เหมือนกันครับ

    2. ผมลองปฏิบัติโดยดูลมหายใจ ภาวนาพุทโธ และจับภาพพระไปด้วย รู้สึกปวดแถวๆหว่างคิ้วมากครับ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะจับภาพพระผิดตำแหน่ง และใช้ลูกตาเพ่ง เพราะผมวางไว้ด้านหน้าเลย ที่จริงต้องนึกเอา เคยลองจับภาพบริเวณเหนือสะดือ2นิ้วก็ไม่ถนัด เลยเลิกทำไปแล้วครับ ตอนนี้กลับมาอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ตั้งใจไว้ว่าจะทำไปสัก1เดือน แล้วค่อยมาประเมินผลกันใหม่

    3. ลูกสาวชอบฟังเรื่องพญานาคมากครับ (9 ขวบ) แกชอบค้นหาในกูเกิ้ล ผมเลยเอาไฟล์เสียงอ่านของหนังสือโลกทีปนี ให้แกฟังแกก็ชอบครับ ถามว่าสวรรค์เป็นยังไง เทวดานางฟ้าสวยไหม ผมก็บอกว่าสวย บอกแกว่าให้ทำบุญเยอะๆจะได้ขึ้นสวรรค์ บางทีก็สอดแทรกเรื่องมรณสติไปด้วย ถามแกว่าถ้าพ่อตายไปหนูจะทำยังไง เสียใจไหม แกก็ตอบตามประสาเด็กครับ ผมก็แนะนำไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องตาย แม้แต่หนูก็ต้องตายเหมือนกัน กลัวไหม แกก็บอกว่ากลัว ผมบอกว่าถ้ากลัวก็ทำบุญเยอะๆ ตายไปจะได้ไปสวรรค์ ถ้าตายแล้วได้ไปสวรรค์จะกลัวไหม แกบอกไม่กลัว บางวันที่จังหวะเหมาะๆก็ชวนลูกทำสมาธิครับ โดยการจับภาพพระ แกทำได้ดีทีเดียว แล้วให้แกแผ่เมตตาโดยทำตามคำแนะนำของท่านชัด ให้นึกภาพพระเป็นประกายสว่างไสวไปทั่วโลกทั่วจักรวาล แกก็ทำตาม แกบอกว่ารู้สึกเย็นๆในกลางอก

    4. ตอนนี้ผมเข้าสมาธิยากมากครับ เพราะเวลาทำรู้สึกจิตไม่นิ่ง ไม่สงบ รู้ทั้งรู้ว่าต้องกำจัดนิวรณ์5ให้ได้ซะก่อน แต่ก็ยังทำไม่ได้ ช่วงนี้เลยหลอกล่อตัวเองโดยการหันไปสนใจเรื่องทางโลกตามเคย เพื่อให้ลืมๆเรื่องที่กังวลใจที่จิตไม่สงบ แล้วก็กลับมาปฏิบัติใหม่ ตอนนี้ก็ยึดหลักอานาปาณสติอย่างเดียว พิจารณาว่าทำไปเรื่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำไปเรื่อยๆก็พอ ก็รู้สึกดีขึ้นบ้างครับ

    5. ผมมีความคิดที่จะทำแผ่นซีดีธรรมแจกจ่ายให้กับเพื่อนร่วมงาน และผู้มาใช้บริการที่เกี่ยวกับงานของผม (ผมทำงาน ร.พ.เป็น จนท.ธรรมดา แต่ละวันมีผู้ป่วยมากมายมาใช้บริการ) มีคำแนะนำไหมครับว่าจะต้องเริ่มจากธรรมะข้อไหนกัน ที่ผมคิดๆไว้ก็จะเป็นธรรมะเบื้องต้นเกี่ยวกับความรู้ของศาสนาเป็นการปูพื้นฐานไว้ก่อน แล้วต่อมาก็เป็นธรรมะเกี่ยวกับการทำสมาธิ การเจริญวิปัสสนา

