การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    งง ตกลง เราทำได้แล้วหรือ ทำได้เพราะมีของเก่า งั้นหรือ
    เวรกรรม เราว่า เพราะเราทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ มากกว่านะ
    ทำเหตุด้วยการเจริญสติ ดูกาย ดูใจ ตัวเอง แล้วสมาธิกับปัญญามันเกิดเอง
    แต่ยังไม่ถึงระดับได้ฌาณ ก็เลยยังไม่ได้มรรคได้ผล ได้แค่มีสติรักษาจิตไป
    วันๆ ไม่ให้จิตมันวิปลาสต่อเนื่องแบบนอนสต๊อป แค่นั้นเอง ก็เลย เพี้ยนบ้าง
    ปกติบ้าง ชิวๆ บ้าง
     
  2. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ก่อนรู้จักหลวงพ่อ คุณเคยนั่งสมาธิมาก่อนมั้ยล่ะ
    แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าชาติก่อนไม่เคย
     
  3. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอบคุณ คุณขวัญที่คุยด้วยนะครับ
    ผมขอพักผ่อนก่อน
    พรุ่งนี้มีงานครับ

    ขอบคุณนะครับ
    พรุ่งนี้ถ้าคุณขวัญว่าง
    มาคุยกับผมใหม่นะครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราไม่ได้มีตัวคนเดียว นินา
    เออ ถ้าไม่ต้องเลี้ยงดูใคร ก็ว่าไปอย่าง จะได้ไปบวชชี อยู่วัด
    ปฏิบัติให้มันแตกหักกันไป ชิวๆ มันก็จะได้อยู่ในโลกแบบไม่ทุกข์หนักไง
    ภาวนาไม่หยุด แบบ ไม่พัก ไม่เพียร ไง ทำทุกวัน ทีละนิดตามกำลัง
     
  5. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    สิ่งเกิดดับที่จิตไม่ใช่จิต
    ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว



    สอนทำทานประเสริฐ สอนมีศีลประเสริฐ สอนจิตภาวนาประเสริฐ สอนนิพพานต้องรู้นิพพานจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2009
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    คิริมานนทสูตร : ครูที่ดี

