การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ในเมื่อ คุณขันธ์ เขามีเจตนาแฝงที่จะเอาคุณ มาบริภาษไปถึงพระเท่านั้น

    การที่จะเสวนากับเขา ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร จะแจ้งเขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจสันโดษหรอก

    ป่วยการ พูดกับเขา

    * * * * *

    เห็นไหมๆ พอได้จังหวะเล็กๆ น้อยๆ นะ ตีชิ่งบริภาษพระทันที ไม่ได้สนใจเราจริงหรอก

    * * * * *

    ถ้าสันโดษเห็นแบบเรานะ ก็จะรู้ว่า จะช่วยให้เขาสร้างกุศลให้กับชีวิตได้อย่างไร

    แน่นอนเลย หนทางนั้นก็คือ เขาจะเอาเรามาโพทนาอย่างไร เราก็ปล่อยเขาไป
    หากไม่มีใครไปพูดกับเขา เขาก็จะไม่มีโอกาศเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบริภาษพระ กุศลเกิดและ

    ชิมิ ชิมิ

    * * * *

    ปล. ก็แล้วแต่สันโดษนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เดี๋ยวค่อยๆ ดูไป ก็จะปรากฎ

    คนทำไม่ถูกทาง ผลที่ได้ก็ไม่ตรง

    ความคิด ความเลอะเทอะ ในจิตใจมันก็มากขึ้น มันลืมเรื่องที่ทำไป หยิบฉวยเรื่องใหม่ ไปเรื่อยๆ มองไม่เห็น เรื่องราวที่แท้จริง

    ผมขอตัวก่อน
     
  3. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    พี่ขวัญดูจิตเก่งๆแบบเจ้เนี่ย ทำสมาทิเพิ่มหน่อยวันละนิดเจ๋งเลยนะ
    มีบางอย่างจะผุดไห้เห็น
     
  4. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    ไม่อ้างอิง จากพระไตรปิฏก นั่งเทียนกันลอยๆ จากการปฏิบัติของตัวเอง แล้วมันจะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไงหละครับ

    ทั้่งที่ผมก็แนะนำคุณแล้ว ว่า "สติ" จริงๆ เป็นอย่างไร คุณ ขันธ์ เองก็พูดไว้ชัดเรื่องสติ ถ้าสติ ของคุณ มันเป็นได้ทั้งกุศล และ อกุศล จิตมันยังไม่ตื่นหลุดออกมาจาก ความคิด และอารมณ์ ทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล ตรงนั้นมันยังไม่ใช่ "สติ" ที่เป็นต้นทางของมรรคผล
     
  5. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    เอาทีละข้อนะครับ ตรงนี้ผมไม่ได้ออกมาแก้ต่างแทนพระนะครับ แต่ผมอธิบายให้เข้าใจ สิ่งที่หลวงพ่อท่านสื่อออกมาให้ตรง ไม่คลาดเคลื่อนนะครับ
    ๑.สติเป็นอนัตตา ทั้งๆที่สติเป็นมรรค(ทางเดินของจิต)

    "สติเป็นอนัตตา" ข้อนี้เข้าใจไม่คลาดเคลื่อนจากที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนนะครับ สติเป็นต้นทางของมรรค แล้วทำไม "สติจะเป็นอนัตตา" ไม่ได้หละครับ หรือคุณเห็นว่า สติเป็น "อัตตา" ถ้าเห็นว่าสติ เป็นอัตตา ช่วยอฺธิบายด้วยนะครับ

    จริง ๆ ถ้าจะเคลื่อน ก็อาจจะเป็นที่ความหมายของ "อนัตตา"
    ที่เข้าใจไม่ตรงกัน
    ถ้าจะให้ดี
    ช่วยอธิบายความหมายของ อนัตตา ของคุณมาด้วยครับ

    ๒.สติเกิดขึ้นเอง ซึ่งความจริงเป็นไปไม่ได้เลยว่า สติจะเกิดขึ้นเองได้
    สติต้องฝึกฝนอบรมให้เจริญขึ้น มากขึ้น


    "สติเกิดเอง" ตรงนี้เข้าใจคลาดเคลื่อน หลวงพ่อปราโมทย์สอนว่า "สติเกิดเอง เมื่อ มีเหตุ ปัจจัยพร้อม"

