รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันที่31 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีฝึกสมาธิโต้รุ่งที่วัดดอกไม้ และสวดอิติปิโส108จบ ครับ
    ขอให้อานิสงค์นี้ส่งผลให้ประเทศสยามมีแต่ความสงบสุข ร่มเย็นด้วยอำนาจแห่งพระบรมโพธิสมภารตลอดไป
    ให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาล มากด้วยพระสุปฏิปัณโณ พระอรหันต์ อริยเจ้า พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ ตลอดไปตราบเท่า5000วสา
    ให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยฉับพลันทันใด
    กิจเพื่อค้ำจุนพระศาสนาทุกๆประการมีความราบรื่น สำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์ตลอดไปด้วยเทอญ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
    ผมได้ส่งจิตอธิฐานไปร่วมย้อนหลังในพิธีเททองหล่อพระเจ้าองค์แสน อนุโมทนาคับไปไม่ได้จริงๆอยากไปร่วมมากคับ อนุโมทนาสาธุ สาธุ

    คุณmakoto ได้เขียนคำอธิษฐานเพื่อส่วนรวมมาแล้ว ยังไงก็ถือว่าได้มาร่วมด้วยครับ
    ตอนนี้กำลังจะเขียนโครงการว่า เราจะสร้างพระเจ้าองค์แสนอีกองค์ พระท่านให้เรียกว่า

    "พระเจ้าองค์แสนเยาวชน"

    โดยตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า จะสร้างในนามของเยาวชนผู้มีจิตเป็นสัมมาทิษฐิทั้งประเทศไทย
    เพื่อเป็นการรวมพลัง และปลุกตื่นจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เพื่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    ให้ตื่นขึ้นในดวงจิตของเยาวชนไทย100,000 คนทั่วประเทศ
    ซึ่งเยาวชนทั้ง100,000คน ที่ตื่นขึ้นในจิตใจที่งดงาม จะกลายเป็นกำลังในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ
    และจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต
    และจะน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ให้อานิสงค์นี้ส่งผลให้ พระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป
    ประเทศไทยรอดพ้น ปลอดภัยจากภัยพิบัติ ทุกๆประการ
    ค้ำจุนให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่คู่กับแผ่นดินสยามตลอดไปตราบเท่า5000วสา ด้วยเทอญ

    คำถามมันไม่ได้ไกลตัวเลย สัมมาทิธิผุดขึ้น ความกำหนัดก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ แต่ มีเสียงของใครก็ไม่รู้แต่เราเหมาเอาเป็นเสียงของพระพุทธเ้จ้าองค์นึง ที่บางครั้งบางทีเตื่อนเราเรื่องต่าง
    ๆนาๆผุดขึ้นมา ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีบางครั้ง ก็จะมีการเสวนาธรรมกับ พุทธบริวารพระองค์อื่นๆให้เราได้ยิน

    หากเสียงที่เราได้ยิน เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว ทำให้จิตของเราเบา คลาย ปล่อยวางจากกิเลส จากความเร่าร้อนในจิตใจได้
    เสียงนั้นก็ถือว่ามาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาจากครูบาอาจารย์ ที่ท่านคอยดูแลเรา

    หากเสียงที่เราได้ยิน เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว ทำให้จิตของเราเกิดความหนัก
    เกิดความพอกพูนในกิเลส เกิดความหลงว่าตัวฉันก็เก่ง ซึ่งเป็นมานะทิษฐิ
    เสียงนั้นก็ถือว่ามาจากกิเลสมาร ที่หวังจะประหารเราจากความดี ก็อย่าได้ไปฟังเสียงนั้น
    อันนี้คือหลักในการพิจารณาสิ่งที่เรารู้จากสมาธิครับ

    จิตมันปรุงแต่งหรืออย่างไรไม่ทราบแต่ผมเชื่อว่าจะปรุงแต่งหรือไม่ในส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ดี
    ถึงช่วงนี้กิเลสจะรุมเร้า หนักหนาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ลืมที่จะกำหนดลมหายใจเลยเพราะใส่สร้อยพระและสร้อยพระจะกระทบหน้าอกตลอดเวลาเราก็กำหนดจิตให้องค์พระอยู่กับเราบริเวณหน้าอกได้ทั้งวันถึงจะมีประกายบ้างไม่ประกายบ้าง ถึงจะได้บ้างลืมบ้างแต่ก็ประคองไว้ตลอดทั้งวัน

    ดีแล้วครับ ภาพพระต้องทรงให้มากเป็นพิเศษครับ ต้องให้เห็นท่านยิ้มด้วยนะครับ เป็นเคล็ดลับที่สำคัญ ภาพพระต้องยิ้ม ยิ่งยิ้มเท่าไหร่ความมั่นคงในสมาธิจะมากเท่านั้นครับ
    เพราะยิ่งภาพพระท่านยิ้มมากเท่าไหร่ใจของเราก็จะยิ่งเบาสบาย มีความชุ่มเย็น แช่มชื่นมากเท่านั้น
    กิเลสก็กำเริบไม่ได้ ตราบใดที่ยังเห็นภาพพระท่านยิ้ม
    แล้วเราทรงเอาไว้ที่อก เราก็ตั้งกำลังใจเอาไว้ด้วยว่า เรามีพระในใจ พระอยู่ที่กลางอก กลางจิต กลางใจ ของเราตลอดเวลา
    ภาพพระเป็นเนื้อเดียวกันกับดวงจิตของเรา ดังนั้นด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า
    ไม่มีมาร ไม่มีกิเลสใด จะเข้ามากร้ำกราย มาประหารเราจากความดีไปได้

    อนุโมทนาคับ คุณชัด มีฝึกที่สวนเมื่อไหร่บอกด้วยนะคับอยากไปอีกคับขอบคุณมากๆคับ

    ถ้ามีเดี้ยวจะนำมาลงให้ครับ

    เดี้ยวผมอาจจะเริ่มจัดฝึกที่สวนลุม เพื่อเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆได้เข้ามาฝึกครับ

    ปีใหม่นี้ก็ขอให้มีแต่ควาสุขกายสุขใจ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมตลอดไป
    ได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมายตามที่ได้เคยปรารถนาเอาไว้
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  3. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    อนุโมทนา
     
  4. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    อานาปานสติ มีฤทธิ์ไหม แตกต่างจากกสิณแบบไหน
    กสิณ แตกต่างจากอานาปานสติ แบบไหน
    ท่านให้ทำอันไหนก่อน สำหรับคนที่ไม่ต้องการหลุดพ้น บางท่านทำไมต้องจับอานาปานสติก่อน แล้วค่อยทำกสิณ ทำกสิณก่อนอานาปานสติได้หรือไม่ ที่ว่ากสิณเป็นสมาธิได้ฌาณเร็วนั้น เพราะอะไร มีเคล็ดไหม
    ทำไมพรพุทธเจ้าสรรเสริญอานาปานติ และทำไมต้องจัดลำดับกสิณไว้ก่อน เพราะเป็นสมาธิเร็ว
    หรือว่ากรรมฐานทุกกอง ฝึกสติ ให้มาก แล้วจะเข้าสมาธิได้ กสิณฝึกสำเร็จแล้ว จะได้สติ มากกว่า อานาปานสติหรือไม่
    และวิชาใช้หมัดชกคนอยู่ไกล ๆ กระเด็น เหวี่ยงหมัด ชก ได้ตามใจนึก และปลุกคนที่สักยันต์ให้ ของขึ้น ตามลายสักย์ เพื่อมาช่วยเรา ทำยังไงครับ อยากรู้ ไม่อยากทำ กลัวจะเป็นมิจฉาทิฐิครับ
    อนุโมทนาครับท่าน อานิสงส์นี้จงดลให้พุทธภูมทุกหน่อ อย่าได้ลาพุทธภูมิเลย ทุกรูปทุกนาม จงสิ้นกิเลส ทุกท่านเทอญ ฮ่า ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickas ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทูที่ได้กรุณาอธิบายให้เข้าใจนะครับ เดี๋ยวขอผมลองกลับไปปฏิบัติเพื่อทบทวนดูอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างที่ท่านเจ้าของกระทู้อธิบายไว้อย่างนั้นหรือเปล่า

    ที่ผ่านมามัวแต่ไปยึดติดว่าจะต้องผ่านอาการปิติก่อน ถึงจะขึ้นไปถึงฌาณชั้นต่างๆได้ ก็เลยคิดว่าอาการที่เป็นอยู่ คือลมหายใจดับ ประสาทสัมผัสดับ เป็นกับดักทางจิตอย่างหนึ่งเหมือนพวกนิมิตต่างๆ เพราะพวกนิมิตต่างๆที่เกิดในระหว่างนั้น เช่นเสียงสวดมนต์ เสียงดนตรี กลิ่นหอม กลิ่นเหม็นเน่า ภาพต่างๆ ผมตัดทิ้งไปหมด ไม่สนใจ มุ่งเอาลมหายใจอย่างเดียว เหลืออาการอย่างที่ว่านี่เท่านั้นที่ตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือตัดทิ้งดี พอดีท่านเจ้าของกระทู้อธิบายมาก็เข้าใจขึ้นครับ

    แต่ว่าอย่างนี้เป็นการเข้าฌาณที่พรวดพราดไปหน่อย ไม่มีความนุ่มนวลเอาเลย

    วิธีการเข้าฌาณนี่ แล้วแต่บุคคลครับ ไม่มีรูปแบบตายตัว บางท่านเร็ว บางท่านค่อยๆเคลื่อนจิตไปทีละขั้น แล้วแต่ลักษณะของจิตคัรบ

    สิ่งที่อยากขอเรียนถามต่อคือ ทำอย่างไรถึงจะควบคุมการเข้าฌาณได้ล่ะครับ จับจุดอารมณ์ตรงไหนได้ว่า ตรงนี้เป็นฌาณ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 เผื่อบางที่ ผมอยากจะไล่ฌาณเล่นแก้กลุ้มบ้าง เป็น 1234 4321 3142 2431 อะไรพวกนี้ ถ้าจะทำอย่างนี้ให้ได้ ต้องฝึกอย่างไรครับ และต้องใช้เวลานานไหมครับ กว่าจะทำได้ (ที่มีวัตถุประสงค์อย่างนี้ เพราะสนใจเรื่องการอธิษฐานฤทธิ์ต่างๆ น่ะครับ )