    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าบุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาซึ่งพระนิพพาน ควรแสวงหาซึ่งครูที่ดี ที่อยู่เป็นสุขสำราญมิได้ประมาท เพราะพระนิพพานไม่เหมือนของสิ่งอื่น อันของสิ่งอื่นนั้น เมื่อผิดไปแล้วก็มีทางแก้ตัวได้ หรือไม่สู้เป็นอะไรนัก เพราะไม่ละเอียดสุขุมมาก ส่วนพระนิพพานนี้ละเอียดสุขุมที่สุด ถ้าผิดแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์เป็นักหนา ทำให้หลงโลกหลงทางห่างจากความสุข ทำให้เสียประโยชน์เพราะอาจารย์ ถ้าได้อาจารย์ที่ถูกที่ดี ก็จะได้รับผลที่ถูกที่ดี ถ้าได้รับอาจารย์ที่ไม่รู้ไม่ดีไม่ถูกต้อง ก็จักได้รับผลที่ผิดเป็นทุกข์พาให้หลงโลกหลงทาง พาให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารสิ้นกาลนาน เปรียบเหมือนผู้จะพาเราไปในที่ตำบลใดตำบลหนึ่ง แต่ผู้นั้นไม่รู้จักตำบลนั้น แม้เราเองก็ไม่รู้ เมื่อกระนั้น ไฉนเขาจึงจะพาเราไปให้ถึงตำบลนั้นได้เล่า ข้ออุปมานี้ฉันใด อาจารย์ผู้ไม่รู้พระนิพพาน และจะพาเราไปพระนิพพานนั้น ก็จะพาเราหลงโลกหลงทางไปๆ มา ๆ ตายๆ เกิดๆ อยู่ในวัฏสงสารไม่อาจจะพาไปถึงพระนิพพานได้ เหมือนคนที่ไม่รู้จักตำบลที่ไป และเป็นผู้พาไป ก็ไม่อาจจะถึงได้ มีอุปไมยฉันนั้น
    ผู้คบครูอาจารย์ที่ไม่รู้ดีและได้ผลที่ไม่ดี มีในโลกมิใช่น้อย เหมือนดังพระองคุลีมาลเถระ ไปเรียนวิชาในสำนักครุผู้มีทิฏฐิอันผิด ได้รับผลที่ผิดคือเป็นมหาโจรฆ่าคนล้มตายเสียนับด้วยพัน หากเราตถาคตรู้เห็น มีความสงสารเวทนามาข้องข่ายสยัมภูญาณ จึงได้ไปโปรดทรมานให้ละเสียซึ่งพยศอันร้าย เป็นการลำบากมิใช่น้อย ถ้าไม่ได้พระตถาคตแล้ว พระองคุลิมาลก็จักได้เสวยทุกข์ในวัฏสงสารสิ้นชาติเป็นอันมากฯ
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่รู้พระนิพพาน ไม่ควรเป็นครูสั่งสอนท่านผู้อื่นในทางพระนิพพานเลย ต่างว่าจะสั่งสอนเขา จะสั่งสอนว่ากระไรเพราะตัวไม่รู้ เปรียบเหมือนบุคคลไม่เคยเป็นช่างวาดเขียนหรือช่างต่างๆ มาก่อน แล้วอยากจะเป็นครูสั่งสอนเขา จะบอกแก่เขาว่ากระไร เพราะตัวเองก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จะเอาอะไรไปบอกไปสอนเขา จะเอาแต่คำพูดเป็นครูทำตัวอย่างให้เขาเห็นเช่นนั้นไม่ได้ จะให้เขาเล่าเรียนอย่างไร เพราะไม่มีตัวอย่างให้เขาเห็นด้วยตา ให้รู้ด้วยใจ เขาจะทำตามอย่างไรได้ ตัวผู้เป็นครูนั้นแลต้องทำก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรเป็นครูสอนเขา ถ้าขืนเป็นครู ก็จักพาเขาหลงโลกหลงทาง เป็นบาปเป็นกรรมแก่ตัวนักหนาทีเดียว พระพุทธเจ้าตรัสแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แลฯ
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าบุคคลผู้จะสอนพระนิพพานนั้น ต้องให้รู้แจ้งประจักษ์ชัดเจนว่า พระนิพพานมีอยู่ในที่นั้นๆ มีลักษณะอาการอย่างนั้นๆ ต้องให้รู้แจ้งชัด จะกล่าวแต่เพียงวาจาว่านิพพานๆ ด้วยปาก แต่ใจไม่รู้แจ้งชัดเช่นนั้น ไม่ควรเชื่อถือเลย ต้องให้รู้แจ้งชัดในใจก่อน จึงควรเป็นครูเป็นอาจารย์สอนท่านผู้อื่นต่อไป จะเป็นเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้ารู้แจ้งซึ่งพระนิพพานแล้ว ก็ควรเป็นครูเป็นอาจารย์ และควรนับถือเป็นครูเป็นอาจารย์ได้ แม้จะเป็นผู้ใหญ่สูงศักดิ์สักปากใดก็ตาม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว ไม่ควรนับถือเป็นครูเป็นอาจารย์เลยฯ
    ดูกรอานนท์ ถ้าอยากได้สุขอันใด ก็ควรรู้จักสุขอันนั้นก่อนจึงจะได้เมื่ออยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ควรรู้จักสุขในพระนิพพาน อยากได้สุขในมนุษย์และสวรรค์ ก็ให้รู้จักสุขในมนุษย์และสวรรค์นั้นเสียก่อนจึงจะได้ ถ้าไม่รู้จักสุขอันใด ก็ไม่สามารถยังความสุขอันนั้นให้เกิดขึ้นได้ ไม่เหมือนทุกข์ในนรก อันทุกข์ในนรกนั้น จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ถ้าทำกรรมที่เป็นบาปแล้ว ผู้ที่รู้หรือผู้ที่ไม่รู้ก็ตกนรกเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักนรก ก็ยิ่งไม่มีเวลาพ้นจากนรกได้ แต่มิใช่ว่าทำบุญให้ทานมิได้บุญ ความสุขที่ได้จากการทำบุญนั้นมีอยู่ แต่ว่าเป็นความสุขที่ยังไม่พ้นจากทุกข์ในนรก เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็นนรกตราบใด ก็ยังไม่พ้นจากนรกอยู่ตราบนั้น ครั้งได้เข้าถึงนรกแล้ว เมื่อได้รู้ทางออกจากนรกแล้ว ปรารถนาจักด้นจากนรกก็พ้นได้ เมื่อไม่อยากพ้นก็ไม่อาจพ้นได้ ต้องรู้จักแจ้งชัดว่านรกอยู่ที่ในนั้นๆ มีลักษณะอาการอย่างนั้นๆ และควรรู้จักทางออกจากนรกให้แจ้งชัด ทางออกจากนรกนั้นก็คือ ซีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์นั่นเอง เมื่อรู้แล้วอยากจะออกให้พ้นนรกก็ออกได้ ไม่อยากจะออกให้พ้นก็พ้นไม่ได่ ผู้ที่รู้กับผู้ที่ไม่รู้ย่อมได้รับทุกข์ในนรกเหมือนกัน ส่วนความสุขในมนุษย์ สวรรค์ และพระนิพพานนั้น ต้องรู้จักจึงจะได้ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้เลย มีอาการต่างกันอย่างนี้ฯ
    ดูกรอานนท์ เมื่ออยากรู้จักนรก สวรรค์ และพระนิพพาน ก็ควรให้รู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรก ก็รีบออกให้พ้นเสียแต่เมื่อยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุขในมนุษย์ หรือสวรรค์ หรือในนิพพานก็ให้รับขวบขวายหาสุขเหล่านั้นไว้แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายจึงจักพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจักไปสวรรค์ไปพระนิพพานดังนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า อย่าเข้าใจว่า เมื่อมีชีวิตอยู่สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วมีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้ เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้น ไม่ต้องสงสัย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่รู้ไม่เห็นซึ่งความทุกข์และความสุจ มีสภาวะปานดังนี้ เมื่อตายไปแล้วยิ่งจะซ้ำร้าย จะมีทางรู้ทางเห็นด้วยอาการอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการฉะนี้ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2009
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เมื่อคืนไปคุยในห้องสนทนามา มาอธิบายตรงนี้ก่อนแล้วกันครับ
    ที่คุณแมว บอกว่า ถ้าตัณหาไม่เกิดเลย ก็เป็นพระอรหันแล้วสิ ก็ไช่

