พลังคุ้มกันด้วยดวงแก้วธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 5 ตุลาคม 2009.

  1. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    อิทธิฤทธิ์มีหลายแบบ หนึ่งในจำนวนหลายแบบนั้นคือ “พลังคุ้มกัน” ในกลุ่มของที่ใช้คุ้มกันนี้ ที่คนไทยรู้จักกันดีได้แก่ ยันต์เกราะเพชร, คงกระพันชาตรี, เหล็กไหล ฯลฯ แต่ก็มีของอีกหลายแบบที่ไม่เป็นที่คุ้นของคนไทย เช่น กำแพงมนตรา ซึ่งในไทยจะใช้คาถา “กำแพงแก้วเจ็ดชั้น”, จีวรทิพย์คุ้มกาย ซึ่งจะต้องบำเพ็ญทางด้านธุดงค์จึงจะได้ครอง, ลูกแก้วคุ้มกาย ซึ่งจะต้องปฏิบัติทางวิชชาธรรมกายจึงจะได้ครอง ประเทศญี่ปุ่นโบราณก่อนพุทธศาสนาจะเผยแพร่เข้าไป มีศาสนาชินโตอยู่แล้ว มีการเรียนรู้ด้านจิตวิญญาณผ่านศาสนาชินโตเป็นรากฐานที่ดีสำหรับการปลูกฝังพุทธศาสนา หนึ่งในวิชชาของชินโตที่คนทรง (มิโกะ) หรือคนดูแลศาลเจ้าต้องฝึกก็คือ “พลังคุ้มกัน” ที่จะใช้คุ้มกันศาลเจ้า ในยามที่เกิดสิ่งไม่ดีต่างๆ เข้ามา ดังนั้น การฝึกวิชชาด้านพลังคุ้มกันจึงเป็นวิชชาที่ผู้เป็นเจ้าของหรือดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ควรต้องฝึกให้สำเร็จ เพราะของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ดูแลอยู่นั้น อาจถูกพลังมารและอสูรเข้าแทรก เมื่อมีผู้เข้ามากราบไหว้ของศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ก็จะทำให้จิตวิญญาณที่เข้าแทรกนั้นมีฤทธิ์เพิ่มขึ้นและกลายเป็นภัยในอนาคตได้ จึงต้องมีผู้บำเพ็ญพลังคุ้มกันนี้ และอยู่ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อาจไปไหนได้ ในบทความฉบับนี้ จะขอเผยแพร่เรื่องวิชชาดวงแก้วธรรมกาย ซึ่งเป็นวิชชาเดียวกับที่หลวงพ่อสดและวัดพระธรรมกายเผยแพร่อยู่ แต่ผู้เขียนไม่ได้ไปฝึกวิชชาจากที่นี่ เพียงแต่ฝึกฝนเอง