    จริงๆ เราลองฝึกทรงฌาณ4ให้ได้ตลอดเวลาดูก็ได้ครับ คือลมหายใจดับได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะลหับตา ลืมตา ทำงานอยู่ ลมหายใจดับได้ตลอด
    ถ้าทำได้แบบนั้น ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ ในขั้นของสมถะ
    ส่วนการดูว่าตอนนี้เราอยู่ฌาณอะไรนั้น
    จริงๆแล้วฌาณ จะว่า 1 2 3 4 เป้ะๆ ก็ไม่ได้ครับ ได้แค่ว่าอยู่ในประมาณช่วงนั้นๆ
    มันเหมือนเรากำลังดำน้ำ เราดำน้ำลึกนิดๆ ลึกกลางๆ ลึกกลางนิดๆ ลึกมาก ลึกมากๆ
    มันมีลำดับขั้นที่ซอยย่อยละเอียดเข้าไปอีก

    ดังนั้นเกณฑ์หลักๆสองตัว ในการวัดระดับสมาธิของขั้นของการจับลมหายใจนั้น ผมอยากให้ดูที่
    1.ความสบายใจของใจ 2.ลมหายใจสั้นหรือยาว หรือหยุด
    ยิ่งใจสบายมาก ยิ่งลมหายใจเบามาก ละเอียดมาก ลื่นไหลมากเท่าไหร่ จนไม่หายใจ
    ยิ่งมีความสุขมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นฌาณสุงเท่านั้นครับ

    ถ้าเอาหยาบลงมาหน่อย
    ฌาณ1ลมหายใจ ลื่นไหลต่อเนื่อง ใจเกิดความสบาย จิตไม่ติดขัด ไม่สะดุด
    ฌาณ2ลมหายใจ ยาว และหายใจเข้าไป ซักพักจึงจะหายใจออก
    ฌาณ3ลมหายใจเหลือเท่าเม็ดถั่ว คือหายใจนิดเดียว แล้วทิ้งช่วงนานๆ จะหายใจซักที
    ฌาณ4ลมหายใจ เบาจนหายไป คล้ายกับไม่หายใจ เหลือแต่ความสบายของใจ

    แล้วสงสัยว่าถ้าในอดีตชาติก่อนๆ ถ้าเราเคยได้เรื่องฤทธิ์ต่างๆ มาก่อนนี่ ถ้าทรงฌาณ 4 ไปอย่างต่อเนื่อง ของเก่ามีโอกาสกลับมาไหมครับ หรือต้องฝึกใหม่ลูกเดียว ไม่ว่าจะเคยได้มาก่อนแล้วหรือไม่เคยได้มาก่อนเลยก็ตาม

    ที่ทุกๆคนฝึกอยู่ตอนนี้เป็นการต่อยอดของเก่าทั้งหมดครับ
    บางท่านเคยฝึกมาเยอะกาลก่อน สะกิดนิดเดียวก็กลับมาหมด อันนี้แล้วแต่บุคคลครับ

    แต่ถ้าไม่เคยฝึกมาก่อนเลย ก็คงไม่สนใจพระศาสนาตั้งแต่แรกแล้วครับ
    หลวงพ่อฤาษีท่านได้สอนว่า หากบุคคลใดทรงฌาณ4จริงๆจังๆ ติดต่อกัน3เดือน ทุกอย่างจะกลับมารวมตัวเองครับ
    แต่ว่าของแต่ละอย่างก็ใช้เวลาในการรวมตัวช้าเร็วไม่เท่ากัน ถ้าอภิญญานี่ยังต้องรอไปก่อนครับ
    ส่วนถ้าเป็นพวกญาณ รู้เห็นต่างๆนั้น 3เดือนก็รวมตัวใช้ได้พอประมาณครับ ถ้าตั้งใจทรงฌาณจริงๆ
    ถ้าเอาให้เข้าใจง่ายๆ ฌาณ ก็คือ อารมณ์สบาย ใจมีความสุข
    คือ ถ้าเรามีความสุขจากสมาธิติดต่อกันได้สามเดือน ญาณต่างๆก็จะมาเอง
    แค่มีความสุขจากสมาธิให้ได้ติดต่อกันสามเดือนครับ

    ในเรื่องของอรูปฌาณ จริงๆแล้วสนใจในสภาวะของฌาณ 8 มากครับ แต่ถ้าฝึกไปก็กลัวว่า ถ้าเกิดเป็นอะไรไปในช่วงของฌาณ 8 คงต้องไปอรูปพรหมลูกเดียว ตรงนี้ที่กลัวคือว่าอรูปพรหมระดับนี้จะสามารถฝึกอะไรต่อได้ไหมครับ ถ้าฝึกไม่ได้เพราะปิดอายตนะต่างๆหมดแล้ว ก็อันตรายทีเดียว เพราะอยู่อย่างนั้นก็กินแต่ของเก่า ถ้าของดีหมดไป เหลือแต่บาป คงต้องไปอบายภูมิลูกเดียว น่ากลัวครับ

    ก่อนฝึกเราต้องเราต้องนึกถึงพระครับ แล้วตั้งกำลังใจเอาไว้ก่อนครับ ว่า
    สภาวะของอรูปฌาณ ไม่ใช่พระนิพพาน และเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์จากการที่เราไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากเสวยบุญที่ทำมาจนหมด
    ดังนั้นเราฝึกอรูปฌาณ เพียงเพื่อให้จิตได้พักผ่อนแบะเพื่อคุณวิเศษในพระพุทธศาสนา มีปฏิสัมภิทาญาณทั้ง4เป็นที่สุด
    หากข้าพเจ้าตายในขณะที่ฝึกอยู่นี้ ข้าพเจ้าขอไปยังรูปพรหมโลก
    หรือพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    จริงๆแล้วการไปเกิดเป็นอรูปพรหมถ้าเราคิดไว้ก่อนว่าไม่อยากไป มันก็จะไม่ไปครับ
    ส่วนมากที่ไปเนี่ย เกิดจากการหลงผิดว่าอรูปคือ พระนิพพาน ทำให้ตั้งจิตว่าต้องการจะเป็นอรูปพรหม
    แต่ถ้าเราไม่อยากจะเป็น แต่ทรงฌาณเอาไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ก็จะไม่เผลอพลาดไปเป็นอรูปพรหมครับ
    แต่ทั้งนี้เราก็ควรอธิษฐานกันเอาไว้อีกชั้น ในลักษณะข้างบนครับ
    ถ้าเผลอไปจริงๆพระท่านจะช่วยดึงจิตเอาไว้ให้ครับ ก็จะอยู่ที่รูปพรหมปรกติแทน

    อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้กำลังสนใจฝึกด้านมโนมยิทธิอยู่ครับ แต่ไม่ได้ไปฝึกกับครู เพราะไม่ค่อยสะดวก เลยฝึกเองที่บ้านอาศัยดูตำราเอา ไม่มีครูนำทางให้ เกิดปัญหาครับ เพราะการฝึกนี้ต้องอาศัยการวิปัสสนาเข้าร่วมด้วย ที่ผ่านมาไม่เคยได้ฝึกการวิปัสสนามาก่อน จึงไม่ค่อยเข้าใจนัก อ่านเอกสารแล้วก็ได้แต่นึกคิดเอาเองให้เห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ แต่ยังน้อมนำจิตให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 ไม่ได้เลย การฝึกมโนมยิทธิจึงยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำในเรื่องของวิปัสสนาด้วยครับว่าควรจะฝึกปฏิบัติอย่างไรดีครับ เพื่อให้ได้ผลในเชิงของมโนมยิทธิ

    ผมแนะนำให้ลองฝึกทรงภาพพระให้เป็นเพชร และยิ้มอย่าถึงที่สุดให้ได้ก่อน พอได้แล้วจะง่ายขึ้นเยอะครับ
    ในการฝึกมโนมยิทธิ เราต้องตัดอารมณ์ให้ได้3ข้อดังต่อไปนี้ครับ
    1.เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าให้ถึงที่สุด
    2.มีศีล5บริสุทธิ์ ชั่วขณะ คือ ต่อให้เราทำอาชีพฆ่าสัตว์ แต่ถ้าเรามีศีล5ชั่วขณะ ขณะนั้นก็ใช้มโนมยิทธิได้ครับ
    3.เราตายได้ทุกเมื่อ ถ้าตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพานเท่านั้น ที่อื่นไม่ไป

    อารมณ์2ข้อแรก คือบาทฐานครับ ถ้าไม่มียังไงก็ไปไม่ได้ ไม่มีศีล5 ไม่เคารพพระพุทธเจ้า ยังไงก็ไปไม่ได้
    ส่วนข้อที่สาม คือ อารมณ์ที่จะใช้ทำให้กายทิพย์ออกมาได้

    โดยให้เราเริ่มพิจารณาสองข้อแรกก่อน จนเรามั่นใจว่าเรามีศีล5บริสุทธิ์
    เป็นศีลที่เกิดจากเมตตา คือมีความเมตตามากจนทำร้ายใครไม่ลงยิ่งดีครับ
    และพิจารณาในความดีของพระพุทธเจ้า จนเราเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สุดหัวใจ
    เวลาพิจารณาให้นึกภาพ และใช้จิตน้อมตาม
    เสร็จแล้วก็มาพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงตอนนี้ เราผ่านความทุกข์มากี่ครั้งแล้ว ร้องไห้มากี่ครั้ง ไม่สมหวัง เจออุปสรรคปัญหาต่างๆกี่ครั้ง ไล่ดูไปครับ
    นี่แค่ครึ่งชีวิต นี่แค่ชาติเดียว
    ถ้าตายแล้วเกิดมาอีก ก็ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ใหม่อีก แล้วถ้าเราเกิดเป็นอะไรที่แย่กว่าตอนนี้จะทุกข์ขนาดไหน
    แล้วเราก็มาพิจารณา นึกภาพร่างกายของเรา แล้วดูว่า ถ้าเราลอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนังออก จากร่างกาย มันจะมีความสวยงามหรือไม่น่าปรารถนา
    เสร็จแล้วเราดูเข้าไปในร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ทุกส่วนในร่างกายของเรา สะอาดหรือสกปรก และอวัยวะทุกๆส่วนก็มีโรคของมันเอง
    แล้วมันก็หิวอยู่ได้ทุกวัน ต้องขับถ่ายอยู่ได้ทุกวัน อาบน้ำทำความสะอาดอยู่ทุกวัน
    ถ้าร่างกายในดีจริง ทำไมต้องคอยหาข้าว และอาบน้ำ ให้มันทุกวัน
    แล้วร่างกายของเราไม่น่าปรารถนาขนาดนี้ ยังอยากได้อีกไหมครับ

