แนวทางปฏิบัติธรรม ของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ( เรียบเรียงโดย : อุบาสกนิรนาม )

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 28 ตุลาคม 2009.

  1. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ฉะนั้น จึงเห็นควรโทษ ของการสะสมอกุศล เพราะแม้ว่าจะบรรลุอรหันต์แล้ว
    การสมสมจิต แต่ละขณะโดยความสามารถของชวนวิถีซึ่งเกิดดับซ้ำกัน ถึง 7
    ครั้งนั้น แต่ละบุคลล กาย วาจา ใจ เขาเรียก ว่า วาสนา

    จากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณ K.จินนี่ที่ช่วยนำมาโพสต์อีกรอบครับ
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    เดี๋ยว ๆ เสขะ นะพี่ที่เสื่อมได้ อเสขะ ไม่เสื่อมแล้ว

    ถ้ายังเสื่อมได้ จะชื่อว่า อเสขะได้อย่างไร

    คงเห็นด้วยตรงกันนะครับ
     
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๑๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมเป็น
    ไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ ธรรม ๘ ประการเป็นไฉน. คือ
    ความเป็นผู้ยินดีการงาน ๑ ความเป็นผู้ยินดีในการคุย ๑ ความเป็น
    ผู้ยินดีในความหลับ ๑ ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑
    ความเป็นไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้ไม่
    รู้จักประมาณในโภชนะ ๑ ความเป็นผู้ยินดีในธรรมเครื่องข้อง ๑
    ความเป็นผู้ยินดีในธรรมเครื่องให้เนิ่นช้า ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เสขะ.

    คำว่าพระเสขะ คือ พระอริยะที่ยังต้องศึกษาในเรื่องของมรรคผลอยู่ต่อไป
    หมายเอาพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
    ส่วนพระอรหันต์ เรียกว่าพระอเสขะ คือ พระอริยะที่ไม่ต้องศึกษาเรื่องมรรคผลอีกต่อไป
    เพราะสำเร็จเสร็จสิ้นกิจการทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเองแล้ว

    ผู้ยินดีในการงาน ก็คือ การใช้เวลาในแต่ละไปกับการทำงานมากกว่าที่จะใช้เวลาให้หมดไป
    กับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการทำและคิดอยู่กับเรื่องของการงานทั้งหลาย
    เมื่อไม่มีเวลามาคิดเรื่องมรรคผลในขั้นสูงๆขึ้นไป พระเสขะทั้งพระและโยมก็ติดแหง็กอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ
    ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็มี นางวิสาขาบ้าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีบ้าง เป็นต้น

    ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ก็คือ ปล่อยให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เพลิดเพลินไปกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ
    และไม่ได้พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มาสัมผัสและที่รับสัมผัส

    ธรรมเครื่องข้อง ก็คือ เครื่องผูกพันทั้งหลายที่พระเสขะยังละไม่ได้หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สังโยชน์"
    ซึ่งสังโยชน์หรือเครื่องผูกพันนี้จะทำให้พระเสขะต้องเกิดและตายวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารต่อไป
    ถ้าเป็นพระโสดาบันก็ยังเหลืออีก 7 อย่าง (ถ้าสงสัยเปิดดูสังโยชน์ 10)
    ถ้าเป็นพระสกทาคามีก็ยังเหลืออีก 7 อย่าง (แต่เป็น 7 แบบพิเศษคือ บางเบากว่าพระโสดาบัน)
    ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ยังเหลืออีก 5 อย่าง

    ธรรมเครื่องเนิ่นช้า ก็คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เมื่อพระเสขะเพลิดเพลินเมามันอยู่กับเรื่องเหล่านี้
    กรรมฐานเพื่อมรรคผลเบื้องสูงๆขึ้นไปก็ไม่เจริญ พระเสขะทั้งพระและโยมก็ติดแหง็กอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ
    ตัณหาก็หมายเอา ตัณหา 108
    มานะก็หมายเอา มานะ 9
    ทิฏฐิก็หมายเอา ทิฏฐิ 62

    ความเสื่อมของพระเสขะก็หมายถึง กรรมฐานเพื่อมรรคผลเบื้องสูงๆขึ้นไปของท่านเหล่านั้นมันเสื่อม
    มันเสื่อมคือมันไม่เจริญ ที่มันไม่เจริญเพราะธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลายตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั้น
    มันฉุดรั้งพระเสขะเอาไว้


    หมายถึงว่า เมื่อเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจที่จะยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระสกทาคามีได้
    เมื่อเป็นพระสกทาคามี ก็ไม่อาจยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระอนาคามีได้
    เมื่อเป็นพระอนาคามี ก็ไม่อาจยกระดับจิตให้เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้
    แบบนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นความเสื่อมของพระเสขะ


    แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเสื่อมจากพระโสดาบันมาเป็นปุถุชน
    เป็นพระสกทาคามีแล้วจะเสื่อมมาเป็นพระโสดาบันหรือเสื่อมมาเป็นปุถุชน
    เป็นพระอนาคามีแล้วเสื่อมาเป็นพระสกทาคามีหรือเสื่อมเป็นพระโสดาบันหรือเสื่อมเป็นปถุชนนะ
    แบบนี้ไม่ใช่ ความเป็นพระอริยะแต่ละขั้น เมื่อเป็นแล้วไม่มีทางเสื่อมจากธรรมของอริยะขั้นนั้นๆเด็ดขาด
    เป็นแต่เพียงท่านไม่สามารถเจริญกรรมฐานเพื่อยกระดับจิตของตัวเองไปสู่ความเป็นอริยะขั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น
    ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะธรรม 8 ประการเป็นตัวเหนี่ยวรั้งท่านเอาไว้ตามที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั่นเอง

    ถ้ามีคนมาบอกว่า ตอนนี้เสื่อมจากพระโสดาบันแล้ว หรือเสื่อมจากพระสกทาคามีแล้ว
    หรือตอนนี้เสื่อมจากพระอนาคมีหรือเสื่อมจากพระอรหันต์แล้ว จำเป็นต้องบำเพ็ญเอาความเป็นอริยะใหม่
    แบบนี้ไม่ใช่พระอริยะในพระพุทธศาสนาเด็ดขาด เป็นความเพ้อเจ้อ
    เป็นความวิปลาสคลาดเคลื่อนจากธรรมที่ถูกต้องไปแล้ว หรือ พูดให้ชัดๆอีกทีก็คือเป็น "บ้า" ไปแล้ว



    คัดลอกจาก www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1414.5;wap2

    ปล. โปรดศึกษาด้วยความระมัดระวังครับ
    ควรพิจารณาเพิ่มเติมด้วยสติ http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=1912&PHPSESSID=9ee02e8174d9e1cf28f0032d6aafbb4b
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2009
  5. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ก็ผม บอกแล้วว่าเอามาจากหนังสือ หรือตำรา
    หรือสัญญา copy เอามาเทียบ เราจะรู้ว่าตำรากล่าวไว้จริง ไม่จริงต้องเอาไปปฏิบัติอ่ะ

    อย่าพึงเชือโดยการอ่าน หรือตีความ คราาาบลูกพี่
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นแหละครับ แน่นอน เพราะว่าอะไร เพราะว่า จิตมันเพิกอัตตาไปแล้ว จิตก็จะสนใจอยู่กับว่า อะไรกุศล อะไรอกุศล ดังนั้น เรื่องของการบรรลุธรรม จึงเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของพระอริยะ
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็ลองเป็นกันดูสิถ้าเป็นแล้วเสื่อมก็ว่าเสื่อมถ้าเป็นแล้วไม่เสื่อมก็ว่าไม่เสื่อม จะไปหาข้อมูลมายืนยันให้ยุ่งยากทำไม ที่มันไม่รู้เลื่อนลอยก็เพราะไม่ได้เป็นจริงๆ ไม่ได้เห็นจริงๆสักหน่อย เพราะถ้าเป็นถ้าเห็นเรื่อง จิบๆแบบนี้ เขาจะสะทกสะท้านกันเหรอพระอริยะบุคคล ใครหนอจะมาทำให้พระโสดาบันคลอนแคลนในรรมได้ถ้าไม่ใช่พญามาร เชื่อสิถ้าเป็นแล้วไม่มีทางเลยที่จะล่วงลงมาได้เว้นเสียแต่ เคยทำกรรมหนักบางประการไว้ หรือไม่ก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง แต่ความจริงมันไม่น่าสนใจเท่ากับคุณธรรมความดีที่มีในจิตของเขาทั้งหลายมากกว่า แม้เขาไม่บอกว่าเป็นแต่เขามีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริง คือ ไม่หวังสิ่งตอบแทนทั้งหลาย กระทำตนให้พ้นจากบ่วงกิเลส เขาก็ย่อมขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เข้ากระแสแล้ว ถ้าเสื่อมลงง่ายๆ ก็คงไม่มีแล้ววันนี้ หรือวันหน้า
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ท่านพระโสดา ท่านเลิกเพลินยิ่งเข้าในอารมณ์อีกแล้ว
    เพียงแต่ท่านยังสลัดอารมณ์บางอย่างที่ท่านเคยติดอยู่ ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเท่านั้น

