เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ก็ขออนุโมทนาล่วงหน้ากับทุกท่านที่ประสงค์จะร่วมสร้างพระแก้วมรกตจำลองครับ

ก็คาดว่าจะประชุมกรรมการสร้างพระเร็วๆนี้ แล้วจะเปิดบัญชีธนาคารไว้ แล้วตั้งคณะกรรมการเบิกจ่ายเงิน ท่านไหนที่ศรัทธาจะร่วมบุญกุศล ก็ให้โอนปัจจัยเข้าบัญชีนั้นครับ ก็ยินดีให้ทุกท่านที่ศรัทธาได้ร่วมอนุโมทนาบุญครับ

วันนี้ (14 ก.ค.) ได้ไปทำศาสน์ศิลป์ที่วัดช้างเผือก ให้กับหลวงพ่อทบ ญาณศีลธรรมท่านก็รับดีมาก จากนั้นไปกราบคารวะหลวงปู่ลมัย หลวงปู่ท่านอายุยืนมาก ก็สนทนากับท่านประมาณ 1 ชั่วโมง ท่านว่าที่ท่านมาอยู่นั้นเป็นสวนสมุนไพร ท่านมาพักปลูกสมุนไพรเพื่อรักษาตัวท่านเอง ท่านเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังหลายเรื่อง เช่นเรื่องสำเร็จลุน ว่าเคยมาจำวัดอยู่ที่วัดมหาธาตุ จ. เพชรบูรณ์ เมื่อประมาณ 700 ปีก่อน มีโยมอุปัฏฐากเป็นผู้หญิงมาจากประเทศเขมร ท่านบอกว่า มีคนเขาว่าสำเร็จลุนท่านทิ้งสังขารไปเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านบอกว่ามีพระสงฆ์อมตะรูปหนึ่งชื่อหลวงพ่ออินทร์ ท่านดูๆว่า เป็นสำเร็จลุนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ท่านบอกว่าหลวงพ่ออินทร์จะขึ้นมาบนผิวโลก ในสมัยรัชการที่ 10 เมื่อก่อนหน้านี้หลวงพ่ออินทร์เรียกท่านไปหา แต่หลวงปู่ลมัยไปหาตัวยาเสียหลายวัน เลยไปหาไม่ทัน

ท่านได้ปรารภเรื่องของพระธาตุ ว่าเดี๋ยวนี้คนนำมาหลอกลวงกันมาก ท่านว่าของจริงนั้นมีน้อยมาก ที่จริงเป็นแค่ธาตุ แต่คนเขามาเรียกว่าพระบรมสารีริกธาตุบ้าง พระธาตุอรหันต์บ้าง ท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนกันไปหมด


ก็ได้ปรารภกับหลวงปู่ว่าผมได้รับบัญชาครูบาอาจารย์ ให้สร้างพระแก้วมรกตจำลอง ขนาดหน้าตัก 3.80 เมตร หล่อด้วยโลหะ สัดส่วนตามขนาดขององค์จริง

หลวงปู่ท่านได้เล่าให้ฟังถึงพระแก้วมรกตว่ามีองค์เดียวในโลก ใครก็สร้างเลียนแบบไม่ได้ เพราะมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ท่านบอกว่าพระแก้วมรกตสร้างเมื่อ พ.ศ. 300 แล้วเขมรหรือขอม ได้เอาไป อยู่เขมร 1000 ปี แล้วไปอยู่ลาว 600 ปีและอยู่ประเทศไทย 200 กว่าปีแล้ว ท่านบอกว่าประเทศไทยได้บารมีพระแก้วมรกตนี่แหละคุ้มครอง จึงรอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้

หลวงปู่ท่านบอกว่าในการสร้างพระให้ศักดิ์สิทธิ์ ให้ทำพิธีอย่างถูกต้อง ให้หาธาตุศักดิ์สิทธิ์ต่างๆมาผสม ท่านก็แนะนำให้หลายอย่าง โดยให้ไปหาธาตุศักดิ์สิทธิ์จากประเทศเขมรและลาวมาผสม ท่านบอกว่าจะหล่อพระเมื่อไหร่ให้บอกท่านด้วย ท่านจะมาร่วมอนุโมทนาด้วย ก็กราบเรียนท่านว่าหลังจากออกพรรษาไปแล้วจะเริ่มดำเนินการสร้าง แล้วจะนิมนต์หลวงปู่มาร่วมทำพิธี ท่านก็รับปาก