    ถ้าเกิดมาชาติหน้าต้องมามีร่างกายเช่นนี้อีก
    ถ้าไม่อยากแล้ว เกิดเป็นมนุษย์เราไม่เอาแล้ว ถ้าเป็นเทวดาก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีก เป็นพรหมก็ต้องมาเป็นมนุษย์อีก เราก็ไม่อยาก
    ถ้าตายเมื่อไหร่ เราจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น
    พอตั้งกำลังใจได้แบบนี้
    ให้เราผ่อนคลายร่างกาย ไล่ตั้งแต่ศรีษะจนถึงเท้า ผ่อนคลายให้ครบทุกส่วนของร่างกาย จนจิตใจของเราเกิดความเบาสบาย ร่างกายผ่อนคลายทุกส่วน
    คราวนี้ให้เราตั้งจิต ขอบารมีพระท่านว่า ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์ยกอาทสมานกายของข้าพเจ้านี้ขึ้นสู่ยังพระนิพพานด้วยเทอญ

    เสร็จแล้วผ่อนคลาย ทำใจสบายๆ เดี้ยวจะไปเองครับ จะรู้สึกว่าเบา และคล้ายกับลอยขึ้นไป
    หลักชัยอยู่ที่ภาพพระครับ ขอให้เห็นสภาวะของพระพุทธเจ้า บนพระนิพพาน แล้วภาพจะปรากฏขึ้นมาครับ
    พอเห็นแล้วให้เราจดจำเอาไว้ และอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ด้วย
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระบนพระนิพพานนี้ ได้ทุกครั้งทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ อธิษฐานย้ำไปสามครั้งครับ
    ลองทำจนเห็นภาพพระข้างบนให้ได้ก่อนครับ

    ฝึกเองนี่ไม่ง่ายเลยครับ ขั้นตอนเยอะมาก แนะนำให้เปิดเทป แล้วใช้จิตตามไปเรื่อยๆครับ
    จะมีไฟล์เสียงที่หลวงพ่อท่านเคยสอนมโนมยิทธิอยู่ครับ รู้สึกจะอยู่ในหมวดที่ท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ คณะใดคณะหนึ่งครับ

    ขอให้สามารถทรงคุณวิเศษทุกประการในพระพุทธศาสนาได้ดังที่ปรารถนา และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    อยากทราบความแตกต่างของอารมร์ระหว่าง ฌาณใช้งาน กับ ฌาณไม่ใช้งาน(ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือทรงอารมณ์)

    ฌาณใช้งานนั้น เราลืมตาอยู่ เดินอยู่ ก็ทรงก็เข้าได้ ประคองได้ตลอด
    อารมณ์ก็คือ ลมหายใจดับคล้ายกับไม่หายใจ ใจเกิดความสบาย
    ยังรับรู้การได้ยิน ได้กลิ่น ได้ทั้งหมด เพียงแต่ใจจะไม่เกิดความรำคาญในสิ่งเหล่านั้น
    เขาด่าเรา เราได้ยิน แต่ไม่รำคาญ

    ส่วนฌาณไม่ใช้งานนั้น จิตกับกายจะแยกจากกัน ทำให้เราควบคุมร่างกายไม่ได้
    นอกจากจะอธิฐานเอาไว้ก่อน เช่น ให้ร่างกายเดินไปทางนี้ หรือว่าทำสิ่งนี้ๆ
    ลักษณะคล้ายเวลาหลับจิตแยกกับกายก็เลยควบคุมร่างกายไม่ได้
    ฌาณไม่ใช้งาน หรือฌาณละเอียด จึงต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วจึงเข้า แต่ถ้าบางท่านคล่องจริงๆ ก็สามารถจะเคลื่อนไหวอยู่ก็เข้าได้ ระดับที่ท่านได้อภิญญา
    ฌาณไม่ใช้งาน จิตจะดิ่งลึกลงไปสว่างโพลงข้างใน จะรู้สึกว่าตัวเรารวมเป็นดวง หรือ ก้อน ลอยอยู่นิ่งๆ เหลือแต่ความสบาย
    จะไม่รับรู้ประสาทางกายทั้งหมด ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้กลิ่น ใครเขาด่าเรา เราจะไม่ได้ยินเลย

    มีพระอาจารย์ท่านเคยบอกว่า ฌาณหยาบก็ใช้อภิญญาได้ แต่ว่าจะประคองได้ไม่ดีเท่าฌาณละเอียด
    ทำให้ได้ทั้งคู่ก็ดีครับ เวลาปรกติเราก็ทรงฌาณใช้งานเอาไว้ตลอด
    ส่วนเวลาหลับก้เข้าฌาณละเอียดไป เท่ากับเราทรงฌาณเอาไว้ได้ตลอดเวลา ในทุกๆอิริยาบถครับ

    ในฌาณละเอียดนั้น ระบบต่างๆของร่างกาย จะทำงานช้าลงยิ่งกว่าฌาณหยาบ จนอาจจะถึงขั้นหยุดไปเลย
    ถ้าเคยได้ยินเรื่องที่พระท่านเข้าฌาณเป็นวันๆ หรือฤาษีท่านถูกฝังดินเป็นอาทิตย์ก็ไม่ตาย
    ลักษณะนี้ก็คือฌาณละเอียดครับ

    ขอให้สามารถทรงได้ทั้งฌาณหยาบ และละเอียดได้ดั่งใจ และมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  7. ธรรมศิล

    ธรรมศิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +800
    1.ถามการนั่งสมาธิครับ เวลานั่งสมาธิจะถึงจุดหนึ่งที่ไม่รู้สึกอะไรเลยที่มือ คือไม่รู้ว่ามือที่วางอยู่ไปอยู่ที่ไหนครับ ต้องลองกระดิกดูถึงจะทราบว่าวางอยู่ที่ตัก<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    2.ถามเรื่องบางครั้งตอนแผ่เมตตาจะพูดภาษาที่แปลไม่ออก คืออะไรครับ
     
  8. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ

    มักจะมีเพื่อน ๆ ที่ปฏิบัติด้วยกัน ถาม เสมอ ๆ ว่า ถึงไหนแล้ว ขั้นไหนแล้ว
    ผมจะตอบทุกครั้งว่า เท่าเดิมมั่ง ไม่รู้มั่ง เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด
    ได้แต่ตอนนู้น ที่ไปฝึกที่ สวนลุม พี่คนที่สอน(ลืมชื่ออีกและตู) เขาแอบดูจิตผม เลยบอกให้ว่า ได้มโนมยิทธิแล้วนิ เหอะ ๆ ๆ ๆ ถ้ามานั่งดูจิตตัวเอง ก็กลัวจะเป็นอุปทาน เข้าข้างตัวเองตลอดเพราะดูที่ไร แม่งใสขาว ทุกที

    ลองใช้มโนยิทธิดูนู้น ดูนี้ ก็ไม่ชัวร์เท่าไหร่ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นทิพย์นะครับ เช่น รถที่จะผ่านสีอะไร อะไรประมาณนี้

    บางครั้งก็ลอง เปิดตำรา(เวปท่าขนุน) ไปท่องนรก เอาแค่ชื่อขุม ขอบารมีพระไป เห็นเป็นยังไงค่อยมาดู เนื้อหาว่า ตรงกันเปล่า ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องสักไหร่

    ก็เลยนั่ง สมาธิ ขึ้นไปกราบพระ กับให้ท่านสอน พิจารณาร่างกาย ตัดนู้น ตัดนี้ เกี่ยวกับ ตัดกิเลส สะมากกว่าครับ

    รบกวนถามครับ
    1. การปฏิบัิติ มีเครื่องวัดด้วยหรือว่าถึงระดับไหน อย่างไร พิสูจน์ได้อย่างไร
    2. กสิณที่ว่าได้ หรือไม่ได้ อยู่ที่ สามารถ อธิฐานฤทธิ์ เท่านั้นหรือเปล่า (ผมใช้เป็นกำลังให้เป็นสมาธิลอง อธิฐานฤทธิ์ก็มิได้เกิดผลใด ๆ คิดว่าน่านะวางกำลังใจไม่ถูก)
    3. บางครั้งผมก็ สับสน งง ๆ เหมือนกัน ว่าตอนนี้นั่งถึง ณาญไหน คือไม่สามารถแยะแยกอารมร์ได้ชัดเจนเท่าที่ควร เป็นเพราะว่ามันชินหรือเปล่าเลยไม่เห็นความต่างของกำลังจิต

    สุดท้่ายนี้ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเิกินไป ดูจิต ผมให้ด้วยนะครับ เพราะบางครั้งก็เหมือนไม่ติดอะไร แต่มันก็ไปต่อไม่ถูก แต่มันก็ทำของมันไปเรื่อย ๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะถามอะไร

    สรุปง่าย ๆ ไม่รู้ตัวครับ ประมาณว่า อ้าวได้แล้วหรอ อุปทานมากกว่า ฝึก ย้ำ ๆ จุดเดิม ทบทวนเรื่อย ๆ อะครับ

    ขอบคุณครับ (งง ตัวเองเหมือนกัน)
     
  9. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ลมหายใจหาย ประสาทสัมผัสหาย จิตเลือนหายไปด้วย จะเป็นขั้นละเอียดยิ่งขึ้นหรือไม่?

    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่กรุณาแนะนำครับ ระหว่างนี้ก็ลองไปปฏิบัติทบทวนไปเรื่อย เรื่องอรูปฌาณที่ได้กรุณาแนะนำไว้ใน "ของขวัญวันพ่อ" น่าสนใจครับ แต่ใจยังสนใจในเรื่องของรูปฌาณอยู่ เนื่องจากมีอะไรให้ทดลองอีกเยอะ เลยลองเล่นไปเรื่อยๆก่อน

    เคยสงสัยว่าในสภาวะลมหายใจหาย ประสาทสัมผัสหาย เหลือแต่จิตโดดๆนี่ แล้วจิตยึดถืออะไรเป็นอารมณ์ จึงทดลองใหม่อีกครั้ง ว่าจิตจะไปได้ลึกถึงแค่ไหนกับสภาวะอย่างนี้ ขณะที่ถึงลมหายใจหาย ประสาทสัมผัสหาย เหลือแต่จิตเปล่าๆนี้ เลยลองเพิกถอนความรู้สึกของการมีอยู่ของจิตออกไปเสีย ไม่สนใจการมีอยู่ของจิต ปรากฎว่าจิตมันเลยเถิด เตลิดไปไกลกว่าที่คาดไว้เยอะ ชั่วขณะหนึ่งสั้นๆ มีความรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหลืออะไรเลย ลมหายใจก็ไม่มี ประสาทสัมผัสก็ไม่มี จิตก็ไม่มี รอบข้างเวิ้งว้าง ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย เหมือนอยู่ในที่โล่งๆ ขาวโพลนไปหมด อาณาเขตกว้างไกลไม่สิ้นสุด ตกใจครับ สมาธิเลยถอย ไปจับลมหายใจ คำภาวนาตามเดิม (ถอยไปไกลเลยครับ)

