ขอถามผู้รู้เรื่องจักรที่ 6 (ตาที่สาม)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Soulmaki, 21 มิถุนายน 2006.

  1. Soulmaki

    Soulmaki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +357
    คือว่าปกติแล้วเวลาทำสมาทิจะเพ่งไปที่ จักร 6 แบบทำทุกครั้งที่อยากทำ ไม่เปนเวลา บางทีก็ก่อนนอน หรือตอนอาบน้ำ จนปัจจุบันพอนึกปุ๊บ ก็รู้สึกเลยว่ามันจักกระจี้ หรือตึงๆ ที่ระหว่างคิ้ว แต่ยังไม่เคยไห้ใครเปิดตาไห้ครับ
    แล้วเมื่อวานซืน มีปรากดการที่ไม่เคยเจอ คือตอนนั่งทำสมาทิอยู่แล้วก็เพ่งจักรที่ 6 เหมือนที่เคย แล้วก็ลองหมุนลำกล้องดู(นิมิตเอาเอง) ปรากดว่า มีแสงไม่เล็กแล้วก็ไม่ไหญ่มาก สว่างขึ้นมา (คล้ายๆกับแฟรดกล้องถ่ายรูป) ว้าป เดียว ตกใจมากๆ ใจเต้นตุบๆๆ แล้วก็พยายามไม่ไห้หลุดจากสมาทิ พยายามดึงสมาทิกลับมา แล้วก็เหนเปนแบบว่า..อาทิบายยากหน่อย มันเปนมืดๆแต่ไม่เหมือนมืดๆแบบหลับตา มันเหมือนกำลังลืมตาทั้งๆที่หลับตา แต่ไม่เห็นอะไร เหมือนลืมตาอยู่ในความมืด (อทิบายยาก) เหมือนจะมองเหนถ้ามันมีแสงแต่มันไม่มีแสง
    สรุปแล้วแสงว้าปๆ มันคืออะไรอะ ?
     
  2. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920

    ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไอ้จักรที่ 6 นี่มันจักรอะไร? มันคือจักรยาน หรือ กงจักร หรือ จักรเย็บผ้า หรือ วรจักร หรือ เจ้ายุทธจักร หรือ ฝีจักร บอกให้มันชัดเจนหน่อยสิครับเผื่อรู้จะได้ช่วยถูกทาง

    แต่ไม่เป็นไรแม้ไม่รู้ ก็ขอเดาๆเอาละกันนะ ถูกผิดก็อย่าถือสาไอ้คนที่ยังไม่เต็มบาทอย่างผมนะครับ

    ..................ผมเข้าใจว่า ไอ้จักร จักรที่6 หรือ ตาที่สาม ก็คือใจ หรือ จิตของคุณ ไม่ต้องให้ใครมาแหกตาคุณหรอก พอสมาธิเข้าถึง(อุปจารสมาธิ) จิตก็รับสัมผัสได้ อย่างที่คุณเริ่มสัมผัสกับแสงแว๊บๆนั่น ก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝึกสมาธิในแนวสุขวิปัสสโก ที่จิตเข้าสู่ขั้นอุปจารสมาธิ ก็จะเห็นแสงแวบไปแวบมาบ้าง เห็นผีบ้างเห็นอะไรต่อมิอะไรบ้างสุดแท้แต่จะเห็น แต่การเห็นจะเห็นแบบฟลุ๊กๆ ตั้งใจเห็นไม่ได้ หากสมาธิจิตเลยขั้นอุปจารสมาธิเข้าสู่ฌาณ ตั้งแต่ฌาณ 1-4 อาจจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แต่.......เอ แล้วจุดประสงค์ของคุณในการฝึกสมาธิเพ่งไอ้จักรจักรนี่เพ่งไปทำไม? ไม่ยักกะบอกไว้....แต่ไม่เป็นไรอีกแหละ จะตอบให้

    การฝึกสมาธิไม่ว่าจะเป็นแนวใดสำนักใด ใช้วิธิใดนั้นไม่ผิด แต่ต้องเลือกให้ถูกแนวที่เหมาะกับจริตของตน ไม่ใช่ฝึกแบบมั่วถั่ว โดยฝึกตามตามกันไปโดยไม่รู้เป้าหมายของการฝึก

