เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    [​IMG]

    ระวังเลือดตกหัว นะ ยาย นะ...(k)(k)(k)
     
  2. สงบระงับ

    สงบระงับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    660
    ค่าพลัง:
    +2,919

    อิอิ งั้น ช่วงที่เราหลับฝัน และเข้าฌาณ เป็นมิติที่ 4 และมิติที่5
    ส่วนช่วงที่ตาเนื้อๆ มองเห็นมิติอื่น แสดงว่า ช่วงขณะนั้น มิติที่ 3 มิติที่ 4 และมิติ ที่5 ทำงานพร้อมกันช่วงระยะเวลาหนึ่ง อืม ...น่าคิด หรือ ...น่ากลัว...
     
  3. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ขอบคุณที่เอาเรื่องมิติลงมาให้อ่านนะครับ ช่วงนี้กำลังหาข้อมูลฝึกถอดจิตไปในโลกอดีตและโลกอนาคตอยู่พอดี
     
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    มีเวลาเข้ามาคุยที ขอย้อนไปเรื่อง space ก่อน เรื่อง space นี่จากในนิทานเรื่องเกาะที่พี่นักเขียนเขียนเล่าในหนังสือ(เล่มไหนซักเล่มนี่แหล่ะ) space ก็น่าจะเป็นทะเลที่คั่นกลางระหว่างเกาะแต่ละเกาะนี่แหล่ะ ส่วนเรื่องมิติก็อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ว่ากัน โลก 2 มิติคือโลกที่มีแต่กว้าง ยาว โลก 3 มิติคือโลกที่มี กว้าง ยาว ลึก เคยมีคนอธิบายเกี่ยวกับ tenth dimension หรือ มิติที่ 10 โดยที่มิติที่สูงกว่ามิติที่ 4 ขึ้นไป ก็เป็นเส้นทางต่างๆ ในอนาคตนี่แหล่ะ แนวคิดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้รับการยอมรับมากน้อยแค่ไหน
     
  5. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    จากที่อ่านโพสเพื่อนๆมา

    มิติที่สาม เป็นโลกกายภาพที่เราสัมผัสจับต้องได้ด้วยกายเนื้อ เป็นมิติที่เรามองด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นมิติแห่งภาพสะท้อน

    มิติที่สูงขึ้นๆไป เป็นมิติทางจิตใจ จิตวิญญาณ ที่ซ้อนกันเข้าไปเป็นชั้นๆ แบ่งกันที่ระดับความถี่ โดยมีเวลาเป็นแกนกลาง หดสั้น ยืดยาว ออก ก็ขึ้นอยู่กับความถี่นั้นๆ

    ความถี่ที่สูง และละเอียดที่สุด จะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้ดูเหมือนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เหมือนคำว่า อุเบกขา ของพุทธศาสนาเลยนะครับ

    ตามเข้าไปอ่านลิงค์ที่คุณมะเดรดให้มา ตัดมาบางประโยคที่ศรีอรพินโธได้กล่าวไว้

    "ดินแดนที่อยู่ภายใน...ที่จะเข้าถึงได้ก็ด้วยการเรียนรู้ที่จะละทิ้งดินแดนภายนอกหรือมิติเก่าที่อยู่กับเราลงไปให้ได้"
    และนั่นจะสามารถทำได้ด้วยการทำจิตรู้ให้สงบเงียบและให้จิตเดินทางสู่ข้างใน (สมาธิ) และที่นั่น เขา (และเราทุกคนที่มุ่งมั่น)

    ก็จะพบกับภพภูมิหรือมิติที่มีความถี่ของการไหวสั่นสะเทือนสูงไล่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป
    สุดท้ายไปสู่มิติที่มีความสั่นสะเทือนแทบคงที่ (หรือคงที่) โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง
    นั่นคือมิติที่ไร้กาลเวลาหรือสถานที่ นั่นคือมิติที่มีแต่ความใสกระจ่างสว่างไสว ที่แสงใสที่ว่านั้น
    สร้างสรรค์เป็นรูปกายหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างทันทีทันใดดั่งปรารถนา "เป็นเทพฮินดูสำหรับผู้ปฏิบัติที่เป็นคนอินเดีย...
    เป็นคริสเตียนเซนต์สำหรับคนคริสเตียน..." ที่ไม่ใช่เป็นการลวงหลอก หากเป็นประเด็นจิตวิญญาณบางประการ

    อ่านแล้ว เหมือนในหนังสือ ที่ อจ.อนาลัย เคยบอกว่า บุคคลเมื่อตายไปจากกายเนื้อนี้ แล้วหลงมิติอยู่ ก็จะมีผู้ที่คอยดูแล ชี้แนะ โดยการเปลี่ยนรูปกายให้สอดคล้องกับความเชื่อของคนนั้นๆ เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับเค้าได้ และช่วยให้เค้าหลุดออกมาจากมิติที่หลงทางไป (จำไม่ได้ว่าจากเล่มไหนเหมือนกัน)
     
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    อันนี้หรือเปล่า...??? คุณซิปป์
    ---------------------------------------------------------------------------

    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอันลี้ลับดูเสมือนจะกว้างใหญ่ไพศาลและไกลลิบ
    แต่เรียกอีกนัยหนึ่งตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงได้ว่า
    มันคือความรู้ภายในอันสว่างไสวใกล้ตัวที่เธอมีอยู่เสมอ
    แต่เธอจะตระหนักถึงธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ได้
    ก็ต่อเมื่อเธอมีจินตนาการที่กว้างไกล มีสติสัมปชัญญะที่ตื่นจากความเฉื่อยชา

    และกล้าหาญพอที่จะกำจัดความเชื่อตามลัทธิและศาสนา
    ที่ให้คำจำกัดความของธรรมชาติแห่งความเป็นจริงไว้อย่างง่ายๆและตื้นๆ
    เพียงเพื่อปกป้องเธอ

    แต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดเธอไว้ในความไม่รู้

    ในบทนี้ฉันจะเล่านิทานให้ฟัง ขอให้เธอจินตนาการว่า
    เธอเป็นเกาะน้อยที่มีหาดทรายเล็กๆที่เต็มไปด้วยเมล็ดทรายขาวละเอียดและทิวมะพร้าว
    ซึ่งเปรียบเสมือนสวรรค์น้อยๆของหมู่นกที่โบยบินท่องเที่ยวไปสู่แดนไกล
    ให้เธอจินตนาการต่อไปว่าเธอพึงพอใจในตนเอง
    แต่บ่อยครั้งเธอก็รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย

    กลุ่มหมอกเมฆปกคลุมห้อมล้อมเธอไว้
    แต่มันก็ไม่อาจสกัดกั้นแสงอาทิตย์ให้*********ส่องมาสู่เกาะน้อยได้เสียทั้งหมด
    เธอรู้สึกเป็นเอกเทศละคิดว่าหมอกเมฆเหล่านั้น
    เป็นเกราะที่ห่อหุ้มเธอไว้ให้พ้นจากทะเลกว้าง ที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวเธอ ออกไปจนสุดขอบฟ้า