    สรุปว่ายังทดลองไม่ไ้ด้เรื่องไม่ได้ราวอยู่เช่นเดิม ว่าในสภาวะลมหายใจหาย ประสาทสัมผัสหาย เหลือแต่จิตนี้ จิตยึดถืออะไรเป็นอารมณ์ ซึ่งผมคิดว่าต้องมีอะไรเป็นอารมณ์สักอย่างหนึ่ง เพราะขึ้นชื่อว่ารูปฌาณนั้น ย่อมต้องมีรูปเป็นอารมณ์ใช่ไหมครับ เห็นทีผมคงต้องทดลองต่อไปอีกเรื่อยๆ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้อย่างยิ่งครับ ที่ได้กรุณาสละเวลามาให้คำอธิบายอยู่ตลอด ในขณะนี้คงจะไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้ว ขอน้อมนำเอาคำแนะนำของท่านไปฝึกปฏิบัติต่อไปครับ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ suthipongnuy ครับ

    สวัสดีครับคุณ Xorce กราบขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำครับ ตอนนี้ก็กำลังพยายามทำตามคำแนะนำ ค่อยๆทำไปเรื่อยๆครับ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกได้ว่าการปฏิบัติกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคุณ Xorce ได้แนะนำให้อธิฐานปักหมุดไว้ ทำให้เวลาทำสมาธิจิตรวมเร็วกว่าเดิม และทรงตัวได้นานขึ้นครับ แต่ก็มีข้อสงสัยจากการปฏิบัติ จึงขอเรียนถามเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และเพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติครับ

    1. บางวันในตอนทำงาน รู้สึกว่ามีอารมณ์ปกติ นิ่ง เงียบ สงบ คิดอะไรไม่ค่อยออก เหมือนจะยิ้มๆจากข้างใน นั่งทำงานไปยิ้มไป ปกติผมเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจา ออกจะหน้าบึ้งอยู่นิดๆ ทำนองเคร่งขรึมครับ ตามความเข้าใจของผมในลักษณะนี้ถือว่าอารมณ์ทรงตัวอยู่ในฌานหรือปล่าวครับ ถ้าใช่ผมจะได้จำอารมณ์นี้ไว้

    ถ้าจิตยิ้มเป็น ก็เป็นฌาณครับ แต่ถ้าเริ่มเคร่งขรึมเกินไป หรือเริ่มหน้าบึ้งแปลว่า เริ่มอารมณ์หนักครับ
    ให้ผ่อนใจให้สบายนิดนึงครับ
    เวลาจิตเป็นฌาณ เราจะรู้สึกได้ถึงความสงบ นิ่ง รวมตัวของจิต
    แม้ว่าเราจะทำงานอยู่ เราก็สามารถจะทรงเอาไว้ได้
    ความคิดที่ออกมาเวลาทำงาน ก็จะออกมาจากจิตที่สงบนิ่ง คิดจากความนิ่ง
    ไม่ใช่ความคิดที่เกิดจากอารมณ์ที่ซัดส่ายไปมา
    และจิตมีความยิ้มแย้ม มีความสุขจากภายใน เป็นลักษณะที่สำคัญของฌาณ
    ถ้าจิตเป็นฌาณจิตจะยิ้มจากภายใน จนรอยยิ้มจากภายในฉายออกมาสู่กายภายนอกครับ
    ยิ่งใจยิ้มมากเท่าไหร่ยิ่งดีครับ

    2. ตอนทำสมาธิ ในช่วงที่ลมหายใจจะหายไป รู้สึกเหมือนลมหายใจค่อยๆสั้นลงๆ แล้วก็หายไป พยายามทำใจให้ยอมรับ แต่ร่างกายก็ไม่ทำตามคือมันพยายามจะหายใจต่อไปให้ได้ บางครั้งมีอาการกุกกักๆ ยื้อกันไปมา บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองกลั้นหายใจไปเองเพราะรู้สึกหน้าจะออกร้อนๆเหมือนขาดอากาศ ผมคิดว่าผมคงวางอารมณ์หนักไป คือไปใส่ใจกับลมหายใจมากเกินไป และคงอยากจะได้ฌาน4เพราะรู้ขั้นตอนในเข้า เนื่องจากแต่ก่อนผมคิดว่าผมยังไม่ได้ฌาน4 ก็ทำไปเรื่อยๆโดยไม่มีความอยาก และก่อนหน้าที่ผมจะเน้นดูลม ผมจะบริกรรมพุทโธๆ เร็วๆ โดยไม่สนใจลม แต่หลังจากที่เน้นดูลม ก็เกิดอาการแบบนี้ครับ (คำถามอาจสับสนหน่อย เพราะผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจครับ )

    หลักทุกอย่างอยู่ที่ใจสบายครับ หาอารมณ์ที่สบายให้เจอ แล้วรักษาให้ได้ตลอดไป
    ก่อนอื่นให้เราตั้งกำลังใจใหม่ว่า เราไม่ได้ทำสมาธิเพื่อฌาณ4
    แต่เราทำเพื่อความสบายใจ ถ้าใจสบายเมื่อไหร่ ถือว่าเราได้ตามเป้าหมายแล้วครับ
    แล้วพอใจเราสบาย มันจะเป็นฌาณ4เองครับ ถ้าเราไปตั้งเป้าที่ฌาณ4 มันจะบีบคั้นตัวเองมากไป

    เสร็จแล้วให้เราทำความรู้สึกว่าผ่อนคลายจากร่างกายครับ
    ผ่อนคลายร่างกายทุกๆส่วน ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ไล่คอ มือ เท้า แขน ขา ลำตัวท่อนบน ท่อนล่าง
    ผ่อนคลาย คลายจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ คลายจากอาการเกร็งทุกๆอย่าง
    ให้เราผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับการจับลมหายใจ
    พอเราผ่อนคลายกล้ามเนื้อของเรา ทั้งร่างกายแล้ว ให้เราหันมาผ่อนคลายที่ใจของเรา
    ผ่อนคลายจากความอยากได้ สมาธิขั้นนั้น ขั้นนี้ ผ่อนคลาย เรื่องที่คาใจของเรา
    พอเราผ่อนคลายทั้งกายและ ใจ ของเรา อย่างถึงที่สุดแล้ว จิตจะเกิดความสบาย
    ลมหายใจจะหยุดนิ่ง จิตจะหยุดคิด เพราะผ่อนคลายจากความคิดก็ไม่เหลืออะไรให้คิด จะเหลือแต่ความสบายใจ ให้เราสัมผัส

    ในการทำสมาธิ และศาสตร์ทางตะวันอออกทุกๆศาสตร์ เคล็ดลับอยู่ที่การผ่อนคลายครับ
    ยิ่งเราผ่อนคลาย ทั้งกายและใจได้มากเท่าไหร่ สมาธิจะยิ่งดีเท่านั้นครับ
    เวลาที่ทำสมาธิครั้งแรกๆ ผมจึงอยากจะให้นั่งเก้าอี้ นั่งบนเบาะ มีกำแพงให้พิง ไม่ก็นอนไปเลยครับ
    เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายมากที่สุด พอร่างกายผ่อนคลายแล้ว จิตจะเป็นสมาธิทันทีครับ
    ลองนำไปทำดูครับ

    3. ตอนที่บวชในเดือนแรก ครูบาอาจารย์ท่านดุผมว่าเป็นขึ้โลภกรรมฐาน เพราะว่าทำอันนี้ยังไม่ได้ ก็หันไปทำอันอื่น สรุปว่าไม่ได้ดีสักอย่าง เหมือนการปลูกต้นไม้ ปลูกวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาผลมากินซะแล้ว หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้ตรงนี้ไม่โต ก็ย้ายไปปลูกที่อื่น ย้ายไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหี่ยวตาย เหมือนกับในตอนนี้ครับ เพราะบางทีผมก็ใช้คำบริกรรมพุทโธเร็วๆ บางทีก็ดูลมหายใจ บางทีก็พยายามจับภาพพระ ในแต่ละวันไม่ซ้ำแบบกันเลย คือถ้าผมใช้วิธีใดวิธีหนึ่งแล้วไม่ได้ผล ผมก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนได้จุดที่จิตสงบ ผมทำแบบนี้จะมีผลอะไรหรือปล่าวครับ

    เป็นการแก้ผิดที่ครับ คุณต้องแก้ที่ความเพียรเยอะไปครับ
    เวลาพยายามจะพยายามมากเกินไป
    ซึ่งความพยายามให้สงบ ให้ได้สมาธิ ให้ได้บรรลุเร็วๆนั่นเอง ที่ทำให้ไม่สงบซะที
    วิธีแก้ก็คือ ตั้งกำลังใจใหม่ครับ อย่างที่บอกว่า
    ให้ทำสมาธิเพื่อให้ใจสบาย ถ้าใจสบาย ถือว่าวันนั้นเราฝึกแล้วได้ผลครับ
    แล้วก็ต้องมาเน้นผ่อนคลายร่างกายครับ บางครั้งร่างกายมันเกร็ง หรือเครียดโดยไม่ทันรู้ตัว
    ก็จะทำให้จิตไม่สงบได้ครับ

    ลักษณะจิตแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
    ข้อดีก็คือ ถ้าได้อารมณ์สมาธิที่ถูกแล้ว จะทรงสมาธิไม่ยอมเลิกตลอดไป
    ข้อเสียก็คือ ต้องใช้เวลาหาอารมณ์ที่สบาย ให้เจอในครั้งแรกนานพอสมควร

    พอเรารู้แล้วว่าข้อเสียคือ ความเพียรเยอะไป เราก็ต้องลดมันลงครับ
    ให้เป็นทางสายกลาง ให้อยู่ในระดับที่สบาย ไม่บีบคั้นตัวเองมากจนเกินไปครับ

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์ใจที่มีความเบาสบาย และประคองรักษาเอาไว้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  11. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    อนุโมทนาสาธุในความรู้ทั้งหลายค่ะ ตัวเองมีข้อสงสัยตั้งหลายข้อ แต่พออ่านกระทู้นี้แล้ว มีคำเฉลยหมดเลยค่ะ เลยไม่รู้จะถามอะไรแล้ว แล้วจะกลับมาอ่านบ่อย ๆ นะคะ ขอบพระคุณท่านทุกคนมาก ๆ ค่ะ +++++++++
     
  12. CANABICHI

    CANABICHI สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    พบทางออก!!!!!!(ช่วยชี้แนะด้วยคับ)

