ความลึกลับของขบวนเรือ พยุหยาตราศรีสุพรรณหงส์ ที่เป็นของจริง

ความระทึก เริ่มแล้ว และ ก็มาทันอ.เขียนอยู่พอดี เป็นความบังเอิญที่ไม่ได้นัดหมายจริงๆเลย ครับ.....


โปรดติดตามต่อไปด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน (ภาค๒ จ้า)

 

ครุฑ คือ พญานก เป็นสัตว์ ป่าหิมพานต์
มีลักษณะผสมผสานระหว่าง มนุษย์กับนก
ตัวและแขนขา เป็นอย่างคน ส่วนศีรษะ ปาก ใบหน้า
เหมือนพญานกอินทรีย์

ในอดีต ครุฑ ไม่มีฤทธิ์เดชแต่อย่างใด
จึงถูกพวกนาค รังแกมาตลอด
ครุฑ จึง ไปร้องขอความเป็นธรรมจากมหาเทพ
เมื่อมีการสอบสวนว่า นาครังแก ครุฑ จริง

มหาเทพจึงให้อำนาจแก่ครุฑ ในการป้องกันตัว
และจับนาค กินได้ โดยมีข้อแม้ว่า
ครุฑจะจับนาคที่มีกำเนิดสูงกว่า กินไม่ได้
คือ นาคที่มีลักษณะ ดังนี้
1. ชาติกำเนิด สูงกว่า
2.นาคระดับเสนาบดีและแม่ทัพ
3.นาคระดับราชา
4.นาคผู้อยู่ในสีทันดร ทั้ง 7
5.นาคผู้เร้นอยู่ในแผ่นดิน ใต้บาดาล
6. นาคผู้เร้นอยู่ในภูเขา
7.นาคผู้อยู่ในวิมาณ

 

นาคเป็นสัตว์ชั้นสูง อยู่ในป่าหิมพานต์
มีอำนาจมาก ในการป้องกัน ไม่ให้ ใครมาทำร้ายได้
เป็นสัตว์ ชั้นสูง เป็นพาหะ และเป็นผู้อภิบาล (รปภ)พระเจ้าแผ่นดิน

ด้วยอำนาจที่มี จึงมีบริษัทต่างๆๆ ที่ใหญ่โต
จึงขอพระราชทาน ครุฑ มาไว้ที่หน้า บริษัทฯ
เพื่อความมั่นคง ของธุรกิจ โดยเฉพาะ สถาบันการเงิน ธนาคารทั้งหลาย
เพื่อ ไม่ไห้ ธุระกิจนั้นล้ม หรือเสียหาย

ทุก แห่งที่เอาครุฑไปติดตั้ง
จะเขียนไว้ว่า" โดยพระบรมราชานุญาติ"
นั่นคือ พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้านายของครุฑ ทรงให้ เอามาใช้ได้

ดังนั้นผู้ใดก็ตาม ที่ บูชาครุฑ ไม่ว่า จะเป็นรูปปั้นรูปแกะ
รูป ของขลัง แขวนคอ ติดไว้กับตัว
รวมทั้งพระเครื่องที่บางแห่ง ทำเป็นรูปครุฑ
นั้น ผิดทั้งสิ้น
ครุฑ เป็นของสูง เหมาะสำหรับพระมหากษัตริย์
เรามีบารมีเท่า พระองค์หรือไม่

ผู้ใดที่แขวนและบูชา กลับจะได้ ผล ตรงข้าม
คือเป็นลบ

จากรูปที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงออก ณ สีหนาทบัญชร พระที่นั่งสมาคม

ในวันฉลองครบรอบการครองราชย์ 60
เราจะเห็นว่า ด้านหน้า จะมีรูปครุฑ ตัวใหญ่ สีแสดง สง่างาม
ที่เห็นนั้นไม่ใช่แขวนไว้เฉยๆๆเพื่อความสวยงามแต่ประการใด

แต่เป็นพญาครุฑ ที่กำลังทำหน้าที่คุ้มครอง อย่างเข้มแข็ง.
ต่อต้าน การถูกลอบทำร้าย ทั้งทาง อาวุธ และพลังคุณไสยจาก
กลุ่มคนที่ไม่หวังดี ต่อ บ้านเมือง

และใช้เป็นตราแผ่นดิน เพื่อให้พญาครุฑ ปกป้องประเทศไทย
หวังว่า คนที่เห็นตราครุฑ บนกระดาษ หนังสือและเอกสารต่างๆๆ ของราขการ
นั้น ทำไม ต้องเป็นตราครุฑ

