"วิญญาณในห่วงอาลัย"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ลูกแก้วแววตา, 29 พฤศจิกายน 2009.

  1. ลูกแก้วแววตา

    ลูกแก้วแววตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    886
    ค่าพลัง:
    +952
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>[​IMG]

    โดย สิริอัญญา 28 เมษายน 2548 19:11 น.


    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงสด ๆ ร้อน ๆ ที่วัดโพธิ์ทองบน จังหวัดนนทบุรี เมื่อเช้าของวันที่ 26 เมษายน 2548 นี้ เป็นเรื่องที่จะส่งเสริมการปล่อยปละละวางและจางคลายความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะนำมากล่าวมาแสดงในเทศกาลวิสาขมาสนี้

    แต่การนำความจริงมาเล่าสู่กันฟังนั้นบางครั้งก็ต้องออกตัวกันไว้ก่อน ดังที่พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ว่าพระองค์จะตรัสแต่ความจริง และต้องเป็นความจริงที่เป็นประโยชน์ เป็นที่ต้องใจ พอใจของผู้อื่น ความใดแม้เป็นที่ต้องใจคนอื่น แต่ไม่เป็นความจริงหรือไม่เป็นประโยชน์ก็จะไม่ตรัส ความใดแม้เป็นประโยชน์และต้องใจคนอื่นแต่ไม่เป็นความจริงก็จะไม่ตรัส ความใดเป็นความจริง เป็นประโยชน์แล้ว แต่ถ้าไม่ต้องใจคนอื่นพระองค์ก็จะทรงเลือกกาลอันควรที่จะตรัส

    คำตรัสของพระบรมศาสดาจึงเป็นที่เชื่อถือได้ มีความชัดเจน มีความแจ่มแจ้ง เป็นความจริง เป็นประโยชน์ ดังนั้นพระธรรมคำสอนของพระองค์จึงเป็นความจริงอยู่ในทุกกาล ไม่ขึ้นต่อกาลเวลา เป็นเรื่องที่ปฏิบัติเองเห็นเองได้ แล้วพึงน้อมนำปฏิบัติอย่างยิ่ง

    เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องจริง เป็นประโยชน์ และเป็นกาลอันควรคือเป็นกาลแห่งวิสาขบูชาแล้ว จึงสมควรที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งนี้มิได้มุ่งที่จะส่งเสริมหรือแพร่ขยายให้เกิดความคิดหลงงมงายในสิ่งที่ ไร้ตัวตนมองเห็นไม่ได้แต่ประการใด

    ตู่เป็นเด็กหนุ่มวัย 30 ปีต้น ๆ หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย เกิดในครอบครัวที่มีปัญหาเนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน ถึงกระนั้นก็ยังจบการศึกษาระดับอาชีวะ มีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง จบการศึกษาระดับอาชีวะเช่นเดียวกัน

    แม้ว่าตู่จะมีบุคลิกหลุกหลิกแต่ก็เป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา โอบอ้อมอารีต่อญาติพี่น้อง เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร หลังจากแต่งงานแล้วมีบุตรสาวคนหนึ่ง ผู้เป็นภรรยาทำงานอยู่ในบริษัทฝึกอบรมสัมมนาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

    หลังจากแต่งงานได้ไม่นานตู่และภรรยาอาศัยความขยันหมั่นเพียรและ
    การอดออมรอมริบ ได้สร้างฐานะตนเองขึ้น สามารถซื้อบ้านเป็นที่อาศัยของตนเอง และเช่าซื้อรถสำหรับใช้ในการทำงาน และในการส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือชั้นประถมอีกด้วย เรียกว่าฐานะเริ่มพอมีอันจะกินแล้ว

    ตู่เป็นคนรักครอบครัว ทุกวันจะไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนและรับกลับบ้าน เว้นแต่จะมีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้นจึงจะให้ผู้เป็นภรรยาไปรับลูกสาวกลับบ้าน