ก็กะว่าในการทำพีธีหล่อพระแก้วมรกตจำลองนี้ จะนิมนต์ครูบาอาจารย์ในสายธรรมต่างๆมาร่วมด้วย โดยเฉพาะในสายธรรมหลวงปู่ทองทิพย์ สายธรรมพระครูเทพโลกอุดร และสายธรรมสำเร็จลุน คาดว่าควรจะรวมพระสงฆ์ให้ได้สัก 108 รูปจึงจะเป็นมงคล

 

เมื่อ 2 วันก่อนได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อทองแดง ท่านแนะนำให้ไปอธิษฐานรับญาณศีลธรรม ที่วัดแห่งหนึ่ง ที่ อ.บึงกาฬ จ. หนองคาย ในถ้ำมีพระศิลา 5 องค์ ที่เกิดจากการอธิษฐานร่างของพระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ให้เป็นพระพุทธรูป เมื่อ ปี พ.ศ. 8

รวมทั้งได้เล่าเรื่องที่ผมได้นิมิตว่ามีคนนำเอาพระแก้วมรกตองค์จริงมาให้ดู ก็เห็นว่ามีขนาดไม่ใหญ่นัก หน้าตักประมาณ 5-7 นิ้ว มีเครื่องทรงครบ หลวงพ่อทองแดงท่านบอกว่า เป็นปฐมเหตุของการที่จะได้สร้างพระแก้วมรกตจำลอง แทนองค์จริงขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะเป็นการปรารถนาบารมีในสมัยที่ได้ร่วมสร้างพระธาตุพนมในสมัย พ.ศ. 8 และสร้างเสร็จใช้เวลาก่อสร้างอยู่ 12 ปี โดยที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นบริวารของพระยาสุวรรณภิงคารและพระยาคำแดง ซึ่งเป็น 2 ใน 5 ของพระยาผู้ที่ก่อสร้างพระธาตุพนมในสมัยนั้น จึงต้องไปเกี่ยวข้องกับหนองหารหลวงของพระยาสุวรรณภิงคารและ หนองหารน้อย ของพระยาคำแดงไปด้วย

หลวงพ่อทองแดงท่านยังบอกอีกว่าเมื่อถึงเวลาสมโภชพระแก้วมรกตจำลองนั้น จะมีพระสงฆ์มาร่วมสมโภชถึง 500 รูป เช่นเดียวกันกับที่ในสมัยพุทธกาลมีการรวมตัวของพระอรหันต์ 500 รูปเมื่อสมโภชพระธาตุพนม

ซึ่งสอดคล้องกับที่หลวงปู่เณรคำกลาง ท่านบอกไว้ว่า ก่อนที่พระมหากัสสปะและพระอรหันต์ทั้ง 500 องค์จะไปร่วมสมโภชฉลองพระธาตุพนมนั้น ท่านมาชุมนุมร่วมกัน(ปัจจุบันคือ)ที่พระบรมธาตุ วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร และพระเจ้านันทเสน(พระยาศรีโคตรบูรณ์)นั้นจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

และผมพอจะเข้าใจได้ จากการบอกกล่าวของครูบาอาจารย์ก่อนหน้านี้ก็คือ 1 ใน 5 พระยา ที่ร่วมสร้างพระธาตุพนม คือ พระยานันทเสนหรือพระยาศรีโคตรบูรณ์ นั้นเคยได้รับพุทธทำนายจากพุทธองค์ว่าเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูล จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตและจะเป็นผู้ค้ำชูพระศาสนาจวบจนครบ 5,000 ปี โดยที่พระยาศรีโคตรบูรณ์ได้รับคำทำนายจากพระพุทธองค์ตอนที่เสด็จมาแคว้นสุวรรณภูมิในช่วง 3 เดือนก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน นอกจากนั้นครูบาอาจารย์ท่านได้เล่าว่าท้าวศรีโคตรบูรณ์ ได้ไปจุติในเมืองสาเกตนคร(เมืองร้อยเอ็ดประตู) ในตระกูลสุริยวงษา 2 ครั้ง และจากเรื่องราวต่างๆที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าเชื่อมโยงกันมาหลายครั้ง จึงสรุปได้ค่อนข้างชัดเจนว่าพระยาศรีโคตรบูรณ์นั้น ในยุคปัจจุบันคือ หลวงปู่ทองคำศรี รัตนโคตรหรือหลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโย นั่นเอง