    อยู่ ดี ๆ สติ มันไม่เกิดเองหรอกครับ ถ้าเกิดเองก็บรรลุธรรมกันหมดโลกแล้ว ท่านจะเทศสอนเสมอให้คอยขยันทำเหตุของสติ นั้นคือพยายามคอยรู้ คอยดู
    สภาวะ
    ที่เกิดขึ้นในกาย ในใจ การคอยรู้ คอยดูสภาวะ ตรงนี้ยังไม่ใช่ สติ นะครับ แต่เป็นการสร้าง ถิรสัญญา ซึ่งเป็น เหตุของ สติ ถ้าเราขยัน คอยรู้ คอยดู สภาวะ จนจิตมันจำสภาวะได้แม่น สติมันเกิดเองจริง ๆ (ไม่ต้องกำหนดรู้ จิตมันระลึกรู้สภาวะของมันเอง อีกทั้งบังคับไม่ได้จะให้มันเกิดตอนไหน มันจะเกิดมันก็เกิดเอง มันจะไม่เกิด ก็ไม่เกิด)

    ๓.สติจะเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตรู้อารมณ์ก่อน นี่ก็เป็นการแสดงออกถึงภูมิธรรมของผู้พูดว่าปุถุชนดีๆนี่เอง เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านล้วนมีสติปัฏฐาน(ฐานที่ตั้งของสติอย่างต่อเนื่อง)
    ย่อมมีสติรู้ก่อนอารมณ์จะเกิดเสียด้วยซ้ำ
    โลกนี้จึงสงบสันติเพราะมีพระสุปฏิปันโนที่แท้จริงคอยสั่งสอน


    ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่า "สติ" ต้นทางของมรรคผล นี้ เป็นของปุถุชลที่ควรเจริญ หลวงพ่อท่าน ไม่ได้เทศสอน พระอริยะเจ้านะครับ ลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ส่วนใหญ่ก็เป็น ปุถุชล 99.99%

    ถึงภาวนาจนมรรคผลเกิดเ็ป็นพระอริยะเจ้าระดับต้น ๆ สติก็รู้ตามอารมณ์ครับ ลองอ่านพระสูตรนี้ดูนะครับ ละดูว่า รู้ตามอารมณ์ หรือรู้ก่อนอารมณ์

    </dt></dl>๔.สติบังคับไม่ได้ เป็นการสอนผิดจากพระบรมครูอย่างน่าเศร้าใจ
    อะไรที่อบรมให้มากขึ้น เจริญขึ้น ย่อมต้องบังคับบัญชาได้
    ถ้าบังคับไม่ได้ จะมากขึ้นหรือเจริญขึ้นได้เหรอ


    ตรงนี้ท่าน สอนตรงและชัดครับ "สติบังคับให้เกิดไม่ได้" คำว่า บังคับ กับคำว่าเจริญ นี้ต่างกันนะครับ การที่เราเจริญสติ นั้นไม่ได้เป็นการบังคับให้สติเกิด แต่เป็นการขยันคอยสร้างเหตุเหตุของสติ ซึ่งผมก็เขียนไว้ข้างต้นแล้ว

    ผมขอให้อ่านด้านบนนะครับ อย่าดูแค่ผ่าน ๆ แล้วก็ยกประเด็นอื่นขึ้นมา เปลี่ยนประเด็นอีก เพราะมันจะไม่จบครับ

    ถ้าอ่านแล้ว เข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์สื่อออกมาตรงแล้ว รู้สึกว่าตรงไหนผิด หรือไม่ถูกต้อง ก็เสนอมาเป็นข้อ ๆ ได้เลยครับ

    คุยกันดี ๆ โดยใช้เหตุผลนะครับ เถียงเพื่อจะเอาชนะกัน มันไม่ได้อะไรเลยจริง นอกจากอกุศลจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะพูดอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง

    1 ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องไปพูดว่า สติเป็นอย่างไร มีกายภาพแบบใด
    แต่ให้เจริญสติ เท่านั้นจบ แต่ การพูดไปทางอื่น เป็นอำนาจกิเลสของตัวผู้พูดเองที่เฉออก ไปตามสัญญา อารมณ์ ไม่เกี่ยวกับการทำความเข้าใจในทางปฏิบัติ

