การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    มันก็มีอยู่ 2 ทาง แค่นั้นล่ะ

    ได้ไปนิพพาน กับ ไม่ได้ไปนิพพาน
    คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะไ้ด้ไป
     
  2. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    นิพพานนั้นไม่มีการมา ไม่มีการไปครับ
    นิพพานมีอยู่เต็มโลกธาตุอยู่แล้ว
    เพียงแต่มีอวิชชาบังอยู่เท่านั้น เราจึงไม่เห็นนิพพาน

    ที่ผมกล่าวว่า "ทางใครทางมัน" นั้น
    เพราะเห็นว่าคนเราเชื่อไม่เหมือนกัน
    บังคับให้เลิกเชื่อของเดิม แล้วมาเชื่อสิ่งใหม่ก็ยากแสนยาก
    จึงไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะเกลี้ยกล่อมใคร
    ใครอยากจะเลือกเดินทางไหนก็ตามใจ
    แล้วจะรู้เองสักวันหนึ่งว่า
    ทางไหนจริง ทางไหนปลอม

    ด้วยความเคารพ
     
  3. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    คุณทิฏฐิไหนนี่

    นิพพานมีอยู่เต็มโลกธาตุ
    มีอยู่ยังไง
    โลกธาตุ เป็น สมมติ
    นิพพาน เป็น วิมุตติ
    สมมติ กับ วิมุตติ จะเข้ากันได้ยังไง

    นิพพาน ก็ นิพพาน สิ
    โลกธาตุ ก็ โลกธาตุ สิ
    จะมาอยู่ปะปนกันได้ยังไง

    แล้วทิฏฐิของคุณ มันจริงมั้ยล่ะอย่างนี้น่ะ
    มันปลอมนะทิฏฐิแบบนี้
     
  4. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    ความจริงแล้ว..
    คำว่า "นิพพาน" โดยคำศัพท์แล้ว ก็เป็นสมมติ
    คำว่า "โลกธาตุ" โดยคำศัพท์แล้ว ก็เป็นสมมติ

    ที่ว่า "นิพพานมีอยู่เต็มโลกธาตุ" นั้น
    ผมพยายามจะสื่อว่า
    นิพพานไม่เคยหายไปไหน
    นิพพานไม่เคยบกพร่องแม้แต่น้อย
    นิพพานมีอยู่ และนิพพานก็ไม่ใช่โลกๆหนึ่งด้วย
    แต่นิพพานนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้เอง
    เพียงเพราะ "อวิชชา" คือ "ความไม่รู้อริยสัจ" มาบดบังไว้
    เราจึงไม่ได้เห็นนิพพานครับ

    อย่ามัวเถียงกันเรื่องสภาวะที่เรายังไม่เข้าถึงได้อยู่เลยครับ
    ขอให้ภาวนาไปเถิดครับ
    จะทางไหนก็ช่าง แต่พระพุทธเจ้ามีทางเดียวคือ การเจริญสติปัฏฐาน
    ท่านก็กล่าวไว้ชัดเจนดีแล้วว่า
    "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐาน โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์"
    ไว้เราบรรลุพระอรหันต์ก่อนแล้วเราค่อยมาถกกัน...ดีไหมครับ ^__^

    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤศจิกายน 2009
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาแบบนี้ ผมสรุปให้ฟังง่ายๆ ว่า สิ่งที่พูดนั้นแหละ คือ การจดการจำ มาพูด
    เปรียบเหมือน คนที่บอกว่า ชีวิตไร้ความหมายเกิดแล้วตาย ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย
    นี่แหละครับ คือวิถีเดียวกันกับที่พระปราโมทย์พูด

    ชีวิตเกิดแล้วตาย จะไปทำมาหากินทำไม ( ไม่เลี้ยงชีพชอบ)
    จิตเกิดดับ จะไปห้ามมันทำไม มันเป็นอนัตตาควบคุมไม่ได้ ( ไม่เพียรชอบ )