    แต่แล้วเธอก็เริ่มข้องใจว่าสุดขอบฟ้ารอบทิศ
    ที่เธอไม่อาจลเห็นได้จะมีเกาะน้อยอื่นๆเช่นเธอสถิตย์อยู่บ้างหรือไม่?
    พวกเขาจะเหมือนเธอหรือไม่? แต่แล้วเธอก็ประหลาดใจที่พบว่า
    ปะการังที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้ท้องทะเลติดกับหาดทรายด้านหนึ่งของเธอเชื่อมต่อกับเกาะอื่นที่อยู่ถัดไป
    เธออาจมองเห็นมันได้อย่างเลือนรางเพียงชั่วแว้บที่เมฆหมอกจางไป
    ใครจะบอกเธอได้ว่าเกาะน้อยของเธอมีขอบเขตจบลง ณ แห่งหนใด
    และเกาะอื่นๆมีขอบเขตเริ่มต้น ณ แห่งหนใด

    ---------------------------------------------------------------------------
    จากหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคปลาย
    บทที่ ๒๑
    เกาะน้อยอันโดดเดียว
    หน้าที่ 282-283
     
  7. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    อันนี้ใช่หรือเปล่า??...คุณเซลล์

    ---------------------------------------------------------------------------

    ความคิดของเธอเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความเป็นจริงเป็นปัจจัยหลัก
    ที่จะย้อมสีหรือบิดเบือนประสบการณ์ในการตาย

    เธอจะตีความหมายประสบการณ์ในการตาย
    ไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความเชื่อของเธอ

    แม้แต่ในปัจจุบันนี้เธอก็จะตีความหมายละประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเธอ
    ไปตามความคิดละความเชื่อของเธอว่า
    อะไรคือสิ่งที่เป็นไปได้ และอะไรคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เมื่อถึงแก่ความตาย-จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ
    ไปจากร่างกายเนื้อหนังของเธออย่างรวดเร็วหรือเชื่องช้าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายปัจจัยด้วยกัน

    หากเธอเสียชีวิตด้วยความชรา
    ส่วนใหญ่ของบุคคลิกภาพของเธอได้จากร่างกายไปแล้วก่อนหน้านั้นและได้เผชิญกับภาวะใหม่ๆ

    ถ้าหากเธอความกลัวความตาย ความกลัวจะทำให้เธอเผชิญความตายด้วยความตื่นตระหนก
    และปรารถนาที่จะปกป้องรักษาความเป็นบุคคลตัวตนของเธอไว้

    ความกลัวและการปกป้องความเป็นบุคคลตัวตนจะทำให้สติสัมปชัญญะขาดความคมชัด
    มันจะทำให้เธอคกอยู่ในภาวะหมดสติหรือที่เธอเรียกกันว่า"โคมา"
    ซึ่งเธออาจจะต้องใช้เวลาที่จะฟื้นคืนสติกลับมา

    ไม่ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เป็นร่างกายเนื้อหนังใกล้ตายหรือตายแล้ว
    เธอก็ยังคงสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความคิด-ความเชื่อและความคาดหวังของเธอเสมอ
    เพราะมันคือธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณในโลกแห่งความเป็นจริงทุกโลกที่เธอดำเนินไป

    แต่ฉันขอรับรองกับเธอว่าภาพหลอนเหล่านั้นจะเป็นไปเพียงชั่วคราว

    จิตวิญญาณจะต้องใช้ความสามารถทั้งหลาย
    รูปแบบของสวรรค์ที่คนจำนวนมากยึดถือกันจะทำให้เธอตกอยู่กับภาวะภาพหลอน
    ของสวรรค์ชั่วคราว
    แต่ในที่สุดจิตวิญญาณจะเกิดความเบื่อหน่ายและรู้สึกถึงความหยุดนิ่งไม่เจริญและไม่พัฒนา
    เธอจะพบกับครูบาอาจารย์ที่ทำให้เธอเข้าใจถึงภาวะและสถาณการณ์ที่แท้จริง
    เธอจะไม่มีวันถูกทอดทิ้งหรือหลงทางไปในเขาวงกตของภาพหลอน

    เธออาจจะไม่ได้ตระหนักในทันทีทันใดได้ว่า
    เธอได้ตายแล้วในนัยทางกายภาพ หลังความตายเธอจะพบว่าตนเองมีรูปกายอื่น
    ซึ่งปรากฎเป็นรูปกายทางกายภาพอย่างชัดเจนในระดับหนึ่ง
    ตราบใดที่เธอไม่พยายามที่จะยักย้ายเปลี่ยนแปลงรูปกายใหม่นี้ภายใต้ระบบทางกายภาพ
    เธอจะรู้เห็นความแตกต่างระหว่างรูปกายใหม่กับรูปกายเดิมก่อนตายได้อย่างชัดเจน

    หากเธอเชื่อมั่นว่าจิตวิญญาณของเธอเป็นผลผลิตของร่างกายเนื้อหนัง
    เธอจะพยายามที่จะยึดติดกับร่างกายของเธอ
    แต่จะมีบุคลิกภาพของจิตวิญญาณผู้ที่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่มัคคุเทศก์
    และพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเธอ

    ด้วยคำพูดของมนุษย์กล่าวได้ว่า มัคคุเทศก์เป็นกลุ่มคนที่มีทั้ง"คนเป็น" และ"คนตาย"
    "คนเป็น"เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป
    ในระบบโลกแห่งความเป็นจริงของเธอ พวกเขาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ในขณะที่นอนหลับ
    จิตวิญญาณของพวกเขาเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง
    โลกอื่นในความฝัน
    กล่าวได้ว่าพวกเขาทำงานด้วยการใช้สติสัมปชัญญะนอกร่างกายในความฝัน
    พวกเขาคุ้นเคยกับการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณ และมีทักษะในการใช้สัมผัสภายใน
    พวกเขาจะช่วยเหลืแด้วยการปรับความเข้าใจให้กับจิตวิญญาณที่จะไม่กลับคืนร่าง
    ---------------------------------------------------------------------------

    จากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น
    บทที่ ๘ ประสบการณ์ในการตาย
    หน้าที่ 162-164

    ---------------------------------------------------------------------------
    บทนี้ มีอีกเพียบเลย พิมพ์ไม่ไหวอ่ะ
    เป็นคำสอน และ อธิบายถึงภาวะหลังความตาย
    ได้อย่างชัดเจนมาก ใครมีหนังสือ ลองอ่านดูนะคะ
    แล้วจะเข้าใจว่า ทำไม นรก สวรรค์ ของชาติต่างๆจึงไม่เหมือนกัน
    แล้ว เราจะพบเจออะไรกันบ้าง ทำไม มันไม่เหมือนกัน
     