    แต่ผม หมายความว่า ตัณหาไม่เกิด เพราะจิตรู้สิ่งที่เป็นเหตุของตัณหานั้นๆว่ามันเป็นอย่างไร จิตไม่เชื่อ ในสิ่งที่เป็นเหตุ ของตัณหา จึงไม่เกิดตัณหาขึ้นมาไห้จิตได้รับรู้
    แล้วจึงค่อยตัดอารมณ์ที่เป็นตัณหาหรือ ที่ว่าทำไห้เป็นทุกข์เสีย

    การดูจิตจิตเป็นอย่างไร . . .
    การดูจิต จิตต้องเห็นตัณหา หรือโทสะเกิดก่อ สติไวจึงได้ตัด ตัณหาหรือโทสะ หรือ อารมณ์นั้นๆ เพราะจิต รู้ดีว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหตุจะทำไห้เกิดทุกข์

    (จริงๆอารมณ์นั้นก็ยังไม่ไช่เหตุของทุกข์ มันต้องเป็นเหตุของอารมณ์นั้น)

    แล้วก็อย่างที่บอก ที่จิตรู้อารมณ์นั้นแล้วตัด เพราะ อารมณ์นั้นๆ มันเกิดขึ้นไปแล้ว . .
    ถ้ายังไม่เกิด มันตัดไม่ได้จิตมันไม่มีทางรู้ก่อนได้ . .
    นี่คือจิตของคนที่ฝึกดูจิตเป็นหลักอย่างเดียวเลย . .