    ลืมนึุกไปว่า พระสูตรที่พระศาสดาชี้นั้น ให้เห็นในการปล่อย ไม่ใช่ห้ามการควบคุมจิตให้อยู่ในครรลอง
     
  6. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    คุณรู้ได้ยังไงว่านิพพานอยู่ต่อหน้าคุณ
    พระพุทธองค์ไม่เคยสอน

    เมื่อทิฏฐิไม่ตรงแล้ว
    จะไปนิพพานได้เหรอ

    ถ้าเป็นพระอรหันต์จะมาเถียงเรื่องนิพพานอีกทำไม
    ก็รู้เหมือนกันเห็นเหมือนกันจะมาเถียงกันทำไม

    ที่เถียงกันอยู่ในปัจจุบันนี้
    ก็เพราะมีคนยังไม่ถึงนิพพานมาสอนนิพพานนี่นะสิ

    ถ้ายังไม่เข้าใจอะไรถ่องแท้
    ก็ควรพิจารณาให้ดีเสียก่อนค่อยแสดงความคิดเห็นก็ได้
    จะได้ไม่ผิดพลาด

    นิสัมม กรณัง เสยโย

    ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ ดีกว่า
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องการฟังตอนหนึ่งตอนใด แล้วตีความเอาเอง นี่คุณโต้แย้งธรรมแบบนี้หรือ
    มีคน ที่เขาเห็นเหตุเห็นผล กี่คนแล้วครับ เขาเหล่านั้นฟังแล้วตีความเองหรือ

    ผมว่าทางที่ถูก คุณควรเอาเหตุผลมาโต้แย้ง ดีกว่า การที่คุณจะมาตำหนิว่า คนฟังเพียงนิดหน่อย แล้ว ตีความเอาเอง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ผมก็จะบอกว่า คุณนั่นแหละ ฟังพระปราโมทย์นิดหน่อย แล้วตีความเอาเองว่า ถูก
     
  8. staedtler

    staedtler สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +15

    ขอยืนยันด้วยอีกคน ถ้าฝึกได้ถูกจิตจะเร็วมากขึ้น และจะตัดได้เร็วขึ้นไม่ไหลไปตามกิเลส ที่ไหลไปตามกิเลสนั้นแสดงว่าฝึกผิดน่ะ รู้ทันจิตแต่ไม่ได้ไปบังคับ

    เออ ขอเพิ่มเติม ที่แสดงความคิดเห็นนั้นไม่เกี่ยวกับพระปราโมทย์ เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2009
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    นอกจากตัดได้เร็วมากขึ้นแล้วสูงขึ้นไปอีกจะเป็นอย่างไร

    เพราะถึงจะตัดได้เร็วถึงเร็วแค่ไหน แต่ก็แปลว่ากิเลส หรือจิตอกุศลนั้นๆเกิดไปเรียบร้อยแล้วนะครับ . . .

    จะมีทางทำไห้ไม่เกิด ด้วยการดูจิตได้ไหมคับ
     
  10. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    สติที่ได้แบบนี้มันได้แบบโลก ๆ
    เต็มที่ก็ได้แค่นี้ ภูมิธรรม ไม่มี

    สติแบบธรรม ท่านเกินคาดเกินหมาย

    คนทั่วไปถึงรู้ได้ยากยังไงล่ะ
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อธิบา่ย ภาพให้ฟังง่ายๆ ผมจะเปรียบ ปฏิจสมุบาท และ สายแห่งกรรม

    เหมือนกับ ผักตบชวาในน้ำที่ขึ้นเป็นแพใหญ่ๆ ตามธรรมดามันจะค่อยๆตายแล้วสลายไปตามธรรมชาติ แต่ถามว่าทำไม มันจึงก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มคลองไปหมด
    ก็มีคนว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราไปเก็บ ผักตบกัน ทุกวัน ปรากฎว่าเวลาผ่านไป หลายเดือน ผักตบก็ยังไม่หมด

    ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ผักตบนั้นมันก่อตัวขึ้น ก่อหน่อขึ้น ทุกวัน