  8. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    อืม อยากอ่านสองเล่มนั้นมากๆ เป็นสองเล่มในชุดนั้นที่ยังไม่ได้อ่าน
    เดี๋ยวเก็บตังค์ซื้ออีบุ้คก่อน อิๆ
     
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ใช่เลย อันนี้แหล่ะคุณเดรด
     
  10. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    แม่นๆคุณมะเดรด

    ไว้กว่า google อีก ถามปุ๊ป ได้ปั๊ป

    ไม่งั้นคงนึกไม่ออก ว่ามาจากเล่มไหน

    thanks หลายๆครับ
     
  11. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เล่าเรื่องฝัน

    เราเดินทางไปเรื่อย ๆ เจอเด็กหญิงคนหนึ่งถูกผู้หญิงสูงอายุท่านหนึ่งโกงเงิน คือเด็กหญิงคนนี้ถูกผู้หญิงสูงอายุท่านนี้ขโมยเงินไป ในขณะที่ทุกคนก็ช่วยกันประกาศหา จินตวดีได้เดินตรงไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น มองหน้าเด็กก็รับรู้ได้ว่าถูกผู้หญิงสูงอายุที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้นั้นโกงไปจริง ๆ เราจึงเดินไปบอกกลุ่มคนที่กำลังประกาศหาเงินให้เด็กหญิงตัวน้อย ๆคนนั้นว่า "ผู้หญิงคนนี้โกงเงินเด็กคนนี้จริง ๆ" พร้อมทั้งหันไปถามเด็กหญิงน้อยคนนั้น ปรากฏว่าเด็กหญิงน้อยคนนั้นไม่กล้าพูดความจริงด้วยกลัวผู้หญิงสูงอายุท่านนั้นได้แต่พูดว่า "หนูไม่รู้" ในฝันจินตวดีขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมากถึงขนาดส่งเสียงฮึ่มฮั่มใส่ด้วยความไม่พอใจ

    ภาพตัดมาที่ตัวจินตวดียืนอยู่กับนายตำรวจท่านหนึ่ง ท่านมาตามหาฆาตกร ในใจระบุว่าศพถูกเก็บไว้ใต้ลิ้นชัก ทั้งที่รู้ความจริงแต่กลับช่วยเขาปกปิดความผิดนั้นเพราะรู้ว่าคนผิดหรือฆาตกรคือมารดาของตนเอง ได้แต่ร่ำร้องเสียใจในใจ แต่ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยสักพักนายตำรวจคนนั้นกลับเดินไปเปิดลิ้นชักและได้พบศพเหม็นเน่าอยู่ในนั้น เราได้แต่ร้องไห้เสียใจกับการกระทำของมารดาของเราและเราไม่อาจไปเกี่ยวข้องได้เลย

    ภาพถูกเปลี่ยนจากอาการร้องไห้มาเป็นร้องเพลง เป็นเพลงที่ไพเราะและเยือกเย็นจับจิตที่สุดที่เคยได้ยินมา (ยังระลึกได้ดีเมื่อยามตื่น) รู้สึกถึงความสงบเยือกเย็นในจิตใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เสียงเพลงก้องออกมาจากปาก มือของเราได้ยกแพ็คพระบรมสารีริกธาตุที่ได้ช่วยกลุ่มคุณคณานันท์บรรจุไว้เหนือศรีษะ)

    เมื่อตื่นได้ระลึกภาพฝัน และตัวจินตวดีเองก็ได้ระลึกถึงข้อความที่มีคนมาวางแปะไว้กลางหน้าผากยามเช้าเมื่อไม่กี่วันว่า "อย่าไปสนใจคนอื่น"

    ฝันนี่ถ้าดูดี ๆ สอนเรานะเนี่ย เขามาสอนเราทั้งยามหลับยามตื่นเลย สอนเรื่องเดียว
    "อย่าเอาใจไปฝากไว้ที่คนอื่น ให้ฝากไว้ที่พระธรรม" (ดูออกอ๊ะยัง ตามในฝันเด๊ะเลย)

    พอคิดได้นึกถึง ฟอล์คแมนเลย ที่ไปแปะไว้ที่ห้องอื่นไง อิ อิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2009
  12. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    เอาวิธีการใช้ความคิดของตัวเองมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆนะครับ ดัดแปลงจากหลายๆคนและก็วิธีคิดตามความรู้สึกของตัวเอง
    1.ใช้ความคิดตลอดเวลาโดยการตั้งคำถามและหาคำตอบจากภายในใจ
    2.ฟังคำตอบจากในจิตเสมอ แม้ว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่ามันถูกก็เหอะ แล้วพิสูจน์จากสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่เชื่อเรื่องเครื่องลางของขลังแต่ทว่าเสียงในใจจากคำถามที่ผมถามเค้าบอกให้ผมเข้าไปในกระทู้นั้น ผมจึงตัดสินใจเข้าไป แต่แล้วก็ทำให้ผมประหลาดใจที่ทำให้ได้ไปเจอวิธีฝึกจิตอีกอย่างนึงซึ่งทำให้ผมมีการพัฒนาอีกในคืนวันฝึกสมาธิวันนั้น
    3.เขียนวิธีที่ฝึกแล้วใช้ได้ผลและวิธีคิดให้จิตเป็นบวกออกมาอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าไม่จดก็จะลืม พอลืมแล้วก็จะเรียนรู้ใหม่ การเขียนคือการรักษาความรู้
    4.พยายามคิดออกไปในหลายๆทิศทางโดยไม่ยึดติดกับวิธีใดวิธีหนึ่ง
    5.แม้เป็นคำพูดของครูอาจารย์ชั้นสูงแต่ทว่าถ้าเราคิดว่ามันยังไงๆอยู่ก็ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าเชื่อได้แค่ไหน ถ้าเกิดใจไม่อยากให้เชื่อก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ ก็อาจจะไม่เชื่อไปก่อน
    6.หนังสือของอาจารย์โนวาอนาลัยเป็นหนังสือที่เป็นทั้งการตั้งคำถามและหาตอบจากภายในใจตัวเองได้เสมอๆ บางครั้งถ้าอยากพบคำตอบก็เปิดในหนังสือ บางครั้งอยากถามคำถามให้กว้างขึ้นอีกก็เปิดในหนังสือหาเอาได้เช่นกัน
    7.เวลาที่ไม่ได้บังคับความคิดให้เฝ้าดูความคิดของตัวเองไป แต่ไม่ต้องรับความรู้สึกที่ไม่ดีเข้ามาในตัวเอง แต่ให้ตัวเองเฝ้ามองดูความคิดนั้นๆแทน อย่างเช่นเวลาดูหนังอะไรที่มันออกแนวซาดิสก็ไม่ต้องไปร่วมรู้สึกกับตัวละคร เพียงแค่เฝ้ามองความคิดและตัวละครนั้นๆเป็นพอ
    8.ใช้วิธีการจดจ่อโดยการตั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าเป็นพักๆ สลับกับปล่อยวางและพร้อมจะสละได้ทุกอย่างในโลกนี้เป็นพักๆ
    9.ดูสังคมรอบๆตัว ว่าเค้าสนใจอะไรกันบ้าง เป็นการเปิดมุมมอง เพราะเชื่อได้เลยว่าอะไรที่คนเค้าสนใจกันต้องมีอะไรดีๆอยู่ในนั้นบ้างไม่มากก็น้อยแน่ๆ
    10. พยายามมองอะไรที่มันไม่เกี่ยวกันให้มันเกี่ยวกันให้ได้
     