 

มองไปตรงหน้า สิ่งที่เห็นคือ
โครงหลังคาสีขาวของโรงเก็บเรือ พระราขพิธีขนาดใหญ่
มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทันสมัย ขาวสะอาด โล่ง
ผิดไปจากเมื่อกว่า 20 ปี ที่ ผ่านมา อย่างหนัมือเป็นหลังมือ

เป็นอู่เรือขนาดใหญ่ มีช่องน้ำ ให้เรือเข้ามาตามช่องซอง
มีระบบ กล และไฮดรอลิค ไว้ยกเรือให้ลอยตากแห้ง ทุกช่อง

เราจึงเรื่มเดินมายังเรือพระที่นั่งแต่ละลำ ที่ ขึ้นอู่ลอยแห้ง หันหนั เข้า สู่ คลองบางกอกน้อย ซึ่งเป็ยทางออก
และหันท้ายเรือ เข้าด้านใน

นับเบื้องต้น พบว่า มี อยู่เก้า ลำ
คงจะต้องใช้เวลานานและยาว
เพราะ ต้องดู ทั้ง ลักษณะ ภายนอก อันเป็น ปฏิมากรรม ศิลป์ไทยชั้นสูง
และ สิ่งเร้นลับที่อยู่
ใจก็เต้นเพราะ ไม่รู้ว่า
เมื่อดูแล้ว จะออกหัวออกก้อยอย่างไร

 

แหม! อ่านแล้วชวนติดตามมากค่ะ ขอบคุณสำหรับรายละเอียดและความถูกต้องในเรื่อง ครุฑ ของพระมหากษัตริย์ ทำให้มีความรู้เพิ่ม

 

น้องไข่ชอบมากๆค่ะ ลุงตาที่สามเข้ามาเล่าให้ฟังเร็วๆน๊า ^_^ (แล้วน้องไข่จะไปเยี่ยมที่บูทอีกค่ะ)

 

เย้ เย้ อาจารย์มาแว้ว สวัสดีค่ะ

 

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


นี่เป็นพระรูปแห่งองค์นารายณ์ ที่ห้วยฒึงเฒ่า จ.เชียงใหม่

ด้านหลังคือ พระพุทธรูปประจำพระชนมวารแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


พระพักตร์แห่งเทวรูปทำไว้คล้ายคลึงองค์พระมหาราชยิ่งนัก

และตามคติโบราณเราถือว่า พระมหากษัตริย์คือ กำลังแห่งองค์นารายณ์ที่แบ่งมาดูแลชีวิตทั้งหลาย ก็ไม่แปลก ที่ได้รับฟังการบอกเล่ายืนยันจากอาจารย์เรื่ององค์ครุฑที่ทรงภาวะรักษาพระองค์อยู่

 

เห็นอาจารย์ให้ความรู้เรื่องครุฑค่ะ จึงมีเรื่องรบกวนถาม

พอดีที่บ้านมีอยู่องค์นึง ได้มาจากพระที่วัดพระศรีฯ บางเขน

เมื่อวันมาฆบูชา ที่ผ่านมา ท่านแจกคนละองค์ เป็นองค์เล็กๆค่ะ

ตอนนี้ไว้ที่หิ้งพระ ซึ่งก็เข้าไปสวดมนต์ทุกวันพระ ปรกติค่ะ

ไม่ทราบว่า จะมีผลทางด้านลบ ตามที่อาจารย์กล่าวไว้หรือเปล่าคะ

และถ้าต้องการเก็บไว้ จะต้องทำพิธีอะไรหรือป่าว

และหากไม่สามารถเก็บไว้ในบ้านได้ จะต้องเอาไปไว้ที่ไหน ถึงจะถูกต้องคะ

เริ่มกังวล -_-"

 

ถ้าใครได้รูปแกะ หรือ รูปบูชาของพญาครุฑ มา
ไม่ควรที่จะไว้กับตัว เพราะ บารมีเราไม่สามารถเทียบเท่า
องค์พระมหากษัตริย์
ให้แขวนไว้ที่สูงในห้อง ให้อยู่ใต้ รูป คู่ ในหลวง-พระราชินี
เหมือนที่เราเห็นในรูปถ่าย ในวันที่พระองค์ ทรงออก ณ สีหนาทบัญชร
พระที่นั่งอนันตสมาคม
พญาครุฑ จะเฝ้าป้องกันพระองค์ ตลอดเวลา
ขอทรงพระเจริญ