    ทางออกที่ว่านี้ มีพื้นฐานจากการนั่งสมาธิและการศึกษาตำรา(หนังสือธรรมะ) ปฏิบัติอยู่หลายวิธี จนในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตถึงจุดที่เป็นทุกข์ และได้รับรู้สภาวะที่กดดันเกินกว่าจะรับได้ จิตใจจึงนึกถึงธรรมะที่เคยศึกษาและปฏิบัติมาในขณะนั้น ผมได้พิจารณาถึงหลักธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ คือหลัก อริยสัจ 4 คือ
    ทุกข์ หมายถึง ทุกข์จริงๆ
    สมุทัย หมายถึง เหตุให้เกิดทุกข์จริงๆ
    นิโรธ หมายถึง ทางดับทุกข์จริงๆ
    มรรค หมายถึง ไปให้ถึงทางดับทุกข์จริงๆ
    และเมื่อพิจารณาครบ ผมได้พิจารณา โลกธรรม 8 คือ
    มีลาภ มีเสื่อมลาภ
    มียศ มีเสื่อมยศ
    มียกย่อง มีนินทา
    มีทุกข์ มีสุข
    ทันใดนั้น ผมรู้สึกโล่ง สบาย อย่างบอกไม่ถูก จิตได้ยินเสียงเปิดประตูและไก่ขัน(เสียงไพเราะจับใจ) ดวงตาที่กำลังหลับอยู่ได้พบแสงสว่างมากๆ จมูกหายใจโล่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึก กายเย็น พอลืมตาขึ้นมาเหมือนไม่ติดขัด ไม่สงสัย ไม่กังวลเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นไปบนโลก

    ป.ล สมาชิกใหม่
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ foxiikizz ครับ

    รบกวนถามบ้างนะคะ คือว่าก่อนนอนจะภาวนา นะมะพะธะ หรือไม่ก็ นะโมพุทธายะ แล้วสักพักนึง เห็นเป็นวงกลมสีขาวระยะใกล้จนติดลูกตา

    อันนี้เป็นกสิณ ที่เราเคยทำเอาไว้ครับ

    แล้วก็ไกลออกไประดับสายตาและก็เห็นเป็นผู้หญิงเกล้าผม นุ่งขาวห่มขาว มายื่นวงกลมๆนั้นให้เราน่ะค่ะ แล้วก็หายไป
    หรือบางที จะรู้สึกตัวเราอยู่ในอวกาศ ลอยๆ ไร้แรงโน้มถ่วง หมุนๆบ้าง หรือไม่ก็ร้องไห้ออกมาเอง

    พวกนี้เป็นปีติครับ

    คืออยากทราบว่า พอหลังจากนี้น่ะค่ะ เราควรจะทำอะไรต่อไปดีคะ ภาวนาไปเรื่อยๆหรือป่าวคะ

    พื้นสมาธิค่อนข้างดีอยู่แล้ว เคยรู้เหตุล่วงหน้าบ่อยไหมครับ
    แต่ยังไม่ได้จัดระบบระเบียบของสมาธิ คือยังไม่รู้ว่า ทำขั้นนี้เพื่ออะไร หรือว่าจะไปเจออะไรต่อไป
    ล้วจุดเป้าหมายที่ต้องการจากการทำสมาธิแต่ละประเภทคืออะไร เดี้ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ


    ส่วนตัวอยากทำแบบจับลมหายใจ แต่ว่า เหมือนเสียงหัวใจเต้นมันเต้นดังและก็แรงมากน่ะค่ะ เลยไม่มีสมาธิ จากจับลมหายใจกลายเป็นไปนับเสียงหัวใจเมื่อไรไม่รู้

    อันนี้เกิดจากใช้จิตเพ่งจับลมหายใจ หนักเกินไป หรือแรงเกินไปครับ
    ต้องผ่อนคลาย แล้วใช้จิตสัมผัสความเบาเย็นของลมหายใจสบายๆ อย่าจับแบบจดจ่อเกินไปครับ
    ต้องให้รู้สึกถึง ความลื่นไหล นุ่มนวล เบาสบาย ชุ่มเย็นของลมหายใจ
    ถ้าสัมผัสได้ถึงความสบายของลมหายใจ จะไม่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่แรงจนรบกวนเราครับ

    อยากให้ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ จะภาวนาไปเรื่อยๆแบบนี้ได้ไหมคะ แล้วจะภาวณาว่าอย่างไรดีคะ เพราะบางทีก็แอบเอาบทสวดมนต์มาภาวนาน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าผิดไหมคะ คือว่าอยากจะให้สมาธิตัวเองก้าวหน้าไปเรื่อยๆน่ะค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    ก่อนอื่นเราต้องการอะไรจากการทำสมาธิบ้าง ความสงบ ญาณรู้เห็น ที่เรียกว่า ตาทิพย์
    มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ อิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้
    รู้ทุกอย่างในพระไตรปิฎกอย่างละเอียดลึกซึ้งพิศดาร พูดได้ทุกภาษา คุยกับสัตว์รู้เรื่อง และการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    เราปรารถนาอะไรบ้างจากการฝึกสมาธิ
    อยากเห็นอดีต อนาคตของตัวเองด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาดูให้เรา ไหมครับ

    ความสงบนี่แน่นอน แล้วญาณ รู้เห็น เห็นนรกสวรรค์ อดีต อนาคต เห็นวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดได้ อยากได้ด้วยไหมครับ

    พอเรารู้แล้วว่าเราปรารถนาอะไร เราก็ฝึกเพื่อให้ได้ในสิ่งนั้น

    วัตถุประสงค์หลักๆของการภาวนา นะ มะ พะ ธะ นะโมพุทธายะ
    1.ใช้ภาวนาควบกับการจับลมหายใจ จนลมหายใจมีความลื่นไหลเบาสบาย และลมหายใจหยุดไปในที่สุด จนหยุดนิ่ง หยุดคิด ปราศจากความคิด เหลือแต่ความเบาสบายของจิตใจ
    2.ใช้เป็นบาทฐานของการฝึกมโนมยิทธิ เพื่อให้เกิดฤทธิ์ทางใจ ใช้ใจไปเที่ยวนรก สวรรค์ พระนิพพานได้
    3.เพื่อให้บุญบารมีเก่าในทางญาณทัศนะ และอิทธิฤทธิ์รวมตัว
    เพราะคาถา นะมะพะธะ แปลว่าธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ และยังผูกความหมายว่า นมัสการพระพุทธเจ้า
    ส่วน นะโมพุทธายะ ก็คือพระนามของพระพุทธเจ้าในกัปนี้ 5 พระองค์
    นะ พระกุกุกสันโธ โม พระโกนาคม พุท พระพุทธกัสสปะ ธา พระสมณโคดม และยะ พระศรีอริยเมตตรัย
    และยังหมายถึง ธาตุ5 ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศธาตุ
    นมัสการพระพุทธเจ้า พร้อมๆ กับระลึกถึงธาตุทั้ง4 จึงเกิดเป็นฤทธิขึ้นมาได้

    คนสมัยโบราณท่านมีความฉลาด หากปรารถนาอิทธิฤทธิ์ ทำไมไม่ภาวนา ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ฝึกกสิณตามปกติ
    ทำไมต้อง นะมะพะธะ ก็เพื่อให้ฤทธิ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากบารมีของพระพุทธเจ้า
    ซึ่งจะทำให้เป็นสัมมาอภิญญา เป็นอภิญญาที่เกิดจากจิตที่เคารพพระพุทธเจ้า
    จิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นอภิญญาฤทธิ์ที่นำมาช่วยเหลือผู้อื่น
    ไม่ใช่สักแต่มีฤทธิ์ แต่ต้องมีฤทธิ์ที่เกิดจากความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัยด้วย

    วัตถุประสงค์ของการจับลมหายใจ
    1.เพื่อให้จิตใจได้พักผ่อน เข้าถึงซึ่งความสงบ ซึ่งฌาณ4
    ฌาณ4ก็คือ ใจมีความเบาสบาย มีความสุขมาก จนร่างกายหายใจน้อยลง
    จนหยุด ไม่หายใจ ยิ่งจิตสบายมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหายใจน้อยลงเท่านั้น
    2.การจับลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง ถ้าได้ฌาณ4จากการจับลมหายใจ
    ก็จะสามารถทำให้กรรมฐานกองอื่นๆ เช่น กสิณ อรูป สำเร็จได้แทบจะในทันทีที่เริ่มฝึก

    ส่วนลูกแก้วสีขาว ที่เห็นนั้น คือ กสิณ
    วัตถุประสงค์ของการฝึกกสิณ ก็คือ
    1.เพื่อให้จิตสงบเป็น ฌาณ4 เช่นกัน ฌาณ4ในกสิณ ลมหายใจจะเบาลงจนหยุดไม่หายใจ
    ภาพของลูกแก้วสีขาวจะเปลี่ยนเป็นเพชรใส ประกายพรึก มีประกายระยิบระยับ รัศมีเพชรเปล่งออกจากดวงเพชร
    เพื่อให้สมบูรณ์เราจะต้องแผ่รัศมีเพชรจากลูกเพชรนั้น ให้ส่องสว่างระยิบระยับ
    กระจายไปยังทั้งจักรวาล เห็นทุกอย่างว่าเป็นเพชรไปหมดด้วย

    2.กสิณเป็นบาทฐาน ของญาณทัศนะ และอภิญญา
    สามารถจะทำให้เราเห็นนรก สวรรค์ พระนิพพานได้ด้วยจิตของเรา
    และเป็นบาทฐานของอิทธิฤทธิ์ได้ต่อไป

    พอเราทราบวัตถุประสงค์ของการฝึกแต่ละอย่างแล้ว
    ในขั้นแรกนั้น การจับลมหายใจก็ดี ภาวนา นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ หรือว่าสวดมนต์ก็ดี
    สิ่งที่เราต้องการก็คือ ให้ใจเกิดความสบาย เกิดความรู้สึกเป็นสุข ความสบายใจ แช่มชื่นใจ
    จนกระทั่งลมหายใจช้าลง เบาลง จนหยุดไป นิ่ง คล้ายกับไม่หายใจ
    จิตเกิดความสบายเป็นสุข นิ่ง ไม่มีคำภาวนา ไม่มีลมหายใจ มีแต่ความนิ่ง เบาสบายของจิต

    ลำดับของสมาธิจะไล่ดังนี้ครับ
    -คำภาวนา กับลมหายใจ
    -คำภาวนาหาย เหลือแต่ลมหายใจ
    -ลมหายใจ ลื่นไหลนุ่มนวล เบาสบาย ช้าลง เบาลง
    -ลมหายใจหยุด คล้ายกับไม่หายใจ

    ในขั้นแรกเอาสภาวะที่จิตหยุดนิ่ง เหลือแต่ความสบาย ให้ได้ก่อนครับ
    โดยให้เราไปปรับอารมณ์ใหม่ ให้ใช้อารมณ์ใจที่เบาสบาย ผ่อนคลาย แล้วเสียงหัวใจจะไม่ดังขึ้นมาครับ