    บางคนจึงไปเห็นว่า อารมณ์ หรือความคิดนี่เป็นเหตุของทุกข์ ความจริงมันยังไม่ถึงเหตุเลย
     
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    จิตมีดวงเดียวแต่ไม่ได้เปนนิรันดิ์ จิตไม่ได้เป็นอัตตา จิตมีสถานะของมันจิตมีอยู่จิตไม่เคยตายแต่แปรสภาพโดยกรรม
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พี่เสขะฯ เห็นจิตที่เป็นดวงเดียวหรือยังครับ อยากฟังมั่ง
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ทีนี้ จิตต้องทำอย่างไร อารมณ์หรือ ตัณหาจึงไม่เกิดมาไห้จิตรู้ แล้วตามตัด
    (จะว่าตัดเองอัติโนมัติก็ตามใจ)

    จิตก็ต้องรู้เหตุ ของอารมณ์นั้นๆ เช่น ตาเห็นรถยนสีแดงเป็นมันเงา จิตที่เชื่อว่าขันนี้เป็นเราก็จะเชื่อ ในสิ่งที่ขัน5แสดงว่าจริงแน่นอน เมื่อเห็นรถยนสีแดงเป็นมันเงา จิตก็เชื่อ ในสิ่งที่เห็น ปรุงแต่งไปว่าสวยงาม

    แล้วจิตก็เชื่อ ในความรู้สึกที่เกิดอีกว่าความรู้สึกนี้จริง จึงเกิดอารมณ์ว่ารถนี้สวยจัง. .
    เมื่อจิตเชื่อ ในอารมณ์ที่ว่า รถสวยจังเป็นจริง ก็เกิดความชอบใจ เกิดตัณหา คือ
    อารมณ์อยากตามมา
    อารมณ์ตรงนี้ไง ที่ผู้ดูจิตบางคนเห็นไปว่า เป็นเหตุของทุกข์ หรือของสิ่งต่างๆ เช่น ภพ ชาติ ..
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มาฟัดกันแต่เช้า ตามประสากิเลสกับธรรม

    อันนี้ผมชี้แจงไปเยอะแล้วครับ แต่ว่าคุณอาจจะไม่ได้อ่าน เลยไม่ขอยกมาอีก

    แต่สรุปประเด็นง่ายๆ ว่า

    มีคนสงสัยว่า เขาก็ทำของเขา เขาก็มีสมาธินะ เขามีความสุขที่ได้ปฏิบัติแบบพระปราโมทย์สอน แล้วเขายังจะต้องทำอะไรอีก เพียงแค่ดูเฉยๆ เขาก็มีสติดีขึ้น เขารู้ว่าอะไรคือโกรธ อะไรคือหลง แล้ว มันผิดตรงไหน ที่เขาจะเดินตามพระปราโมทย์

    ตอบว่า ถ้าใครทำแล้วได้ผลดี ก็เอาผลดีนั้นไว้ แล้วศึกษาต่อไป ก็ถือว่าเป็นกุศลที่คุณฟังสมมติ แล้วตีความ เอาไปปฏิบัติได้เกิดผลที่ดีระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นว่ามีคนติดและหลงไปกับ คำพูด สมมติมากมาย เช่น จิตเขาอยากเอง เราไม่ได้อยาก ปล่อยให้เขาทำไป เราตามดูเฉยๆ
    หรือ จิตควบคุมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามองอย่างคนตื่นแล้ว เราจะเห็นได้ว่า เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ของจิตเท่านั้น ไม่ได้นำไปสู่การทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง เพราะมัวแต่ไปสนใจกับว่า จิตมันทำงานเช่นไร ถ้าการสอนที่ถูกคือ ต้องดูว่า ใครหย่อนในสมาธิ ใครหย่อนในปัญญา ยังขาดการมองเห็นความจริงในด้านใด นั่นคือ สิ่งที่ถูกต้อง ต้องทำให้ดี

