พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 30 สิงหาคม 2009.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,673
    ธรรมะของหลวงปู่ทวด


    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
    [​IMG]
    หลวงปู่ทวด


    วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "

    คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
    ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
    บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
    อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
    มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ.2225
    สิริรวมอายุได้ 99 ปี

    คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

    ธรรมประจำใจ
    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

    ละได้ย่อมสงบ
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

    สันดาน
    " ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

    ชีวิตทุกข์
    การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

    บรรเทาทุกข์
    การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่าส่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

    ยากกว่าการเกิด
    ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

    ไม่สิ้นสุด
    แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

    ยึดจึงเดือดร้อน
    ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

    อยู่ให้สบาย
    ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

    ธรรมารมณ์
    การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

    กรรม
    ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

    มารยาทของผู้เป็นใหญ่
    " ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง " มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

    โลกิยะหรือโลกุตระ
    คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

    ศิษย์แท้
    พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    รู้ซึ้ง
    ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

    ใจสำคัญ
    การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย

    หยุดพิจารณา
    คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณาแล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

    บริจาค
    ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอน การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม

    ทำด้วยใจสงบ
    เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้วปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

    มีสติพร้อม
    จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

    เตือนมนุษย์
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

    พิจารณาตัวเอง
    คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง


    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวดขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ที่มาค่ะ http://www.watthummuangna.com/board/index.php<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  2. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา
     
  3. สิงหนาท

    สิงหนาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    673
    ค่าพลัง:
    +4,805
    สาธุ ๆ ชอบมากๆ ครับ

    อนุโมทนา สาธุ ๆ ครับ
     
  4. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +898
    การได้พบธรรม ที่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็ดี

    แล้วนำธรรม นั้นมาปฏิบัติ ให้เกิดผล จะได้มากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร

    ถึงแม้ จะเกิดหลังท่านดับขันธ์ เป็นร้อยปี

    ขณะนี้พวกเราก็เกิดหลังพระพุทธเจ้าดับขันธ์ เป็นพันๆปี แต่เราก็ยังได้พบธรรมของท่านเหล่านั้น

    ถ้าเราน้อมนำมาปฏิบัติ และพบความจริงแห่งธรรมที่ท่านสั่งสอนแก่เรานั้น

    เราก็ยังได้ชื่อว่า เกิดทันครับ เกิดทันจริงๆครับ
     
  5. พล

    พล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +137
    สุดยอดครับผม เตือนตนได้เป็นอย่างดียิ่งครับ ขอโมทนาในธรรมครับผม
     
  6. Cloud

    Cloud Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +82
    ขออนุโมทนาครับ

    ขออนุโมทนาด้วยครับ เป็นข้อธรรมใจการพิจารณาขณะทำสมาธิได้ดีมากครับ
     
  7. บีว่า

    บีว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอกราบอนุโมทนาด้วยครับ

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อะติภะคะวา
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อะติภะคะวา
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อะติภะคะวา
     
  8. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    หัวข้อเตือนมนุษย์ ผมไม่เข้าใจเท่าไร่นะครับ อนุโมทนา
    ว่าหมายถึงอะไร
     
  9. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    หัวข้อเตือนมนุษย์ ผมไม่เข้าใจเท่าไร่นะครับ อนุโมทนา
    ว่าหมายถึงอะไร ไง PM
     
  10. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    หัวข้อเตือนมนุษย์ ผมไม่เข้าใจเท่าไร่นะครับ อนุโมทนา
    ว่าหมายถึงอะไร ไง PM มาแล้วกันคับ
     
  11. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    หัวข้อเตือนมนุษย์ ผมไม่เข้าใจเท่าไร่นะครับ อนุโมทนา
    ว่าหมายถึงอะไร ไง PM มาแล้วกันครับ
     
  12. เทพบัญชา

    เทพบัญชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2006
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +212
    ข้าพเจ้าเคยสัมผัสพลังจากท่านมาแล้วและถ้าพูดไปจะหาว่าข้าพเจ้ายกตัวเองท่านเคยผ่านร่างข้าพเจ้า ลักษณะหลังค่อม ๆ เวลาท่านมาประทับท่านจะหันหูไปซ้าย ขวาและเงี้ยหูฟังเวลามีคนพูดหรือถาม และท่านจะมาโปรดเป็นบางครั้งไม่ได้มาตลอดขอบุญบารมีคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC09853.JPG
      DSC09853.JPG
      ขนาดไฟล์:
      565.8 KB
      เปิดดู:
      137
    • DSC09446.JPG
      DSC09446.JPG
      ขนาดไฟล์:
      595.7 KB
      เปิดดู:
      106
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  13. เทพบัญชา

    เทพบัญชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2006
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +212
    ปัญญา

    ข้อคิดเตือนใจ

    ความตายเหมือนเปลี่ยนรถffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>




    ปัญญา คือ อะไร

    ปัญญา คือ ความรอบรู้ในขันธ์ 5
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง
    เช่นเมื่อพิจารณากาย ก็รู้ว่า
    กายไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    กายเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่ง แยกต่างหากจากจิต
    เหมือนรถกับคนขับรถ
    ถ้ามีปัญญาเห็นอย่างนี้แล้ว ความตายก็ไม่มี
    มีแต่การเปลี่ยน เหมือนเปลี่ยนรถ
    เมื่อรถเสียแล้ว เก่าแล้ว พังแล้ว
    ถ้าคนขับมีเงินมีทอง
    ก็ไม่ต้องเสียใจกับ รถคันเก่า
    ทิ้งรถเก่าเสีย ซื้อรถใหม่ที่ดีกว่า
    ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเสียใจ..... เราซื้อรถใหม่เลย สบายใจดี
    แต่มีปัญหาว่า บางคนไม่มีเงิน ซื้อรถใหม่ไม่ได้
    หรืออาจจะซื้อได้แต่รถจักยานเท่านั้น



    สมัยก่อนมีรถ ตอนนี้ไม่มีแล้ว
    อาจจะต้องเดินเท้าเปล่า ลำบากหน่อย
    นี่สำคัญ จิตของเราก็เหมืนกัน
    ถ้าเรามีศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่า จิตรวยด้วยอริยทรัพย์
    มีคุณงามความดีมาก
    ย่อมจะรู้สึกว่า ความตาย คือ มรณภาพ
    คือ การเสียสละร่างกายนี้ เราคือใจคือจิต
    ความตายเป็นเรื่องของกาย
    กายแก่แล้ว เสียแล้ว พังแล้ว ตายแล้ว
    ญาติพี่น้องที่ยังอยู่ ก็เอาไปเผาทิ้ง
    เราเสียสละกายได้ด้วยความสบายใจ ความตายจึงไม่น่ากลัว



    ความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนที่อยู่
    คล้ายกับไปเที่ยวต่างประเทศที่ไม่เคยไป
    พี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่พากันร้องไห้
    แม่ของเรา พ่อของเรา ลูกของเรา
    เพื่อนของเราตายแล้ว พากันร้องไห้
    แต่สำหรับคนที่เข้าใจธรรมะ
    คนที่มีกำลังใจดี คนที่ไม่ประมาท
    เจริญศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว
    และมีความมั่นใจว่า เราทำดีมามากแล้ว
    ใจของเราย่อมปลอดภัยแล้ว
    ก็คล้ายกับว่า เรานั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ
    ไปเที่ยวไม่กลับนี่แหละ
    คนที่ส่งร้องไห้ แต่เราสบายใจ
    ไปแล้วมีคนต้อนรับ คนต้อนรับก็พากันดีใจ
    เราอาจจะเกิดในตระกูลที่ดีขึ้น ดีกว่าเดี๋ยวนี้
    พ่อแม่ญาติพี่น้องดีใจต้อนรับ



    สรุปแล้ว การปฏิบัติทั้งหมด ก็เพื่อจะไม่กลัวตาย
    ยอดของการปฏิบัติ ก็คือตรงนี้
    ถ้าเราพิจารณาธรรมะลักษณะอย่างนี้ ก็จะมีกำลังใจ
    จงสนใจศึกษาธรรมะในลักษณะเช่นนี้มากขึ้นๆ
    เพื่อให้ใจสบายนี่แหละ



    เมื่อเราปฏิบัติธรรมมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้นเพียงใด
    ย่อมจะสบายใจมากขึ้นๆ เพียงนั้น................. เอวัง




    คัดลอกบางส่วนจาก... ทุกข์เพราะคิดผิด (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
    โดย คุณ TU




    <O:p></O:p>




    ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย<O:p></O:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2009
  14. เทพบัญชา

    เทพบัญชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2006
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +212
    วิชาความสุข

    ;aa44วิชาความสุข..ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>




    ทฤษฎีบทหนึ่งในตำราชีวิตของมนุษย์เรา..

    ได้ให้ความหมายของคำว่า “ความสุข”
    ไว้อย่างน่าสนใจว่า..



    >>>…ความสุข
    >>>…คือ..สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ..และปรารถนา..
    >>>…อย่างไม่มีวันจบสิ้น..
    >>>…จากพจนานุกรมฉบับหัวใจของมนุษย์ทุกคน..