หลวงปู่เณรคำน้อยท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท้าวศรีโคตรบูรณ์ นั้นเป็นคนวิเศษ ร่าง(สังขาร) ของท้าวศรีโคตรบูรณ์นั้นหลังจากเก็บไว้ช่วงระยะหนึ่ง ก็ได้กลายเป็นแก้ว แล้วก็อันตรทาน หายไปเฉยๆ ซึ่งต่อมาในยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช สังขารของท่านก็ได้กลายเป็นพระพุทธรูป 3 สี ก็คงเป็นเพราะบารมีที่ท่านสั่งสมมา นั่นเอง

จากการที่ครูบาอาจารย์หลายๆรูปได้เมตตาเล่าเรื่องราวในอดีตให้รับรู้ ก็จะเป็นประโยชน์ในการที่จะไปทำศาสน์ศิลป์ และการอธิษฐานบารมี ณ สถานที่นั้นๆต่อไป และก็ทำให้เข้าใจได้ว่าพระยาทั้ง 5 พระองค์ ผู้ร่วมสร้างพระธาตุพนมในสมัยนั้น ในยุคปัจจุบันท่านได้เกิดมาเป็นพระสงฆ์ทั้งหมด และผู้ที่จะมาร่วมสร้างพระแก้วมรกตจำลอง ในอนาคตอันใกล้นั้นก็คือผู้ที่มีเชื้อบารมีของการสร้างพระธาตุพนมในอดีตนั่นเอง และก็ทำให้คาดเดาได้ว่า เหตุใดเมื่อผมไปอธิษฐานเพื่อรับญาณศีลธรรมตามพระธาตุต่างๆ กระแสศีลธรรมจึงตอบรับอย่างรุนแรงทุกครั้ง ก็คงจะเป็นมูลเหตุในอดีตที่มีอานิสงส์จากการร่วมสร้างพระธาตุพนมนี่เอง

 

ท่านศิษย์น้อย จะลบทำไมอ่ะครับ

 

ศิษย์น้อย

รู้แค่บางส่วนเองนะ ญาณศีลธรรมของพระศรีฯ ท่านอยู่หลายที่ หลายภพภูมิ ปฏิบัติเรียนรู้ให้แจ้งก่อนนะ

หลวงพ่อทองแดงท่านเคยบอกว่า สำหรับเรื่องพระศรีฯ นี่หากท่านไม่ต้องการให้รู้ว่าท่านลงมาที่ไหน เมื่อใด แม้แต่เทวดา หรือพระอรหันต์ก็รู้ท่านไม่ได้ ยกเว้นว่าท่านจะเปิดให้จึงรู้ได้

แค่เรื่องของพระครูเทพโลกอุดร ที่ท่านใช้อยู่ทั้งหมด 32 ร่างบนโลกมนุษย์นี้ ศิษย์น้อยไปศึกษาดูว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหนบ้าง และพรรษานี้ตัวพระครูเทพโลกอุดร ท่านจำวัดอยู่ที่ไหนล่ะ

 

เมื่อตอนไปทำศาสน์ศิลป์ ที่วัดกลางชูศรีเจริญ เลยถือโอกาสได้ถ่ายภาพหลวงปู่บุดดา มาให้ชมกันครับ

 

หลวงปู่ยี วัดดงตาก้อนทอง ท่านเป็นพระอัญญาธรรมหรือทูตพระศรีฯ ครับ

 

ภาพพรตภาพ หรือรากเขา หรือ พระขพุงผี หรือ หินพระแม่ย่า หรือ หินกินเหล็ก

ก็น่าอัศจรรย์ ที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ ไปได้ มาได้ น้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2 กิโลกรัม กินน้ำเยอะมาก และก็กินเหล็กได้ด้วย เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมเคยไปพิจารณาดู มีขนาดประมาณครึ่งนึงของขนาดปัจจุบัน แต่การใช้ประโยชน์ยังไม่ได้ศึกษาว่าใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