    งั้นจะเริ่มจากการจับลมหายใจก่อนก็แล้วกันนะครับffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ตอนนี้ให้เราลองรู้สึกถึงลมหายใจ <O:p></O:p>
    ที่กระทบบริเวณปลายจมูกของเรา เบาๆ เวลาหายใจเข้า<O:p></O:p>
    กระทบบริเวณปลายจมูกของเราเบาๆ เวลาหายใจออก<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้ง ครับ<O:p></O:p>
    จะรู้สึกถึงลมเบาๆ ที่จมูก สัมผัสถึงอาการกระทบ ความนุ่มนวล ชุ่มเย็น พริ้วไหวของลมหายใจ ไปเรื่อยๆด้วยใจสบายๆ<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสกับความชุ่มเย็นของลมหายใจมาก ใจยิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วเราจะมาต่อกันครับ<O:p></O:p>
    คราวนี้เราจะเพิ่มเป็นสามจุดครับ<O:p></O:p>
    คือให้เรารูสึกถึงลมหายใจที่กระทบจมูกไหลมายังอก และไหลลงไปที่ท้อง<O:p></O:p>
    เวลาหายใจออก ก็จากท้อง มาอก มาจมูกเราจะรูสึกว่าลมหายใจกระทบที่จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก<O:p></O:p>
    เราจะสามารถสัมผัสได้ ถึงความต่อเนื่องของสติในการรับรู้ลมหายใจทีกระทบเบาๆ ที่จมูก อก ท้อง<O:p></O:p>
    สัมผัสความเนียนนุ่ม ชุ่มเย็น พริ้วไหวของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสลมหายใจมาก ใจของเรายิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งอิ่มเอิบอิ่มเอม เติมเต็มมากเท่านั้น<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้งครับ จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คราวนี้จะไปขั้นต่อไปครับให้เราจินตนาการ <O:p></O:p>
    ทำความรู้สึกว่าลมหายใจของเราเป็นแสงสีขาวๆเป็นเส้นสีขาวๆที่ไหลเข้ามา
    ตั้งแต่จมูกตลอดทางจนถึงท้องจากท้องก็ไหลตลอดทางออกมาจนถึงจมูก<O:p></O:p>
    เราจะรู้สึกถึงความลื่นไหลต่อเนื่องของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้งครับ<O:p></O:p>
    จะรู้สึกถึงความนุ่มเนียน ไหลลื่นของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ไหลจากจมูก มาถึงท้อง จากท้องก็ไหลออกมาจนถึงจมูก<O:p></O:p>
    ลมหายใจพริ้วผ่าน พริ้วไหลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งสาย<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสกับความชุ่มเย็น อิ่มเอิบ ของลมหายใจมากเท่าไหร่<O:p></O:p>
    ใจของเรายิ่งรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น พริ้วไหล ลื่นไหล เนียนนุ่ม ชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    จนของเรารู้สึกเบา สบาย ได้พักผ่อนจากความคิด มีแต่ความเบาโล่ง ชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    แล้วประคองความสุขจากความสงบนี้ เอาไว้ซักระยะหนึ่ง ประคองสุข ความอิ่มใจนี้เอาไว้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คราวนี้เราจะไปขั้นต่อไปครับ<O:p></O:p>
    มีชื่อว่า การกักลมและล้างลมหยาบ<O:p></O:p>
    ก็คือให้เราหายใจเข้าลึกๆ แรงๆกลั้นลมหายใจเอาไว้<O:p></O:p>
    จากนั้น ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ10วินาที<O:p></O:p>
    จากนั้นจึงหายใจออก<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราทำซ้ำ 10ครั้งนะครับ<O:p></O:p>
    เวลาหายใจเข้าให้สัมผัสถึงความเย็น เบาสบาย โล่ง ของลมหายใจที่ไหลเข้ามาจนเต็มปอดด้วยครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอครบ10ครั้ง<O:p></O:p>
    คราวนี้ให้เราจับลมหายใจไร้ฐาน ลมตลอดสายองเราให้เป็นเส้นสีขาวๆ<O:p></O:p>
    ที่ไหลตั้งแต่จมูก จนถึงท้อง พริ้วผ่านทั้งร่างกายเหมือนเดิม<O:p></O:p>
    แต่คราวนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจของเราค่อยๆช้าลงๆค่อยเบาลงๆค่อยๆช้าลงเรื่อยๆเบาลงเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    ใจของเรายิ่งเบาสบาย ยิ่งชุ่มเย้น ยิ่งอิ่มเอิบมากขึ้นเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    จนเรารู้สึกว่าลมหายใจของเราหายไปรู้สึกว่าลมหายใจของเราหยุดไป<O:p></O:p>
    คล้ายเราไม่หายใจแล้วให้เราประคองลมหายใจของเราให้นิ่ง<O:p></O:p>
    ให้จิต หยุดนิ่ง หยุดคิด ประคองความสุข จากความสงบ
    ความนิ่งปราศจากความคิด อาการหยุดแบบนี้เอาไว้ซักระยะหนึ่ง<O:p></O:p>
    ประคองความสุข ความเบาสบาย ความนิ่งนี้ไว้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอลมหายใจของเรากลับมา<O:p></O:p>
    ก็ให้จับลมหายใจของเราตามเดิม<O:p></O:p>
    แล้วให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมหายใจสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อธิษฐานสามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วประคองความสุข เบาสบายจากความสงบนี้ เอาไว้ตราบนานเท่านาน<O:p></O:p>


    <O:p>
    ก่อนจะออกจากสมาธิให้หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สามครั้ง<O:p></O:p>
    หายใจเข้าครั้งที่1 ภาวนา พุท หายใจออก โธ<O:p></O:p>
    ครั้งที่2 ภาวนา ธัม หายใจออก โม<O:p></O:p>
    ครั้งที่3 ภาวนา สัง หายใจออก โฆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆครับ<O:p></O:p>
    ให้ทำความรู้สึกว่าใจของเราเบ่งบานดั่งดอกไม้ยามเช้า <O:p></O:p>
    พร้อมๆกับที่ตื่นขึ้น ลืมตาขึ้น ถอนออกจากสมาธิ

    ขอให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ทั้งทางโลกทางธรรม ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ wuttichai0329 ครับ

    อานาปานสติ มีฤทธิ์ไหม แตกต่างจากกสิณแบบไหน

    มีฤทธิ์ครับ ในความเป็นจริงกรรมฐานทุกๆกอง ภาวนายุบหนอพองหนอ พุทโธ
    ก็เกิดเป็นญาณทัศนะ เป็นฤทธิ์ เป็นอรูปได้ แต่ต้องรู้วิธีพลิกแพลง หรือมีบุญมาเกื้อหนุนครับ
    มีพระอาจารย์ที่สกลนคร ท่านใช้พุทโธ เท่านั้น ทำเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง และอภิญญา ได้อย่างคล่องแคล่วครับ

    กสิณ แตกต่างจากอานาปานสติ แบบไหน

    กสิณเน้นที่ภาพ ที่เห็นในจิต ส่วนอานาปานสติเน้นที่การจับลหมายใจ จนใจเกิดความสบาย
    เราสามารถทำกสิณควบอาณาปานสติได้ และอาณาปานสติควบกสิณได้
    โดยจับลมหายใจไปด้วยเวลาที่ทรงภาพกสิณ และเวลาจับลมหายใจ
    ให้นึกว่าลมหายใจเป็นละอองเพชร เป็นลำแสงเพชร เป็นเส้นแพรไหมเพชร ที่พริ้วผ่านเข้ามาในร่างกายของเรา
    ซึ่งการโคจรลมปราณ ก็คือ อาณาปานสติควบกสิณ
    ใช้จิตนึกให้เห็นภาพลมหายใจเป็นเพชร แล้วโคจรไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย

    ท่านให้ทำอันไหนก่อน

    แล้วแต่ แต่ละบุคคล ไม่ตายตัวครับ แต่สุดท้ายควรจะทำได้ทั้งสองอย่างเพราะว่า ต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน
    จอมยุทธ์สมัยโบราณ ต้องฝึกทั้งสองอย่าง กำลังภายในก็ต้องกสิณ การโคจรลมปราณต้องอาณาปานสติ
    จะเป็นจอมยุทธ์ต้องเล่นหมด

    สำหรับคนที่ไม่ต้องการหลุดพ้น บางท่านทำไมต้องจับอานาปานสติก่อน แล้วค่อยทำกสิณ ทำกสิณก่อนอานาปานสติได้หรือไม่

    ได้ครับ สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ให้ลูกนายช่างทอง นึกถึงดอกบัวสีแดง จนเห็นดอกบัวเป็นเพชร ประกายพรึก ฌาณ4
    จากนั้นท่านลืมตาขึ้นมาเห็นดอกบัวเหี่ยว เพราะพระพุทธเจ้าเนรมิต จึงพิจารณาว่า
    เมื่อกี้ดอกบัวยังสดใหม่อยู่ แต่ตอนนี้เหี่ยวเฉาไปแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย ต้องเน่าพังไปแบบดอกบัวนี้
    แล้วท่านก็ตั้งใจว่าจะไม่เกิดมามีร่างกายที่เน่าพังสลาย ไปตามกาลเวลาเช่นนี้อีกต่อไป
    ด้วยกำลังของกสิณสีแดง เป็นฌาณ4 พิจารณาเท่านี้ จึงเป็นพระอรหันต์ทันที

    จะฝึกอะไรก่อน ไม่มีความตายตัวครับ
    ก็คือ พระอาจารย์ท่านดูจิต ลูกศิษย์และเห็นว่าบุคคลนี้ควรจะฝึกอันนี้ก่อนอีกอันนึง ก็เท่านั้นเองครับ
    ถ้าท่านมาแนะนำเรา ท่านอาจจะบอกให้กสิณก่อนก็ได้ครับ มันไม่แน่นอนครับของแบบนี้

    ที่ว่ากสิณเป็นสมาธิได้ฌาณเร็วนั้น เพราะอะไร มีเคล็ดไหม

    เพราะเรานึกภาพ วัตถุให้เป็นเพชร มันนึกกันได้ไม่ยากจนเกินไป
    จริงๆเคล็ดของกสิณอยู่แค่ นึกให้เป็นเพชร ประกายพรึก แล้วส่องสว่างเป็นเพชรไปทั้งจักรวาล
    ไม่ต้องรอให้ภาพเปลี่ยนเองครับ จริงๆแล้ว นึกเอาได้เลยครับ
    จับน้ำมานึกให้เป็นเพชร เป็นกสิณน้ำ ไฟเป็นเพชร ก็กสิณไฟ