  13. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ขอบคุณทุกท่านค่ะที่นำเรื่องคลื่นความถี่และเรื่องราวเกาะน้อยมาย้อนรำลึกกัน

    เราทั้งหลายคงมีแนวปะการังที่เชื่อมกันโยงใยจนเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ริสาเกิดความคิดว่าจะดีแค่ไหนน้อถ้าเราทั้งหมดได้เข้าสู่โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน

    เช่นสมมติว่าปีใหม่นี้เรามานัดส่งท้ายปีเก่าด้วยการทำสมาธิใช้จิตสำนึกรวมหมู่ส่งให้ทีละหนึ่งคนในวงเรา เพื่อเคลื่อนเข้าสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้น และสู่ความจริงแท้สุดแห่งจิตวิญญาณ

    เราต่างก็เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมีคลื่นของความสั่นสะเทือนในความถี่ที่หลากหลาย แล้วตัวเราแต่ละคนก็เป็นสนามพลังงานเช่นทุกสิ่งในจักรวาล เราต่างรู้ว่าถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตรอบตัวเราให้ดีขึ้น เราต้องเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติการสั่นสะเทือนของตัวเอง เพราะทุกสิ่งรอบตัวเราเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของจิตเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา โลกรอบตัวเราคือกระจกสะท้อนจิตสำนึกเรา

    ในการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด เราต้องจดจ่อและมุ่งไปที่สิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงด้วยพลังแห่งจิตเราทั้งหมด บางคนอาจยึดติดกับเรื่องของเวลา บางคนอาจยึดติดกับผลลัพธ์จึงทำให้การจดจ่อนั้นอาจผิดทิศทางไป จนบางคนอาจล้มเลิกและยอมรับกับสิ่งเดิมๆอย่างจำนน บางคนอาจคิดว่านี่คือการคิดบวก แต่แค่คิดบวกไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนคลื่นความถี่

    ถ้าเช่นนั้น...
    จะดีแค่ไหนหากเราทั้งหลายใช้พลังของแต่ละคนที่มีส่งเพื่อนที่ละคนๆ เหมือนสะพานมนุษย์ พอนึกภาพออกไหมคะ

    เราทั้งหลายสักสิบคนมานั่งล้อมวงทำสมาธิ คนที่เราจะทุ่มพลังสมาธิของเราให้กับเขาก็นั่งกลางวงล้อมของเรา เราต่างส่งคลื่นความถี่ของเราพร้อมๆกับเขาเหมือนเราส่งยานอวกาศขึ้นสู่วงโคจร ด้วยพลังแห่งความรักและปรารถนาดีอย่างจริงใจ

    แต่การจะทำเช่นนี้ได้ หนึ่งคงต้องให้คนที่มีการฝึกฝนสมาธิสม่ำเสมอ จิตตั้งมั่นดีและเร็ว สองคงต้องไม่ใช่คู่แข่งทางการงานหรือธุรกิจกัน สามมีจิตใจปรารถนาดีอย่างจริงจัง สี่คนที่จะเข้าร่วมต้องคิดตรงกัน คือเราต้องเข้าใจว่าวิธีเดียวที่ความปรารถนาของเราจะสำเร็จในจักรวาลกายภาพของเรานั่นคือเราต้องไม่ยึดติดและปล่อยวาง ประเด็นนี้อาจจะยากในบางคนที่ยังอยู่ในกาลเวลาหรือปรารถนาจะเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว เพราะเราเคยชินกับโลกกายภาพที่ผ่านมาของเราที่ต้องวัดผลจากผลลัพธ์ที่ปรากฏ

    หากแต่ว่าการมุ่งมั่นกับผลลัพธ์ที่เกิดจะทำให้เราเครียดกังวล กระวนกระวายและรอคอย ความรู้สึกเหล่านี้ก็รบกวนคลื่นความถี่จนทำให้เราไม่ไหลไปตามความสั่นสะเทือนที่มันควรจะเป็น แล้วจะทำให้พลังที่ร่วมส่งไม่สัมฤทธิ์

    ความคิดตรงนี้ริสาได้มาจากคุณเดรคในวันที่ไปทานข้าวกัน พอดีเราพูดถึงการใช้พลังดึงดูด การเดินทางสู่นิพพาน ริสาจึงบอกว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ใช่การไปแบบหมู่คณะ เราก็หัวเราะขำๆ กันแต่คุณเดรคบอกว่าไม่แน่หรอกเราอาจจะเป็นพวกแรกที่ไปเป็นหมู่คณะได้

    จากประโยคนี้รวมกับการได้อ่านข้อมูลที่เพื่อนๆโพสต์แบ่งปันความรู้ ทำให้เกิดความคิดที่ว่า เอ้...ในเมื่อเราแต่ละคนออกจะรักและปรารถนาดีพร้อมช่วยเหลือแบ่งปัน ทำไมเราไม่เอาแรงสมาธิรวมหมู่ที่เรามีทุ่มเทให้แต่ละคนๆ มันย่อมมีพลังที่มากกว่า อีกทั้งยังเป็นการเติมพลังใจให้กันและกัน

    ก็แค่คิดๆ นะคะ หากเป็นไปได้ก็เอานะ
     
  14. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    โอ้ว์...เข้ามาอีกที เจอแต่โพสต์ที่มีประโยชน์
    ขอบคุณทุกๆท่านมากเลยค่ะ...(k)

    โพสต์ของคุณจินต์ เรื่องของความฝัน ที่มาสะกิดเตือนและสอนเราได้อย่างลึกซึ้ง:cool:

    โพสต์ของน้องกุญแจที่บอกเคล็ดลับและวิธีฝึกฝนที่เห็นผลกับตัวเอง
    พี่เดรดว่าเข้าท่านะ ประมวลจากหลายๆแหล่ง แจ๋วจริงน้องรัก
    พี่นักเขียนถึงชมเจ้าว่า เจ้ามีความตั้งใจจริงจังมาก พี่เดรดหนับหนุนอีกคน:cool:

    โพสต์ของคุณริสา ก็น่าสนใช่น้อย
    แค่คุยกันคุณริสาแป๊บเดียว คุณริสาคิดโปรเจคดีๆออกมาได้อีกแล้ว
    เหมือนตอนเริ่ม เขียนนิยายกันเลย :cool:

    จริงๆแล้วก็อย่างที่คุณริสากล่าวมา การปรับและยกระดับจิต
    เป็นเรื่องปัจเจก จะให้ใครมาพาไปมิได้ แต่ช่วยเหลือเกื้อกูล แนะนำกันได้
    แล้วที่เดรดพูดว่า เราอาจไปเป็นหมู่คณะก็ได้นั้น ก็ได้ข้อคิดมาจากพี่นักเขียนอีกทีค่ะ

    ในวันงาน ที่พวกเรานั่งล้อมวงฟังพี่นักเขียนกัน จำได้ไหมเอ่ย
    พี่เค้าเล่าเรื่องประสบการณ์ในขณะที่คุณแม่พี่เค้ากำลังจากร่างไป
    โดยพี่นักเขียน โอบอุ้มจิตวิญญาณคุณแม่ไปส่ง คล้ายๆนำทาง
    เพราะตามที่ในหนังสือ ที่ยกมาโพสต์ข้างบน เมื่อวิญญาณจากร่างกายเนื้อหนังไปแล้ว
    ก็จอาจะหลงทางอยู่พักนึง หรือยังงงๆ อยู่

    พี่นักเขียนบอกว่า แค่7 นาที หรือ7 วันของเรา
    อาจเป็น 7000 ปี ของจิตวิญญาณก็ได้ เพราะในโลกจิตวิญญาณไม่มีเวลา
    พี่นักเขียนเป็นเสมือนมัคคุเทศก์ ที่โอบอุ้มคุณแม่และพาไปยังดินแดนแห่งแสงสว่าง
    และพี่นักเขียนจำได้ว่า เคยทำแบบนี้มาแล้ว ตอนคุณพ่อจากไป
    ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่เหมือนกันมากๆ

    เรื่องราวอย่างละเอียด พี่นักเขียนกำลังเรียบเรียงและบันทึกอยู่
    แล้วสัญญาว่าจะนำมาให้เราอ่านกัน เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ไว้ให้พวกเรา
    ไว้ช่วยเหลือ บุคคลอันเป็นที่รัก หรือ บุคคลอื่นๆ
    ให้เดินทางไปในโลกหลังความตายอย่างสงบราบรื่นที่สุด

    เดรดเลยมาคิดว่า การช่วยเหลือเกื้อกูลกันของจิตวิญญาณ ไม่น่าจะมีขีดจำกัด
    แม้ยามคงอยู่ในร่างกายเนื้อหนัง ก็น่าจะทำกันได้
    เลยเป็นที่มาของ คำพูดว่าเราอาจพากันไป(ยกระดับจิต)เป็นหมู่คณะ ก็ได้ไงคะ

    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจาก เครือข่ายของจิตวิญญาณ
    ที่คอยถ่ายทอดข้อมูลความรู้กันตลอดอย่างสม่ำเสมอและตลอดเวลา
    และเชื่อมโยงกันไว้ด้วยความรัก เพราะงั้น มันถึงส่งต่อข้อมูลความรู้กันมาเป็นทอดๆ
    จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง สะกิดและเชื่อมติดกันเป็นตาข่าย อย่างไม่รู้ตัว
    โดยที่ไม่มีผู้หนึ่งใดแยกจากกัน โดยสมบูรณ์ แต่เพียงผู้เดียว
    ถ้างั้นก็น่าจะไปด้วยกัน หรือพัฒนากันไปพร้อมๆกันได้หมด นะ


    เพราะพวกเราคือหนึ่งเดียวกัน ...นั่นเอง จริงไหมเพื่อนๆ
     
  15. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    -แหม๋..ฝันคุณจินต์ ทั้ง 3 ตอน เนี่ย....

    -เห็นด้วยกับกุญแจซอล นะครับ เรื่อง การจด เพื่อรักษาความรู้



    :cool:

    อ่านแล้ว ทำให้นึกถึง เรื่องสมาธิหมู่ ที่เคยรับทราบมานะครับ

    1.นั่งสมาธิ ในแนวทางเดียวกัน จะช่วยยกระดับความสั่นสะเทือน แต่ละคน ให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สังเกตว่า จะเข้าสมาธิได้เร็วขึ้น และนานขึ้น
    2.วงสมาธิ หากเลือกผู้ที่มีแนวทางเดียวกัน และสมาธิจิต ความนิ่งสงบ พอๆกัน จะช่วยให้ความสั่นสะเทือนสูงขึ้นมากๆ แต่ต้องมีคนคอยคุมกรรมฐาน ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูง
    3.การทำพิธีกรรม เช่น นั่งล้อมวงรอบกองไฟ และกำหนดหัวข้อขึ้นมา 1 หัวข้อ ที่เป็นอุปสรรค แล้วทำสมาธิร่วมกันซักพัก และโยนกระดาษที่เป็นอุปสรรคนั้น ทิ้งลงไปที่กองไฟ พร้อมกับปล่อยวาง เป็นอุบายในการให้ปลดปล่อยอุปสรรคที่อยู่ในใจออกไป เมื่อปล่อยวาง สิ่งที่ควรจะเป็น ก็จะบังเกิดขึ้นครับ
    4.สุดท้ายก็ำใช้สติ และปัญญา พิจารณา ความคิดต่างๆที่ผุดขึ้นมาควบคู่กันไป อยู่เสมอ ก็จะช่วยเลือกเส้นทางที่พึงปราถนาได้อย่างมั่นคงครับ
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เข้ามาก็เห็นโครงการดีๆจากคุณริสา รวมทั้งเทคนิคดีๆจากคุณกุณแจฯ ทำให้มองเห็นความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของแต่ละท่านไปพร้อมๆกันเลยครับ ลองคิดกันดูนะครับว่าเราจะใช้วิธีไหนในโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนรวมถึงการล้อมวงทำสมาธิด้วยกัน ไม่แน่บางทีเราอาจจะเชิญพี่นักเขียนฯมาเป็นพี่ใหญ่ในวงกลมนี้ด้วย เอาให้กลมกิ๊กกันไปเลยดีมั๊ยครับ?