    โครงสร้างจิตวิญญาณของมนุษย์และวิชชาธรรมกาย

    มนุษย์ทุกคนที่มีสังขารนั้น มีจิตวิญญาณอยู่ในสังขารนั้น เหมือนน้ำที่อยู่ในภาชนะถูกเก็บไว้อย่างดีจนกว่าจะตาย นอกจากนี้ จะมีพลังส่วนหนึ่งแผ่ออกโดยรอบตัวมนุษย์เพื่อเป็นเกราะปกป้องโดยธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่แล้วทุกคน แต่มากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป โดยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียกสิ่งนี้ว่า “ออร่า” เมื่อถ่ายด้วยกล้องออร่าจะเห็นเป็นพลังคลุมร่างแผ่ออกมาจากร่าง สีแตกต่างกัน ลักษณะแตกต่างกันออกไป เมื่อเพ่งด้วยตาทิพย์จะเห็นเป็น “ลูกแก้ว” ซึ่ง “มีทุกคนอยู่แล้วโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องฝึกวิชชาดวงแก้วธรรมกาย” แต่จะไม่แข็งแรงสำหรับท่านที่มีพลังอ่อน และจะแข็งแรงมากยิ่งขึ้นหากได้ฝึกวิชชา “ดวงแก้วธรรมกาย” อนึ่ง วิชชาดวงแก้วธรรมกาย หมายถึงดวงแก้วที่คุ้มกันกายทิพย์ แต่วิชชาธรรมกาย เป็นอีกวิชชาหนึ่ง ที่กล่าวถึงการเพ่งกายในกาย ซึ่งเป็นกายทิพย์ที่ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ในกายสังขารของเรา ในที่นี้ ผู้ฝึกวิชชาธรรมกาย มักต้องเริ่มจากการเพ่งดวงแก้ว ก็ให้รู้ว่านั่นคือครึ่งแรกของวิชชา คือ วิชชาดวงแก้วธรรมกาย ต่อไปเมื่อเห็นดวงแก้วแล้ว จึงเพ่งเข้าไปในดวงแก้วเห็นกายทิพย์ตนเอง อันนี้ เริ่มเข้าวิชชาธรรมกายต่อไป เป็นคนละวิชชา มีสองวิชชาต่อกัน สำหรับท่านที่ไม่ได้ฝึกเพ่งดวงแก้วเลย ก็สามารถเห็นกายในกายของตนเองเป็นชั้นๆ ตามแบบวิชชาธรรมกายได้ เช่น ในท่านที่สำเร็จกสิณแล้ว หรือตาทิพย์เปิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝึกเพ่งดวงแก้ว ให้ใช้การกำหนดจิตดูกายในกายได้เลย บริกรรมว่า “กายทิพย์ของข้าพเจ้าจงปรากฏชัด” ไปเรื่อยๆ ใจสั่งด้วยคำบริกรรมอย่างนี้ เมื่อสำเร็จเพราะใจมีฤทธิ์เรียกว่า “ใช้มโนมยิทธินำในการเพ่งกายในกาย” ก็เห็นกายในกายได้เหมือนวิชชาธรรมกาย แต่หากจะให้สำเร็จธรรมกาย หรือมี “กายทิพย์เป็นกายธรรม” ปรากฏได้ ซึ่งนับเป็นการสำเร็จสุดยอดวิชชาได้นั้น มีทางเดียวคือ “ต้องบรรลุธรรมตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เท่านั้น ดังนั้น แม้ฝึกวิชชาธรรมกายอย่างหนักก็ไม่อาจบรรลุถึงระดับธรรมกาย มีกายธรรมได้ หากไม่เข้าถึงธรรม รู้แจ้งตามหลักพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ หากต้องการสำเร็จพลังดวงแก้วคุ้มกันกายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฝึกวิชชาดวงแก้วธรรมกาย สำหรับผู้มีพลังภายในหรือลมปราณสะสมไว้มาก หรือเจริญฌานมาดี ให้ทำการกำหนดจิตเป็นกสิณรูปดวงแก้วคุ้มกาย แล้วอธิษฐานให้พลังปราณเสริมดวงแก้วคุ้มกันกายได้เลย ก็จะสำเร็จผลทันที หรือจะกำหนดจิตสร้างดวงแก้วจากพลังภายในคุ้มกันประเทศ, จังหวัด, วัด, สถานธรรม ก็ได้ตามแต่กำลังจิตจะมีถึง เช่น ที่วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี ก็มีการเดินวิชชาธรรมกายใช้ดวงแก้วธรรมกายคุ้มกันภัยให้ประเทศไทยปลอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่แล้ว