    ทำไมพระพุทธเจ้าสรรเสริญอานาปานติ

    เพราะว่าเรามีอานิสงค์หลายประการ และผู้ที่ได้อานาปานสติ เป็นฌาณ4
    คือเข้าใจอารมณ์ที่จิตหยุดคิด หยุดนิ่งสงบ จะทรงฌาณในกรรมฐานได้ทุกกอง
    ว่าง่ายๆ ถ้าจิตเราหยุดคิด ปราศจากความคิดได้ จะนึกวัตถุอะไรให้เป็นเพชร ก็ทำได้ง่ายดาย
    จึงมีท่านที่แนะนำให้ฝึกอาณาปานสติก่อน เพราะถ้าจิตสงบไม่คิดแล้ว จับกสิณทีเดียวก็จบกองนั้นครับ

    และทำไมต้องจัดลำดับกสิณไว้ก่อน เพราะเป็นสมาธิเร็ว

    อย่างที่ได้อธิบายว่าการนึกภาพวัตถุให้เป็นเพชรทำได้ไม่ยากเกินไปครับ

    หรือว่ากรรมฐานทุกกอง ฝึกสติ ให้มาก แล้วจะเข้าสมาธิได้ กสิณฝึกสำเร็จแล้ว จะได้สติ มากกว่า อานาปานสติหรือไม่

    สติทำให้เกิดสมาธิ ได้ชั่วขณะแต่ประคองเอาไว้ไม่ได้ มันจะได้เป้นระยะๆแต่ลากยาวไมได้
    ส่วนสมาธิทำให้เกิดสติ และประคองสตินั้นเอาไว้ได้ยาวนาน ลากยาวเป้นวันก็ยังได้

    จริงๆแล้ว สมาธิตะหากที่เป็นเหตุให้เกิดสติครับ พิจารณาง่ายๆ
    เวลาที่เราเครียด ฟุ้งซ่าน โกรธ เรารู้สึกว่ามีสติไหม
    แล้วเวลาที่ใจเราเกิดความสบาย ผ่อนคลาย ได้พักผ่อน เรามีสติมากกว่าไหม
    คนนอนกลางแดด กับคนนอนนุ่มๆบนเตียงห้องแอร์ ใครมีสติมากกว่ากัน
    จิตที่ไม่เป็นสมาธิ เหมือนอยู่กลางแดด ถูกเผาอยู่ จิตเป็นสมาธิเหมือนนอนห้องแอร์ เย็นๆครับ
    จิตที่เป็นสมาธิยังไงก็มีสติมากกว่าจิตที่ยังไม่ได้สมาธิ
    การจับสติเพื่อให้เกิดสมาธิ ผมรู้สึกว่ายากกว่า การจับสมาธิเพื่อก่อให้เกิดสติ
    แต่ว่าก็ไม่ตายตัว ท่านใดจะว่าอะไรยังไงผมไม่ทราบครับ

    และอาณาปานสติ เป็นฌาณ4 กับกสิณเป็นฌาณ4 มีสติเท่ากันครับ
    เพราะตัวฌาณ4 คือ ตัวที่ลมหายใจดับเหมือนกัน
    และถ้าไม่ใช้สติเราจะนึกถึงภาพกสิณเอาไว้ 24ชั่วโมงได้อย่างไร
    ต่างกันแค่ ฌาณ4ของอาณาปานสติ จะจับที่ความสบายของจิต แต่ไม่มีภาพประกอบ
    ส่วนฌาณ4ของกสิณ จะจับที่ความสบายของจิต และมีภาพประกอบเป็นวัตถุเนื้อเพชรประกายพรึก

    และวิชาใช้หมัดชกคนอยู่ไกล ๆ กระเด็น เหวี่ยงหมัด ชก ได้ตามใจนึก และปลุกคนที่สักยันต์ให้ ของขึ้น ตามลายสักย์ เพื่อมาช่วยเรา ทำยังไงครับ อยากรู้ ไม่อยากทำ กลัวจะเป็นมิจฉาทิฐิครับ

    อย่ารู้เลยครับ เพราะ ต่อยคนได้ตามใจนึกก็มิจฉาทิษฐิแน่นอน
    และปลุกให้ยันต์ขึ้น ของขึ้น ก็ทำให้จิตร้อน เกิดอารมณ์คึก ก็มิจฉาทิษฐิครับ
    ยันต์สมัยนี้ส่วนมากจะร้อน

    แต่ยันต์แบบสัมมาทิษฐิก็มีครับ อันนั้นจะปลุกแล้วเย็น จิตสงบ นิ่ง ครูบาอาจารย์ท่านก็สักกัน
    เป็นการสักบารมีของพระพุทธเจ้าลงบนร่าง เพื่อให้เราอยู่กับพระตลอดเวลา
    เราจะทรงสมาธิไม่ทรงสมาธิอยู่ก็ตาม บารมีพระก็ยังสถิตอยู่กับร่างเราครับ
    ไม่ใช่สักอะไรก็ไม่รู้ลงตัว ปลุกแล้วจิตร้อนยิ่งกว่าเดิม อันนี้ไม่แนะนำครับ
    เราแสวงหาของเย็น ลดของร้อน จะไปแสวงหาของร้อนมาให้ตัวเองทำไมครับ จริงไหม
    และวิชชาคงกระพัน แบบเป็นสัมมาทิษฐิก็มีครับ
    แผ่เมตตาจนความเย็นจากเมตตาทำให้เกิดความคงกระพันขึ้นก็ได้ ไม่ต้องไปเอาของร้อนมาใส่ตัว

    กสิณกับอาณาปานสติ ไม่มีอะไรด้อยกว่ากันครับ คนอื่นๆจะว่ายังไงก็ช่างเขาครับ
    กรรมฐานของพระพุทธเจ้า 40 กอง มีความสัมพันธ์กันหมด ทำควบกันได้หมด
    และมีความสำคัญคนละแบบ
    อุปมาเหมือนแขน กับขา
    อาณาปานสติ เหมือนกับขา เพราะเป็นบาทฐาน ทำให้สมาธิมั่นคง ทำให้ใจสบาย ได้พักผ่อนจากความคิด เดินไปต่อกรรมฐานกองไหนก็ต่อได้
    กสิณ เป็นแขน ที่จะทำให้เราใช้จิตทำสิ่งต่างๆได้อย่างที่ปรารถนา
    ถ้ามีแต่ขาไม่มีแขน หรือมีแต่แขนไม่มีขา ก็คงจะไม่มีความสมบูรณ์

    ดังนั้นเราก็มีทั้งแขนและขาเอาไว้ดีที่สุดครับ
    ส่วนใครเขาอยากมีแต่ขา ไม่มีแขน ก็ไม่เป็นไรครับ เป็นแนวทางของเขา ซึ่งก็ไม่ผิดเช่นกัน
    แต่ถ้าเป็นผม มีทั้งแขนและขาก็ดีกว่าครับ

    ต่อยคนระยะไกลอย่าไปรู้เลยครับ
    เปลี่ยนเป็นรักษาคนระยะไกลดีกว่าครับ อันนี้พอจะสอนได้
    เอาง่ายๆก็ นึกถึงภาพพระมองเห็นท่านแย้มยิ้ม แล้วก็ขอบารมีจากพระพุทธเจ้าว่า
    ขอบารมีพระองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ ให้บุคคลนี้ๆ หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยเทอญ
    เราทำด้วยความเมตตาความปรารถนาดีอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญบูชา ทำเพื่อความสุขของผู้อื่นอย่างแท้จริง

    แล้วให้เราแผ่เมตตาเป็นรัศมีเพชรไปยังบุคคลนั้น และนึกให้ทุกๆส่วนร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นเพชรให้หมด
    เส้นทางเดินลมปราณทุกเส้นทะลุทะลวงด้วยรัศมีเเพชร ลำแสงเพชร อวัยวะที่ป่วย ป่วยที่ไหนก็นึกว่าให้เปลี่ยนเป็นเพชรให้หมด
    จนเห็นร่างทั้งร่างเป็นผลึกเพชรทั้งหมด
    ลองทำดูครับ ทำกับตัวเองก่อนเลยครับ ซึ่งได้รับการพิสุจนืทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าได้ผลจริงๆ
    จากเรื่อง Messages from Water ของ Dr.Masaru emoto
    เพียงนึกให้น้ำเป็นเพชร ก็คือกสิณนั่นแหละ โมเลกุลของน้ำก็จะเป็นเพชรตามที่เรานึก ส่องด้วยกล้องจุลทัศกำลังขยาย ประมาณ8ล้านเท่า
    เดี้ยวผมจะนำมาลงให้ดูครับ

    ขอให้เข้าถึงคุณธรรมวิเศษตามที่ปรารถนา และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยเร็ว ในอนาคตกาลนี้ด้วยเทอญ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    Message from Water งานวิจัยโดย Dr.Masaru Emoto

    เป้นเครื่องพิสูจน์ว่า ทำไมการนึกภาพกสิณ จึงเกิดผลจริง มโนมยิทธิออกมาเป็นรูปธรรมอย่างไร
    และทำไมพระธาตุของพระอรหันต์จึงเป็นแก้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  16. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ทำเป็นแต่เสียงดนตรีครับ งง
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    มีไฟล์ powerpoint อยู่ครับ ไม่ก็ลองหาคำว่า Message from water ในgoogle ครับ
     
  18. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OfgS4PBxHHE]YouTube - การวิจัยน้ำ message from water[/ame]

    ลองดูที่นี่ค่ะ ผลึกน้ำ
     
  19. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OfgS4PBxHHE]YouTube - การวิจัยน้ำ message from water[/ame]

    ลองดูที่นี่ค่ะ ผลึกน้ำ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอขอบคุณ คุณapinya17 ครับ

    เราจะเห็นได้ว่า สภาพแวดล้อม ทั้งทางกายภาพ และจิตใจ จะส่งผลต่อผลึกน้ำในร่างกายของเรา
    ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บแปลกๆ เช่น มะเร็ง เนื้องอก หอบหืด ไมเกรน
    ดังนั้นหากเราจัดเรียงสภาพแวดล้อมของเราใหม่ ทั้งทางกายภาพ และจิตใจ โรคภัยไข้เจ็บก็จะหายได้

    ทางกายภาพ
    เราก็เปลี่ยนความชอบ เปลี่ยนชนิดของงานอดิเรกที่เราทำ
    เช่น หากฟังเพลงร็อค เพลงรุนแรง ก็เปลี่ยนเป็นเพลงที่นุ่มนวล เพลงคลาสสิก เพลงธิเบต
    การเลือกเสื้อผ้า เสื้อผ้าที่มีข้อความไม่ดี เป็นรูป หัวกะโหลก หรือคำด่าตัวเอง ฉันโง่ ก็จะมีผลต่อผลึกน้ำของเราทั้งนั้น
    หากเสื้อผ้า เป็นรูปที่สวยงาม เขียนคำพูดดีๆเอาไว้ ก็จะมีผลดีต่อร่างกายเราเช่นกัน
    หากที่อยู่อาศัยของใคร มีฮวงจุ้ย หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ก็จะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของเราเช่นกัน
    ฮวงจุ้ย จึงเป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริง ผ่านงานวิจัยเรื่องผลึกน้ำ นี่เอง