และภาพที่ปรากฏเป็นภาพที่มีผู้ถ่ายได้ ที่ถ้ำนารายณ์ ในเขต จ. กำแพงเพชร เป็นการถ่ายภาพพระสงฆ์ แต่ภาพนี้ปรากฏแทน พิจารณาแล้วมีหลายอย่างไม่เหมือนกับภาพที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

 

ภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผมท่านหนึ่ง คือปู่ฤษีกไลยโกฎิ ท่านอยู่มานานมากแล้ว การได้ภาพของท่านมานั้น ก็มีความอัศจรรย์ไม่น้อย ผู้รู้ท่านต้องใช้ศาสน์ศิลป์ ถึงจะได้ภาพมา

 

พระจักรพรรดิ์กำลังจะเกิด ไม่รู้เรื่องเหรอครับ หรือสมาธิยังไม่ได้มาตราฐานเหมือนเดิม อิ ๆ (จากคนเคยถูกปรามาส)

 

ผมอ่านหมดแล้วขอถามกะเขาบ้างครับ สรุปว่าพระศรีอาริย์นี้มาเกิดที่บนโลกแล้ว เป็นฆราวาสหรือพระครับ แล้วท่านอายุประมาณเท่าไร มีบทบาทช่วยเหลือโลกอย่างไร และท่านพระศรีอาริย์ที่อยู่ดุสิตองค์นี้เป็นใครครับ หรือว่าชื่อซ้ำกัน ครับ

 

คุณ lotte เข้ามาถามกับเขาด้วยแฮะ

 

​

คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระเถระศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยกล่าวไว้ว่า

 

ดูๆแล้วบางท่าน ก็รู้สึกว่าครูบาอาจารย์ของตนเองเก่งสุดยอดอยู่แล้ว ก็ลองถามอาจารย์ของตนเองดูก่อน หรือไม่ก็ปฏิบัติไปรู้ด้วยตนเอง

ถ้าเราอยากรู้เรื่องของหลวงปู่ทวด เราก็ปฏิบัติไปถามปู่ทวดท่าน

อยากรู้เรื่องพระศรีฯ ก็ปฏิบัติไปถามท่านดู ปัจจุบันนี้พระศรีฯ ท่านลงมาสอนพระบางรูป ท่านมากายเนื้อเลย ท่านว่า มาทางนภากาศ ก็กลับทางนภากาศ

หลวงปู่ทวดท่านก็ทำได้เช่นกัน ปู่ทวดท่านยังไม่ละสังขารนะ ท่านไปสวรรค์ทั้งตัวเป็นๆ

บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านมีหลายระดับ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครสั่งสมบารมีมาอย่างไร มีบุพกรรมมากับใครก็จะพบเจอครูบาอาจารย์คนนั้น ไม่อยากเจอก็ต้องได้เจอ

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติเอาเอง ให้รู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง ใครปฏิบัติคนนั้นก็ได้รู้เห็นสัมผัส ด้วยตนเอง การเข้าใจสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนได้มากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องภูมิปัญญาของแต่ละคน

 

ขออนุโมทนาบุญด้วยคนครับ คุณ Aunyasit
คุณ Aunyasit ผมขอรูปพระ สักรูปนะครับ

 

ขออนุญาต แจ้งให้ทุกท่านทราบทั่วกัน........

เวปพลังจิต แห่งนี้......

มีทั้ง "คน" "มนุษย์" และ "อริยะ" ........

แวะเวียนเข้ามากันมาก...

บางท่านเป็นพระโสดาบัน เรื่อยไปจนถึง พระอรหันต์... ก็เคยเข้ามาเยี่ยมเวปแห่งนี้....

บางท่านแม้ไม่ถึงซึ่งความเป็น "อริยะ" ...

แต่ มีญาน หรือ ได้อภิญญา.. ในระดับที่แตกต่างกันไป....


เป็นการยากที่เราๆ ท่านๆ เห็นบางท่านโผล่เข้ามาโพสข้อความ...

แล้วไปประเมินภูมิธรรมของท่านเหล่านั้น...

พวกเราทั้งหลายพึง"ระวัง" ไว้สักหน่อยนะครับ...


ผมพูดได้เพียงแค่นี้ครับ...