    ประโยชน์ของดวงแก้วธรรมกาย

    ดวงแก้วธรรมกาย มีพลังในเชิงคลาดแคล้ว, ปกป้อง, ป้องกัน สิ่งต่างๆ ได้ เช่น เวลาเกิดอุบัติเหตุให้เรานึกถึงดวงแก้วธรรมกายที่คุ้มกายเรา ก็จะเกิดพลังคุ้มกันกายเราได้ หรือที่มากกว่านั้น คือ การกำหนดจิตสร้างดวงแก้วขนาดใหญ่คุ้มกันภัยให้ประเทศ ก็สามารถทำได้ แต่จะปกป้องภัยที่เกิดจากพลังภายนอกที่จะเข้ามาเท่านั้น เช่น ถ้าประเทศไทยมีน้ำท่วมที่ใด ให้ทราบเลยว่า ไม่ใช่พลังของจิตวิญญาณที่อยู่นอกประเทศไทยแน่ เพราะประเทศไทยมีพลังดวงแก้วคุ้มกันประเทศที่วัดพระธรรมกายเดินวิชชาอยู่ และมีพระสงฆ์มากมายเดินวิชชาอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น น้ำท่วมที่ภาคเหนือ ช่วงเดือนตุลาคม น่าจะเป็นผลมาจากพลังของคนในประเทศไทยเอง เช่น ผู้ฝึกจิตที่มีฤทธิ์มากเกิดความโกรธแค้นขึ้นมา หากเขาเดินวิชชาธาตุสี่ ก็ส่งผลต่อดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ในประเทศไทยได้ตามกำลังจิตของตน ถ้ารัศมีพลังไปหนึ่งจังหวัด ก็กระทบหนึ่งจังหวัด ถ้าไปทั้งภาคเหนือก็โดนทั้งภาคเหนือ ดวงแก้วธรรมกายปกป้องได้แต่พลังจากภายนอก ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าถูกรุมจากจิตวิญญาณจำนวนมากมายซึ่งเป็นบริวารของศัตรู หลวงพ่อสด ท่านลงมาช่วยไว้ จึงขอให้ท่านช่วยใช้ดวงแก้วธรรมกายคุ้มกันสถานที่อยู่อาศัยให้ ทว่า ตอนนั้น จิตวิญญาณมากมายเข้ามาเต็มไปหมด จิตวิญญาณเหล่านั้น โจมตีทั้งจากภายในและภายนอก ทำให้ดวงแก้วธรรมกายที่เคยสีใส เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ และจะแตกได้ จึงขอให้ท่านยกเลิกไป ครั้งนั้นจึงทำให้ทราบต่อไปอีกว่าหากประเทศไทยเกิดอะไรขึ้น ย่อมไม่ได้มาจากคนนอกแน่ เพราะประเทศไทยมีพลังแก้วธรรมกายคุ้มกัน แต่จะมาจากคนไทยเราที่อยู่ข้างในเอง โดยเฉพาะผู้ฝึกจิตที่ได้ฤทธิ์แล้วควบคุมจิตตนเองไม่ได้นั่นเอง เราสามารถสังเกตได้ไม่ยาก ถ้าภัยพิบัติด้าน ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เกิดขึ้นบริเวณไหน ก็ต้องมาจากคนที่อาศัยในบริเวณนั้น เช่น คนเป็นโรคหวัด ๒๐๐๙ ตายกันมากที่กรุงเทพฯ อาจมีคนกรุงเทพฯ บางคน ได้บารมีขี่มังกรดำ แล้วไม่ดูแลของให้ดีๆ ปล่อยของ คือ ปล่อยปละละเลยมังกรดำ ทำให้มังกรดำไปสูบพลังชีวิตคน ในอนุตรธรรมและมหายานจะบอกเสมอว่าให้ผู้ปฏิบัติฝึกกินเจเพราะจะควบคุมมังกรดำ ซึ่งอยู่ในกายผู้ที่บำเพ็ญบารมีสำเร็จกายอวโลกิเตศวร ไม่ให้ไปกินเนื้อสัตว์ แต่หากไม่ระวัง มังกรดำในตัวผู้บำเพ็ญธรรมก็จะออกไปกินสัตว์ได้ และส่งผลให้เกิดโรคระบาดตายในสัตว์และคน ถ้าผู้บำเพ็ญธรรมชอบให้คนมารุมเอาใจ หรือชอบให้คนมาศรัทธาส่งกำลังจิตมาศรัทธาตนมากๆ ก็จะฝึกให้มังกรดำสูบกินพลังจากคน เช่น ถ้าผู้มีมังกรดำไปเป็นดารา มังกรดำจะกินพลังจากคนได้ สิ่งนี้ต้องระวัง