    การฝึกสมาธิ หรือ สมถะภาวนาฝึกเพื่อให้เกิดกำลังของจิต(ไม่ใช่จักร) เมื่อจิตมีกำลังแล้ว ก็น้อมนำมาพิจารณาในด้านวิปัสสนาญาน เพื่อใช้ตัดกิเลสในใจ(ไม่ใช่ในจักร)ให้หมดสิ้นไป ส่วนใหญ่มักจะหลงไหลใฝ่ฝันอยู่กับนิมิตที่เกิดขึ้นขณะที่ฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อน(ผมก็เป็นครับ) เป็นของแปลกใหม่ ขนาดเห็นแสงแวบคล้ายแฟลตยังรู้สึกว่าอัศจรรย์เลย หากสามารถเห็นสวรรค์ นรก หรืออื่นๆ จะอัศจรรย์ขนาดไหน หรือถึงขนาดพูดคุยกับเทวดา หรือสัตว์นรก หรือ ผีอื่นๆได้จะเป็นอย่างไร

    เพราะฉะนั้นจึงควรรู้เป้าหมายของเราเองก่อนว่าจะฝึกไปหา...อะไร? แล้วแนวทางที่เหมาะกับเป้าหมาย...ของเราคือแนวไหน? ควรศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน..........ก็แนะนำได้ตามความรู้แค่หางมดเพียงเท่านี้ครับ
    และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสมประสงค์นะครับ


    สวัสดีมากครับ
    จากคนที่คอยการเต็มบาทในชาตินี้
    (b-oneeye)
     
  3. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    คุณวิเชียรครับ จักระที่หก เป็นตำแหน่งที่หกที่พลังมีการวิ่งผ่านเป็นจำนวนมากของตัวเรา ถ้าอยากรู้รายละเอียดก็ลองติดต่อสอบถามข้อมูลจากอาจารย์อาชวิน (The Third Eyes) ดูนะครับ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องณานสี่ หรือ เรื่องวิปัสสนาหรอกครับ
     
  4. Soulmaki

    Soulmaki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +357
    คุณvichian คือ จุดมุ่งหมายของการฝึกแบบนี้ของผมคือ ต้องการดึงความสามารถของสมองมาใช้ไห้ได้มากกว่านี้ครับ เพราะทัมมะดาคนเราไช้กันได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็น คือมันเป็นแนวกึ่งวิทยาศาตร์มากกว่าครับ แต่ถ้าทำสำเร็จผลพลอยได้ก็มีเยอะ เพราะเราจะเหนโลกแห่งความจริงไม่ใช่โลกของวัตถุ โลกแห่งความจริงคือโลกของพลังงาน หรือตามแบบพุทธก็คือ ทิพจักรสุยาน(ไม่ไช่จักรยานนะ) นั่นแหละครับ แล้ววิปัสนาก็จะตามมาเองเมื่อได้เหนอะไรหลายๆอย่าง แต่ที่สำคัญผมยังทำไม่ถึงขั้นนี่ดิ T T (จะพยายามต่อไป ครับ หาคนช่วยสอนอยู่ )
     
  5. ปภา

    ปภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +320
    การฝึกของคุณ criiuj น่าจะเป็นการฝึกแบบวัชรยาน แต่มุ่งเน้นที่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพของสมองส่วนกลางให้ตื่นตัวและทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่เคยได้รู้มาว่าสิ่งสำคัญคือการฝึกการควบคุมลมปราณเข้า - ออก ลองดูที่ www.suvinai-dragon.com ว่าเหมือนที่คุณอยากเรียนไหม...

    ขอติงนิดหนึ่ง เรื่องการใช้ภาษาเขียนของคุณ เวลาที่อ่านกระทู้แล้วดูเหมือนเด็ก ๆ ทำให้ขาดน้ำหนักในความมุ่งมั่น (ดูเป็นเด็กไปค่ะ)
     
  6. ohogamez

    ohogamez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ครูอาจารย์ท่านเคยสอนการเพ่งตรงหัวคิ้ว (ตาที่สาม) เป็นวิชาถอดจิตตามสายสมเด็จโต หรือ กรรมฐานแบบลำดับที่มีมาสมัย สมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน )

    การกำหนดจิตที่ตรงใดก็ตามบนกาย ถ้าหมายเอาความสงบเป็นเป้าหมายแรก

    แล้วอาศัยความสงบจนเกิดญาณรู้ หรือ ญาณเห็น
    อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างแล้วแต่วาสนา การฝึกปรือ

    มากำหนดรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ลงสู่ไตรลักษณ์

    0000000000000000000000000000000000000000


    บางครั้งตาในเริ่มเปิด แต่ภาวะจิตยังไม่สงบจนเข้าสู่สภาวะมั่นคงเป็นฌาณ

    มักจะเห็นแสงบ้าง
    พอสงสัย ติดความคิด ก็มืดไป

    หรือ อาจเป็น แสงดำ หรือสีเทาๆ ก็เป็นสีของคลื่นความคิด หรือคลื่นหยาบๆที่อยู่ที่ตัวเรา และรอบข้าง ( จึงรู้สึกว่า เห็น แต่ เห็นในที่มืด )