    การดูเฉย เป็นอกิริยา ของปุถุชน เท่านั้นไม่สามารถล่วงไปถึงโลกุตระภูมิได้เลย
    เพราะกิเลสเป็นของละเอียด ไม่่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ปุถุชน เมื่อมองไม่เห็น สังโยชน์ก็จะทำงาน คลุมเอาไว้หมด ตลอดเวลา
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ธรรมเป็นของสากล ไม่ใช่อยู่ที่เบื่อหรือไม่เบื่อ
    อยู่ที่จุดยืนที่ถูกต้องตรงตามพระบรมครูของเราหรือไม่

    ถ้าจุดยืนที่ผิด ออกเดินไปก็ย่อมผิดที่ผิดทาง ไม่ถึงที่หมายคือความพ้นทุกข์
    ถ้าจุดยืนที่ถูก ออกเดินไปก็ย่อมถูกที่ถูกทาง ย่อมถึงที่หมายเข้าให้สักชาติหนะ

    การเอามาถกกันนั้นก็เผื่อว่าจะมีคนเปลี่ยนจุดยืนให้ถูกต้องบ้าง แม้สักคนก็ยังดี
    เราก็ต้องทำ ในฐานะพุทธบุตรที่ดี
    เมื่อเห็นคนสอนผิดโดยไม่เอาศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักอริยมรรค ๘
    แต่ไปเอาศีล ปัญญา(สัญญา) สมาธิ ที่บัญญัติขึ้นเอง โดยไม่เดินตามอริยมรรค ๘
    ซึ่งขัดกับหลักการของพระบรมครูและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายแต่เก่าก่อน...

    ;aa24
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประสบการณ์ดูจิตของเรานะ
    ดูจิตขั้นที่1
    แรกๆที่ทำ สติอินทรีย์ สมาธิอินทรีย์ ปัญญาอินทรีย์ มันน้อย ถ้ายังไม่ถึงระดับ
    ปฐมฌาณ เป็นสมาธิระดับเล็กน้อยที่ชาวบ้านคนทั่วไปเขามีกัน ก็ได้แค่ระดับ
    อารมณ์หยาบๆ โลภ โกรธ หลงหน้ามืด แบบที่คนทั่วไปเขามีสติเห็นได้
    แล้วภาวนาร่วมกับการรักษาศีล5 กันเป็นปกติได้ เป็นขั้นต้น ใครๆก็ทำได้
    ปัญญาก็เกิดได้ จากการมีสติรักษาศีล5

    ดูจิตขั้นที่2
    พอทำขั้นแรกได้จนอยู่ตัว มีสมาธิตั้งมั่นทรงตัวดีแล้ว กิเลสหยาบๆมันไม่กำเริบ
    หรือกำเริบน้อยๆแล้ว จะเริ่มมาดูจิตขั้นที่2 คือดูนิวรณ์ เราก็เริ่มมาทำตรงนี้บ้าง
    แล้ว หลังจากทำข้อ1 จนรู้สึกว่าจิตมันสงบ ไม่ค่อยมีกิเลสมากวนใจ ก็จะว่างๆ
    ก็เริ่มมาดูนิวรณ์ ดูตัว สงสัย ดูตัวง่วง ดูตัวฟุ้งซ่าน ดูตัวอยาก อันไหนเกิดก็ดูอัน
    นั้น นิวรณ์เราอ่านตำรามาก็รู้แบบรู้ตำรา มันไม่ได้รู้เช่นเห็นชาติในตน เมื่อไรที่
    เห็นจะจะ เกิดตรงหน้า แล้วเห็นจริง ยอมรับว่ามันมีมันเกิดที่ตัวเราจริง ยอมรับ
    ว่านิวรณ์มันเป็นอกุศล เป็นตัวขวางกั้นปัญญา ด้วยใจที่เป็นกลาง มันจะเกิด
    ปัญญา มันก็ไม่เอา มันก็ละทิ้งไปเอง เหมือนรักษาศีล5 จนพบความสงบ
    มันก็ไม่ผิดทำศีลเอง เพราะมันรู้จักว่า มีศีลทำให้พบความสุขสงบ ละนิวรณ์
    ลงได้จะจิตจะแจ่มใสไร้มลภาวะ ต้องให้จิตให้ใจ มันรู้มันเห็นสภาวะจริงด้วยตัว
    เอง ด้วยจิตที่เป็นธรรมชาติรู้ ไม่ใช่เราจัดฉากไปรู้ หรือเราไปละมันลงด้วยสมาธิ
    ด้วยเจตนาของเราบังคับให้มันละนิวรณ์ลง