    ทุกเดือนตู่จะขับรถพาลูกเมียไปเยี่ยมแม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ และกลับในเย็นวันอาทิตย์ ญาติพี่น้องในต่างจังหวัดหากเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ก็รักที่จะไปพักที่บ้านของตู่เพราะทั้งตู่และเมียมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ใครไปมาหาสู่ก็มีความรู้สึกอบอุ่น

    ผู้เป็นพี่ของตู่เคยแต่งงานมีบุตรแล้วคนหนึ่ง แล้วแยกทางกันอยู่ หลังจากนั้นก็แต่งงานใหม่ ตู่จึงรับเอาบุตรของพี่ชายมาอุปการะเลี้ยงดูให้อยู่อาศัยและเรียนหนังสือที่ บ้านของตู่อีกคนหนึ่ง

    ดูไปแล้วครอบครัวของตู่ก็มีความสุข มีความอบอุ่น มีความรุ่งเรืองก้าวหน้าตามฐานานุรูปอันควร ลึกลงไปก็คือแม้ว่าตู่จะกำเนิดในครอบครัวที่พ่อแม่แตกแยกกัน แต่อุปนิสัยที่มีความกตัญญูรู้คุณบุพการี โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง ทั้งความขยันหมั่นเพียรและความซื่อสัตย์ในการดำรงชีวิต

    จึงทำให้ชีวิตและครอบ ครัวของตู่ดีขึ้นและแตกต่างจากครอบครัวของผู้เป็นพ่อแม่และพี่น้องคนอื่น

    แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น วันหนึ่งภรรยาของตู่ออกไปทำงานแต่เช้า ยังไม่ทันถึงที่ทำงานก็ได้รับโทรศัพท์จากครอบครัวของพี่ชายตู่ซึ่งอยู่ใกล้กันว่า ตู่เสียชีวิตแล้ว

    ผู้หญิงวัย 30 ปีเศษเมื่อได้ยินเหตุวิกฤตใหญ่ของชีวิตโดยไม่คิดฝันมาแต่ก่อนเช่นนี้ ก็เหมือนกับเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย รู้สึกว่าโลกนี้มืดสนิทลงในพลัน แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับบ้าน

    ผู้เป็นสามีที่นอนเตียงเดียวกันตั้งแต่เมื่อคืนกลายเป็นศพไปแล้วโดยไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่มีการสั่งเสียบอกกล่าวเล่าความใด ๆ ให้ได้ทราบล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย

    ตอนสายวันนั้นเพื่อนที่ทำงานของตู่พากันแปลกใจที่เห็นตู่เดินเข้ามาในที่ทำงานด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด และหน้าตาที่เศร้าสร้อย เห็นใครก็ไม่ทักไม่ทาย ใครทักก็ไม่พูดจาด้วย และในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น ก็ไม่มีใครเห็นตู่อีก




    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>
    จนตอนเที่ยง เพื่อนร่วมงานของตู่จึงได้รู้ข่าวว่าตู่เสียชีวิตแล้วตั้งแ ต่รุ่งสาง เพื่อนที่สนิทและเพื่อน ๆ ในที่ทำงานซึ่งต่างรักตู่ด้วยกันทั้งนั้นจึงช่วยกันเก็บข้าวของของตู่่ในที่ทำงานกลับบ้าน

    งานศพของตู่จัดอย่างเงียบเชียบในท่ามกลางหมู่ญาติเพียงไม่กี่คนที่วัดโพธิ์ทองบน จังหวัดนนทบุรี ยกเว้นก็แต่บางวันที่เพื่อนร่วมงานของตู่และเพื่อนร่วมงานของผู้เป็นภรรยามาเป็นเจ้าภาพก็จะมีผู้คนหนาแน่นสักหน่อยหนึ่ง

    แม่ของตู่ให้เก็บศพของตู่ไว้เกือบปีจึงทำการฌาปนกิจตามประเพณี แต่ก็ไม่มีวี่แววหรือสิ่งใดผิดสังเกต