    คุณทำดีแล้ว

    พยายามต่อไปครับ หมั่นวางจิตเบา สบายๆ แตะตรงนั้นเสมอๆ

    ลองปรึกษาอาจารย์อาชวิน หรือ THE THIRD EYE ดูอีกทีนะครับ

    เพราะประสพการณ์อาจต่างกันบ้าง
     
  7. ง้วนดิน

    ง้วนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,362
    ค่าพลัง:
    +11,047
    วิธีนั่งสมาธิแบบหลวงปู่ดู่ (วัดสะแก อยุธยา)
    ท่านก้อให้กำหนดที่หน้าผากตรงหว่างคิ้วทั้งสอง
    (บางคนก้อว่า อยู่เหนือกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วขึ้นไปนิดนึง)
    ที่เรียกกันว่า ตาที่สาม หรือ จักระ ๖ เช่นกัน
    ซึ่งก้อคือ ใจ หรือ จิต หยั่งที่คุณ "วิเชียร" ว่า
    โดยหลวงปู่ดู่ท่าให้ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า
    "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ"

    "ง้วนดิน" ชอบคุณ "วิเชียร" ตอบนะ
    อ่านจากหลาย ๆ คำตอบของคุณ "วิเชียร"
    คุณ "วิเชียร" ชอบแกล้งทำเปนคนบ้า
    แต่จิงจิงแล้วคุณมีภูมิรู้เยอะนี่นา.........

    คุณเก่งมากนะ....คุณ "วิเชียร"

    เมื่อไหร่จาเลิกแกล้งทำเปนคนบ้า

    ไง "ง้วนดิน" ขอเปน "แฟนขับ" คนแรกของคุณ "วิเชียร" นะ



     
  8. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    คุณ criiuj
    ลองทำใหม่
    ให้นอนหงายนิ่งๆ
    มองเพดานห้องนิ่งๆๆ แบบมีสมาธิ
    เริ่มจาก หลับตามองเพ่ง
    ดูซิว่า มีแสงวิ่งออกมาเป็นแวบ และเป็นวงออกจากตาไปสู่เพดานหรือไม่

    แล้วเปลี่ยนเป็นลืมตาเพ่งมองเพดานแบบเดิม ดูว่า จะมีแสงวงวิ่งออกไป หรือเปล่า
    ได้ผลอย่างไร เล่ามา จะได้ วิเคาระห์ได้ถูก
    ครับ
     
  9. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    หลับตาแต่เหมือนลืมตา มองไม่เห็นอะไร มีแต่มืดๆ . . . มันทำง่ายมากเลยอะครับ
    เราก็นั่งนะ แต่เราพยามไม่สนนิมิตอะ

    จักระ คือพลังของจิ้งจก 9หาง - - ไช่ไหมหว้า . . .
     
  10. Soulmaki

    Soulmaki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +357
    ขอบคุณทุกคนมากที่แนะนำนะครับผม จะลองทำแบบที่คุณ The Third Eyes แนะนำดูนะครับ
    คือคุณ damrong ครับ แบบว่าที่คุณบอกว่ามันง่ายมันก็ช่ายแต่ที่เป็นวันนั้นมันไม่เหมือนที่เคยเป็นอะครับ

    เอ่อคุณ The Third Eyes ครับ ช่วยสอนผมเปิดจักรที่ 6 ด้วยตัวเองได้มั้ยครับแบบเหนเลยอะครับ คือตอนนี้ทำได้แค่ พอเพ่งสมาทิเมื่อไรก็เต้นตุบๆ หรือเหมือนมีสติ๊กเก้อแปะไว้บนระหว่างคิ้วเลย แบบเพ่งปุ๊บรู้สึกปั๊บเลย แล้วก็มีณานรู้ในบางครั้งอย่างเช่นพูดสนทนากลับใครแล้วรู้ว่าเค้าคิดอะไรเลยอะครับและบางทีแค่ดูรูปก็รู้ว่านิสัยคนในรูปเป็นยังไงแต่ไม่ทุกครั้งนะครับ แล้วต้องทำยังงัยต่อครับ ช่วยแนะนำหน่อยครับ
     