    ดูจิตขั้นที่3
    เมื่อละนิวรณ์ลงได้ด้วยปัญญาจากขั้น2 ลงได้เด็ดขาด สมาธิตามตำราว่าจะเข้า
    ขั้นปฐมฌาณ เป็นอริยบุคคลแล้ว จิตจะทรงอารมณ์ปฐมฌาณตลอดเวลาเป็น
    ปกติ เพราะสติอินทรีย์ สมาธิอินทรีย์ ปัญญาอินทรย์ ระดับปฐมฌาณแล้ว
    ไม่ลักปิดลักเปิดแบบขณิกสมาธิ จะอันนี้อ่านจากตำรานะ ยังไม่ถึง ก็อนุมานเอา
    จากตำราอีกที ถึงขั้นนี้ ผู้รู้จะทรงตัวเด่นดวง เมื่อดูจิต ก็จะเป็นระดับ จิตเห็นจิต
    เป็นมรรคเป็นผล ของจริง ส่วนดูจิตขั้น1และ2 เป็นระดับจิตเห็นอาการจิต
    จิตเห็นผู้รู้แป๊บๆ เกิดๆดับๆ เดี๋ยวหน้ามืด เดี๋ยวหน้าสว่าง เป็นพักๆตามสติสมาธิ
    แบบขณิกะ ตั้งมั่นได้ไม่นาน ส่วนขั้น3ถ้าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เห็นผู้รู้ลงเป็น
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จบกิจเกิดพระไตรลักษณญาณ รู้แจ้งในผู้รู้ก็ละวางผู้รู้
    ลงได้ ก็ได้พบพระนิพพาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆอีก แม้แต่ผู้รู้ก็วางลงได้
    เพราะเห็นแจ่มแจ้งว่า ผู้รู้ก็คือทุกข์ คืออวิชชาตัวจริงเสียงจริง อันนี้เป็นความรู้
    ที่ได้จากการอ่านและฟังมานะ ยังทำไม่ได้ เรารู้เพราะอ่านฟัง จิตที่เป็น
    ธรรมชาติรู้ที่เป็นปรมัตถ์ จะรู้ได้ด้วยประสบการณ์สภาวะที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น

    ที่กล่าวมานี้เป็นความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์จากการภาวนา และสัมผัส
    ด้วยตนเองบ้าง อ่านตำรามาประกอบบ้าง ฟังพระเทศน์มาบ้าง เป็นแนวทางที่
    ทำอยู่ในปัจจุบัน

    ก็มาแชร์ประสบกาณ์ที่รู้ที่เข้าใจเป็นปัจจัตตังส่วนตน เท่านั้น อาจจะถูกหรือ
    อาจจะผิด ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองได้เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  14. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    "จิตเขาอยากเอง เราไม่ได้อยาก" ตรงนี้มันลึกซึ่งนะครับ รวมถึงการใช้คำมันก็กำกวม มันเป็นภาษาพูดที่พูดให้คน บ้าน ๆ หรือ ชาวบ้านที่ไม่เคยศึกษาอภิธรรมเข้าใจ ถ้าจะเอาความหมายจริงๆ ของคำว่า "จิต" จากอภิธรรมมาแปลข้อความตรงนี้ ไม่ได้หรอกคับ ไปคนละเรื่อง และ ผิดหมด