    วันที่ 25 เมษายน 2548 เวลาใกล้จะค่ำแล้วพี่ชายของตู่นำลูกชายซึ่งตู่ได้อุปการะเลี้ยงดูมาหาผู้เขียน แล้วบอกว่าในวันพรุ่งนี้ผู้เป็นลูกชายจะอุปสมบท จึงขอสมาลาโทษ

    ได้ยินข่าวเช่นนั้นก็มีความยินดี และขออนุโมทนาในอุปสมบทนั้น หลังจากผู้ที่จะเป็นเจ้านาคกล่าวคำขออโหสิกรรมมอบธูปเทียนแพและกราบลงที่เท้าแล้ว ก็ได้กล่าวให้อโหสิกรรมและอนุโมทนา ทั้งได้ถามว่าได้บอกกล่าวให้บุพการีญาติพี่น้องได้ร่วมอนุโมทนาครบทุกคนแล้ว หรือยัง

    ผู้ที่จะเป็นเจ้านาคเป็นเด็กหนุ่มขี้อาย แต่มีอุปนิสัยนิ่งนุ่มนวล ไม่ตอบคำถามเอง แต่ผู้เป็นพ่อได้ตอบแทนว่าได้บอกกล่าวทุกคนแล้ว จึงได้เปล่งคำอนุโมทนาอีกครั้งหนึ่ง แล้วตั้งใจว่าขอบุญกุศลแห่งอุปสมบทนี้จงบังเกิดมีแก่ผู้เป็นบุพการีและญาติพี่น้องของเจ้านาคโดยทั่วกันเทอญ

    ตั้งใจฉะนั้นแล้วก็รู้สึกขนลุกซู่วูบวาบแปลบปลาบชอบกล สายลมเย็นฉ่ำสายหนึ่งราวกับสายลมที่พัดพาก่อนที่สายฝนจะหล่นจากฟ้าพัดมาต้อง กายให้เป็นที่น่ายินดี และน่าสบายกายยิ่งนัก ถึงกระนั้นใจก็ยังไม่นึกอะไร เข้าใจไปว่าฝนกำลังจะตก

    ในคืนวันนั้นบรรดาญาติพี่น้องของเจ้านาคทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดพากันมาที่งาน และหลายคนก็ค้างที่บ้านตู่ ในจำนวนนี้มีผู้เป็นแม่เจ้านาคซึ่งเป็นภรรยาเก่าของพี่ชายตู่ด้วย

    ดึกคืนวันนั้นแม่ของเจ้านาครู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมายืนอยู่ที่ปลายเ ท้าที่นอน แต่ก็ไม่เห็นอะไร พอจะเคลิ้มก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนมาดึงเท้าแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด ถึงกระนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ที่น่าหวาดเกรงสะพรึงกลัวนอกเหนือจากนี้

    วันที่ 26 เมษายน 2548 เวลาเช้า ผู้เป็นพ่อแม่ครอบครัวและญาติพี่น้องของเจ้านาครวมทั้งแม่ของตู่และผู้เป็นภรรยาของตู่ต่างก็ไปพร้อมกันที่วัดโพธิ์ทองบน

    หลังจากโกนหัวเจ้านาค แต่งชุดขาวตามประเพณีแล้ว เจ้านาคซึ่งเป็นคนขี้อาย นุ่มนวลและนิ่งเงียบกลับมีลักษณะผิดปกติไป มีท่าทางหลุกหลิก โยกตัวไปมา แล้วเรียกหาภรรยาของตู่พร้อมทั้งผู้เป็นแม่และลูกสาว

    ผู้คนทั้งงานพากันแปลกประหลาดใจ ในทันใดนั้นเจ้านาคก็เอ่ยปากว่า
    “นี่ตู่นะ” ทุกคนจึงเข้าใจว่าเห็นจะเป็นวิญญาณตู่มาเข้าสิงเจ้านาคเป็นแน่แท้