    เพราะวิชาความสุข..
    ได้สร้างทฤษฎีไว้ในตัวเอง..
    >>>…คือ..การเรียนรู้วิชาทุกข์ควบคู่ไปในตัวด้วย..
    >>>…ทั้งนี้..มนุษย์ไม่สามารถเรียนจบหลักสูตร..
    >>>…ตามวันเวลาที่กำหนด..๒ ปี ๓ ปี หรือ ๔ ปี..ได้



    วิชาความสุข..
    จึงเป็นวิชาที่ต้องศึกษาทั้งในเรื่อง..กายกับใจ..
    อย่างสมดุลกัน..อย่างเข้าใจ...



    หากเพียงรู้..
    แต่ความต้องการภายใน..
    (ความสุขที่โลกานิยมกัน) อย่างเดียว



    โดยลืมที่จะศึกษา..
    ความต้องการภายใน...
    (ความสุขที่ธรรมาภิรมย์)กำหนด..
    ก็ยากที่จะเข้าใจความสุขอย่างแท้จริงได้..



    เพราะความสุขที่แท้จริง..
    คือ..การเรียนรู้จิตใจภายใน..(อารมณ์และความรู้สึก)..
    ให้มีความสัมพันธ์กับภายนอก..(วัตถุนิยมต่าง ๆ ที่มากระทบ)..
    >>>…แล้วสร้างทฤษฎีใหม่..
    >>>…เพื่อลดความทุกข์ให้น้อยลง..
    >>>…แล้วความสุขจะเพิ่มมากขึ้น..



    แต่อย่างไรก็ตาม..
    วิชาความสุข..
    คือ..วิชาที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเรียนรู้..
    >>>…และสร้างทฤษฎีจิตใจภายใน..
    >>>…ให้ควบคู่กับกายภายนอก..
    >>>…อย่างสัมพันธ์และเข้าใจกัน...




    บทความ...โดย...ชายน้อย..<O:p></O:p>

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ภัทรวรรณ

    ภัทรวรรณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +50
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบคุณมากๆ

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
     
  16. ฤาษีท้ายเรือ

    ฤาษีท้ายเรือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +1,991
    โมทนาด้วยครับ..คุงน้ำแข็งใส

    กำลังหาที่สิงซาถิตถ์..อยู่จ้า
     
  17. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    วันก่อนผมถามหลวงปู่ทวดว่า "หลวงปู่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าหรือครับ" หลวงปู่ทวด ตอบว่า "ปู่ไม่ได้ปรารถนา ปู่ปรารถนาโปรดเวไนยสัตว์ไปเรื่อยๆ เมื่อสัตว์โลกยังเป็นทุกข์อยู่ ปู่ก็อยู่โปรดสัตว์ไปเรื่อยๆ ถ้าจะต้องเข้าพระนิพพานเป็นคนสุดท้ายปู่ก็ยอม"

    ผมถาม "แล้วเมื่อไหร่หลวงปู่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าละครับ" หลวงปู่ทวด "อีกนานลูก"

    หลวงปู่ทวด "ปู่ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของใคร ยกเว้นพระพุทธเจ้า ปู่เคารพพระพุทธเจ้า"

    ผมถาม "หลวงปู่ผมมัวัตถุมงคลเยอะจะแขวนอันไหนดีครับ"
    หลวงปู่ทวด "ชาย อย่าไปยึดติดกับวัตถุมงคลให้มากนะลูก อันนี้เป็นอุบายสำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจธรรมะมากนัก แต่สำหรับชายแล้วจิตสำคัญที่สุดลูก ไม่ต้องมีวัตถุมงคลติดตัวเลยก็ได้ เพราะมีสิ่งรักษาอยู่แล้ว"

    ผมถาม "แล้วอย่างอาจารย์ผม หลวงปู่ทองทิพย์ละปู่ท่านเป็นแบบไหน"
    หลวงปู่ทวด "ทองทิพย์เขาปรารถนาการหลุดพ้น ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทองทิพย์เขามาใช้ธาตุขันธ์ก็ต้องใช้กรรมเขา เขาวนเวียนมาใช้ธาตุขันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า"

    ผมถาม "พระอริยสงฆ์ที่มีบารมีอย่างหลวงปู่ทองทิพย์ ที่ยังมีธาตุขันธ์อยู่ยังมีอีกไม๊ปู่" หลวงปู่ทวด "ยังมี อยู่ทางภาคเหนือ และฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ถึงเวลาก่อนแล้วชายจะได้เห็นเอง เมื่อถึงตอนนั้นให้ชายจุดธูปอธิษฐานถึงแล้วเขาจะมาเอง โดยมากแล้วเขาไม่อยากออกมา เขาต้องการทำความสงบกัน"