    2 ลักษณะของสติ เป็นสิ่งที่ต้องเจริญ และต้องฝึกฝน ไม่ใช่จะเกิดเอง ดังนั้นแล้ว การฝึกคือ คอยสังเกตุ คอยระลึกการกระทำ และ พฤติกรรมของ เราเอง ได้แก่ ระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม

    3 แม้พระอริยเจ้าก็ต้องเจริญ สติ ซึ่ง สตินี้จะต้องคู่ไปกับปัญญา คือ สังเกตุ ระลึกรู้ในพฤติกรรม แล้ว ใช้ปัญญาแยกแยะ แล้วจดจำ เพื่อที่จะคัดสรร และ รู้เท่าทันในกลมายาแห่งกิเลส ก็จะแยกสมมติต่างๆ ออกจากกัน ก็จะทำลายอุปาทานได้ทั้งหมด
     
  7. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ผมว่าน่าจะงดการตอบโต้กันไปมาดีกว่าครับ ใครต้องการรู้จริงๆว่าหลวงพ่อปราโมทย์
    ท่านเทศน์ไว้ยังงัยก็โหลดไปฟังดีกว่าครับ ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
    ฟังไปเรื่อยๆตั้งแต่แผ่นแรกๆฟังให้หมดเลยยิ่งดี ดีกว่าพวกที่มานั่งตัดต่อคำพูดบางคำ
    แล้วก็เอามาโจมตีหลวงพ่อท่าน บางคนยังท้าทายหลวงพ่อ แบบนี้เห็นแล้วไม่สบายใจ
    ครับ......
     
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ 2ชาติ บรรลุธรรม. . . [​IMG]

    ตรงถ้าผู้รู้มันเป็นกลางๆ หรือเฉยๆได้ เราก็ไม่มีทุกข์
    หมายความว่า ถ้าหากผู้รู้ไปรู้จิต ที่มีอารมณ์ต่างๆเช่น โลภะหรือโมหะ แล้วผู้รู้ก็เพียงแต่รู้เฉยๆ เป็นกลางๆ ไม่ปรุงอารมณ์เหล่านั้นต่อ ก็ไม่มีทุกข์ ไช่ไหมครับ


    ตรง ถ้าไม่ยึดมั่นในผู้รู้ได้ ทุกข์มันก็คงไม่มี หมายความว่าคิดว่า ถ้าผู้รู้ไปรู้ว่าจิต มีโทษะ หรือโลภะแล้วผู้รู้ จะปรุงแต่งไปอย่างไร
    แต่ถ้าเราไม่ยึดผู้รู้ ทุกข์ก็คงไม่มีหรือครับ

    ใช่อย่างที่ผมคิดหรือไม่ครับคุณขวัญ . .
    --------------------------------------------------------------
    คุณดูตรงนี้สิครับ . .
    ตรงถ้าผู้รู้มันเป็นกลางๆ หรือเฉยๆได้ เราก็ไม่มีทุกข์
    หมายความว่า ถ้าหากผู้รู้ไปรู้จิต ที่มีอารมณ์ต่างๆเช่น โลภะหรือโมหะ แล้วผู้รู้ก็เพียงแต่รู้เฉยๆ เป็นกลางๆ ไม่ปรุงอารมณ์เหล่านั้นต่อ ก็ไม่มีทุกข์ << หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าโลภะ หรือโมหะ หรือโทสะ นั้นเกิดแล้ว ผู้รู้จึงรู้ แต่ไม่ปรุง จึงไม่ทุกข์
    --------------------------------------------
    ถ้าไม่ยึดมั่นในผู้รู้ได้ ทุกข์มันก็คงไม่มี หมายความว่าคิดว่า ถ้าผู้รู้ไปรู้ว่าจิต มีโทษะ หรือโลภะแล้วผู้รู้ จะปรุงแต่งไปอย่างไร
    แต่ถ้าเราไม่ยึดผู้รู้ ทุกข์ก็คงไม่มีหรือครับ

    นี่ก็หมายความว่า โทสะ หรือโลภะ เกิดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน .เพียงแต่เรา
    ไม่ยึดผู้รู้ที่ไปรู้โทสะ หรือ โลภะนั้นๆว่าเป็นเรา
    -------------------------------------------------
    ทั้งสองอย่างนี้ก็สรุปว่า อย่างไรอย่างไร จิตที่ฝึกดูจิต ก็ยังมีอารมณ์ต่างๆอยู่ เช่นโทสะหรือโลภะ......