  11. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ดีครับ สอนเลยเราจะได้ลองดูบ้าง สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าไอ้ ตุบๆ หรือเหมือนคนเอานิ้วมาจี้ ตรงหว่างคิ้ว หรือสันจมูก เคลื่อนไปมาได้ เขาเรียกว่าอะไร คิดมาตลอดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะเราเริ่มจากการ เอานิ้วไปสัมผัส
    แล้วจำสัมผัสนั้นไว้ จนเดียวนี้ นั่งลืมตาก็เกิดความรู้สึกนั้นได้ โดยเฉพาะ ตรงสันจมูก บางที แรง จนตึงออกไปรอบๆเลยเชียว
    และเราก็มันใจว่า มันไม่ไช่อาการเกร็ง แต่เป็นอาการเพ่ง ความรู้สึกไปที่จุดๆเดียว แต่เพราะฝึกสมาธิ แบบเพ่งลมหายใจอยู่เลยรู้สึกว่า ที่เราเป็นมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ก็เลยหยุดแค่นั้น
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ประสบการณ์ลี้ลับ: สัมผัสเรื่องลี้ลับของ "คนตาทิพย์"</TD></TR><TR><TD>โดย สายทิพย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตอนที่ 1
    ลอดช่วงชีวิตของคน บางคนกว่าจะรู้ค่าลึกซึ้งของคำว่า “วาง” และได้ก้าวย่างไปในแดนแห่งพุทธธรรม บางครั้งก็อาจจะสายเกินไป แต่ยังดีกว่าบางคน ที่ทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักความพอดี และความสงบ เดินหาทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไม่พบ เพราะมัวพาตัวเองหลงอยู่ในวังวนของ “กิเลสตัณหา” เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกชาติไปหนทางหลุดพ้นของผู้นั้นคงไม่มาถึง

    [​IMG] ผู้เขียนได้พบ “นักปฏิบัติและผู้ฝึกพลังจิตบำบัด” ในด้านของ “พลังจักรวาล” ท่านหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้รู้จักท่านผู้นั้นคือ “อ.อาชวิน จิรจินดา” อดีตวิศวกรไฟฟ้า ผู้ผันตัวเองหลังจากเกษียณจากงาน ด้วยการหันมาสนใจการปฏิบัติธรรม และฝึกสมาธิบำบัดด้วยพลังจักรวาล โดยใช้เวลาศึกษาและปฏิบัติไม่นาน ปัจจุบันท่านกลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังจิตคนหนึ่งของเมืองไทย

    อ.อาชวิน จิรจินดา เป็นหนึ่งในผู้ที่มีสัมผัสพิเศษที่แม่นยำท่านหนึ่งที่ผู้เขียนได้รู้จัก ท่านสามารถใช้ตาในของท่านตรวจดู จนรู้ในสิ่งที่คนธรรมดาไม่รู้ และเห็นในมิติต่าง ๆ ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต “ตาใน” ที่ว่านี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ตาที่สาม” เป็นตาที่สามของมนุษย์ซึ่งอยู่ตรงกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว 2 ข้าง และมนุษย์จะมีดวงตาเช่นนี้ทุกคน บุคคลใดปฏิบัติดีมีสมาธิจำดีตาที่สามจะเปิด ทำให้มองเห็นมิติมหัศจรรย์ สิ่งแปลก ๆ อาทิ วิญญาณ อดีตกาล และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น “อภิญญา” ที่เรียกว่า “ทิพพจักขุ” หรือมี “ตาทิพย์”

    อ.อาชวินได้เริ่มต้นการฝึกสมาธิ และศึกษาด้านพลังจักรวาลโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่สามารถนำ “พลังสมาธิ” จากการฝึกเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยสนใจและไม่เคยรู้จักเรื่องของ “พลังจิต” ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อมาลองสัมผัส และฝึกปฏิบัติดูกลับทำได้ดีราวกับเคยปฏิบัติมานาน นั่นอาจจะเป็นเพราะท่านมี “ของเก่า” คือ บารมีทางด้านนี้ที่สะสมมาแต่อดีตชาติ อ.อาชวินได้เล่าประสบการณ์ของการฝึกจิตให้ฟังว่า
    “ตอนเป็นเด็กอาจารย์อยู่โรงเรียนฝรั่งไม่เคยเข้าวัดไทย สวดมนต์ก็ไม่เป็นทั้ง ๆ ที่เป็นคนพุทธ ตอนเช้าพอเข้าโรงเรียนก็สวดมนต์แบบคริสต์ จนจบออกมาก็ทำงานที่การไฟฟ้ายันฮี กระทั่งถึงกลางปี 2543 เพื่อนภรรยาเขาแม่ป่วยหนักเป็นโรคร้ายแรง เขาก็ไปเรียน “พลังจักรวาล” เพื่อมารักษาแม่ คนที่เรียนพลังจักรวาลก็คือ ต้องนั่งสมาธิและฝึกเชิญพลังลง ซึ่งแฟนอาจารย์ก็ไปเรียนด้วย ทีนี้เขาก็ให้อาจารย์ขับรถไปรับไปส่ง อาจารย์ก็เลยไปนั่งฟังด้วย พอฟังก็มาลองทำตาม ก็เอ๊ะ!... มันแปลก ๆ ดี ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามีพลัง จู่ ๆ พอมองคนก็อุ้ย! ทำไมตัวมันเรืองแสง เห็นสีเห็นแสง แล้วเมื่อมองเพ่งมาก ๆ เข้าก็ชักอยากจะดูข้างใน หัวใจเป็นยังไง ก็เห็นตับไตไส้พุงหมดเลย คือ แค่จิตนึกจะรู้ก็เห็นหมดเลย แล้วพอมอง ๆ ไปอย่างคนมีองค์ในก็เห็น บางคนเขามีเทวดาคุ้มครอง ร่างจะซ้อนกัน