    ยังมีปัจจัยที่คนเราไม่ได้คำนึงถึงอีกเยอะ เช่น สนามรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค สารเคมีที่ตกค้างในอาหาร อื่นๆอีกมากมาย
    ซึ่งพอรวมกันแล้วส่งผลให้คนในยุคปัจจุบันไม่แข็งแรงเท่าคนในสมัยโบราณ

    ทางจิตใจ
    หากเป็นคนโกรธง่าย หรือมีอารมณ์รุนแรงด้านใดด้านหนึ่ง เราก็พยายามลดละเลิกอารมณ์ประเภทนั้น
    เพราะเราต้องอยู่กับจิตใจของเราตลอดเวลา การที่จิตใจของเรามีความเศร้าหมองก็จะค่อยๆทำให้ผลึกในร่างกายมีความเศร้าหมองมากขึ้นๆตามกาลเวลา
    หากจิตใจของเรามีความงดงาม เปี่ยมด้วยเมตตา ทรงอยู่ในความดี ในกุศลจิตอยู่เสมอ
    ผลึกในร่างกายของเราก็จะสวยงาม เป็นเพชร มากขึ้นๆ ไปด้วย

    ซึ่งเรื่องนี้ก็จะอธิบายว่า
    เมื่อบุคคลใดเจริญจิต ตัดสังโยชน์ ละกิเลส จนเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้าได้
    อัฏฐิ หรือเถ้ากระดูกท่านนั้น ก็จะเป็นแก้ว เป็นเพชร เป็นพระธาตุ
    เพราะจิตอันประภัสสรนั้น ได้ชำระล้าง ฟอกธาตุขันธ์ร่างกาย ให้เป็นเพชรตั้งแต่ระดับโมเลกุล

    สภาวะที่มีความบริสุทธิ์สูงสุดตามธรรมชาติ ของผลึกน้ำ ของทุกๆธาตุ ก็คือ เพชร
    เมื่อเราฝึกกสิณ สภาวะของฌาณ4ของกสิณคือ เพชร ประกายพรึก
    ในมโนมยิทธิ พระวิสุทธิเทพ กายท่านก็เป็นกายเพชร
    แล้วถ้าเราเจริญจิต จนถึงสภาวะพระนิพพาน ที่เป็นความบริสุทธิ์สูงสุดตามธรรมชาติของจิตได้
    จิตของเราก็จะเป็น... แล้วสภาวะของพระนิพพานก็จะต้องเป็น...
    ธรรมะ ก็สามารถจะอนุมานกลับไปกลับมา ย้อนอธิบายซึ่งกันและกันได้

    และเรื่องของผลึกน้ำนี้จะส่งผลต่อการฝึกจิตโดยตรง
    เมื่อเราฝึกสมาธิ ผลึกในกายเราก็จะมีความสวยงาม
    แต่หากว่าสภาพแวดล้อม นิสัย วิถีชีวิตของเรา ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่ส่งผลให้ผลึกน้ำสกปรก
    เช่น ฝึกสมาธิ แต่ยังฟังเพลงรุนแรง บางครั้งจิตใจยังหดหู่ ชอบดูละคร หรือหนังที่มีความรุนแรง
    มันก็จะเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความเจริญก้าวหน้าในการฝึกจิตของเรา ทำให้ไม่ก้าวหน้ามากเท่าที่ควร

    วันนี้เราสวดมนต์ ฝึกจิตจนมีความงดงาม อยู่ในกุศล พอฝึกเสร็จเราก็ไปฟังเพลงร็อค เพลงเฮฟวี่เมทัล ไปสัมผัสสื่อที่มีความรุนแรง
    ความงดงามของผลึกน้ำ ของดวงจิต มันก็จะเสื่อมลงไป
    แล้ววันนึงเราทรงสมาธิกี่นาที บางท่านเล่นทรงกันทั้งวันก็ไม่เป็นอะไร แต่บุคคลปกติทรงกันแค่5นาทีถึงชั่วโมงนึง เป็นอย่างมาก
    แล้วเราไปรับสื่อ หรือการกระทบที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง รุนแรง กี่นาที กี่ชั่วโมงต่อวัน
    แรงโน้มถ่วงมันมากกว่าแรงขับเคลื่อน เราก็เลยไม่ออกจากวงโคจรซะที
    เป็นเหตุให้คนสมัยนี้ ฝึกจิต หรือบรรลุธรรม ได้ช้ากว่าคนสมัยก่อนด้วย มีแรงรั้งมากกว่า

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเลิกดูหนังฟังเพลงเลยนะครับ ให้เรารู้จักเลือกสื่อที่จรรโลงจิตใจให้งดงาม
    เพลงก็เปลี่ยนเป็นเพลงที่มีความงดงาม เพลงธิเบต เพลงสวดมนต์
    หนังก็เลือกเฉพาะหนังที่ให้แรงบันดาลใจ ในการใช้ชีวิตเพื่อส่วนรวม เพื่อโลกใบนี้

    เราสามารถนำเอาแง่คิดที่ได้นี้ ไปปรับ ไปเปลี่ยนวิถีทางในการดำเนินชีวิต ให้ดีขึ้นได้
    และหากเราจัดวาง สภาพแวดล้อม ทั้งทางกายภาพ และจิตใจให้เหมาะสม
    เราสามารถที่จะทำให้การฝึกจิตของเรานั้น หมุนดั่งธรรมจักร เป็นไปเองโดยธรรมชาติ เป็นไปเองโดยไม่ต้องบังคับไม่ต้องฝืนใจ
    แต่อาจจะต้องมีแรงผลักดันบ้างเป็นระยะๆ

    ยกตัวอย่างให้ฟัง
    เราเริ่มจากจิตใจของเราก่อน เราเจริญจิตให้เปี่ยมด้วยความเมตตาอยู่เสมอ เห็นใครมีความทุกข์เราก็ช่วยเหลือตามกำลัง ตามเหตุปัจจัย
    การคิดในแง่ลบ คิดน้อยใจ คิดหดหู่ หรือความเหงา เราก็ค่อยๆลดละเลิกไป
    หันมาคิดในแง่บวก คิดในเชิงสร้างสรรค์ มองเห็นความดีของผู้อื่นมากกว่าเห็นความไม่ดีของเขา
    เพลงก็หันมาฟังเพลงในเชิงบวก เพลงที่ให้แรงบันดาลใจ เพลงที่ให้ความหวังกับชีวิต
    ไม่ใช่ฟังแต่เพลง อกหัก รักไม่สมหวัง อิจฉาริษยา เพลงที่กระตุ้นกิเลส กระตุ้นความทุกข์ให้กำเริบ

    ก่อนจะทานอาหารทุกมื้อ อาหารนั้นมีความสัมพันธ์กับร่างกาย จิตใจ
    และโมเลกุล ผลึกของอาหารก็ใช่จะสะอาดบริสุทธิ์
    -ให้เราตั้งจิตระลึกถึงความสุข บุญกุศลให้เต็มล้นดวงจิตของเรา และแผ่ไปยังเจ้าของเนื้อที่เรากิน คนทำอาหาร ผู้เลี้ยงสัตว์ เกษตกร
    -แล้วก็พิจารณา อาหาร เป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือเป็นว่าอาหารเป็นสิ่งปฏิกูล
    อาหารมาจากซากศพของสัตว์ที่ตายแล้ว พอเรากินเข้าไปแล้วก็ต้องขับถ่ายออกมา เป็นสิ่งไม่น่าปรารถนา
    เราจะกินเพื่อการดำรงชีวิต โดยไม่ติดในรสชาติของอาหารจนเกินไป
    เช่น ถ้าถามว่า เราจะเกิดมาชาติหน้า เพียงเพื่อมากินอาหารจานนี้อีกไหม เราก็ไม่เอาด้วย
    อันนี้ถือว่าสอบผ่านในเบื้องต้น
    -หากใครได้มโนมยิทธิ ให้ยกอาหาร นึกให้อาหารเป็นเพชร
    ขึ้นไปถวายพระท่านข้างบนเลยครับ ตั้งจิตว่าเราถวายเป็นสังฆทานตรงต่อพระท่านเลย
    หากใครยังไม่ได้มโน ให้นึกถึงภาพพระที่เราเคารพมาองค์หนึ่ง ให้ท่านแย้มยิ้มเอิบอิ่มอย่างถึงที่สุด
    และเห็นว่าเป็นท่านเป็นเนื้อเพชรได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี
    จากนั้นก็ ถวายอาหาร ที่เรานึกให้เป็นเพชรแล้ว กับท่าน
    เสร็จแล้วเราก็ขอลาอาหารลงมารับประทาน

    ถ้าทำครบสูตรแบบนี้ ผลึกของอาหารที่เรากินก็จะเป็นเพชร โรคภัยไข้เจ็บ สารเคมีตกค้างจะถูกล้างออกไป

    ให้ฝึกลืมตาทำนะครับ จะได้ไม่มีใครรู้ ถ้าทำจนชินแล้วจะใช้เวลาไม่นานครับ ไม่ถึง10วินาทีก็ได้กินครับ

    หลักๆก็มีเท่านี้ครับ แต่เรายังสามารถนำเอาความรู้นี้ไปประยุกต์ได้อีก
    เช่น ใครมีเครื่องกองน้ำที่บ้าน เราก็หาบทสวดมนต์ ภาพพระ หรือกระดาษเขียน ว่า พุทโธ ติดเอาไว้ที่เครื่องกรองน้ำเลยครับ
    เท่ากับน้ำทั้งหมดจะเป็นน้ำมนต์ หรือติดเอาไว้ที่ตู้เย็นก็ได้ครับ อาหารทั้งหมดจะได้เป็นผลึกเพชร
    ตามผนัง กำแพงของห้องนอนของเรา ก็ติดรูปพระเยอะๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระ ผลึกเรา จิตเราก็เป็นเพชรอีก
    เราสามารถเขียนประโยคว่า "ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น" เอาไว้ในห้องนอนให้เราเห็น และพิจารณาทุกวันก่อนนอน

    ดังนั้นเมื่อเราจัดระเบียบ สภาพแวดล้อม วิธีคิด วิถีชีวิต วิถีของจิตของเราให้ดี ให้เป็นสัมมาทิษฐิแล้ว
    เพียงแค่เราใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน จิตใจของเราก็จะพัฒนายกระดับสูงขึ้นยิ่งๆขึ้นไป โดยอัตโนมัติของมันเอง

    ขอให้ทุกๆคนมีจิตใจ มีน้ำใจ ที่เป็นเพชร ที่งดงาม และรักษาเอาไว้ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...