    -----------------------------------------------------
    แต่เอาเถอะ เพราะบางท่านบอกถ้ายังไม่ถึงที่สุดทุกข์ คือ พระอรหันยังไงๆก็ยัง
    ก็ยังมีอารมณ์ต่างๆอยู่ มีปรุงแต่งอยู่ ....
    คุณขวัญ หรือคุณพี่เล่าปัง คิดอย่างนี้เหมือนกันหรือไม่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ที่นี่ลองดูการถึงที่สุดทุกข์แบบดูจิตดูบ้าง...
    มีบางท่านบอกว่าเมื่อเราปฏิบัติดูจิตไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลา จิตจะมีอุทานออกมาเองว่า จิตนี้ มันก็ไม่ไช่เรานี่ .. ประมาณนี้
    ใช่ไหมครับพีเล่าปัง
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ทีนี้เมื่อจิตของผู้ฝึกดูจิตเห็นว่าจิตนี้มันไม่ไช่เราแล้วอาจเป็นอย่างไร . .

    เมื่อเห็นแล้วก็ได้ประโยชในการวางขัน5ได้ แต่ คงไม่ไช่ทั้งหมดหมายถึง
    ขัน5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ ใน5อย่างนี้ มีแต่รูปที่เป็น รูปธรรม
    ที่เหลือ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ เป็น นามธรรม
    ใช่หรือไม่ครับ พี่เล่าปัง. .
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อ้าว คุณเป็นคนปัญญาอ่อนหรือเปล่าครับ
    คนเขาเอามาถกกัน ให้กระจ่าง นี่ก็ให้ไปฟัง cd อีก มุขเดิมครับ

    ผมเพิ่งพูดไปแป๊บๆ มาเลยมุขนี้
     
  12. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเห็นแล้วว่า จิตไม่ไช่เรา ก็วางรูปธรรม ที่เกิดกับจิตได้ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ . แต่ ไม่ได้แปลว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิณญาณ ไม่เกิดกับจิตนั้นนะครับ ทั้งหมดยังเกิดอยู่ แต่จิตวางได้ เพราะจิตรู้แล้วว่า จิตไม่ไช่เรา

    และขันทั้ง4ที่เกิดอยู่นั้น ก็เกิดทั้งกุศล และอกุศล ไอ้กุศลหนะพอว่า แต่อกุศลนี่ มันควรยังเกิดอยู่อีกหรือ ในผู้ถึงที่สุดทุกข์

    ผมก็ไม่รู้นะ แค่แสดงความเห็น

    ตรงไหนพิมผิดก็ขออภัยด้วยนะ^^
     
  13. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    สติปัฏฐาน4นี้ ไห้เราเห็น รูปธรรม หรือ นามธรรม มากกว่ากันครับขอความเห็นหน่อยครับ
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    รูปไม่มีในเราเราไม่มีในรูป
    เวทนาไม่มีในเราเราไม่มีในเวทนา
    สัญญาไม่มีในเราเราไม่มีในสัญญา
    สังขารไม่มีในเราเราไม่มีในสังขาร
    วิญญานไม่มีในเราเราไม่มีในวิญญาน
    เหล่านี้เป็นเช่นนั้นหรือยัง หากเป็นเช่นนั้นแล้วก้อนุโมทนา
    หากยัง มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน แต่มีสติละลึกรู้ ซักวันปัญญาจะเกิดให้รู้เห็นสภาวะตามจริง จนเหล่านั้นไม่มีอย่างแท้จริง
    อนุโมทนา
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถูกแล้ว น้องสอง สิ่งใดๆ เกิดดับ เป็นไปโดยธรรมชาติของมัน