    เห็นความฝันของคุณจินต์ฯแล้ว ดูเหมือนจะเข้าล็อคจริงๆครับ ความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น..เราอย่าเอาใจไปฝากไว้ที่คนอื่นดีที่สุดครับ.. (ขอบคุณ Falky ด้วยนะ)

    รู้สึกคุณเดรดเรากลายเป็น search Engine ประจำบอร์ดไปแล้ว
    Google ต้องรีบจับตามองเป็นพิเศษแล้วนะครับ อิอิ

    คุณซิปฯ คุณเซลล์ ก็พกพาข้อมูลและความล้ำลึกมาฝากเสมอๆ
    น้องลีโอเกิร์ลก็หายไปนานกลับมาคราวนี้คงทบทวนความรู้เพื่อต่อยอดได้เลยนะครับ
    คุณสงบก็เข้ากระทู้ได้เหมือนเดิมแล้ว ดีใจด้วยครับ
    ขอบคุณผู้ติดตามอ่านทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจเหมือนเช่นเคยด้วยครับ

    เห็นหลายท่านกลับมา standby แล้วก็อุ่นใจครับ
    ดูเหมือนพวกเราจะกลับมารวมกันที่นี่หมดแล้ว..
    ถึงเวลาเปิดเทอมใหม่ หัวใจไม่ว้าวุ่นนะครับ (อิอิ)
    เชื่อว่าจะมีเรื่องราวน่ารู้ดีๆจากพี่นักเขียนฯตามมาให้อ่านกันเร็วๆนี้แน่นอนครับ
    เวลานึกถึงพี่เค้าทีไรก็รู้สึกเย็นๆใจทุกครั้ง เพื่อนๆคงรู้สึกคล้ายๆกันนะครับ

    [​IMG]



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=950 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=bkgd></TD></TR><TR><TD class=bkgd_yellow>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=950><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=bkgd_yellow cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD class=subhead></TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD></TD><TD class=bodylight></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=950><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=675 border=0><TBODY><TR><TD width=200>[​IMG]</TD><TD class=head></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2009
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    วิชาแรกวันนี้
    ....วิชาดูจิต.......



    ธรรมบรรยาย... "ทางพ้นทุกข์ ก. ไก่ ถึง ฮ. นกฮูก"
    โดย...หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    บรรยายเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2552
    ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไำทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=J_6CQYr03-M"]YouTube - ทางพ้นทุกข์ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก Part 1 of 10[/ame]​

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน - ความจริงของนิพพาน
    ความหมายของกายนี้ใจนี้ไม่มีตัวเรา...เป็นอย่างไร?
    หลวงพ่อท่านบรรยายได้ลึกซึ้งน่าฟังมาก
    มีความหมายชวนให้ขบคิดและเชื่อมโยงกันอยู่หลายจุดที่เดียว
    มีอยู่ 10 ตอน เราฟังไปพร้อมๆกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2009
  18. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    บังเอิญไปเจอข้อมูล เกี่ยวกับ lucid dreaming

    และคำแปลบางส่วน เกี่ยวกับสุบินโยคะ เขียนโดย Tenzin Wangyal Rinpoche

    เนื้อหาน่าสนใจเลยครับ

    เพื่อนๆลองเข้าไปอ่านได้ตามลิ้งค์นี้เลยครับ

    สุบินโยคะ : Tibetan Yoga of Dream
     
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เอามาแปะไว้ที่นี่บางส่วนนะครับคุณเซลล์
    มีสาระจากศาสนาและความรู้ผสมผสานกันอยู่ครับ
    -------------------------------------------

    "รอยอกุศลกรรม"

    เมื่อใดก็ตามที่เราใช้อารมณ์ด้านลบโต้ตอบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เมื่อนั้น “รอยอกุศลกรรม” ได้ถูกประทับไว้แล้วทันทีในจิตของเรา และรอยอกุศลกรรมนี้ เป็นพลังที่มีอิทธิพล ทำให้ชีวิตของเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านลบอีกต่อ ๆ ไปอย่างไม่รู้จบ

    ดังตัวอย่างเช่น เมื่อมีใครสักคนแสดงโทสะใส่เรา และเราโต้ตอบกลับด้วยโทสะเช่นเดียวกัน นั่นเท่ากับเราได้ทิ้งรอยกรรมแห่งโทสะจริตไว้ ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนโกรธง่ายขึ้นเรื่อย ๆ โกรธบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยยั่วโทสะรอบตัวเรานั้นช่างมีมากมายเหลือเกิน และนับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ในทำนองกลับกัน ถ้าเราไม่โต้ตอบสถานการณ์ด้วยความโกรธ ก็จะไม่มีการประทับรอยโทสะไว้ในรอยกรรมของเรา ในสถานการณ์เดียวกันเช้นนี้ บุคคลที่ถูกประทับรอยกรรมด้วยอารมณ์โกรธ กับอีกคนที่ไม่ คนทั้ง ๒ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ทั้งผลภายนอก (หน้าที่การงาน ชีวิตทางสังคม) และผลภายใน (ความสงบสุขทางจิตใจ สุขภาพทางร่างกาย ตลอดจนความคิดและสติปัญญา)

    ความกลัว ความวิตก ก็เป็นอีกตัวอย่างของอารมณ์ที่ทิ้งรอยกรรมด้านลบไว้ ความกลัวความวิตกกังวลทำให้คนตกอยู่ในภาวะเครียด ความเครียดเป็นพลังงานที่แผ่ซ่านออกไปรอบทิศทางชีวิตของบุคคลนั้น เราคงจะเห็นบ่อย ๆ ว่า คนที่โกรธง่าย วิตกกังวลง่าย และมีความกลัวอยู่ในใจ จะดึงดูดเอาผลแห่งรอยกรรมด้านลบหรือด้านร้ายเข้าสู่ชีวิตของเขาเอง จนดูประหนึ่งว่าชีวิตเขาจะพบแต่โชคร้ายอยู่เนือง ๆ

    แต่แม้ว่าเราจะกดอารมณ์โกรธ กดความวิตกและความกลัวนั้นไว้ในใจเงียบ ๆ ไม่แสดงการโต้ตอบออกไป รอยกรรมแห่งอกุศลจิตก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพราะการเก็บกดไว้เป็นการสำแดงความไม่พึงพอใจแบบย้อนกลับ แม้ไม่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ได้หมดไป ยังคงซ่อนอยู่หลังประตูที่เราคล้องกุญแจไว้ มันซ่อนอยู่ในความมืดอย่างรอคอย เหมือนศัตรูร้ายที่ซุ่มเงียบ รอให้ได้ที หรือได้ฤกษ์เมื่อไร ก็พร้อมที่จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาต่าง ๆ นานา

    ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเก็บกดความโกรธ หรืออิจฉาริษยาใครก็ตามไว้ในใจ เราจะรู้สึกได้ถึงความเดือดพล่านในอารมณ์ของเราเป็นระยะ แม้ว่าเราจะเก็บความริษยานั้นไว้เป็นความลับสุดยอด แต่ก็ไม่วายที่เราอาจจะเผลอนินทาว่าร้ายบุคคลนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว หรือแม้ว่าเราจะปฏิเสธกับตัวเองว่าเราไม่ได้โกรธหรือริษยาใคร แต่เราก็หลอกจิตใจตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่จิตของเรายังจับความรู้สึกโกรธ เกลียด กลัว อิจฉา หรืออาฆาตมาดร้ายที่เก็บกดไว้หลังประตูใจของเราได้ ตราบนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลกรรมได้ถูกหว่านไปในพื้นดินอันอุดมด้วยกิเลสเรียบร้อยแล้ว

    ......ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ร่องรอยแห่งอกุศลกรรมนั้นจะถูกประทับทันที ไม่ว่าเราจะสร้างอกุศลทางใดก็ตาม ทั้งทางการกระทำ ทางวาจา ทางความคิด และทางความรู้สึก

    ดังนั้น แทนที่เราจะปล่อยให้อุปนิสัยหรือจริตของเราขับเคลื่อนไปตามยถากรรม หรือเก็บกดความรู้สึกทางอกุศลไว้ในใจ เราสามารถเปลี่ยนรอยอกุศลกรรมได้ ด้วยการสื่อสารกับจิตวิญญาณภายในของเราให้ลดทอนอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ การสื่อสารกับตัวเองเป็นการช่วยให้เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถเปลี่ยนรอยอุกศลกรรม ให้เป็น กุศลกรรมได้

    เมื่อใครสักคนทำให้เราโกรธ จริตเดิมเราอาจจะเริ่มปรากฏโทสะขึ้น แต่ด้วยการสื่อสารและเชื่อมั่นในกุศลกรรม จะช่วยให้เราค่อย ๆ เปลี่ยนความโกรธนั้นเป็นความเมตตา ขณะเริ่มฝึกใหม่ ๆ เราอาจรู้สึกว่าการปรับเปลี่ยนนี้ช่างฝืนใจและเสแสร้งเสียเหลือเกิน มันช่างไม่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเราเลย

    แต่ลองคิดใคร่ครวญดูดี ๆ ซิว่า บุคคลที่โกรธเกลียดเราคนนั้น เขาจะต้องถูกผลักให้เข้าไปวนเวียนอยู่ในวังวนของความโกรธอันไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องด้วยกรรมของเขาเอง จิตใจของเขาจะต้องทนทุกข์กับหลุมพรางที่ตัวเองเป็นคนขุด ต้องติดอยู่ในกับดักที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ว่ายเวียนอยู่ในรอยอกุศลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ เมื่อเราพิจารณาอย่างเข้าใจได้เช่นนี้ ความรู้สึกเมตตาก็จะผุดขึ้นในใจเรา เราจะเริ่มมีสติที่จะไม่กระทำการตอบโต้ด้วยจริตเดิม เพราะเราไม่อยากเข้าไปว่ายวนในทะเลทุกข์เหมือนเขา นั่นเท่ากับเราได้เริ่มลงมือเปลี่ยนแปลงรอยกรรมใหม่ในอนาคตของเราแล้ว ด้วยการกระทำในวันนี้ของเราเอง ซึ่งเรามีสิทธิ์เลือกได้

    ผลแห่งกรรมในทางกุศลนี้ ต้องเป็นไปตามความปรารถนาที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้เติบโตอย่างอบอวลไปด้วยความสงบสันติ ความปรารถนานี้ทำให้เราศรัทธาเชื่อมั่น เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาลงไปในใจอย่างไม่รู้ตัว

    คราวต่อ ๆ ไป เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เคยสร้างความโกรธเคืองให้เราอีก เมล็ดพันธุ์แห่งเมตตาธรรม จะแตกหน่อออกผลอย่างเป็นธรรมชาติในใจเรา เราจะเกิดความเมตตาขึ้นอย่างไม่ต้องฝืน อย่างเป็นธรรมดา อย่างสบาย ๆ จิตไร้สำนึกของเราไม่จำเป็นต้องสร้างกลไกการปกป้องตัวเองด้วยการโต้ตอบด้วยวิธีรุนแรงอีกต่อไป

    กุศลกรรมเป็นกรรมที่สะสมทับทวีคูณ เมื่อเริ่มต้นฝึกปรับเปลี่ยนรอยกรรมใหม่ ๆ เราจะรู้สึกว่าต้องอดทน อดกลั้น ต้องฝืนใจอย่างมาก แต่เมื่อรอยกรรมที่เป็นกุศลเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ผลแห่งกรรมนั้นเองที่ช่วยให้ความโกรธของเราลดลงไปทีละนิด ๆ อย่างไม่ต้องฝืน ไม่ต้องพยายาม ทั้งทางกาย ทางใจ และทางปัญญา

    อาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เราสามารถพัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วยการฝึกใส่ใจทุก ๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในยามตื่น ในระหว่างภาวนา และในความฝัน

    ............

    (แปลจากบางตอนของหนังสือ The Tibetan Yogas of Dream and Sleep
    เขียนโดย เท็นซิน วังจัล รินโปเช)
    ครูส้ม : สมพร อมรรัตนเสรีกุล (พึ่งอุดม) แปล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2009
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    "รอยกรรมและความฝัน "

    อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด จินตนาการ ทรรศนะ การรับรู้ ตลอดจนสัญชาตญาณ หรือที่เรียกรวม ๆ กันว่า “จิตสำนึกและจิตไร้สำนึก” ปรากฏขึ้นจากรอยกรรมของปัจเจกบุคคล
    ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่หดหู่เศร้าหมองอย่างไม่มีเหตุผล อารมณ์ในเช้านี้ แทนที่จะสดชื่นแจ่มใสเหมือนเช้าวันอื่น ๆ กลับหนักอึ้งหม่นมัว แม้จะรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกหดหู่ก็ยังไม่หายไปไหน

    ที่แย่กว่านั้นคือ คิดอย่างไรก็หาต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์หม่นหมองนั้นไม่พบ เพิ่งตื่นแท้ ๆ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรมากระทบให้อารมณ์เสียสักอย่าง เรื่องราวขัดใจกับใครก็ไม่มี เหตุใดอารมณ์จึงไม่สดชื่นแต่เช้า ดูช่างไม่สมเหตุสมผลเสียจริง ๆ

    เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อารมณ์หม่นหมองที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เกิดจากความเหมาะเจาะสอดคล้องของเหตุปัจจัยแห่งกรรมที่เรามองไม่เห็น กรรมที่เป็นต้นตอของจิตหมองนี้มีเหตุปัจจัยมากมายเหลือคณานับ รวมทั้งเหตุปัจจัยที่ก่อรูปขึ้นในความฝันยามหลับด้วย แม้ว่าเธอจะตื่นมา แล้วพูดว่าเมื่อคืนไม่ได้ฝันอะไร หรือได้ลืมความฝันไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกในฝันยังคงตกค้างอยู่ ซึ่งทำให้จิตใจเศร้าหมองอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