    ก็เปรียบดังนี้
    1 มนุษย์มี อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ สิ่งที่เป็นประตูให้กิเลสนั้น มีทุกทาง

    ท่านถอนหน่อแห่ง ราคะกันได้แล้วหรือ ถอนหน่อแห่งโทสะได้แล้วหรือ
    ท่านถอน หน่อแห่ง โลภะกันได้แล้วหรือ
    อย่าเพิ่งคิดไปถึง โคตรกิเลส คือ อวิชชาเลย เชื้อแห่งกิเลส โดนเติมเข้าสู่ ตาหูจมูกลิ้นกายใจแทบทุกวัน

    แล้วถามว่า ท่านมองแค่ โทสะเกิด มองดูอย่างมีสติ ตอบว่า ท่านกำลังมองผักตบแค่กอเดียวที่มันกำลังจะตาย แต่ทั้งกอที่มันเหลืออยู่ และ พร้อมที่จะแตกหน่อนั้นยังมีอยู่ เต็มแม่น้ำ

    ฝากให้พิจารณา ว่า พวกที่มาเถียงผม อย่าประมาท
    คิดว่า ผมไม่เคยผ่านมาหรือไง ผมเพิ่งมาศึกษาธรรม ไม่เคยเจอธรรมแบบพระปราโมทย์มาก่อนเลย
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอ้าใครจะเถียงเรื่อง ผักตบ ว่ามา ถ้าเถียงไม่ได้ ก็ให้พิจารณาธรรมให้เข้าสู่ใจให้ได้
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    กิเลส มีประตู เต็มไปทุกทาง

    ก็ระหว่างใช้ชีวิต ทั้งวัน ระหว่างวันนั้น

    ใจคิดร้อยแปด อารมณ์ต่างๆ ทั้งวัน ทั้งขึ้นทั้งลง

    ทั้งคิดไปนั่นคิดมานี่ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้่นมา อารมณ์ ดีไม่ดี ทั้งวี่ทั้งวัน

    นี่อย่าพูดนะว่า มีสติทั้งวัน มีสติแล้วปล่อยผ่าน ไอ้ที่พวกคุณสะดุ้งกันขึ้นมาทีนั้นมัน ตัวหยาบมาก เหมือนคนหลับฝันแล้ว คนตะโกนข้างหู ตื่นขึ้นมางัวเงียพอรู้ว่า คนตะโกนข้างหู แล้ว ดับไป นอนต่อ ฝันต่อไปตามเรื่องตามราวทั้งวัน

    นี่ อารมณ์ พวกฝึก แบบพระปราโมทย์เป็นแบบนี้ทุกคน

    ถ้าเป็น คนที่มีมหาสติ นี่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติกับปัญญาหมุน ตามจับกันเลย ตั้งแต่เช้าไปจนนอนหลับ เว้นแต่ละความเพียรชั่วครั้งชั่วคราว ก็ปปล่อยใจเสพกิเลสแบบโลกๆ ไป
    และ วิปัสสนาญาณจะเป็นอัตโนมัติ จนฟัดกันลงไปคราวๆ นั่นแหละ จึงจะหยุดได้

    เช่น มีกิเลสตัวหนึ่งมันกวนใจ มันจะคอยแต่จะหมุนวนฟัดกัน ระหว่างปัญญากับกิเลส เพราะตามธรรมดา หากยังไม่เจอ อวิชชาในส่วนนั้นแล้ว มันไม่ยอมกันหรอก กิเลสมันก็ก่อตัวเรื่อยๆ ปัญญาก็ตามจับเรื่อยๆ นี่จึงเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา นี่กล้าท้าได้ใครมาถูกทางเป็นแบบนี้ทุกคน จนบางครั้งมันเหนือย ก็เจริญ สมาธิให้หยุด ไม่ออกทางปัญญา ก็จะเป็นเครื่องพักใจได้