 

กึ๋ยๆ

อันตรายจริงๆ สิ่งใดที่เราทั้งหลายยังไม่แน่ใจ เราก็ตั้งตารอคอยพิสูจน์อย่างเป็นกลางด้วยปัญญาเถอะครับ สิ่งใดที่เราทั้งหลายมั่นใจแล้ว มันอาจจะดิ้นก็ได้ ใครจะไปรู้

อย่างคนสมัยก่อน ที่ยังไม่รู้จักปลาไหล ก็ไม่รู้นึกว่าเป็นงู นึกว่ามันมีพิษ ก็กลัวกันไป พอมาอีกสมัยหนึ่ง รู้แล้วว่าปลาไหลมันไม่มีพิษ ก็ไม่กลัว ทั้งยังจะจับมันมาทำเป็นอาหารอีก โอ้ เวรกรรม

พอทีนี้คนเจอปลาไหลก็ตายสิ ดันไปเจอกับปลาไหลไฟฟ้า แทนที่จะกินมัน ดันโดนไฟดูดเอา นี่ไง เพราะยังไม่รู้ หรือว่าประมาทกันแน่เนี่ย เหอๆๆ

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ สู้ต่อไปไอ้มดแดง

 

ที่เขียนไปอย่าเอาเข้าใจมากนะครับ

 

ถ้าเป็นอรหันต์ หรือมีสมาธิที่มีคุณภาพ ท่าน ๆ คงไม่กล่าวเช่นนี้มั้งผมเลยมาเตือน เผื่อจะได้เพลา ๆ กันบ้าง คุณอัญก็เคยไปวัด ลำพูน มาแล้วนี่คงรู้นึกถึงผมอยู่คนเดียวกันนั่นแหละ

 

อย่าคิดมาก เปลืองสมอง

 

เมื่อคืนพุธ ที่ 19 ก.ค. เวลาประมาณ 2300 น. ขณะที่กำลังจัดเตรียมสิ่งของไปสักการะพระธาตุพนม ก็มีศีลธรรมพญานาคฝ่ายรักษาพระธาตุพนม ท่านมาตาม ก็ได้คุยกับท่าน ท่านมาเพราะเกรงว่าเราจะไม่ไปพระธาตุพนม ตามที่ลั่นวาจาไว้ ก็บอกท่านไปว่ายังไงก็ไปอยู่ ที่พูดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าไม่แน่ใจนั้นก็เพื่อปิดบังพวกมาร เท่านั้นเอง แต่ในใจก็กำหนดไว้แล้วว่าจะไปเมื่อไหร่

วันพฤหัส ขณะเดินทางไปพระธาตุพนมก็ได้คุยกับหลวงพ่อทองแดงว่ามีพญานาคจากพระธาตุพนมมาหา หลวงพ่อทองแดงท่านบอกว่ามาหมดทั้ง 7 องค์นั่นแหละถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งก็เป็นการยืนยันการรู้เห็นของตนเอง

เวลาตี 3 ของเช้าวันศุกร์ก็เข้าสมาธิกำหนดจิตไปสักการะพระธาตุพนม ท่านที่รักษาอยู่ที่ธาตุพนมท่านบอกว่า ที่นี่อย่ามาอธิษฐานเล่นๆนะ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าท่านหมายถึงอะไร

เช้าวันศุกร์ก็ได้ไปทำศาสน์ศิลป์ ที่พระธาตุพนม ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากเบื้องบนและเบื้องล่าง ก็ได้อธิษฐานเพื่อการทำบารมีต่อไป

จากนั้นก็ได้ไปสักการะพระธาตุที่วัดมรุกขนคร ซึ่งเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของเมืองนครพนม กระแสศีลธรรมหนาแน่นมาก

รวมทั้งไปสักการะ พระธาตุท่าอุเทน ที่หลวงปู่สีทัตย์ท่านสร้างไว้ กระแสศีลธรรมหนาแน่นเช่นกัน

เสร็จแล้วก็เดินทางตามเส้นทางริมแม่โขงสู่ จ.หนองคาย ระหว่างทางก็มีศีลธรรมหลายประเภท มาอนุโมทนา โดยเฉพาะจากแนวเทือกเขาภูลังกา ภูวัว ภูทอก เป็นต้น คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปอีกจะไปสำรวจที่มาของกระแสศีลธรรมตามภูเขาเหล่านั้น