    ;aa24
     
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คู่ปรับพี่นี่จริงๆแล้วเขาก็ แปลกๆดีนะครับ ลองไปดูความคิดเขาสิครับ ที่กระทู้ บัวเน่า
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาครับ ตัวแดงๆของพี่จินชัดเจนดีครับ ในความหมายคือ เสื่อมจากการก้าวขึ้นไป ไม่ได้เสื่อมจากความเป็นอยู่นั่นเอง ขอให้เข้าใจไว้ด้วยครับทุกท่าน ซึ่งถ้ามองถึงเหตุแห่งความเสื่อมตามที่พระศาสดาตรัสสอนไว้ ก็เป็นเหตุเป็นผลที่ขัดแย้งไม่ได้หากมีคนขัดแย้งได้ก็แปลกดีเหมือนกันนะครับ
    ผู้มีศีลทั้งหลายล้วนเป็นที่รักของทั้งอมนุษย์และมนุษย์ ผู้มีปัญญา เว้นไว้แต่พวกโง่เขลาชอบสร้างกรรมซึ่งก็มีอยู่จริงอมนุษย์และมนุษย์แบบนั้น
    พระอริยะบุคคลทุกระดับล้วนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีทุกท่าน ศีลมีกลิ่น กลิ่นอันเป็นที่รักน่าชื่นชมยินดี
    ท่านทั้งหลายล้วนมี สติ ปัญญา อย่างยิ่งยวด
    เป็นที่เคารพรักของทั้งมนุษย์และอมนุษย์ นี้คือพระอริยะบุคคล สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2009
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ฉะนั้น จึงเห็นควรโทษ ของการสะสมอกุศล เพราะแม้ว่าจะบรรลุอรหันต์แล้ว
    การสมสมจิต แต่ละขณะโดยความสามารถของชวนวิถีซึ่งเกิดดับซ้ำกัน ถึง 7
    ครั้งนั้น แต่ละบุคลล กาย วาจา ใจ เขาเรียก ว่า วาสนา

    จากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป<!-- google_ad_section_end -->
    ม๊อกซี่ครับ ผมข้องใจข้อความนี้แน่ใจเหรอครับว่าคัดมาถูก อาจารย์สุจินต์ ท่านกล่าวอย่างนี้เหรอครับ พอจะมีเลขหน้าไหมครับ เผื่อบางทีจะได้อ่านทั้งหน้ารวมทั้งที่มาที่ไปด้วย คือ ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของข้อความนี้ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  12. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ไม่เสื่อมหรอกครับ แต่ท่าไม่ดำเนินต่อก้เหมือนหยุดพักอยู่มันไม่ เจริญ
     
  13. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ผู้ยินดีในการงาน ก็คือ การใช้เวลาในแต่ละไปกับการทำงานมากกว่าที่จะใช้เวลาให้หมดไป
    กับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการทำและคิดอยู่กับเรื่องของการงานทั้งหลาย
    เมื่อไม่มีเวลามาคิดเรื่องมรรคผลในขั้นสูงๆขึ้นไป พระเสขะทั้งพระและโยมก็ติดแหง็กอยู่ที่เดิมนั่นล่ะ
    ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็มี นางวิสาขาบ้าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีบ้าง เป็นต้น

    .
    .
    .
    งี้ในแง่ฆราวาส เราก็ต้องทำงานจนมีเงินเก็บให้มากพอให้เงินทำงานแทน
    เพื่อในภายหน้าจะได้ไม่ต้องขวนขวายหมกหมุ่นงาน
    มีเวลาในการกรรมฐานให้มากสิครับ
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้างานในโลกสมมุตินี้มีสองงานละ ทางโลกและทางธรรม
    ทางโลกคือภาระกิจหน้าที่ ที่ต้องกระทำหลีกเลี่ยงไม่ได้เรียกว่าความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นไปตามกาลตามวาระ คงไม่ต้องอธิบายหรอกครับว่าไหม
    ทางธรรม คือ ตามหาหัวใจที่แท้จริงของตนเองเหมือนเพลงวัยรุ่นนั่นแหละแต่มันดันเป็นคนละใจกันที่ว่านี้หมายถึงใจตนเอง ว่า ณ เวลานี้มันเป็นเช่นใด และต่อไปมันจะเป็นเช่นใด ถ้า ไม่รู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติในชีวิต
    ทางโลกและทางธรรมจะเป็นแบบสมดุล จึงมีความสุข นี้คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า พอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่ง คงเข้าใจนะครับ
    เรื่องพระโสดาบันที่ยกมานั้น แท้จริงเป็นคู่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ อย่าได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจเลยครับ ท่านทั้งสองสั่งสมบารมีมานานหลายล้านกัปล์เช่นกันครับ อีกอย่างท่านอธิษฐานมาแบบนั้น
    ท่านทั้งสองคือ วัฏฏาภิรตโสดาบัน ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ จาก โพธิธรรมทีปนี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2009
  15. wintakarukae