    และ “จิต” คนเรานี่นะถ้ารวมกันเป็นหนึ่งได้ พลังจิตมหาศาลเลย และ “จิต” นิ่งเมื่อไหร่ “ตาใน” ก็จะเปิด ทีนี้ถ้าจะทำให้ได้คือหนึ่ง ต้องทำสมาธิให้เป็นซึ่งถ้านั่งแล้วจิตรวมเป็นหนึ่งได้ “อภิญญา” มาหมดเลย ทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ถูกต้องมองอะไรก็เห็น แค่มองหน้าคนเขาคิดอะไรเราจะรู้ทุกอย่าง แต่ระยะเวลาในการฝึกของแต่ละคนมันจะไม่เท่ากัน บางคนมีสะสมไว้แล้วจากชาติเก่ามันก็เร็ว เขาเรียกว่า บารมีจากชาติเก่าตามกลับมา เพราะฉะนั้นคนที่มีอยู่แล้วจะเร็วและดีขึ้นเรื่อย ๆ”

    ประสบการณ์แปลก ๆ หลังจากการฝึกพลังสมาธิได้ใหม่ๆนั้น อ.อาชวินได้เขียนลงในหนังสือ “ตาที่สาม” โดยเป็นการเรียนบอกเล่าถึง “ตาที่สาม” ที่มองเห็นและสัมผัสกับสิ่งลี้ลับในภพภูมิต่าง ๆ ซึ่งเรื่องราวมหัศจรรย์ต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร ผู้เขียนจะถ่ายทอดมาให้ได้อ่านกันแต่ย่อ ๆ
    [​IMG] ประสบการณ์การหัดนั่งทำสมาธิในระยะแรก ๆ ของอ.อาชวิน ท่านเล่าไว้ในหนังสือ “ตาที่สาม” ว่าหลังจากหัดนั่งได้ 4-5 วัน ก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นแม่เหล็กเหนี่ยวนำไฟฟ้า เวลาถูกเนื้อต้องตัวคนอื่นก็เหมือนกับมีไฟดูด ยิ่งทำสมาธิไปนานๆก็ยิ่งรู้สึกว่า มีพลังไฟฟ้าในตัวเพิ่มขึ้น เวลาเข้าใกล้ทีวีภาพจะล้ม อยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่ได้ เมื่อปฏิบัติอีกก็พบว่า เวลาหลับตาลงรู้สึกเหมือนบนหน้าผากมีจอทีวีขาวดำ แล้วต่อมาก็มีภาพปรากฏบนจอ เป็นภาพที่ประหลาดมหัศจรรย์มากมาย ซึ่งเหมือนเป็นนิมิตที่ซ่อนความหมายบางอย่าง เช่น เห็นภาพดอกบัวถวายพระนับพันดอกเรียงรายอยู่ในถาดขนาดยักษ์ สวยงามมาก วันต่อมาเมื่อปฏิบิตอีกก็เห็นอีก คราวนี้เป็นภาพดอกบัวนับล้าน ๆ ดอกอยู่ในถาดขนาดมหึมาหมุนไปช้า ๆ ตามเข็มนาฬิกา มีแสงสว่างสีชมพูสาดส่องลงมาทำให้บนถาดนั้นสว่างไสว
    แล้วยังมีเหตุการณ์ที่แปลก ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางจิตของอ.อาชวิน เมื่อเริ่มฝึกจิตใหม่ ๆ อาจารย์เล่าไว้หนังสือตาที่สาม เกี่ยวกับการมองเห็นแสงมหัศจรรย์ในกายมนุษย์ด้วยตาที่สามว่า มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์ไปคอยใส่บาตรพระที่วัดเชิงกระบือ อยู่ที่อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน ที่นั่นจะมีแม่ค้าอายุราว 50-60 ปี อยู่คนหนึ่งเป็นคนขายอาหารใส่บาตรพระโดยจัดเป็นชุด ๆ ซึ่งป้าคนนี้แกทำอาหารขายอยู่ที่นี่มานาน วันนั้นก็พอดีมีคนรู้จักกับป้า ผ่านมาทักทายว่า “ขายอาหารให้คนใส่บาตรมานานแล้วคงได้บุญมาก” ป้าก็ตอบว่า “ขอให้ได้เป็นอย่างนั้นเถิดสาธุ” เมื่ออ.อาชวินได้ฟังก็สนใจจึงลองใช้ตาที่สามเพ่งมองดูป้าคนนั้น ปรากฏว่า เห็นแสงของกายทิพย์ที่ออกจากตัวแก เป็นเส้นสีทองเรืองสว่างรอบขอบผิวหนังหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งหมายถึง การเป็นผู้ยินดีที่จะช่วยผู้อื่นเสมอ พอมองจ้องนาน ๆ เข้า ป้าคนนั้นก็สะดุ้งเหมือนถูกไฟช็อต หันมามองอาจารย์ซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นคนเดียว แกถามว่า “คุณมองป้าหรือ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิด ตาคุณนี่แรงจัง” ปรากฏการณ์ดังกล่าวอ.อาชวินได้มาวิเคราะห์ในแง่วิทยาศาสตร์ได้ความว่า ตัวป้าคนนั้นแกคงมีประจุไฟฟ้าอยู่รอบ ๆ ตัว เพราะแกคงปฏิบัติสมาธิจึงมีพลังไฟฟ้า พออ.อาชวินส่งพลังไฟฟ้าออกไปด้วยสายตา ไฟฟ้าต่างประจุเมื่อมาพบกันก็เลยต้องช็อตกัน