    ในช่วงเวลากลางวันที่ร่างกายของเราตื่นอยู่ จิตจะทำงานคู่ขนานไปกับความคิดเชิงเหตุผลอยู่เสมอ แต่เมื่อร่างกายของเรานอนหลับและเข้าสู่ห้วงของความฝัน จิตขณะฝันของเรา เป็นจิตที่อิสระจากวิสัยเชิงเหตุผล เปรียบเทียบคล้ายกับการถ่ายภาพ วันหนึ่ง ๆ เราได้บันทึกภาพมากมายลงบนฟิล์ม ผ่านความคิด ผ่านประสบการณ์ ผ่านความจำ และผ่านความรู้สึก ภาพแต่ละภาพถูกบันทึกไปอย่างต่อเนื่อง ครั้นพอตกค่ำคืน ขณะที่ร่างกายของเรานอนหลับ กระบวนการล้างฟิล์มได้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ภาพที่ล้างออกมา ปรากฏเป็นความฝันในแต่ละคืน ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงที่จิตบันทึกไว้ในชีวิตประจำวันขณะตื่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากรอยกรรมในอดีต

    ภาพหรือความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละคืนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขเฉพาะของรอยกรรมที่ปรากฏในช่วงนั้น ๆ บางคืนภาพที่เราเห็นในความฝันก็ช่างมีอานุภาพต่อจิตใจเราอย่างรุนแรง เปรียบเหมือนภาพที่ชัดเสียจนตื่นมาแล้วก็ยังจดจำได้ทุกรายละเอียด จำทุกอารมณ์ทั้งสุขและทุกข์ได้ แต่บางฝันก็ทิ้งไว้เพียงความจำที่เลือนลาง เหมือนภาพที่ลอยมาให้เห็นแล้วก็ผ่านไป ตื่นมาก็จำอะไรไม่ค่อยได้จิตของเราทำหน้าที่คล้ายหลอดไฟของเครื่องฉายภาพ ซึ่งให้ความสว่างแก่รอยกรรมที่ถูกกระตุ้นด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ เมื่อหลอดภาพที่ถูกจุดให้สว่างขึ้น ประกอบเข้ากับรอยกรรมที่ถูกกระตุ้น จึงก่อให้เกิดภาพและประสบการณ์ที่เรียกว่า “ความฝัน”

    ความจริงกระบวนการฉายแสงให้จอสว่างเพื่อที่เราจะได้เห็น “ภาพหรือประสบการณ์” เบื้องลึกของจิตอย่างแจ่มชัด ก็เกิดขึ้นในขณะที่เราตื่นด้วยเหมือนกัน แต่กระบวนการฉายภาพเบื้องลึกเช่นนี้ จะเห็นและเข้าใจได้ง่ายกว่าในความฝัน เพราะว่าในฝัน เราสามารถสังเกตทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยจิตที่เป็นอิสระจากข้อจำกัดและเงื่อนไขเชิงเหตุผลอย่างที่เราเคยชินในช่วงเวลาตื่นอีกประการหนึ่ง

    ในระหว่างวันของชีวิตยามตื่น เราไม่สามารถผนวกตัวเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ภายในได้สนิทเหมือนขณะฝัน เพราะความคิดที่ติดยึดว่าประสบการณ์ขณะตื่นเป็น “ของจริง” ทำให้คนทั่วไปมักตัดสินว่า “โลกภายนอก” คือโลกแห่งความเป็นจริง และนี่เป็นข้อจำกัดของความคิดเชิงเหตุผลแบบทวิภาวะ ที่แบ่งแยกโลกภายนอกออกจากโลกภายใน และแบ่งแยกโลกของจริงออกจากโลกฝัน

    ในทางสุบินโยคะ ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนจิต เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อประสบการณ์ทุกมิติทั้งยามตื่น และยามหลับฝัน และเพื่อให้สามารถเชื่อมโลกภายนอกเข้ากับโลกภายใน เชื่อมประสบการณ์ภายนอกเข้ากับประสบการณ์ภายใน เมื่อจิตมีความเป็นหนึ่งเดียว จิตจึงจะว่องไวต่อความตระหนักรู้ ทั้งในชีวิตยามตื่นและชีวิตยามหลับ จิตที่ว่องไวและตระหนักรู้ มีผลต่อการกำหนด “กรรม” และ “รอยกรรม” ชุดใหม่

    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รอยกรรมที่เก็บซ่อนอยู่ในอาลัยวิญญาณ จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงกันของเหตุปัจจัยทั้งหลาย และการปรากฏของรอยกรรมก็มิได้ปรากฏเฉพาะในชีวิตยามตื่นเท่านั้น แต่จะไปปรากฏในชีวิตยามหลับด้วย

    การฝึกจิตเพื่อปรับปรุงตัวเองสู่กุศลกรรม เราอาจจะได้กระทำอยู่บ้างแล้วในช่วงชีวิตยามตื่น สำหรับการฝึกในด้านความฝันอาจเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยกันนัก แต่กุศลกรรมจากการฝึกปฏิบัติแต่ละครั้ง ก็จะเป็นแรงหนุนให้เกิดรอยกรรมใหม่ซึ่งช่วยนำให้การฝึกครั้งต่อ ๆ ไปง่ายยิ่งขึ้น สามารถนำจิตวิญญาณเข้าสู่กระบวนการฝึกชั้นสูงขึ้นได้เอง

    การฝึกเช่นนี้ไม่ใช่การใช้กำลังของจิตสำนึกไปบีบคั้นบังคับเพื่อเปลี่ยนจิตไร้สำนึกแต่อย่างใด แต่การฝึกฝันตามแบบโยคะทิเบต เป็นการสร้างโอกาสในการพัฒนาจิตวิญญาณ โดยอาศัยความเข้าใจตามหลักของ “กฏแห่งกรรม”ด้วยจิตที่มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา (ทั้งยามตื่นและในฝัน) เราจึงจะสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่สะสมอยู่ในอาลัยวิญญาณ และจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง (วิชชา) เมื่ออาลัยวิญญาณไม่ถูกต่อยอดด้วยอวิชชา จิตที่คลุมเครือก็จะค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น เป็นจิตที่สว่างไสวเมื่อจิตสว่างบริสุทธิ์ รอยกรรมซึ่งเป็นรากของความฝันก็จะไม่ปรากฏ กระบวนการล้างฟิล์มในขณะหลับก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อนั้นจึงจะไม่มีทั้งเรื่องราวในฝัน ไม่มีผู้ฝัน และไม่มีความฝัน คงมีแต่ภาวะแห่งความรู้แจ้ง นี่เป็นเหตุที่เราเรียกภาวะของการสิ้นสุดความฝันว่า “การตื่นรู้” (การตื่นอย่างแท้จริง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...