    เจ้านาคได้ทักทายผู้เป็นลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แล้วบอกว่าพ่อรักและห่วงลูกมากนะ ตอนเช้าพ่อยังตามไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน ตอนเย็นก็ยังไปรับกลับจากโรงเรียนทุกวัน เจ้านาคพูดเหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้

    ผู้เป็นแม่และผู้เป็นเมียเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ ผู้เป็นแม่อดใจไม่ได้จึงถามว่าลูกเป็นอะไรถึงตาย เจ้านาคก็ตอบว่าเจ็บที่หน้าอกมานานแล้ว แต่ไม่ได้บอกใคร และไม่คิดว่าจะตาย แต่ยังห่วงลูก ห่วงแม่ ห่วงพี่ ห่วงเมีย

    เจ้านาคยังหันมาทักทายผู้เป็นพี่ชายว่าทุกครั้งที่พี่ขับรถไปเยี่ยมแม่
    ที่นครสวรรค์นั้น ก็ยังนั่งไปเป็นเพื่อนเพราะห่วงใยว่าจะเป็นอันตราย เจ้าผู้พี่ก็พาลร้องไห้ไปอีกคนหนึ่ง

    หลังจากทักทายตามประสาเช่นนั้นแล้ว ผู้เป็นเจ้านาคก็ต่อว่าทั้งแม่และพี่ชายว่ารอคอยมาตั้งนานแล้ว จะบวชหลานทั้งทีทำไมถึงไม่บอกกล่าวให้ได้ร่วมอนุโมทนาบ้าง เพราะเป็นคนเลี้ยงหลานมากับมือ

    เสียงร้องไห้ระงมงาน ทั้งผู้เป็นแม่และผู้เป็นพี่ชายต่างพากันขอโทษและบอกกล่าวอุปสมบท และขอให้ตู่ได้รับส่วนแบ่งกุศลแห่งอุปสมบทครั้งนี้ด้วย เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดในที่ชอบ

    เจ้านาคก็ร้องไห้ แล้วบอกว่ามีความอิ่มอกอิ่มใจและมีความสุขแล้ว ผลบุญกุศลครั้งนี้เป็นที่พอใจแล้ว และจะไปเกิดแล้ว

    ทุกคนก็ร้องไห้ เจ้านาคก็ร้องไห้ ครู่หนึ่งเจ้านาคก็มีอาการปกติลง และถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากได้รับคำบอกเล่าแล้วเจ้านาคก็กราบขออโหสิกรรมต่อตู่ และขออุทิศส่วนกุศลในบรรพชาอุปสมบทเพื่อให้ตู่ไปเกิดใหม่ในที่ชอบ

    เรื่องก็มีอยู่เช่นนี้ และเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพิ่งมีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ปมเงื่อนอยู่ที่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องเช่นนี้แล้วจะมีความดำริไปในทางเชื่อในทางหลงงมงายที่ไม่เป็นสาระและไม่เป็นประโยชน์


    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>ต่อชีวิต หรือจะมีความดำริที่ชอบเห็นความไม่เป็นแก่นสารของชีวิต
    และสังสารวัฏนี้

    ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่อได้ยินได้ฟังได้รู้เรื่องเช่นนี้แล้วก็ย่อม สรรเสริญพระคุณของพระบรมศาสดา น้อมรำลึกถึงพระคุณแห่งการตรัสรู้ของพระองค์ น้อมรำลึกถึงพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

    น้อมรำลึกว่าชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของยาจกอนาถาหรือผู้มั่งมีหรื อผู้มั่งคั่งเป็นมหาเศรษฐี หรือผู้มีตำแหน่งใหญ่โตอัครฐานในทางการเมืองหรือบ้านเมือง