    แต่ ตอนแรก ที่อยู่เฉยๆ บอกว่านี่ดีแล้ว นั่นคือ ประมาท ตั้งแต่ระดับ วิปัสสนาเบื้องต้น เป็นวิปัสสนูกิเลส มองเห็นแค่เพียง รูปนามเบื้องต้น ก็โดนสอยร่วงแล้ว
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ที่พระอาจารย์มั่น ท่านบอกกับหลวงตามหาบัวว่า นั่นแหละ ได้หลักใจแล้ว เดินความเีพียรให้เต็มที่ อัตตภาพนี้ตายหนเดียว

    นั่นแหละ เมื่อ ได้หลักใจ คือ รู้พัก รู้เพียร คือ จิตกับกิเลสฟัดกันแล้ว รู้พัก ปล่อยได้

    การปล่อยได้เพราะ ชำนาญในไตรลักษณ์ เมื่อปล่อยความเพียรได้แล้วพัก นั่นแหละ เรียกว่า ได้หลักใจ เมื่อได้หลักใจแล้วมันไม่กลัวทุกข์ จำเอาไว้

    มันไม่กลัวทุกข์เพราะว่า ใครจะตาย เราจะตาย ทุกข์ใหญ่แค่ไหน มันดับได้หมด เพราะได้่หลักใจ นั่นแหละ เรียกพระโสดาบัน

    เมื่อ ได้แล้ว เพียร เหนื่อยแล้วพัก นี่ แหละ มรรค
    จำเอาไว้

    ขอตัว
     
  15. staedtler

    staedtler สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +15
    อิอิ ไปกันใหญ่
    ขอออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจอ่านที่ท่านๆ อธิบายมาหรอก เพราะเราเป็นแบบไหนมีแคเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่ามีการดูจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ข้าพเจ้าเพิ่งศึกษาพุทธศาสนามาได้ประมาณปีหรือสองปีหลังนี่เอง ซึ่งก็ไม่ได้จริงจังมากนัก กิเลสก็ยังหนา ไม่ได้เป็นผู้รู้ ไม่ได้มีญาณ

    ที่บอกมานั้นคือสิ่งที่ได้ศึกษามาด้วยตัวเอง ไม่ได้ผ่านการจดจำหรือตำราจากที่ใดเลย แค่บอก ดังนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับใครทั้งนั้น เพราะการขัดแย้งหรือมานั่งเถียงกัน มันไม่จบหรอก เราต้องยอมรับและเข้าใจอย่างแท้จริงว่าคนมีอยู่หลายประเภท ต่างคนก็ต่างแบบ ดังนั้นตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    เอองั้นเอาแบบนี้นะ ข้าพเจ้าจะอธิบายในสิ่งที่จะมีอยู่ในตำราหรือไม่มีไม่รู้เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้อ่านตำราเท่าไหร่นัก นี่คือความเห็นของข้าพเจ้า

    อย่างที่บอกไปแล้วว่าการดูจิตนั้นเพื่อให้จิตรู้ละเอียดมากยิ่งขึ้น มีอะไรมากระทบก็รู้ ที่ไม่ดีก็ตัดได้ทัน เราไม่ได้ข่มไว้เพราะจิตนั้นบังคับไม่ได้ จิตนั้นไวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดที่สุดแห่งความไว ยิ่งดูให้ชำนาญก็ยิ่งรู้ทันไว เราก็จะเห็นด้วยตัวเองเลย(ไม่ได้จากหนังตำรา) ไม่มีอะไรเที่ยงเลยที่เห็นอยู่ก็มีแต่จิต(ตามความเห็นของข้าพเจ้า) อารมณ์ความรู้สึกต่างๆก็ไม่เที่ยง เกิดดับตลอดเวลา จนเราไม่ยื้ออะไรไว้ เมื่อนั้นอารมณ์ที่ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นก็จะเริ่มลดไปๆเรื่อยๆ ไม่ได้ด้วยการบังคับ ฝืน แต่ด้วยปัญญาที่เร็วมาก ข้าพเจ้าคิดว่าถึงแม้จะยังมีอารมณ์ที่เราไม่ชอบเกิดขึ้นอยู่นั้น แต่ถึงจุดหนึ่งจะไม่เกิดขึ้น ทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น นั่นก็ดูจากตัวเองที่ตังเองเคยเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก่อน ไม่ได้ดั่งใจก็เอะอะ โวยวาย ถึงตอนนี้ก็ลดลงไปมากกกก ซักวันมันจะหาย จะหาย จะหาย อิอิ