    การใช้ดวงแก้วธรรมกายให้เกิดประโยชน์

    ในสมัยโบราณศาลเจ้าในศาสนาชินโตจะต้องมีผู้ดูแล หรือมิโกะ คอยเดินพลังคุ้มกันไว้ตลอดเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น เทวรูป ที่คนกราบไหว้อยู่เสมอ จะให้สิ่งไม่ดีเข้ามาแทรกไม่ได้ แต่ปัจจุบันไม่มีคนดูแล หรือมีคนดูแลแต่ไม่มีวิชชาธรรมกาย ทำให้พลังคุ้มกันอ่อนลง และจิตวิญญาณที่ไม่ดีก็เข้าแทรกอาศัยในเทวรูปมากมาย ทำให้ผู้ไปกราบไหว้ส่งพลังให้สิ่งเหล่านั้น และมันก็มีฤทธิ์มากขึ้น ครอบงำผู้คนให้ลุ่มหลงมากยิ่งขึ้น คนในสมัยนี้จึงหลงทางกันมากกว่าในสมัยโบราณ แท้จริงแล้ว ทุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีผู้ดูแลที่มีพลังคุ้มกันและไม่ควรออกไปไหนอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อสร้างพลังคุ้มกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ไม่ควรสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวรูปเลยจะดีกว่า ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม วัดพระธรรมกาย จึงต้องเผยแพร่วิชชาไปทั่วทั้งประเทศ และพยายามพาพระสงฆ์จากวัดหลายแห่งไปฝึกวิชชาธรรมกาย ทั้งนี้ เพราะจำเป็นต้องมีสำหรับทุกสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ เรายังสามารถกำหนดเขตอาคมคุ้มกันสถานที่ต่างๆ ตามแต่ใจต้องการได้ หากเราไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น แต่ต้องใช้สมาธิมากขึ้น และอาจไม่สามารถออกจากสมาธิได้ในช่วงที่เดินวิชชานั้น เช่น หากเราอยู่ในป่า ก็สามารถสร้างเขตอาคมเป็นลูกแก้วธรรมกายคุ้มกันพระราชวังไว้ได้ หากเรานั่งสมาธิก็ตรวจดูด้วยตาทิพย์บ่อยๆ เช่น ช่วงค่ำถึงดึกลองเพ่งดูว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหนบ้าง หากมีก็สามารถกำหนดจิตใช้พลังลูกแก้วธรรมกายช่วยคุ้มกันไว้ได้เลย แต่หากสิ่งไม่ดีนั้นเข้าแทรกไปอยู่ในที่ที่เราต้องการคุ้มกันแล้ว ก็ไม่อาจช่วยได้อีก จำต้องปล่อยไปตามกรรม




    การใช้พลังลูกแก้วธรรมกายป้องกันกายทิพย์

    เป็นสิ่งที่ดีมากถ้าสามารถฝึกวิชชาดวงแก้วธรรมกายให้แข็งแกร่งถึงจุด “สุดยอด” ของวิชชา คือ สามารถสร้างดวงแก้วธรรมกายให้หนาและจิตวิญญาณมารหรืออสูรไม่สามารถเข้าแทรกมาได้ ก็จะทำให้พวกมารและอสูรมาแทรกเข้าถึงดวงจิตเราไม่ได้ แม้เข้ามาก็จะอยู่แต่ชั้นนอกอยู่ในกายสังขารเราแต่เข้ามาถึงจิตวิญญาณเราไม่ได้ อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า เมื่อสำเร็จวิชชาอย่างนี้เป็นรากฐานขั้นต้นแล้ว เดินวิชชาธรรมกายต่ออีก ก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจิตมารเข้าแทรก แม้เข้ามาแทรกก็ไม่เข้าถึงดวงจิต และแก้ไขได้ไม่ยากเกินไป ขอให้เข้าใจด้วยว่าการฝึกจิตถึงจุดหนึ่งนั้น ไม่สามารถห้ามการถูกเข้าแทรกได้เลย แต่ละท่านจะต้องมีช่วงของการถูกทดสอบโดยภาคมาร แทบทั้งสิ้น ดังนั้น การฝึกให้สำเร็จถึงขั้นนี้จึงจำเป็น ในประเทศไทยนั้น ผู้ฝึกดวงแก้วธรรมกายที่มีพลังดวงแก้วแข็งแกร่งจนจิตมารแทรกไม่ได้นั้นยังไม่มากนัก ยังมีมากที่ถูกแทรก จำต้องฝึกกันต่อไป