    ต้องขอโทษด้วยที่บางข้อไม่ใช่คำถาม อาจเป็นการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ (คล้ายๆปรับทุกข์ อิอิ) ก็อยากให้ท่านชัดช่วยพิจารณาให้คำแนะนำ และให้คำตอบด้วยครับ

    ขอบพระคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2010
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันอาทิตย์ที่14 ก.พ. นี้
    ผมจะสอนสมาธิที่สวนลุมพินี เป็นครั้งแรกครับ

    เวลาประมาณ 9.00น. กว่าจะเริ่มจริงๆ ก็น่าจะซัก9.30น.ครับ

    ที่ศาลาหกเหลี่ยม บริเวณเกาะลอย ครับ

    [​IMG]
    ขอให้ลองมาฝึกกันดูนะครับ

    เนื้อหา ที่จะฝึกกันในภาคเช้าก็คือ
    1.ลมสบาย
    2.เมตตาอัปปมาณฌาณ

    ส่วนในภาคบ่าย
    จะเป็นเนื้อหาที่แต่ละท่านมีความสนใจ
    เช่น กสิณ อรูป มโนมยิทธิ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น

    สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ เตรียมใจให้สบาย นอนหลับให้เต็มอิ่ม และทำใจให้เปิดกว้างพร้อมยอมรับสิ่งใหม่ๆครับ

    ส่วนอันนี้เป็นเบอร์มือถือของผมครับ
    083-9003388

    เผื่อว่าใครหาสถานที่ฝึกในสวนลุมไม่เจอ ขอรบกวนว่าให้โทรเฉพาะวันที่ผมสอนนะครับ

    ขอให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้ทุกๆดวงจิต ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  13. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    อยากมาร่วมด้วยจังคะ.....ครั้งต่อไปจะจัดวันที่เท่าไหร่ รบกวนแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ...
    ครั้งนี้ไปไม่ได้จริงๆๆๆ.....

    อนุโมทนาด้วยคะ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5ก.พ.นี้ จนถึงวันที่9ก.พ.นี้ ผมจะไปสอนสมาธิที่ภูเก็ตครับ
    คงจะไม่ได้เข้ามาซักพักนึง
    หากท่านใดมีคำถามให้ฝากเอาไว้ได้เลยครับ
    ผมจะพยายามหาเวลามาตอคำถามให้ครบ ให้เร็วที่สุดครับ

    ขอให้ทุกๆท่าน พึงมีส่วนร่วมในบุญกุศลครั้งนี้ และขอให้มีจิตใจที่มีแต่ความสุข สงบ อิ่มเอิบ ชุ่มเย็น ยิ่งๆขึ้นไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    แล้วพบกันวันอาทิตย์ที่14 ก.พ.นี้ครับ
     
  15. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    วันตรุษจีน ติดไหว์เจ้าหรือเปล่าครับ
    วันวาเลนไทน์ ติดพาแฟนไปเที่ยวหรือเปล่าครับ

    เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ
     
  16. Oupasene

    Oupasene เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +2,867
    อนุโมทนาสาธุ ค่ะ
     
  17. vantana

    vantana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +31
    เนื้อหา ที่จะฝึกกันในภาคเช้าก็คือ
    1.ลมสบาย

    2.เมตตาอัปปมาณฌาณ

    ส่วนในภาคบ่าย
    จะเป็นเนื้อหาที่แต่ละท่านมีความสนใจ
    เช่น กสิณ อรูป มโนมยิทธิ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น

    สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ เตรียมใจให้สบาย นอนหลับให้เต็มอิ่ม และทำใจให้เปิดกว้างพร้อมยอมรับสิ่งใหม่ๆครับ

    ถ้าสนใจอยากจะฝึกทั้งสองภาคเลย ทั้งภาคเช้าและบ่าย ในการฝึกมีข้อจำกัดอะไรหรือเปล่าคะ