    แม้จะมีความแตกต่างกันในทางอื่นแต่ก็มีความเหมือนกันในความเป็นจริง คือมีความเกิดแล้วย่อมถูกความแก่ครอบงำ ย่อมมีความตายเป็นที่สุด อำนาจและทรัพย์สิ่งศฤงคารใด ๆ ไม่สามารถป้องกันหรือหลีกหนีให้พ้นจากอำนาจแห่งความตายได้เลย

    เมื่อชีวิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความตายเป็นที่สุด โดยที่ไม่สามารถนำพาสิ่งใด ไม่ว่าจะรักหวงแหนสักปานใดไปได้เลยเช่นนี้แล้ว

    จึงพึงละวางความยึดมั่นถือมั่นและเร่งทำความดีทำให้ชีวิตนี้ถึงซึ่งความ
    ประเสริฐและเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด

    เพราะทุกคนก็ย่อมมีชะตากรรมเช่นเดียวกับตู่นั่นแหละ ดังนี้แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ.



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ***ขอบคุณเรื่องราวจากคุณสิริอัญญาค่ะ***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2009
  2. greenice

    greenice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +1,390
    ชีวิตมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ความพัดพราก เศร้าโศรกนั้นอยู่คู่กับมนุษย์เราทุกคน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าความตายและการพลัดพรากจะมาถึงเมื่อไร แม้แต่วิญญานก็ยังตัดอาลัยและยึดถือตัวตนความเป็นเจ้าของความผูกพันไม่ได้ เป็นเรื่องเตือนสติให้เราเร่งสร้างบุญกุศล ปฏิบัติมากๆให้กระจ่างในกฏของไตรลักษณ์
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    เรื่องนี้สอนให้เราไม่ประมาทในการดำรงชีวิตนะคะ
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
     
  5. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    อนุโมทนา ได้ผ่านความรู้สึกเสียใจมาแล้ว และรู้ว่ามันเป็นทุกข์ในทุกครั้งที่นึกถึงผู้ที่ล่วงลับ/ ต้องยึดมั่นในคำสอนพระพุทธเจ้า มีสติแล้วปัญญาจะเกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สาธุ สาธุ
     
  6. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ผู้เขียน เขียนเล่าเรื่องราวได้ดีมากค่ะ มีสอดแทรกแนวคิดที่ดีงามด้วยภาษาที่ไพเราะ

    ขอบคุณ คุณสิริอัญญา.. และ

    อนุโมทนากับคุณลูกแก้วแววตาที่นำมาลงให้อ่านค่ะ
     
  7. rukthai

    rukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนาครับ <IFRAME align=top marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://www.getiton.com/go/g1176199-ppc" frameBorder=0 width=1 height=1></IFRAME>
    <IFRAME align=top marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://thai.th.nu/link/allweblink.html" frameBorder=0 width=1 height=1></IFRAME>
     
  8. tobetruly

    tobetruly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +427
    ภาพประกอบคุ้นๆ = ="
     
  9. gift Everything

    gift Everything Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +66
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ เมื่อตายไป นำไปได้เพียงแต่ บุญ และ บาป เท่านั้น เตือนตัวเองไว้เสมอ
     
  10. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,042
    เมื่อชีวิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความตายเป็นที่สุด โดยที่ไม่สามารถนำพาสิ่งใด ไม่ว่าจะรักหวงแหนสักปานใดไปได้เลยเช่นนี้แล้ว

    จึงพึงละวางความยึดมั่นถือมั่นและเร่งทำความดีทำให้ชีวิตนี้ถึงซึ่งความ

    ประเสริฐและเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด

    เพราะทุกคนก็ย่อมมีชะตากรรมเช่นเดียวกับตู่นั่นแหละ ดังนี้แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ
    อนุโมทนาสาธุทุกประการค่ะ
     
  11. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    อนุโมทนาครับ อ่านแล้วอยากจะร้องไห้ด้วยอ่า ไม่รู้เป็นไร T^T
     

แชร์หน้านี้

Loading...