    "จิตเขาอยากเอง เราไม่ได้อยาก" สภาวะนี้ จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อ สติเกิด จิตผู้รู้ตื่นมาเห็นสภาวะจริง ๆ ตรงนี้จิตผู้รู้จะเห็นเลย ว่า จิตผู้รู้ก็ส่วนหนึ่ง ความอยาก ซึ่งดับไปแล้วก็ส่วนหนึ่ง ความอยากเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่เกี่ยวกับจิต ตรงนี้เป็นการขึ้นวิปัสนาอย่างแท้จริง เพราะจิตสามารถ แยกนาม รวมถึงจิตเห็นการเกิดดับของนามขันธ์จริงๆ ไม่ใช่แค่คิดนึกเอา

    "จิตเขาอยากเอง เราไม่ได้อยาก ปล่อยให้เขาทำไป" ตรงนี้คลาดเคลื่อนจากที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนแล้วหละครับ ผมไม่ทราบว่าคลาดเคลื่อนมาจากคุณ ขันธ์ หรือว่าคุณขันธ์ไปหยิบเอาจากไหนที่มันคลาดเคลื่อนมา

    ขณะที่สติเกิด ความอยากมันดับไปแล้ว ละจะปล่อยให้มันไปทำอะไรอีก "ปล่อยให้เขาทำไป" ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่ได้มาจากการเทศของหลวงพ่อปราโมทย์แน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  15. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    "ดูเฉยๆ" ต้องให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันนะครับ ดูเฉยๆ แต่ไหลไปกับอารมณ์ จิตมันไม่ตื่น และไม่สามารถล่วงไปถึงโลกุตระ แน่นอนครับ

    "ดูเฉยๆ" เกิดจิตผู้รู้ ขึ้นมารู้เห็น สภาวะที่แท้จริง หลุดจากความคิด และอารมณ์ ตรงนี้เป็นต้นทางการปฏิบัติ และสามารถนำไปถึงโลกุตระ ได้แน่นอนครับ
     
  16. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ผู้รู้ก็คือทุกข์ คืออวิชชาตัวจริงเสียงจริง อันนี้เป็นความรู้
    ที่ได้จากการอ่านและฟังมานะ ยังทำไม่ได้ เรารู้เพราะอ่านฟัง จิตที่เป็น
    ธรรมชาติรู้ที่เป็นปรมัตถ์ จะรู้ได้ด้วยประสบการณ์สภาวะที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น
    -----------------------------------------------------------------------

    ผู้รู้ก็คือทุกข์ คืออวิชชา<<<<< ผมอยากรู้ว่า มีตรงไหนในพระไตรปิฏกบอกอย่างนี้หรือไม่ครับ ที่บอกว่าอ่านและฟังนี่ จากที่ไดครับ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่รู้เพราะอ่านพระไตรปิฏก ก็ไม่ได้เข้าใจทุกเรื่อง ไม่รู้ว่ามีบอกไว้ตรงไหน
    หรือเปล่านะ มันเป็นความเข้าใจส่วนตน เป็นลางสังหรณ์ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
    อีกทีถึงจะรู้ว่าถูกหรือผิดจริงๆ ตอนนี้ไม่ได้ฟันธง แค่บอกว่าเราเข้าใจว่ามันเป็น
    อย่างนี้ ถ้าอยากรู้จริง ต้องไปถามพระอรหันต์ หรือผู้ที่รู้จิตแจ่มแจ้ง แล้วเท่า
    นั้นถึงจะได้คำตอบที่ถูกจริง (อยู่ที่จะถามได้ถูกคน เจอคนรู้จริง หรือรู้ปลอม)
     
  18. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกครับ แค่สงสัยว่า ถ้าผู้รู้คือทุกข์ คืออวิชชาจริง ก็น่าจะมีบอกไว้บ้างในพระไตรปิฏก เพระผมก็ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกมากนักเหมือนกัน . .

    งั้นขอทราบแค่แหล่งที่มาได้ไหม ที่ได้ยินได้ฟังมาหนะ จากไหน
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้ ถึงจะถึงความบริสุทธิ์ อย่างแท้จริง

    อ่านมาแล้วเข้าใจแบบนั้น ว่า ผู้รู้คืออวิชชา
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลวงพ่อเกษมธรรมทัต วัดมเหยงค์ ก็สอนให้ภาวนา..รู้ผู้รู้...รู้ผู้รู้... ไปเรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...