    ผมถาม "หลวงปู่ครับ ตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ผมเคยเจอหลวงปู่ หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่มาใช้ธาตุขันธ์อีกบ้างไม๊ครับ"

    หลวงปู่ทวด "ไม่มี หลังจากสมัยอโยธยา ปู่ไม่ได้มาใช้ธาตุขันธ์อีก ปู่มีกรรมมาก ถ้ามาใช้ธาตุขันธ์ก็ต้องใช้กรรมเขา อยู่แบบนี้ปู่ก็สุขใจดีแล้ว อีกร้อยปี สองร้อยปี ธาตุขันธ์ชายอาจจะแตกดับไปแล้ว ปู่ก็ยังอยู่แบบนี้ ใครทำความดี ปฏิบัติดี สร้างบารมีดี ปู่ก็มาอยู่ด้วย หากเขาไม่ปฏิบัติ ไม่สร้างบารมี ปู่ก็จากไป"


    ผมถาม "หลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่าหลวงปู่หายไปจากวัดพะโค๊ะได้ยังไง แล้วทำไมปู่ไปปรากฏที่วัดช้างให้"

    หลวงปู่ทวด "เรื่องนี้คนอยากรู้กันมาก ไม่รู้จะรู้ไปทำไม ที่จริงหลวงปู่จะเก็บเรื่องนี้ไว้กับปู่ แต่เมื่อชายอยากรู้ปู่ก็จะบอกให้ ถ้าปู่บอกว่า ปู่เหาะไปชายจะเชื่อไม๊ " ผมตอบ "เชื่อครับ" หลวงปู่ทวด "สมัยนั้น มีผู้คนมาหามารบกวนปู่มาก เมื่อสร้างถาวรวัตถุเสร็จแล้ว ปู่ก็จากไป"

    ผมถาม "ปู่ไปทิ้งธาตุขันธ์ที่วัดช้างให้หรือครับ" หลวงปู่ทวด ท่านไม่ตอบ แต่ท่านพยักหน้า

    อ่านแล้วให้พิจารณา ด้วยปัญญาครับ
     
  18. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    <TABLE class=tborder id=post2535473 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175></TD><TD class=alt1 id=td_post_2535473 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->สาธุ สาธุ ขอโมทนา
    อิทัง ปุญญพลัง อิมินา ปุญญะกัมเมนะ


    ด้วยเดชะบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี
    ตั้งแต่ปฐมชาติ อดีตชาติ ปัจจุบันวันนี้
    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตกุศลนี้เป็น มหาธรรมทาน
    เพื่ออบรมหนทางความดับ
    ไม่มีเหลือเชื้อแห่งอาวสะกิเลสตน แด่ผู้ใฝ่ในธรรม
    และผู้เคารพเลื่อมใสองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    <O:p</O:p
    ขอส่งผลบุญกุศล อันเกิดจากการนี้
    อุทิศให้ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์สืบๆ ต่อกันมา
    พ่อเกิดแม่เกิด ผู้มีคุณผู้สูงชาติ
    ผู้สงเคราะห์โลกพิทักษ์ธรรม ตลอดจน
    เจ้าบุญนายคุณ เจ้าบ่าวนายใช้ เจ้ากรรมนายเวร
    เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าการบัญชี ทั้งหลายในทุกภพทุกชาติ
    ที่ข้าพเจ้าได้เคยสบประมาทล่วงเกิน และมีสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
    ขอจงได้รับขมากรรม อโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญให้แก่ข้าพเจ้า
    และกรรมอันใดที่ท่านทั้งหลาย ได้ทำไว้กับข้าพเจ้าทุกภพทุกชาตินั้น
    ข้าพเจ้าขอปวารณาให้เป็นอโหสิกรรมเช่นกัน
    พร้อมนี้ขอให้ท่านทั้งหลายพึงปราศจากทุกข์และมีสุข
    เกิดปัญญาญาณยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้รับ
    ณ กาลบัดเดี่ยวนี้ด้วยเทอญ
    <O:p</O:p
    สาธุ สาธุ สาธุ นะ โม พุท ธา ยะ
    นิพพานัง ปะระมัง สุขขัง
    ขอเชิญร่วมสร้างพระอุปคุต หลวงปู่ทวด วัดนาอุดม อุบลฯ (รับของดีหลายครูบาอาจารย์)<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...