    wintakarukae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +31
    การตักเตือนมิตรมันจะบาปได้อย่างไร
    แล้วพี่วิษณุรู้ได้อย่างไรว่าคนที่บ้านเขาคิดอย่างไร? :)
    ผู้หญิงนะ ถึงถามเขาก็ไม่บอกตรงๆ หรอก
    กิเลสมันเข้าข้างตนเองเสมอแหล่ะ อย่าประมาทกั๊บ :)
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เอ่อลืมใครติดตามเรื่องการลงมติเกี่ยวกับการกระจายเสียงคลื่นวิทยุเมื่อวานบ้างครับ ผลเป็นไงบ้างลืมเลย คือมันจะมีผลต่อการกระจายเสียงของสถานีธรรมหลายสถานีครับ ใครมีรายละเอียดช่วยโพสต์หน่อยครับ
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผมอยู่คนเดียว ผมต้องเล่าให้ฟังไหม ว่าเรื่องมันเป็นยังไง มีความจำเป็นอะไรต้องมาสาธยาย ... ผมก็ได้เตือนเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันว่า หากไม่รู้แล้วมาแพร่ม มันก็บาปเปล่าๆ สงสารแท้ สงสารแท้
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อัตตานัง โจทยัตตานัง กล่าวโทษตน ดีที่สุด
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันอยู่ที่จิตใจคุณนั่นแหละแต่ถ้าทำก็ดีเห็นดีด้วยจริงๆไม่ได้แอบแฝงถ้าหากเธอเห็นเป็นอื่นก็สุดแล้วแต่ใจเธอเพราะผมไม่ถือสาแล้วความเพ้อเจ้อของคน อย่าอ้างเรื่องสุภาพบุรุษเพราะเรื่องมันอยู่ที่ใจ คุณก็ดีแต่เพ้อเจ้อ จริงๆอย่างว่าจริงๆ ไม่ได้อะไรเลย ก็ถ้าทำความดีจะออกมากล่าวบ้าบออะไรอีกให้วุ่นวาย ทำเลยใครเขาจะว่าอะไรที่ผมบอกไปมันมีตรงไหนเหรอที่เรียกว่าไม่ถูก คุณอย่าทำจิตใจให้ตกต่ำกว่านี้เลยนะ ถือซะว่าผมขอร้อง คุณนี่เพ้อเจ้อตั้งแต่เจอครั้งแรกยันเดี้ยวนี้เลยนะ เรื่องเพ่งโทษก็เหมือนกัน คุณรู้ได้ไงใครเพ่งโทษและผมก็อยากให้ไปอ่านโพสต์นั้นเหลือเกินว่ามันเพ่งโทษหรือว่าเห็นด้วยกันแน่ คุณไม่ทำแต่เสนอมาก็เรื่องของคุณ แต่เหตุที่คุณเสนอเพราะสิ่งใดก็เรื่องของคุณสิ ผมเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้ต้องมีคนทำสักคนนั่นแหละ เป็นคนจริงทำจริงหรือไม่นั้น ตัวคุณเองนั่นแหละเป็นคนตัดสินผมไม่ตัดสินหรอกครับไม่ต้องกลัว ที่สำคัญเลยคุณไม่ควรพูดเพ้อเจ้ออันดับแรกเลย และที่คนอื่นเขาเตือนคุณณุก็เพราะว่าเขาก็เห็นอยู่ว่าเขาเป็นยังไง เหมือนกับวินทะลุนั่นแหละ เขารู้จุดประสงค์การถามตอบและการกันแนะกันแหนดี ไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง เขาก็เตือนๆกันตามประสา แต่ไม่ได้เอาธรรมมาหักล้างกัน หรือถามหาความคลาดเคลื่อนของผู้อื่นจะได้สบดคำที่กลั่นออกมาจากจิตอันตกต่ำนั้นออกมา เหมือนกับตัวคุณที่แล้วๆมาทำบ่อยๆ ยังจะมีหน้ามาบอกผมว่าปฏิบัติธรรมได้อีกเหรอครับ
    มันไม่มีวันบานปลายแน่นอนเพราะมันจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ คุณคนชอบเพ้อเจ้อ เรื่องทำกุศลไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก ทำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญหรอกหากมีใจคิดจะทำตอนไหนก้อได้ ได้ทั้งนั้น ไม่ได้ว่าเลยถ้าเป็นเจตนาดีเป็นกุศลก็บอกแล้วว่า อนุโมทนาไงครับ เลิกเพ้อเจ้อไร้สาระไปวันๆเสียทีนะ ไม่ต้องมาถามอีกนะว่าดูใจตัวเองบ้างไหมเนี่ย มันน่าเบื่อกับคำถามของจิตที่ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2009
  20. นาอินจัง

    นาอินจัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2009
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +36
    รบกวน น้าผ่อนคลาย ช่วยมาดูกระทู้นี้หน่อยค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...