    การใช้พลังลูกแก้วธรรมกายป้องกันประเทศ

    จำต้องมีคนจำนวนมากเดินวิชชาธรรมกายช่วยกัน เช่น วัดใหญ่ๆ ที่มีพระจำนวนมาก ที่ฝึกวิชชาธรรมกายอย่างต่อเนื่อง แล้วอาจมีผู้สร้างสื่อคุ้มกันไว้เช่น วัดธรรมกาย ปทุมธานี จะมีสิ่งก่อสร้างชนิดหนึ่งที่สามารถรวมพลังจิตของผู้ฝึกธรรมกายกระจายทั่วประเทศได้ ในสถานที่สำคัญบางแห่งก็ควรมีเช่นกัน เช่น อาคารที่ตั้งของพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการคุ้มกันประเทศไทย แต่หากไม่มีใครเดินวิชชาคุ้มกัน จำต้องทำการอัญเชิญพลังบางส่วนของท่านมาสถิตไว้ในรูปจำลอง แล้วดูแล หรือสร้างเป็นศาลเจ้าหรือตำหนักเชิญท่านไว้ แล้วเดินพลังคุ้มกันตลอดเวลา ก็จะสามารถคุ้มกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลประเทศไทยไว้ได้ เราทุกคนก็สามารถทำได้เช่นกัน เช่น นำเทวรูปจำลองที่สำคัญที่มีวางให้บูชาตามท้องตลาด มาไว้ที่บ้าน ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เชิญพลังแท้จริงท่านมาสถิต ตรวจให้ดีว่าใช่ถูกต้องหรือไม่ หรือมีพลังอื่นแฝงเข้ามา การเชิญพลังนี้ คนไทยเรียกกันว่า “เบิกเนตร” เมื่อได้ดังนั้นแล้ว ก็ให้ปฏิบัติธรรมอยู่ในบ้านเสมอ เดินวิชชาคุ้มกัน หรือฝึกธรรมกายไปเรื่อยๆ หรืออัดพลังเข้าลูกแก้วแล้วอธิษฐานให้เป็นพลังคุ้มกันสถานทีนั้นๆ แล้วเจริญสมาธิจิตทุกวัน ด้วยวิชชาอะไรก็ได้ โดยส่งกำลังเข้าไปที่ดวงแก้วเสมอ เช่น เพ่งดวงแก้วไปสวดมนต์ไป อย่างนี้ก็ได้ ก็จะเกิดพลังคุ้มกันสถานที่นั้นๆ ของเรา




    การขับไล่พลังชั่วร้ายที่แทรกเข้ามา

    จำต้องทำทุกวัน เพราะเราไม่ทราบว่ากำลังจิตเราอ่อนหรือเปิดช่องว่างช่องโหว่ให้จิตวิญญาณที่ไม่พึงประสงค์แทรกเข้ามาในบริเวณสถานที่ที่เราดูแลอยู่บ้างหรือไม่ ดังนั้น เราจึงต้องทำพิธีขับไล่เสนียดจัญไรต่างๆ ไม่ยาก มีหลายวิธี บางท่านก็ใช้การสวดมนต์ทุกวัน แต่หากใช้ “การบูชาไฟ” ก็สามารถทำได้ คือ ใช้ไฟแล้วกำหนดจิตเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีให้ออกไป ทำทุกวัน เพื่อรักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติไว้ ในการทำพิธีบูชาไฟนี้ จะมีการสวดมนต์สั่นกระดิ่ง, บูชาไฟ และการใช้แส้ปัดไล่เสนียดจัญไร เป็นพิธีบูชาไฟแบบพราหมณ์ ซึ่งก็สามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่ดีสำหรับท่านที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ สุดท้ายนี้ขอกล่าวว่า การมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น จำต้องมีความรับผิดชอบดูแล และมีความรู้พอที่จะดูแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ การเป็นมิโกะหรือคนในศาลเจ้าไม่ใช่ของง่ายสำหรับศาสนาชินโต เพราะในศาสนานี้มีความรู้เรื่องจิตวิญญาณระดับสูงมาก จะต้องฝึกฝนมาอย่างดี ถ้าไม่มีความสามารถพอแล้วไม่ควรสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพลังดำ จิตวิญญาณที่ชั่วร้ายก็จะเข้ามาแทรกอาศัยได้ อนึ่ง ทั้งหมดนี้ ไม่ได้นำไปสู่ความหลุดพ้นเลย และยิ่งเป็นภาระผูกมัดแก่ท่านอีกด้วย ดังพระเยซูว่าไม่ควรบูชาเทวรูปที่เป็นของที่เราทำเอง ควรบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือโดยตรง จะดีกว่า ใครนับถือพระเจ้าก็ส่งจิตถึงท่านโดยตรง, นับถือพระพุทธเจ้าก็ส่งจิตถึงท่านโดยตรง การไหว้ผ่านสิ่งของที่มนุษย์ทำนั้น เสี่ยงต่อการไหว้อะไรไม่รู้ เพราะหลายท่านไม่มีตาทิพย์พอที่จะเห็นได้ว่าในเทวรูปที่ท่านกราบอยู่นั้นมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง สำหรับท่านที่ยอมตั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ยอมฝึกตนให้สำเร็จพลังคุ้มกัน และรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มกันประเทศเราไว้นั้น นับว่าเป็นผู้อุทิศตน เพราะยอมเสียสละนิพพาน เพื่อช่วยมวลสรรพสัตว์โดยแท้
     