 

เรือพระที่นั่งลำแรกสุด จากทางเข้าเป็นเรือขนาดกลาง
เดินไปทางเดินข้างๆๆ เพื่อดูความสวยงามของศิลป์ไทย
ตลอดข้างลำเรือ เป้นพื้นลงยา สีดำ
ลงฉลุลายทอง เป็นรูปดอกไม้ ตลอดทั้งลำ

ส่วนหัวเรือ หรือที่เรียกกันว่า แม่ย่านาง
แกะเป็นยักษ์มีเขี้ยว กายสีเขียว ครึ่งล่างเป็นนก
มีชื่อว่า อสุรปักษ์ หรือ อสุรวายุภักษ์

หน้าตาดูมีรอยยิ้ม อย่างยักษ์ใจดี
ทั้งๆที่มีเขี้ยวยาวออกมาจากปาก เยี่ยงงาของช้าง
ตาดำโปน หุบปาก แต่งกายเสื้อเกราะ ฉลุลายทอง
มือสีเขียวสองข้าง ถือธงด้ามแดง

ธงนั้นเป้นธงสามเหลี่ยม มีสองธง อยูในมือ ซ้าย และ ขวา
เจ้าหน้าที่บนเรือทั้งหมด 57 นาย
รูปปั้นยืนคร่อม ปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ ขนาด 6 นิ้ว
ทั้งหมดเป้นภาพที่มองจาก ภายนอก ของเรือพระที่นั่งลำแรก
มีป้าย บอกว่า ชื่อ " อสุรปักษ์"

เดินมายืนตรงหน้า รูปแกะ อสุรปํกษ์
กำหนดดูด้วยตาที่สาม
ภาพแรกที่เห็นคือ ยักษ์ผู้ใจดี หันบิดตัวช้าๆ ซ้าย-ขวา
ในมือ โบกธง สองข้างแก่งไกว อ้าปากยิ้ม
เสมือนเป็นเรือ นำขบวน นำชัย และ แสดง อาการต้อนรับ ผู้มาเยือน
ท่าทางของ อส รปักษ์ ร่าเริงเหมือน นำขบวนแห่ นาค ในงานบวช
ที่มีการรำนำขบวน

แสงออร่า ที่มองเห้น มีสามชั้น
ชั้นในสุด สีเขียว ที่แปลว่า ใจดี เมตตา 50 %
ชั้นถัดมา สีม่วง 30 % เป็นอำนาจคุ้มครอง
ชั้นนอกสุดสีฟ้า 20 % เป็นอำนาจทางโชคลาภ
แก่ผู้ที่ไปไหว้ บูชา

 

เมื่อผ่านพระที่นั่งเรือลำแรกซึ่งทำหนัที่เสมือน
แผนกต้อนรับ ให้ข้อมูลไปแล้ว
เราก็ผ่านเข้ามายังลำที่สอง
มองปราดแรก ก็พบว่า เป็นเรือ ลำใหญ่เอาการ
เริ่มต้นด้วยการดูรอบนอก ลำเรือ

ทั้งลำมีสีพื้นเรือ ภายนอก เป็นสีเขียว
มีฉลุลายทองเป็นเกล็ดพญานาคแวววับ และมีรูปหนุมาณเหาะวน
ที่หัวเรือเป็นรูปแกะ ของพญานาค 7 เศียร แบบฑพานาค พันธุ์ไทย

คือ เหมือนฝ่า มือคน และมีนิ้วแยกออกไป เป็นอิสระ แต่ละนิ้ว
และต่างก็กระดิก นิ้วได้โดยอิสระ ไม่ขึ้นแก่กัน
ต่างกับพญานาคพันธุ์เขมร หรือ อินเดีย ที่ เหมือนฝ่า มือ
แล้ว มีเศียรแปะติดเป็นกระจุก ไม่มีคอ จึง ขยับแยกเป็นอิสระ ไม่ได้
ต้องเป็นขุนพลอยพยัก ตาม เศียร ใหญ่ ที่อยู่กลางและเป็นหัวหน้า

 

เรือทั้งลำมีกำลังพลประจำเรือทั้งสิ้น 72 นาย
เมื่อดูโดยละเอียดอย่างใกล้ชิด พบว่า ในแต่ละเศียร ใหญ่
ยังมีเศียร ย่อยอีก เศียร ละ 3 เศียรเล็ก
ดังนั้นรวมกันทั้งหมด มี 21 เศียรพญานาค