    ฉบับหน้าจะเล่าถึงประสบการณ์ทางวิญญาณที่อ.อาชวินพบเห็นโดยใช้ตาที่สามตามสถานที่สำคัญและโบราณสถานต่าง ๆ[​IMG]
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ประสบการณ์ลี้ลับ: สัมผัสเรื่องลี้ลับของ "คนตาทิพย์"</TD></TR><TR><TD>โดย สายทิพย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตอนที่ ๒
    [​IMG] “อภิญญา” ตาที่สามของ อ.อาชวินนั้นนอกจากจะสามารถมองเห็นออร่า หรือ “แสงกายทิพย์” ในตัวมนุษย์ ที่มีมากมายหลายสีแล้ว เวลาไปตามสถานที่เก่าแก่ หรือโบราณสถาน เช่น วัดและวังโบราณต่างๆ อาจารย์ก็มักจะมองทะลุมิติเห็นไปถึงวิญญาณและทรัพย์สมบัติต่างๆที่ถูกซุกซ่อนไว้ และบางครั้งเมื่อไปเยือนวัดต่าง ๆ เพียงแค่เห็นหน้าสมภารเจ้าวัดบางวัด อาจารย์ก็รู้แล้วว่าแต่ละรูปเป็นใครมาเกิด และทำไมต้องมาอยู่ที่สถานที่แห่งนี้ ซึ่งอาจารย์อาชวินได้เล่าให้ฟังว่า

    “อาจารย์ชอบไปวัดเก่า ๆ พอไปถึงปั๊บก็จะเห็นมิติอีกแบบหนึ่งที่สัมผัสได้ อย่างเวลาไปอยุธยานะ อาจารย์มองเจ้าอาวาสแต่ละรูป เออ! พม่ากลับมาเกิดทั้งนั้นเลย เขาทำลายวัดไทยก็ต้องกลับมาเกิด และบวชชดใช้เพื่อสร้างวัด วัดใหญ่ ๆ ดัง ๆ หลวงพ่อทั้งหลายคือพม่าเก่าที่เคยยิ่งใหญ่กลับมาบวชทั้งนั้น เป็นการชดใช้กรรมอย่างหนึ่ง อาจารย์ก็มีเพื่อนอยู่คนนึง เป็นนักเขียนเรื่องพลังจิต เขาเก่งทางสมาธิมาก เจอหน้าเขาครั้งแรกรู้สึกเลย ‘ชาติก่อน เรารบกันนะ คุณฟันผมตกน้ำตายนะ’ เขาก็รู้ เขาขอโทษในบาปกรรมเมื่อชาติที่แล้วของเขา เกิดมาชาตินี้เขาเลยต้องมาสร้างวัด ตอนนี้ก็ไปสร้างสวนป่า ไปช่วยชาวบ้าน”
    “หรืออย่างไปที่วัดมงคลบพิตรเจออะไรบ้าง ที่นั่นมีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ตามใต้ประตู แต่ที่น่ากลัวคือข้างๆ พระราชวังคือ ‘พระที่นั่งศรีสรรเพชญ์’ พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สร้างยังอยู่เลยยังไม่ยอมไปเกิด เพราะท่านห่วงวังท่าน แล้วเดินไปเนี่ยวิญญาณลอยเป็นร้อยดวงเลย ทหารไทยถูกฆ่าตายเยอะ ที่นั่นแรงมาก ตามบริเวณประวัติศาสตร์วิญญาณไม่ยอมไปเกิดก็เพราะเขาห่วงของเขา ถ้าจะไปเกิดต้องวางหมด ละวางทุกอย่างไม่ให้ยึดติด”