    เออ ที่ทำให้แน่ใจอีกอย่างนั้นเพราะเคยอ่านเกี่ยวกับอารมณ์ของพระพุทธเจ้า ในขณะที่จะบรรลุธรรม จิตของพระองค์จะละเอียดมากขึ้นๆ ตามลำดับ ละเอียดมากกกก มากขนาดที่ข้าพเจ้าก็ยังจินตนาการไม่ออก จิตอะไรจะละเอียดได้ขนาดนั้น ตื่นเต้นจริง 55 แต่หาที่มาของเรื่องนั้นไม่เจอ

    เออเน้นอีกอย่าง ที่แสดงความคิดเห็นนั้นไม่เกี่ยวกับพระปราโมทย์ เพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน


    อืม ขออีกอย่าง 55 นึกได้ทีละอย่างเน้อท่าน
    ข้าพเจ้าเชื่อว่า สติคือปัญญา สมาธิคือพลัง ถ้าจะให้บรรลุทั้งสองอย่างนี้ขาดกันไม่ได้แน่นอน
    ข้าพเจ้าแทบไม่ได้ฝึกสมาธิ เพราะเหตุผลหลายประการ ที่ความจริงอยากทำได้มั่งน่ะ

    ธรรมะคุ้มครอบค่ะ
     
  16. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    จริงอยู่ที่ผมใช้สัญญา (ความจำ) มาพูด
    แต่ผมไม่ได้จำมาอย่างงมงายครับ
    ผมพิจารณาตามพระท่านแล้วเห็นว่า จริงอย่างที่ท่านพูดไม่มีผิด
    และจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย
    สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันคือการพูดแบบจาบจ้วงท่านอย่างเห็นได้ชัด
    แถมยังระบุชื่ออย่างชัดเจนอีกต่างหาก
    ผมคิดว่าเป็นการไม่สมควรเลยจริงๆครับ
    คุณแน่ใจได้อย่างไรล่ะว่า ความเห็นของคุณมันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
    คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้คิดเอาเองหรือตีความคำสอนแบบเลื่อนลอย
    คุณไม่เข้าใจในสิ่งที่พระท่านสอน
    แล้วคุณก็เอาความเชื่อที่มีมาดั้งเดิมของคุณมาปิดกั้น
    ใช่หรือไม่ครับ...

    และไอ้ที่คุณอ้างว่าพระปราโมทย์สอนว่า
    "ชีวิตเกิดแล้วตาย จะไปทำมาหากินทำไม ( ไม่เลี้ยงชีพชอบ)
    จิตเกิดดับ จะไปห้ามมันทำไม มันเป็นอนัตตาควบคุมไม่ได้ ( ไม่เพียรชอบ )"

    ผมขอยืนยันว่า ท่านไม่เคยพูดแบบนี้แม้แต่ธุลีเดียว
    ถ้าท่านพูดแบบนี้จริง ผมจะเลิกนับถือพระองค์นี้ทันที

    ท่านสอนว่า...
    "ชีวิตเกิดแล้วยังไงก็ต้องตาย อย่ามัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องการหลุดพ้นเอาเสียเลย ถ้ามัวแต่ทำมาหากินอย่างเดียว พอตายไปก็จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไปเลย มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาล ทรัพย์สินเงินทองของนอกกายทั้งหลาย ตายไปเอาไปด้วยไม่ได้ (รู้ๆกันอยู่แล้ว) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เลิกทำมาหากินไปเลยหรือทิ้งลูกทิ้งเมียทิ้งพ่อทิ้งแม่แล้วไปบวชกันให้หมด" ท่านสอนว่า "เรามีหน้าที่อะไรก็ทำไป ตอนนี้เราเป็นฆราวาส หน้าที่ของฆราวาสก็ต้องทำมาหากิน ถ้าบวชเป็นพระ หน้าที่ของพระก็คือทำพระนิพพานให้แจ้งแล้วมาช่วยคนอื่นต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าอยากบรรลุชาตินี้แล้วต้องทิ้งพ่อทิ้งแม่มาปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้นก็ผิดหน้าที่ของความเป็นลูก ถ้าเป็นฆราวาสแล้วละเลยหน้าที่ มาบวชเป็นพระก็ละเลยหน้าที่อีกนั่นแหละ"