เมื่อเดินชมจนรอบลำเรือ แล้ว ก็มายืนทำจิตที่ตรงหน้า เศียรทั้ง7 ขององค์พญานาคใหญ่

ภาพที่ปรากฏแก่ตาที่สาม เป็น เศียรนาคทั้งหมดมีสีทอง
มีเขี้ยวสีขาว ปากแดงร่า
เศียรทั้ง 7 ส่ายโยก ไปมา เอียงซ้ายเอียงขวา ไม่พร้อมกัน ไขว้กันไป-มา
ผู้ที่เคยดูภาพยนต์ดังของเขมร เรื่อง "งูเก็งกอง" ก็คงจะนึกภาพออก
ว่า หัวงู ส่ายไปมา น่าเกลียด น่า กลัว เช่นไร

การส่ายโยก ไป-มา ของ เศียรพญานาค ทั้งหมด
เป็นการแสดง อาการต้อนรับ ในแบบฉบับของ พวกนาค
เราจึงยืนทำจิตนิ่ง เพื่อแสดงคาระวะ ต่อพวกเขา

ทันใด เศียรทั้งหมด ก็หยุดส่าย
ชูส่วนหัวสูงขึ้น เหมือน ยีราฟ ยืดคอขึ้นสูง แล้ว โค้งส่วนปากลงมาจ่อ
ใกล้ชิดใบหน้าเราสองคน ห่างกันไม่ถึงคืบ

ดวงตาของพญานาคทั้ง 21 เศียร 42 ดวงตา จ้องเขม็งมาที่เราสองคน
และในอีก 2-3 วินาทีต่อมาก็ยิงแสงสีม่วง เป็นแสงเลเซอร์ ตรงมาที่เรา
เป็นแสงที่มีความเย็ยฉ่ำ เป็นพลังอำนาจแห่ง พุทธะ

เมื่อยิงแสงเลเซ่อร์ให้แก่เราแล้วก็หด เศียรกลับขึ้นไป อยู่ในระดับเดิม

 

เมื่อดูแสงออร่า ของ พญานาค พบว่า ใกล้ตัวสุดมีสีม่วง 50% เป็นพลังพุทธ
ถัดออกมา สีแสด30 % เป็นพลังแห่งการแคล้วคลาด
และสีเขียว 20 % เป็นพลังแห่งความเมตตา

การที่มีสีม่วงมากที่สุด ก็เพราะ เหล่าพระพญานาค ทั้งหมด นับถือศาสนาพุทธ
นับถือ พระพุทธองค์ เคยมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในทางศาสนาพุทธ
โดยครั้งหนึ่ง พญานาคที่ ชื่อว่า "พญามุจจลินท์" ได้มาปรากฏตัว ขึ้นปกป้องพระพุทธองค์ ท่ามกลางฝนตกในวันตรัสรู้ และได้กลายเป็น พระพุทธองค์ ปางนาคปรกที่พวกเรา ได้เห้นและรู้จักกันดี

 

หลังกึ่งพุทธกาล คือ 2500 ปี เป็นช่วงที่ เทวดา และนาค
ต้องมาทำหน้าที่ สืบทอด ศาสนาพุทธ เพื่อให้ครบ พุทธกาล 5000 ปี
ในปัจจุบันเราจึงได้เห็นว่า ตามวัด ส่วนที่เป็น ชายคาโบสถ์ ประตูวัด ประตูเข้าโบสถ์ จะมีรูปปั้นพญานาคเฝ้าอยู่
วัดธรรมดา ก็มีนาคเศียรเดียว (พลยามนาต)
วัดที่ใหญ่ขึ้นก็จะมี นาค 3 เศียรดูแล (ระดับนายกอง)
วัดหลวงใหญ่ๆๆ ก็มี 5 เศียร บ้าง 7 เศียรบ้าง ตามขนาด บรรดาศักดิ์ของวัด

ทุกวัดที่มี รูปปั้นพญานาค ขอเตือนว่า อย่า ทำเป็นเล่นไป
เพราะมีพญานาค อยู่จริงๆๆ ทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้คนเลวเข้าวัด
กลุ่มสมาชิก ชมรมคนตาทิพย์ สัมผัสพญานาคที่ อยู่ตามรูปปั้นในวัดเสมอ