จากนั้นก็แวะทำบุญที่วัดป่าสีดาฯและดูความก้าวหน้าของการตกแต่งเจดีย์พระศรีจักรพรรดิ์ แล้วเดินทางไปทำบุญถวายสิ่งของและสนทนาธรรมกับหลวงปู่เณรคำน้อย ตั้งแต่สี่ทุ่ม จนถึงตีหนึ่ง ท่านเปิดเผยให้รู้มากมาย ในสิ่งที่ท่านปฏิบัติและประสบมา และอธิบายในสิ่งที่เราสงสัยให้แจ้งไปในหลายเรื่อง ก็เรียนปรึกษาท่านในเรื่องศาสน์ศิลป์ของการสร้างพระแก้วมรกต ท่านก็รับปากว่าหลังจากวัน 15 ค่ำไปแล้วท่านจะบอกให้ท่านจะถามเบื้องบนให้ และท่านก็แนะนำเคล็ดลับของการปฏิบัติจิตเพื่อกำหนดรู้อนาคตและรู้อดีต โดยเฉพาะกับคนที่เรามีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันมา รวมทั้งได้คุยกับท่านเรื่องความอัศจรรย์ของหลวงปู่ทองทิพย์ และวิธีการที่ท่านมาสอนหลวงปู่เณรคำน้อย ซึ่งพิสดารมากๆ หลวงปู่เณรคำน้อย ท่านบอกว่า พ่อพระอินทร์ท่านว่า ทั้งสามโลกเขารอองค์นี้ องค์เดียว แล้วท่านก็ปรารภให้ฟังเรื่องของยุคศิวิไล ท่านว่าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นใคร จากนั้นก็สนทนากับท่านเรื่องของไม้เท้าพระเจ้า 5 พระองค์ ท่านบอกว่าเวลาจะใช้ ปัจจุบันนี้สิทธิ์อยู่ในคน 5 คน ต่อไปเราก็จะรู้ว่ามีใครบ้าง จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังเรื่องของพระศรีฯว่าเกี่ยวข้องกับท้าวกงจักร กับท้าวดอกบัว อย่างไร ซึ่งเราก็ได้พบมาแล้วทั้งสองท่าน และท่านก็ปรารภให้ฟังว่าหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ท่านไปเกิดอยู่ฝั่งลาว ตอนนี้ยังเด็กอยู่ ซึ่งก็แก้ข้อสงสัยของเราได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความอยากรู้ว่าพระระดับ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน นั้นญาณศีลธรรมของท่านอยู่ที่ไหน


เช้าวันเสาร์ก็ไปทำบุญกับหลวงพ่อทองแดง เจอหน้าท่านก็บอกว่า ที่ไปทำที่พระธาตุพนมนี่เรื่องใหญ่นะ เป็นการเชื่อมนครพนมกับหนองคาย ท่านบอกว่าเรื่องการสร้างพระแก้วมรกตขนาดใหญ่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนทั้งโลก ท่านบอกว่าไม่ใช่จะมีแค่นี้นะ เสร็จพระเจ้า 5 พระองค์นี่แล้วยังมีอย่างอื่นอีกนะ ท่านบอกว่าพระธาตุพนมนี่เกี่ยวกับท้าวศรีโคตร ซึ่งก็เกี่ยวกับวัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร นั่นแหละ

จากนั้นก็เดินทางไปหาหลวงปู่เณรคำกลาง ท่านแนะนำเรื่องของ วิมุติจิต วิโมกขจิตและสมาธิจิต ท่านบอกว่าช่วงนี้หลับตาภาวนาลงเมื่อไร ก็เห็นแต่พระมหากัสสปะ ท่านแนะนำให้เราไปเรียนวิชาโลกอุดรจากหลวงปู่เณรคำน้อย และให้หลวงปู่เณรคำน้อย ท่านพาไปดูถ้ำแห่งหนึ่ง ไปดูหีบศพของเจ้าเหล่าคำ ซึ่งเป็นคนมีฤทธิ์ของลาว สมัยโบราณ ก็พอจะรู้ว่าท่านให้ไปรับญาณศีลธรรมจากที่นั่น