    เกี่ยวกับ “มิติวิญญาณ” ภายในบริเวณวัดมงคลบพิตร ที่ อ.อาชวิน ใช้ตาที่สามสำรวจดูนั้น มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือตาที่สาม ที่ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังอย่างย่อๆว่า ที่นั่นมีไหและหีบสมบัติโบราณฝังซ่อนไว้ใต้ซากสิ่งก่อสร้างโบราณด้านหน้าโบสถ์ ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร และเมื่ออาจารย์เดินเข้าไปภายในเขตพระราชวังโบราณ และพระที่นั่งศรีสรรเพชญ์ เดินเข้าไปทางด้านหลังซึ่งเป็นอดีตท้องพระโรงขนาดใหญ่ อ.อาชวินได้หลับตากำหนดจิตเพื่อดูว่ามีใครอยู่ที่นั่นหรือไม่ ก็ปรากฏเป็นร่างสีฟ้าอมเทาของ “บุรุษโบราณ” ร่างสูงใหญ่ นุ่งโจงกระเบนสั้น ใส่สร้อยสังวาลย์ไขว้ ไม่ใส่เสื้อ บนศีรษะมีมงกุฎสูง ยืนนิ่งๆอยู่บนพื้นยก สีหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ จิตจึงถามว่า “เป็นผู้ใด” ได้รับคำตอบกลับมาทางจิตว่า “เราคือบรมไตรโลกนาถ” เมื่อได้รับคำตอบ อ.อาชวินก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อ เพราะเข้าใจในความรู้สึกของพระองค์ถึงการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา จากนั้นได้ถวายบังคมลา และเดินออกจากท้องพระโรงไปทางขวา จะมีประตูเชื่อมต่อระหว่างพระที่นั่งศรีสรรเพชญ์กับพระราชวังโบราณ ด้านนอกนั้นเป็นที่โล่งกว้าง อาจารย์อาชวินลองหลับตามองดูด้วยตาที่สามก็พบว่า “มีดวงวิญญาณที่สว่างเหมือนเปลวเทียนลอยไปมาเหมือนคนเดินอยู่เต็มไปหมด คาดว่าเกิน 200 ดวง เป็นดวงวิญญาณที่ถูกฆ่าในสมัยกรุงแตก และยังไม่ไปผุดไปเกิด”

    [​IMG] ภาพของมิติวิญญาณจากตาที่สามภายในพระราชวังโบราณยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเมื่อ อ.อาชวินเดินกลับต้องผ่านประตูแคบๆที่หักเหไปมาเหมือนประตูกล อาจารย์ต้องหยุดยืนนิ่งอีกครั้ง เพราะปรากฏร่างของอมนุษย์ตนหนึ่งยืนขวางประตูอยู่ "เป็นร่างของชายกำยำ นุ่งหยักรั้งยืนเฉย ๆ ร่างกายขะมุกขะมอมเหมือนถูกไฟไหม้ทั่วตัว ซึ่งมองเห็นจนเกือบดำ เมื่อกำหนดจิตรู้ก็ได้คำตอบกลับมาว่า ถูกฆ่าและถูกฝังร่างอยู่ข้างใต้ เพื่อให้เป็นวิญญาณเฝ้าประตู ตามร่างกายมีร่องรอยการเผา อ.อาชวินให้ความเห็นว่า ในสมัยก่อนการฆ่าคนให้เป็นวิญญาณเฝ้าประตู เขาคงไม่ได้ฝังเฉย ๆ แต่คงมีการเผาทั้งเป็นเพื่อให้เฮี้ยน และเมื่อ อ.อาชวินได้แผ่กุศลไปให้ ร่างนั้นจึงค่อย ๆ จางหายไป

    ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนเขาจึงเตือนไว้นักหนาว่า ถ้าเข้าไปในสถานที่เก่าแก่ โบราณเช่นนี้ ห้ามทำกิริยาไม่งามเด็ดขาด ถ้าขืนไปลบหลู่ไม่เคารพสถานที่ อาจจะต้องเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ที่หาคำตอบไม่ได้จากดวงวิญญาณซึ่งเฝ้าสถานที่อยู่ก็เป็นได้ และจาก “อภิญญาตาที่สาม” ที่ทำให้ อ.อาชวินกลายเป็น “คนตาทิพย์” นี้ อาจารย์ยังได้เล่าถึง “บารมีพระพุทธเจ้าหลวง” สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 ซึ่งอาจารย์เคยเปิดตาที่สามขอดูโลกต่างมิติที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และได้พบภาพมหัศจรรย์ของพระองค์ท่าน นั่นก็คือ เมื่อจิตเป็นสมาธิ อาจารย์ก็ได้ยินเสียงนกหวีดแว่วมาเบา ๆ และมองเห็นทหารม้าองครักษ์ในรูปสีม่วงทองราง ๆ จำนวนหนึ่งเรียงเป็นแถว ค่อย ๆ ขยับเคลื่อนมาชิดอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า ทันใดนั้น “สมเด็จพระปิยะมหาราช” พร้อมกับม้าทรงที่ยืนอยู่บนแท่นสูงก็เริ่มแยกออกเป็น 2 ร่างซ้อนกัน แล้วกระโจนทะยานลอยลงมาช้า ๆ ขบวนม้าที่รออยู่ก็มีสัญญาณให้เริ่มขบวนออกเดิน

    ภาพที่ อ.อาชวินได้เห็นคือภาพขบวนเสด็จเคลื่อนไปตามถนนราชดำเนิน ซ้อนไปกับถนนปัจจุบันที่มีรถยนต์วิ่งกันอยู่ขวักไขว่ จิตอาจารย์บอกว่า ขณะนี้พระองค์กำลังทรงขบวนม้าตรวจเมืองเหมือนเช่นในอดีต ถึงแม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว แต่ดวงพระวิญญาณก็ยังทรงห่วงใยประชาชนและบ้านเมืองไม่รู้คลาย

    [​IMG] เรื่องสุดท้ายที่จะเล่าให้ฟัง ซึ่งย่นย่อมาจากหนังสือ “ตาที่สาม” ของอาจารย์อาชวินคือเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ความจริงรายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ที่นำมาเล่านั้น ยังมีสาระสำคัญที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่ถ้ายกมาหมดเกรงว่าจะไม่พอกับหน้ากระดาษ ถ้าใครสนใจคงต้องไปซื้อหนังสืออ่านกันเอง
    อ.อาชวินเคยใช้พลังสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว พบว่าในเมืองไทยและทั่วโลก เคยมีมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่นมาเยือนบ่อยครั้ง มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้มาจากหลายแห่ง ส่วนใหญ่มาเพื่อติดต่อกับมนุษย์บนโลก ให้ผู้คนบนโลกนี้ปฏิบัติต่อกันอย่างมีคุณธรรม อย่ารุกรานและมีสงคราม เพราะยิ่งนานไปอาวุธจะทำลายกันเอง ซึ่งเป็นการฆ่าตัวตายทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าโลกนี้เสียหายไป จำให้ความสมดุลของจักรวาลทั้งระบบเสียศูนย์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อจักรวาลรวม
    มนุษย์ต่างดาวที่มาจากดวงดาวคนละระบบจะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน ซึ่ง อ.อาชวินเคยดูออร่าของพวกเขาและพบว่ามีออร่าสีเทาเงินหรือสีบรอนซ์ ซึ่งเป็นรูปแบบของเทพหรือสิ่งที่มีพลังจิตสูง และมีพลังแรงแบบพลังหมุน หากมนุษย์ต่างดาวลงมาอยู่บนโลก เมื่อเขาปล่อยพลังเต็มที่ มนุษย์ที่อยู่ภายในรัศมี 15 เมตร จะทนไม่ได้ และจะมีอาการเหมือนถูกเหวี่ยง แล้วตัวคน ๆ นั้นจะถูกหมุนปั่นเป็นลูกข่างอยู่ตรงนั้น สำหรับสีออร่าของมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจารย์เคยตรวจพบในมนุษย์ธรรมดาบนโลก ซึ่งเมื่อค้นข้อมูลและสอบถามแนวคิด รวมทั้งประสบการณ์แปลกๆที่เขาพบ จึงสรุปได้ว่า ในปัจจุบันมีหลายคนที่เป็นจิตหรือกายทิพย์ของมนุษย์ต่างดาวลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกนี้จะมีลักษณะพิเศษทั้งรูปร่างหน้าตา ตลอดจนอุปนิสัย

    คัดลอกมาจาก นิตยสารหญิงไทยฉบับที่ 727 ปีที่ 31 ปักษ์หลัง เดือนมกราคม พ.ศ. 2549
    http://www.yingthai-mag.com/content_test.asp
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2006
  14. aonwit01

    aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +1,025
    กรรมแล้ว เราคงเป็นอสูรดูดวิญญาณจากต่างดาวกลับมาเกิดแน่เยย
     

แชร์หน้านี้

Loading...