ที่เห็นชัดที่สุด ถ้าเราลงเรือ ล่องไปในแม่น้ำ
และเห็นรูปปั้นพญานาคเฝ้าบันไดวัด ณ จุดไกลๆๆ
ห่างประมาร 300-400 เมตร
เราก้จะกำหนดจิตคิดถึงเขา แผ่เมตตาให้เขา
แพล็บเดียว เพียง 2-3 วินาที ก็ลอยมาเหนือน้ำ
ลอยมาสูงจากน้ำ ประมาณ 1 ฟุต เป็นความเร้วที่เร้วมาก
ประมาณ 200 กม/ชั่วโมง

เมื่อมาถึงก็จะเอาตัวมา พันตัวเราโดนรอบ
ทำให้กายเราซาบซ่า แล้วก็จะ เอาหัวขึ้นเหนือศีรษะเราในท่า นาคปรก
อันเป็นการแสดงความรัก และ ความนับถือสุงสุด ในแบบฉบับ ของ นาค
เมื่อ เรากล่าวขอบคุณ และบอกให้เขากลับไป
เขาก็กลับไปในความเร็วสูงสุดเท่าเดิม
มองเห็นลิ่วๆๆ เหนือสายน้ำ ไปสู่บันไดนาค ที่ทำหน้าที่อย่างเดิมต่อไป
ตาม สัญยาที่ให้ไว้แก่ พระพุทธองค์ จนกว่า จะครบ 5000 ปี
เมื่อจบสิ้นเราสองคนจึง ตั้งจิตขอบคุณ ต่อ พญานาคที่ให้พรแก่เรา
เรือพระที่นั่งลำนี คือ " อนันตนาคราช"

 

ติดตามอาจารย์มาตลอด ได้ทั้งความรู้ สนุก และธรรมะสอนใจครับ

 

ตระกูลนาคนั้น นับถือพุทธศาสนา มาตลอด
เชื่อกันว่า เริ่มแรก ตระกูลนาคอยู่แถบใต้บาดาลลุ่มแม่น้ำโขง
ตลอด ชายฝั่ง จังหวัด หนองคาย
และเป็นต้นตระกูลของ ชาวลาวในปัจจุบัน

นาคนับถือ ศาสนาพุทธ สิ่งที่อยากทำคือการมาฟังเทศ์ากพระสงฆ์ที่เข้าขั้นอรหันต์
เมื่อไม่มีผู้คนพวกนาคก็จะขึ้นมาแปลงเป็นคนแล้วขอ ฟังเทศน์จาก หลวงปู่มั่น และ หลวงปู่แหวน ฯลฯ เป็นประจำ
ตามบันทึกที่หลวงปู่ทั้งสองได้เล่าไว้

และในบางโอกาสก็ปลอมตัวมาเป็นคน แล้ว ขอบวชเป็นพระสงฆ์
พระพุทธองค์ทรงห้ามว่า ทำไม่ได้ นาคจึงไม่มีสิทธิที่จะบวช

ดังนั้นเพื่อเห็นแก่นาค
ในปัจจุบันคนทั่วไปที่จะบวช
จึงต้องเรียกว่า "บวชนาค"
เพื่อเห็นนาค นั้นเอง

นาคนั้นอยากนัก อยาก หนา ที่ จะ บวช
อยากนักอยากหนา ที่จะพยายามเข้ามาฟังเทศน์
เพราะ รู้ว่า การฟังเทศน์เป็นประจำ จะได้บุญบารมี
สามารถ เดินไปสู่ นิพพานได้

แล้วพวกเราเล่า วันๆๆทำอะไร
โอกาสที่จะขึ้นสวรรค์ มีอยู่แค่เอื้อม
แต่พวกเราสนหรือไม่
น่าเสียดายที่เกิดชาตินี้มาเป็นคน
เป็นชนชั้นที่มีโอกาส เลือก ได้ มาก ที่สุด ว่า
จะไปนรก หรือ ไปสวรรค์
จะเลือกทางใด ก็เลือกเอา
ชีวิตเป็นของตนเอง

กัมมุนา วัตตีโลโก
ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม

 

อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ขอบคุณ อาจารย์ค่ะ

 

อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ขอบคุณ อาจารย์ค่ะ

 

ได้ไปชมความยิ่งใหญ่และงดงามของกระบวนเรือพยุหยาตราในวันซ้อมใหญ่เช่นกันค่ะ และได้สังเกตเห็นปรากฎการณ์ไม่ธรรมดาของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ อยากสอบถามผู้รู้เหมือนกันว่าเราสันนิษฐานถูกหรือเปล่า แต่ขอฟังเรื่องของอาจารย์ให้จบก่อนนะคะ