  2. mephisto

    mephisto Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +65
    น่าสนใจครับ
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ย่างก้าวพระพุทธเจ้า ****

    คือ สัจจะตัดลดกิเลสนิสัย กามคุณ ราชามานะทิฐิ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,752
    ค่าพลัง:
    +2,808
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 ตุลาคม 2009
  5. ๙๙๙๙๙๙๙๙๙

    ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,752
    ค่าพลัง:
    +2,808
    [​IMG]

    ไม่รู้ภาพจริงเปร่านะครับ ไปเจอโดยบังเอิน
     
  6. Haruki

    Haruki Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +36
    เอาไปทดลองที่ภาคใต้ ก่อนได้ป่าว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2011
  7. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    อนุโมทนา วิชาธรรมกายของสายหลวงปู่สด...

    Quoted: ...นอกจากนี้ เรายังสามารถกำหนดเขตอาคมคุ้มกันสถานที่ต่างๆ ตามแต่ใจต้องการได้ หากเราไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น แต่ต้องใช้สมาธิมากขึ้น และอาจไม่สามารถออกจากสมาธิได้ในช่วงที่เดินวิชชานั้น ...

    Unquoted: คนที่มีอาคมสมัยโบราณได้ลงวิชชาหรือข่ายอาคมไว้ขนาดตายไปแล้วอาคมยังคงอยู่ได้อีก แปลกดี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะบางครั้งคนสมัยใหม่วิทยาอาคมไม่เก่งพอก็ถอนออกไม่ได้ ในเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องระเห็จออกไปหรือชาวบ้านเขาเรียกว่า "ที่อาถรรพ์"

    Quoted:...เราทุกคนก็สามารถทำได้เช่นกัน เช่น นำเทวรูปจำลองที่สำคัญที่มีวางให้บูชาตามท้องตลาด มาไว้ที่บ้าน ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เชิญพลังแท้จริงท่านมาสถิต ตรวจให้ดีว่าใช่ถูกต้องหรือไม่ หรือมีพลังอื่นแฝงเข้ามา..

    Unquoted: โปรดระวัง !! ถ้าใครไม่แน่ใจอย่าทำเลยท่านเพราะข้าพเจ้าเองก็ชื่นชอบถึงขั้นคลั่งไคล้ในการสะสมของโบราณ ศิลปะขอม ,ธิเบต, เนปาล, พระกรุเก่าๆๆ เวลาเดินเข้าไปก็อายเพราะเปนผู้หญิง และวัยนี้น่าจะซื้อตุ๊กตา กระเป๋า ของกระจุกกระจิกต่างๆๆ

    เจอเทวรูปเปล่าก็โชคดีไป แต่เจอพลังอื่นแฝงติดมานี่สิ ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน บางครั้งก็ไม่สบายโดยหาสาเหตุไม่ได้ กว่าจะจับเจอก็โดนเล่นซะงอมเลย ไม่มีปัญญาเก็บก็ถวายวัดไป เช่น ศิลปะขอม, พระเครื่อง (ดันเอากระดูกผีเจ็ดป่าช้ามาทำ) เปนต้น
    เฮ้อ!!! ของเขาแรงจิงๆๆ :boo: ที่เขาเรียกกันว่าไม่เห็นจะได้อะไรเสียเงินด้วยแถมเจ็บตัวอีกต่างหาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...