    เพราะเพิ่งฝึกขั้นเบสิค ๆ หรือถ้าจะฝึก ภาคบ่าย เลยได้ไหมคะ
     
  18. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    เตรียมทำใจครับเผื่อตายไปจะได้เป็นเทวดากันเลย อิอิ
     
  19. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ไปไม่ได้แล้วคับT^T มีอีกเมื่อไหร่บอกด้วยนะคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กุมภาพันธ์ 2010
  20. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    มีอยู่จุดๆหนึ่งก่อนที่ลมจะหมดไปร่างกายหยุดนิ่งร่างกายไม่ต้องการ ลมหายใจคอ่ยๆหยุดห่างออกไป แล้วสักประเดี๋ยว มีความเบา สบายเหมือนกับเราเป็นอนู และ ความรู้สึก(ไม่ได้จับแต่รับรู้) ราวกับว่าตัวผมเองเป็นดั่งเสมือน เม็ดๆเล็กๆมีประกายระยิบลอยขึ้นไปคล้ายกับฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำยังไงยังงั้น ไม่สงสัยอะไรนะถ้าทำต่อ แต่ ร่างกายควรได้พักก็เลยหยุดประคองแค่นั้น ผ่อนคลายลงไป

    อีกทั้งเวลาเดินตามทางที่ต่างๆ ทุกครั้งเดี๋ยวนี้ทำไมเรามีความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนเป็นอย่างท่อนไม้ คล้ายๆกันหมด ตัวเราก็เช่นกัน ท่อนไม้ที่เคลื่อนไหว และก็มองทะลุท่อนไม้นั้น เห็นประกายไม่เท่ากันแต่ละดวงจิตที่อยู่ภายในท่อนไม้นั้นๆ เราก็มีความรู้สึกราวกับเราไม่ได้อยู่ที่นี้ ที่นี้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลยไม่จีรัง
    อีกสักพัก ภาพอสุภะก็ค่อยๆปลากฏเมื่อเรามองเห็นคนที่หน้า สวย หล่อ หน้าตาดี ผิวพรรณดี รูปร่างดี
    (ถึงครานั้นก็ยังมีความกำหนัด หรือมาร ที่มันพยายามจะผุดขึ้นมาอยู่ร่ำไป)

    บางทีจิตและความคิด คิดว่าขณะนี้ เราเป็นบรรชิตถือศีลอยู่ในสถานที่เงียบสงบ แต่ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ที่ยังคงมีกิเลส บางทีเราก็คล้อยตามมัน
    พูดง่ายๆ ใจนึกคิดเป็นพระ แต่อารมณ์เป็นมาร ความกำหนัดก็ยังมี อารมณ์ที่หนักอยู่ก็ยังมีบ้างอาจจะไม่มากเหมือนแต่ก่อนแต่ก็น้อยลงมาก อยู่กลางๆ ดีบ้างเลวบ้าง

    ช่วงหลังๆมานี้ผมอัดลมบ่อยมากจน มันเบาโล่ง เริ่มอัดลมไม่ค่อยได้แล้วเพราะมันเบาจนอัดไม่ได้
    (แต่ผมนอนดึก นอนน้อย เวลาปฏิบัติสมาธิก็ตอนดึกๆ ดึกมากๆ(มันไม่ีมีความกลัวแล้ว) ผักผ่อนไม่เพียงพอ รู้ว่าไม่ดี และก็รู้ตัวคับแต่ความง่วงก็ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไหร่เพราะผมทรงอารมณ์นี้ไว้)

    อนุโมทนากับการเริ่มต้นที่ดีคับ คุณชัด

    ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอาริยะสงฆ์ ทุกๆสิ่งทุกอนูที่รวมตัวกันเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกๆท่านทุกๆคน ทุกๆตน ทุกๆนาม ที่รวมกันมาอยู่ในจุดๆนี้ให้ได้พุ้งตรงไปยังพระนิพพานในชาติปัจุบันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...