    และที่คุณบอกว่า
    "จิตเกิดดับ จะไปห้ามมันทำไม มันเป็นอนัตตาควบคุมไม่ได้"
    อันนี้ถูกต้องดีแล้วครับ
    แต่คุณดันมาใส่ "(ไม่เพียรชอบ)" ตอนท้ายนี่สิ เรียกว่า เข้าใจคลาดเคลื่อน

    เพราะคุณเข้าใจผิดไปว่า...
    คำว่า "จิตบังคับไม่ได้" แปลว่า "ปล่อยให้จิตไหลตามอารมณ์ไปเลย"
    ซึ่งความจริงแล้วท่านหมายถึง "มันจะไหลมันก็ไหลของมันเอง มันบังคับไม่ได้ เมื่อมันบังคับไม่ได้ ก็แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก" และสอนต่อว่า "เมื่อจิตไหลไปตามอารมณ์ก็ให้รู้ทัน หากรู้ทันอย่างถูกต้องแล้ว จิตจะตื่นขึ้นโดยฉับพลัน หากรู้ไม่ถูกต้องหรือพยายามบังคับมันเอาไว้เพราะไปยินร้ายว่าจิตมันไหลไปนั้น แสดงว่าจิตไม่เป็นกลาง ไม่ใช่สติตัวจริง"

    คุณอ่านแล้วลองพิจารณาดูดีๆนะครับ ท่านไม่ได้สอนมั่วๆซั่วๆหรอกครับ

    ด้วยความเคารพ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็ ระหว่าง คนไม่ดูจิต และ เขาสนใจแต่ธรรม มากพอ จิตเขาก็หมุนวนแต่เรื่องธรรม
    เขาก็ เบาจิตเบาใจลงไปได้
    คนแก่ ที่อารมณ์เย็น แต่ตอนวัยรุ่น อารมณ์ร้อน นั่นไม่ต้องดูจิตก็เบา ลดลงไปมากกกกก
    แล้วก็แก่ตาย

    โง่ลงไม่รู้ โลภยังมีไม่รู้ ตอนที่หลงไม่ได้ดู ดูแต่ตอนที่โกรธ ดูแต่ที่คิดว่าเห็น

    ไอ้เรื่องละเอียด เห็น 2 สามปีมา มีคนๆ หนึ่งโง่ลงไปอย่างเห็นได้ชัด กิเลสไปแตกกอในส่วนโง่แทน แต่ โทสะเบาลงและไม่นาน มันก็ก่อตัวขึ้นอีก เพราะสังโยชน์โทสะ ไม่ได้กำจัดไป
     
  18. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ไตรสิกขา 3
    ศีล สมาธิ ปัญญา

    ข้อที่ควรศึกษานี่ไงครับ ศีล สมาธิ ปัญญา
    เห็นมั้ยครับท่านสอน รักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา

    แต่นี่สมาธิก็แทบไม่ได้ฝึก
    แต่พูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว
    มันดูยังไง ๆ นะครับ

    ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารี
    ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติ
    <wbr>ธรรม
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ให้ไปเถียงเรื่องผักตบ ไม่เถียง ไปเถียงเรื่องนั้นเรื่องนี้

    โธ่ ไอ้พวกผักตบ
     
  20. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    มันก็ผักโต๊บเหมือนกันแม่นบ่ มีสามัญลักษณะอันที่จะต้องตายเหมียนกันแม่นบ่....เห็นความไม่เที่ยงก็เหลือกินแล้วนะลุงว่างัย...............
     

แชร์หน้านี้

Loading...