    ใจไม่ไปเกี่ยวข้องเท่านั้น เช่น ตามองดูของสวยงาม บางคนดูแล้วเฉย บางคนดูแล้วหลงชอบ

    ก็สรรพสิ่งมีอยู่ เป็นอยู่ เช่นเดียวกัน ขันธ์ฺ 5 ดำรงไป เดินไป เกิดดับ แต่หากเป็นกิเลส มันก็จะยึดไปโดยไม่รู้เหตุรู้ผล เช่น คนโง่ มันมาเถียงแทนพระปราโมทย์ อย่างเอาเป็นเอาตาย แม้กระทั่งมีเหตุผลชี้ให้เห็น ก็ยังวางไม่ได้ นี่แหละ เรียกว่า สิ่งภายนอกยังมีอิทธิพล ต่อจิตใจ ให้เห็นผิดเป็นถูกบ้าง เห็นถูกเป็นผิดบ้าง เพราะว่า ยึด ไม่ย้อนมองไปถึงตัวปรมัตที่แท้จริง
     
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ผู้มีสติ รู้ทั้งรูปและนามครับ แต่สติจะกล้าแค่ไหนนั้นอยู่ที่การฝึกฝน
    เริ่มแรกอาจรู้ที่รูปก่อน อยู่ที่ฐานของกาย และมีมากขึ้นๆๆ จนรู้ฐานของเวทนา และมากขึ้นจน ถึง จิต และถ้วนทั่ว ทั้งขันธ์ และเกิดการละวาง เรียกว่ากระทบแต่ไม่กระเทือน ไม่กระเทือนที่แท้จริงนั้น เป็นที่สุด
    แต่ท่ามกลางนั้นก้มีด้วย คือวางได้บางส่วนหรือที่เรียกว่าไม่เต็มดวง
    อาการอย่างไรคือ รู้เท่าทันบ้างไม่รู้เท่าทันบ้าง วางได้บ้างยังยึดอยู่บ้าง
     
  17. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ยืนเดิน นั่ง นอน นี้ผมเหมาเอาว่าเห็นรูปมากกว่าเห็นนามครับ ในกรณีของผู้ไม่มีสติดีพอ
     
  18. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    อาการทางกายมีสติละลึกรู้ก้เท่ากับรู้รูป ผู้มีสติเล็กน้อยช่วงแรกมักใช้เป้นที่ฝึกสังเกตุฝึกละลึกรู้
    การละลึกรู้ในปัจจุบันต้องรู้ทั้งกายและใจที่เกิดทุกขนะที่ ยืน เดิน นั่ง และนอน
    ทุกอาการที่กล่าวมีทั้งอาการทางกายและอาการทางใจไปพร้อมกัน ไม่เยงแต่เวทนาที่เกิดแต่ยังรวมถึง สัญญา สังขาร และวิญญาน ก้สังเกตุตัวเองเอาว่ามี สติ มากไหม?
     
  19. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    งั้นผมว่าเห็นยังไงก็เห็นก่อน รูปธรรมมากกว่านามธรรมนะครับ . . ในกรณีของผู้ที่ไม่ได้เจริญสติ

    ทีนี้ทำไม สติปัฏฐาน4 ซึ่ง เป็นทางสายเอกที่พระพุทธเจ้ารับรอง(มีรับรองไว้ไหมหว่า * *)

    จึงไห้เราเห็นรูปธรรมมากกว่าก่อน นาม เพราะ ในขัน5ทั้งหมด ที่มีรูปธรรมแค่1อย่างคือรูป
    การเห็นสิ่งนี้ว่าไม่ไช่เราสำคัญที่สุด เพราะอะไร
    เพราะเมื่อจิตรู้ชัดว่า รูป ไม่ไช่เรา รูปทั้งหลายมี แต่ไม่จริง ไม่เที่ยง ไม่ไช่เรา จิตจะเข้าใจได้เองไม่ยากเลยว่า ขันทั้ง4ที่เหลือ ก็ไม่ไช่เราด้วย

    และเมื่อถึงที่สุดทุกข์..ขันทั้ง4ก็ยังเกิดอยู่แต่ ...

    จบไว้คราวหน้า- -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  20. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เรื่องรูปนามที่เห็นนี่แหละมันแบ่งแยก เรื่อง ของการละลึกรู้ออก
    ทำให้เกิดฐานะที่แตกต่างกันไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...